ปัจจุบัน การฝึกโยคะส่วนใหญ่ของผู้คนในสังคมไทย มักเน้นไปที่ประโยชน์ในมิติด้านร่างกายเป็นสำคัญ ด้วยจุดประสงค์เพียงเพื่อการออกกำลัง’กาย’ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย และรูปร่าง จึงได้รับประโยชน์เพียงส่วนเดียวของโยคะ
หากความจริงแล้ว โยคะที่แท้ ตามวิถีดั้งเดิมของอินเดีย คือ การรวมของกายและจิต
ซึ่งหากฝึกควบคู่ไปกับการเจริญสติแล้ว จะเอื้อประโยชน์ในมิติอื่นๆที่มากมายอย่างเป็นองค์รวม ทำให้ศาสตร์โยคะเกิดการแพร่หลายจากโลกตะวันออกสู่โลกตะวันตก
นอกเหนือจากประโยชน์ในมิติด้านร่างกายแล้ว โยคะแห่งสติยังเอื้อประโยชน์ทั้งมิติด้านจิตใจ สมอง และจิตวิญญาณ ตามรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
-
มิติด้านร่างกาย
แพทย์องค์รวมชาวอินเดีย ผู้เป็นปรมาจารย์ ของโยคะชื่อดังระดับโลก จากสถาบัน International Sivananda Yoga Vedanta พบว่า การฝึกโยคะอาสนะ มิได้เน้นประโยชน์เพียงหุ่นรูปร่างภายนอก แต่เอื้อประโยชน์ต่างๆต่อระบบการทำงานภายในของร่างกาย เช่น ระบบการทำงานของหัวใจ ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหารและขับถ่าย และระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น และยังเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ได้มีนำโยคะมาใช้เพื่อบำบัดโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน และหัวใจ
-
มิติด้านจิตใจ
จากบทความงานวิจัยของ Oxford University และ New Hampshire Psychiatric Hospital พบว่า การฝึกโยคะสามารถบำบัดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า โกรธ และอ่อนล้าได้
โยคะแห่งสติสร้างการตระหนักรู้เท่าทันอารมณ์ที่ส่งสัญญาณบ่งบอกชัดเจนผ่านความรู้สึกทางกาย เป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารอารมณ์ และสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์ ดังที่กูรู Daniel Goleman ได้แนะนำ และมีการนำไปใช้ในองค์กรต่างๆอย่างแพร่หลาย ทั้งในแวดวงองค์กรสุขภาพและธุรกิจ
-
มิติด้านสมอง
จากการศึกษาของ Harvard University และ University of Massachusetts Medical School พบว่า การฝึกโยคะส่งผลถึงประสิทธิภาพการทำงาน ของระบบประสาทและสมอง โดยหากฝึกโยคะพร้อมเจริญสติฝึกสมาธิ อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาของสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการจดจ่อให้งานสำเร็จ และการพิจารณาตัดสินใจเรื่องต่างๆ รวมถึงเป็นการลดความเครียดได้อย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้ การฝึกปราณ หรือฝึกลมหายใจ ยังส่งผลโดยตรงต่อสมองอีกด้วย
-
มิติด้านจิตวิญญาณ
แก่นแท้ของโยคะ คือ การฝึกฝนกาย จิต สติปัญญา เพื่อมุ่งสู่การตื่นรู้ต่อความจริงอันสูงสุด เห็นการเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปของสภาวะร่างกาย จิตใจและความคิด ช่วยให้เกิดความตระหนักรู้และเข้าใจชีวิตของตนเองและผู้อื่น มีความสุขสงบและสมดุลทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคงภายใน ยอมรับและความเชื่อมั่นในศักยภาพอันสูงสุดของมนุษย์ รวมถึงยังก่อให้เกิดความเมตตากรุณาต่อตนเองและผู้อื่น
และที่สำคัญ คือ มีอุเบกขา หรือ การปล่อยวางทั้งสุขและทุกข์ได้ เพื่อรักษาความสงบและสมดุลนั่นเอง
ทั้งนี้ แต่ละท่าของโยคะอาสนะต่างให้ประโยชน์ที่ต่างกันออกไป เช่น ท่านั่งก้มตัว ช่วยระบบย่อยและขับถ่าย ในขณะที่ท่าสะพาน ช่วยลดอาการซึมเศร้า การฝึกปราณแบบกบาลภัทติ ช่วยให้สมองตื่นตัว เป็นต้น จึงมีความจำเป็นที่ผู้ฝึกควรศึกษาและเข้าใจถึงประโยชน์ที่เหมาะสมกับสภาวะร่างกายและจิตใจ รวมถึงวัตถุประสงค์ก่อนการฝึก
แล้วคุณล่ะ คิดว่า การฝึกโยคะเอื้อประโยชน์ต่อคุณในด้านใด?
เขียนและเรียบเรียงโดย “นิรามิสสุข”