10 กฎทอง สู่การมีความสุขอย่างยั่งยืน

คุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ” กล่าวคือ ในชีวิตจริงเราไม่สามารถมีชีวิตที่สุขสบายเหมือนดั่งเจ้าหญิงและเจ้าชายในนิยาย บางครั้งเราพบเจอกับสิ่งที่สวยงาม แต่บางครั้งเราต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้าย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชีวิตของเราจะมีทั้งสุขและทุกข์ แต่เราเลือกที่จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ได้ และกุญแจสำคัญที่จะช่วยคุณไขประตูแห่งความสุขได้ก็คือ “ทัศนคติ” ของคุณ 

งานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่า ผู้ที่มองโลกในแง่ดีมีแนวโน้มที่จะอายุยืนยาว ส่วนผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายกลับมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น

หากคุณต้องการทราบว่าตนเองเป็นคนมองโลกในแง่ดี หรือ มองโลกในแง่ร้าย ลองอ่านบททดสอบนี้ดู 

หากมีแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วคุณจะมองมันอย่างไร ระหว่าง “มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว” กับ “มีน้ำหายไปครึ่งแก้ว” และคำตอบจะสะท้อนทัศนคติของคุณ

หากคุณเลือก “มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว” คุณเป็นคนมองโลกในแง่บวก คุณชื่นชมและพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ในสถานการณ์นี้คุณรู้สึกว่าการมีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้วดีกว่าการมีเพียงแก้วเปล่า

ในทางกลับกัน หากคุณเลือก “มีน้ำหายไปครึ่งแก้ว” คุณเป็นคนมองโลกในแง่ลบ คุณสนใจในสิ่งที่ขาดหายไป ดังนั้น คุณจะพยายามไขว่คว้าหาสิ่งอื่นมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย 

เมื่อคุณรู้คำตอบแล้ว จงรักษาหรือปรับเปลี่ยนทัศนคติของคุณให้กลายเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก หากคุณไม่รู้วิธีที่จะทำมัน บทความนี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณมีมุมมองในการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากเดิม และพบกับความสุขในชีวิต 

1) มองหาด้านดี ๆ ในสถานการณ์อันเลวร้าย 

ในแต่ละวัน คุณต้องพบเจอกับเรื่องราวทั้งดีและร้ายปะปนกัน และเพื่อสนับสนุนทัศนคติการมองโลกในแง่ดี เมื่อคุณเผชิญกับเหตุการณ์แย่ ๆ ที่ทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดหรือโมโห ให้คุณพยายามคิดบวก

มองหาด้านดีในสถานการณ์อันเลวร้ายนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเจอรถติดบนถนน แทนที่คุณจะบ่น ด่า หรือระบายความโมโหด้วยการบีบแตรเสียงดัง คุณอาจคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะใช้เวลาฟังเพลงโปรดของคุณให้นานขึ้น 

2) ให้ความสนใจและชื่นชมกับสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว 

ท่ามกลางสังคมที่วุ่นวาย มนุษย์เราต่างดิ้นรนไขว่คว้าหาความสุขในรูปแบบต่าง ๆ แต่หนึ่งในหลายวิธีที่ทำให้เราค้นพบความสุขก็คือ การได้ใกล้ชิดธรรมชาติ และสนใจต่อสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว 

ผู้ที่นับถือนิกายเซนมีความสุขจากการพิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว พวกเขาจะชื่นชม ซึมซับ และมีความสุขไปกับสิ่งที่แสนธรรมดาและเรียบง่าย ยกตัวอย่างเช่น การได้เห็นผีเสื้อกระพือปีกเบา ๆ หรือการเฝ้ามองสายฝนอันชุ่มฉ่ำ

และคุณก็สามารถนำเอาวิธีนี้ไปใช้ได้เช่นกัน สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นปัญหาใหญ่ ๆกลายเป็นเรื่องเล็กในพริบตา 

3) ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ 

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม กล่าวคือ โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน และต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้นในยามที่เราประสบปัญหาในชีวิต เราย่อมต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

และแน่นอนว่า หากเราเห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก หรือเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย หรือทางจิตใจ เราก็ควรที่จะช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นเช่นกัน 

การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เราได้พัฒนาความคิดด้านบวกของตนเอง ในทางกลับกัน คนที่คิดเอาแต่ได้ จิตใจจะเต็มไปด้วยกิเลสและความทุกข์ ต่างกับคนที่คิดจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับคนอื่น

พวกเขารู้จักและเห็นคุณค่าของการให้ และเมื่อเขาหยิบยื่นความปรารถนาดีให้กับผู้อื่นแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่าเขาจะยิ่งได้รับสิ่งดี ๆ กลับคืนมา 

4) ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ 

ในสังคมสมัยใหม่ ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกนิยม แต่ละคนต่างยึดถือตัวเองเป็นที่ตั้ง ให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนสิ่งอื่นใด จนนำมาซึ่งสภาวะต่างคนต่างอยู่ในสังคม  

อย่างไรก็ตาม ประโยคที่ว่า “น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า” ยังคงสามารถใช้ได้ตลอดกาล มนุษย์ต้องอาศัยรวมกันเป็นกลุ่ม ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้น เราควรปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสมและจริงใจ

ยกตัวอย่างเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น หากคู่สนทนาของคุณกำลังประสบปัญหา คุณก็ควรที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจ รับฟังและให้คำแนะนำแก่เขาด้วยความจริงใจ นอกจากนี้หากคุณสามารถช่วยเหลือเขาได้ ก็ควรที่จะทำโดยไม่หวังผลตอบแทน 

5) รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม 

หากคุณนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้านทั้งวันโดยไม่ทำอะไรเลย คุณจะกลายเป็นคนขี้เกียจและเฉื่อยชาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นคุณจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ 

หนึ่งในวิธีการสร้างสุขภาพกายและใจที่ดี คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม คุณควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกดีมีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน นอกจากนี้ คุณควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพราะจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งจะทำให้คุณมีความสุขและผ่อนคลายความตึงเครียดได้ 

6) ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน 

ครอบครัวและเพื่อนคือคนที่รู้จักคุณดีที่สุด พวกเขารักคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข และเข้าใจคุณเกือบทุกเรื่อง ดังนั้นคุณจึงควรใช้เวลาอยู่กับพวกเขาบ้าง  

การใช้เวลาร่วมกันของสมาชิกในครอบครัวสามารถทำได้ตั้งแต่กิจกรรมเล็ก ๆ ภายในบ้าน เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน ดูโทรทัศน์ร่วมกัน ไปจนถึงกิจกรรมนอกบ้าน เช่น การไปท่องเที่ยว หรือการดูภาพยนตร์ เป็นต้น

นอกจากนี้ อย่าลืมที่จะแบ่งเวลาให้กับกลุ่มเพื่อนของคุณด้วย เพราะมิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญ  มันไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ดังนั้น เมื่อคุณเจอแล้ว จึงควรรักษาไว้ให้ดีที่สุด คุณอาจหาโอกาสพบปะสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนบ้าง

สิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกดีและอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก 

7) เดินตามความฝันและทำสิ่งที่คุณสนใจจริงๆ 

หลายคนทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นหน้าที่หรือความรับผิดชอบที่ต้องทำ จนทำให้ลืมไปว่าตัวเองสนใจและต้องการอะไรจริง ๆ ดังนั้น จงค้นหาสิ่งที่คุณรัก และเมื่อคุณเจอแล้ว

จงทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณมีความสุขและอิ่มเอิบใจ จงท่องให้ขึ้นใจว่าชีวิตของคนเราสั้นนัก ดังนั้น เราไม่ควรเสียเวลากับการทำสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง 

8) ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ แต่ต้องรู้ข้อจำกัดของตัวเอง 

การทำกิจกรรมที่คุณชอบ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นกีฬา การเล่นดนตรี หรือการท่องเที่ยวจะทำให้คุณพึงพอใจ และมีความสุข แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรทำสิ่งต่างๆอย่างสุดโต่งจนเกินไป เพราะนั่นจะทำให้คุณหมดสนุกและอาจทำให้คุณเครียดอีกด้วย

ดังนั้น จงทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเหมาะสมไม่มากหรือน้อยจนเกินไป กล่าวคือ การเดินทางสายกลางเป็นสิ่งที่ดีที่สุด 

9) อย่าระบายความโกรธให้ผู้อื่น 

แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากจะมีหน้าตาบูดบึ้ง หรือเป็นคนอารมณ์ร้าย ดังนั้น เมื่อคุณรู้สึกโกรธหรือโมโหสิ่งใดก็ตาม อย่าระบายอารมณ์ของคุณกับผู้อื่น เพราะมันจะทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบไปด้วย

ความโกรธเปรียบเสมือนวงล้อแห่งไฟ และเมื่อคุณผลักวงล้อนี้ไปยังผู้อื่น มันจะเผาผลาญและแสดงพลังต่อผู้ที่อยู่รอบข้าง

เพราะฉะนั้น หากคุณเริ่มหงุดหงิดให้พยายามเบี่ยงเบนอารมณ์และระงับความรู้สึกนั้น โดยการคิดถึงสิ่งดีดี ๆ คุณอาจเดินออกไปข้างนอกเพื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ตึงเครียดนั้น สูดลมหายใจลึกๆ จนกระทั่งความโกรธนั้นหายไป 

10) อย่าเสียเวลากับสื่อที่ไร้สาระ 

สังคมทุกวันนี้เต็มไปด้วยสื่อที่ไร้สาระ ยกตัวอย่างเช่น รายการทางโทรทัศน์ส่วนใหญ่ออกอากาศละครน้ำเน่าและเกมโชว์ที่เน้นแต่ความตลกโปกฮา คลื่นวิทยุมักเปิดเพลงที่มีเนื้อหาด้านลบ

เช่น เพลงอกหัก หลงรักคนมีเจ้าของ หรือเพลงที่มีเนื้อหาล่อแหลม สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจของคุณหม่นหมองและเป็นการยั่วยุให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบอีกด้วย ดังนั้นเพื่อให้จิตใจของคุณมองโลกในแง่บวก 

คุณควรเลือกเสพข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์และไม่ควรติดตามหรือเสียเวลากับสื่อที่ไร้สาระ 

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand 

(Source: http://expandedconsciousness.com/2015/08/09/10-tools-to-live-a-happy-life/

 

 

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save