ในยุคนี้ กระแสของการเป็น Freelance หรือการทำงานอิสระ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่ไฟแรงเมื่อเรียนจบมา มักอยากเป็นนายตนเอง อยากเป็นเจ้าของธุรกิจโดยเร็ว เพราะเห็นว่างานไม่ประจำทำเงินกว่า พอเห็นเทรนด์อะไรน่าทำก็กระโจนเข้าใส่ตามๆกัน เพราะคิดว่าเรียนมาเยอะ ความรู้ระดับปริญญาคงเป็นอาวุธที่ดีได้ แต่หากทำไปด้วยความคิดว่าจะได้อย่างเดียว ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินเก็บของตัวเองทั้งหมดใน 3-5 ปีแรก
เมื่ออาวุธเดิมที่มีใช้ไม่ได้ผล จึงเกิดกระแสที่สอง คือ การเข้าสัมมนาฝึกอบรม เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ทันสมัยต่อยอด และอาจได้แถมเคล็ดลับดีๆมาช่วยเร่งผลลัพธ์ให้ความสำเร็จนั้นง่ายขึ้น จึงเกิดการตื่นตัวเห็นคนรุ่นใหม่นิยมไปเข้าสัมมนาอบรม บางคนก็หมดเงินไปมากมาย แลกกับสิ่งที่ได้มาคือความรู้ที่ท่วมท้นไปหมด แต่กลับไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ในชีวิตได้อย่างที่ต้องการ นั่นเป็นเพราะอะไร ?
เครดิตภาพจาก https://dribbble.com/shots/1442129-Learning-Pyramid-Infographic
จากภาพ “ปิรามิดแห่งการเรียนรู้” ทำให้เห็นว่าการเรียนในห้องเรียน จะไม่สามารถทำให้ความรู้ถูกจดจำหรือคงอยู่ได้นาน ไม่ว่าจะเป็นการฟังบรรยาย การอ่าน การดูคลิป ดูการสาธิต เพราะการเรียนรู้เหล่านั้นเป็นเพียง “ความรู้มือสอง” เท่านั้น
ในชีวิตจริง ความรู้กว่า 90% ที่เรียนมา อาจจะไม่ถูกนำไปใช้เลย ไม่นานเราจึงลืมไปหมด จากแผนภาพนี้ เมื่อได้เรียนอะไรมาก็ตาม สิ่งแรกที่ควรทำคือ การนำไปฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง และนำไปสอนผู้อื่นต่อ เพื่อให้ความรู้นั้นฝังลงไปในตัวเราอย่างแท้จริง
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราต้องการ เพื่อที่จะก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในชีวิตก็คือ “ทักษะ” ซึ่งจะเป็น “ความรู้มือหนึ่ง” ที่มาจากตัวเรานั่นเอง
คำถามต่อมา ในบรรดาความรู้และทักษะอันมากมาย อะไรคือทักษะสำคัญ ที่เราต้องการในการทำงานและทำธุรกิจ ?
“ความเก๋า” คือ ทักษะขั้นเทพ ที่จะสร้างความสำเร็จให้กับการงานและธุรกิจ
แม้เราจะฉลาดแค่ไหน มีความรู้ระดับอัจฉริยะ กวาดปริญญามาไม่ว่ากี่ใบ ก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จในชีวิต เพราะความรู้ในระบบการศึกษา อาจให้ในเรื่องของ เทคนิค วิธีการในการทำงาน แต่สิ่งที่ไม่มีโรงเรียนใดที่สอนได้คือ “ความเก๋า”
“ความเก๋า” นั้นมาจากประสบการณ์เชิงลึก เป็นองค์ความรู้ที่ถูกถ่ายทอดและสั่งสมมาอย่างยาวนาน เฉพาะคนที่คร่ำหวอดในวงการทำงานนั้นๆเท่านั้น ที่เรียกว่า Tacit Knowledge หรือความรู้ฝังลึก และคงจะไม่สามารถถ่ายทอดออกเป็นเสต็ปขั้นตอนได้ง่ายๆ หรือเล่าให้ใครฟังได้ในวันสองวัน
ในฐานะมือใหม่ เราควรที่จะเรียนรู้กับ “คนเก๋า” ที่เป็นนักปฏิบัติจริงด้วย ไม่ใช่เชื่อถือแต่ “นักคิด” หรือคนที่มีหลักการดีทางทฤษฎีอย่างเดียว
คนที่เก๋าไม่ใช่คนอัจริยะ ไม่ใช่ว่าผิดไม่เป็น แต่ทุกครั้งที่ตัดสินใจผิดพลาด แม้จะถึงขั้นต้องล้มลงไป ด้วยเวลาเพียงไม่นาน กลับมายืนหยัดได้ใหม่เสมอ และเค้าพร้อมที่จะเรียนรู้ที่จะไม่ผิดซ้ำสอง และการยืนขึ้นมาครั้งใหม่ก็จะแกร่งกว่าเดิม เป็นเพราะเค้าไม่ยึดติดกับแบบแผนเดิมๆ แต่ให้ความสำคัญกับการปรับตัวมากกว่า ดังนั้น “คนเก่าแก่” ก็อาจไม่ใช่คนเก๋าเสมอไป จากนิยามนี้
อาจเป็นการยากสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่จะสะสมประสบการณ์และความเก๋าด้วยเวลาอันสั้น แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำสำหรับใครก็ตาม ที่อยากจะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในธุรกิจหรืองานที่ตนเองสนใจ
ก่อนจะออกท่องยุทธภพ ลองใช้ 3 เคล็ดวิชาต่อไปนี้เพื่อ “สะสมความเก๋า” ด้วยความรวดเร็ว มันอาจย่นย่อระยะเวลาการเรียนรู้ ลดความผิดพลาด และป้องกันความล้มเหลวและความสูญเสียสำหรับมือใหม่ได้เป็นอย่างดี
1. หาโอกาส ไม่ใช่หางาน
สำหรับคนที่กำลังอยู่ในวัยค้นหาตนเอง อย่าเพิ่งไปตกหลุมกับงานที่ให้รายได้ดีๆ ให้ลองตรวจสอบความรักและความถนัดของตัวเองก่อน เมื่อเรารู้ว่าเราอยากทำงานอะไรในชีวิตข้างหน้า แม้ว่าเราจะไม่มีความรู้ ไม่มีทุน แต่เมื่อเรามองหา เราจะมองเห็นโอกาสแน่นอน
หลายคนที่ทำอะไรตามกระแส เห็นเค้าทำแล้วรวย ก็อยากรวยบ้าง จะไม่สามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากของวงจรธุรกิจไปได้ เมื่อเลิกล้ม ก็คือความล้มเหลว
การที่เราเลือกทำสิ่งที่รักและถนัด จะทำให้เราอยู่กับงานนั้นได้นาน แม้ว่าอาจจะยังมองไม่เห็นความสำเร็จอันใกล้ เราก็จะไม่ท้อแท้หรือเลิกไปซะก่อน นั่นแหละจุดเริ่มแห่งความสำเร็จ
2. ถ้าหาโอกาสไม่ได้ ก็สร้างมันซะ
หลายๆครั้ง โอกาสก็ไม่ได้หาง่ายๆ แต่เราอาจจะ “สร้างโอกาส” ขึ้นได้ด้วยตัวเอง ลองเสนอตัว “ทำฟรี” ดูบ้าง ของฟรีใครก็ชอบ ปฏิเสธยากเพราะมีแต่ได้ไม่มีเสีย ดังนั้นหากเราเอาแรงและเอาเวลาบางส่วนเข้าแลก เราจะได้โอกาสนั้นโดยไม่ยาก
นักธุรกิจระดับโลกหลายคน เริ่มต้นชีวิตด้วยการเข้าไปของานค่าตัวถูกๆทำ เพื่อเรียนรู้กลยุทธ์ธุรกิจแบบอินไซด์จากมือเก๋า แล้วเขาก็จะขยันและตั้งใจทำอย่างเต็มที่สุดความสามารถ เพื่อเรียนรู้ให้มากที่สุด
เมื่ออยู่ในธุรกิจนั้นแล้ว ถึงจะเริ่มมองเห็นจุดแข็งจุดอ่อน ซึ่งก่อนนี้มองไม่เห็น แล้วจึงค่อยออกมาเริ่มธุรกิจของตนเอง ทำให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว การที่เราเข้าไปสัมผัสธุรกิจนั้นจริงๆ ก็อาจจะบอกได้ว่า จริงๆแล้วเราไม่ได้ชอบ หรือไม่ได้สนใจมันจริงๆก็เป็นได้ แบบนี้ถ้าจะเลิกหรือถอยออกมาก็ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะเรายังไม่ได้ลงทุนอะไรไป
อยากประสบความสำเร็จในธุรกิจอะไร อย่าเพียงวิเคราะห์จากภาพภายนอกที่เห็น แล้วรีบทุ่มเทเงินลงทุนกระโจนไปเพียงเพื่อลองทำ
แต่จงแอบเข้าไปทำก่อน เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง และจากคนที่อยู่ในธุรกิจนั้นๆ นั่นจึงเป็นการสะสม “ความรู้มือหนึ่ง” อย่างแท้จริง
3.เรียนรู้จากยอดฝีมือเท่านั้น
ความเก๋าที่เราต้องการ คงไม่ใช่มาจากใครก็ได้ หากจะย่นย่อความสำเร็จ จาก 20 ปีให้เหลือสัก 5 ปี ดังนั้น จงใช้เวลาในการค้นหาอาจารย์ และต้องเลือกเฟ้นหายอดฝีมือในตำนานคนนั้นให้เจอ เมื่อเจอแล้วให้คิดอุทิศตัวสัก 3 ปี ไปฝากตัวเป็นศิษย์ก้นกุฏิ สะสมเคล็ดวิชาความเก๋าระดับเทพเข้ามาไว้ในตนเอง
การที่เป็นศิษย์มีครู หากขยัน ซื่อสัตย์ อดทน มักจะได้รับโอกาสดีๆจากครูเสมอ ทั้งคอนเนคชั่นและสายสัมพันธ์ที่อาจารย์ได้สั่งสมมา จะเป็นฐานต่อยอดงานของเราได้อย่างดี แล้วโอกาสใหญ่ๆ ก็จะเข้ามาโดยไม่คาดหมาย เผลอๆจะได้แจ้งเกิดเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปโดยไม่ได้ตั้งตัว
อย่าคิดว่าการเรียนรู้ คือการอ่านหนังสือ หรือไปอบรมอย่างเดียว แต่การเข้าไปขลุกหรือคลุกคลีกับคนเก่งในธุรกิจ เราจะได้รับการถ่ายทอดสิ่งที่ไม่ได้บอกไว้ในตำรา
จนกระทั่งเราได้ประสบการณ์ที่ตกผลึกมาเอง และนี่ต่างหากที่เรียกว่า “เคล็ดลับ” ที่แท้จริง