เผย 5 เคล็ดลับการปล่อยวางที่ทำได้จริง

สังคมปัจจุบันนี้ ต่างคนต่างแก่งแย่งแข่งขันเพื่อที่จะให้ตัวเองสำเร็จและเหนือกว่าคนอื่น จนบางครั้งก็ลืมนึกถึงความสุขและใช้ชีวิตในแบบยึดติดกับความสำเร็จมากจนเกินไป

บางคนเมื่อเจอกับความล้มเหลว และความผิดพลาดต่างๆแล้ว ก็ทำใจให้ปล่อยวางกับเรื่องนั้น ไม่ได้ บางคนถึงขั้นคิดสั้น ฆ่าตัวตายไปเลยทีเดียว 

=====

สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ฝึกทำใจวางเฉยกับเรื่องต่างๆ รอบตัวซึ่งก็คือการปล่อยวางกับความยึดมั่นถือมั่น

ถ้าทำได้ คุณจะเห็นอีกมุมมองของชีวิต ที่อาจจะไม่เคยได้เห็นมาก่อนเลยก็ได้

เมื่อพูดถึงคำว่าปล่อยวาง เราได้ยินกันบ่อยตั้งแต่เด็กจนโต  ดูเหมือนเป็นคำที่พูดง่ายแต่ทำทำได้ยาก Learning Hub จึงขอเสนอ 5 เคล็ดลับการปล่อยวางที่ทำได้จริงซึ่งคุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันทีที่อ่านจบ

=====

1.ให้อภัยอดีต

หลายคนมีอดีตที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่และเรื่องต่างๆ มักจะคอยตามหลอกหลอนอยู่เสมอ  ไมว่าจะดำเนินชีวิตไปทางไหน อดีตก็จะมาทักทายให้ได้เจ็บปวดอยู่เรื่อยๆ จนดูเหมือนว่าไม่สามารถพบความสุขได้เลย

สำหรับอดีตนั้น ลึกๆแล้ว มันเกิดขึ้นมาจากใจของเราที่ไม่ยอมปล่อยวางจากเรื่องนั้นๆ ทำให้ความคิดยังคงสร้างอดีตที่แสนเจ็บปวดมาคอยทิ่มแทงตัวเองอยู่ตลอดเวลา

Tips: เทคนิคในการปล่อยวางอดีต ก็คือ การให้อภัย ทั้งคนอื่น และตัวเราเอง

หากเรามองเห็นได้ว่า เหตุการณ์นั้นเป็นสิ่งที่ผ่านเลยไปแล้วไม่อาจหวนกลับมาแก้ไขได้อีก การให้อภัยคือการปลดปล่อยตัวเราจากความทุกข์ที่เกาะกินใจอยู่

และนั่นจะทำให้เรามีโอกาสได้ เริ่มต้นใหม่และทำให้เราสัมผัสกับความสุขในปัจจุบันได้อย่างเต็มเปี่ยมมากขึ้น

=====

2. หยุดกังวลเรื่องอนาคต

หลายคนมีชีวิตที่ดี แต่ไม่อาจมีความสุขได้เต็มที่ เพราะมีความกังวลกับอนาคตของตัวเอง  เช่น ถ้ามีมีลูก ก็กังวลกับอนาตคของลูกจนไม่อาจสงบจิตใจได้เลย

ในความเป็นจริง เราเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปยาวนานแค่ไหน เราอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ การทำวันนี้ให้ดีที่สุด และกลับมามีความสุขอยู่กับปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า

หลายคนยอมแลกความสุขในปัจจุบันเพื่อรอคอยความสุขที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต น่าเศร้าที่หลายคนนั้นจากโลกนี้ไป โดยที่ยังไม่ได้พบกับความสุขนั้นเลย

Tips: หากต้องการปล่อยวางอนาคต ให้ระลึกถึงความตายบ่อยๆ

เมื่อมองเห็นว่า ชีวิตของเราไม่แน่นอน ปัจจุบันคือสิ่งที่แน่นอนและจริงแท้มากกว่า และเราสามารถทำให้ปัจจุบันเกิดขึ้นได้จริง

การมีความสุขตั้งแต่วันนี้ ทำทุกอย่างให้เหมือนสิ่งสุดท้ายที่เราจะได้ทำมันจะทำให้เรา ทำทุกสิ่งออกมาอย่างดีที่สุด

ทำอย่างไรถ้ายังมีความคิดกังวลกับอนาคต การตระหนักรู้เท่าทันตัวเอง (Self – Awareness) ช่วยคุณได้ นี่คือแนวทางการฝึกตระหนักรู้ในตัวเองที่เป็นรูปธรรมและเป็นขั้นตอนที่สุด

=====

3.ฝึกการบริจาค

เป็นธรรมชาติของคนเราที่ต้องการความสะดวกสบาย เราจึงใช้ชีวิตเพื่อสะสมสิ่งของ ซื้อ เก็บ สะสมไว้เป็นปริมาณมาก จนบางครั้งก็มีเยอะเกินพอดี เยอะจนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองควรต้องมีอะไรบ้าง

ในความเป็นจริงทุกอย่างสิ่งต่าง ๆ ที่สะสมคือของที่เราไม่สามารถเอาไปได้เมื่อตายไปแล้ว แต่มนุษย์กลับยึดติดวัตถุเหล่านั้นเป็นอย่างมาก 

ทั้ง ๆ ที่วันหนึ่งถ้าเราตายไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นของไร้ค่าในทันที หลายคนแม้ป่วยหนัก ก็ยังหวงแหนสิ่งของ จนไม่ยอมปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ลงไป

Tips: หาเวลาประมาณสัปดาห์ละครั้ง ในการพิจารณาตู้เสื้อผ้า ห้องเก็บของ ลิ้นชักตู้

ดูว่ามีอะไรบ้างที่เราไม่เคยหยิบใช้เลยมากกว่า 1 ปี  จากนั้นให้ทยอยบริจาคสิ่งเหล่านั้นโดยไม่จำเป็นต้องเสียดาย

เพราะที่ผ่านมาเราเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีของชิ้นนั้นอยู่ ถ้าหากเราบริจาค มันจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นมากกว่า

ถ้าเราสามารถสละสิ่งเล็กๆน้อยๆ ได้อยู่เรื่อยๆได้จะทำให้เราสามารถปล่อยวางเรื่องใหญ่ต่างๆ ได้มากขึ้น

=====

4.มองเห็นทุกสิ่งเป็นสิ่งชั่วคราว

สถานะต่างๆในสังคมไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ลูกน้องหัวหน้า หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาทั้งนั้น มันจึงเป็นเพียงแค่สิ่งชั่วคราว

ที่บอกอย่างนี้เพราะไม่มีใครที่จะรักษาตำแหน่ง หรือบทบาทเหล่านี้ไปจนตายได้ เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้วเราก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีหน้าที่อะไร

ร่างกายเราจะกลับคืนสู่ธรรมชาติทั้งหมด ไม่มีอะไรติดตัวเราไปได้เลย นอกจากความดี ความชั่ว และเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เราจะไปยึดติด กับสิ่งที่คนอื่นสมมติให้เราทำไม ปล่อยวางแล้วหันมาสร้างสิ่งดี เพื่อให้คนรุ่นหลังได้จดจำเรา ในแบบที่น่าจดจำจะดีกว่า

Tips: หากเรารู้สึกว่าใจไปยึดติดกับอะไร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หน้าที่ ตำแหน่ง สถานะทางสังคม ให้ลองจินตนาการว่า อีกร้อยปีข้างหน้า สิ่งที่เรายึดถืออยู่นี้จะเป็นอย่างไร

เราจะพบว่า เรามองเห็นจุดจบของสิ่งต่างๆมองเห็นความเป็นสถานะชั่วคราว และไม่จีรังของสรรพสิ่ง

เมื่อระลึกรู้ เตือนใจตัวเองเนืองๆแบบนี้ เราจะสามารถปล่อยวางทุกสิ่งได้ง่ายยิ่งขึ้น

=====

5. ปล่อยให้มันเป็นไป

ที่สุดของการปล่อยวาง คือหยุดคาดการณ์และบังคับควบคุมอนาคต เพราะไม่มีใครที่จะสามารถหยั่งรู้ หรือจัดการกับอนาคตได้

สิ่งเดียวที่ทำได้ คือทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่มีวิธีอื่นใดอีก ที่จะทำให้อนาคตเราให้ดีได้ เมื่อทำวันนี้อย่างดีและเต็มที่แล้ว ก็จงปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยกฎของเหตุและผล

ไม่ว่าเราจะเจอสิ่งดีหรือไม่ดี ให้คิดว่า เราได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว ก็จะไม่ทำให้เราเสียใจภายหลัง

หลายๆ คนเคยคิดหรือไม่ว่า ที่เราเสียใจมากๆ กับเรื่องต่างๆ ที่เราผิดหวังนั้น จริงๆแล้ว เราเสียใจจากเรื่องอะไร เสียใจเพราะการเกิดขึ้นของเรื่องนั้นหรือเสียใจที่เราไม่ได้พยายามทำเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นอย่างเต็มที่กันแน่

Tips: เราสามารถวางแผน และสร้างเป้าหมายได้ แต่ไม่ต้องยึดติดว่าทุกสิ่งจะต้องดำเนินไปตามแผนที่วางไว้เสมอไป

แผนมีเพื่อเป็นแผนที่บอกทาง แต่การเดินทางจะบอกถึงการใช้ชีวิตที่แท้จริง

ฉะนั้นเมื่อวางแผนแล้วก็จงทำให้เต็มที่ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป โดยไม่ต้องกังวลหรือคาดหวังผลลัพธ์ วิธีนี้จะทำให้เรามีความสุขในทุกย่างก้าวของชีวิตอย่างแน่นอน 

=====

ปล่อยวาง เป็นคำที่ใครก็สามารถเขียนหรือพูดให้ดูดีได้ แต่คนที่ทำได้จริงมีน้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเสียเลยทีเดียวสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน

ถ้าในขณะนี้คุณกำลังมีความทุกข์ ขอให้ถามตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่า เรากำลังฝึกที่จะปล่อยวางบ้างหรือยัง

หวังว่าทั้ง 5 วิธีนี้ จะทำให้ท่านสามารถปล่อยวางเรื่องราวต่างๆในชีวิตได้มากขึ้น และหากคุณมีวิธีอื่นๆที่ใช้ได้ผล ก็ช่วยแบ่งปันในคอมเม้นท์ให้เราได้เรียนรู้ไปด้วยกันมากขึ้นนะครับ

และถ้าคุณอยากติดอาวุธให้กับการปล่อยวาง กรอบคิดแบบยืดหยุ่น หรือ Growth Mindset ช่วยคุณได้ ดูรายละเอียดหลักสูตร Growth Mindset for Effective work ที่นี่

=====

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 093 925 4962

10 สิ่ง ที่คนมีความสุขทำ ก่อนนอนทุกคืน

happysleep

เมื่อคืนคุณหลับสบายมั้ยคะ ปัญหาหนึ่งของคนเมืองก็คือ หลับไม่สนิท นอนไม่เต็มอิ่ม นั่นมาจากสาเหตุอะไร

เราทุกคนเข้าใจและรู้ดีว่า “การนอนหลับ” เป็นสิ่งสำคัญ แต่ทว่า กิจกรรมที่เราทำก่อนนอนก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน บางคนดูรายการโทรทัศน์ก่อนเข้านอน บางคนดื่มเบียร์กระป๋องพร้อมกับทานกับแกล้ม บางคนติดตามข่าวสารของเพื่อนๆผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นต้น กิจกรรมที่เราทำก่อนนอนเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อคุณภาพการนอน รวมทั้งสภาพอารมณ์ จิตใจ และความรู้สึกของเราในวันถัดไปด้วย

งานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่า คนที่มีความสุขมักทำกิจกรรมก่อนนอนที่ทำให้ตนเองพึงพอใจ และรู้สึกผ่อนคลาย พวกเขาจะทำสิ่งที่มีความสุขและก่อให้เกิดประโยชน์ ซึ่งตัวอย่างกิจกรรมก่อนนอนของพวกเขา คือ กิจกรรม 10 อย่าง ดังนี้

1. นั่งสมาธิ

ประโยชน์ของการนั่งสมาธิได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ การนั่งสมาธิเป็นประจำก่อให้เกิดผลดีมากมาย เช่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ช่วยรับมือกับปัญหาความเครียดและภาวะซึมเศร้า ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น

คนที่มีความสุขมักใช้เวลาก่อนนอนเพื่อนั่งสมาธิ วิธีการนี้ช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อน ผ่อนคลาย และเป็นการทำให้จิตใจนิ่งและสงบก่อนนอน การนั่งสมาธิเป็นเหมือนการขจัดสิ่งไม่ดีที่ได้เจอมาทั้งวัน และเป็นการเตรียมความพร้อมในการเริ่มต้นวันใหม่อย่างมีความสุข

2. อ่านหนังสือ

คนที่มีความสุขมักอ่านหนังสือก่อนนอน พวกเขาไม่ได้อ่านหนังสือการ์ตูน นิตยสาร เฟสบุค หรือทวิตเตอร์ แต่พวกเขาอ่านหนังสือหรือบทความที่สร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดเพื่อช่วยเป็นเชื้อเพลิงเติมไฟให้กับความคิดสร้างสรรค์และพลังของพวกเขาในวันรุ่งขึ้น สิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาเกิดจินตนาการเชิงบวก มองโลกในแง่ดี และช่วยผลักดันชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้น

การอ่านหนังสือที่ดีและมีประโยชน์จะทำให้คุณหลับไปพร้อมกับความคิดดีๆ คุณจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และตื่นขึ้นมาพร้อมความปรารถนาที่จะบรรลุเป้าหมายอย่างเต็มเปี่ยม

3. วางแผนสิ่งที่จะทำในวันพรุ่งนี้

ก่อนเข้านอน คนที่มีความสุขมักจัดตารางและวางแผนสิ่งต่างๆที่เขาจะทำในวันรุ่งขึ้น กล่าวคือ เขาจะเอาความกังวลที่วนเวียนอยู่ในหัวออกมาเป็นรายการที่ต้องทำไว้ การรู้สิ่งที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ทำให้เขารู้สึกสงบ ผ่อนคลาย จิตใจและสมองปลอดโปร่ง ดังนั้น เขาก็จะตื่นขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่น และมีเป้าหมายในการทำสิ่งต่างๆอย่างชัดเจน

4. คิดถึงสิ่งที่ได้ทำสำเร็จในแต่ละวัน

เบนจามิน แฟรงคลิน กล่าวไว้ว่า “เวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด เราจึงจำเป็นต้องใช้มันให้เหมาะสมและคุ้มค่า” ก่อนที่เขาจะนอนในแต่ละวัน เขาถามตัวเองว่าวันนี้เขาได้ทำอะไรดีๆหรือไม่ วิธีการนี้ช่วยให้เขาทราบถึงสิ่งที่ตัวเองทำสำเร็จแล้ว และสิ่งที่ต้องพยายามทำต่อไป

คนที่มีความสุขมักใช้เวลาก่อนเข้านอนในการคิดพิจารณา และไตร่ตรองเหตุการณ์ในแต่ละวัน พวกเขาจะนึกถึงช่วงเวลาดีๆ และมองถึงความสำเร็จที่ผ่านมาในวันนั้นๆ สิ่งนี้เปรียบเสมือนแรงกระตุ้นให้พวกเขามีไฟ และคิดบวกตลอดเวลา

5.รู้สึกซาบซึ้งใจและขอบคุณสิ่งดีๆ

คนที่มีความสุขมักจะรู้สึกซาบซึ้งใจและขอบคุณในสิ่งที่ตนเองมี ก่อนเข้านอนพวกเขาจะหลับตาและคิดถึงสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบคุณในแต่ละวัน เช่น เรื่องที่เพื่อนร่วมงานขับรถมาส่งที่บ้าน เรื่องพนักงานที่บริการอาหารให้อย่างรวดเร็ว เรื่องสามีหรือภรรยาที่คอยอยู่เคียงข้างและสนับสนุนกันตลอดมา เป็นต้น การขอบคุณเป็น

ความรู้สึกดีๆที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ ทำให้คุณคิดบวก และเมื่อคุณนอนหลับไปพร้อมๆกับความรู้สึกดีๆ ก็จะทำให้คุณตื่นขึ้นมาพร้อมๆกับความรู้สึกดีๆเช่นกัน

6. พักผ่อนหย่อนใจ

คนที่มีความสุขแต่ละคนมีวิธีการพักผ่อน และผ่อนคลายตนเองที่แตกต่างกัน เช่น บางคนชอบอาบน้ำและตีฟองนุ่มๆ บางคนชอบดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆก่อนนอน บางคนทำงานอดิเรกที่ตนเองชอบ เช่น วาดรูป หรือถัก นิตติ้ง เป็นต้น วิธีการพักผ่อนหย่อนใจเหล่านี้ ทำให้พวกเขารู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น

7. ดื่มหรือทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

คนที่มีความสุขจะรู้สึกดีทั้งร่างกายและจิตใจ ก่อนเข้านอนคุณไม่ควรรับประทานอาหารบางอย่างที่ส่งผลเสียต่อการนอนของคุณ เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีรสจัด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ คุณควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว ทำให้นอนหลับได้ยาก ในทางกลับกัน คุณควรรับประทานอาหารจำพวกกล้วย เผือก ขนมปังโฮลวีต และนม เพราะอาหารเหล่านี้ย่อยง่าย และช่วยให้คุณผ่อนคลาย และนอนหลับสบายขึ้น

8. ออกกำลังเบาๆ

การวิ่ง หรือการยกน้ำหนักก่อนนอนไม่ใช่วิธีการออกกำลังกายที่ดีนัก เพราะมันทำให้อุณหภูมิในร่างกายคุณสูงขึ้น ทำให้รู้สึกตื่นตัว และนอนหลับได้ยาก หากคุณต้องการออกกำลังกายก่อนนอน ลองเปลี่ยนมาออกกำลังกายเบาๆ อย่างเช่น การยืดกล้ามเนื้อ หรือการเล่นโยคะแทน

9. ตัดเทคโนโลยีก่อนนอน

บางครั้งเราทำหลายสิ่งที่ไม่จำเป็นก่อนเข้านอน เช่น เช็คอีเมลล์ อ่านข่าว ติดตามสิ่งที่เพื่อนๆโพสต์ลงในอินสตราแกรมหรือเฟสบุค หรือแม้แต่การประกาศให้โลกรู้ว่าเรากำลังจะเข้านอนผ่านทางทวิตเตอร์ สิ่งเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด และทำให้เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น ก่อนเข้านอนเราจึงควรตัดเทคโนโลยีออกไป และทำสิ่งที่มีประโยชน์อื่นๆแทน

10. สร้างบรรยากาศในห้องนอน

บรรยากาศในห้องนอนเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะสามารถส่งผลต่อการนอนของคุณได้ คุณควรสร้างบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะแก่การนอนหลับ เช่น คุณอาจฟังเพลงช้าๆ หรือคุณอาจใช้น้ำมันหอมระเหยในห้องนอน เพื่อช่วยให้คุณผ่อนคลาย และรู้สึกอยากพักผ่อน นอกจากนี้ ห้องนอนควรจะเงียบ ไม่มีเสียงรบกวน อุณหภูมิในห้องต้องเย็นพอดี และควรปิดไฟให้มืด

แม้วันนั้นในตอนเริ่มต้น จะไม่ใช่วันที่ดีของคุณ แต่รับประกันได้ว่า ในตอนสิ้นวัน หากคุณลองใช้ 10 วิธีนี้ ก่อนเวลานอน จะทำให้คุณนอนหลับได้อย่างสุขใจอย่างแน่นอน หากมีวิธีอื่นๆที่ทำให้คุณมีความสุขก่อนนอน มาช่วยกันแชร์ต่อในคอมเม้นท์ข้างล่างนะคะ

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.lifehack.org/293117/10-things-happy-people-before-lying-bed-every-night

คุณกำลังติดกับความสุขจอมปลอมหรือไม่ อะไรคือความสุขที่แท้จริง

truehappiness

เชื่อว่าทุกวันนี้ หลายคนคงติดตามเรื่องราวชีวิตของเพื่อนๆและคนรู้จักผ่านทางรูปถ่ายที่พวกเขาลงไว้ในอินสตราแกรม หรือเฟสบุคส่วนตัว พวกเขามักซื้อของใหม่ๆ ทานอาหารในร้านหรู นั่งรถราคาแพง ท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง และทำสิ่งแปลกใหม่เสมอ ชีวิตของพวกเขาช่างดูสวยงาม และมีความสุข จนทำให้เรารู้สึกอิจฉาและอยากที่จะมีชีวิตแบบนั้นบ้าง และเมื่อเราพยายามไขว่คว้าหาสิ่งที่ต้องการมาได้ หรือสามารถตอบสนองความต้องการของตนเองได้ เราก็จะรู้สึกมีความสุข

หลายคนให้นิยามความสุขไว้เช่นนี้ ความสุข คือ การทำสิ่งที่ตนเองต้องการได้สำเร็จ

“เมื่อฉันเห็นคนอื่นมี… คนอื่นได้… คนอื่นเป็น… ฉันก็เกิดความรู้สึกอยากมี…อยากได้…และอยากเป็น…เช่นกัน และเมื่อฉันมี…ฉันได้…และฉันเป็น…ตามที่ฉันต้องการ ฉันก็จะมีความสุข”

แต่แท้จริงแล้ว ความสุขที่เกิดจากการครอบครองเป็นเพียงความสุขระยะสั้น อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของวงจรแห่งความทุกข์ที่ไม่รู้จบ เพราะเมื่อคุณอยากได้ อยากมี คุณจะเปรียบเทียบชีวิตของตนเองกับคนอื่นตลอดเวลา คุณจะพยายามไขว่คว้า และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ เนื่องจากคุณรู้สึกว่าตนเองมีบางสิ่งที่ขาดหายไป และหากคุณสามารถทำได้สำเร็จ คุณก็จะมีความสุข แต่นั่นเป็นต้นตอที่ทำให้คุณวิ่งไล่ตามหาความสุขอื่นๆอย่างไม่จบสิ้น

บทความนี้จะทำให้คุณสามารถแยกแยะความสุข 2 ประเภท คือ ความสุขจอมปลอม และความสุขสงบที่แท้จริง แล้วหลังจากนั้น ก็อยู่ที่คุณเอง ว่าจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน

 คุณกำลังติดอยู่กับความสุขจอมปลอมหรือไม่

  • คุณปรารถนาที่จะทำสิ่งต่างๆเหมือนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การใช้ชีวิต การเข้าสังคม หรือการท่องเที่ยวหากคุณมีความคิดเช่นนี้ คุณกำลังหลงอยู่ในวังวนของความสุขจอมปลอม จะมีสิ่งใหม่ๆที่คนอื่นทำและคุณคิดว่ามันดีกว่าสิ่งที่คุณทำอยู่เสมอ คุณจึงต้องพยายามไขว่คว้าหาสิ่งต่างๆไม่รู้จบ
  • คุณคิดอยากจะปรับปรุงตัวเอง เช่น อยากผอมลง อยากมีผิวขาวขึ้น อยากฉลาดขึ้น อยากใจเย็นมากขึ้น สิ่งนี้หมายความว่า คุณรู้สึกไม่พอใจในตัวเอง คุณจึงพยายามทำให้ตัวคุณดูดีขึ้น ทว่า ความเป็นจริงแล้ว คุณก็ยังคงไม่สมบูรณ์แบบ เพราะคุณจะรู้สึกว่ายังมีสิ่งที่ตัวเองต้องปรับปรุงอีก และนั่นจะทำให้คุณเหนื่อยและมีความทุกข์อย่างต่อเนื่อง
  • คุณรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ คุณอาจจะอยากหาเงินเพิ่มขึ้น อยากทำงานมากขึ้น อยากออกกำลังกายมากขึ้น อยากไปเที่ยวมากขึ้น และผลก็คือ คุณต้องแก่งแย่งชิงดีกับคนอื่นๆ รวมถึงแข่งขันกับตัวเองมากขึ้น และไม่มีวันที่คุณจะพอใจกับสิ่งที่คุณทำอยู่ เพราะสำหรับคุณ มันไม่มีจุดสูงสุด คุณจะต้องเสาะแสวงหาสิ่งใหม่ๆเสมอ
  • คุณตำหนิคนอื่นๆในสิ่งที่พวกเขาทำ คุณมักจะต่อว่าลูกๆ สามี ครอบครัว หรือเพื่อน เพราะคุณคิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่ถูกต้อง หรือบางทีพวกเขาไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ แต่นั่นเป็นความคิดของคุณเพียงคนเดียว คุณตำหนิผู้อื่นเพราะคุณไม่ถูกใจ และสาเหตุที่แท้จริงนั้น เกิดจากความรู้สึกไม่พอใจในชีวิตของคุณเอง คุณจึงบ่นและวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น

หากคุณมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับตัวอย่างในข้างต้น คุณกำลังอยู่กับความสุขที่จอมปลอม คุณหลงใหลในรูปลักษณ์ภายนอกจนลืมสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของชีวิต และนั่นจะทำให้คุณเป็นทุกข์ ดังนั้น จงปรับเปลี่ยนความคิดและการกระทำของคุณตามขั้นตอนต่อไปนี้ เพื่อนำชีวิตไปสู่หนทางแห่งความสุขสงบที่แท้จริง

อะไรคือ ความสุขที่แท้จริง

 1. หยุดไขว่คว้า หาความสุขภายนอก

ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณมี สิ่งที่คุณเป็น สถานที่ที่คุณไป หรือสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ แต่ความสุขสามารถเกิดขึ้นได้จากใจหรือความคิดของตัวคุณเอง โลกวัตถุนิยมนั้นสร้างภาพลวงตาให้เราเข้าใจว่าความสุขสามารถหาได้จากการครอบครอง หรือการเป็นเจ้าของ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นความสุขระดับหนึ่งเท่านั้น

เพราะแม้ว่าเราจะมี… เราจะได้… หรือเราจะเป็น….อย่างที่ใจเราต้องการแล้ว เราก็ยังไม่มีความสุขที่สมบูรณ์หรือแท้จริง เพราะใจเรายังไม่หยุดนิ่ง เรายังต้องวิ่งตามหาความสุขที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในทางกลับกัน หากว่าเราขาดแคลนวัตถุในการปรนเปรอความสุขให้กับเรา แต่เรามีใจที่สงบ พอเพียง และพอใจกับสิ่งที่เรามี เพียงเท่านี้ เราก็จะมีความสุขในจิตใจ

2. ฝึกทำ “สมาธิ” อย่างสม่ำเสมอ

การฝึกสมาธิ สามารถช่วยให้คุณพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้ สมาธิ คือ สภาวะของจิตที่ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว คือนิ่งอยู่กับตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งอื่น คุณสามารถทำสมาธิได้ทุกที่ ทุกเวลา หรือไม่ว่าคุณจะทำอะไร หรืออยู่กับใคร โดยเริ่มจากการทำจิตใจของคุณให้สงบ ตัดความฟุ้งซ่านออกไป กำหนดความคิดและจิตให้นิ่ง จดจ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

คุณจะรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของร่างกาย ลมหายใจ และประสาทสัมผัสของคุณ ซึ่งปราศจากปัจจัยภายนอกรบกวน และหากคุณแน่วแน่และมีสมาธิมากพอ คุณจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่นิ่งและสงบ และคุณจะอิ่มเอมไปกับช่วงเวลาแห่งการรับรู้ตัวตนที่แท้จริง ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่พิเศษและมีความสุข

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.dailygood.org/story/988/the-contentment-habit-leo-babauta/

 

เผย 3 การค้นพบจากผลวิจัย ที่ทำให้ความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม

happyinreach

หลายคนคงเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันต้องการมีความสุขมากกว่านี้ แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร” บทความนี้จะเปิดเผยความลับที่จะทำให้ทุกคนรู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ปัจจุบันคนเรามีชีวิตที่ซับซ้อน เคร่งเครียด และมักถูกตัดขาด บ่อยครั้งเราถูกสื่อประโคมข้อมูลมากมายและถูกทำให้เชื่อว่าการซื้อสิ่งของต่างๆนั้นจะทำให้เรามีความสุข  มีชีวิตที่สวยงาม ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง และแม้แต่กลายเป็นคนที่น่ารักมากขึ้น แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการแสวงหาความสุขอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงความสุขชั่วครู่

ผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่า คนที่มีความสุขในชีวิตนั้น แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งวัดได้จากคุณภาพของ “ความสุข” หากคุณต้องการทราบว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขกลุ่มใดบ้าง ให้คุณใช้เวลาสักเล็กน้อยนึกถึงชีวิตตัวเองว่า “อะไรทำให้คุณมีความสุขบ้าง” จดลงในลิสต์ แล้วคุณจะพบคำตอบ

1.คุณเป็นพวกเพลิดเพลินกับความสุขในช่วงสั้นๆ

ความสุขทางประสาทสัมผัสเป็นสิ่งที่ดี เช่น อาหารและไวน์มื้อพิเศษ เซ็กส์ที่ยอดเยี่ยม กีฬา และความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ ทว่าความสุขแบบนี้กำลังหายไป เนื่องจากคนเรามีความต้องการมากขึ้น มีความปรารถนามากยิ่งขึ้น ทั้งยังถูกแวดล้อมไปด้วยสื่อที่กระตุ้นให้เราละทิ้งความสุขที่แท้จริง และไขว่คว้าหาความสุข “เพิ่มเติม”

โลกวัตถุนิยมทำให้เราไล่ตามความต้องการอันฉาบฉวยมากขึ้น และหากวันใดที่เรามีความทุกข์ เราก็จะพยายามหาทางหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจเหล่านั้นและแสวงหาสิ่งที่เราพึงพอใจไม่รู้จบ ไม่ว่าความสุขอันฉาบฉวยนั้นจะหาได้จากอาหารหรือยาเสพติด เงินทองหรือชื่อเสียง การพนันหรืองานหนัก และนั่นเป็นวงจรผิดๆซึ่งนำเราไปสู่ความไม่พึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ การเปรียบเทียบทางสังคม ความกระวนกระวายใจ ความหดหู่ซึมเศร้า และแม้กระทั่งสิ่งเสพติด

ดังนั้น ขอโทษที่ต้องบอกคุณว่า การเพลิดเพลินกับความสุขในช่วงสั้นๆนี้ไม่สามารถสร้างความสุขและความพึงพอใจที่ยั่งยืนให้กับคุณได้

2. คุณชอบท้าทายสิ่งใหม่ เรียนรู้จากความล้มเหลว และพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น

หากความสุขของคุณเป็นการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ เช่น คุณสามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ หรือมีความชำนาญในการสื่อสาร หรือถนัดด้านการซ่อมแซมเครื่องยนต์ แสดงว่าความสุขของคุณคือ “การพัฒนา” คนที่มีความสุขจะแสวงหาเรื่องที่ท้าทายและชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ พวกเขากล้าเสี่ยงและมักจะทดลองทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เพราะสิ่งนั้นทำให้พวกเขาเกิดความสนใจใคร่รู้ มีพลัง และก้าวไปข้างหน้า

แต่ความลับก็คือ คนที่มีความสุขเหล่านั้น คือ คนที่รู้จักความล้มเหลว คนที่มีความสุขจะเข้าใจว่าการพัฒนาตนเองไปอีกระดับนั้นต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย ซึ่งพวกเขาต้องใช้ความยืดหยุ่นในการปรับตัว การพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และมีความสุขกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เนลสัน แมนเดลา กล่าวคำพูดหนึ่งที่กินใจไว้ว่า “ความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น หาใช่การที่เราไม่เคยล้ม หากแต่เป็นการที่เราลุกขึ้นมาได้ในทุกครั้งที่เราล้มลง” สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ และนำมาซึ่งความสุขที่ลึกซึ้งของชีวิต

3. คุณมีทัศนคติที่ดี และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

ในลิสต์ของคุณมีความสุขที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ การเห็นอกเห็นใจ ความมีเมตตากรุณาบ้างหรือไม่ ทัศนคติที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่มีความสุข พวกเขารู้จักที่จะสังเกตและชื่นชมสิ่งดีๆรอบตัว ลองคิดดูว่า หากคุณตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย เช่น การข่มขู่คุกคาม หรือความตึงเครียด คุณอาจจะวิพากษ์วิจารณ์สิ่งต่างๆได้ตลอดเวลา

แต่ในทางกลับกัน คนที่มีความสุขจะเลือกมองหาด้านดีๆในสถานการณ์นั้นๆ นั่นเป็นเพราะทัศนคติที่ดี พวกเขามีเคล็ดลับก็คือ การคิดว่าชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การต่อสู้และเผชิญกับความผิดหวังหรือเคราะห์ร้ายเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาเข้าใจว่าความเจ็บปวดก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเช่นกัน

วิคเตอร์ ฟรังเคิล ผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กล่าวไว้ว่า “คุณสามารถเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากมนุษย์ได้ ยกเว้นเสรีภาพสุดท้ายของมนุษย์ที่จะเลือกมีทัศนคติต่อสถานการณ์ต่างๆซึ่งก็คือ การเลือกทางเดินของตนเอง” คำพูดนี้ไม่ใช่แค่นามธรรม หรือหลักการทั่วๆไป แต่มันเป็นสิ่งที่ละเอียดและชัดเจนซึ่งสามารถเปลี่ยนปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆให้กลายเป็นความคิดและการกระทำแง่บวกที่แน่วแน่และตรงตามเป้าหมาย

สุดท้าย ไม่มีสิ่งใดมีความหมายและสำคัญมากไปกว่าการที่เราให้ความสุขกับผู้อื่น และปฏิบัติต่อผู้อื่นและต่อตัวเราเองด้วยความรัก ความเมตตา เมื่อเราหยิบยื่นความรัก ความปรารถนาดี และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่น เราก็จะได้รับความสุขกลับมาเช่นกัน ดังที่ องค์ดาไล ลามะ กล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณอยากให้คนอื่นมีความสุข จงฝึกเห็นใจผู้อื่น ถ้าคุณอยากมีความสุข จงฝึกเห็นใจผู้อื่น”

หากคุณกำลังแสวงหาความสุขที่แท้จริงอยู่ กุญแจไขความลับนั้นอยู่ในบทความนี้แล้ว   “จงเพลิดเพลินกับความสุขในชีวิตของคุณ กล้าท้าทายตนเองเพื่อการพัฒนา เรียนรู้ไปกับทักษะและความสำเร็จใหม่ๆ นอกจากนี้ การมองโลกในแง่ดี และเผื่อแผ่ความเมตตาให้กับผู้คนรอบข้างจะช่วยให้ชีวิตของคุณมีความหมายและมีความสุขเพิ่มขึ้น” หากคุณลองทำตามคำแนะนำข้างต้น ความสุขก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

 เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.projecthappiness.org/happiness-within-reach-the-open-secret/

 

 

5 วิธีฟื้นคืน จากวิกฤตชีวิต

5lifechanging

ยากเหลือเกินที่จะยิ้มได้และใช้ชีวิตอย่างปกติ หากต้องเผชิญกับความท้อแท้สิ้นหวัง

ไม่ว่าจะเป็นการเจอวิกฤตด้านการเงิน ตกงานกะทันหัน ถูกทำร้ายทั้งร่างกายและอารมณ์ ความสัมพันธ์ที่ไปไม่รอด

การสูญเสียคนรักหรือเพื่อนอย่างกะทันหัน อีกทั้งความเจ็บป่วยเรื้อรังของญาติผู้ใหญ่

นี่คือสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่ใช่หรือเปล่า ?

ซ้ำร้ายกว่านั้น ในยามที่ชีวิตเป็นขาลง ดูเหมือนอะไรๆก็เข้ามาตามซ้ำเติม

ปัญหาหนึ่งก่อตัวขึ้นยังไม่จบ ปัญหาใหม่ๆก็เข้ามาทับถม และส่งผลกระทบถึงเรื่องต่อๆไป

คุณทำอย่างไร เมื่อชีวิตอยู่ในช่วงวิกฤต?

ในช่วงเวลาแบบนี้คุณจะพบว่า ในใจมีแต่ความกลัวและความเจ็บปวด เพราะความหวังพังทลาย

รู้สึกสูญเสียความมั่นใจ

รู้สึกไร้คุณค่าและไม่ดีพอ

รู้สึกสิ้นหวังและไม่มีกำลังใจจะก้าวเดินต่อ

สิ่งที่เกิดขึ้น อาจทำให้คุณจมอยู่ความรู้สึกย่ำแย่ และเศร้าโศกเนิ่นนาน จนกลายเป็นความซึมเศร้า ขาดกำลังใจที่จะใช้ชีวิต

คุณไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นมาอีกครั้งได้ยังไง ไม่ว่าใครจะมาพูดปลอบโยนเท่าไหร่ ก็ไม่อาจช่วยให้คุณดีขึ้นมาเลย…

 

ตามกฎของจักรวาล “ทุกสิ่งไม่เที่ยงและจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอ”

ดังนั้นโชคร้ายก็จะไม่อยู่กับคุณตลอดไป ในเมื่อชีวิตมีขาลงก็ย่อมมีขาขึ้น

ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ ข่าวดีก็จะมาเยือน แล้วคุณจะลุกขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

แต่หากคุณมีวิธีที่จะทำตัวเองให้ดีขึ้นได้ในเร็ววันจะไม่ดีกว่าหรือ

ต่อไปนี้เป็น 5 วิธีที่จะช่วยคุณได้

 

1. ยอมรับและเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

มีความทุกข์อยู่ 2 อย่าง คือ ทุกข์ที่ทำให้คุณเจ็บปวด และทุกข์ที่ทำให้คุณเปลี่ยนแปลง

คุณจะเจ็บปวดก็ต่อเมื่อคุณต่อต้านมัน หากคุณยอมรับและพร้อมที่จะเดินไปต่อกับมันได้ นั่นจะนำมาซึ่งการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง

อย่างแรกที่คุณจะทำก็คือ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าคุณไม่ชอบมันเลย การดิ้นรนต่อสู้กับมัน หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ก็ยิ่งจะเสียพลังงานและเวลาไปเปล่าๆ

 

การยอมรับจะทำให้คุณกลับมาพบความสงบในใจ และพร้อมที่จะเดินหน้าต่อในทิศทางใหม่ๆ

การปล่อยวางจะง่ายยิ่งขึ้น หากคุณ“ให้อภัย” ไม่ว่าจะเป็นกับตัวคุณเอง กับใครบางคน หรือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้

การให้อภัยจะปลดปล่อยตัวคุณจากความเครียด ความกดดัน ความกังวล ความยึดติดกับอดีตและอนาคตทั้งหลาย

การยอมรับและการอภัย จะช่วยให้ใจของคุณรู้สึกเบาสบายขึ้น เป็นอิสระจากสิ่งที่คุณยืดถือและคาดหวังว่าจะต้องเป็น แม้ว่าสิ่งภายนอกจะยังเหมือนเดิมก็ตาม

 

2. โอบกอดตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

หากคุณหมดความมั่นใจ หมดความเชื่อและศรัทธาในตนเอง แสดงว่าคุณกำลังอยากจะเป็นใครอีกคนที่ไม่ใช่คุณ

ลองถามตัวเองว่า กำลังคาดหวังความสมบูรณ์แบบในชีวิตอยู่หรือเปล่า ลองมองอดีตที่ผ่านมาสิ คุณก็มีความสำเร็จในชีวิตเกิดขึ้นตั้งมากมาย

สิ่งที่คุณต้องการในตอนนี้คือ การโอบกอดและยอมรับตัวเอง ในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

 

หยุดเปรียบเทียบกับชีวิตคนอื่น มองให้เห็นความสวยงามในตัวเอง

ถึงแม้จะไม่เหลือสิ่งภายนอกใดๆเลยก็ตาม คุณก็ยังเป็นมนุษย์ที่สวยงามในแบบที่คุณเป็น และมันดีที่สุดแล้ว

คุณคือคนธรรมดาที่สามารถทำผิดพลาดได้ มีความกังวลบ้าง กลัวบ้างเป็นธรรมชาติ

คุณไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ก็สามารถยอมรับและรักตัวเองได้

 

3. เตือนตัวเองว่า ทุกสิ่งเป็นของชั่วคราว

การก้าวข้ามที่สำคัญในชีวิต เกิดขึ้นเมื่อคุณตระหนักว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆในชีวิต ทั้งที่เป็นข้อจำกัด ความล้มเหลว ความผิดพลาด ความสูญเสีย โชคร้ายและความเสื่อมถอย เป็นเพียงของชั่วคราวเท่านั้น

และหลายครั้งมันผ่านไปแล้ว แต่คุณยังทำให้มันคงอยู่ ด้วยความคิดของคุณนั่นเอง

ความทุกข์และความไม่แน่นอน ก็เป็นของชั่วคราว มันไม่มีทางจะยาวนานไปตลอดกาล

เวลาจะช่วยเยียวยาคุณได้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลานับเดือนนับปี แต่แล้วมันก็จะผ่านไป

ชีวิตจะหมุนต่อไปไม่หยุด ดังนั้นอย่าให้ความทุกข์มาเปลี่ยนตัวคุณที่แท้จริงไป

คนที่เข้มแข็งคือคนที่ร้องไห้ได้อย่างเปิดเผย แล้วก็พร้อมก้าวต่อไปเมื่อหยาดน้ำตาเหือดแห้งลง

 

4. มองหาสิ่งที่ขอบคุณได้ ในช่วงเวลานี้

การขอบคุณ คือการเยียวยาตัวเองที่เรียบง่าย และมันช่วยได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ในภาวะที่กำลังจมอยู่กับตัวเองและความทุกข์ ลองหาเหตุผลที่จะขอบคุณกับอะไรก็ได้รอบๆตัว

แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งเล็กน้อยและธรรมดาแค่ไหน ขอบคุณที่ยังมีลมหายใจ ขอบคุณความรักจากคนรอบตัว ขอบคุณสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากเรื่องนี้

หากคุณเลิกมองสิ่งที่ขาดหาย และหันมาขอบคุณกับสิ่งที่เหลืออยู่ ด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ จะพบว่าหลายๆครั้งได้มองข้ามอะไรไปบ้าง

สิ่งที่สูญเสียไป คงเอากลับมาไม่ได้ แต่มันดีแค่ไหน ที่คุณได้ค้นพบสิ่งที่มีค่าที่ยังคงมี กับชีวิตที่เหลืออยู่

 

5. ยื่นมือออกไป ช่วยใครสักคน

ความท้อแท้ในชีวิต ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะคุณรู้สึกสมเพชตัวเอง แม้มันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ แต่คุณก็ทำอยู่เสมอๆโดยไม่รู้ตัว

ถ้าคุณสามารถจับความคิดได้ว่า เริ่มดูถูกและต่อว่าตัวเอง ให้หยุดสนใจที่ตัวเองแล้วมองไปที่ผู้คนรอบๆตัว

ลองหาทางที่จะช่วยเหลือใครสักคน แม้แต่จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆ เชื่อมั้ยว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นในทันที

 

เมื่อไหร่ที่คุณอยากได้รับการใส่ใจ ให้คุณใส่ใจผู้อื่น ดูแลเขาให้เหมือนกับที่คุณต้องการ ด้วยจิตที่เมตตา และหัวใจอ่อนโยน

หากคุณทำเช่นนี้ ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเองได้อีก มันจะทำให้คุณตระหนักถึงคุณค่าแห่งการมีชีวิต

การได้ช่วยเหลือใครสักคน จะทำให้คุณตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ที่ขังคุณไว้ในจิตใจอันโดดเดี่ยวของตัวเอง

 

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังท้อแท้สิ้นหวังในชีวิต ขอให้รู้ว่า คุณไม่ได้เผชิญกับมันเพียงลำพังผู้เดียว

คนรอบตัวที่เค้ารักคุณ ต่างรู้สึกและได้รับผลกระทบกับความเศร้าจากคุณอยู่เช่นกัน

ยิ่งคุณทำร้ายตัวเอง ก็จะยิ่งทำให้พวกเค้าเจ็บปวดไปด้วย

ถ้านั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ ลองใช้หลักการ 5 ข้อนี้ นำพาตัวเอง ให้ฟื้นคืนขึ้นมาจากฝันร้าย

นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังช่วยให้ชีวิตคุณและพวกเขาดีขึ้นในคราวเดียวกัน

บทความโดย “เรือรบ” ผู้เขียนหนังสือ “Happiness Recipe: 10 สูตรผสมความสุข”
…………….

5 ความแตกต่าง ระหว่างรักแท้กับรักเทียม

ความรักที่แท้ คนทั้งสองจะไม่ “ตกหลุมรัก” แต่จะ “ก้าวเข้าไปในความรัก” มันจะไม่เกิดจากการตกหลุมลงไปแบบหัวปักหัวปำ แต่จะเป็นการค่อยๆพัฒนาเติบโตไปด้วยกัน การตกหลุกรัก เป็นเพราะเราห้ามใจไม่ได้ จนต้องเสียความเป็นตัวเอง ติดอยู่ในที่ไหนสักแห่งที่ต่ำกว่าเดิม จะต้องพยายามปีนกลับขึ้นมา เพื่อจะใช้ชีวิตอย่างปกติ

แต่รักแท้ไม่ใช่อย่างนั้น การก้าวเข้าไปในรัก เกิดขึ้นง่ายๆโดยไม่ต้องพยายามอะไรเลย เป็นพื้นที่ๆสงบสุขของชีวิต ปลอดภัยและอบอุ่นเหมือนซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มา

เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าความรักครั้งนี้ เป็นรักแท้หรือเทียม มันจะสั้นแค่สองเดือน หรือจะยาวนานตลอดไป ต่อไปนี้เป็น 5 ความแตกต่าง ระหว่างรักแท้กับรักเทียม

1. รักเทียมมีแต่คำถาม รักแท้มีทุกคำตอบ

คู่รักเทียมชอบถามว่า เธอรักฉันไหม เธอกำลังมองคนอื่นอยู่รึเปล่า เราจะคบกันไปนานได้แค่ไหน คู่รักแท้ ไม่มีความสงสัย ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามเหล่านี้ เพราะต่างมีคำตอบให้ตัวเอง และไม่ต้องการคำยืนยันอะไรจากอีกฝ่าย เมื่อเรารักใครและเค้ารักเรา จะไม่เกิดความระแวงซึ่งกันและกัน

เมื่อคบกับเค้าแล้ว รู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจ ทำให้เราสงบใจได้อย่างประหลาด พวกเค้าไม่เสียเวลากับคำถามเล็กๆน้อยๆ เพราะมีคำตอบใหญ่ๆให้กับชีวิตแล้ว

2. รักเทียมมีแต่ดราม่า รักแท้เป็นเรื่องง่ายๆ

คู่รักเทียม ใช้ชีวิตอย่างอุดมคติ ว่าชีวิตรักต้องสวยหรูดูดี มันจึงเต็มไปด้วยความคาดหวังสิ่งต่างๆจากอีกฝ่าย มีความรู้สึกโหวงๆ ลึกๆแล้วเหมือนบางอย่างขาดหายไป มันคือการสูญเสียความเป็นตัวเอง ไม่ว่ายามหลับหรือตื่น แค่อยู่ใกล้ๆกันสองสามชั่วโมงก็รู้สึกเหนื่อย

แต่แล้วก็ต้องปลุกความรักขึ้นมาใหม่ด้วยกิจกรรมบนเตียงหรือหาเรื่องพูดคุยเรื่อยเปื่อย คู่รักแท้ไม่มีดราม่า เพราะดราม่าเป็นเรื่องของคนที่ไม่รู้วิธีสร้างความสัมพันธ์ที่ดีซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์นั้นควรจะเป็นไปอย่างสบายๆตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่มีการทะเลาะกันแรงๆแล้วต้องใช้เซ็กส์เพื่อคืนดีกัน ไม่ต้องมีการโทรตามจิก หรือหึงหวงกันให้วุ่นวาย

คู่รักแท้รู้สึกเติมเต็มในใจเสมอ ไม่มีช่องว่างตรงกลาง ไม่รู้สึกสูญเสียความเป็นตัวตน และไม่รู้สึกว่าถูกพรากอะไรไป แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน นั่งมองหน้าหรืออยู่ด้วยกันเงียบๆก็มีความสุข

3. รักเทียมรวมเป็นหนึ่ง รักแท้อยู่เป็นคู่

คู่รักเทียมมองหาอีกฝ่ายมาเติมเต็มสิ่งที่ขาด เหมือนครึ่งกับครึ่งมาเจอกัน พยายามรวมให้เป็นหนึ่ง ในความสัมพันธ์จึงมองหาในส่วนที่ตัวเองขาดหาย แต่เมื่อหาสิ่งนั้นไม่เจอในคู่ของตน จึงเกิดความไม่พึงพอใจ กลายเป็นบังคับอีกฝ่ายให้ปรับเข้าหาตน คู่รักแท้ ไม่ต้องการเป็นหนึ่งเดียว เค้าใช้ชีวิตแยกกัน แบบหนึ่งบวกหนึ่ง จึงรวมเป็นสอง

เมื่อจิตใจข้างในของตัวเองเต็มแล้ว จึงไม่ต้องมองหาใครมาเติมเต็มอีก ในความสัมพันธ์จึงไม่เรียกร้องให้อีกฝ่ายปรับเข้าหา แต่ให้พื้นที่กับคู่ของตน ในการใช้ชีวิตและเติบโตอย่างที่ต้องการ เป็นกำลังใจให้อีกฝ่ายได้ทำตามฝันและความสนใจ สนับสนุนทุกทางที่เป็นไปได้เพื่อให้อีกฝ่ายมีความสุข

4. รักเทียมทะเลาะด้วยข้อความ รักแท้เผชิญหน้า

การทะเลาะกันแบบคู่รักเทียม มักจะใช้วิธีแชท ส่งข้อความตอบโต้กันไปมา ลงท้ายก็คือยิ่งเข้าใจผิด เพราะมันไม่สามารถสื่ออารมณ์ที่แท้จริงได้ผ่านอักษรหรือไอคอนการ์ตูนได้ เหลือทิ้งไว้แต่หลักฐานของความสัมพันธ์ที่แตกร้าว

คู่รักแท้ หันหน้าเข้าหากันเสมอเมื่อมีเรื่องไม่เข้าใจ พร้อมรับฟังและสื่อสารด้วยหัวใจไม่ใช่อารมณ์รุนแรง กล้าเปิดเผยความรู้สึกและความต้องการที่แท้จริง เพื่อปรับความเข้าใจกันไม่ใช่โทษกัน ที่สำคัญพวกเขามักทะเลาะกันเพื่อสร้างอนาคต ไม่ใช่เพื่อขุดคุ้ยอดีต

5. รักเทียมเร่งเวลา รักแท้ไม่มีเวลา

ไม่มีสูตรสำเร็จว่า คู่รักจะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันได้เมื่อไหร่ คบกันนานแค่ไหนถึงจะแต่งงานกัน คู่รักเทียม ตั้งกฎและกำหนดข้อตกลงบางอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ตัดสินใจพลาดในครั้งนี้ รักแท้มีจังหวะของมันเอง คุณจะรู้สึกได้เมื่อพร้อม ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นภายในด้วยตัวเองอย่างปราศจากความพยายามหรือเร่งรีบ

คุณรู้สึกว่าการตัดสินใจอยู่ด้วยกันหรือแต่งงานกัน เป็นไปอย่างอิสระและธรรมชาติ แม้คนรักอาจเข้ามาและจากไป แต่ความรักนั้นจะไม่หายไปด้วยเวลา

“รักแท้ สร้างได้” หากคุณทำความเข้าใจกับหลัก 5 ประการนี้ จะเห็นว่าในความสัมพันธ์ตัวคุณคือ“ต้นเหตุ 100%” ที่จะทำให้ความรักครั้งนี้เป็นรักแท้ หรือรักเทียม แม้ว่าอยู่กับด้วย รักเทียม ก็ยังทำให้หลายๆคู่ที่อยู่ด้วยกันได้นาน แต่อาจจะเป็นการอยู่อย่างระหองระแหง และต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้มีความสุขเหมือนคู่ที่เป็นรักแท้

หากต้องการมีรักแท้ คุณต้องกลับมามองที่ตัวเอง เรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเอง ให้สามารถเข้าใจ ยอมรับ และรักตัวเองได้อย่างแท้จริง เมื่อคุณเติมเต็มตัวเองได้ พลังงานบวกนี้จะเปิดรับธรรมชาติแห่งความรัก ดึงดูดรักแท้ คืออีกคนที่เติมเต็มแล้วในตัวเองเข้ามา จากนั้น คุณก็ปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก้าวเข้าไปดื่มด่ำกับมัน โดยไม่คาดหวังหรือกะเกณฑ์

หากนั่นคือพลังแห่งความรัก สิ่งที่คุณจะพบคือความสบาย การให้ ความสวยงาม อบอุ่น ปลอดภัย ไว้วางใจ สนับสนุน ซึ่งนั่นจะทำให้คุณสองคนเติบโต และมีโลกใบใหม่ที่เดินร่วมทางไปคู่กัน

บทความโดย เรือรบ


 

ขอแนะนำหลักสูตรด้านการสื่อสาร ที่ทำให้คุณครองใจคนรัก และครองใจลูกน้องได้
Communication for Leadership: ทักษะการสื่อสาร สำหรับผู้นำยุค AEC

หลักสูตร 1 วัน โดย เรือรบ รายละเอียดคลิกที่นี่

10 สูตรผสมความสุข ที่คุณปรุงได้ด้วยตัวเอง

หากพูดถึงนิยามของความสุข ถ้าไปถามคนร้อยคน ก็คงได้คำตอบเป็นร้อยแบบ เพราะความสุข ก็เปรียบได้กับ “อาหารจานโปรด” ที่มีทั้งรสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว จนทำให้มีรสอร่อย ที่แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่แปลก ที่ความสุขของคนเราจะแตกต่างกันไป หากเชฟสามารถปรุงอาหารจานอร่อยให้เราได้ด้วยสูตรเด็ดๆ ดังนั้นความสุข ก็ย่อมมี สูตรเฉพาะ ด้วยเช่นกัน

 “ผมเชื่อว่าความสุขเป็น “ทักษะที่สร้างได้ และส่งต่อได้” เหมือนการทำอาหาร จึงได้ค้นหาและพัฒนา  10 สูตรผสมความสุข” และถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มใหม่ ซึ่งบทความนี้ได้ย่นย่อหลักสำคัญในหนังสือ ที่คุณจะนำไปใช้ออกแบบความสุขจานโปรดสำหรับตัวเองได้ง่ายๆในชีวิตประจำวัน และสามารถแชร์ให้คนรอบตัวมีความสุขไปด้วยกัน” – เรือรบ

 

1.SMILE -รอยยิ้ม

“การยิ้มเป็นวิธีที่ง่ายและเร็วที่สุด ที่เราจะสร้างความสุขให้ตนเองและผู้อื่นได้” ผลการวิจัยได้นำเสนอประโยชน์มหาศาลของรอยยิ้มไว้หลายข้อ เช่น ยิ้มสามารส่งต่อได้จากคนสู่คน เมื่อเรายิ้ม คนใกล้ตัวก็มีแนวโน้มจะยิ้มไปด้วย คนที่ยิ้มเก่งทำให้ดูน่าคบหาและน่าเชื่อถือมากกว่าคนหน้านิ่ง การยิ้มลดระดับความเครียดและคลายความกังวล เป็นยาขนานเอกทั้งรักษาและป้องกันโรค อีกทั้งทำให้ความสุขและอายุยืนยาวขึ้น

2.STYLE- สไตล์

“สไตล์ บ่งบอกความเป็นตัวเอง และทำให้เรามีความสุขอย่างที่เราเป็น” ในยุคที่ใครๆก็เดินตามกระแสสังคม เมื่อเราอยู่ภายใต้ระบบที่จำกัดให้ผู้คนคิดและทำเหมือนๆกันไปหมด ในเบื้องลึกเราจึงรู้สึกไม่มีที่ยืนและไร้ซึ่งตัวตน “สไตล์” คือการกลับมารู้จักตนเอง และกล้าที่จะทำในสิ่งที่เป็นตัวเรา เพื่อบอกว่าเราคือใครและมีจุดยืนอะไร การยอมรับและมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ทำให้เรามีความสุขได้อย่างแท้จริง

3.SKILL -ทักษะ

“สิ่งที่จะนำพาชีวิตให้ก้าวหน้าไปได้อย่างดี คือทักษะ” การที่เราเรียนเก่ง มีความรู้ มีการศึกษาสูง ไม่ได้รับประกันความสำเร็จและความสุขในชีวิต อายุและเพศก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ หากคนเหล่านั้นมีแต่ความรู้ แต่ไม่มีทักษะ “ทักษะ” เป็นผลรวมของ ความรู้ ความเข้าใจ และการนำไปใช้ จากนั้นนำประสบการณ์ที่ได้มา ประเมินและปรับปรุง สร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ของตนเอง ถ้าอยากให้ทักษะแน่นขึ้น ให้หาโอกาสแบ่งปันและถ่ายทอดให้คนอื่นด้วย ยิ่งมีคนได้ประโยชน์มาก เราก็จะกลายเป็นกูรูหรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆได้เอง

4.SLOWNESS – ช้าลง

“แค่ทำชีวิตให้ช้าลงได้ เราก็จะมีความสุขมากขึ้น” ลองใช้เวลาอยู่กับความเงียบด้วยการขอเวลานอกให้ตัวเองบ้าง อยู่กับลมหายใจลึกๆยาวๆสัก 5 นาที ออกไปเดินเล่นเพื่อลดปล่อยความเครียด ผ่อนคลายอารมณ์ ดื่มด่ำไปกับกิจกรรมต่างๆอย่างเชื่องช้า ฝึกที่จะช้าลงในการทำกิจกรรมต่างๆ แม้กระทั่งความคิด อย่ารีบด่วนตัดสินหรือตีความไปก่อนกับเรื่องใดๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ชีวิตมีพื้นที่อันน่ารื่นรมย์มากขึ้น

5.SIMPLICITY – เรียบง่าย

“ยิ่งทำชีวิตให้เรียบง่าย เรายิ่งเบาสบายและมีความสุข” มีความยืดหยุ่นให้ชีวิตบ้าง มีเงื่อนไขให้น้อย มีความคาดหวังให้น้อย รู้จักออกแบบวิถีชีวิตพอเพียง แยกความสำคัญระหว่างสิ่งจำเป็นกับสิ่งที่อยากได้ เพราะรายได้มากๆไม่สำคัญเท่าเงินเหลือ หาวิธีที่จะทำให้มีเงินเหลือมากกว่าที่ตนเองต้องการ ศึกษาการใช้วิถีของธรรมชาติในการดำเนินชีวิต ทำให้ชีวิตกลับสู่สมดุลมีสุขภาพดีขึ้น วิถีธรรมชาติเป็นสิ่งที่ฉลาดที่สุด เหมาะสมที่สุด และสร้างความยั่งยืนได้มากกว่า รวมทั้งเป็นมิตรทุกสรรพสิ่งในโลกใบนี้ด้วย

6.SHARING – การให้

“การให้และการแบ่งปัน เป็นต้นทางของความสุขและความสำเร็จ” เพราะการให้บ่งบอกว่า เรามีความเหลือเฟือในชีวิต การให้ทำให้เรารู้สึกเติมเต็ม และไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป การให้ที่ดีจะไม่ทำให้เราลดพลัง ไม่สูญเสียความเป็นตนเอง การให้ที่ดีไม่ใช่หน้าที่ ไม่ควรรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบ หรือรู้สึกผิดถ้าไม่ได้ทำ การให้ที่แท้จริงเกิดจากความเมตตากรุณา เราสร้างออกมาจากหัวใจของเรา ส่งต่อให้ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งใดๆ กลับมา

7.SYNERGY – การผสมผสาน

“เคล็ดลับของความสุขและสำเร็จอย่างรวดเร็ว คือการใช้หลักผสมผสาน” ซึ่งมี 3 องค์ประกอบด้วยกัน หนึ่งคือความสอดคล้อง หากเรามีเป้าหมายในชีวิตและความสุขนั้นสอดคล้องกัน จะทำให้เราสำเร็จในชีวิตได้อย่างรวดเร็ว โดยเป้าหมายคือทิศทางและโฟกัส ส่วนความสุขในการทำงานเป็นพลังงานที่ขับเคลื่อนอันทรงพลัง สองคือการเชื่อมโยง มีความสามารถในการโน้มน้าวนำพา และประสานประโยชน์ระหว่างผู้คน เพื่อให้พวกเค้าเข้ามามีส่วนร่วมในฝันใหญ่ๆร่วมกัน และทำภารกิจนั้นให้เป็นจริงได้ง่ายและเร็วขึ้น สุดท้ายคือความสร้างสรรค์ หากต้องการสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ให้ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เราต้องกล้าคิดนอกกรอบออกจากแบบแผนเดิมๆ ทั้งหมดนี้เป็นหลักการผสมผสานที่จะชักนำความสุขกับความสำเร็จมาผสมให้เข้ากันได้อย่างลงตัวและเกิดผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม

8.SUSTAINABILITY – ความยั่งยืน

“ความยั่งยืน คือความสุขจากความสัมพันธ์ที่กลมกลืนระหว่างชีวิตและสิ่งแวดล้อม” การจะใช้ชีวิตให้มีความสุขไม่ใช่เพียงเอาตัวคนเดียวรอด แต่ต้องพร้อมจะเป็นผู้นำที่จะเกื้อกูลให้สังคมรอบข้างและชุมชนของตนพัฒนาด้วย ไม่วัดความยั่งยืนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียว แต่ดูถึงองค์รวมของคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ มีการรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รู้จักหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ รู้จักบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด นำสิ่งที่มีอยู่มาใช้อย่างเต็มศักยภาพ ฟื้นฟูส่วนที่เสื่อมโทรมให้ฟื้นคืนสภาพ เพื่อส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนรุ่นต่อๆไป นั่นจึงจะเรียกว่ามีความยั่งยืนที่แท้จริง

9.SELF-DEPENDENCE – การพึ่งพาตนเอง

“การพึ่งพาตนเอง เป็นการรับประกันความสุขที่ง่ายและแน่นอนที่สุด” เพราะการคาดหวังและพึ่งพาผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ คนอ่อนแอจะต้องคอยหาคนอื่นมาพึ่งพิง ถ้าเค้าไม่รักหรือทิ้งไปก็มีแต่ทุกข์ ส่วนคนที่เข้มแข็งนั้นจะรู้ว่า หากพึ่งพาตนเองได้ ก็จะสามารถเอื้อเฟื้อให้คนอื่นเข้ามาในชีวิตได้มากขึ้น ในการพึ่งพาตนเอง เราต้องสร้างความมั่นใจด้วยการเลิกเปรียบเทียบกับคนอื่น หมั่นดูแลตัวเองอย่างดี ฝึกที่จะอยู่โดยลำพังให้ได้ มีจุดยืนในความคิดตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง รักและเห็นคุณค่าในตนเอง คนที่พึ่งพาตนเองได้นั้นมีเสน่ห์ ดูอบอุ่น มั่นคง เพียงอยู่เฉยๆ ก็เป็นที่น่าสนใจในสายตาคนทั่วไป

10.SELF-DEVELOPMENT – การพัฒนาตนเอง

“ต้นไม้ที่หยุดโตคือต้นไม้ที่กำลังจะตาย คนที่หยุดพัฒนาก็คือคนที่ตายไปแล้วทางจิตวิญญาณ” การพัฒนาในชีวิตนั้นแบ่งเป็น 2 ด้าน ด้านแรกคือทักษะภายนอก เกี่ยวกับการ เพิ่ม พัฒนา ขยาย เป็นทักษะในการทำงาน เชิงความรู้ เทคนิค การทำงานให้มีประสิทธิภาพที่ดี ด้านที่สองคือ “ทักษะภายใน” เป็นเรื่องของการ ลด ละ วาง เป็นทักษะเกี่ยวกับคน การเข้าใจตนเองและความสัมพันธ์ เป็นด้านของจิตใจ ซึ่งจะใช้เพื่อลดอัตตาตัวตน ลดความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ และลดความทุกข์ของเราลงได้ด้วย คนที่เรียนเก่ง ฉลาด หน้าตาดี มีฐานะและประสบความสำเร็จในชีวิต ถึงจุดหนึ่งอาจมีความทุกข์จนต้องฆ่าตัวตาย เพราะเขาเก่งแต่ทักษะภายนอก ไม่เคยพัฒนาทักษะภายในนั่นเอง ทักษะภายใน 5 อย่าง ที่เราควรฝึกให้เป็นนิสัยคือ  การขอบคุณ การขอโทษ การให้อภัย การให้คุณค่าในสิ่งต่างๆเท่ากัน และการทบทวนตนเอง สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นดีเสมอ ไม่ว่ามันจะนำมาซึ่งความทุกข์หรือสุข มันถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับเรา มันคือบทเรียนที่จะทำให้เราเติบโต และทำให้เรามีความสุขง่ายขึ้น นี่คือหนทางในการพัฒนาตัวเองและเติบโตทางจิตวิญญาณ ……………………… ทั้งหมดนี้คือ “10 สูตรผสมความสุข” ซึ่งเป็นทักษะที่เราสร้างได้และส่งต่อให้คนที่รักได้ ขอเพียงหมั่นฝึกฝนและใช้หลักการทั้ง 10 นี้ออกแบบการดำเนินชีวิต แล้วคุณจะสามารถมีความสุขและความสำเร็จได้พร้อมๆกัน แม้จะอยู่ท่ามกลางปัญหา อุปสรรค และความไม่แน่นอนในชีวิต จะไม่มีสิ่งภายนอกใดมาทำให้คุณทุกข์นานๆได้อีก เพราะคุณรู้วิธีสร้างความสุขจากภายในนั่นเอง เขียนโดย เรือรบ สรุปจากหนังสือ Happiness Recipe: 10 สูตรผสมความสุข” 

5 ขั้นตอน เปลี่ยนชีวิตแบบก้าวกระโดด

หากคุณเป็นคนหนึ่ง ที่อยากเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่จุดที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนัก อยากเปลี่ยนงานที่ทำ อยากออกจากความสัมพันธ์ที่เจ็บปวด หรืออะไรก็ตาม แม้ว่าจะไปซื้อหนังสือมาอ่านก็แล้ว ไปอบรมสัมมนาก็แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นั่นเป็นเพราะอะไร?  

สิ่งที่เรารู้ ไม่อาจทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้

แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเราอย่างแท้จริง มาจากสิ่งที่เราไม่รู้

เราจะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ จนกว่าเราจะขุดลึกลงไปจนเจอ “ความเชื่อ” เบื้องลึกในจิตใจ 

หากเราใช้กรรไกรตัดหญ้าออกจากสวน เพียงไม่นานหญ้าก็จะขึ้นมาเต็มอีก เป็นเพราะรากของมันยังไม่ถูกขุดออกนั่นเอง เหมือนกับพฤติกรรม ที่จะไม่สามารถเปลี่ยนได้จากการอ่านหนังสือ หรือการได้คำแนะนำดีๆจากใคร แต่มันต้องมาจาก ความปรารถนาจากจิตใจเบื้องลึก ของคุณเองเท่านั้น ต่อไปนี้เป็นวิธีการ 5 ขั้นตอนเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างก้าวกระโดด  

1. สำรวจความเป็นตัวคุณ

คุณเคยถอยหลังออกมาจากเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำซาก แล้วมาสังเกตตัวเองบ้างไหม หากยังอยู่ท่ามกลางประเด็นปัญหาในชีวิต ย่อมเต็มไปด้วยความคิดว้าวุ่นและความวุ่นวายใจ ยิ่งปัญหาอยู่ใกล้ตัวมาก ยิ่งจมจ่อมมาก จึงยากที่จะมองเห็นสิ่งที่เป็นจริงๆ

ดังนั้นอาจจะดีกว่า ถ้าเราขอเวลานอกให้กับตัวเอง แล้วตั้งคำถามเหล่านี้ เรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เป็นอยู่ พฤติกรรม ความเชื่อ ความคิด อารมณ์ที่เป็นอยู่นี้ มันได้ให้ประโยชน์อะไรกับเราหรือเปล่า? สิ่งเหล่านี้มันให้พลังกับเรา หรือบั่นทอนพลังของเรา? ผลกระทบที่มีต่อตัวเอง และความสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นอย่างไร?

ในขั้นแรกนี้ เพียงสร้าง “ความตระหนักรู้” ขึ้นมา

มองให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่มันเป็นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึก

ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างไร และมีประโยชน์กับเราหรือไม่ ?

2. การเปลี่ยนแปลง คือการปล่อยวาง

เราต้องปล่อยวางอะไรล่ะ มันอาจจะเป็นเรื่องราวที่เรามักบอกกับตัวเองว่า เราไม่มีทางทำได้ เราคงทำไม่สำเร็จ เพราะเราไม่ได้เรื่องและไม่ดีพอที่จะเปลี่ยนชีวิตให้เป็นอย่างที่เราต้องการได้ ความเชื่อที่ลดพลังเหล่านี้ มันคอยฉุดรั้งเราไว้ ไม่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้เลย

และเมื่อเวลาผ่านไป เรามักจะมีเหตุผลมาสนับสนุนให้ความเชื่อนี้ ดูเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเราแยกไม่ออกว่า มันคือความจริง หรือมันเป็นแค่ความเชื่อที่เราสะสมไว้เอง ทุกครั้งที่เราบอกว่า ฉันเป็นคนโชคร้าย ขาดโอกาส ไม่มีใครรักฉันจริง มันทำให้เราสามารถโทษคนอื่น โทษสถานการณ์ โทษโลกใบนี้ได้ โดยที่ตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย นอกจากมีชีวิตแย่ๆต่อไป

ในขั้นที่สอง ให้ถามตัวเองว่า เราใช้ชีวิตด้วยความเชื่อแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว ?

จะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไหม ?

เราจะต้องปล่อยวางความคิดอะไรบ้าง เพื่อก้าวต่อไป?

3. ตัดสินใจว่า อะไรคือความต้องการที่แท้จริงในชีวิต

มันอาจต้องใช้เวลาหลายปี ที่คนๆหนึ่งจะเข้าใจตัวเองว่า ทำไมเราถึงเป็นคนเช่นนี้  โดยมากเรามักมองเห็นแต่คนอื่น เราอาจจะไม่พอใจตัวเองเพราะอยากเป็นเหมือนคนอื่น อยากได้รับการยอมรับตามเสียงสังคม อยากทำให้สำเร็จตามเสียงแห่งความคาดหวัง โดยที่ไม่ได้มองว่าที่จริงแล้วเราคือใคร เราไม่รู้ว่าความต้องการที่แท้ของตัวเองคืออะไร เราละเลยเสียงของตัวเองมานานมาก มันเบาจนตัวเราแทบไม่ได้ยิน

เมื่อเราไม่ยอมรับตัวเอง เราจึงต้องพยายามมากเกินไป จนรู้สึกกังวล เหนื่อยหน่าย หมดหวัง ในที่สุดก็กลายเป็นนิสัยบ่อนทำลายตัวเอง กินมากเกินไป เมาหัวราน้ำ นอนไม่หลับ และเป็นโรคซึมเศร้า  

ในขั้นที่สาม ให้เราสำรวจความต้องการที่แท้จริงจากเบื้องลึกของจิตใจ และตั้งเป้าหมายที่มาจากตัวเอง 100%

หากต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ต้องมาจากตัวเอง ไม่ใช่อยากพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น

4. ลงมือกระทำจากพลังข้างใน

เมื่อเราได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ที่จะปล่อยวางเรื่องราวเก่าๆและมุ่งไปสู่เป้าหมายใหม่ๆ เราจะรู้ได้เองว่า หากสิ่งนั้นเป็นความต้องการเบื้องลึกในจิตใจ แม้จะยากลำบาก แต่เราจะทำมันได้อย่างไม่ฝืนใจ ไม่ทรมาน แต่ถ้าไม่ใช่ เพียงเจอความลำบากนิดหน่อย เราก็จะล้มเลิกไปอย่างง่ายๆ

ในขั้นที่สี่ หากเราเดินตามเสียงเรียกร้องในใจ

นั่นจึงจะเรียกพลังแห่งการลงมือทำที่แท้จริงของเราออกมา

5. ยินดีกับการเปลี่ยนแปลง แม้เพียงก้าวเล็กๆ

สุดท้าย ขอให้ระวังไว้ว่า หากเราลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองเมื่อไหร่ จะมีบางคนที่พยายามจะหยุดยั้ง ขัดขวาง หรือคอยซ้ำเติมเรา อาจเป็นเพราะความหวังดี หรือไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลงของเรา ดังนั้นให้แน่ใจว่า เราอยู่ท่ามกลางผู้ที่มีความคิดและทัศนคติที่สนับสนุนและส่งเสริมกัน

แน่นอนว่า ความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมเดิมๆที่สะสมไว้ จะยังส่งผลต่อเราอยู่ เราจะยังไม่ลืมมันไปง่ายๆ ดังนั้นถ้าเผลอกลับไปทำตัวแบบเดิมๆ ก็อย่าโทษตัวเอง เมื่อรู้สึกตัวเมื่อไหร่ จงให้อภัยตัวเองแล้วกลับมาทำตามที่เราตั้งใจทันที การเปลี่ยนแปลงชีวิตแบบก้าวกระโดด เริ่มจากก้าวเล็กๆเสมอ ให้เราเขียน “บันทึกความสำเร็จ” ในทุกๆคืนก่อนนอน  

 ในขั้นสุดท้าย เขียนความสำเร็จในวันนี้สัก 5 ข้อ เพื่อชื่นชม ให้กำลังใจ มองเห็นชัยชนะของตัวเอง

เราอาจไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีแบบพลิกฝ่ามือ แต่มันจะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป

ความสำเร็จเล็กๆในวันนี้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเรื่องที่ยากและยิ่งใหญ่กว่าในอนาคตได้อย่างแน่นอน

ใครที่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ คุณใช้วิธีการ 5 ขั้นตอนนี้ หรือวิธีใด เชิญแบ่งปันและแลกเปลี่ยนกันได้ในคอมเม้นท์ข้างล่างนะครับ

บทความโดย เรือรบ

5 บทเรียนชีวิต ที่เด็กๆสอนเรา

5lessonfromchild

เชื่อว่าชีวิตของหลายๆคน เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเพราะมีลูก ไม่ใช่เพียงเรื่องภาระความรับผิดชอบ แต่เป็นสภาวะจิตใจด้านในด้วย บทบาทหน้าที่ของการเป็นพ่อแม่ จะทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตทางจิตวิญญาณ กลายเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มที่

อย่าคิดว่าการเป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่สอนลูกเพียงฝ่ายเดียว มีหลายสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากลูกๆได้ และมันจะทำให้เราเติบโตไปอีกขั้น อาจตกผลึกจนกระทั่งแก้ปัญหาบางอย่างในชีวิตได้

ส่วนคนที่ไม่มีลูก ก็สามารถเรียนรู้จากหลานๆและเด็กเล็กๆได้เช่นกัน มาดูกันว่า พวกเค้าจะสอนบทเรียนอะไรให้เราได้บ้าง

 

 ถึงผู้ใหญ่ทุกคน…

เด็กน้อย คือดวงวิญญาณอันเก่าแก่ ในร่างเล็กๆ

เค้าเกิดมาเพื่อเติบโต และใช้ชีวิตในแนวทางของตัวเอง

เค้ามาจากเรา แต่ไม่ได้เป็นของเรา

เราได้เรียนรู้และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ได้ ก็เพราะเค้านั่นเอง

1.แค่ได้เล่น ก็มีความสุข

เด็กๆเกิดมาพร้อมกับความสดใสร่าเริง เค้าไม่ต้องพยายามเอาใจใคร เพียงแต่เป็นตัวเอง รอยยิ้มของเค้ามันเปล่งประกายจนทำให้ผู้คนรอบตัวรู้สึกมีความสุขไปด้วย เด็กๆทุกคนหัวเราะง่าย ยิ้มเก่ง แค่ได้เล่นก็มีความสุขง่ายๆ เห็นชีวิตเป็นเรื่องสนุก เด็กๆไม่เคยกลัวแพ้ พอล้มแล้วก็รีบลุกไปเล่นต่อ มีพลังขับเคลื่อนในตัวเองตลอดเวลา

แน่นอนว่า ผู้ใหญ่มีภาระและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ  แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่ควรจะเลิกเล่นสนุก เด็กๆสอนเราว่า จงออกแบบชีวิตใหม่ เปลี่ยนชีวิตให้เป็นเกมและการเล่นสนุก ไม่เคยคาดหวังว่าจะชนะ ขอแค่ให้ได้เล่นก็มีความสุข

…………………

2.ทุกอย่างเริ่มที่จินตนาการ

เด็กๆต่างมีพรสวรรค์ในการจินตนาการที่ล้ำเลิศ หากผู้ใหญ่ไม่คอยห้าม สอนสั่งและหยุดยั้ง เค้าจะไม่มีข้อจำกัดในการผลิตไอเดียและความคิดสร้างสรรค์เลย เด็กๆไม่ต้องการของเล่นแพงๆ ขอมีเพียงดินทราย ก้อนหิน ท่อนไม้ ก็จะเสกให้กลายเป็น ปราสาท มังกร เครื่องบิน ยานอวกาศ ใช้จินตนาการขับเคลื่อนมันไปมา มีครบหมดทั้งภาพ แสง สี เสียงและอารมณ์ นั่นทำให้ชีวิตของเค้ามีสีสันและความเป็นไปได้ที่ไม่มีขีดจำกัด

แม้กฎระเบียบเป็นสิ่งที่ต้องยึดถึอและปฏิบัติ แต่เด็กๆสอนเราว่า ชีวิตไม่ควรขาดจินตนาการ เพราะมันจะสร้างโอกาสใหม่ๆเพื่อขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้าได้เสมอ ชีวิตจะเป็นไปเท่าที่เราขีดกรอบไว้ ไม่มากไปกว่านั้น ดังนั้นจินตนาการของเรา จึงเป็นสิ่งที่กำหนดขอบเขตการเติบโตและความเป็นไปได้ในชีวิตเราเอง

………………..

3.อย่าหยุดตั้งคำถาม

สำหรับเด็กๆแล้ว ชีวิตคือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ เค้าจะตื่นเต้นกับทุกสิ่ง เค้าช่างสังเกตและตั้งคำถามไม่หยุดหย่อน มันอาจดูน่ารำคาญ แต่แท้จริงแล้ว คำถามทำให้ชีวิตขับเคลื่อนต่อไปในทางที่พัฒนาและแตกต่างไปจากเดิม ชีวิตที่หยุดเรียนรู้ เหมือนต้นไม้ที่หยุดโตและกำลังจะตายลง หากติดอยู่กับความคุ้นชินเดิมๆ เท่ากับตายไปแล้วทางจิตวิญญาณ

แม้จะคิดว่าตัวเองรู้ดีในเรื่องนั้นแล้วก็ตาม เด็กๆสอนเราว่า อย่าหยุดตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว จงใช้ชีวิตด้วยการค้นคว้าทดลอง ออกเดินทางไปพบกับความตื่นเต้นสดใหม่ อย่าหยุดเรียนรู้และอย่าพอใจกับคำตอบเดิมๆ

……………………..

4.ต้องการอะไร จะทำให้ได้

เด็กๆมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า หากเค้าต้องการอะไรแล้ว จะมีวิธีสารพัดที่จะทำเพื่อจะได้มา ถ้าทำเองได้จะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่ถ้าต้องพึ่งพาคนอื่น เค้าจะขอตรงๆอย่างไม่เขินอายหรือเกรงใจ แต่ถ้าไม่ได้ผล เค้าจะหาวิธีอื่นๆสารพัด งัดกลยุทธ์ออกมาใช้ทุกอย่าง ทั้งออดอ้อนออเซาะ ขอร้องไปจนถึงร้องไห้ หรือไม่ก็โวยวายชักดิ้นชักงอ แต่เหนือสิ่งอื่นใด หากเป็นสิ่งที่ต้องการจริงๆ พวกเค้าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ถ้ายังไม่ได้วันนี้ วันหลังจะมาใหม่ ไม่ลืมง่ายๆแน่นอน

ผู้ใหญ่หลายคนใช้ชีวิตมาหลายสิบปี โดยละเลยความต้องการลึกๆของตัวเอง ส่วนบางคนก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรเด็กๆสอนให้เรารู้ว่า มันสำคัญมากที่เราต้องชัดเจนถึงความต้องการที่แท้จริงของตนเองก่อน และขอให้มุ่งมั่นและมีพันธะสัญญากับสิ่งนั้น หากลองทำแล้วไม่เวิร์ค อย่ายอมจำนน มันต้องมีวิธีอื่นๆที่จะทำให้ได้ผล ตราบใดที่เราไม่ย่อท้อและหยุดเสียกลางคัน สักวันจะต้องสำเร็จแน่นอน

………………..

5.มิตรภาพสำคัญที่สุด

ในทุกวันที่เด็กๆออกไปวิ่งเล่น บางทีก็ร้องไห้กลับมา เพราะอาจถูกเพื่อนรังแก แต่ถ้าผู้ใหญ่ไม่รีบตีโพยตีพาย เร่งด่วนเข้าไปจัดการ เด็กจะมีวิธีการในการปรับตัวของเค้าเอง พอหายเจ็บแล้วเค้าก็ให้อภัยอีกฝ่ายได้ง่ายๆ และพร้อมจะเริ่มใหม่เสมอ เพราะเค้ารู้ว่าถ้าอยากจะเล่นกันอีก มิตรภาพสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

แน่นอนว่าการใช้ชีวิตครอบครัวและการทำงานร่วมกัน ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป อาจมีการกระทบกระทั่งกัน บางครั้งก็รุนแรงจนมีคนร้องไห้ เด็กๆสอนว่า อย่าไปยึดติดว่าใครถูกใครผิด หากเรายังมองเห็นว่าคนๆนี้สำคัญกับชีวิตเรา ความรักและมิตรภาพสำคัญกว่าเสมอ การให้อภัยไม่ใช่สัญลักษณ์ของความอ่อนแอ ในทางตรงกันข้าม มันคือความกล้าหาญที่จะบอกว่า “ฉันรักเธอนะ เรามาเริ่มใหม่กันเถอะ”

ถึงคุณผู้อ่าน….

ตัวเราเอง ก็คือเด็กน้อยคนนั้นด้วย

กว่าที่จะเติบโตมา เราได้เรียนรู้สิ่งที่ควรและไม่ควร จนมีข้อจำกัดมากมาย

แต่การเป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้หมายความว่า จำเป็นจะต้องทิ้งความเป็นเด็กไป

แล้วละทิ้งความสนุก ความฝัน ความต้องการ และจินตนาการในตัวเองไปด้วย

ความเป็นเด็กน้อยในตัว จะทำให้ชีวิตของเราสดใส มีชีวิตชีวา และมีความสุขอยู่เสมอ

หากอยากนำพาความเป็นเด็กน้อยกลับมาอีกครั้ง
ลองไปเล่นสนุกคลุกคลีกับพวกเค้าดู
เชื่อว่ายังมีบทเรียนอีกหลายข้อ ที่เราสามารถเรียนรู้จากเด็กๆได้
คุณค้นพบข้อใดเพิ่มเติมอีกไหม กรุณาแชร์ในคอมเม้นท์ด้านล่างนะครับ

บทความโดย เรือรบ

10 เหตุผลที่ “การเขียน” จะเปลี่ยนชีวิตคุณ

10reason2write

เคยได้ยินผลการวิจัยว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อยมาก เชื่อว่า “การเขียน” นั้นน้อยกว่า การเขียนเป็นทักษะที่คนในยุคปัจจุบันใช้น้อยมาก แม้ว่าเราจะอัพสเตตัสกันทุก 10 นาที แต่นั่นอาจแค่เรียกว่า “การสื่อสาร” ยังไม่นับว่าเป็น “การเขียน”

การเขียนที่มีคุณภาพ จะมาจาก“การคิดใคร่ครวญ” และ “ความคิดสร้างสรรค์” เมื่อเราเริ่มเขียนเป็นประจำและต่อเนื่อง จะเกิดประโยชน์กับตัวเองมหาศาล และมันจะทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากประสบการณ์ของผม มี 10 เหตุผล ที่การเขียนจะเปลี่ยนชีวิตของคุณได้

1.ลับคมความคิด

การเขียนสามารถช่วยในการทบทวน ประมวล และตกผลึกความคิดได้ดีกว่าที่ราคิดไว้คนเดียวในใจ หรือแค่พูดลอยๆ เรามักจะมองเห็นทางเลือกใหม่ๆ ถ้าได้เขียนออกมา

 2.ผลิตไอเดีย

การเขียนเป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ในการผลิตไอเดียใหม่ๆของเรา

 3. พื้นที่อิสระ

การเขียนจะเป็นพื้นที่ให้ได้ลองผิดลองถูก ลองคิดและทำอะไรไร้กรอบ จนสามารถนำประกายความคิดที่ถูกจุดไว้ ไปต่อยอดให้เกิดเป็นแผนการที่เป็นรูปธรรม และทำได้จริง

 4. บูรณะจิตใจ

การเขียนจะทำให้เราได้ระบายความอึดอัดคับข้องใจ คลายเหงา บรรเทาทุกข์ทางใจ ทำให้เราสามารถโอบอุ้มดูแลจิตใจตนเอง และก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้

 5. ทำงานที่ใช่

การเขียนจะทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ค้นพบจุดแข็ง จุดอ่อน ใช้เตือนใจและปรับปรุงตัวเองได้ ในขณะเดียวกันก็ทำให้มองเห็นหนทางใหม่ๆในการเลือกในสิ่งที่ตัวเองถนัด

 6. เข้าใจตัวเอง

การเขียนจะเป็นกระจกสะท้อน ที่จะทำให้เราเข้าใจตัวเองอย่างแจ่มชัด ว่าขณะนี้ เราอารมณ์ มีความรู้สึกอย่างไร ต้องการอะไรกันแน่ เมื่อนั้นเราจะมีความมั่นคงภายใน และทำทุกสิ่งด้วยความมั่นใจ ชัดเจน

 7. มองเห็นคุณค่า

การเขียนทำให้เรามองเห็นอุปนิสัยตัวเอง ว่าเป็นไปในทางใด เมื่อค้นพบ เข้าใจตัวเองแล้ว เราจะเริ่มเกิดการยอมรับในสิ่งที่เราเป็น และนั่นทำให้เราเห็นคุณค่าในตนเอง

8. พัฒนาการสื่อสาร

การเขียนจะช่วยให้เรามีความมั่นใจในการใช้ภาษาและเรียบเรียงความคิดได้ดีขึ้น ทำให้การพูดหรือการสื่อสารเป็นไปได้อย่างราบรื่น แจ่มชัด มีประสิทธิภาพ

 9. สร้างตำนานครั้งใหม่

โลกของเรา ขับเคลื่อนด้วยภาษา ภาษากำหนดความคิด การพูด การกระทำ เมื่อเราใช้ภาษาได้อย่างมีคุณภาพ เราสามารถส่งมอบและถ่ายทอดความรู้ ทักษะ คุณค่าที่เรามี ผ่านภาษาและการเขียน เพื่อใช้สร้างความแตกต่างหรือทิ้งมรดกทางความคิดไว้กับโลกได้

 10. เปลี่ยนหัวใจตนเอง

ที่สุดแล้ว การเขียนจะสามารถพัฒนาจิตใจของเรา ให้รู้จัก เข้าใจ ยอมรับและรักตนเอง แล้วเราจะอ่อนโยนต่อโลกและสรรพสิ่ง ให้มีมุมมองที่ลึกซึ้งต่อชีวิต และอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุข

หลายคนคิดว่า ตัวเองไม่ใช่นักเขียน ไม่ใช่คนในแวดวงการศึกษา เลยไม่จำเป็นต้องเขียน นั่นทำให้เราสูญเสียประโยชน์ที่ได้จากการเขียนไปอย่างน่าเสียดาย

หากเราเริ่มเขียนเป็นประจำเพียงแค่วันละ 5-10 นาที ในตอนเช้าหรือก่อนเข้านอน ติดต่อกันเป็นประจำเพียง 21 วัน ชีวิตของคุณจะไม่เหมือนเดิม

บทความโดย เรือรบ

หากไม่รู้จะเริ่มต้นเขียนอย่างไร อยากเขียนเพื่อค้นพบตนเอง ค้นหาแรงบันดาลใจในการเขียน ปลดล็อคศักยภาพการเขียนในตัวเอง

21-22 พ.ย. นี้ พบกันในหลักสูตร Intuitive Writing  ปลดล็อคศักยภาพการเขียนในตัวคุณ

นำกระบวนการโดย อ. เรือรบ รายละเอียดคลิก

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save