9 นิสัยเสียที่คุณควรหยุดทำเพื่อเป็นคนที่สุดยอด

9 spoiled you should stop doing

ผ่านปีใหม่มาแล้ว หลายคนอาจอยากจะสลัดนิสัยเดิม ๆ เพื่อจะได้พัฒนาและปรับปรุงให้ชีวิตตัวเองก้าวหน้ามากขึ้น บางคนทำงานหนักมาทั้งปี ได้นอนน้อย เที่ยวน้อย ได้โปรโมท มีหน้าที่การทำงานรับผิดชอบมากขึ้น นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนเก่ง แต่มันหมายความว่าคุณเป็นคนที่บริหารจัดการชีวิตไม่เป็นต่างหาก

คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ทว่าประสิทธิภาพในการทำงานนั้นต่างกันและถ้าคุณลองปรับนิสัยบางอย่างตามเช็คลิสข้างล่างนี้ไม่แน่ว่าอาจทำให้ชีวิตคุณดีและมีอะไรหลายๆอย่างลงตัวมากขึ้น

1. เลิกเปิดคอมเพื่อหาไอเดียใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ

คุณควรคิดหัวข้อที่ต้องการหาก่อน และพุ่งประเด็นไปที่คำตอบที่อยากได้ เช่น วิธีผูกสูตร Excel ถ้าคุณไม่แน่วแน่กับคำตอบที่ต้องการหาคุณอาจเจอโฆษณาของสายการบินที่ให้โปรโมชั่นต่ำสุดนำไปสู่การนอกเรื่อง และอาจทำให้คุณลืมจุดประสงค์และภารกิจที่แท้จริงในการเปิดอินเตอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลการทำงานให้ตัวเอง ทางที่ดีคุณควรจดออกมาเป็นข้อๆ ใส่กระดาษโน๊ตข้างๆว่าคุณต้องเปิดคอมหาข้อมูลเรื่องอะไรบ้าง วิธีนี้จะทำให้คุณไม่เสียสมาธิกับสิ่งล่อตาล่อใจได้ง่ายๆ

2. เลิกทำหลายๆอย่างในเวลาพร้อมๆกัน

บางคนคิดว่าการที่สามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้พร้อมกันคือเรื่องที่เจ๋ง แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องผิดมาก จากงานวิจัยพบว่ามีประชากรเพียง 2 % เท่านั้นที่สามารถทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะยาวการทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันเป็นนิสัยที่แย่ จะทำให้สมาธิเราสั้นลงแถมยังทำให้เรามีประสิทธิภาพน้อยลงอีกด้วย

3. เลิกเช็คอีเมล์ตลอดวัน

ทุก ๆ ครั้งที่คุณเช็คอีเมล์นั้น ทำให้คุณเสียเวลาไปอย่างน้อย 25 นาที กว่าจะกลับมาสู่โหมดปกติได้ และการหมั่นเช็คอีเมล์ยังทำให้งานของคุณจริง ๆ ไม่เดินอีกด้วย เพราะมัวแต่นั่งกังวลและนั่งตอบอีเมล์มากกว่า ที่ปรึกษาระดับสูงในบริษัทดัง แนะนำว่าให้คุณปิดมือถือ ปิดอีเมล์ ประมาณ 30 นาทีเพื่อที่จะทำให้คุณมีสมาธิแน่วแน่กับงานมากขึ้น

4. เลิกเอางานที่สำคัญและยากไว้ทีหลังสุด

คนเรามักเข้าใจผิดว่าควรทำงานที่ง่าย ๆ ก่อนในตอนเช้า เพื่อที่จะเคลียร์งานให้เสร็จไปเร็ว ๆ และค่อยจัดการกับงานยาก ๆ ทีหลัง นี่จัดว่าเป็นไอเดียที่แย่มากและจะทำให้เกิดโอกาสสูงมากที่งานจะไม่เสร็จสักงาน นักวิจัยค้นพบว่าคนเรามีขีดความตั้งใจจำกัดในแต่ละวัน ความตั้งใจแน่วแน่จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ เมื่อร่างกายคุณล้า เพราะฉะนั้นงานที่สำคัญที่สุดและยากที่สุดควรถูกจัดไว้ในอันดับต้น ๆ ของวัน

5. เลิกเข้าประชุมที่ไม่สำคัญ

การเข้าประชุมบ่อยครั้ง ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนเจ๋งหรือคนสำคัญในที่ประชุมและการประชุมทำให้คุณเสียเวลาอย่างมาก แนะนำว่าคุณควรเข้าประชุมที่มีหัวข้อการประชุมชัดเจน และคุณได้อะไรจากที่ประชุมนั้น ไม่ว่าจะได้งานที่ต้องการหรือได้แบ่งเบาภาระงานของคุณ

6. เลิกนั่งแช่ทั้งวัน

การนั่งทำงานแช่ทั้งวันกับเครื่องคอมพิวเตอร์และออฟฟิศสี่เหลี่ยมทำให้ประสิทธิภาพการทำงานน้อยลงเรื่อย ๆ คุณลองเปลี่ยนที่การทำงานโดยการเดินไปคุยไป หรือจิบกาแฟพร้อมนั่งคุยงานกับเพื่อนร่วมงานที่ชั้นล่างของตึก อาจทำให้ไอเดียใหม่ ๆ เกิดขึ้น และเมื่อคุณกลับมานั่งโต๊ะคุณจะรู้สึกตื่นตัวและกระปรี้กระเปร่ากับการทำงานมากขึ้น

7. เลิกกดเลื่อนนาฬิกาปลุก

คุณอาจคิดว่าขอเวลาอีกนิดหนึ่ง ห้านาที นอนต่ออีกสักพัก จะได้มีแรงขึ้นอีกหน่อย นั่นคือความคิดที่ผิดมหันต์เพราะมันส่งผลเสียมากกว่าผลดี เพราะครั้งแรกของการตื่นนอนในตอนเช้า ระบบร่างกายของคุณจะเริ่มปล่อยฮอร์โมนที่ทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเตรียมตัวรับวันใหม่

การที่คุณนอนต่อนั่นทำให้ร่างกายของคุณไม่ตื่นตัว และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานกระบวนการคิดต่าง ๆ ช้าลง และคุณไม่ควรนอนน้อยกว่าที่ควร การนอนอย่างเพียงพอทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในทุก ๆ ด้าน ทั้งความสุข การตัดสินใจที่ดีขึ้น ปลดล็อกไอเดียที่ดีขึ้น

8. เลิกเอามือถือไว้หัวเตียง

แสงไฟ LED จากมือถือ แท็บเล็ตและแล็ปท็อปจะส่งแสงบลูไลท์ออกมาทำลายสายตาและกดฮอร์โมนของเรา ทำให้รอบการนอนหลับและการตื่นของเราไม่เป็นไปอย่างราบรื่น หรือทำให้เรานอนหลับไม่สนิทนั่นเอง ผลจากงานวิจับพบว่าคนที่นอนหลับไม่สนิทจะมีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้ามากยิ่งขึ้น

9. เลิกเป็นเพอร์เฟคชั่นนิส

เรากังวลว่าสิ่งที่ทำนั้นจะไม่สมบูรณ์แบบ มัวแต่กลัวโน่นนี่นั่น ใช้เวลาคิดมากในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และสิ่งไม่จำเป็น จนทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ เหมือนกับว่าเรารอมีเวลาจริง ๆ ค่อยตั้งใจทำมันอย่างละเมียดละไม และก็เลื่อนงานนั้นออกไปเรื่อย ๆ โดยใช้เหตุผลอ้างว่าไม่มีเวลาทำอยากทำให้ออกมาดี ออกมาเพอร์เฟคก็ต้องใช้เวลา

ซึ่งจริง ๆ แล้วการเลื่อนงานนั้นออกไปทำให้คุณไม่ได้เริ่ม และการที่มัวแต่คิดเล็กคิดน้อยก็ทำให้งานของคุณไม่เดินและประสิทธิภาพต่าง ๆ ในการทำงานก็ลดลงมากกว่าที่คุณคิด

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

10 ข้อคิดเกี่ยวกับความพยายามและความสำเร็จ

10 commentaries about the effort a success

1. ความพยายาม คือหัวใจของความสำเร็จ

คือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้มนุษย์แต่ละคน มีชีวิตที่แตกต่างกัน

2. ความพยายาม คือความจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด

ถ้าจดจ่อได้เป็นระยะเวลานาน เป็นเดือน เป็นปี นั่นเรียกว่าความพยายาม ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ทำแล้วกัดไม่ปล่อย ไม่มีถอยไม่มีเลิก ดังนั้น อีกชื่อหนึ่งของความพยายามก็คือ “สมาธิ” ความพยายามและสมาธิคือสิ่งเดียวกัน โดยสมาธิคือเหตุที่ทำให้เกิดความพยายาม

3. ถ้าสมาธิดี ความพยายามจะสูง ถ้าสมาธิต่ำ ความพยายามจะน้อย

โอกาสที่เราจะบรรลุเป้าหมายความสำเร็จในชีวิต ขึ้นอยู่กับปริมาณของความพยายามหรือสมาธิ

4. เมื่อความพยายามคือสมาธิ

นั่นย่อมหมายความว่า ความพยายามนั้นเป็นนามธรรมที่สร้างได้วิธีสร้างความพยายามมีสองวิธี หนึ่ง รวบรวมกำลังใจแล้วลงมือทำ วิธีนี้มักได้ผลกับคนที่มีสมาธิดีเป็นพื้นฐาน แต่ไม่ค่อยได้ผลกับคนที่พื้นฐานสมาธิต่ำ อีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีความพยายามได้คือ ลงมือฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิจะช่วยให้คนเกียจคร้านเป็นคนมีความพยายามขึ้นมาได้

5. ความพยายามไม่ใช่สิ่งคงที่

บางวันเพิ่ม บางวันลด หมายความว่าในคน ๆ หนึ่ง ย่อมมีทั้งช่วงเวลาที่มีความพยายามสูง และช่วงเวลาที่มีความพยายามต่ำ วิธีรักษาความพยายามเอาไว้ คือฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เพราะสมาธิคือเหตุที่ทำให้จิตใจตั้งมั่น และจิตใจตั้งมั่น ทำให้เกิดความพยายาม

6. ถ้าคุณมีความพยายามแล้ว ความเฉลียวฉลาดย่อมตามมา

ไม่รู้สิ่งใด ก็จะรู้ได้ ทำสิ่งใดไม่ได้ ก็จะทำได้ ความพยายามจึงมีคุณค่ากว่าความเฉลียวฉลาด เพราะผู้ที่มีความพยายามแม้เป็นคนโง่เขล่าในช่วงแรก ก็จะโง่อยู่ไม่นาน ความพยายามจะผลักดันให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นผู้รอบรู้ได้อยู่ดีดังนั้น คนโง่จึงไม่มีจริง แต่คนไม่พยายามนั่นมีอยู่จริง!!!

7. ความพยายามมีข้อดีเป็นส่วนใหญ่ แต่ความพยายามก็มีข้อเสียอยู่

เมื่อใครคนหนึ่งพยายามกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาก ๆ จิตจะเกิดการยึดติด ทำให้เกิดความทุกข์เพราะสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้ ความพยายามจึงควรมีสติกำกับ สตินี้เองจะเป็นตัวปรับให้ความพยายามกลับมาสู่จุดสมดุล

8. ผู้มีความพยายามสูง แต่สติต่ำ

จะพัฒนาตนเองไปเป็นทาสกิเลส คือยิ่งพยายามเท่าไหร่ สำเร็จเท่าไหร่ ยึดเป็นคนยึดในอัตตาตัวตนมากเท่านั้น และอัตตาตัวตนนี้เองที่เป็นบ่อเกิดและความชั่ว และการเบียดเบียนผู้อื่น ตรงนี้แก้ได้ด้วยการพัฒนาสติขึ้นมากำกับ ให้สติอยู่เหนือความพยายาม อย่าให้ความพยายามอยู่เหนือสติ ถ้าทำได้อย่างนั้น ก็จะกลายเป็นผู้มีทั้งความสำเร็จทางโลก และทางธรรมไปพร้อมกัน

9. ความเมตตา ความพยายาม และสติ สามสิ่งนี้ต้องมาพร้อมกันเสมอ

จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้เด็ดขาด เมตตาทำให้เรามีความเป็นมนุษย์ผู้มีความดี ความพยายามทำให้เราสำเร็จ สติทำให้เราดำรงไว้ซึ่งความดีและความสำเร็จ เมื่อเรามีทั้งความดีและความสำเร็จ เราย่อมกลายเป็นผู้มีความสุขไปโดยปริยาย

10. ทุกความพยายาม อาจไม่ได้นำมาซึ่งความสำเร็จ

แต่ทุกความสำเร็จจะต้องมีความพยายามเป็นส่วนประกอบอย่าถามหาความสำเร็จใดๆ ในอนาคต แต่จงถามหาความพยายาม และทำให้มันปรากฏในทันที ความเพียรนี่เองที่จะทำให้เราทั้งหลายอยู่กับปัจจุบันได้ เป็นฉันทะ มิใช่ตัณหา เป็นความจริง มิใช่ความฝัน ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ที่นั่น เพราะความพยายามคือตัวตนของความสำเร็จ “จงพยายามให้เกิดความพยายาม” แล้วความพยายามจะทำให้ท่านสมปรารถนาทุกประการ

ที่มาเพจ พศิน อินทรวงค์ (https://www.facebook.com/talktopasin2013)

สติ 3 ระดับ สู่สูงสุดของชีวิต

3rd class consciousness

สติมีด้วยกัน 3 ระดับ

1. สติระดับควบคุมความคิด

สติระดับนี้เป็นสติขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ต้องใช้เพื่อดำรงชีวิตประจำวัน เป็นสติที่มีอยู่แล้วในสัตว์โลกตั้งแต่มนุษย์ขึ้นไป เป็นสติที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงาน ความสัมพันธ์ และการแสดงออกให้เหมาะสมกับกาลเทศะ เช่น นึกว่า “ขณะนี้เรากำลังทำงานอยู่ ก็ต้องตั้งใจทำงาน” หรือนึกว่า “เราไม่ควรไปโกรธเขาเลย ให้อภัยเขาจะดีกว่า จะได้ไม่มีเรื่องติดใจต่อกัน” การฉุกคิดในลักษณะนี้ ล้วนเกิดจากการใช้สติในการควบคุมความคิดทั้งสิ้น สติระดับที่หนึ่งเป็นสติที่ทำให้เรากลายเป็นผู้มองโลกในแง่ดี ถ้าใช้สติระดับที่หนึ่งบ่อยๆ ชีวิตในโลกภายนอกก็จะพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ

2. สติระดับเห็นความคิด

สติระดับนี้เป็นสติที่พระพุทธเจ้าทรงคิดขึ้นมาเป็นคนแรก เป็นการกำหนดสมาธิ วางใจให้เป็นกลาง แล้วจึงใช้สติดึงจิตให้หลุดจากความคิดมาเป็นผู้สังเกต การฝึกสติเช่นนี้บ่อยๆ จะทำให้กลายเป็นผู้เท่าทันความคิด สามารถเห็นการเกิดขึ้นและดับไปของความคิด ทำให้อยู่เหนืออารมณ์ของตนเองได้ ความทุกข์ต่างๆ จะน้อยลง ความสุขจะเพิ่มขึ้น อัตตาตัวตนจะทุเลาเบา ถ้าฝึกสติในระดับนี้เป็นประจำ สติในระดับแรกก็จะเกิดง่ายขึ้น สติระดับที่สองนี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการฝึกจิตอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่การฝึกวิปัสสนากรรมฐานเป็นต้น

3. สติระดับเหนือความคิด (มหาสติมหาปัญญา)

สติระดับที่สามนี้ เป็นสติที่ก่อให้เกิดปัญญาทะลุโลก เป็นสติที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนสติในระดับที่สองจนเกิดความชำนาญ สติระดับมหาสติมหาปัญญานี้ ไม่จำเป็นต้องใช้การฉุกคิด เพราะเป็นสติที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานเหมือนสายน้ำไหล ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันลืม ไม่มีวันเผลอ ไม่มีคำว่าขาดช่วงขาดตอน กล่าวคือเป็นสติที่มีความเร็ว จนสามารถเห็นว่าความคิดและความรู้สึกมีกระบวนการทำงานอย่างไร ทำให้กลายเป็นผู้หมดสิ้นความชั่ว หมดสิ้นในอัตตาตัวตน เป็นผู้พ้นไปจากอำนาจของมายาสมมุติ และสามารถควบคุมสติในสองระดับแรกได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม พูดง่ายๆ ว่า เป็นภาวะที่บุคคลผู้นั้นเข้าถึงภาวะบรมสุข ไม่สามารถมีความทุกข์ได้อีกต่อไป สติระดับที่สามนี้ เป็นสติที่ทำให้มนุษย์พ้นสภาพจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนโดยสมบูรณ์!!!

ที่มา: เพจ พศิน อินทรวงค์
(https://www.facebook.com/talktopasin2013)

10 นิสัยที่ทำให้คุณเป็นคนมีประสิทธิภาพและมีความสุขได้ทุกวัน

10 habits that make you a more effective and happy every day-2

สิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณต่างจากคนอื่นแบบก้าวกระโดดนั้นไม่ใช่เพียงแต่สภาพแวดล้อมการทำงานที่คุณเจอ แต่ยังมาจากพลังภายใน ความคิดและทัศนคติที่ทำให้ชีวิตคุณก้าวหน้ามากกว่าใคร และส่วนหลักที่สำคัญที่สุดคือนิสัยและกิจวัตรประจำวันในแต่ละวันของคุณตั้งแต่ตื่นตอนเช้าจนถึงเย็น 

คุณกำลังทำอะไรอยู่ในแต่ละวัน คุณยุ่งกับมันมากแค่ไหน และสิ่งที่คุณทำเหล่านั้นได้เพิ่มทักษะหรือทำให้ชีวิตคุณก้าวหน้าหรือไม่  กิจวัตรประจำวันของคุณจะปรับและเปลี่ยนนิสัยของคุณในแต่ละวันให้กลายเป็นคนแบบที่คุณเป็น 

1. ตื่นเช้า

ถ้าคุณมีสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันมากมาย การตื่นเช้ากว่าปกติจะทำให้คุณได้ทำอะไรในแต่ละวันมากขึ้น คุณจะมีเวลานั่งคิดและตัดสินใจมากขึ้นในตอนเช้า คุณสามารถที่จะอิ่มเอมกับอาหารเช้าและมีเวลาคัดสรรบรรจงเลือกเสื้อผ้าที่คุณอยากใส่ มีเวลาฟังข่าวและดนตรีซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คุณสดชื่นและเติมพลังอย่างดีในตอนเช้าของทุกๆวัน

2. จดลิสสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกประทับใจ

การจดบันทึกทุกๆวันในสิ่งที่คุณชอบหรือประทับใจ จะทำให้คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีขึ้น และมันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คุณเห็นโอกาสในวิกฤติต่างๆ การที่คุณมีความสุขและขอบคุณสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิตจะทำให้คุณเป็นคนที่มีความสุขออกมาจากพลังภายในซึ่งจะดึงดูดสิ่งดีๆให้เข้ามาในชีวิตคุณในอนาคต

3. ทบทวนเป้าหมายของตัวเองทุกๆวัน

ถ้าคุณอยากจะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ มีสาระ และจัดการชีวิตได้ดีขึ้น คุณควรเขียน เป้าหมายประจำวันว่าคุณต้องทำอะไรบ้าง และเมื่อจบวันคุณควรทบทวนว่าเป้าหมายของคุณได้ทำสำเร็จแล้วหรือไม่และไม่สำเร็จเพราะอะไร จงซื่อสัตย์กับตัวเองและอย่าตั้งเป้าหมายเยอะเกินไปจนทำให้คุณรู้สึกท้อแท้ ค่อยๆเริ่มจากเป้าหมายที่ทำได้ง่ายๆในแต่ละวัน

หลังจากนั้นค่อยดูความสามารถและการจัดการเวลาของคุณก่อน แล้วจึงค่อยๆเพิ่มเป้าหมายเข้าไปในแต่ละวันให้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ไม่ควรมีเป้าหมายเกินสามอย่างต่อวัน

4. อย่าลืมของว่างที่มีประโยชน์

ด้วยชั่วโมงที่เร่งรีบ ภาวะรถติด และการใช้ชีวิตทำงานที่เร่งด่วน คุณควรเตรียม Snack กล่องเล็กๆเพื่อเติมพลังให้ร่างกายระหว่างวัน อาจจะเป็นผลไม้ หรือ วิตามิน ขนมปังที่ Healthy เพื่อทำให้คุณไม่เพลียและผ่อนคลายระหว่างวันการทำงาน อย่าลืมว่าร่างกายที่แข็งแรงจะนำไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

5. ออกจากโลก Social Network

เพื่อการทำงานและชีวิตที่มีประสิทธิภาพ คุณควรปิดแชทและออกจากโซเชียลมีเดียในเวลางาน จงมีสติกับงานที่อยู่ตรงหน้าและปัจจุบัน คุณอาจตั้งเป้าว่าต้องเสร็จงานชิ้นนี้ก่อนถึงจะกลับไปเปิดแชท เช็คอีเมล์หรือเล่น Social media การนั่งตอบแชททั้งวันจะทำให้คุณไม่มีสมาธิและงานไม่เสร็จ คุณอาจให้รางวัลตัวเองที่เป็นการพักผ่อนซัก 5-10 นาที หลังจากคุณเสร็จงานหนึ่งชึ้นก็เป็นได้

6. เดินเล่นสั้นๆ

การได้เดินเล่นสั้นๆ ระหว่างวันจะเป็นการกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารความสุข ทำให้คุณมีความจำที่ดีขึ้น และผ่อนคลายมากขึ้น และยังเป็นการชารต์พลังงานทำให้สมองคุณกลับมาพร้อมทำงานหรือเรียนได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย

7. อ่านหนังสือ 2-3 หน้า

ไม่จำเป็นที่คุณต้องอ่านหนังสือทั้งเล่มจบภายในครั้งเดียว การอ่านหนังสือสองสามหน้าต่อวันก็เป็นการเพิ่มความรู้ และเปิดมุมมองทัศนคติในการใช้ชีวิตของคุณได้ และไม่จำเป็นต้องเป็นหัวข้อเดียว คุณอาจอ่านบทความสั้นๆ เรื่องสุขภาพ ความรัก การพัฒนาตัวเอง และอื่นๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการดำรงชีวิต ทำให้คุณมีไฟในการทำงานและเรื่องอื่นๆ

8. เขียนเป้าหมายสำหรับวันพรุ่งนี้

เป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่แต่ละวันก่อนนอนคุณควรเขียนแพลนสั้นๆ ว่าคุณจะทำอะไรในวันพรุ่งนี้บ้าง เพื่อเป็นการลดความกังวลของคุณก่อนนอนว่าคุณจะไม่ลืมทำสิ่งนี้ในวันพรุ่งนี้ และยังทำให้คุณไม่หลุดเป้าหมายในการทำงานหรือการพัฒนาตัวเอง

9. เตรียมอาหารกลางวันล่วงหน้า

การเตรียมอาหารกลางวันล่วงหน้า หรือการคิดว่าพรุ่งนี้ตอนกลางวันจะกินอะไรดี จะทำให้คุณกลายเป็นคนใส่ใจในสุขภาพของตัวเองอัติโนมัติ และจะกลายเป็นนิสัยดีๆ ที่ทำให้คุณหันมารักตัวเองมากขึ้น ไม่มัวแต่ยุ่งเรื่องงานจนกระทั่งลืมดูแลตัวเอง ถ้าคุณพึงพอใจและมีความสุขกายสุขใจจากภายใน คุณก็จะพบกับสิ่งดีๆ ในชีวิตมากขึ้น

10. เข้านอนด้วยความรู้สึกเชิงบวก

คุณควรคิดว่าวันนี้คุณตื่นเต้นกับเรื่องอะไร สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันมีอะไรบ้าง การที่คุณเข้านอนด้วยทัศนคติเชิงบวกกับความรู้สึกดีๆ ก่อนนอนจะทำให้คุณนอนหลับได้สนิทขึ้น และสบายใจขึ้น คุณอาจเปิดดนตรีเบาๆ หรือจดไดอารี่ไว้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เกินขึ้นกับคุณในวันนี้ ขอบคุณตัวเองและพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องใหม่ๆ ในวันพรุ่งนี้เสมอ

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

10 ประโยชน์ของการท่องเที่ยวที่คุณคาดไม่ถึง

10-reasons-why-traveling-the-best-form-education

แม้ว่าหลายคนอาจมองว่าการท่องเที่ยวเป็นการใช้เวลาว่างโดยเปล่าประโยชน์ ไร้ค่า และไม่ทำให้เกิดการพัฒนาใด ๆ แต่แท้จริงแล้ว หนึ่งในวิธีที่จะทำให้เราเรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งขึ้นก็คือ “การท่องเที่ยว” บทความนี้เปิดเผยประโยชน์ 10 ข้อของการท่องเที่ยวที่คุณอาจคิดไม่ถึง

1) คุณได้เรียนรู้ภาษา

แม้ว่าตอนนี้คุณอาจลงเรียนพิเศษภาษาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สเปน หรือเยอรมัน แต่คุณก็ได้เรียนจากตำรา สื่อการสอน เกม หรือผ่านครูสอนภาษาเท่านั้น แต่หากคุณต้องการเรียนรู้ภาษาในโลกแห่งความเป็นจริง “การท่องเที่ยว” สามารถตอบโจทย์ และช่วยให้คุณฝึกฝนทักษะการพูดและการฟัง หรือเรียนรู้ภาษาได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เพราะการท่องเที่ยวเปิดโอกาสให้คุณพบเจอกับคนท้องถิ่น เจอกับความหลากหลายทางภาษา เช่น สำเนียงที่แตกต่างกัน การใช้ศัพท์แสลง หรือศัพท์เฉพาะกลุ่ม เป็นต้น กล่าวคือ การท่องเที่ยวช่วยให้คุณใช้ภาษาเพื่อเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารอย่างแท้จริง

2) คุณได้เรียนรู้วัฒนธรรม

เมื่อคุณออกเดินทางท่องเที่ยว คุณจะพบเจอกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย และคุณจะเข้าใจถึงความเหมือนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม กล่าวคือ แต่ละชาติมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น อาหารการกิน กริยามารยาท การทักทาย การแต่งกาย วิถีการดำเนินชีวิต เป็นต้น

เช่น วัฒนธรรมในการพบปะของไทยใช้การไหว้และกล่าวสวัสดี ชาวตะวันตกใช้การจับมือ ชาวทิเบตใช้การแลบลิ้น ชาวมุสลิมกล่าวว่า “สลาม” เป็นต้น ความหลากหลายทางวัฒนธรรมเหล่านี้ ทำให้คุณยอมรับความแตกต่าง และมีความเข้าใจเพื่อนมนุษย์มากยิ่งขึ้น

3) คุณได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์

ไม่แปลกถ้าคุณรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในห้องเรียน เพราะคุณไม่เคยเห็น และไม่เคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยตนเอง คุณจึงรู้สึกไม่มีส่วนร่วมหรือไม่สามารถจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ได้ แต่หากคุณเปิดโลกกว้างให้กับตนเองด้วยการท่องเที่ยว คุณจะมีโอกาสไปเที่ยวชมโบราณสถาน พระราชวัง พิพิธภัณฑ์ อนุสาวรีย์ หรือแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของแต่ละประเทศ

นอกจากนี้ หากคุณมีโอกาสพูดคุยกับคนท้องถิ่น พวกเขาอาจบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงให้คุณฟัง เช่น สาเหตุความขัดแย้ง การเปลี่ยนแปลง สงคราม หรือข้อมูลเบื้องลึกต่าง ๆ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้น อาจไม่เหมือนกับสิ่งที่คุณร่ำเรียนมาก็ได้

4) คุณได้เรียนรู้โลกปัจจุบัน

การท่องเที่ยวไม่เพียงแต่สอนคุณเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ยังสอนคุณถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอีกด้วย กล่าวคือ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมผ่านการท่องเที่ยว อีกทั้ง ในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก การท่องเที่ยวยังช่วยให้คุณเข้าใจ และได้รับข้อมูลที่เป็นจริงผ่านสายตาของตัวคุณเอง ไม่ใช่ผ่านการตัดสินโดยกระแสสังคม หรือสื่อออนไลน์เท่านั้น

5) คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ

เมื่อใดก็ตามที่คุณก้าวออกมาจากป่าคอนกรีต และเริ่มผจญภัยในโลกธรรมชาติ คุณก็จะพบกับความมหัศจรรย์และความสวยงามที่แท้จริง คุณจะเพลิดเพลินไปกับขุนเขา เมฆหมอก ท้องทะเล ต้นไม้ใบหญ้า ป่าเขาลำเนาไพร และคุณจะรู้ว่าธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญที่มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนบนโลกใบนี้

และเมื่อคุณหลงรักความสวยงามของธรรมชาติที่โอบอุ้มโลกใบนี้ คุณจะเกิดความคิดที่จะปกป้องและรักษามันไว้ เพื่อที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น ปัญหาโลกร้อน น้ำท่วม หรือมลภาวะทางอากาศ จะได้เบาบางลง

6) คุณเรียนรู้ที่จะทำสิ่งใหม่

ในระหว่างการท่องเที่ยว คุณจะมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่คุณไม่เคยทำมาก่อน เช่น การให้อาหารช้างในกัมพูชา การเล่นสกีหิมะที่เนปาล การเต้นแซมบ้าในบราซิล การทำกิมจิที่เกาหลี เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์แปลกใหม่และทำให้คุณรู้สึกท้าทาย ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวบ่อย ๆ จึงรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ตนพบเจอ มีความยืดหยุ่น และเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์

7) คุณได้เรียนรู้ทักษะทางสังคม

หากคุณรู้สึกประหม่าหรือเขินอายเมื่อต้องเข้าร่วมกิจกรรมกับคนหมู่มาก เช่น การนำเสนองานในที่ประชุม การพูดต่อหน้าสาธารณะ หรือแม้แต่บทสนทนาทั่วไปในชีวิตประจำวัน การเข้าคอร์สฝึกพูด หรือคอร์สสอนการแสดงออก อาจเป็นตัวเลือกของคุณ

แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกวิธีที่สามารถเปลี่ยนคุณให้กลายเป็นคนใหม่ได้ นั่นก็คือ การท่องเที่ยว เพราะระหว่างการเดินทาง คุณต้องสอบถามเส้นทาง หรือขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า มิฉะนั้นคุณก็จะไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ และนั่นเป็นแบบทดสอบที่ช่วยฝึกฝนความกล้า และพัฒนาทักษะด้านปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างด้วย

8) คุณได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเอง

การท่องเที่ยวสอนให้คุณเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเอง เพราะคุณต้องวางแผนการเดินทาง เลือกที่พัก ยานพาหนะ จุดหมายปลายทาง และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตนเอง ดังนั้น คุณจะได้พัฒนาทักษะการเอาตัวรอด และการช่วยเหลือตนเอง

อีกทั้ง คุณจะกล้าทำสิ่งที่คุณไม่เคยทำมาก่อน เช่น การขึ้นรถเมล์ การรับประทานอาหารแปลกใหม่ และการทำกิจกรรมโลดโผนต่าง ๆ สิ่งนี้จะช่วยเปลี่ยนคนที่ใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อย และปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรม ให้เป็นคนที่สามารถกำหนดโชคชะตาชีวิตได้ด้วยตัวเอง

9) คุณได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์

เมื่อคุณท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ คุณจะพบเจอกับผู้คนที่หลากหลาย ทั้งเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว อาชีพการงาน ฐานะความเป็นอยู่ นิสัยใจคอ เป็นต้น ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้คุณมองเห็นสัจธรรมของความเป็นมนุษย์ว่าไม่มีใครเป็นคนดี หรือเป็นคนเลวไปทั้งหมดเพราะการที่คนคนหนึ่งตัดสินใจกระทำสิ่งใดล้วนมาจากเหตุและปัจจัยที่หล่อหลอมให้เกิดขึ้น

ดังนั้น คุณจะไม่ตัดสินคนจากภายนอกเหมือนที่ผ่านมา คุณจะให้เวลาช่วยพิสูจน์การกระทำ สิ่งนี้ทำให้คุณเปิดใจ ไม่ยึดติด และมองโลกอย่างเข้าใจมากขึ้น

10) คุณได้รู้จักตัวเองมากขึ้น

หากคุณไม่เคยทำอะไรนอกกรอบ หรือไม่เคยท่องเที่ยวเลย คุณก็จะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองชอบอะไรบ้าง หรือคุณก็จะไม่รู้ว่าตนเองสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิดหรือไม่ การท่องเที่ยวทำให้คุณรู้จักตนเองมากขึ้น เช่น คุณได้รู้ว่าตนเองชอบงานศิลปะระหว่างที่คุณชื่นชมภาพวาดในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง

หรือคุณได้รู้ว่าตนเองมีความสามารถในการสื่อสารกับคนแปลกหน้าขณะที่คุณเดินทางท่องเที่ยวโดยลำพัง เป็นต้น การท่องเที่ยวทำให้คุณก้าวออกมาจากสิ่งที่คุณคุ้นเคย ช่วยให้คุณค้นพบศักยภาพที่แท้จริง และนั่นจะทำให้คุณเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตรงจุดมากขึ้น

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://www.lifehack.org/359773/10-reasons-why-traveling-the-best-form-education)

5 เคล็ดลับ อัพเกรดสมองคุณ ให้เหมือนไอน์สไตน์

มีผลวิจัยว่า คนทั่วไปสามารถใช้สมอง เพียงแค่ 3% ของที่ตัวเองมี คุณว่าจริงไหม?

นี่เป็นสาเหตุให้เราไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดของตัวเองได้ และยังสงสัยว่า ทำไมบางคนถึงฉลาด มีไหวพริบ และทำให้เค้าประสบความสำเร็จได้ง่ายดายกว่าคนอื่นๆ

สมอง เป็นกลไกอัจฉริยะระดับโลก ที่คุณสามารถฝึกฝน ให้มันทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ หากเรารู้วิธี แต่ถ้าเราไม่รู้ ก็เหมือนซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่มา แล้วปรากฎว่าไปลงซอฟแวร์รุ่นเก่า ทำให้มันทำงานได้เพียง 3% คุณจะรู้สึกอย่างไร?

“รอน ไวท์” เป็นแชมป์ความจำเป็นเลิศ จากสหรัฐอเมริกา มีสมองเป็นดั่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ได้รับการบันทึกลงกินเนสส์บุ๊ก เช่น การจำเลขจำนวน 28 หลัก ภายในเวลา 1.15 นาที การจำชื่อจำนวน 150 ชื่อ ภายในเวลา 20 นาที และการจดจำบทกลอนจำนวน 250 บรรทัดได้ภายในพริบตาเดียว

เขาฝึกฝนเทคนิคการเพิ่มความสามารถของสมองผ่านการจินตนาการแบบไอน์สไตน์ โดยมีเคล็ดลับในการเพิ่มความจำของสมองคน ให้ทำหน้าที่ได้ดั่งสมองกล ด้วยการฝึกฝนตาม 5 ขั้นตอนง่ายๆที่ใครๆ ก็ฝึกได้ คือ

1. มุ่งประเด็นให้เด่นชัด (Focus)

ขั้นแรก คือ ต้องโฟกัสสิ่งที่ต้องการจดจำให้ชัดเจนว่าคืออะไร?  มีความโดดเด่นตรงไหน สิ่งนี้ถือเป็นจุดที่สำคัญที่สุดในการทำให้พลังของการจดจำมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนกับเวลาที่เราต้องบันทึกอะไรลงในคอมพิวเตอร์ เราต้องรู้ชัดเจนว่าเรากำลังต้องการบันทึกอะไรบันทึกภาพ บันทึกชื่อ หรือ บันทึกอักษร การมีเป้าหมายเจาะจงชัดเจนนี่เอง ที่เป็นขั้นแรกในการเพิ่มความจำ

2. จัดทำแฟ้มบันทึก (File)

หากคุณต้องการเรียกคืนไฟล์ต่างๆ จากคอมพิวเตอร์กลับมาใช้อีก คุณจะต้องบันทึกโฟลเดอร์หรือไฟล์งานนั้นไว้เพื่อจะเรียกใช้ในภายหลัง ความจำต่างๆ ของคุณก็มีกลไกการทำงานแบบเดียวกับคอมพิวเตอร์

ดังนั้นเพื่อให้สามารถเรียกข้อมูลกลับมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว เราทุกคนจำเป็นต้องบริหารจัดการความทรงจำ ด้วยการจัดเก็บข้อมูลไว้เป็นไฟล์แห่งความทรงจำ (Memory files) อย่างมีระบบและมีระเบียบ เพื่อเวลาเรียกใช้จะได้ง่ายขึ้น

3. ฝึกจำเป็นภาพ (Picture)

ในขั้นตอนนี้  เป็นการสร้างภาพต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เนื่องจากสมองของคนเรามักจำภาพได้มากกว่าเนื้อหา ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มความจำ เราจำเป็นต้องจินตนาการถึงสิ่งที่ต้องการจำให้เป็นภาพที่คุ้นเคย หรือภาพที่สะดุดตา

เช่น อยากจำคำว่า การทำงานเป็นทีม (Teamwork) ก็ให้นึกเป็นภาพ ผู้คนกำลังร่วมมือกันทำงานอยู่ 

พูดง่ายๆ ก็คือ อะไรก็ตามที่เราต้องการจดจำจะต้องแปลงให้อยู่ในรูปแบบของภาษาภาพเสมอเพื่อให้สมองมองเห็นและจดจำได้ หรือกล่าวได้ว่า เมื่อรู้ว่าสมองเราชอบจำเป็นภาพ  เราก็ถอดรหัสสิ่งต่างๆ ให้เป็นภาษาของสมอง เพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆ ลงไปได้ง่ายและมากขึ้นนั่นเอง

4. ตรึงให้มั่น (Glue)

ขั้นตอนนี้ คือการเชื่อมข้อมูลที่เราต้องการจำ ให้ได้รับการบันทึกอยู่ได้นานในสมอง  โดยรอนพบเคล็ดลับว่า  การที่เราจะจดจำบางสิ่งบางอย่าง สิ่งนั้นต้องมีความโดดเด่นเพียงพอที่จะติดตรึงอยู่ในความทรงจำ กระทบกับความรู้สึก (Feeling) ของตัวเองอย่างแรง

หากสังเกตช่วงชีวิตที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดว่าความจำจะติดตรึงอยู่ในความทรงจำได้ก็ต่อเมื่อภาพนั้นมีความ เคลื่อนไหว มีความรู้สึก หรือมีสิ่งพิเศษบางอย่างมาเชื่อมโยงกับตัวเรา และนี่เป็นคำตอบว่าทำไมคุณจึงสามารถนึกถึงรายละเอียดของเรื่องเศร้าที่ทำให้คุณเสียใจมากๆ หรือเรื่องที่ประทับใจสุดๆ เมื่อ 20 ปีก่อนได้อย่างแม่นยำ

ดังนั้น เทคนิคของรอนคือ การใช้ภาษาภาพที่คุณสร้างขึ้นมาเพื่อจะจดจำ จะต้องเป็นภาพที่ติดตรึงในความทรงจำได้ดี มีความเคลื่อนไหว หรือความรู้สึกร่วมด้วย และหากเป็นภาพที่มีความพิเศษมากก็จะยิ่งช่วยให้จำได้ดีขึ้น ทำได้ง่ายๆ ด้วยการติดตรึงความจำเอาไว้ ด้วยการจินตนาการถึงความรู้สึกและการเคลื่อนไหวต่างๆ ลงไปในเนื้อหาของสิ่งที่จะจำนั่นเอง

5. หมั่นทบทวน (Review)

การทบทวนสิ่งที่บันทึกไว้ในความทรงจำ เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ทำให้สามารถจำสิ่งต่างๆ ได้ในระยะยาว เปรียบเทียบกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีการรีเฟรช (Refresh) หรือ อัพเกรด (Upgrade) โปรแกรมคอมพิวเตอร์อยู่เสมอๆ

รอน ไวท์ได้แนะนำเทคนิคง่ายๆ สำหรับขั้นตอนนี้ เช่น ถ้าคุณต้องการจดจำชื่อผู้คนที่ได้พบมา เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่  ให้ถามตัวเองว่า เมื่อวานนี้เราได้พบใครบ้าง เพื่อจะทบทวนรายชื่อของคนที่เราได้พบ แล้วดูว่ามีกี่คนที่คุณสามารถจำได้ ตรงนี้ถือเป็นแบบฝึกหัดที่ดี เป็นการช่วยเพิ่มเติมข้อมูลลงไปในระบบบันทึกข้อมูลส่วนตัว คล้ายการ Upload ข้อมูลใหม่ใส่สมองด้วย

นักวิจัยได้นำสมองของไอน์สไตน์ มาวิเคราะห์ พบว่าไม่ได้มีขนาดใหญ่ไปกว่าคนทั่วไป ดังนั้นมนุษย์เราทุกคนมีสมองที่สุดอัจฉริยะอยู่แล้ว เพียงแต่ยังใช้ไม่เป็นเท่านั้น หากเราสามารถใช้ศักยภาพสมองได้เต็มที่แบบนี้ เชื่อว่าเราจะบรรลุถึงเป้าหมายและความสำเร็จในชีวิต ทั้งในด้านการงาน และชีวิตส่วนตัว ได้อย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน

ข่าวดี สำหรับคนที่อยากพัฒนาศักยภาพสมองระดับสูงสุด!

รอน ไวท์ ผู้เชี่ยวชาญและวิทยากรด้านความจำระดับโลก จะมาแบ่งปันเทคนิคการเพิ่มพลังสมองคนให้เป็นดั่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ได้ ในวันที่ 18 มี.ค.59 ณ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ สุขุมวิท 22 กรุงเทพฯ ในหลักสูตร “Bring the Mind of Einstein to Your Organization” (มีหูฟังและล่ามแปลไทย) และใครอยากเป็นวิทยากรสอนในเรื่องนี้ มีหลักสูตร Train the Trainer ในวันที่ 19-20 มี.ค.59 ด้วยค่ะ

แฟนเพจของ Learning Hub Thailand ได้โปรโมชั่น ลดราคา 10%
เมื่อแจ้งตอนลงทะเบียน ภายใน 16 มี.ค.นี้

ดูรายละเอียดหลักสูตร คลิกที่นี่

Learn_More

7 สิ่งดีๆ ที่ควรบอกตัวเองในทุกวัน

7-things-you-should-tell-yourself-every-day

คุณเป็นคนสำคัญ และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่คุณคิด พูด หรือปฏิบัติต่อตนเองล้วนมีความสำคัญ และส่งผลต่อชีวิตทั้งนั้น กล่าวคือ หากคุณทำดีต่อตนเอง คุณก็จะได้รับผลดีเป็นการตอบแทน แต่หากคุณทำสิ่งแย่ๆ คุณก็จะได้รับผลที่เลวร้ายเช่นกัน

บางครั้งคุณอาจรู้สึกผิดหวัง เสียใจกับคำพูด หรือการกระทำ ซึ่งเกิดจากตัดสินใจที่ผิดพลาดของตนเอง คุณอาจรู้สึกแย่จนถึงขั้นต่อว่า กล่าวโทษ และดูถูกตนเอง ความคิดเช่นนี้ทำให้ตัวคุณเองไม่มีความสุข มิหนำซ้ำยังฉุดให้ชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ วิธีแก้ไขคือให้คุณมองโลกในแง่บวก คิดแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอ

เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณมีพลังในการก้าวเดินไปข้างหน้า และทำให้ชีวิตคุณมีแต่ความสุข บทความนี้แนะนำแนวคิด 7 สิ่งดีๆ ที่คุณควรยึดถือ และบอกตัวเองในทุกวัน

1. ฉันเชื่อในความฝัน

          ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากความฝัน ตอนเด็กๆ เราฝันอยากจะเป็นคนนั้นคนนี้ อยากมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เมื่อเราโตขึ้น ความฝันเหล่านั้นค่อยๆ หายไป เพราะเรากลัว และไม่กล้าฝันต่อ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ความฝันไม่กลายเป็นจริงสักที ดังนั้น จงเชื่อมั่นและศรัทธาในความฝันของตนเอง

คุณมีความฝันอะไรบ้าง ลองหลับตา และปลดปล่อยจินตนาการไปตามความปรารถนา คุณอาจพบว่าตนเองฝันอยากเป็นนักร้อง อยากเป็นเจ้าของกิจการ อยากมีบ้านหลังใหญ่ อยากไปเที่ยวรอบโลก อยากมีเงินมากมาย เป็นต้น เมื่อคุณฝันแล้ว อย่าปล่อยให้มันสูญเปล่า เพราะความฝันนั้นมีพลังและสามารถเป็นจริงได้

จงเชื่อมั่นและพร่ำบอกกับตนเองว่า ความฝันนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม เมื่อคุณทำเช่นนี้แล้ว ความฝันของคุณจะชัดเจนขึ้น อีกทั้ง คุณจะกลายเป็นคนที่มั่นใจ สามารถสร้างสรรค์และผลักดันสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้

2. ฉันทำทุกวันให้ดีที่สุด

          ไม่ว่าวันนี้คุณจะทำสิ่งเล็กๆ หรือยิ่งใหญ่ ให้คุณคิดเสมอว่าคุณต้องทำให้ดีที่สุด เพราะความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่มันค่อยๆ สะสมทีละเล็กทีละน้อย และในที่สุดมันจะกลายเป็นความสำเร็จอันสวยงาม ดังสุภาษิตที่ว่า “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว”

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม จงเตือนตัวเองให้ทำอย่างดีที่สุด ทำให้เต็มที่อย่างสุดกำลังความสามารถ และหากคุณผิดพลาด จงเรียนรู้จากประสบการณ์ ใช้ความผิดพลาดนั้นเป็นบทเรียน รู้จักปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

3. ฉันรักในสิ่งที่ฉันเป็น

          คุณรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อเห็นตัวเองในกระจก หากคุณยิ้มให้กับตนเอง แสดงว่าคุณรักในสิ่งที่คุณเป็น และนั่นเป็นบันไดก้าวแรกที่ทำให้คุณสามารถก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง สิ่งที่คุณเป็นไม่ว่าจะดีหรือร้าย เช่น ผิวขาว ผิวคล้ำ หน้าใส มีสิว ผมตรง ผมหยิก ตัวสูง ตัวเตี้ย หรืออุปนิสัยใจคอต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่งบอกความเป็นตัวคุณ และทำให้คุณมีเอกลักษณ์

เพราะฉะนั้น จงยอมรับและพอใจในสิ่งที่เป็น หากคุณไม่รักตัวเอง คุณก็ไม่สามารถรักคนอื่นได้เช่นกัน ในทางตรงกันข้าม เมื่อคุณรักตัวเองแล้ว คุณจะสามารถส่งต่อความรักและความปรารถนาดีให้กับคนรอบข้างได้ 

4. ฉันเลือกที่จะมีความสุขได้

          หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นั่นหมายถึง ความคิดและจิตใจมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นที่ใจ เราสามารถกำหนดได้ว่าในแต่ละวันตนเองจะมีความสุขหรือความทุกข์เช่นหากคุณตั้งเป้าหมายที่จะทำอะไรแล้วคุณสมหวัง แน่นอนว่าคุณจะรู้สึกมีความสุข

แต่หากคุณไม่สามารถทำมันได้สำเร็จเหมือนที่ตั้งใจไว้ คุณจะเครียด ผิดหวัง และเสียใจทั้งนี้ หากคุณรู้เท่าทันธรรมชาติของความคิดและจิตใจ เข้าใจถึงกลไกดังกล่าว คุณก็จะสามารถกำหนดความสุขได้ด้วยตัวคุณเอง นอกจากนี้ หากคุณพบกับความผิดหวัง คุณก็จะสามารถทำใจ และปล่อยวางได้เร็วกว่าคนอื่น

5. ฉันกำหนดชีวิตตนเองได้

          สิ่งนี้คล้ายๆ กับการกำหนดความสุขได้ด้วยความคิดและจิตใจของตนเอง แต่เปลี่ยนเป็นเรื่องของการกระทำ กล่าวคือ คุณสามารถกำหนดชีวิตของตนเองได้โดยรับผิดชอบ และยอมรับในทุกๆ การกระทำของตนเอง หากคุณทำสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ ชีวิตก็จะเป็นไปในทางที่ดี ในทางตรงกันข้าม หากคุณประพฤติตัวแย่ คุณก็จะได้รับผลของการกระทำนั้น

จงจำไว้ว่าไม่มีใครมีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ คุณเท่านั้นที่สามารถขีดเส้นทางเดินชีวิตของตนเองได้

6. พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้

          การคิดเช่นนี้ทำให้คุณมีพลัง และเกิดแรงบันดาลใจ จงเชื่อว่าวันพรุ่งนี้จะสดใสกว่าเดิม คุณควรเปิดโอกาสให้ตนเองพบเจอกับสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทาย ทำให้ตนเองเรียนรู้ และเพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิต เพราะนั่นจะทำให้คุณไม่หยุดพัฒนาตนเอง เมื่อคุณฝึกคิดเช่นนี้บ่อยๆ คุณจะพยายามทำสิ่งต่างๆ อย่างเต็มที่ และสามารถสานฝันให้กลายเป็นจริง

7. ขอบคุณสิ่งต่างๆ ในชีวิต

          แม้ว่าคุณไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ได้ แต่สิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้คือ ทัศนคติของตัวเอง คุณควรมองโลกในแง่ดี โดยหัดขอบคุณสิ่งดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บางทีสิ่งนั้นอาจเป็นเพียงแค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่มันก็ทำให้คุณมีความสุขได้

เช่น ขอบคุณลมหายใจที่ทำให้คุณได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพื่อทำในสิ่งที่คุณรัก ขอบคุณมิตรภาพดีๆ จากครอบครัว เพื่อนฝูง รวมทั้งคนแปลกหน้า ขอบคุณสิ่งเลวร้ายที่เป็นบทเรียนให้คุณได้เรียนรู้ และเติบโตขึ้น เป็นต้น หากคุณคิดบวก คุณจะพบว่าชีวิตมีเรื่องดีๆ มากมาย

เรียบเรียงโดย Nadda – Learning Hub Team

(ที่มา: http://www.lifehack.org/363049/7-positive-affirmations-tell-yourself-every-day)

6 เทคนิคปรับความคิด ชีวิตเปลี่ยนตลอดไป

คุณเชื่อหรือไม่ว่าความคิดของคนเรามีพลัง มีอิทธิพลในการสร้างสรรค์และผลักดันสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นอย่างมากมาย เรื่องราวดีๆหรือเลวร้ายที่เราประสบพบเจอนั้นมาจากสิ่งที่เราคิดทั้งนั้น กล่าวคือ หากคุณมองโลกในแง่ดี คุณก็จะมีพลังด้านบวกที่คอยสนับสนุนให้ตัวคุณมีพฤติกรรมที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี และคุณก็จะได้รับผลดีเป็นการตอบแทน

ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ความคิดเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนด

ในทางกลับกัน หากความคิดของคุณเต็มไปด้วยอคติ จิตใจของคุณก็จะหม่นหมอง หดหู่ ซึ่งจะก่อให้เกิดการกระทำในแง่ลบ และส่งผลร้ายให้กับชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย ความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง มันสามารถเป็นได้ทั้งเชื้อเพลิงที่ลุกโชติช่วงให้แสงสว่างกับชีวิต และเป็นดั่งไฟที่แผดเผาตัวเราให้มอดไหม้ กล่าวคือ ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ความคิดเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนด

ดังนั้น เราจึงควรปรับเปลี่ยนความคิดของเราให้เป็นไปในด้านบวก เพื่อช่วยสนับสนุนและส่งเสริมพฤติกรรมดีๆให้เกิดขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถนำเคล็ดลับ 6 ข้อที่ช่วยปลุกความคิดดีๆไปประยุกต์ใช้ และคุณจะได้พบกับชีวิตที่สดใสและสวยงามตลอดไป

1. พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้

แท้จริงแล้ว สมองถูกออกแบบให้มนุษย์เรามีความคิดเชิงลบมากกว่าเชิงบวก สิ่งนี้เชื่อมโยงกับสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเจอกับเหตุการณ์อันเลวร้ายที่ทำให้เราหมดสิ้นหนทาง หรือรู้สึกมืดแปดด้าน สมองจะสั่งการให้ตัวเรามีแรงฮึด และปลุกพลังภายในที่ซ่อนอยู่ เพื่อให้เราสามารถต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายได้

แต่เมื่อสมองประมวลผลเหตุการณ์ต่างๆในแง่ลบ ทั้งๆที่เราอยู่ในสถานการณ์ปกติ ผลลัพธ์ก็จะออกมาตรงกันข้าม เพราะคุณจะเกิดความคิดอคติซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรม

ดังนั้น เมื่อเรารู้เท่าทันธรรมชาติของสมอง เราจึงควรคิดถึงแต่สิ่งดีๆในชีวิต คุณควรรู้สึกขอบคุณครอบครัวที่แสนดี เพื่อนที่น่ารัก งานที่ท้าทาย และระงับความรู้สึกไม่พอใจเรื่องเพื่อนร่วมงานจอมป่วน เจ้านายผู้เข้มงวด ลูกน้องที่ไม่เอาไหน เป็นต้น

วิธีคิดเช่นนี้จะทำให้โลกของคุณเปลี่ยนไป การพอใจใจในสิ่งที่มี และการขอบคุณสิ่งที่ได้รับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้จิตใจของคุณสดใส อิ่มเอม และมีความสุข

2. เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวคุณเอง

นักจิตวิทยาหญิงท่านหนึ่งชื่อ คารอล เขียนในหนังสือของเธอว่า “ความคิด” แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ความคิดแบบยึดติด และความคิดแบบยืดหยุ่น ผู้ที่มีความคิดยึดติดเป็นพวกที่เชื่อว่าความสามารถของตนเองเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก พวกเขามักคิดว่าตนเองเก่งหรือแย่ในด้านใดด้านหนึ่งอย่างสุดโต่ง

และเมื่อพวกเขาเจอกับอุปสรรค พวกเขาก็จะยอมแพ้โดยง่าย นอกจากนี้ เมื่อพวกเขาเห็นความสำเร็จของคนอื่น ความรู้สึกกลัว ความผิดหวัง และความพ่ายแพ้ก็จะผุดขึ้นมาในหัวของพวกเขาทันที ในทางกลับกัน คนอีกประเภทที่มีความคิดยืดหยุ่น พวกเขาเชื่อว่าคนเราสามารถปรับปรุงและพัฒนาได้

ดังนั้น เราจะเห็นคนกลุ่มนี้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งรอบข้างตลอดเวลา พวกเขาเข้าใจว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น จึงไม่น่าแปลกใจว่าศักยภาพของพวกเขาจะเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

หากเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มคนที่มีความคิดแบบยึดติดกับกลุ่มคนที่มีความคิดแบบยืดหยุ่น จะพบว่าคนที่มีความคิดยืดหยุ่นจะรู้สึกสงบและมีความสุขในชีวิตมากกว่า เพราะพวกเขาสามารถควบคุมสิ่งต่างๆได้ดี พวกเขามีอิสระที่จะทำตามที่ใจต้องการ และประสบความสำเร็จมากกว่า

3. รักษาความเป็นตัวของตัวเอง และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น

บ่อยครั้งที่เรารับฟังคำพูด คำวิจารณ์ และความคิดเห็นของคนอื่นๆมากจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น สื่อในโลกออนไลน์ก็มีอิทธิพลต่อความคิดของคนในยุคปัจจุบันอย่างมาก สิ่งเหล่านี้ทำให้เราหลงทาง และลืมความเป็นตัวของตัวเองไป ตัวอย่างง่ายๆ

เช่น คุณเป็นคนชอบสีเขียว แต่ตอนนี้สีดำกำลังเป็นที่นิยม ดังนั้น คุณจึงเลือกซื้อสิ่งของที่มีสีดำเพื่อให้ทันสมัยกับกระแสสังคมในปัจจุบัน พฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่คุณรู้สึกกลัวหรือไม่มั่นใจในตัวเอง คุณจึงพยายามปรับเปลี่ยนหรือทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองดูดีในสายตาของคนอื่น

แต่ความเป็นจริงแล้ว คุณไม่ได้เป็นเช่นนั้นคุณต้องเสแสร้งแกล้งทำในสิ่งที่คนอื่นต้องการเพื่อให้คนอื่นพอใจ เพราะคุณเชื่อว่าคุณจะเป็นที่รักของคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การซ่อนความเป็นตัวตนไว้ภายใน ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง เพียงเพื่อทำให้คนอื่นพอใจ สุดท้ายแล้วตัวคุณเองก็จะไม่มีความสุขวิธีการแก้ไขก็คือ คุณควรติดต่อสื่อสารกับผู้คนรอบข้าง เปิดใจให้กว้าง และยอมรับกับความแตกต่างหลากหลาย

แต่สิ่งสำคัญก็คือ คุณต้องไม่ปล่อยให้ความเชื่อของบุคคลอื่นครอบงำชีวิตหรือบดบังความเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณ การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าทุกคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ทุกคนมีความโดดเด่น และมีความเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้น จงรักษาสิ่งที่มีคุณค่านี้ไว้

4. มองโลกในแง่ดี

การมองโลกในแง่ดีเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่จะช่วยให้ชีวิตคุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น หากคุณมองโลกในแง่ร้าย คุณก็จะกลายเป็นคนที่ขี้ระแวง ใจแคบ ไม่มีการพัฒนา และแน่นอนว่าคุณจะไม่มีความสุข ในทางตรงกันข้าม หากคุณมองโลกในแง่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส คุณจะเปิดใจยอมรับสิ่งต่างๆในชีวิต และทำให้คุณมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น

เช่น สมมุติว่าหัวหน้าเสนองานชิ้นหนึ่งให้คุณทำ หากคุณมองในแง่ลบ คุณจะคิดว่างานชิ้นนั้นยากมาก คุณไม่มีทางทำได้สำเร็จ มันจะทำให้คุณเหนื่อยเปล่า และเบียดบังเวลาในการทำงานอื่นๆของคุณ

ในทางตรงกันข้าม หากคุณมองในแง่บวก คุณจะรู้สึกว่าหัวหน้าไว้วางใจให้คุณทำงานชิ้นนี้ ซึ่งจะเป็นโอกาสพิสูจน์ความสามารถ และพัฒนาตนเอง อุปสรรคต่างๆเป็นสิ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้ หากคุณทำงานชิ้นนี้สำเร็จ คุณจะได้รับการยอมรับมากขึ้น และนั่นจะเป็นบันไดที่ทำให้คุณก้าวไปสู่ดวงดาว

5. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น

คุณเคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่านิ้วมือทั้งห้าของคนเรายาวไม่เท่ากัน แต่นิ้วมือทุกนิ้วมีความสำคัญหมด มนุษย์เราก็เช่นกัน ทุกคนมีข้อดีของตัวเอง ดังนั้น จงอย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับเปลือกภายนอก

เราโพสต์รูปอาหารการกิน ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว และสิ่งอื่นๆเพื่อให้ตนเองดูดี และมีคุณค่า หากคุณปล่อยให้สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อความคิดของคุณ คุณจะพบกับความเหนื่อยใจ เพราะคุณจะวิ่งไล่ตาม และเสาะแสวงหาสิ่งที่คุณเห็นว่าสามารถให้ความสุขแก่คุณได้ แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นความสุขจอมปลอม คุณไม่มีทางที่จะพบกับความสุขสงบได้ หากคุณเอาคนอื่นเป็นที่ตั้ง

ดังนั้น เพียงแค่คุณรู้ว่าตัวคุณต้องการอะไร คุณมีความสุขกับสิ่งไหน คุณก็ไม่จำเป็นต้องอิจฉาหรืออยากมีชีวิตแบบคนอื่นๆ เพราะสิ่งที่คุณสัมผัสได้ให้ความสุขกับคุณมากพอแล้ว

6. เชื่อมั่นในความเป็นไปได้

ความคิดเป็นตัวกำหนดทิศทางของชีวิต ดังนั้น หากคุณเริ่มต้นทำสิ่งใด และคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ คุณก็จะไม่มีทางพบกับความสำเร็จ คุณสามารถเปลี่ยนวิธีคิดแบบนี้ได้โดยการตั้งคำถามและคิดว่ามันเป็นไปได้

เช่น หากคุณเชื่อว่าคุณไม่สามารถทำงานชิ้นหนึ่งได้ ให้คุณลองตั้งคำถามกับตัวเองว่าฉันจะสามารถทำมันให้สำเร็จได้อย่างไร หรือหากคุณทำงานชิ้นหนึ่งและมันไม่ได้ผล คุณก็ลองเปลี่ยนมาตั้งคำถามใหม่ว่า จะสามารถทำมันให้ได้ผลได้อย่างไร

การเปลี่ยนแปลงจากประโยคปฏิเสธเป็นประโยคคำถาม คือการกระตุ้นพลังความคิดอีกวิธีหนึ่ง ที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด คุณต้องมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งต่างๆสามารถเป็นไปได้ เพราะทุกสิ่งเริ่มต้นที่ความเชื่อ ดังนั้น หากคุณเชื่อว่าเป็นไปได้ ประตูแห่งโอกาสจะเปิดรับคุณเอง

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://www.lifehack.org/319379/simple-mindsets-that-can-make-you-calm-and-happy-every-day)


สร้างความสุข และความสำเร็จในชีวิต

ด้วยการฝึก “ทักษะการฟัง” เพื่อให้เกิดการสื่อสารที่แท้จริงต่อกัน

หลักสูตร “ฟังเป็น เปลี่ยนชีวิต”

หลักสูตร 1 วัน ที่จะเปลี่ยนมุมมองความคิด เปลี่ยนชีวิตด้วยการฟัง 

ดูรายละเอียดคอร์สนี้คลิกที่นี่

5 ความมหัศจรรย์ของงานจิตอาสา

5-wonderful-things-will-happen-when-you-start-volunteering

เราทุกคนล้วนมีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่อยู่ที่ว่าเราจะค้นพบมันหรือไม่ บางคนเก่งเรื่องการให้กำลังใจและสนับสนุนผู้อื่น บางคนสามารถสร้างรอยยิ้มและทำให้คนอื่นหัวเราะ บางคนถนัดด้านการปลอบประโลมจิตใจ เป็นต้น เราทุกคนล้วนมีพลังและความสามารถภายในตนเอง ดังนั้น จงหยิบยื่นและแบ่งปันสิ่งดีๆเหล่านี้ให้กับผู้คนที่อยู่รอบข้าง เพราะหากคุณช่วยเหลือคนอื่นๆในวันนี้ พรุ่งนี้คนอื่นๆอาจช่วยเหลือคุณเช่นกัน

การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เช่น การทำงานอาสาสมัคร เป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง เพราะมันเป็น “การให้” ที่คุณไม่ต้องเสียเงิน แถมคุณยังจะได้รับสิ่งดีๆกลับคืนมาอีกด้วย การทำงานอาสาสมัครมีประโยชน์มากมาย เพราะนอกจากคุณจะได้รู้จักการให้แล้ว คุณยังได้รับประสบการณ์และได้พัฒนาตนเองในอีกหลายๆด้าน แต่หากคุณยังคิดถึงข้อดีของการทำงานอาสาสมัครไม่ออก ลองอ่านบทความนี้ดู แล้วคุณจะพบว่าการทำงานอาสาสมัครให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด

1) คุณได้ช่วยเหลือผู้อื่น

การทำงานอาสาสมัครเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นโดยสมัครใจ ผู้ที่อุทิศแรงกาย แรงใจ เวลา และสติปัญญาเพื่อปฏิบัติงานที่เป็นสาธารณประโยชน์คือผู้ที่มีความเสียสละ และรู้จักช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ พวกเขาจะใช้เวลาในการทำกิจกรรมจิตอาสาต่างๆตามที่ตนเองชอบและสนใจ เช่น การบริจาคเลือด การบริจาคสิ่งของ การทำความสะอาดโรงเรียน การอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง เป็นต้น สำหรับพวกเขาการทำงานอาสาสมัครไม่ใช่เพียงแค่การทำความดี และได้ผลดีเฉพาะตนเองเท่านั้น แต่มันเป็นเหมือนการหว่านเมล็ดพืช และเมื่อต้นกล้าเจริญงอกงาม เติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่แล้ว ก็จะส่งผลดี และเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นๆด้วย

เดนเซล วอชิงตัน ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศด้านวิชาการเล่าว่า ในสมัยที่เขายังเด็ก เขาเข้าร่วมกิจกรรมในชมรมลูกเสือเนตรนารี และได้บำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ เช่น เก็บขยะ ปลูกต้นไม้ ทาสีโรงเรียน สร้างห้องสมุด เป็นต้น หลังจากที่เขาเติบโตขึ้น และกลับมาเป็นวิทยากรที่ชมรมนี้อีกครั้ง เขารู้สึกภาคภูมิใจและพูดได้อย่างเต็มปากว่า ตนเองได้ช่วยเหลือและทำกิจกรรมจิตอาสามากมาย และเขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นหลังในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้เกิดขึ้นต่อไป

2) คุณได้รู้จักเพื่อนใหม่ และได้เชื่อมความสัมพันธ์กับคนอื่นมากขึ้น

หากคุณย้ายที่อยู่เข้าไปอาศัยในชุมชนแห่งใหม่ การทำกิจกรรมจิตอาสาจะช่วยให้คุณรู้จักเพื่อนใหม่ๆ และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นได้เร็วขึ้น เนื่องจากการทำงานอาสาสมัครจำเป็นต้องมีการติดต่อสื่อสาร และประสานงานซึ่งกันและกัน คุณจะได้พบเจอผู้คนมากมาย และเปลี่ยนความคิดเห็น และฝึกการทำงานร่วมกันเป็นทีม

กิจกรรมจิตอาสาเป็นเหมือนกับสนามฝึกที่สอนให้คุณรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น ลดความเห็นแก่ตัว และตั้งใจรับผิดชอบงานในบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม สิ่งนี้จะช่วยหล่อหลอมจิตใจแห่งการให้หรือสร้างจิตอาสาในตัวคุณ ทั้งนี้ หากเกิดปัญหาขึ้นในทีม ทุกคนจะต้องช่วยกันแก้ไข ร่วมไม้ร่วมมือ และยึดเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

3) คุณได้รู้จักตัวเองมากขึ้น

การทำงานอาสาสมัครเป็นการเปิดโอกาสให้คุณรู้จักตนเองมากขึ้น เพราะกิจกรรมจิตอาสาแต่ละประเภทมีความแตกต่างหลากหลาย ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณชอบกิจกรรมกลางแจ้ง จนกระทั่งคุณได้มีโอกาสไปปลูกต้นไม้ หรือไปแจกของให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม เป็นต้น

การทำกิจกรรมจิตอาสายังเป็นพื้นที่ให้คุณได้ไปตามความฝัน และความปรารถนา ซึ่งคุณอาจได้ค้นพบงานอดิเรกหรืองานที่คุณรักในอนาคต เช่น บางคนชอบสุนัข มีความสุขที่ได้ไปช่วยสุนัขจรจัดและหาที่อยู่ให้มัน บางคนชอบไปอยู่กับธรรมชาติ และทำให้ธรรมชาติงดงามขึ้น เป็นต้น

นอกจากนี้ งานอาสาสมัครเป็นงานที่ทำให้คุณได้ทำในสิ่งที่แปลกใหม่ ลดความซ้ำซากจำเจจากงานประจำที่ทำอยู่ ส่งผลให้คุณค้นพบศักยภาพและความสามารถที่ซ่อนอยู่ หรือไม่เคยรู้มาก่อน รวมทั้งอาจเกิดความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการทำงานประจำ หรือการพัฒนาองค์กรในด้านต่างๆ

4) คุณได้ลดความเสี่ยงของการเสียชีวิต

งานวิจัยซึ่งจัดทำโดยสถาบันการให้บริการชุมชนและประเทศชิ้นหนึ่งระบุว่า ผู้ที่ทำงานอาสาสมัครมากกว่า 100 ชั่วโมงต่อปี จะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงกว่าคนที่ไม่ได้ทำงานอาสาสมัคร เนื่องจากการทำกิจกรรมจิตอาสา โดยเฉพาะเมื่อได้ทำงานที่ชอบตัวอาสาสมัครเองจะมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดฟินหรือสารแห่งความสุข ซึ่งจะทำให้มีสุขภาพดีตามไปด้วย

กล่าวคือ การทำอะไรเพื่อผู้อื่น นอกจากจะสร้างสังคมให้น่าอยู่แล้ว ยังก่อให้เกิดความอิ่มเอมใจ ความรู้สึกมีคุณค่า ซึ่งเมื่อสุขภาพใจสมบูรณ์แล้ว สุขภาพกายก็แข็งแรงตามไปด้วย

5) คุณจะมีความสุขมากขึ้น

บางครั้งคุณอาจต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆมากมายในชีวิต คุณอาจท้อแท้ ผิดหวัง รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า แต่การทำงานอาสาสมัครจะทำให้คุณเปลี่ยนความคิดเหล่านี้ เพราะเมื่อคุณได้ทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่น คุณจะรู้สึกอิ่มเอมใจ และเห็นคุณค่าในตัวเอง

ดังนั้น หากคุณยังไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกอบอุ่นใจและความสุขจากการให้ ลองเริ่มต้นทำกิจกรรมจิตอาสา แล้วคุณจะพบความมหัศจรรย์ของมัน การได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ หรือทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตามจะทำให้คุณรู้สึกดี มีความสุข สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ และทำให้คุณรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://www.lifehack.org/323952/5-wonderful-things-will-happen-when-you-start-volunteering)

10 คำคมสร้างแรงบันดาลใจในตัวคุณ

10-inspirational-quotes-to-help-start-your-day

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้มนุษย์เราประสบความสำเร็จในชีวิต คือ “แรงบันดาลใจ” สิ่งนี้เปรียบเสมือนไฟที่ลุกโชติช่วง สร้างความหวังและความมั่นใจให้มนุษย์ได้เดินตามความฝัน กล่าวคือ แรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่ทำให้คนเรามีแรงขับเคลื่อนในการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ

หากคุณยังหาตัวเองไม่เจอ และไม่รู้ว่าตัวเองมีแรงบันดาลใจอะไร บทความนี้ได้รวบรวม 10 คำคมจากบุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งจะทำให้คุณเกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น

1) “ความลับของความสำเร็จคือ การเริ่มต้น” (มาร์ก ทเวน)

ความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จ กับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ คือ การเริ่มต้นลงมือทำ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ คือ ผู้ที่กล้าก้าวเดินไปยังจุดหมายด้วยความเชื่อว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่รอคอยอยู่เบื้องหน้า พวกเขามั่นใจว่าตนเองจะมองเห็นเส้นทางไปสู่ความฝันนั้นได้เมื่อเวลาผ่านไป ในทางกลับกัน ผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จมักผัดวันประกันพรุ่ง พวกเขามีข้ออ้างในการเริ่มต้นเสมอ เขาใช้ “ความไม่รู้” เป็นปราการขัดขวางตนเองจากจุดเริ่มต้น ดังนั้น เพียงแค่คุณไม่รีรอที่จะก้าวไปข้างหน้า และเดินตามความฝัน คุณก็จะพบความสำเร็จได้ไม่ยาก

2) “จงยอมรับความท้าทายเพื่อสัมผัสกับชัยชนะอันสวยงาม” (จอร์จเอส. แพตตัน)

คำพูดที่ว่า “ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ” หรือ “ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ” เป็นสิ่งเตือนใจให้เราเข้มแข็งและต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ กล่าวคือ การที่คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตย่อมต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเริ่มแรกของการลงมือทำ คุณอาจจะพบว่ามันช่างซับซ้อนและยากลำบากแต่หากคุณรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้ คุณจะได้พบกับผลลัพธ์ที่คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นความภูมิใจ ชัยชนะ และสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้น

3) “ภาพความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เกิดจากภาพความสำเร็จเล็กๆรวมกัน” (คริสโตเฟอร์ มอร์เลย์)

เรามักคิดว่าคนที่สามารถทำฝันใหญ่ๆได้สำเร็จ ไม่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง แท้จริงแล้ว พวกเขามีตัวตน และเป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับคุณ พวกเขาเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆค่อยๆก้าวทีละก้าว และพยายามตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงเป้าหมาย และคุณเองก็สามารถเป็นเช่นนั้นได้ เพียงแค่คุณตั้งเป้าหมายใหม่ๆในชีวิต พยายามทำอย่างต่อเนื่อง และนั่นเป็นหนทางที่จะทำให้ความฝันเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น

4) “กระโดด พร้อมเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดีเอง และคุณจะสามารถลงพื้นได้อย่างปลอดภัย” (จอห์น เบอโรห์ส)

ก่อนที่จะทำสิ่งใด หากคุณรอคอยให้ทุกอย่างพร้อมสรรพหรือสมบูรณ์แบบ คุณจะต้องรอคอยตลอดไป และไม่มีวันที่คุณจะทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ จงศรัทธาและเชื่อมั่นในสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยทำ คำคมนี้สอนให้คุณเชื่อมั่นในความฝัน และความเป็นไปได้ อย่าปล่อยให้ “ความกลัวหรือความไม่รู้” ขัดขวางคุณจากการเดินตามความฝัน จงเชื่อมั่นว่าคำตอบและการสนับสนุนทั้งหลายอยู่ข้างหน้าคุณ และมันจะปรากฏให้คุณเห็นเมื่อคุณต้องการ

5) “สิ่งสำคัญไม่ใช่การที่คุณก้าวได้ช้า แต่คือการที่คุณไม่หยุดก้าว” (ขงจื๊อ)

ในช่วงเริ่มต้นของการทำสิ่งใด คุณอาจรู้สึกว่าตัวเองย่ำอยู่กับที่ หรือแทบจะไม่ก้าวไปข้างหน้าเลย แต่แท้จริงแล้ว คุณกำลังก้าวไปอย่างช้าๆ และไม่น่าเชื่อว่า แต่ละก้าวของคุณมีพลังในการทำสิ่งต่างๆอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกๆก้าวเปรียบเสมือนแรงที่ช่วยผลักดันให้คุณไปถึงเป้าหมาย ความสำเร็จที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นเปรียบได้กับก้อนหิมะที่ค่อยๆกลิ้งลงมาจากภูเขา ดังนั้น จงเชื่อมั่นว่าหากคุณไม่หยุดอยู่กับที่ ความสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้น และคุณก็จะเข้าใกล้ความฝันของคุณมากขึ้นเรื่อยๆ

6) “อย่าเสียเวลามองนาฬิกา จงสนใจเฉพาะสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่” (แซม เลเวนสัน)

หากคุณกำลังเดินตามความฝัน จงอย่าวอกแวกกับสิ่งรอบข้าง ให้สนใจเฉพาะสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ และใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด ยกตัวอย่างเช่น นักวิ่งเสียเวลาและวิ่งได้ช้าลงเมื่อเขาเหลือบมองคู่แข่ง กล่าวคือ การพะวงเรื่องคะแนน หรือกังวลว่าตอนนี้ตนเองอยู่ลำดับที่เท่าไหร่เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์และขัดขวางความก้าวหน้า ดังนั้น จงมองไปข้างหน้า สนใจเฉพาะสิ่งที่คุณกำลังทำ และทุ่มเททำอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพราะนี่คือหนทางไปสู่ความสำเร็จ

7) “ปัญหายิ่งยากเท่าไหร่ รางวัลแห่งความสำเร็จยิ่งคุ้มค่าเท่านั้น” (โธมัส เพน)

เมื่อเผชิญกับปัญหาอุปสรรคต่างๆ คนที่ไม่ประสบความสำเร็จมักล้มเลิกความฝันและหยุดกลางคัน ในทางกลับกัน คนที่ประสบความสำเร็จต่างเข้าใจว่าปัญหานั้นเปรียบเสมือนบททดสอบบทหนึ่ง ดังนั้น เมื่อพวกเขาเจอสิ่งที่ท้าทาย พวกเขาจะรู้สึกขอบคุณช่วงเวลาอันยากลำบาก เพราะมันช่วยให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น และสิ่งนี้จะทำให้พวกเขาได้รับผลตอบแทนที่มีค่า และนำทางไปสู่ความสำเร็จ

8) “แม้ว่าคุณจะล้ม คุณก็ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้า” (วิคเตอร์ เคียม)

“คนที่ไม่เคยผิดพลาด คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย” ประโยคนี้สอนให้คุณรู้ว่า ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่มันเป็นสิ่งวิเศษ คุณสามารถนำความผิดพลาดนั้นมาทบทวนและเรียนรู้เพื่อช่วยป้องกันข้อผิดพลาดในอนาคตได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยสอนให้คุณรู้ว่าการที่คุณจะประสบความสำเร็จ คุณต้องทำอย่างไรบ้าง ดังนั้น เมื่อคุณล้มลง อย่าได้ท้อแท้สิ้นหวัง จงท่องให้ขึ้นใจว่า คุณกำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์อันล้ำค่า และเรียนรู้บางสิ่งที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในอนาคต

9) “เราจะพบข้อจำกัดที่แท้จริงของตัวเอง เมื่ออยู่ในสถานการณ์กดดัน” (เฮอร์เบิร์ต ไซมอน)

คนส่วนใหญ่คิดว่าตนเองมีข้อจำกัดต่างๆ แต่การคิดเช่นนั้นเป็นเหมือนการสร้างกำแพงให้กับตัวเอง แท้จริงแล้ว เรามีความสามารถมากกว่าที่เราคิด และข้อจำกัดที่คุณสร้างขึ้นนั้นไม่มีอยู่จริง ดังนั้น จงปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ อย่ากลัวที่จะทำสิ่งที่แตกต่างจากเดิม เพราะหากคุณยังเดินอยู่ในเส้นทางเดิมๆ คุณไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต

10) “อย่ายอมแพ้ น้ำมีขึ้นมีลง” (แฮเรียต บีเชอร์สโตว์)

เมื่อคุณรู้สึกหมดสิ้นหนทาง ให้คิดว่าชีวิตย่อมมีขึ้นมีลง จงผลักดันตัวเองให้ก้าวต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ แล้วคุณจะพบกับความสำเร็จ อุปสรรคต่างๆเป็นเพียงบททดสอบหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าคุณสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ จงเชื่อมั่นและพยายามอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าคุณจะเจอกับปัญหาที่ท้าทายเพียงใด การที่คุณแก้ไขปัญหาต่างๆโดยที่ยังยึดมั่นกับเป้าหมายในยามที่ยากลำบากจะเป็นประตูสู่ความสำเร็จของคุณ

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://expandedconsciousness.com/2015/08/15/10-inspirational-quotes-to-help-start-your-day/)

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save