5 เทคนิคทำให้คุณเป็นที่รักของทุกคนในทีม

ตั้งใจอ่านบทความนี้ให้ดีๆ นะครับ! เพราะนี่คือวิธีที่จะทำให้คุณ กลายเป็นที่รักของคนรอบข้างได้อย่างง่ายดาย

 และที่สำคัญมันทำจะให้ตัวคุณเอง ได้ค้นพบด้วยว่า… ภาษารักของคุณคืออะไร

====

คุณเคยมีคำถามแบบนี้กับตัวเองหรือเปล่า?

“ทั้งๆ ที่คุณก็แสดงออกถึงความใส่ใจต่อคนที่คุณรักแล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความรักจากคุณเลย!” 

ถ้าเคย… บทความนี้จะทำให้คุณรู้ว่า… มันเกิดจากอะไร และคุณควรจะทำอย่างไร

ถ้าไม่เคย… บทความนี้ จะช่วยให้คุณรู้เทคนิค ที่จะทำให้คุณ มัดใจผู้คนได้ง่ายมากๆ

====

ผมมีคำถามง่ายๆ 1 ข้อมาถามคุณครับ

ระหว่างคน 2 คน คนที่ 1 เขาจะให้ในสิ่งที่ “คุณต้องการ” เสมอ
กับคนที่ 2 ที่ มักจะให้ ในสิ่งที่เขา “คิดว่ามันน่าจะดี” กับคุณเสมอ

คุณรู้สึกดี และชอบคนไหนมากกว่ากัน?

ผมเชื่อว่าคำตอบของคุณก็ต้องเป็น  “คนที่ 1” ใช่ไหม

ถ้าคุณตอบว่า “ใช่” เรามาเรียนรู้กันเลยครับว่า 5 เทคนิคที่จะช่วยให้คุณ เป็นที่รัก และเอาชนะใจของผู้คนในทีมคืออะไร

====

1. พูดชื่นชม และยกย่อง

หมั่นพูดเพราะๆ คอยหยอดคำหวาน แค่นี้ก็ทำให้คนบางคนใจละลายได้แล้ว

“ตัวเองน่ารักจังเลย” “ขอบคุณมากๆ เลยนะ… น่ารักที่สุด” “ถ้าไม่ได้คุณช่วยเอาไว้… ฉันคงแย่แน่ๆ” “วันนี้คุณดูสวย/หล่อ มากๆ เลยนะครับ”

“ผม/ฉัน รู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของคุณจากใจจริง” ฯลฯ
ใช้ปิยวาจา ในเวลาที่เหมาะสม ด้วยถ้อยคำที่กลั่นมาจากใจ ใครๆ ก็จะชื่นชอบในตัวคุณครับ

====

2. คอยช่วยเหลือ และสนับสนุนเขา

การหยิบยื่นการสนับสนุน เป็นสะพานเชื่อมหัวใจของผู้คนได้เป็นอย่างดีครับ เมื่อคุณเห็นเขากำลังทำงาน หรือทำภารกิจอะไรอยู่ สอบถามเขาสักนิด หยิบยื่นน้ำใจ และความช่วยเหลือไปให้

ที่สำคัญคือ การสนับสนุนนี้ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ๆ ก็ได้ เพราะแม้การสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ ก็ล้วนมีคุณค่าทางจิตใจทั้งสิ้น

และการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ อย่างต่อเนื่อง…. ก็อาจมีผลต่อใจเขามากกว่า การหยิบยื่นของใหญ่ๆ เพียง 1 ครั้งนะครับ

====

3. มอบของขวัญ พิเศษให้กับเขา

แอบมีของขวัญเล็กๆ ไปเซอร์ไพรส์เขา ไปไหนมาไหน มีของฝากติดไม้ติดมือมาบ้าง ทำให้รู้ว่าคุณยังคิดถึงเขาอยู่

และทุกๆ ครั้งที่เขาหยิบเอาของขวัญของคุณขึ้นมา เขาจะคิดถึงคุณครับ ฝากเยอะๆ ฝากบ่อยๆ คุณจะไปอยู่ในใจเขาอย่างรวดเร็ว 

====

4. มอบช่วงเวลาที่มีคุณภาพให้แก่เขา

แบ่งเวลาคุณภาพให้กับเขา มอบเวลาของคุณเพื่ออยู่กับเขาอย่างเต็มที่เต็ม 100

ใช้ช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน อาจเป็นการทำกิจกรรมเพื่อสังคม ใช้เวลาเพื่อดูหนังกันอย่างอิ่มเอม หรือการนั่งลงและพูดคุยกันแบบเปิดอก พูดคุยกันอย่างเป็นกันเองและสนุกสนาน ทำให้ช่วงเวลาที่ได้ใช้ไปด้วยกันนี้ เป็นช่วงเวลาที่มีคุณภาพ เป็นช่วงเวลาที่ดี และน่าจดจำ

====

5. สัมผัส โอบกอด ทำให้เขารู้ว่าคุณอยู่ข้างๆ เขา

การสัมผัส และการโอบกอด เป็นอีก 1 วิธีการการแสดงออกถึงความรักที่น่าทึ่งนะครับ

บางคนพูดอะไรมากมายเป็นร้อยเป็นพันคำ กลับทำทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอบอุ่นได้ไม่เท่าการโอบกอดเพียงไม่กี่นาที

คุณอาจสวมบทบาทเป็นหมอนวดแผนไทยชั่วคราวทำการบีบนวดผ่อนคลายให้เขา หลังจากที่เขาต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาทั้งวัน…. แค่นี้คนถูกนวดก็ฟิน และรักคุณจะตายแล้ว(ควรทำกับคนเพศเดียวกันเท่านั้นนะครับ) 

====

และนี่ครับ คือ 5 เทคนิคง่ายๆ ที่จะทำให้คุณเป็นที่รัก และชนะใจผู้อื่นได้ทันที

แต่!!!.. ผมยังมีข่าวดี มากกว่านี้อีก!

ข่าวดีก็คือ…. เพื่อที่จะเป็นที่รัก และเอาชนะใจผู้คน
คุณไม่จำเป็นต้องทำ ครบทั้ง 5 ข้อที่ผมแบ่งปันนี้ก็ได้!

เพียงคุณรู้ว่า เขาคนนั้น เป็นคนที่มีภาษารักแบบไหน จากภาษารักทั้ง 5 ภาษา
(จากหนังสือ The 5 Love Languages โดย Gary Chapman)

ภาษารักแบบที่ 1 – Words of Affirmation การใช้คำพูดชื่นชม
ภาษารักแบบที่ 2 – Acts of Service การแสดงออกถึงการบริการ
ภาษารักแบบที่ 3 – Receiving Gifts การได้รับของขวัญ
ภาษารักแบบที่ 4 – Quality Time การได้ใช้เวลาคุณภาพ
ภาษารักแบบที่ 5 – Physical Touch การสัมผัส

ซึ่งแต่ละคน จะมีภาษารักที่รู้สึกสำคัญของตัวเอง 1 หรือ 2 ภาษา และมีภาษารักที่ไม่สำคัญอยู่ด้วย

====

ตัวอย่างเช่น ตัวผมเอง เป็นคนที่มีภาษารักในแบบที่ 2 (Acts of Service) เยอะมากๆ และ ภาษารักแบบที่ 3 (Receiving Gifts) เป็นรูปแบบที่ผมให้ความสำคัญน้อยที่สุด

ดังนั้น หากใครที่มาช่วยงานผม หรืออาสามาสนับสนุนในภารกิจ หรืองานที่ผมทำอยู่ ผมจะรักคนเหล่านี้มากๆ มากกว่าคนเอาของขวัญมาให้ แต่ไม่ได้ช่วยเหลือหรือสนับสนุนอะไรเลย

และในขณะเดียวกัน ผมก็จะเป็นคนที่ชอบอาสาไปช่วยงานผู้อื่นอยู่เป็นประจำ เพราะมันคือภาษารักที่ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1

เมื่อเราทำให้คนในทีมรักเราได้แล้ว มาลองฝึกฝนวิธีทำให้ลูกน้องร่วมมือกับเราอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน คลิกอ่านที่นี่

====

ภาษารักของคุณคืออะไร?

คุณจะลองสังเกตตัวเองดูก็ได้นะครับ ว่าตัวคุณ มีภาษารักแบบไหน?
และคนที่คุณรักเขาให้ความสำคัญกับภาษารักแบบไหน?

เพราะเมื่อคุณได้ให้ในสิ่งที่ตรงกับภาษารักของเขามากที่สุด เขาจะรักคุณอย่างง่ายดายครับ

ขอให้คุณมีความสุข และสมหวังในความรักนะครับ 

หนึ่งทักษะสำคัญที่ทำให้คนรักและเคารพคุณก็คือ ทักาะการบริหารอารมณ์ ผมขอแนะนำหลักสูตรสำึัญสำหรับผู้นำยุคใหม่ Emotion Intelligence คลิกดูรายละเอียดที่นี่

บทความโดย อ.กิตติ ไตรรัตน์ 

Self – Leadership Coach


Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962

 

9 วิธีเพิ่มทักษะการฟัง สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพให้คนทำงาน

การฟัง หรือ Listening ถือเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งของผู้ที่ปรารถนาความสำเร็จในชีวิต เพราะมนุษย์คนหนึ่งสามารถเริ่มต้นเรียนรู้ได้จากทักษะที่ธรรมชาติให้มาอย่างการฟังนั่นเอง

ยิ่งถ้าคุณทำงาน หรือสร้างธุรกิจด้วยแล้ว การฟังยิ่งทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เพราะหากฟังไม่ดี เกิดการเข้าใจผิดหรือตัดสินใจผิด อาจเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นได้เสมอ 

เพื่อให้ทักษะการฟังพัฒนาขึ้น “9 วิธีการเพิ่มทักษะการฟัง” ที่จะบอกในบทความนี้จะช่วยให้คุณ มีพัฒนาการด้านการฟัง และที่สำคัญ อาจกลายเป็นจิ้กซอว์ สำคัญในการสร้างความสำเร็จของคุณด้วย

====

1.เรียนรู้ที่จะฟังเสียก่อน

ผมเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด แต่เป็นสิ่งที่เราอาจลืม หรือไม่ได้นึกถึงมากที่สุด นั่นคือ จงเริ่มต้นที่การเรียนรู้ที่จะฟังเสียก่อน เราฟังเพื่ออะไร เพื่อที่จะได้ถอดรหัสของเสียงเหล่านั้นกลายเป็นข้อมูลเพื่อการนำไปใช้ เช่น ฟังการสอน  ฟังวิธีการในการทำอาหาร เสียงช่วยให้เราถอดรหัสได้ง่ายเพิ่มขึ้น

====

2.คิดตามเสมอที่คุณฟัง

อย่าฟังเรื่องใดๆแบบปล่อยผ่าน แต่จงฟังอย่างตั้งใจ และพยายามตรองเรื่องที่เราฟังไปพร้อมๆกับเสียงที่ได้ยิน การที่เรานึกถึงสิ่งเหล่านั้นไปด้วย จะช่วยให้สมองได้รับการสนับสนุนให้กระตุ้นความคิดในเรื่องนั้นๆอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ และมันจะกลายเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับคุณ

====

3.ทวนความเป็นช่วงๆ 

เพื่อให้การจดจำในสิ่งที่คนอื่นพูด เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หากคุณสนทนากับบุคคลดังกล่าวอยู่ ลองเปลี่ยนเป็น การพูดสลับออกมาจากที่คุณฟังด้วย โดยพูดในเรื่องที่ผู้พูดคนนั้นได้ถ่ายทอดบทความออกมา ผมมักทำแบบนี้อยู่เสมอๆ และเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก คือผมสามารถจดจำเรื่องต่างๆได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากเลยครับ

====

4.ฝึกสมาธิเป็นประจำ

อย่าดูเบาในเรื่องของสมาธินะครับ มีงานวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์ และด้านจิตวิทยาทั่วโลกมากมาย ที่สนับสนุนให้เรารู้ว่า การฝึกสมาธิเป็นประจำอย่างน้อย 15 นาทีทุกวัน สามารถพัฒนาขีดความสามารถด้านความจำของคุณได้อย่างมาก ดังนั้นเมื่อมีการค้นพบเทคนิคง่ายๆอย่างนี้แล้ว ก็อย่ารอช้า ฝึกสมาธิเลยครับ หรือเลือกเข้าคอร์สการอบรมเรื่องโยคะก็ได้

====

5.ลองฟังเสียงธรรมชาติและแยกเสียงดู

ผมว่าเทคนิคข้อนี้ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่ สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่ฝึกฝนทักษะในเรื่องของการฟังอยู่ไม่น้อย นั่นคือ คุณลองหาโอกาสในการไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะหากสถานที่นั้นเป็นสถานที่แบบธรรมชาติ เพื่อที่ว่า ผมอยากให้คุณลองฟังดูเสียของธรรมชาติ เสียงต้นไม้ เสียงลมพัด หรือเสียงน้ำตกที่ไหลรินอย่างอ้อยอิ่ง ตามลำธารต่างๆ เป็นเรื่องเหลือเชื่อว่า ถ้าเราสามารถฟังและแยกเสียงเหล่านั้นได้ดี จะมีผลต่อประสิทธิภาพในการฟังอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว

====

6. เข้ารับการอบรมเรื่องการฟัง 

อย่าคิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นนะครับ หากคุณมีปัญหาว่า ไม่สามารถเข้าใจสารที่เจ้านายสั่งงานคุณเป็นประจำ หรือรู้สึกว่าตนเองนั้นค่อนข้างมีสมาธิสั้นในการฟังแล้ว จงเริ่มเปลี่ยนแปลงวิถีของตนเองอย่างง่ายๆด้วยการเรียนรู้ทักษะการฟังที่ถูกต้อง จากวิทยากรที่มากด้วยความสามารถอย่างนี้จะดีกว่า การเรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญ ช่วยให้คุณไม่ต้องเริ่มต้นทักษะการฟังจากศูนย์

ผมมีหลักสูตรสอนเรื่องการสื่อสารและการฟัง สำหรับคนทำงานในองค์กร ในชื่อหลักสูตร Executive Communication คลิกดูรายละเอียดที่นี่

====

7.จดด้วยทุกครั้งที่คุณฟัง

สิ่งหนึ่งที่ผมนั้นชื่นชอบมากๆ เวลาเข้าไปฟังการอบรมหรือสัมมนานั่นคือ ยิ่งถ้าเรานั้นฟังมากเท่าใด สิ่งที่ตามมาคือปริมาณของข้อมูลที่ดีๆอาจล้นทะลัก จากคลังสมองของเรา ทำให้เราพลาดในการเลือกใช้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว อย่ารอช้า เตรียมสมุดจดไปสักเล่ม และบันทึกเรื่องราวต่างๆไปด้วยเสมอในระหว่างที่คุณฟัง การทำอย่างนี้จะทำให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องของข้อมูล ที่เกินกว่าจำนวนที่คุณรับรู้ได้อย่างแน่นอน

====

8. บันทึกผลของการฟังไว้บ้าง

หากเป็นไปได้ ผมแนะนำว่า คุณควรจดบันทึกผลของการฟังลงในสมุดเสียหน่อย เช่นวันนี้ฟังเรื่องอะไร และสามารถฟังได้นานกว่าปกติมากน้อยแค่ไหน ผมว่าการทำอย่างนี้ช่วยให้เราเห็นพัฒนาการและความก้าวหน้าของการฟังได้ชัดเจนขึ้นมากเลยนะครับ

====

9.เชื่อมั่นว่าสามารถพัฒนาทักษะด้านการฟังได้

เทคนิคข้อที่เก้านี้ อาจเป็นเทคนิคที่หลายๆคนมองข้าม หรืออาจเกิดความไม่มั่นใจว่า มันจำเป็นจริงหรือ ผมยังจำได้ตอนที่ผมเริ่มฝึกทักษะการฟังใหม่ๆ และสามารถฟังเรื่องราวของครูผู้สอนได้อย่างต่อเนื่องเกินกว่า 1 ชั่วโมง ในตอนนั้นผมคิดเสมอว่า มนุษย์เราจะสามารถฟังอะไรได้ต่อเนื่องยาวนานขนาดนั้นได้หรือไม่ ซึ่งท้ายที่สุดผมตัดสินใจว่า ผมต้องฟังอะไรได้ยาวกว่านั้น และเมื่อผมเชื่อ! ในที่สุดผมก็ทำได้ และนั่นควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณด้วยเช่นกัน

====


เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ 9 วิธีการอย่างง่ายๆในการเพิ่มทักษะด้านการฟัง ที่เราสามารถนำแนวทางข้างต้นต่อไปนี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตการทำงานของเราได้จริง และถ้าเราหมั่นฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ผมมั่นใจว่า ทักษะด้านการฟังของคุณจะต้องดีขึ้นอย่างมากอย่างแน่นอนครับ

ฝึกฝนทักษะการฟังให้เข้มข้นเพิ่มขึ้นกับ Active Listening ทักษะการฟังที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้คนในทีมคลิกที่นี่

บทความโดย CEO เรือรบ – ผู้ก่อตั้ง Learning Hub Thailand / ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาภาวะผู้นำ

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962

 

แนวทางการทำงานร่วมกับคนที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอ

แนวทางการทำงานร่วมกับคนที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอ

เวลาทำงานร่วมกันก็ย่อมจะต้องมีการแสดงความคิดเห็น แล้วในทุกองค์กรก็มักจะมีคนที่เสนอความคิดเห็นที่มีเหตุผล เป็นประโยชน์ต่องาน

แต่ในขณะเดียวกันก็จะมี “คนเก่งจอมมั่น” ที่เชื่อว่าตัวเองถูกเสมอ แม้ว่าจะเคยนำสิ่งที่เขาเสนอไปปฏิบัติจริงแล้วไม่เวิร์คมาแล้วก็ตาม

====

นี่คือสถานการณ์ที่ต้องรับมือด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะกับหัวหน้า เพราะถ้าทำตามที่เขาแนะนำตลอดก็อาจส่งผลลบต่อทีมและงานในหลาย ๆ ด้าน แต่ถ้าไม่ทำตามคำแนะนำก็อาจทำให้คนนั้นรู้สึกว่าความภาคภูมิใจในตัวเองถูกทำลายจนอาจจะไม่เสนอไอเดียที่เป็นประโยชน์ต่อไป

ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะปวดหัวเวลาทำงานร่วมกับ “คนเก่งจอมมั่น” แต่ก็มีวิธีที่สามารถช่วยป้องกันปัญหาที่ชวนเหนื่อยใจลักษณะนี้ได้ และยังทำให้เกิดผลงานที่เป็นรูปเป็นร่างและมีประสิทธิภาพตามมาได้อีก ด้วยวิธีต่อไปนี้
====

หาต้นตอของความเก่งและมั่นให้เจอ

คนเราจะเก่งและมีความมั่นใจจากหลายเหตุผล แต่เหตุผลที่พบบ่อยนั้นเกิดจากความสำเร็จในการทำงานครั้งก่อน ๆ หลังจากที่เคยแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจจนเกิดผลลัพธ์ที่ดีมาแล้วทำให้ครั้งต่อ ๆ ไป เขาก็จะพยายามรักษาความสำเร็จเดิมเอาไว้ด้วยการแสดงออกว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้องแน่นอน

สิ่งที่คุณสามารถทำได้คือควบคุมบทสนทนาให้เป็นไปอย่างราบรื่น และปราศจากการโต้แย้งอย่างรุนแรง ลองพยายามดึงจังหวะ ดึงอารมณ์ของผู้เข้าร่วมประชุมไม่ให้พุ่งสูงจนเกินไป

ถ้ามีคนน็อตหลุดขึ้นมาเพราะตกลงกันไม่ได้จริง ๆ ก็อาจต้องหาโอกาสประชุมแยกนอกรอบเพื่อพูดคุยปรับความเข้าใจ และปรับมุมมองให้เข้าใจกัน อย่างน้อยก็จะรักษาความมั่นใจของอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้เขารู้สึกว่าตัวเองทำพลาดหรือหมดประโยชน์ต่อทีม
====

เปิดโอกาสให้ผู้อื่นมีส่วนในการแสดงความคิดเห็นบ้าง

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ สิ่งสำคัญที่ต้องทำเป็นประจำคือการเปิดกว้างให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างรอบด้าน นั่นคือการบอกทั้งข้อดีและข้อเสียในแต่ละประเด็นอย่างตรงไปตรงมา

การให้คนในทีมมีส่วนร่วมและช่วยกันประเมินมุมมองของงานอย่างหลากหลายจะก่อให้เกิดความคิดที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจครั้งสำคัญ ๆ แล้วยังทำให้แต่ละคนมีความมั่นใจโดยที่ไม่เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นมาจนทำลายบรรยากาศและผลของการทำงานอีกด้วย
====

เสริมสร้างบรรยากาศให้คนอยากฟังและอยากแสดงความคิดเห็น

เมื่อต้องทำงานกับคนที่เก่งและมั่นมาก ๆ อาจส่งผลให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกว่าคุณค่าของตนเองลดลงจนไม่กล้านำเสนอความคิดเห็นที่แตกต่าง

แนวทางแก้ไขปัญหานี้ คือ เมื่อต้องประชุม แสดงความคิดเห็น สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือการเป็นผู้ฟังที่ดีและโทนเสียงในการพูด ทั้งสองอย่างนี้ต้องมาควบคู่กันจึงจะสามารถลดปัญหานี้ลงได้

เพราะทุกคนล้วนมีมุมมองเป็นของตนเอง และทุกมุมมองต่างมีความสำคัญ โทนเสียงเวลาแสดงความคิดเห็นมีผลต่อความรู้สึกของผู้ฟัง ว่าจะทำให้ผู้ฟังคล้อยตามได้มากแค่ไห

ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย คนอื่นจึงจะกล้าแสดงความคิดเห็นออกมาแล้วจะไม่มีใครรู้สึกอายในความคิดเห็นของตนเอง

และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ท้ายที่สุดทุกคนจะกล้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา จะเกิดความความไว้วางใจซึ่งกันและกัน จนการทำงานราบรื่นในท้ายที่สุด

ยังมีเทคนิครับมือกับคนที่คิดว่าตัวเองถูกที่มักจะชอบวีนเหวี่ยงใส่คนอื่นด้วย อ่าน สื่อสารกับเพื่อนร่วมงานขี้วีนอย่างไรให้ได้ผล คลิกที่นี่

====

เรียบเรียงจาก How to Work with Someone Who Thinks They’re Always Right โดย Ron Carucci and Jarrod Shappell จาก Harvard Business Review 26 มิถุนายน 2019

การทำงานร่วมกับคนที่แตกต่างหลากหลายมี Mindset และทักษะมากมายที่คุณสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ ขอแนะนำหลักสูตร Team Communication & Collaboration คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่

เรียบเรียงโดย

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962

5 วิธีฟื้นคืน จากวิกฤตชีวิต

ยากเหลือเกินที่จะยิ้มและใช้ชีวิตได้อย่างปกติ หากต้องเผชิญกับความท้อแท้สิ้นหวังจากสถานการณ์ต่าง ๆ 

ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตด้านการเงิน การตกงานกะทันหัน การถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ  หรือความสัมพันธ์ที่ไปไม่รอด

การสูญเสียคนรักอย่างกะทันหัน หรือความเจ็บป่วยเรื้อรังของญาติผู้ใหญ่

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่ใช่หรือเปล่า 

====

ซ้ำร้ายกว่านั้น ในยามที่ชีวิตเป็นขาลง ดูเหมือนอะไรๆก็จะเข้ามาตามซ้ำเติม

ปัญหาหนึ่งยังไม่จบ ปัญหาใหม่ๆก็เข้ามาทับถม และส่งผลกระทบถึงเรื่องอื่นต่อๆไป

คุณทำอย่างไร เมื่อชีวิตอยู่ในช่วงวิกฤต

====

   ในช่วงเวลาแบบนี้คุณจะพบว่า ในใจมีแต่ความกลัวและความเจ็บปวด เพราะความหวังพังทลาย  คุณรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ รู้สึกไร้คุณค่าและไม่ดีพอ รู้สึกสิ้นหวังและไม่มีกำลังใจจะก้าวเดินต่อ

สิ่งที่เกิดขึ้น อาจทำให้คุณจมอยู่ความรู้สึกย่ำแย่ และเศร้าโศกเนิ่นนาน จนกลายเป็นความซึมเศร้า ขาดกำลังใจที่จะใช้ชีวิต

คุณไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างไร ไม่ว่าใครจะมาพูดหรือปลอบโยนเท่าไหร่ ก็ไม่อาจช่วยให้คุณดีขึ้นมาได้เลย…

====

ตามกฎของจักรวาล “ทุกสิ่งไม่เที่ยงและจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอ”

ดังนั้นโชคร้ายก็จะไม่อยู่กับคุณตลอดไป ในเมื่อชีวิตมีขาลงก็ย่อมมีขาขึ้น

ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ ข่าวดีก็จะมาเยือน แล้วคุณก็จะลุกขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

แต่จะดีขนาดไหนถ้าหากเรามีวิธีที่จะทำให้ตัวเองดีขึ้นได้ในเร็ววัน

และต่อไปนี้คือ 5 วิธีที่จะช่วยคุณให้ฟื้นคืนจากวิกฤตชีวิตได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง 

====

1. ยอมรับและเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

มีความทุกข์อยู่ 2 อย่าง คือ ทุกข์ที่ทำให้คุณเจ็บปวด และทุกข์ที่ทำให้คุณเปลี่ยนแปลง

คุณจะเจ็บปวดก็ต่อเมื่อคุณต่อต้านมัน หากคุณยอมรับและพร้อมที่จะเดินไปกับมันได้ สิ่งนั้นจะนำมาซึ่งการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่สำหรับคุณ 

อย่างแรกที่คุณต้องทำก็คือ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าคุณจะไม่ชอบมันเลยก็ตาม  การดิ้นรนต่อสู้กับมัน ด้วยความคาดหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น(หรือหายไป)  จะยิ่งเสียพลังงานและเสียเวลาไปเปล่าๆ

การยอมรับจะทำให้คุณกลับมาพบความสงบในใจ และพร้อมที่จะเดินหน้าต่อในทิศทางใหม่ๆ

การปล่อยวางจะง่ายยิ่งขึ้น หากคุณ“ให้อภัย” ไม่ว่าจะเป็นกับตัวคุณเอง กับใครบางคน หรือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว

การให้อภัยจะปลดปล่อยตัวคุณจากความเครียด ความกดดัน ความกังวล ความยึดติดกับอดีตและอนาคตทั้งหลาย

การยอมรับและการอภัย จะช่วยให้ใจของคุณรู้สึกเบาสบายขึ้น เป็นอิสระจากสิ่งที่คุณยืดถือและคาดหวังว่าจะต้องเป็น แม้ว่าสิ่งภายนอกจะยังเหมือนเดิมก็ตาม

====

2. โอบกอดตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

หากคุณหมดความมั่นใจ หมดความเชื่อมั่นและศรัทธาในตนเอง แสดงว่าคุณกำลังอยากจะเป็นใครคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวคุณเอง 

ถามตัวเองว่า ฉันกำลังคาดหวังความสมบูรณ์แบบในชีวิตอยู่หรือเปล่า ลองฝึกมองอดีตที่ผ่านมาของตัวเอง จะพบว่าตัวคุณก็มีความสำเร็จเกิดขึ้นมาแล้วตั้งมากมาย

สิ่งที่คุณต้องการก็คือ การโอบกอดและยอมรับตัวเอง ในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

ระวังการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ชื่นชมความสำเร็จและมองเห็นความสวยงามของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ 

คุณคือคนธรรมดาที่สามารถทำผิดพลาดได้ มีความกังวล มีความกลัวอยู่เป็นปกติธรรมดาเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคน 

คุณไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ หรือไร้ข้อผิดพลาด คุณก็สามารถยอมรับและรักตัวเองได้

====

3. เตือนตัวเองว่า ทุกสิ่งเป็นของชั่วคราว

การก้าวข้ามที่สำคัญในชีวิต เกิดขึ้นเมื่อคุณตระหนักว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆในชีวิต ทั้งที่เป็นข้อจำกัด ความล้มเหลว ความผิดพลาด ความสูญเสีย โชคร้ายและความเสื่อมถอย เป็นเพียงของชั่วคราวเท่านั้น

และหลายครั้งมันผ่านไปแล้ว แต่ความคิดของคุณยังทำให้มันคงอยู่ ไม่ไปไหน 

ความทุกข์และความไม่แน่นอน เป็นของชั่วคราว มันไม่มีทางอยู่ยั่งยืนไปตลอดกาล

เวลาจะค่อย ๆ เยียวยาจิตใจของคุณ แม้ว่าจะต้องใช้เวลานับเดือนนับปี แต่ท้ายที่สุดมันก็จะผ่านไป

ชีวิตคือภาพยนตร์เรื่องยาวที่จะหมุนต่อไปไม่หยุดนิ่ง ฉะนั้นอย่าให้ความทุกข์แค่บางฉากบางตอนมาเปลี่ยนตัวตนที่แท้จริงของคุณไปอีกเลย 

คนที่เข้มแข็งคือคนที่ร้องไห้ได้อย่างเปิดเผย แล้วก็พร้อมก้าวต่อไปเมื่อหยาดน้ำตาเหือดแห้งลง

====

4. มองหาสิ่งที่ขอบคุณได้ ในช่วงเวลานี้

การขอบคุณ คือการเยียวยาตัวเองที่เรียบง่ายและเป็นวิธีช่วยฟื้นฟูจิตใจเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ 

ในภาวะที่กำลังจมอยู่กับตัวเองและความทุกข์ ลองมองหาสิ่งที่จะขอบคุณ ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้รอบตัว 

แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเล็กน้อยและธรรมดาแค่ไหนเราก็ขอบคุณ(ระลึกถึงคุณค่าของมัน) ได้เสมอ เช่น 

ขอบคุณที่ยังมีลมหายใจ ขอบคุณความรักจากคนรอบตัว ขอบคุณสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากเรื่องนี้

ฯลฯ 

หากเราลดการมองสิ่งที่ขาดหายไป แล้วหันมาขอบคุณสิ่งที่มีอยู่ ด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ จะพบว่าหลายๆครั้งได้มองข้ามอะไรไปบ้าง

สิ่งที่สูญเสียไป คงเอากลับมาไม่ได้ แต่จะดีแค่ไหน ที่คุณได้ค้นพบสิ่งมีค่าที่ยังอยู่กับชีวิตที่เหลือนี้ 

====

5. ยื่นมือออกไป ช่วยใครสักคน

ความท้อแท้ในชีวิต ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะคุณรู้สึกสมเพชตัวเอง แม้มันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ แต่คุณก็ทำอยู่บ่อย ๆ โดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัว

ถ้าคุณสามารถจับความคิดได้ว่า คุณเริ่มดูถูกและต่อว่าตัวเอง ให้หยุดพักจากการสนใจตัวเองชั่วคราวแล้วมองไปที่ผู้คนรอบตัว

ลองหาทางที่จะช่วยเหลือใครสักคน แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เชื่อไหมว่าการช่วยเหลือคนอื่นจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้แทบจะทันทีเลยทีเดียว 

เมื่อไหร่ที่คุณอยากได้รับการใส่ใจ ให้คุณใส่ใจผู้อื่น  จงดูแลเขาให้เหมือนกับที่คุณต้องการได้รับการดูแลด้วยจิตที่เมตตา และอ่อนโยน

 

การได้ช่วยเหลือใครสักคน จะทำให้คุณตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ที่ขังคุณไว้ในจิตใจอันโดดเดี่ยวของตัวเอง

====

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังท้อแท้สิ้นหวัง ขอให้รู้ว่า คุณไม่ได้เผชิญกับสถานการณ์นี้เพียงลำพัง

คนรอบตัวที่รักคุณ ต่างรู้สึกและได้รับผลกระทบจากความเศร้าและสิ้นหวังของคุณอยู่เช่นกัน

ยิ่งทำร้ายตัวเอง ก็จะยิ่งทำให้พวกเขาเจ็บปวดไปด้วย

ถ้านั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ ลองนำวิธีการทั้ง 5 ข้อนี้ในการพาตัวเองให้ฟื้นคืนขึ้นมาจากวิกฤตชีวิตและการงานดูสิครับ 

นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังช่วยให้ชีวิตตัวเองและคนรอบตัวดีขึ้นไปพร้อมๆ กันเลยทีเดียว 

เมื่อฟื้นคืนจากวิกฤตชีวิตได้แล้ว ขั้นต่อไปคุณน่าจะอยากพัฒนาตัวเองให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น อ่าน 5 พฤติกรรมที่คนสำเร็จจะไม่มีวันทำ คลิกที่นี่

====

บทความโดย CEO เรือรบ – ผู้ก่อตั้ง Learning Hub Thailand / ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาภาวะผู้นำ

ถ้าคุณสนใจเรียนรู้และฝึกฝนพัฒนา Mindset และทักษะของผู้นำยุคใหม่ ผมมีหลักสูตร The New Leadership Skills เพื่อพัฒนาให้คุณเป็นผู้นำที่พร้อมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่ คลิกดูรายละเอียดที่นี่

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962



4 ขั้นตอนการจัดการ เมื่อมีคนทำให้คุณโกรธ

แว่บแรกเมื่อมีใครสักคนทำให้คุณไม่พอใจ ทำให้คุณโกรธ หรือเจ็บปวด คุณคงคิดที่จะตอบโต้ หรือหาทางแก้แค้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อมใช่ไหมครับ  ผมก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

ทั้งหมดนั้นเป็นปฏิกริยาโต้ตอบอัตโนมัติของมนุษย์ ถ้าสู้ได้ก็ลุย ถ้าดูแล้วสู้ไม่ได้หรือไม่เหมาะสม ก็ผูกใจเจ็บแล้วค่อยหาทางแก้แค้นวันหลัง

สัญชาตญาณนี้มันถูกฝังอยู่ส่วนลึกสุดของสมองของเรา และคงยากที่จะปฏิเสธได้

แต่ทุกครั้งที่ผมคิดแก้แค้น ตอบโต้ หรืออยากทำเรื่องร้ายๆกับใครสักคน ผมพบว่า ความโกรธแค้นเหล่านั้นไม่ได้ลดลงไป แต่มันกลับกัดกินในใจหนักกว่าเดิม เมื่อกลับมาทบทวนผมจึงเริ่มเข้าใจว่า…

“ศัตรูที่ต้องจัดการไม่ใช่คนที่ทำให้เราเจ็บ แต่เป็นความโกรธเกลียดในใจของเราเองต่างหาก”

====

ซึ่งต่อไปนี้เป็น 4 ขั้นตอนที่ผมใช้จัดการอารมณ์โกรธและบริหารจิตใจของตัวเองเวลารู้สึกโกรธ ซึ่งผมเรียกว่า Inner Listening หรือ การรับฟังเสียงภายใน 

1.รับรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น

เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่พอใจ เรามักกระโจนไปสู่วิธีการจัดการ สมองคิดจากอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน และนั่นทำให้เราคิดไปสารพัด ถึงสิ่งไม่ดีของอีกฝ่าย ที่เราได้รับรู้มาตลอด นำไปสู่สภาวะ ยิ่งคิดยิ่งแค้น

“เมื่อไม่พอใจ ให้รับรู้อารมณ์ อย่าจมอยู่กับความคิด”

สิ่งแรกที่เราควรทำ จึงควรเป็นการกลับมารับรู้อารมณ์ของเราว่ากำลัง หงุดหงิด โกรธ ไม่พอใจมากแค่ไหน มองดูตัวเองเสมือนว่าเรากำลังดูหนังสักเรื่องหนึ่งอยู่ มองเห็นว่าตัวเอกกำลังฉุนได้ที่อยู่

การรับรู้อารมณ์อาจจะไม่ง่ายในช่วงแรก อาจฝึกจากการรับรู้ร่างกายก่อน เช่น สังเกตเห็นความร้อนผ่าวของเลือดที่สูบฉีดขึ้นหน้า รับรู้ถึงลมหายใจฟืดฟาดที่รุนแรง รับรู้อาการเกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งจะทำให้เรารับรู้ตัวเองได้ดีขึ้น

====


2. ยอมรับอารมณ์นั้น

หลายครั้งเมื่ออารมณ์ของเราขึ้น เราจะไม่ยอมให้มันอยู่ในตัวเรา เราจะระบายอารมณ์ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ระบายออกด้วยการขว้างปาข้าวของ ปิดประตูเสียงดัง บีบแตรเสียงดัง ตะโกนดังๆ แต่พฤติกรรมเหล่านั้นไม่ใช่วิธีที่ทำให้อารมณ์ลดลง

บางคนทำตรงข้าม พยายามควบคุมอารมณ์ ระงับมันด้วยการเก็บกดเอาไว้ แต่คนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นคนขี้บ่น ขี้ฟ้อง ขี้น้อยใจ เจ้าคิดเจ้าแค้น หรือไปออกอาการโวยวายกับคนใกล้ตัวแทน

เราไม่ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ เพราะอารมณ์นั้น ควบคุมไม่ได้

“ยิ่งใช้อารมณ์ มันจะยิ่งบานปลาย เราแค่ยอมรับมันให้ได้ก็พอ”

เริ่มจากขั้นที่ 1 คือ รับรู้ว่าเรามีอารมณ์ จากนั้นก็ยอมรับให้อารมณ์เหล่านั้นแสดงตัว แล้วค่อยๆเห็นมันเปลี่ยนแปลงไปเอง ตามธรรมชาติ

โอบอุ้มอารมณ์ ให้เหมือนเราอุ้มทารกน้อย ให้อยู่ในอ้อมกอด เมื่อเวลาผ่านไป อารมณ์โกรธนั้นจะค่อยๆ ลดลงเอง โดยที่เราไม่ต้องไปจัดการใดๆเลย

====


3. สำรวจความต้องการ

แม้ว่าอารมณ์ลดลงแล้ว แต่ปัญหาและคู่กรณีที่ค้างคา ยังแก้ไขไม่ได้ หลายคนพยายามแก้ปัญหา ด้วยการคิดบวก มองในด้านดีของคนๆนั้น หรือหาข้อดดีอื่นๆมาชดเชย

บางทีก็พยายามหาวิธีคิดใดๆ มาปลอบใจตัวเอง บอกกับตัวเองว่า มันคงเป็นกรรมเก่าละมั้ง เจ้ากรรมนายเวรเก่าละสิ ดวงตกมั้ง ฟาดเคราะห์ไปละกันเรา

การคิดบวก มันช่วยเราได้เพียงชั่วคราว เพราะในส่วนลึก เราก็ยังไม่โอเคอยู่ดี เราอาจหลอกคนอื่นด้วยการฝืนยิ้มได้ ทำว่าตอนนี้ชีวิตดี๊ดี แต่เราหลอกข้างในใจตัวเองไม่ได้แน่นอน

บางคนพยายามหาทางที่จะลืม ด้วยการไปหาของกินอร่อยๆ ไปช้อปปิ้ง หรือไปกินเหล้าย้อมใจให้ลืมเธอ นั่นก็ไม่ใช่วิธีทำให้ปัญหาหมดไป (ส่วนใหญ่จะเพิ่มปัญหาใหม่ๆเข้ามาด้วยซ้ำ)

“สิ่งที่แย่กว่าในการพยายามลืม คือมันจะยิ่งจำฝังแน่นขึ้นอีก”

วิธีการแก้ปัญหาขั้นที่ 3 คือ เมื่ออารมณ์ลดลงแล้ว คือการกลับมาคุยกับตัวเอง ด้วยการ “สำรวจความต้องการ” ที่อยู่ลึกๆในใจเรา

ลองหากระดาษกับปากกามานั่งเขียนทบทวนตัวเองว่า สาเหตุที่เราโกรธ ไม่พอใจ คนๆนั้นเค้าทำอะไรที่ขัดกับ “คุณค่า” ที่เรายึดถือ หรือสวนทางกับ “ความต้องการ” ในขณะนั้นของเรา

เขียนมาให้ชัดว่าลึกๆแล้ว เราต้องการอะไร และถ้าเป็นไปได้ ลองพิจารณาว่า อีกฝ่ายต้องการอะไร จากเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย

====


4. สื่อสารด้วย I Statement

หลายครั้งเมื่อเราได้กลับมาทบทวน จะพบว่า ความขัดแย้งต่างๆเกิดขึ้นเพียงเพราะเรายึดถือคุณค่าที่ต่างกัน หรือมีความต้องการที่ต่างกันนั่นเอง  

หากเรารู้ความต้องการที่ชัดเจนของเราแล้ว อย่างน้อยเราก็จะเจอทางออกจากปัญหาได้ง่ายขึ้น

ดังคำกล่าวที่ว่า “เมื่อเจอปัญหา แล้วหาทางออกไม่ได้ ให้ไปออกที่ทางเข้า” ก็คือการกลับไปย้อนดูว่าทางเข้า หรือจุดเริ่มของปัญหาคือ ความต้องการ หรือคุณค่าใด ที่ไม่ตรงกันนั่นเอง

เมื่อเรารับรู้อารมณ์ ดูแลมันได้แล้ว เราสามารถมองเห็นความต้องการของตัวเองชัดเจน ก็ถึงเวลาสำคัญ คือขั้นตอนในการสื่อสารกับอีกฝ่าย

หลายๆคนคงเคยเรียนเรื่อง เทคนิคการพูดเจรจาต่อรอง การใช้วาทะศิลป์ในแบบต่างๆ แต่ผมพบว่าเทคนิคเหล่านั้น มันจะไม่ได้ผลเลย ถ้าหากคุณไม่สามารถพูดมันออกมาจากใจที่แท้จริง

การพูดจากใจที่แท้จริง คือ “การสื่อสารที่ความรู้สึก และความต้องการของเราตรงๆ”

====

ผมจะเรียกว่า เทคนิค I Statement คือ พูดจากตัวเรา ไม่ใช่กล่าวโทษอีกฝ่าย ไม่ใช่การสื่อสารด้วยความคาดหวัง หรือบอกวิธีการที่เราต้องการให้อีกฝ่ายทำ มาดูตัวอย่างต่อไปนี้

เหตุการณ์ที่ 1: เจ้านาย ต้องการจะตักเตือนลูกน้องที่ทำงานบกพร่อง

คุณเคยคิดบ้างมั้ยกับสิ่งที่ทำลงไป ผมหวังว่าคราวหลังคุณควรจะคิดให้ถี่ถ้วนกว่านี้ (กล่าวโทษ)

ผมรู้สึกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมต้องการหาวิธีที่เราจะแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน  (I Statement)

เหตุการณ์ที่ 2: อยากจะบอกตรงๆว่า ไม่ชอบนิสัยบางอย่างของเพื่อนร่วมงาน

อย่ามาทำนิสัยแบบนี้กับฉันได้มั้ย เป็นใครก็ไม่ชอบ ทำไมไม่คิดถึงใจคนอื่นซะบ้าง (กล่าวโทษ)

ฉันรู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจ ฉันต้องการความเคารพเท่าเทียม ในฐานะเพื่อนร่วมงาน (I Statement)

เหตุการณ์ที่ 3: ภรรยา รู้สึกน้อยใจ กับบางพฤติกรรมของสามี

ทำไมต้องบ่นต้องว่าฉันตลอด ใช่สิ ฉันมันไม่ได้เป็นที่คุณหวังไว้ ฉันคงไม่ดีพอสำหรับคุณ (กล่าวโทษ)

ฉันรู้สึกเสียใจและน้อยใจ ฉันต้องการการยอมรับ และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรา (I Statement)

====

สรุปจากกรณีตัวอย่าง

การใช้ I Statement ต้องอาศัยการฝึกฝน เพราะเป็นสิ่งที่ฝืนกับนิสัยตอบโต้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นระบบอัตโนมัติของมนุษย์ 

แม้ว่าการใช้ I Statement อาจจะยังไม่รู้ว่า หลังจากนั้นอีกฝ่ายจะตอบกลับมาอย่างไร จะออกหัวหรือออกก้อย แต่อย่างน้อยมันก็เปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยในระดับที่ลงลึกมากขึ้น

ที่สำคัญที่สุดคือ มันจะไม่ทำให้อีกฝ่าย “ปกป้องตัวเอง” หรือ “โต้ตอบอย่างรุนแรง” เพราะเราช่วยลดกำแพงลงและเปิดใจตัวเองออกไปแล้วนั่นเอง


คุณคงเคยตอบโต้กับเหตุการณ์ หรือผู้คนด้วยอารมณ์ ด้วยความรวดเร็ว คุณจะพบว่าหลายๆครั้งแล้ว แทนที่มันจะดีขึ้น มันกลับยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม นั่นเป็นเพราะอะไร

“คนขาดสติ ย่อมไม่อาจคิดอ่าน ที่จะจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม”

การฟังเสียงในใจ หรือ Inner Listening ก็คือการกลับมามีสติ รู้สึกตัวและใช้ปัญญาในการใคร่ครวญตัวเอง ก่อนที่จะสื่อสารออกไป

การแก้ปัญหาได้ที่ต้นเหตุ ก็คือ เริ่มจัดการกับตัวเอง ก่อนที่จะจัดการกับคนอื่น

4 ขั้นตอนนี้ ไม่ได้ใช้เวลานาน ถ้าได้รับการฝึกฝนมาบ้าง ก็จะทำได้อย่างง่ายขึ้น

หากเพียงอ่านบทความนี้จบ อาจจะยังทำทั้ง 4 ขั้นตอนไม่ได้ทันที แต่อย่างน้อย เตือนตัวเองสักนิด ในครั้งหน้าเมื่อเราเริ่มอารมณ์ขึ้น ขอให้เราฝึกที่จะรับรู้อารมณ์ตัวเองให้ทัน

หยุดยั้งตัวเองแล้ว “ขอเวลานอก” ออกมาก่อนจะเหตุการณ์มันจะบานปลายรุนแรง

เมื่อเรามีเวลาได้อยู่กับตัวเอง การใช้เทคนิค “ฟังเสียงภายใน” ก็จะช่วยให้เราคลี่คลายสถานการณ์ในใจได้ดีขึ้นเอง และการสื่อสารหลังจากนั้น ก็จะเป็นเรื่องง่ายขึ้นอย่างมาก

Inner Listening กับ I – Statement เป็นสองทักษะที่ทุกคนสามารถฝึกฝนได้เพื่อพัฒนาความสามารถในการบริหารอารมณ์ แต่ถ้าคุณอยากพัฒนาเพิ่มเติม แนะนำการเรียนรู้เรื่อง 7 อุปนิสัยของคนที่มี EQ สูง คลิกที่นี่

บทความโดย CEO เรือรบ – ผู้ก่อตั้ง Learning Hub Thailand / ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาภาวะผู้นำ

ถ้าคุณสนใจเรียนรู้และฝึกฝนพัฒนาทักษะการบริหารจัดการอารมณ์ของคนทำงานยุคใหม่ขอแนะนำหลักสูตร   Emotion Intelligence  เพื่อพัฒนาให้คนทำงานยุคใหม่มีความสามารถที่จะบริหารจัดการอารมณ์โกรธและอารมณ์ไม่ดีอื่น ๆ ของตัวเองเพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ  คลิกดูรายละเอียด ที่นี่

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962

Categor

 

Categories EQ

10 วิธีที่ทำให้คุณเลิกนิสัยแย่ ๆ ได้สำเร็จ

คุณอาจเคยหงุดหงิดกับนิสัยแย่ๆของตัวเอง  ที่บางครั้งคุณก็รู้อยู่แกใจว่าไม่มีใครชอบ และคุณก็ไม่อยากจะมีนิสัยแย่ๆเหล่านั้นหรอก แต่ว่าคุณก็เลิกทำไม่ได้ซักที   

คุณสามารถที่จะค่อยๆ ลด และเลิกนิสัยแย่ๆของคุณได้ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามวิธีการ 10 ข้อ ที่เราแนะนำ

คุณไม่จำเป็นต้องทำทุกข้อ แต่ถ้ายิ่งทำได้หลายข้อ มันจะยิ่งเพิ่มพลังให้การละ เลิกนิสัยแย่ ๆ ของคุณได้มากขึ้น

====

1.สร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่

ถ้าคุณตั้งใจจะเลิกสูบบุหรี่แบบจริงจัง มันไม่ใช่แค่คิดว่า ถ้าหยุดสูบแล้วจะดีกับสุขภาพคุณเอง แต่คุณต้องมีทัศนคติ และความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ก่วานั้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นตัวกระตุ้นอันทรงพลังในการเลิกสูบบุหรี่

เช่น คิดเสมอว่าทุกครั้งที่ฉันสูบบุหรี่ ฉันกำลังตายผ่อนส่งอยู่ หรือ คนที่ฉันรู้จักตายเพราะมะเร็งปอด ถ้าไม่อยากตายแบบทรมาน ฉันต้องเลิกสูบบุหรี่เดี๋ยวนี้ เป็นต้น

====

2.สัญญากับตัวเอง

คุณสัญญากับตัวเอง ว่าคุณจะไม่ทำพฤติกรรมแย่ๆ อีก แต่นั่นอาจไม่พอ เพราพอเกิดความต้องการจะทำขึ้นจริง ๆ คุณอาจใจอ่อนกับตัวเอง เทคนิคที่มีพลังมากขึ้นก็คือ คุณต้องบอกเพื่อนรอบข้าง บอกคนใกล้ชิด

จงบอกให้โลกรู้ว่าคุณมีแผนจะลด ละ เลิกสิ่งที่ไม่ดี และเมื่อคุณมีความคิด หรืออยากจะไปทำพฤติกรรมแย่ๆอีก  พวกเขาเหล่านั้น คือ คนที่จะมาช่วยเตือนสติคุณ ให้กำลังใจคุณ และอยู่เคียงข้างคุณ ไม่ให้คุณกลับไปใช้ชีวิตแย่ๆแบบเดิมอีก

====

3.ระวังสิ่งกระตุ้น

อะไรคือสิ่งที่กระตุ้นให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆ เหล่านั้น คุณต้องหามันให้เจอ และคอยระวังไม่ให้คุณไปสัมผัสสิ่งกระตุ้นเหล่านั้น เช่น คุณสูบบุหรี่ก็ต่อเมื่อมีคนชวน  เห็นคนสูบบุหรี่ หรือได้กลิ่นบุหรี่

สิ่งเหล่านี้สามารถกระตุ้นสัญชาติญาณดิบของคุณ โดยที่คุณไม่สามารถหักหามใจได้  คุณจะรู้สึกหงุดหงิด และห้ามตัวเองไมได้ จงสังเกตตัวเองให้ดีว่าอะไรคือสิ่งเร้า หรือสิ่งกระตุ้น ให้คุณเลิกนิสัยแย่ๆแบบนี้ไม่ได้ซักที จากนั้นให้นำมันออกไปจากชีวิตของคุณทันที 

====

4.รู้ที่มาของพฤติกรรมแย่ๆ

อะไรคือปัจจัยหรือสาเหตุที่ทำให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุ คุณต้องหาสาเหตุนั้นให้เจอ โดยการพิจารณาตัวเอง และซื่อสัตย์กับตัวเอง

เช่น ถ้าคุณเป็นคนอ้วน เพราะชอบกินของหวาน และคุณอยากที่จะเลิกกินของหวาน เพราะรู้ว่ามันไม่ได้ดีกับสุขภาพ และทำให้คุณยิ่งอ้วน คุณต้องหาสาเหตุให้เจอว่าทำไมคุณถึงอยากกินของหวาน ชอบกินของหวานตอนไหน 

ยกตัวอย่างเช่น คุณจะรู้สึกอยากกินของหวานตอนที่คุณรู้สึกเครียด รู้สึกเศร้า หรือรู้สึกหดหู่ เพราะคุณไปผูกโยงว่าของหวานจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น เป็นต้น

====

5.หากิจกรรมอื่นทดแทน

คุณอาจชอบสูบบุหรี่ ชอบใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น หรือ ชอบกินอาหารที่ทำลายสุขภาพ เมื่อคุณเครียด หรือ ท้อแท้  คุณสามารถแก้พฤติกรรมแย่ๆเหล่านั้นได้ โดยการหากิจกรรมอื่นมาทดแทน เพื่อบำบัด ความเครียด หรือระบายความรู้สึกของคุณ

เช่น สมัครคอรส์เรียนชกมวย  ดูหนัง ร้องคาราโอเกะ  แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นกิจกรรมใหม่ๆที่หามาทดแทนนั้นควรจะมีเพื่อนหรือคนรักที่สนับสนุนคุณด้วย

====

6.มีสติกับสิ่งกระตุ้นที่อยู่รอบตัว

หลังจากที่คุณรู้แล้วว่าสิ่งไหนเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆ คุณควรที่จะระวัง และอยู่ห่างปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดสิ่งกระตุ้นเหล่านั้น 

เช่น ถ้าคุณได้ยินเสียงน้ำแข็งกระทบแก้ว แล้วทำให้คุณอยากดื่มเหล้า หรือ ได้กลิ่นควันจางๆแล้วทำให้คุณอยากสูบบุหรี่ จงมีสติ ดื่มน้ำ และหายใจเข้าออกช้าๆ คุณสามารถให้เพื่อนคุณช่วย และควรเดินออกจากสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นให้เร็วที่สุด

====

7.สร้างนิสัยใหม่ๆหลังจากเจอสิ่งกระตุ้น

มันยากมากที่จะเปลี่ยนนิสัย หรือสัญชาตญานหลังจากที่คุณทำมันมานานแสนนาน แต่คุณสามารถเริ่มนิสัยใหม่ได้ ด้วยการมีสติ และความเชื่อ คุณต้องพึงระลึกอยู่เสมอ และแข็งใจกับสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นรอบข้าง

เช่น ทุกครั้งที่คุณได้กลิ่นบุหรี่ แล้วอยากสูบบุหรี่ ให้คุณเปลี่ยนไปเคี้ยวหมากฝรั่งแทน ทำแบบนี้ทุกครั้งจนกลายเป็นนิสัยใหม่

แต่ถ้ามันเกิดข้อผิดพลาดที่คุณไม่สามารถหักห้ามใจ หรือเผลอที่จะมีหรือแสดงพฤติกรรมแย่ๆออกมา คุณควรให้อภัยตัวเอง แล้วเริ่มใหม่ให้เร็วที่สุด 

====

8.ระวังความคิดของคุณ

เพราะความคิด และความเชื่อมีผลต่อพฤติกรรม และการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆในชีวิตคุณ คุณต้องระวังความคิดคุณให้มาก  ถ้าจะมีเหตุผลหรือข้อแก้ตัวสำหรับพฤติกรรมแย่ๆ

เช่น วันนี้วันเกิดฉัน ขอเว้นวรรคสักวัน หรือ ฉันเพิ่งปิดจ็อบงานนี้สำเร็จขอให้รางวัลตัวเองหน่อย  คุณควรหยุดความคิดที่เข้าข้างตัวเอง ถ้าคุณอยากจะเลิกนิสัย หรือ พฤติกรรมแย่ๆ เหล่านั้นอย่างจริงจัง

====

9.ค่อยๆ เลิก

มันไม่จำเป็นที่จะต้องหักดิบ เลิกทันที เลิกเลย คุณสามารถค่อยๆลด และละ จนเลิกได้ เช่นถ้าคุณอยากเป็นคนตื่นเช้า แต่ปกติคุณตื่นเที่ยงตลอด คุณอาจเริ่มด้วยการตื่นตอน 11 โมง  และวันต่อไปๆ

คุณอาจเริ่มนอนให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมง และตื่นให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมง  การที่ตั้งเป้าทีละเล็กละน้อย ในแต่ละวัน มันเป็นเป้าหมายที่ทำได้ง่าย และคุณจะรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณทำมันสำเร็จในแต่ละวัน มันเป็นกำลังใจที่ดีที่ทำให้คุณไปถึงเป้าหมายของคุณได้ง่ายขึ้น และทำให้คุณเป็นคนใหม่ได้ในที่สุด

====

10.เรียนรู้จากข้อผิดพลาด

บางครั้งเราก็พลาดได้ ให้อภัยตัวเอง ล้มแล้วลุกขั้นใหม่ให้เร็วที่สุด พิจารณาสิ่งที่เกิดตามความเป็นจริง ไม่เข้าข้างใคร ยอมรับมัน และหาแผนสำรองเพื่อกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก และทุกครั้งที่มันเกิดขึ้นซ้ำ คุณจะต้องรับมือมันได้ดีกว่าเดิม

คุณต้องมีพัฒนาและเข้มแข็งขึ้น การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดคือสิ่งที่ทำให้คุณใกล้เป้าหมายมากยิ่งขึ้น

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลายคนล้มเลิกความตั้งใจกลางครันเพราะมองข้ามสิบข้อเหล่านี้ จงระวังความคิดในทำนองคนขี้แพ้  ทุกคนสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ เพียงแค่คุณใช้ความตั้งใจ ความพยายาม และแรงบันดาลใจของคุณเอง

อาจมีหลายพฤติกรรมที่คุณอยากกำจัด แต่ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าพฤติกรรมที่ทำอยู่ควรกำจัดหรือไม่  อ่าน 5 พฤติกรรมที่คนสำเร็จจะไม่มีวันทำแน่นอน คลิกที่นี่

ที่มาบทความ http://zenhabits.net/bad/

====

ถ้าสนใจการกำจัดนิสัยหรือพฤติกรรมแย่ ๆ และสร้างพฤติกรรมที่ดีให้กับตัวเองและคนในทีม ขอแนะนำหลักสูตร High Performance Leader คลิกดูรายละเอียดที่นี่

เรียบเรียงโดย 

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 094 959 2645

 

Categories EQ

3 Mindset ที่ช่วยให้การโค้ชลูกน้องมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

3 Mindset ที่ช่วยให้การโค้ชลูกน้องมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

เบื่อไหมครับกับการที่ลูกน้องกลับมาถามวิธีแก้ปัญหาเดิมซ้ำ ๆ ทั้งที่เราเคยบอกไปแล้วหลายครั้ง

เหนื่อยไหมครับกับการต้องคอยบอกคอยสอนงานลูกน้องทุกคนอย่างละเอียด  และเครียดไหมครับกับการที่ลูกน้องไม่เคยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งที่เรามั่นใจว่า ‘โค้ช’ ไปตั้งหลายรอบแล้ว

ถ้าคุณเคยประสบปัญหา 1 ใน 3 อย่างข้างต้น (หรือพบเจอทุกปัญหา) ไม่ต้องกังวลไปครับ บทความนี้มีทางออกให้กับปัญหาหนักอกที่ทำให้คุณเบื่อ เหนื่อย และเครียดกับการบริหารลูกน้องมานานหลายปี

====

โค้ชลูกน้อง หนึ่งในงานหลักของหัวหน้า

        ในการทำงานยุคนี้เราทุกคนต่างเคยได้ยินคำว่า โค้ช (Coaching) หรือ โค้ชลูกน้อง กันมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่เชื่อไหมครับว่ายังมีหลายคนที่เข้าใจคำนี้ผิดไป

เวลาที่บอกว่า “ฉันโค้ชลูกน้องแล้วนะ” บางคนหมายถึงการพูด บอก แนะนำ และสอนงาน ซึ่งทั้งหมดนี้เคยเป็นวิธีการที่โลกการทำงานยุคก่อนเรียกรวมๆ กันว่า โค้ช (เหมือนโค้ชกีฬาที่สอนและฝึกนักกีฬาด้วยการแนะนำ)

แต่ทว่าแท้จริงแล้วการโค้ช (Coaching) นั้นหมายถึง กระบวนการและทักษะการสื่อสารเพื่อกระตุ้นให้บุคคลค้นพบและตระหนักรู้ในสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเอง (Reality) เล็งเห็นเป้าหมาย (Goal) ปลดปล่อยศักยภาพของตนเองออกมาในการค้นหาทางเลือก (Options) และกำหนดวิธีการจัดการ (Will) ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่ทางออกหรือ Solution ซึ่งถือเป็นการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน

โดยการโค้ชจะใช้ทักษะหลัก ๆ 3 ทักษะ นั่นคือ

การตั้งคำถาม

การรับฟัง

การสะท้อน

นั่นหมายความว่าการโค้ชจะไม่มีการบอก การแนะนำ การพูดสอน ให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้แต่จะช่วยให้เขาสามารถคิดหาคำตอบหรือวิธีการได้ด้วยตัวของเขาเอง

====

เพราะอะไรการโค้ชถึงไม่เวิร์ค

แม้จะเข้าใจการโค้ชได้อย่างถูกต้อง และมั่นใจว่าตัวเองใช้การตั้งคำถาม การรับฟัง และสะท้อนสิ่งที่ได้ยิน ทั้งการทวนคำ การสะท้อนสิ่งที่เขาอาจจะไม่เคยเข้าใจตัวเองมาก่อน ไปจนถึงการช่วยสรุปประเด็นแล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริงก็ยังมีหัวหน้าจำนวนมากที่พบว่าการโค้ชของพวกเขาไม่ประสบผลสำเร็จตามที่ต้องการ

เรื่องนี้อาจอธิบายได้จาก Mindset หรือ ทัศนคติของการโค้ช ที่คนซึ่งทำหน้าที่โค้ชหลายคนอาจยังไม่มีหรือที่หนักไปกว่านั้นก็คือ อาจจะเข้าใจการโค้ชผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิงเลย

ก่อนจะฝึกฝนและพัฒนาทักษะ (Skills) ใดก็ตาม การกำหนดวิธีคิดให้ถูกต้องและเหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะมันอาจเป็นตัวกำหนดว่าการใช้ทักษะนั้นจะเวิร์คหรือไม่เวิร์คได้เลย

และจากประสบการณ์การโค้ชลูกน้องมานานหลายปี ตลอดจนเป็นที่ปรึกษาด้านการใช้ทักษะการโค้ชเพื่อพัฒนาลูกน้องให้กับองค์กรขนาดใหญ่ในประเทศหลายร้อยแห่ง ทำให้ผมได้ตกผลึก Coaching Mindset 3 ประการขึ้นมา ดังนี้

1.โค้ชไม่ใช่นักตีกรอบความคิด

เราอาจมีความรู้ มีประสบการณ์ที่มากกว่า สามารถบริหารจัดการอารมณ์ ความคิด และชีวิตได้ดีกว่าจนมั่นใจว่าวิธีการที่เราใช้คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว แต่ความคิดเช่นนั้นทำให้เราไม่สามารถโค้ชได้อย่างแท้จริง

เพราะในกระบวนการโค้ช เราจำเป็นต้องปล่อยวางความคิดทั้งหลายเหล่านั้นลง แล้วทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่ยืนอยู่ ณ ตำแหน่งเดียวกับเขาอย่างแท้จริง การตั้งคำถามด้วย Mindset เช่นี้จึงเป็นคำถามที่เป็นปลายเปิด และเป็นคำถามที่โค้ชเองก็ไม่รู้คำตอบมาก่อนด้วยเช่นกัน

ระวังการตั้งคำถามที่ตัวเราเองรู้หรือคิดคำตอบอยู่ในใจแล้ว เพราะนั่นจะกลายเป็นคำถามปลายเปิดแบบปลอม ๆ เช่น เคยลองทำวิธีนี้แล้วหรือยัง หรือ เธอเคยคิดบ้างไหมว่าถ้าทำแบบนั้นจะส่งผลเสียอย่างไร เป็นต้น

====

2. การโค้ชไม่ใช่การสอนงาน

อย่างที่บอกไปว่าในสมัยก่อนคนมักใช้คำว่า โค้ช กับการสอนงาน และความเข้าใจนั้นก็ฝังแน่นติดต่อกันมารุ่นสู่รุ่น จนทำให้บางที่ บางคนยังเข้าใจเช่นนั้นอยู่

การสอนงาน ก็คือการเป็นครู (Teacher) หรือ การเป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ที่ใช้ความรู้และประสบการณ์ตัวเองในการบอก แนะนำ สั่งสอน ซึ่งโดยมากจะเหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ ๆ หรือ คนที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์นั่นเอง

ส่วนการโค้ชนั่นมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคน ส่วนมากจะเหมาะกับคนที่มีความรู้หรือประสบการณ์มาพอสมควรแล้ว เพื่อที่เขาจะได้มีวัตถุดิบในการคิดและค้นหาทางเลือกใหม่ๆ ได้

ตราบใดที่ยังคิดว่าการโค้ชคือการสอน การบอก การแนะนำ การโค้ชของเราก็จะครึ่ง ๆ กลาง ๆ และขาดประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ฉะนั้นต่อให้คุณรู้หรืออยากสอนแค่ไหนก็ต้องข่มใจ และหุบปากเอาไว้เสมอ

====

3. การโค้ชอาจไม่ใช่วิธีการที่สำเร็จเสมอไป

        แม้ว่าผมจะเชี่ยวชาญการโค้ช และนำการโค้ชไปใช้ในหลายองค์กร แต่ก็ต้องยอมรับว่าการโค้ชไม่ใช่วิธีการที่มีประสิทธิภาพเพียงวิธีการเดียวในการแก้ปัญหาและพัฒนาคน

การโค้ชจำเป็นต้องพิจารณาจากคนที่เราโค้ชและสถานการณ์ด้วย คนที่เหมาะสมจะได้รับการโค้ชควรเป็นคนที่มีความรู้และประสบการณ์มาพอสมควร ทำงานมาถึงระดับนึงจนถึงจุดติดขัดจนไปต่อไม่ได้ ซึ่งปัญหานั้นก็ควรเป็นปัญหาที่ไม่เร่งด่วนมากนักเพราะบางครั้งกระบวนการโค้ชจะต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งครั้งนั่นเอง

ถ้าคุณเป็นหัวหน้าที่ต้องบริหารคน ยังมีรูปแบบการดูแล และพัฒนาคนอีกเยอะมากที่คุณควรเรียนรู้และฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นการเป็นครูและพี่เลี้ยงที่บอกและสอนงานจากประสบการณ์ ซึ่งเหมาะกับมือใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์มากนัก

หรือคุณจะทำหน้าที่เป็นพี่หรือเพื่อนที่คอยรับฟังและทำความเข้าใจเขาโดยที่ยังไม่ต้องตั้งคำถามเพื่อรีบร้อนหาทางออกก่อนก็ได้

จะเห็นว่าการโค้ชเป็นกระบวนการและทักษะที่ทรงพลังถ้าหากคุณมี Mindset ที่ถูกต้องและสอดคล้องกับมันอย่างแท้จริง และการโค้ชของคุณอาจจะพังหรือไม่เกิดผลที่ดีถ้าคุณยังไม่มี Mindset เหล่านี้

====

ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นโค้ชใคร ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูนะครับว่า “ฉันมีความเชื่อทั้ง 3 ข้อนี้แล้วหรือยัง” นั่นคือ

ฉันคือโค้ช ไม่ใช่คนที่ตีกรอบความคิดของเขา

ฉันคือโค้ช ไม่ใช่ครูที่มาสอนงานเขา

ฉันคือโค้ช และฉันสามารถใช้วิธีการอื่น ๆ เพื่อช่วยเขาได้เช่นกัน

ขอให้คุณประสบผลสำเร็จในการโค้ชนะครับ

ถ้าคุณต้องการฝึกฝนการโค้ชให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อ่านโค้ชอย่างไรที่จะเพิ่มศักยภาพได้อย่างเต็มที่ คลิกที่นี่

====

ถ้าหากคุณต้องการเรียนรู้ทักษะการโค้ชเพื่อเพิ่มศักยภาพทีมงาน ขอแนะนำหลักสูตร High Impact Coaching & Positive Feedback คลิกดูได้ที่นี่ครับ 

บทความโดย 

อ.แบท อรรณพ นิยมเดชา

นักจิตวิทยาองค์กร

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 094 959 2645

5 ตัวช่วย ที่ทำให้การประชุมไม่เป็นเรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป

          ใครเบื่อการประชุมบ้าง  เชื่อว่ามีหลายคนยกมือขึ้นสุดแขนเลยทีเดียว แต่ชีวิตการทำงานของเราคงหลีกเลี่ยงการประชุมไม่ได้ และคงไม่ดีแน่ถ้าเรานั่งเคร่งเครียด ไม่มีความสุขอยู่ในการประชุมครึ่งค่อนวัน

       ยิ่งไปกว่านั้นจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเราย่ำแย่ลงเรื่อยๆ  ซึ่งคุณไม่ต้องกลุ้มใจไป  เพราะเรามีเทคนิคดีๆ ที่จะทำให้การประชุมไม่น่าเบื่ออีกต่อไปมาฝาก ดังนี้ 

====

1) ประเด็นต้องชัดเจน

“การกำหนดวาระประชุมที่แน่นอนทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมไม่หลงทาง”

          คุณเคยเข้าประชุมแล้วออกมาแบบงงๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้างไหมคะ พอรู้ตัวอีกทีเวลาก็หมดไปกับการนั่งเหม่อลอยมองคนปิ้งสไลด์ อ่านพรีเซนต์ ฟังคนเถียงกันในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม หากใครเคยประสบพบเจอปัญหาดังกล่าวแสดงว่าการประชุมไม่ได้ผล และเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

          แต่ปัญหานี้มีทางแก้ค่ะ เพียงแค่คุณตอบคำถามให้ได้ว่า “ทำไมจึงมีการจัดประชุมขึ้น” “เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์การประชุมคืออะไร” ถ้าคุณตอบได้ การประชุมของคุณจะกระชับ ตรงประเด็น และได้ผลจริงค่ะ

          แต่หากคุณเอะอะก็นัดประชุมทุกเรื่องโดยไม่คัดกรองหัวข้อให้ดี ไม่วางแผนอย่างเป็นลำดับขั้น การประชุมก็จะเต็มไปด้วยความสับสนและนั่นทำให้คุณเสียเวลาประชุม แถมยังต้องกลับไปนั่งทำงานแบบไร้ทิศทางด้วย

====

2) ผู้เข้าร่วมประชุมต้องแชร์

“การแชร์ความเห็นทำให้การประชุมมีสีสัน และเกิดคุณค่า”

          คุณอาจเคยชินกับบรรยากาศการเข้าประชุมที่มีแต่คนหน้าเดิมๆ พูดออกความคิดเห็น ส่วนที่เหลือก็นั่งก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์บ้าง แสร้งทำเป็นจดบันทึกการประชุมบ้าง ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาบ้าง

ภาพแบบนี้ทำให้การประชุมไร้ชีวิตชีวาและผิดวัตถุประสงค์ของการประชุมค่ะ เพราะความสำคัญของการประชุมคือ เป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจแผนงานและปฏิบัติงานอย่างมีเป้าหมายเดียวกัน

          ดังนั้นการประชุมที่ดีต้องมีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง ประธานควรดำเนินการประชุมอย่างกระตือรือร้น ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่พูดระบายอารมณ์ของตนเองในที่ประชุม และควรเปิดใจรับฟังผู้เข้าร่วมประชุมโดยปราศจากอคติ

          ส่วนผู้เข้าร่วมประชุมก็ไม่ควรนั่งฟังเฉยๆ โดยไม่แสดงความคิดเห็น ไม่แชร์ไอเดีย หรือไม่ร่วมกิจกรรมใดๆ จงคิดว่าการได้เข้าประชุมคือ โอกาสดีที่ได้นั่งคุยกับเพื่อน ได้เห็นความคืบหน้าของงาน เพื่อที่ทีมจะได้มองเห็นภาพความสำเร็จร่วมกัน และช่วยกันสร้างสรรค์งานให้บรรลุเป้าหมายต่อไป

====

3) การนำเสนอต้องน่าสนใจ

“การนำเสนอที่น่าสนใจช่วยให้การประชุมสัมฤทธิ์ผล”

          เมื่อคุณลองหลับตาและนึกถึงภาพ Presentation ของการประชุมที่บริษัท เชื่อแน่ว่าคนส่วนใหญ่จะเห็นภาพ Presentation ที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือที่ชวนให้ง่วงนอน มิหนำซ้ำผู้พูดก็ยังนำเสนอข้อมูลด้วยน้ำเสียงโมโนโทน ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณจะสัปหงก และเผลอหลับคาห้องประชุมบ่อยๆ

          แต่รู้ไหมว่าตอนนี้หมดยุคที่ผู้คนจะสื่อสารกันด้วยวิธีการแบบเดิมๆ แล้วค่ะ โลกหมุนเร็วกว่าที่คิด การใช้ข้อมูลจากตัวหนังสือประกอบการนำเสนอเป็นสิ่งที่แสนน่าเบื่อและทำให้หัวใจห่อเหี่ยว

          ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอให้ทันสมัย และดึงดูดความสนใจให้มากขึ้น เช่น ใช้ Infographic, Video Clip หรือ Multimedia เริ่ดๆ มาประกอบการนำเสนอในที่ประชุมลองทำดูนะคะ แล้วการประชุมของคุณจะ Work สุดๆ ไปเลยค่ะ

====

4) ความถี่ประชุมต้องเหมาะสม

“การปรับความถี่ในการประชุมมีผลต่อประสิทธิภาพของผู้ร่วมประชุม”

          ปัญหาที่หนุ่มสาวออฟฟิศต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันก็คือ ประชุมทั้งวันจนแทบไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น บางคนพูดติดตลกว่า “มีอาชีพรับจ้างประชุม” อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่าการประชุมที่ดีต้องมีวัตถุประสงค์ชัดเจน ไม่ใช่นึกอยากจะเรียกประชุมเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะหากประชุมพร่ำเพรื่อ ผู้เข้าร่วมจะไม่เห็นความสำคัญและพาลไม่อยากเข้าประชุมได้

          นอกจากนี้ ควรมีคนคอยควบคุมเวลาไม่ให้การประชุมยืดยาวเกินไป เพราะสมาธิของคนเรามีจำกัด การประชุมเลยเวลาอาจทำให้ผู้เข้าประชุมไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากเหนื่อยล้าและมึนงงกับชั่วโมงประชุมที่ยาวนาน

====

5) ประชุมเสร็จต้องสรุปและติดตามผล

“การจดรายงานการประชุมช่วยเตือนความจำ และช่วยผลักดันงานให้สำเร็จ”

          เทคนิคอีก 1 ข้อที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ต้องสรุปและติดตามผลการประชุมค่ะ เพราะการเขียนสรุปการประชุมจะทำให้ผู้เข้าร่วมทราบว่า ผลของการประชุมคืออะไร ใครต้องรับผิดชอบดำเนินการเรื่องใดต่อ

          ลองคิดดูนะคะว่าหากมีประเด็นถกเถียง โต้แย้ง หรือแชร์ไอเดียที่เป็นประโยชน์ในที่ประชุม แต่ไม่มีใครจดบันทึกเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็จะลืม และไม่ได้นำสิ่งที่ประชุมมาปฏิบัติต่อให้เป็นรูปธรรม ผลคือ การประชุมทั้งหมดสูญเปล่า

ในทางกลับกันหากมีการจดบันทึกข้อคิดเห็นสำคัญหรือมติที่ประชุมไว้ ทุกคนก็จะมีหลักฐานอ้างอิง สามารถยึดถือเป็นแนวปฏิบัติในการทำงานต่อไปได้ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้การทำงานราบรื่น และมีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ

          เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับเทคนิคการจัดประชุมที่ Learning Hub นำมาเสนอในวันนี้ หวังว่าคงจะถูกใจกันนะคะแต่ถูกใจอย่างเดียวไม่พอนะคะ ต้องนำไปปฏิบัติด้วยเพื่อให้การประชุมเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

อีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้การประชุมมีประสิทธิภาพและไม่น่าเบื่อ ขอแนะนำ 3 กติกาง่าย ๆ ที่ทำให้ทุกฝ่ายมีความสุขในการประชุม อ่านที่นี่

====

อ้างอิงจาก

1) http://www.nuttaputch.com/5-unproductive-meeting/

2) http://incquity.com/articles/make-meetings-fun

3) http://th.jobsdb.com/th-th/articles

เพื่อให้คุณและคนในทีมมีทักษะในการประชุม การสื่อสาร และการทำงานร่วมกัน ขอแนะนำหลักสูตร Team Communication & Collaboration คลิกที่นี่

เรียบเรียงโดย 

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 094 959 2645

7 เทคนิค เลือกลูกน้องอย่างไรไม่ให้เปลี่ยนงานบ่อย

 สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผู้บริหารคือการคัดสรรคนให้เหมาะกับงาน  ผลประกอบการจะออกมาดีหรือไม่ย่อมขึ้นกับคน

Learning Hub ขอนำเสนอ 7 เคล็ดลับในการเลือกคนให้เข้ากับงาน หรือ “Put the right man on the right job” ฝากให้บรรดาผู้บริหารได้ลองนำไปเป็นไอเดียในการเลือกลูกน้องกันครับ 

====

1.พิจารณาจากงานที่เคยทำ  

งานที่แตกต่างจึงต้องการคนที่แตกต่างกัน 

 Peter  Drucker ปรมาจารย์ด้านการจัดการยุคใหม่ กล่าวว่าหากพนักงานทำงานไม่ดีย่อมเป็นความผิดของผู้บริหาร ไม่ใช่พนักงาน เพราะผู้บริหารเป็นคนเลือกเขามาทำงานเอง ดังนั้นเพื่อป้องกันความผิดพลาด ผู้บริหารจึงต้องใส่ใจกับการเลือกคนให้เหมาะสมกับงาน เขาจึงแนะนำว่าการเลือกคนต้องพิจารณาจากงานที่คนผู้นั้นเคยรับผิดชอบมาก่อน อย่างน้อยก็จากประสบการณ์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 

         ยกตัวอย่างเช่น การจะหาผู้จัดการฝ่ายการตลาดสักคน ต้องคิดก่อนว่า หน้าที่ของผู้จัดการคนนี้คืออะไร เพิ่มยอดขาย คิดค้นสินค้าใหม่ หรือเจาะตลาดใหม่

ซึ่งงานแต่ละอย่างมีความแตกต่างกัน    จึงต้องการคนที่มีประสบการณ์แตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรเลือกพนักงานที่เคยผ่านงานหรือมีประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งนั้นมากที่สุด หากคุณสนใจแนวคิดดีๆของ Drucker ผมแนะนำหนังสือชื่อ The Essential Drucker ครับ 

====

 2.อย่ามอบงานใหญ่ให้คนไม่ใหญ่   

กระจายอำนาจการตัดสินใจให้พนักงาน  

         Alfred Sloan อดีตผู้บริหารบริษัท General Motors ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับบริษัท    หนึ่งในนั้นคือการปรับวิธีการทำงาน โดยการกระจายอำนาจให้พนักงาน ส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและสามารถแสดงความคิดเห็นได้ 

         ซึ่งเป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในองค์กร  แต่ไม่ได้หมายความว่าพนักงานทุกคนจะมีอำนาจในการตัดสินใจเท่ากันนะครับ  เพราะสำหรับพนักงานใหม่แล้ว   เขาจะยังไม่มอบหมายภาระงานสำคัญให้ เนื่องจากยังอ่อนประสบการณ์ ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความผิดพลาดได้    

        เขาจึงมอบหมายให้พนักงานใหม่ทำงานที่มีความชัดเจนสูง คาดการณ์ได้ ส่วนพนักงานที่มีประสบการณ์แล้วเขาจึงเพิ่มอำนาจในการตัดสินใจครับ    

====

3.ถามไถ่คนใกล้ชิด  

ผู้บริหารต้องฟังสิ่งที่คนอื่นคิด  

        Hermann Abs อดีตผู้บริหาร Deutsche Bank มีมุมมองว่า การเลือกใช้คนของผู้บริหารโดยมากตั้งอยู่บนอคติส่วนตัว ทำให้ใช้คนผิดประเภท หรือเลือกแต่งตั้งคนที่ใกล้ชิดมากกว่าคนที่มีความสามารถ  

        เพื่อให้การเลือกคนมีความถูกต้องและผิดพลาดน้อยที่สุด เขาจึงมองว่านอกจากการสอบประวัติของบุคคลที่ต้องการแต่งตั้งแล้ว ผู้บริหารควรจะสอบถามจากเจ้านายเก่า ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน อย่างน้อย 3 – 5 คน เพื่อให้ได้ข้อมูลรอบด้านเพื่อประกอบการเลือกคนที่เหมาะสม

        ดังนั้น “ We need to listen ผู้บริหารจึงต้องรับฟัง” ครับ 

==== 

4.เลือกคนที่เข้าใจงาน  

วิถีของ Apple คือสร้างเอกลักษณ์ให้กับสินค้า  

        Tim Cook ซีอีโอบริษัท Apple ผู้มุ่งมั่นสร้างสรรค์สินค้าเทคโนโลยีขั้นเทพให้กับลูกค้า ดังนั้นหัวใจสำคัญของ Apple จึงอยู่ที่แผนกฮาร์ดแวร์เทคโนโลยี เพราะแผนกนี้จะทำหน้าที่ผลิตชิป ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสมองของสินค้า ดังนั้นคนที่จะรับบทหนักเช่นนี้ Tim Cook จึงเลือก  Johny Srouji  ทำไมต้องเป็นเขา ? 

        Srouji เคยผ่านงานจากบริษัท Intel และ IBM มาก่อน เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการวางระบบชิปเป็นอย่างดี เมื่อเขาเข้าร่วมงานกับ Apple  Srouji มีส่วนอย่างมากในการออกแบบระบบการทำงานของ iPhone และแท็บเล็ตใหม่   ทำให้ระบบการทำงานมีเสถียรภาพและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น   

        จึงทำให้  Apple สามารถยืนหยัดแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างมั่นคง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ Tim Cook เลือกคนที่เข้าใจงานทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสม

====

 5.เข้าใจคนก่อนใช้คน   

 อย่าให้จุดด่างดำมาบดบังหยกขาว  

         Bob Burg วิทยากรชื่อดังของสหรัฐอเมริกา และเจ้าของหนังสือชื่อ The Go-Giver Leader เป็นกูรูอีกคนหนึ่งด้านการใช้คนครับ แน่นอนครับว่า ทุกคนย่อมมีดีมีเสียแตกต่างกันไป เขาจึงแนะนำครับว่า ควรมองคนจากจุดแข็งก่อนครับ เพราะมูลค่าของงานจะสร้างสรรค์ขึ้นได้จากจุดแข็งของคน  

        จากนั้นจึงพิจารณาจากจุดอ่อนครับ แต่ไม่ใช่คือมีจุดอ่อนแล้วคัดออกนะครับ เพราะเขาแบ่งจุดอ่อนออกเป็น 3 ประเภท คือ     จุดอ่อนที่ไม่เป็นปัญหา จุดอ่อนที่แก้ไขได้ และจุดอ่อนที่เป็นปัญหา  พูดง่ายๆก็คือ หากพนักงานมีจุดอ่อน 2 ประเภทแรก ไม่ถือเป็นปัญหาครับ แต่หากเป็นจุดอ่อนประเภทที่สาม แม้ว่ามีจุดแข็งที่ดีแค่ไหนคงต้องคัดออก  

         เขาได้ยกตัวอย่างวิศวกรที่ทำงานเก่งคนหนึ่ง ซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าแผนก แต่วิศวกรรายนี้ทำหน้าที่ประสานงานได้ไม่ดี แต่งานในตำแหน่งหัวหน้าต้องมีทักษะการประสานงาน

         ดังนั้นจุดอ่อนของเขาถือเป็นประเภทที่สาม เพราะถ้าเขาไม่สามารถประสานงานได้  ก็ไม่อาจแบกรับความรับผิดชอบได้

==== 

 6.เลือกคนจากลักษณะนิสัย   

Judging เหมาะกับงานบัญชี แต่ Perceiving เหมาะกับงานการตลาด  

         โดยทั่วไปลักษณะนิสัยของแต่ละคนมีส่วนอย่างมากต่อผลลัพธ์ของการทำงาน   คนที่ชอบทำงานเป็นขั้นเป็นตอน วางแผนล่วงหน้า ไม่ค่อยครีเอทีฟ เรียกว่า Judging ครับ เหมาะกับการทำงานบัญชีหรือการเงินเพราะเป็นคนละเอียด 

          แต่คนที่ชอบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ชอบงานเอกสาร เรียกว่า Perceiving เหมาะกับงานการออกแบบหรือการตลาดครับ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Target ถูกโจรกรรมข้อมูล บริษัทสูญเสียความเชื่อมั่น ผู้ถือหุ้นจึงเลือก John Mulligan ดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการ CEO แทน CEO คนเก่าที่ขาดความน่าเชื่อถือไปแล้ว

          เหตุที่เลือกเขาเพราะเขาเป็นรองประธานฝ่ายการเงินหลายปี ทำงานละเอียด หรือก็คือเป็นคนประเภท Judging ซึ่งเหมาะที่จะเข้ามาประเมินความเสียหายและฟื้นฟูสถานะทางการเงินภายหลังถูกโจรกรรมข้อมูล  

====

 7.ต้องเป็นที่ยอมรับ 

เลือกคนที่เป็นที่ยอมรับ ย่อมทำงานได้ราบรื่น  

         เทคนิคนี้ผมได้บทเรียนจากประธานาธิบดีโอบามาครับ   เมื่อครั้งโอบามารับตำแหน่งประธานาธิบดีใหม่ๆ เสียงวิพากษ์ดังขรมว่า โอบามาขาดประสบการณ์ด้านการต่างประเทศ เมื่อเป็นเช่นนี้การประสานงานกับรัฐสภาจะเป็นไปได้ด้วยความยากลำบากมาก  

         คงไม่มีใครให้ความร่วมมือกับเด็กอ่อนอย่างโอบามาแน่  ดังนั้นโอบามาจึงดึง โจเซฟ ไบเดน เข้ามาเป็นรองประธานาธิบดี ซึ่งจะเขาเคยเป็นกรรมาธิการด้านต่างประเทศถึง 9 สมัย

         ด้วยประสบการณ์ชั้นเซียนเช่นนี้ ย่อมกลบจุดอ่อนของโอบามาได้เป็นอย่างดี และความน่าเชื่อถือและการยอมรับย่อมเพิ่มขึ้น  

====

         แม้ว่าคุณจะเรียนรู้เทคนิคการใช้คนทั้ง 7 ข้อไปแล้วก็ตาม แต่ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ แต่หากเราใช้คนผิดพลาด เราก็ควรยอมรับความจริง และเปลี่ยนคนใหม่ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นอาจจะสร้างความเสี่ยงให้กับองค์กรได้   เพราะ Misfit is cruel to an organization.    

ที่มา  The Eessential Drucker: Peter Drucker author  

ต่อให้คุณสามารถเลือกลูกน้องได้เป็นอย่างดีจนได้คนที่ไม่เปลี่ยนงานง่าย ๆ แล้วก็ตาม แต่ถุ้าคุณไม่บริหารลูกน้องให้ดีพวกเขาก็อาจจากไปได้เสมอ เรียนรู้และฝึกฝน 3 เทคนิคในการยอมรับและชื่นชมลูกน้อง คลิกที่นี่

หนึ่งในทักษะสำคัญที่ช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่ลูกน้องได้คือการ Coaching และให้ Feedback  ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้จากหลักสูตร High Impact Coaching and Positive Feedback คลิกที่นี่

 

เรียบเรียงโดย 

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 094 959 2645

5 ขั้นตอนเปลี่ยน Mindset เพื่อเปลี่ยนชีวิตก่อนอายุ 30

Mindset หรือ ทัศนคติ เป็นสิ่งที่กำหนดรูปแบบการดำเนินชีวิตของเรา

การเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาตนเอง เพื่อให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดี ย่อมต้องเริ่มมาจาก “การมี Mindset ที่ถูกต้อง” เสียก่อน

ซึ่งการเปลี่ยน Mindset นั้น เราควรทำให้ได้ก่อนอายุ 30 ซึ่งผมขอแชร์จากประสบการณ์ตรง ที่สามารถเปลี่ยน Mindset ของตัวเองได้ ซึ่งส่งผลให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นไปในทางที่ต้องการ 

และต่อไปนี้เป็น 5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่ผมใช้จริงซ่งคุณสามารถนำไปปรับใช้ได้กับตัวเองได้เช่นกัน 

====

1. มองให้เห็นว่าปัญหาเป็นโอกาส

“การมองเห็นปัญหาที่แท้จริง เป็นจุดเริ่มต้นของทุกการเปลี่ยนแปลง”

การมองเห็นตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย  คนเรามักมองไม่เห็นตัวเอง ถึงมองเห็นก็มักไม่ยอมรับ หรือยอมรับแล้ว ก็ไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา ดังนั้นการมองเห็นปัญหา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในชีวิต

ในช่วงก่อนอายุ 30 มีหลายคนสะท้อนว่า แรกๆ ที่พบผม ผมเป็นคนดูหยิ่ง หน้าดุ ไม่ค่อยยิ้ม ซึ่งผมฟังแล้วก็เฉยๆ ไม่คิดอะไร เพราะคิดว่าเกิดมาหน้าตาเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร

====

เมื่อใช้ชีวิตมานานขึ้น ก็ได้ยินเสียงสะท้อนมากขึ้น จากคนที่หวังดีอีกหลายๆ คน ทำให้ผมเริ่มเอะใจขึ้นมา

เห็นได้ชัดว่า การเห็นปัญหาของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยจริงๆ แต่ในทุกปัญหา ย่อมมีโอกาส ผมลองย้อนคิดดูว่า ขนาดหน้าไม่รับแขก ทุกวันนี้ก็มีเพื่อนหลายคนนะ ถ้าผมยิ้มเก่ง ยิ้มง่ายขึ้น ดูน่าเข้าหา จะมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตมากขึ้นแค่ไหน  

====

2. อย่าปลอบใจตัวเอง

“ปัญหาเล็กๆ มักส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ โดยที่เราไม่เคยรู้ตัวเลย”

ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยมองเห็นปัญหา เพราะมองแค่ที่ตัวเอง ไม่ได้มองลึกลงไปถึง “ปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่” เพราะแน่นอนว่าปัญหาใหญ่ มันจะไม่ได้อยู่ตื้นๆ ที่พื้นผิวให้เรามองเห็นง่ายๆ

สำหรับเรื่องการยิ้ม ถ้ามองแค่ตัวเอง ผมย่อมไม่เดือดร้อน เพราะผมไม่ได้เห็นหน้าตัวเองนี่นา แต่ปัญหาที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ก็คือ คนจะไม่ค่อยกล้าเข้าหาผม หรือไม่อยากเข้ามาพูดคุยกับผม ทำให้ผมมีเพื่อนน้อย จะมีเพื่อนใหม่ยิ่งยาก แต่ผมก็มักจะปลอบใจตัวเองว่า ไม่เห็นเป็นไร การมีเพื่อนน้อยก็ดี เรื่องไม่เยอะ การอยู่คนเดียวก็ดี สงบดี

การปลอบใจตัวเอง เป็นแนวโน้มให้เรา “ยึดติด” ในนิสัยเดิมๆ และไม่ได้ช่วยให้เรา “แก้ปัญหา” นั้นได้เลย

====

ฉะนั้นเมื่อเจอปัญหาเราจำเป็นต้องนำมาพิจารณาตรงๆ อย่างเป็นกลาง ด้วยการตั้งคำถามใหม่ว่า ภายใต้ปัญหาเล็กๆ ในเรื่องนั้น “อะไรคือปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่บ้าง”

สำหรับกรณีของผม ถ้ามองอย่างเป็นกลางแล้ว การที่เพื่อนน้อย หากไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่การที่คนใหม่ๆไม่อยากจะมาทำความรู้จักกับผม เป็นปัญหาใหญ่แน่นอน เพราะนั่นหมายถึง โอกาสดีๆ และคอนเนคชั่นดีๆ ในชีวิตจะหายไป

นอกจากนั้นผมก็คงไม่สามารถแบ่งปันสิ่งดีดีในชีวิตกับใครได้มาก เพราะไม่มีใครอยากเข้าหาผมนั่นเอง

====

3. ทำให้เป็นเรื่องเร่งด่วน

“ชีวิตไม่เคยเร่งด่วน แต่ปัญหาของชีวิตต้องทำให้เป็นเรื่องเร่งด่วน”

เราสามารถนอนทับปัญหา หรือจมอยู่กับมันได้นานเท่านาน ถ้าเรายังมองว่าชีวิตโอเคอยู่ นอกจากชีวิตจะเจอกับวิกฤต ที่จะบังคับให้เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง การเปลี่ยนเพราะวิกฤตเป็นเรื่องเจ็บปวดมาก การจะรอให้ชีวิตเจอวิกฤตแล้วค่อยเปลี่ยนแปลง จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ควรทำนัก

ความเร่งด่วนจะไม่เกิดขึ้นเอง มันจะต้องมาจากการเห็นความสำคัญของปัญหา โดยการจินตนาการจากคำถามว่า “หากเรายังนอนทับปัญหานี้ต่อไป สิ่งที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับเราจะเป็นอย่างไร”

การที่ผมเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม แต่เมื่อใช้ชีวิตมาสักระยะหนึ่ง พบว่า บุคคลิกของคนที่ประสบความสำเร็จและคนรวย มักจะเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูน่าคบหา ผมก็ชอบคนเช่นนั้น แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจำเป็นจะต้องทำ

====

การเห็นปัญหาจึงเป็นแค่จุดเริ่มต้น และอาจจะยังไม่พอให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ความเร่งด่วนจึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำให้เกิดขึ้น ผมต้องลองพิจารณาว่าสิ่งที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นถ้าผมยังไม่ยิ้ม มันจะเป็นอย่างไรได้บ้าง 

มีคำกล่าวว่า “ผลลัพธ์ในชีวิตของเรา สะท้อนตัวตนที่เราเป็น” ดังนั้นผมเลยย้อนมาดูผลลัพธ์ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ “เงินในกระเป๋า” จึงเห็นได้ชัดเลยว่า มีน้อยกว่าที่ควร ผมเองยังไม่พอใจกับรายได้ของตัวเอง นั่นแสดงว่า “ตัวตนที่ผมเป็น” ในตอนนี้ยังไม่โอเคความเร่งด่วนจึงเกิดขี้นทันที

เมื่อผมคิดว่า ถ้ายังไม่ยิ้มแบบนี้ ชีวิตคงจะถังแตกไปเรื่อยๆ แล้วมันจริงซะด้วย เห็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เค้ายิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน ว่าแต่ คิดได้แล้ว จะเปลี่ยนยังไงดีล่ะ

====

4. ออกเดินทาง เพื่อแก้ปัญหา

“การแก้ปัญหา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แค่นั่งคิด
แม้ว่าจริงๆ แล้วการแก้ปัญหา ก็คือการพลิกความคิดนั่นเอง”

ฟังแล้วงงมั้ยครับ สิ่งที่ผมอยากสื่อก็คือ การแก้ปัญหานั้นจะง่ายดาย แบบพลิกความคิดเลย ถ้าเรารู้วิธี แต่ขั้นตอนกว่าที่จะรู้วิธี เราจำเป็นต้องออกแรงเดินทางไปค้นคว้า ไปหาผู้รู้ หรือหาวิธีการมาครับ นั่งคิดเองไม่ได้ เพราะหากมันเป็นปัญหาได้ มันต้องใหญ่เกินกรอบความคิดของเราในปัจจุบันแน่นอน

คนที่ “ฝึกเจริญสติ” มาอย่างดีแล้วเท่านั้น ที่จะมีปัญญาที่สามารถทะลุทะลวงเข้าไปพิจารณาอดีตของตัวเอง จนเจอที่มาของนิสัยของตัวเองได้

หากเรายังไม่แก่กล้าถึงเพียงนั้น แนะนำให้หา “โค้ช” ไปปรึกษาในเรื่องที่เราติดขัด หรือไปเข้า “อบรมสัมมนา” ในคอร์สที่จะพลิกมุมมองพลิกชีวิตของตัวเองได้ หรืออย่างน้อยที่สุด “อ่านหนังสือ” ด้านการพัฒนาตัวเอง ให้ได้ข้อมูลใหม่ๆมาพัฒนาชีวิต

====

ส่วนตัวผม ในช่วงวัย 25-30 ก็ได้ไปเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองจากหลากหลายที่ ไม่ว่าจะไปคอร์สปฏิบัติธรรม เข้าสัมมนา ฝึกเจริญสติ เรียนศาสตร์โค้ชชิ่ง อ่านหนังสือหลายสิบเล่ม เพราะผมเชื่อว่ายังมีปัญหาหรือจุดบอดอีกมาก ที่ผมยังไม่รู้ว่ามี

และสิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่จะมาช่วยผมได้ในอนาคต และข้อดีของการออกเดินทางก็คือ ระหว่างทางที่เราจะเดินไปแก้ปัญหานึงนั้น โดยรู้ตัวและบางครั้งก็ไม่รู้ตัว เราได้แก้ปัญหาเรื่องอื่นๆในชีวิตไปได้อีกมากเลยทีเดียว

แม้ว่าผมจะยังยิ้มไม่เก่งอยู่ แต่ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น รู้จักคนมากขึ้น ยอมรับความแตกต่างของคนได้มากขึ้น โดยไม่รู้ตัว ผมเริ่มเป็นคนรับฟังคนเก่ง มนุษย์สัมพันธ์ดี และมีแฟนที่น่ารัก อันหลังไม่เกี่ยวกับนิสัย แต่เป็นผลพลอยได้ครับ

====

5. นิสัยใหม่ ทำให้ยั่งยืน

“ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำครั้งเดียวแล้วได้ผล นอกจากเราจะเป็นคนสร้างนิสัยใหม่ขึ้นมา”

ในเมื่อนิสัยเก่าๆเค้าใช้เวลาสะสมมาหลายปี ทำให้เรากลายเป็นคนแบบนี้ได้ การสร้างนิสัยใหม่ ก็ต้องใช้เวลา หากเราคาดหวังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ย่อมจะผิดหวัง

ดังนั้นต้องเผื่อใจ และค่อยๆทำมันทีละนิด แต่บ่อยๆ ซึ่งในตอนแรกๆมักจะรู้สึกฝืน นั่นก็แปลว่ามาถูกทางแล้วครับ

ผมจึงต้องเริ่มฝึกที่จะยิ้มกับกระจกทุกเช้า เจอใครก็เตือนตัวเองว่าให้ยิ้ม ทั้งๆ ที่ในใจก็วิพากษ์วิจารณ์ตัวเองอยู่ด้วย แต่ผมรู้ว่า นิสัยใหม่ ก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ไอ้ความคิดเดิมๆ มันจะยังไม่ทิ้งผมไปไหนหรอก

แต่หากเราทำนิสัยใหม่ มากเข้า บ่อยเข้า นานพอ ความคิดใหม่ก็จะเสียงดังความความคิดเดิมได้เอง อีกครั้ง สิ่งสำคัญคือ เราต้องมีสติ ในการใช้ชีวิตทุกวัน อย่าปล่อยให้อารมณ์ ความขี้เกียจ และความคุ้นชินเดิมๆ มันลากเรากลับไปได้ เพราะนั่นเท่ากับเรายอมแพ้กับชีวิตและอนาคตของตัวเอง

====

ไม่จำเป็นว่าเราต้องอายุน้อยกว่า 30 ที่จะทำตามเทคนิคเหล่านี้ได้ ขอแค่หัวใจเราอายุน้อยกว่า 30 ที่ยังมองว่าอนาคตยังมีความหวัง ยังอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้วันนี้ดีที่สุด และเพื่อวันพรุ่งนี้ที่จะดีกว่า

เทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้ ก็จะช่วยคุณได้มากๆเลยละครับ แม้ผมไม่รู้สาเหตุในอดีตว่าทำไมตัวเองไม่ชอบยิ้ม แต่ด้วยการเปลี่ยน Mindset และการฝึกทุกวัน ตอนนี้เมื่ออายุ 40 กว่าปี ผมเริ่มยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว เสียงในหัวของผมเงียบลงไป และจะทำให้ผมยิ้มเก่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเจอกับผมก็แวะเข้ามาหามาชวนคุยได้ครับ ผมไม่ดุ รับรอง ^__^

เมื่อปรับ Mindset ของตัวเองได้แล้ว ผมเชิญชวนทุกท่านให้มาทบทวน 4 คุณสมบัติของผู้นำยุคใหม่ ว่าคุณพร้อมหรือยังที่จะเป็นผู้นำในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความผันผวนเช่นนี้ คลิกอ่านที่นี่

====

บทความโดย CEO เรือรบ – ผู้ก่อตั้ง Learning Hub Thailand / ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาภาวะผู้นำ

ถ้าคุณสนใจเรียนรู้และฝึกฝนพัฒนา Mindset และทักษะของผู้นำยุคใหม่ ผมมีหลักสูตร The New Leadership Skills เพื่อพัฒนาให้คุณเป็นผู้นำที่พร้อมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่ คลิกดูรายละเอียดที่นี่

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save