8 เทคนิคขั้นเทพ ที่ช่วยให้คุณเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใคร ๆ ก็คงอยากเรียนเก่ง ฉลาด และมีความจำเป็นเลิศ แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนประสบปัญหาอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าหัว เรียนไม่เก่ง จำไม่ได้

หากคุณปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะส่งผลต่อความได้เปรียบ โอกาสในชีวิต และความภาคภูมิใจในตัวเอง

ดังนั้น คุณควรพัฒนาตนเองให้เก่งและสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำตามเทคนิค 8 ข้อในบทความนี้

1) จับประเด็นให้ได้ สรุปความให้เป็น

ความสามารถในการสรุปความเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับวัยเรียนและวัยทำงาน คุณไม่จำเป็นต้องจดทุกคำพูดหรือทุกตัวอักษร แต่คุณต้องจับประเด็นสำคัญในสิ่งที่คุณฟังหรืออ่าน และถ่ายทอดความเข้าใจนั้นออกมาโดยใช้คำพูดของตนเอง

วิธีการฝึกฝนทักษะนี้ก็คือ หลังจากที่คุณอ่านหรือฟังข้อความยาว ๆ ให้คุณลองเขียนสรุปใจความสำคัญของสิ่งนั้น ๆ การทำเช่นนี้จะทำให้คุณรู้ว่าตนเองเข้าใจเนื้อหาสาระและสามารถจับประเด็นสำคัญได้หรือไม่

2) ใช้ความกดดันเป็นพลังผลักดัน

หากคุณทำให้ตนเองรู้สึกกดดันบ้าง คุณจะสามารถผลักดันความสามารถของตนเองได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจำกัดเวลาในการเรียนรู้ของตนเอง หรือคุณอาจตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น เป็นต้น

แรงกดดันนี้อาจทำให้คุณรู้สึกเครียดและกดดัน แต่มันทำให้คุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจและพยายามทำให้ตนเองบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

3) หลีกหนีสิ่งรบกวน

โลกที่เราอาศัยอยู่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุที่รบกวนการเรียนรู้ และทำให้สมาธิของคุณวอกแวก เช่น โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ วิทยุ เป็นต้น ดังนั้น หากคุณต้องการเรียนรู้ได้ดี และมีประสิทธิภาพ คุณควรหลีกหนีจากสิ่งยั่วยุเหล่านั้นเพราะความปรารถนาที่จะเรียนรู้อาจยังไม่พอที่จะทำให้คุณเรียนได้ดี

แต่คุณต้องรู้จักที่จะปฏิเสธสิ่งรบกวนรอบตัวคุณด้วยดังนั้น ในขณะที่คุณอยู่ในห้องเรียน คุณควรปิดอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ หากคุณอ่านหนังสือหรือทบทวนบทเรียน คุณควรปิดวิทยุ หรือเปิดเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง วิธีการนี้จะทำให้คุณมีสมาธิ และจดจ่อกับการเรียนรู้มากขึ้น

4) ฝึกฝนจนชำนาญ

สิ่งใดที่กระทำซ้ำ ๆ หรือมีการฝึกฝนอยู่เสมอ ผู้ฝึกย่อมทำสิ่งนั้นได้ดี ในทางกลับกัน สิ่งใดที่ไม่ได้ทำนาน ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะถูกลืมหรือทำไม่ได้เหมือนเดิม ดังนั้นจงอย่ารอช้าที่จะฝึกฝน และทำซ้ำ หนึ่งในวิธีที่ช่วยย้ำเตือนความทรงจำ และทำให้คุณหลงลืมได้น้อยลงก็คือ การจดบันทึก

กล่าวคือ ยิ่งคุณเขียนมาก คุณก็จะยิ่งจำได้แม่นยำขึ้น เพราะการเขียนจะช่วยให้คุณมีสมาธิ และเมื่อคุณมีสมาธิ คุณก็จะสามารถจดจำสิ่งที่คุณเรียนรู้ได้ อีกทั้งมันยังช่วยเรียบเรียงความคิดของคุณให้เป็นระบบและทำให้การเรียนรู้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น5) ใช้ภาพประกอบ

หลายคนไม่รู้ว่าความจำมีความเชื่อมโยงกับการมองเห็น กล่าวคือ คนเราสามารถจดจำสิ่งต่างๆได้ดี เมื่อเราเห็นภาพประกอบยกตัวอย่างเช่น หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนผ่านทางโทรศัพท์ เมื่อเวลาผ่านไปคุณอาจจำชื่อของพวกเขาได้เพียงแค่ 1-2 คนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนเท่าๆกันในงานปาร์ตี้ คุณมีแนวโน้มที่จะจำพวกเขาได้มากกว่า 1-2 คนอย่างแน่นอน เพราะคุณได้เห็นหน้าตาพวกเขาจริงๆ และได้ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาผ่านการพูดคุย และการสัมผัส

ดังนั้น คุณสามารถประยุกต์สิ่งนี้กับการเรียนรู้ของคุณ โดยการใช้ภาพประกอบ เพราะมันจะทำให้คุณจดจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น

6) เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบ

แน่นอนว่าคนเราสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบได้ดีกว่าสิ่งที่เรารู้สึกเบื่อหน่าย หากคุณเปิดเพลงที่คุณชื่นชอบและไม่ได้ฟังมาเป็นระยะเวลาหลายปี คุณจะพบว่าตนเองยังสามารถจำเนื้อร้องได้อย่างแม่นยำ

ดังนั้น หากคุณเรียนรู้ในสิ่งที่คุณเกลียด มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้มันเข้าหัว และคุณก็ไม่สามารถทำมันได้ดี ดังนั้น เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างราบรื่น คุณควรรักการเรียนรู้ ทำให้มันน่าสนใจ และจงคิดว่ามันให้ประโยชน์แก่ชีวิตคุณ เพราะแรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญต่อการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ

7) พักผ่อนอย่างเพียงพอ

การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอมีความสำคัญมาก เพราะมันส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ หากคุณลองสังเกตว่าวันใดที่คุณได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ สมองของคุณก็จะรู้สึกปลอดโปร่ง และสามารถเปิดรับการเรียนรู้ใหม่ๆได้มากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากวันใดคุณพักผ่อนน้อย คุณจะรู้สึกถึงความอ่อนเพลีย สมองไม่แล่น และไม่สดชื่นตลอดทั้งวัน

ดังนั้น แทนที่คุณจะนอนดึกดื่นเพื่อโหมอ่านหนังสือ คุณควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอโดยควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมงเพื่อที่คุณจะได้รู้สึกสดชื่น และมีสมาธิกับสิ่งที่เรียนรู้ในแต่ละวัน

8) เชื่อมโยงสิ่งที่กำลังเรียนรู้กับสิ่งที่รู้อยู่แล้ว

การเชื่อมโยงสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้กับสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วจะทำให้คุณสามารถจดจำได้ดียิ่งขึ้น เพราะคุณจะเห็นความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกันซึ่งจะทำให้การเรียนรู้มีความหมายมากขึ้น หากคุณเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ

คุณอาจนึกถึงคำศัพท์ที่คุณรู้อยู่แล้ว หรือนึกถึงบริบทที่คุณเคยเจอคำศัพท์นี้ในชีวิตประจำวัน วิธีการนี้จะทำให้คุณเข้าใจและเห็นความสอดคล้องของความรู้ต่างๆบนโลกใบนี้

แปลและเรียบเรียงโดย Learning Hub Team

ที่มาบทความ : http://www.lifehack.org/327781/brain-power-level-8-ways-remember-absolutely-everything-you-learn

3 สิ่งที่ทำให้คนตั้งใจ ไม่มีความสุขในการทำงาน

ในหนึ่งวัน เวลาที่เราใช้ไปกับการทำงาน รวมๆ แล้ว ยังมากกว่าเวลาที่เรานอนเสียด้วยซ้ำ

จะแย่แค่ไหน ถ้าอาการทุกข์เพราะงานรุกลามไปตลอดทั้งปี

ต่อไปนี้ อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของคนตั้งใจทำงาน

1. ตั้งใจทำงานเพื่อเงิน

เมื่อเราตั้งใจทำงานเพื่อเงินแล้ว ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จิตใจของเราจะจดจ่ออยู่กับรายได้ที่คาดหวัง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ในหนึ่งเดือนรายได้จะเข้ากระเป๋าเราแค่เพียง 1 ครั้ง

ในขณะที่ปัญหาทั้งใหญ่ ทั้งเล็กจากการทำงานสามารถเกิดได้ทุกวัน ทุกเวลา จึงยากยิ่งนักที่คนทำงานจะมีความสุขในรอบ 1 เดือน

2. ตั้งใจทำงานเพื่อลาภยศ

เมื่อเราตั้งใจทำงานเพื่อลาภยศแล้ว ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จิตใจของเราจะจดจ่ออยู่กับความเจริญก้าวหน้าจากตำแหน่งและหน้าที่การงาน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วในรอบ 1 ปี คนทำงานจะมีโอกาสได้รับ
การพิจารณาเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง แค่เพียง 1 – 2 ครั้ง เท่านั้น จึงยากยิ่งนักที่คนทำงานจะมีความสุขในรอบ 1 ปี

3. ตั้งใจทำงานเพื่อชื่อเสียง

เมื่อเราตั้งใจทำงานเพื่อชื่อเสียงแล้ว ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จิตใจของเราจะจดจ่ออยู่กับการได้รับการยอมรับ นับหน้าถือตาจากผู้คนมากมาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความคิดเห็นของบุคคลอื่น

ไม่สามารถควบคุมจิตใจของบุคคลอื่นให้รู้สึกชื่นชมตัวเราในแบบที่เราต้องการได้
จึงยากยิ่งนักที่คนทำงานจะมีความสุขตลอดช่วงชีวิตของการทำงาน

วิธีการที่ดีที่สุดในการสร้างสุขในการทำงานคงไม่ใช่แค่การตั้งใจทำงานเพื่อให้สิ่งที่คาดหวังสำเร็จแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงการรู้จักเลือกสิ่งที่คาดหวังให้เหมาะสม

ถ้าเราเปลี่ยนจากที่เคยคาดหวัง เงิน ลาภยศ ชื่อเสียงมาเป็นคาดหวังที่จะได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองจากการทำงาน
เราจะรู้สึกว่าการทำงานมีแต่เรื่องที่ทำให้เราได้เรียนรู้
และปัญหาทุกปัญหาคือโอกาสที่ทำให้เราได้พัฒนาตนเอง

ที่สำคัญคือ เรามีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้ทุกวัน ทุกเวลา
เมือความสำเร็จเล็กๆ เกิดขึ้นทุกวันๆ ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ชีวิตเราจะมีความสุขในทุกวันๆ ตลอดปี

307090

บทความโดย จิตเกษม น้อยไร่ภูมิ (แมงปอ) โค้ชทะลุกรอบเงินเดือน

ติดตามได้ที่ https://m.facebook.com/OfficeMan-StandUp-1065263756901407/

 

วิธีไล่ความขี้เกียจ ที่ได้ผลเร็วและดีที่สุดในโลก

Copy of ภาพบทความ

มีคำถามผู้อ่านจากผู้อ่านทางบ้านส่งมาถาม ผมว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจมากครับ เลยขอนำมาบอกกล่าวกันครับ
คำถาม : ผมพยายามดึงตัวเองขึ้นจากตัวตนที่เกียจคร้าน ขาดกะจิตกะใจ แต่ยังมองไม่เห็นความสำเร็จเลย ตัวอย่างเช่น มีงานชิ้นหนึ่งที่ใช้เวลาทำประมาณ 5 วัน ผมรู้ล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์

พยายามเริ่มต้นทำทีไรมันเหมือนไม่มีแรงบันดาลใจที่จะทำ ก็อืดเอื่อยไปเรื่อย จนสุดท้ายมันพอกหางหมู ผมต้องปั่นงานเป็นบ้าเป็นหลัง บางคืนไม่ได้นอนตลอด 24ชั่วโมง ร่างกายก็แย่ รู้สึกตัวเลยว่าสุขภาพเสีย

ประเด็นสำคัญที่สุดคือผมจมอยู่กับความทุกข์ทรมานใจอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จะจัดการตัวเองอย่างไรดี

เคยปรึกษานักจิตวิทยาคำตอบที่ได้จากคนเหล่านั้นก็ดูจะเป็นคำตอบกลาง ๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้ผมก็รู้อยู่แล้ว เกิดความรู้สึกว่ายังไม่น่าจะช่วยอะไรได้ ทุกวันนี้ความทุกข์ทรมานใจส่งผลถึงร่างกาย บางครั้งกินอะไรไม่ลง รู้สึกว่าตัวเองท้องไส้ปั่นป่วน หงุดหงิดง่าย จมอยู่ในกองทุกข์จนยกจิตขึ้นจากมันไม่ได้ คิดได้แต่ทำไม่ได้

พยายามหาที่พึ่งไปเรื่อย ใครพูดถึงหมอดูว่าที่ไหนแม่นยำ ก็คิดอยากจะลองซักหน่อยว่าจะเจ๋งจริงไหม จะสามารถแก้ปัญหาของเราได้หรือเปล่า ที่ร่ายมาซะยาวก็เพื่อจะบอกว่าตอนนี้ผมก็เห็นคุณเป็นเหมือนหลักเกาะอีกอันหนึ่ง หรือจะพูดให้ดูเว่อร์ต้องบอกว่าเหมือนฟางอีกเส้นที่ลอยน้ำมา

และผมก็ไม่มีอะไรจะคว้าไว้อีกแล้ว ผมอยากขอคำปรึกษาว่า ผมต้องทำไงดีเพื่อจะออกจะสภาวะชีวิตแบบนี้ครับ…

ตอบโดย พศิน อินทรวงค์…

1. วงจรชีวิต คุณเคยสังเกตไหมครับว่า ชีวิตคนแต่ละคนนั้นจะมีวงจรเป็นของตนเอง คำว่าวงจรนี้ คือกิจกรรมที่ทำซ้ำๆกันในแต่ละวัน เช่นคุณตื่นกี่โมง ตื่นมาแล้วทำอะไร เดินทางด้วยอะไรรถยนต์ เรือ หรือมอเตอร์ไซค์

ชอบรับประทานอะไรแบบไหน คุยกันใครบ่อยๆ กลับมาบ้านแล้วทำอะไร อาบน้ำเมื่อไหร่ ก่อนนอนทำอะไร และนอนกี่โมง ทั้งหมดนี้คือความหมายของคำว่าวงจรชีวิต

2. วงจรชีวิตนั้น ส่งผลต่อชีวิตทั้งทางตรง รวมถึงในแง่จิตวิทยากับคนเรามาก ถ้าคนออกแบบวงจรชีวิตผิด ชีวิตก็จะกลายเป็นชีวิตที่ไร้ประสิทธิ์ภาพไปอย่างน่าเสียดาย

3. ตอนนี้คุณยังไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องงานมากนัก เพียงแค่รักษาสมดุลของงานไว้อย่าให้เสียหายไปมากกว่านี้ พักเรื่องความกังวลเรื่องงานไว้ก่อน แล้วกลับมาสนใจสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตประจำวัน เพราะคุณต้องสร้างรากฐานให้ดีก่อน

ผมอยากให้คุณออกแบบวงจรชีวิตซะใหม่ โดยเฉพาะ เวลาตื่น และเวลานอน คุณต้องลองปรับเวลาตื่น และนอนเสียใหม่ แล้วใส่กิจกรรมบางอย่างลงไปในชีวิตเพื่อเพิ่มความสนุก สดชื่น ท้าทาย เช่น ออกกำลังกาย พยายามนอนให้เร็ว(ไม่เกินสี่ทุ่ม) และตื่นให้เช้าขึ้น (ตีห้าเป็นอย่างน้อย) แล้วออกวิ่งสักครึ่งชั่วโมง

จากนั้นกลับมาอาบน้ำ แล้วลงมือทำหน้าที่ต่างๆ ในชีวิตประจำวันต่อไป

4. การออกแบบวงจรชีวิตใหม่ แบบกระทันหัน ตรงนี้เป็นการทำลายวงจรร้ายๆ ที่มันกัดกินชีวิตของคุณให้ปั่นป่วน เพราะความขี้เกียจของคุณมันจะงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน มันจะช็อค สะดุดและไม่มีที่เกาะชั่วคราว

คุณต้องทำซ้ำๆๆๆๆ ในสิ่งที่ต่างออกไป รูปแบบชีวิตจะถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดด้วยการทำเช่นนี้ ถ้าคุณทำแบบนี้ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ชัดมาก

5. ในเรื่องของอาหาร คุณมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนใหม่ กินแต่พอสมควร ไม่มาก ไม่น้อย อย่ารับประทานอาหารพวกแป้ง และไขมัน การกินที่มีระเบียบ จะส่งผลต่อความกระตือรือล้นของร่างกาย ร่างกายจะตื่นตัวขึ้น และยังส่งผลเชิงจิตวิทยาต่อการนับถือตนเองของคุณอีกด้วย

6. ความขี้เกียจ นี่มีสิ่งที่มันกลัวอยู่ ขอให้คุณสร้างความประหลาดใจให้ตัวเองให้ตัวเอง รู้สึกว่า “ฉันก็ทำได้” โดยการฝืนทำงานให้เสร็จในทันที

ในครั้งแรกนี้ ขอให้คุณทำงานแบบสายฟ้าฟาด คือทำทันทีทั้งๆที่ขี้เกียจ ให้ความขี้เกียจมันเกิดอาการช็อคว่า “เฮ้ย!! นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ถ้าคุณทำได้ คุณจะเกิดความฮึกเฮิมว่าคุณเอาชนะมันได้

7. มีอีกอย่างที่คุณควรทำทุกวัน ขอให้คุณนั่งสมาธิอย่างน้อยก่อนนอนวันละ 15 นาที ตรงนี้จะส่งผลต่อคุณอย่างมหาศาล ทั้งในแง่จิตวิทยา และการสร้างพลังจิตใจของคุณ

ขอให้ทำแม้ว่าจะนั่งแล้วไม่สงบ ทำแม้ว่าจะเบื่อ ทำแม้ว่าจะขี้เกียจ ไม่ต้องสนใจว่าคุณจะได้อะไรจากการนั่งสมาธิ ขอให้คุณรู้ว่า นี่คือการส่งสัญญาณบางประการต่อจิตวิญญาณของคุณ

และจิตวิญญาณเบื้องลึกของคุณจะรับรู้ได้ และเกิดแสงสว่างขึ้นมาจากภายใน เป็นการอัดฉีดกำลังใจเข้าไปในจิตวิญญาณของคุณ

8. ความร้ายกาจที่สุดของคนเราก็คือการหมดหวัง คุณต้องไม่หมดหวังที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง ขอให้ทำทุกข้อตามที่ผมบอกอย่างเคร่งครัดติดต่อ กันไปเรื่อยๆ อย่างน้อย 15 วัน และทำอย่างต่อเนื่องจนเป็นนิสัย เริ่มจากทำลายวงจรชีวิตเดิมๆ ให้กระเจิง

พยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันให้ต่างออกไปในทุกมิติ ทำแบบกระทันหัน ทำแบบสายฟ้าฟาด ให้ความขี้เกียจมันเกิดอาการช็อคจนจำบ้านตัวเองไม่ได้!!! ทำชีวิตประจำวันให้มันต่างจากเดิมให้เร็วที่สุด ยิ่งต่างยิ่งดี

จากนั้นคุณต้องเริ่มดูแลตนเองเรื่องการกิน เปลี่ยนเวลาตื่น นอน แล้วเริ่มทำสมาธิวันละ 15 นาที จากนั้นให้คุณกลับมาที่เรื่องงานซึ่งเป็นปัญหา ในครั้งแรกขอให้คุณจงทำงานของคุณทันที ทำงานให้เสร็จในระยะเวลาที่เร็วที่สุด

เพราะคุณต้องสร้างความประหลาดใจให้ตนเอง เพื่อให้จิตวิญญาณของคุณมีภาวะเชื่อมต่อกับความสำเร็จ จนจิตวิญญาณของคุณสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า “เฮ้ย เรานี่มันก็สุดยอดเหมือนกัน เรานี่มันไม่ธรรมดา สุดยอดๆๆๆ”

9. กิเลสหรือความขี้เกียจคือหนู วิธีไล่หนูมีอยู่สองแบบ วิธีที่หนึ่ง คือการจับหนู จับไปจับมา หนูมันก็จะมาอีก ถ้าบ้านคุณรก วิธีที่สอง คุณไม่ต้องไปสนใจจับหนู แต่คุณไปจัดบ้านของคุณให้สะอาด ให้เป็นระเบียบ

ทิ้งของบางอย่างที่รกๆ แล้วเพิ่มของบางอย่างที่ง่ายและสวยงามเข้าไป บ้านในที่นี้ก็คือวงจรชีวิตของคุณ ซึ่งคุณจะต้องจัดใหม่โดยเร็ว เพื่อที่ว่า หนูมันจะได้ย้ายออกไป ไม่สนใจมาอยู่ในบ้านของคุณอีก

ที่ผ่านมาคุณพุ่งเป้าไปที่เรื่องของการไล่หนู คือไล่ความขี้เกียจ แต่คุณไม่ได้สนใจที่จะเปลี่ยนวงจรชีวิต ซึ่งมันง่ายและได้ผลมากกว่า ผมพูดแบบนี้คิดว่าคุณคงเห็นภาพ และเข้าใจได้ไม่ยากนัก

ผมดีใจที่ได้ตอบคำถามนี้ และขอเป็นกำลังใจให้คุณสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ได้ในเร็ววัน
คุณทำมันได้แน่นอนขอให้เชื่อมั่น และแน่วแน่

สู้นะครับ อย่าไปยอมแพ้มันเด็ดขาด!!!

ป.ล. คุณจะรู้สึกเบื่อ และไม่อยากทำมันเมื่อต้องทำ เช่น การตื่น การนอน การกิน แต่คุณต้องงัดตัวเองออกมาจากเตียงให้ได้  

ตรงนี้ต้องฝืนใจ ทำให้สำเร็จแล้วสิ่งดีๆ จะถาโถมเข้ามาสู่ชีวิตของคุณอย่างไม่ขาดสาย

บทความโดย พศิน อินทรวงค์ 
ติดตามผลงานหนังสือ
หรือติดตามอ่านบทความดีๆ ก็สามารถเข้ามาได้ที่
เพจ พศิน อินทรวงค์ (กรุณาพิมพ์เป็นภาษาไทยนะครับ)
https://www.facebook.com/talktopasin2013

5 เคล็ดลับ เปลี่ยนคนเบื่องาน ทะยานสู่ TOP 5 ในออฟฟิศ

ยอมรับมาซะดีๆ เคยแอบอิจฉา คนในที่ทำงานที่ได้ดิบได้ดี เป็นลูกรักของ Boss แถมโบนัสเงินเดือนก็ยังเกินหน้าเกินตาเพื่อนร่วมงานกันไหม

หลายต่อหลายครั้งที่เราต้องยอมรับในความสามารถของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นพนักงานระดับ Top 5 ในออฟฟิศ

ความสามารถที่เขาเหล่านั้นไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ไม่ได้มาจากการประจบสอพลอ

หลายต่อหลายคนคิดว่าความสามารถของคนระดับ Top 5 ได้มาเพราะ “เขามีพรสวรรค์”

ความเชื่อแบบนี้ทำให้หลายต่อหลายคนหยุดพัฒนาการทำงานของตัวเอง ซึ่งตามมาด้วยอาการหมดหวังต่อความก้าวหน้าในงานที่ทำอยู่ จนอาจกลายเป็นอาการเบื่องานในไม่ช้า

ทั้งที่ ในความเป็นจริงแล้วพนักงานระดับ Top 5 ก็ไม่ได้มีสิ่งใดเหนือกว่าพนักงานระดับธรรมดาๆ ส่วนใหญ่เลย ต่างกันเพียงแค่พรสวรรค์ข้อเดียวเท่านั้น

คือ “พรสวรรค์ในการเรียนรู้เร็ว”

โชคดีที่พรสวรรค์นี้เป็นสิ่งที่สามารถสร้างได้ง่ายๆ และ ต่อไปนี้ คือ 5 เคล็ดลับ ที่จะทำให้คุณมีศักยภาพในการเรียนรู้เร็ว

1.สร้างสภาพแวดล้อมที่สงบ

ขั้นตอนแรกของการเรียนรู้  มิใช่การฟังหรือการอ่าน แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้

สภาพแวดล้อมที่เงียบ สงบ และปราศจากสิ่งรบกวนที่จะมาดึงความสนใจของคุณจากสิ่งที่กำลังเรียนรู้ จะช่วยให้จิตใจเกิดสมาธิ 

TIP : ควรให้ความสำคัญกับการจัดโต๊ะทำงานและบริเวณโดยรอบให้อยู่ในบรรยากาศเงียบ สงบ ปราศจากสิ่งรบกวน ควรปิดเสียงเครื่องมือสื่อสาร และไม่ควรตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน ควรเก็บไว้ในลิ้นชักเพราะจะได้ไม่รบกวนสายตาซึ่งจะส่งผลดีต่อการสร้างสมาธิในการทำงานมากกว่า

2.ใช้จิตนาการช่วยในการเรียนรู้

ทฤษฎีทางจิตวิทยา สรุปได้ว่า มนุษย์เรียนรู้และจดจำเป็นภาพ มิใช่คลื่นเสียงหรือตัวอักษร  ดังนั้น ก่อนจะเรียนรู้งานเรื่องใดให้คุณลองจินตนาการว่า

เมื่อคุณได้รับความรู้นั้นแล้ว จะนำไปทำอะไรบ้าง ในขณะฟังหรืออ่านให้ค่อย ๆ ลำดับความคิดเป็นภาพ

วิธีการนี้เป็นการเปิดจิตใต้สำนึกให้ค่อย ๆ ดูดซับความรู้ใหม่เข้าไปไว้ในความทรงจำ นอกจากนี้การทบทวนความรู้ใหม่ในตอนกลางคืน โดยเฉพาะ 30 นาที ก่อนนอน ยังช่วยให้จิตใต้สำนึกจดจำภาพต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน และสามารถประมวลผล

เพื่อดึงกลับมาใช้ได้อย่างแม่นยำในวันหน้า

TIP : ทุกครั้งที่ได้รับมอบหมายงานที่ไม่เคยทำ ก่อนที่จะบ่นว่ายากให้เปลี่ยนเป็นการฝึกตั้งคำถามกับตัวเองว่า งานชิ้นนี้องค์กรจะนำไปใช้ประโยชน์ด้านใดได้บ้าง ? เราจะได้เรียนรู้สิ่งใดจากงานชิ้นนี้ ? เราจะทำงานชิ้นนี้ให้ดีที่สุดได้อย่างไร ?

 

3.  จดบันทึกสั้น ๆ

รูปแบบการเรียนรู้หลัก ๆ ที่มนุษย์มีติดตัวมาตั้งแต่เป็นทารก คือ เรียนรู้จากการฟัง (AUDITORY) และเรียนรู้จากการมองเห็น (VISUAL) ซึ่งการเรียนรู้จากการมองเห็นจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการฟัง

เนื่องจากเส้นประสาทที่เชื่อมระหว่างตากับสมองมีจำนวนมากกว่าเส้นประสาทที่เชื่อมระหว่างหูกับสมองถึง 22 เท่า แต่การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุด กลับเป็นการเรียนรู้จากการใช้มือเขียนบันทึกข้อมูลหรือการโน้ตย่อ

เพราะช่วยให้เส้นประสาทที่เชื่อมระหว่างสมองกับตา และสมองกับหูสามารถทำงานไปพร้อม ๆ กัน

กล่าวคือในระหว่างคุณจดบันทึกข้อความ สมองของคุณจะเห็นภาพและได้ยินเสียงเกี่ยวกับข้อมูลที่กำลังจดบันทึกในเวลาเดียวกัน

วิธีการจดบันทึกจึงเป็นเสมือนทางลัดที่ใช้ในการส่งข้อมูลความรู้เข้าไปจัดเก็บไว้ในคลังสมอง

Tip : ฝึกจดบันทึกประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากงานชิ้นใหม่ๆ ที่เพิ่งเคยทำ หรือ งานชิ้นเดิมๆ ที่เคยทำผิดพลาด รายละเอียดของงานในแต่ละขั้นแต่ละตอน หมั่นนำมาอ่านทบทวนสัปดาห์ละครั้ง เพื่อสะสมความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ตรงไว้ในคลังสมอง

 

4.  แบ่งปันความรู้ใหม่กับผู้อื่น

สิ่งที่น่าตกใจ คือ ความรู้ใหม่ที่เพิ่งได้เรียนรู้ กว่า 90 % ไม่ว่าจะมาจากการฟัง การอ่าน หรือการเขียนก็ตาม จะคงอยู่ในสมองได้ไม่นานนัก

หากคุณไม่รีบนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน สมองจะสั่งการว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันของคุณ และจะค่อยๆ โละความรู้นั้นทิ้งในเวลาต่อมาเพื่อไม่ให้เป็นภาระสมอง 

ดังนั้น วิธีการที่ง่ายที่สุดในการเก็บความรู้ใหม่ให้คงอยู่ในคลังสมองตลอดไป คือ การพูดคุยเพื่อแบ่งปัน แลกเปลี่ยนสิ่งที่เพิ่งได้เรียนรู้ให้แก่คนในชีวิตประจำวันของคุณ เช่น เพื่อน คนรัก พี่น้อง

ซึ่งถือเป็นการย้ำเตือนกับสมองว่าเรื่องที่แบ่งปันเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันห้ามลบทิ้งโดยเด็ดขาด

Tip : หาเวลาว่างสักวันละ 5 นาที พูดคุยเรื่องราวดีๆ ที่ได้เรียนรู้มาจากการทำงาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ให้คำแนะนำซึ่งกันและกัน แทนการสุมหัว ตั้งวง บ่น นินทา เม้ามอย ฯลฯ

 

5.  ดื่มน้ำและออกกำลังกายสม่ำเสมอ

เป็นวิธีที่สำคัญที่สุดวิธีหนึ่ง เนื่องจากสมองส่วนหน้าของมนุษย์มีไว้เพื่อทำหน้าที่ในการเรียนรู้และจดจำ ดังนั้น สมองส่วนหน้าจึงมีความต้องการใช้ออกซิเจนในเลือดในปริมาณที่เพียงพอเพื่อเพิ่มเซลสมองให้ส่วนนี้

การดื่มน้ำและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีการที่ใช้ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้อย่างทั่วถึง จึงถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการสร้างสมองอัจฉริยะ

Tip : บนโต๊ะทำงานของคุณควรมีกระติกน้ำ หรือ ขวดน้ำที่มีความจุประมาณ 1 ลิตร ตั้งไว้ เพื่อเป็นการเตือนความจำให้คุณค่อยๆ หยิบมาจิบไปเรื่อยๆ ระหว่างนั่งทำงาน 8 – 10 ชั่วโมง และหลังเลิกงานควรแบ่งเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 15 – 30 นาที

 

เคล็ดลับง่ายๆ ทั้ง 5 ข้อ คงเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าพรสวรรค์ ไม่ใช่สิ่งที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด

อันที่จริงแล้ว “พรสวรรค์เป็นสิ่งที่เราต้องลงทุน”  การลงทุนที่ดีที่สุด ก็คือการลงทุนกับการเรียนรู้

อย่าลืมใส่ใจดูแลสมองและร่างกายให้พร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ เพื่อสร้างความสำเร็จในการทำงานให้ทะลุอันดับ Top 5 Top 3 ไปจนถึง Number 1 กันน่ะครับ

 

307090

บทความโดย จิตเกษม น้อยไร่ภูมิ (แมงปอ) โค้ชทะลุกรอบเงินเดือน

ติดตามได้ที่ https://m.facebook.com/OfficeMan-StandUp-1065263756901407/

สุดยอด 5 ทักษะ ทำงานให้สำเร็จอย่างง่ายดาย

10
     ทักษะแห่งการทำงานให้สำเร็จแค่วิชาความรู้ในงานนั้นๆ ยังไม่เพียงพอ เรามาดูกันว่ามีทักษะใดบ้างที่คุณควรมี และถ้าทำได้
ความสำเร็จก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมครับ

1.ทักษะทางเทคนิค      

          คือ ความรู้โดยตรงเกี่ยวกับเรื่องงาน (ข้อนี้ทำได้โดยการอ่านหนังสือ ฟังผู้รู้ ฝึกทำบ่อยๆ จะว่าไปแล้วนับว่าเป็นข้อที่ทำได้ง่ายที่สุด)

2.ทักษะแห่งความสร้างสรรค์      

         คือ ความสามารถบูรณาการความรู้เพื่อนำไปใช้ในรูปแบบที่น่าสนใจและแตกต่าง (ข้อนี้ต้องใช้การฝึกฝน หาประสบการณ์ และแนวทางใหม่ๆ ต้องเป็นคนกล้าลองผิดลองถูก มองเห็นสิ่งที่ไม่เคยทำเป็นความท้าทาย ต้องเป็นคนที่รู้จักใช้จินตนาการให้เป็นประโยชน์ เป็นข้อที่สอนกันไม่ค่อยได้ แต่ถ้าทำบ่อยๆ ก็จะพบแนวทางสร้างสรรค์เป็นของตนเอง)

3.ทักษะแห่งความสัมพันธ์

           คือ ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (ฟังดูเหมือนง่าย แต่คนมักตกม้าตาย เพราะนิสัยพื้นฐานของมนุษย์ชอบพูดมากกว่าฟัง ไม่ชอบมองความผิดตนเอง แต่ชอบมองไปที่ความผิดผู้อื่น ไม่ใช่เห็นประโยชน์ผู้อื่น แต่ชอบเห็นประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ)

4.ทักษะแห่งกลยุทธ

         คือ มุมมองทางการตลาด ความเข้าใจถึงความเกี่ยวโยงของงานและสังคมโดยรวม(ข้อนี้การรับข้อมูลข่าวสาร ความเป็นไปของโลกจะช่วยได้มาก ต้องเป็นคนหูตากว้างไกล ฟังข่าวสาร สังเกตคน เปิดหูเปิดตาในโลกกว้างให้มากที่สุด)

5.ทักษะการเท่าทันตนเอง

        คือ ความสามารถในการเอาชนะใจตนเอง เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ (เกือบทุกคนตกม้าตายเพราะข้อนี้ คือเป็นคนที่รู้ทุกอย่างแต่บังคับตนเองให้ทำสิ่งที่ควรทำไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่เราเห็นคนเก่งหลายคนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ถ้าทำข้อนี้ได้ดี ทักษะในข้ออื่นๆ ก็ฝึกฝนได้ไม่ยากเลย)

             ***ขอให้ลองนำสิ่งที่ผมเขียนไปวิเคราะห์ตนเองดูนะครับ อะไรที่เรายังขาด ก็ค่อยๆ เติม  อะไรที่เราดีอยู่แล้ว ก็ค่อยๆ ทำให้ดียิ่งขึ้น
             ในการพัฒนาตนเองเราไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใคร เพียงเรามองไปที่ตนเอง แข่งขันกับตนเอง
ทำให้ดีขึ้นทุกวัน อย่าไปท้อ อย่าไปหมดกำลังใจง่ายๆ ทำไปเถอะครับ ทำไปเรื่อยๆ สักวันชีวิตของเราก็จะเดินไปถึงฝั่งฝันได้แน่นอน

             เป็นกำลังใจให้ลุกขึ้นมาสนุกกับชีวิตกันต่อไปครับ***

ผู้เขียน พศิน อินทรวงค์

ที่มา : เพจ พศิน อินทรวงค์
https://web.facebook.com/talktopasin2013

5 เคล็ดลับ เปลี่ยนวันจันทร์ ให้เป็นวันสุข

10

    หากถามว่าในหนึ่งสัปดาห์…

                        วันใดเป็นวันที่ยากลำบากที่สุด ?

                        วันใดเป็นวันที่ไม่อยากให้เวียนมาถึงมากที่สุด ?

                        วันใดเป็นวันที่อยากลบออกจากปฎิทินที่สุด ?

 

            ถ้าคำตอบของคุณ คือ “วันจันทร์ วันจันทร์ และวันจันทร์”

            ขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณคือ มนุษย์เงินเดือนโดยสมบูรณ์แบบ 100%

            จะดีแค่ไหนหากเราสามารถเปลี่ยนวันจันทร์ให้กลายเป็นวันที่สุขใจ

            วันนี้ Learning Hub Thailand มี 5 เคล็ดลับ ที่จะเปลี่ยนวันจันทร์ให้กลายเป็นวันดีๆ ในแบบที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อน มาฝากคุณผู้อ่านทุกท่าน

1.ทำ To Do List

                 การเขียนสิ่งที่ต้องทำลงในกระดาษแผ่นเดียวโดยเรียงลำดับไปทีละเรื่องๆ หรือ การทำ To Do List ในคืนวันอาทิตย์ หรือ เช้าวันจันทร์ก่อนเริ่มทำงาน ถือเป็นการวางแผนและตีกรอบให้สมองทำงานจัดการปัญหาทีละเรื่องๆ อย่างเป็นระบบ ถือเป็นการปิดประตูความวุ่นวายสับสนที่อาจแวะเข้ามาทักทายคุณได้ในตลอดทั้งวัน

2.เลือกทำงานที่ยากที่สุดก่อนเสมอ

                 ในบรรดางานที่ต้องจัดการที่เขียนไว้ใน To Do List อาจมีทั้งงานชิ้นใหญ่ที่มีความซับซ้อนในการสะสางปัญหาต่างๆ และงานชิ้นเล็กที่ไม่มีความซับซ้อน ให้คุณเลือกหยิบงานชิ้นใหญ่ที่สุด งานที่ยากที่สุด และงานที่มีปัญหามากที่สุดขึ้นมาทำเป็นลำดับแรกเสมอ

                เพราะสมองที่เพิ่งตื่นจากการพักผ่อนในช่วงวันหยุดจะมีพลังเต็มเปี่ยมเหมือนแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนที่เพิ่งชาร์ตมาจนเต็มพิกัด จึงสามารถจัดการงานที่ยุ่งยากซับซ้อนได้ดีกว่าการเก็บงานชิ้นดังกล่าว
เอาไว้ทำทีหลัง

3.ลงมือทำงานที่ยากที่สุดโดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด

             ในงานชิ้นที่ยากที่สุดที่คุณหยิบมาทำเป็นลำดับแรกนั้น อาจประกอบไปด้วยสิ่งที่ต้องทำหลายสิ่งๆ ให้คุณ
แจกแจงสิ่งที่ต้องทำต่างๆ ออกมาให้มากที่สุด เช่น ภารกิจในการจัดประชุมบอร์ดบริหาร ประกอบไปด้วยสิ่งที่ต้องทำ ดังนี้ การจัดทำวาระการประชุม การสรุปผลประกอบการในรอบไตรมาส การโทรศัพท์นัดกรรมการ การประสานงานแม่บ้านเพื่อจัดหาอาหาร การเตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในห้องประชุม เป็นต้น

             ให้คุณเลือกลงมือเตรียมอุปกรณ์ฯ เป็นลำดับแรกแล้วจึงประสานงานแม่บ้าน โทรศัพท์นัดกรรมการ สรุปผลประกอบการฯ และจัดทำวาระการประชุม ตามลำดับ วิธีการนี้เป็นการหลอกสมองให้ค่อยๆ สะสมความสำเร็จที่ละเล็กทีละน้อยเพื่อสร้างความสำเร็จที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับการค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดที่ละก้าวจนถึงจุดสูงสุด

4.ให้รางวัลกับทุกความสำเร็จเล็กๆ

                 ในทุกๆ ขั้นตอนของการทำงานแต่ละชิ้น เมื่อทำแต่ละขั้นตอนเสร็จแล้วให้คุณทยอยให้รางวัลกับความสำเร็จเล็กๆ หลายครั้งๆ แทนที่จะรอจนงานชิ้นใหญ่เสร็จแล้วค่อยให้รางวัลกับความสำเร็จชิ้นใหญ่เพียงครั้งเดียว โดยรางวัลอาจเป็นแค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การพักจิบชาอุ่นๆ 15 นาที การแวะช๊อปปิ้งต่างหูที่ตลาดนัดในช่วงพักกลางวัน

                 การอนุโลมให้ตัวเองทานเค้กสักชิ้นในช่วง On Diet เป็นต้น วิธีการนี้เป็นการสร้างแรงจูงใจโน้มน้าวให้สมองวิ่งไล่ความสำเร็จที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

5.ใช้ Social Media ให้น้อยที่สุด

                  ข้อนี้น่าจะเป็นข้อที่ทำได้ยากที่สุดสำหรับหนุ่มสาวในยุคปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงต้องยอมรับว่าสาเหตุหลักๆ ของอารมณ์หงุดหงิดหัวเสีย ไม่มีสมาธิในการทำงาน และอาการบ่นในเรื่องต่างๆ มักจะมาจากข่าว หรือ เรื่องราวที่ได้รับรู้ผ่าน Facebook Line Twitter IG และ Weblog ต่างๆ

                 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นสำหรับตัวคุณ การงดใช้ Social Media ที่ไม่จำเป็นในวันจันทร์ จึงถือเป็นการป้องกันสิ่งที่จะเข้ามาปั่นทอนศักยภาพของสมองที่กำลังทำงานรับใช้นายของมันอย่างขยันขันแข็ง

                 เคล็ดลับทั้ง 5 ข้อนี้ จะช่วยปลดล็อคให้วันจันทร์กลายเป็นวันที่แสนสุขใจ ขอเพียงแค่คุณได้เริ่มต้นสร้าง
วันจันทร์ให้เป็นวันสุข วันอื่นๆ ในสัปดาห์ก็จะค่อยๆ เป็นวันสุขตามไปด้วย และใน 1 ปี ขอเพียงคุณใช้เคล็ดลับทั้ง 5 ข้อ
ในทุกๆ วันจันทร์ แค่เพียง 48 วัน เชื่อได้ว่าอีก 317 วัน ที่เหลือ ก็จะกลายเป็นวันดีๆ ท้ายที่สุดตลอดทั้งปีก็จะกลายเป็นปีที่แสนมหัศจรรย์

ลองทำดูครับ แล้วคุณจะประหลาดใจว่า… ในทุกๆ วันจันทร์ก็สุขได้ไม่แพ้เย็นวันศุกร์

เรียบเรียงโดย จิตเกษม น้อยไร่ภูมิ

รีวิวหนังสือ“ไม่ว่าจะคิดอะไร ให้คิดตรงกันข้าม”

20

          เมื่อเข้ายุคดิจิตอลอย่างเต็มตัว เราต่างเห็นคนประสบสำเร็จกันมากขึ้น โดยที่อายุ เพศ การศึกษา ไม่ใช่อุปสรรคสำคัญอีกต่อไป แต่ตัวเลขของคนที่ประสบความสำเร็จก็ไม่ได้แปลว่าการแข่งขันในโลกยุคนี้จะลดลง ตรงกันข้ามเรากลับเห็นผู้คนต่างหาวิธีการแข่งขันในรูปแบบที่เป็นตัวเองกันมากขึ้น เพื่อสร้างความโดดเด่น และกลายเป็นที่จดจำต่อผู้พบเห็น 

         แต่ต้องถือเป็นเรื่องที่ดีนะคะ เพราะการแข่งขันที่สูง คือแรงผลักที่ดี ทำให้เรายิ่งต้องรีบหา จุดแข็งของตัวเองให้เจอและก้าวข้ามความกลัวที่จะ “คิดตรงข้ามกับ คนอื่นไปบ้าง” ซึ่งถ้าคุณอยากต่าง แต่ติดที่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง?  

         วันนี้ Learning Hub มีหนังสือ “ไม่ว่าจะคิดอะไร ให้คิดตรงกันข้าม” Whatever You Think, Think the Opposite. มารีวิวให้คุณค่ะ 

         หนังสือเล่มนี้เป็นฝีมือจากปลายปากกาของ “พอล อาร์เดน” ชายผู้ที่เรซูเม่สมัครงาน ไม่สวยงามเอาเสียเลย เพราะถูกไล่ออกจากบริษัทถึง 5 ครั้ง เพียงเพราะคิดต่างจากคนอื่น แต่ปัจจุบันเค้ากลายเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ มีผลงานตีพิมพ์มาแล้วหลายเล่ม เช่น “ครีเอทีฟ ต็อดท์”  

          แถมยังได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดครีเอทีฟของวงการโฆษณาในประเทศอังกฤษ  ที่ไม่ว่าแบรนด์ไหนๆ ต่างต้องการตัว 

และเมื่อเป็นหนังสือของครีเอทีฟ ไม่ว่าคุณจะเป็นครีเอทีฟหรือไม่ ก็ถือว่าหนังสือเล่มนี้สามารถตอบสนองความต้องการของ “คนอยากแตกต่าง” ได้เป็นอย่างดีค่ะ

          ถ้าพูดถึงสิ่งที่น่าสนใจของเล่มนี้ จุดเด่นต้องยกให้กับการรวบรวมความคิดที่ “แตกต่าง แต่ทว่าสำเร็จของคนธรรมดา ที่กลายเป็นตำนานระดับโลกไปแล้วหลายต่อหลายคน”  

         ยกตัวอย่างเช่น ช่วงก่อนกีฬาโอลิมปิก 1968 ที่เม็กซิโก คุณอาจจะคุ้นเคยกับกีฬากระโดดสูงเป็นอย่างดี ภาพจำของเราคือนักกีฬาทุกคน พยายามจะใช้วิธีพุ่งไปข้างหน้า ให้ขนานกับไม้พาด เพื่อกระโดดให้สูงที่สุด ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียกว่า เวสเทิร์น โรลล์  

         แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อ “ดิก ฟอสแบรี” เลือก “ทำตรงกันข้าม” กับนักกระโดดสูง ทุกคนด้วยการ “หันหลังให้ไม้พาด” แทนที่จะหันหน้าเข้าหามัน ผลลัพธ์คือเขา กระโดด ได้สูงกว่าใครๆ จนเทคนิคนั้น ถูกใช้กันเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ในชื่อ “แฟแบรี ฟลอป” 

         ไม่เพียงแต่ความต่างที่ “พอล อาร์เดน” เลือกมารวบรวมไว้ให้คุณ แต่รับรองว่ายังมีอีกหลายประโยคในหนังสือเล่มนี้ ที่อ่านแล้วคุณอาจจะหันมาย้อนดูตัวเองในทันที!  

          เช่น “บางทีสิ่งที่ฉลาดที่สุด คือการทำตัวไม่ฉลาดจนเกินไป”  และยิ่งถ้าใคร ชอบรูปสวยๆ ความหมายดีๆ คุณย่อมไม่น่าพลาดหนังสือเล่มนี้ด้วยประการทั้งปวง เพราะแทบ 100% ของหนังสือ เน้นใช้รูปสื่อสารกับคนอ่าน แต่ถ้านับความคุ้มค่าคง แพ้หนังสือเล่มอื่นๆ เพราะเนื้อหา “น้อยกว่า” ที่คาดหวังไว้เยอะเลย   

         แม้หนังสือเล่มนี้จะมีเนื้อหาสั้นกระชับ แต่สำหรับผู้เขียนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว กลับมองว่ามันคุ้มค่า และถ้าคุณคือคนหนึ่งที่ต้องการสิ่งกระตุ้นให้ตัวเองกล้าคิดอะไรใหม่ๆ อย่าลังเลที่จะซื้อหามาอ่าน อย่างที่ “พอล อาร์เดน” ทิ้งท้ายไว้ในหน้าเกือบทสุดท้ายว่า

“โลกนี้เป็นอย่างที่คุณคิด ดังนั้นจงคิดถึงมันให้ต่างไปจากเดิม

แล้วชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไป” 

        …อ่านประโยคนี้จบ คงต้องถามผู้อ่านกลับบ้างแล้วล่ะค่ะว่า “วันนี้คุณพร้อมจะแตกต่างจากคนอื่น แล้วหรือยัง?”  

 

เรียงเรียงโดย  Aris – Learning Hub Team 

ที่มาข้อมูล หนังสือ  “ไม่ว่าจะคิดอะไร ให้คิดตรงกันข้าม” Whatever You Think, Think the Opposite 

ผู้เขียน – พอล อาร์เดน Paul Arden 

ผู้แปล – อรณี อรุณีกุล 

สำนักพิมพ์วีเลิร์น 

14 ข้อคิดและ 6 ขั้นตอนง่ายๆ ทำตอนเช้าเพื่อเปลี่ยนชีวิตคุณ

14-commentaries-and-6-easy-steps-to-make-the-morning-to-change-your-life

นี่คือสรุปสาระสำคัญของหนังสือ The Miracle Morning เขียนโดย Hal Elrod ที่รับประกันว่าชีวิตคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้

1. คนส่วนใหญ่มีอาการกระจกมองหลัง “Rearview Mirror Syndrome” (RMS)

คือ คุณเชื่อว่าตัวคุณในตอนนี้เหมือนกับตัวคุณในอดีต ดังนั้นเวลาคุณตัดสินใจเลือกอะไร คุณจะใช้ประสบการณ์ในอดีตมาเป็นข้อจำกัดของคุณเอง พอมีโอกาสใหม่ๆ เข้ามา คุณก็จะไม่ฉวยมันไว้เพราะไม่เคยทำมาก่อน เช่น คนที่ไม่กล้ามีความรักครั้งใหม่เพราะในอดีตเค้าเคยมีประสบการณ์อันเลวร้ายเรื่องคู่ครองมาก่อน

2. คนส่วนใหญ่ชอบคิดแบบแยกเหตุการณ์ (isolating incidents)

คือ คิดว่าแต่ละเหตุการณ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแต่จริงๆ แล้วมันเกี่ยวนะ เช่น วันนี้กะว่าจะไปออกกำลังกายสักหน่อย แต่สุดท้ายก็เลื่อนมันไปพรุ่งนี้แทน คุณอาจจะนึกว่าไม่เห็นเป็นไร ไม่มีผลกระทบในตอนนี้ แต่จริงๆ แล้วมันส่งผลด้วยว่าคุณเป็นคนยังไง เพราะหากคุณทำมันบ่อยๆ สุดท้ายก็กลายเป็นนิสัยติดตัวคุณ และทำให้ประสบความสำเร็จได้ยาก ดังที่ T. Harf Eker กูรูชื่อดังกล่าวไว้ว่า

“How you do anything is how you do everything.” 
“คุณทำบางอย่างยังไง คุณก็มักทำทุกอย่างอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน” 

T. Harf Eker

3. เริ่มต้นวันใหม่ที่ดีด้วยการหยุดกดเลื่อนเวลาปลุก

คิดเกี่ยวกับการนอนของคุณซะใหม่ ทุกครั้งที่คุณกดเลื่อนเวลาบนนาฬิกาปลุก จิตใต้สำนึกคุณกำลังบอกคุณว่าคุณไม่อยากตื่นขึ้นมาเจอชีวิตหรือสิ่งที่รอคุณอยู่ในวันใหม่ คุณกำลังลดโอกาสที่จะเจอวันดีๆ เต็มไปด้วยพลัง แต่ถ้าคุณตื่นขึ้นมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย คุณก็จะสร้างวันแห่งความสุขด้วยตัวคุณเอง

4. คนที่ประสบความสำเร็จล้วนตื่นเช้า

โอปรา วินฟรีย์, บิลล์ เกตส์, ไอน์สไตน์ และอริสโตเติ้ล ล้วนแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ ทุกคนล้วนตื่นเช้า

5. ความรู้สึกที่คุณมีต่อวันพิเศษ มีผลต่อการตื่นเช้า

ในเช้าวันเกิด วันแต่งงาน หรือวันคริสต์มาส ปกติเรามักจะตื่นขึ้นมาด้วยความแจ่มใส มีพลัง แม้จะนอนน้อยก็ตาม นั่นเป็นเพราะความเชื่อที่มีผลอย่างมากต่อความรู้สึกยามตื่นของเรา

6. คิดว่า “ง่วง” ก็จะ “ง่วง”

ผู้แต่งพบว่าความคิดตอนนอนสำคัญมาก หากคุณคิดว่า คุณมีเวลานอนน้อย เดี๋ยวคอยดู พรุ่งนี้ฉันคงง่วงแน่นอน ตื่นขึ้นมาคุณก็จะไม่มีแรง แต่หากคุณคิดก่อนนอนว่า คุณจะรู้สึกดีจัง พอตื่นนอนมา คุณก็จะสดชื่นทั้งๆ ที่บางทีนอนน้อยเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น

7. จัดการกับนาฬิกาปลุก!

แนะนำให้วางนาฬิกาปลุกให้ห่างจากเตียง คุณต้องลุกออกจากเตียงเพื่อไปปิดเสียงนาฬิกาปลุก ไหนๆ ลุกแล้วก็เข้าห้องน้ำ แปรงฟันซะเลยนะ จะได้สดชื่น หลังจากนั้น ก็ให้ดื่มน้ำ 1 แก้วเพราะคุณเสียน้ำไปจากการหายใจช่วงการนอนหลับตลอดคืน การขาดน้ำจะทำให้คุณอ่อนเพลียได้

8. ผ่อนคลายกับยามเช้า

หลังตื่นนอนตอนเช้าแนะนำให้ใช้ความเงียบอย่างมีจุดหมาย อย่างที่คนดังหลายๆ คนทำ เช่น การนั่งสมาธิ หยุดความวิตกกังวลแล้วเพ่งสมาธิไปที่ลมหายใจจะทำให้คุณต่อสู้กับความเครียด

9. แนะนำให้พูดกับตัวเอง (positive affirmation)

เพื่อให้จิตใต้สำนึกทำงาน วิธีการคือให้เขียนว่าคุณต้องการให้ชีวิตคุณเป็นอย่างไรในทุกๆ มิติ เช่น ด้านการเงิน ด้านสุขภาพ ด้านความรัก ฯลฯ ทำไมคุณถึงต้องการมัน? แล้วคุณต้องทำอะไรเพื่อให้ได้มันมา? เมื่อคุณเขียนแล้ว คุณต้องอ่านมันดังๆ อย่างน้อยวันละครั้ง

10. การใช้จินตนาการมองเห็นภาพ (visualization)

เครื่องมืออีกชิ้นที่สำคัญคือการใช้จินตนาการมองเห็นภาพ (visualization) ในสิ่งที่คุณอยากเป็น, ชีวิตในฝัน, ความฝันหรือเป้าหมายของคุณ หรือการซ้อมทางจิต (mental rehearsal) ซึ่งการถามตัวเองว่า ฉันต้องการอะไร? ฉันต้องการมันทำไม? ฉันต้องทำอะไรถึงได้มันมา? ช่วยให้คุณเห็นภาพชัดเจนขึ้น

11. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายยามเช้าจะทำให้คุณสำเร็จและสุขภาพดี คนส่วนใหญ่หาเวลาออกกำลังกายไม่ได้ ก็แนะนำให้ทำอย่างแรกในตอนเช้าซะเลย อย่าผัดไว้ทำทีหลังเพราะสุดท้ายคุณก็จะไม่ได้ทำมันในที่สุด ผู้เขียนแนะนำให้ฝึกโยคะตาม DVD สัก 20 นาทีต่อวัน ช่วยทำให้ตื่นและมีพลังไปตลอดวัน

12. การอ่านและการเขียนเป็น 2 สิ่งที่จะสะท้อนความสำเร็จ

การอ่านแบะการเขียนช่วยให้คุณเขยิบเข้าใกล้เป้าหมายในชีวิต คุณอาจจะตั้งเป้าอ่านหนังสือ 10 หน้าต่อวันโดยใช้เวลา 10-20 นาที 1 ปีคุณจะอ่านได้ 3,650 หน้าเท่ากับหนังสือ 18 เล่มต่อปีเลยนะ การเขียนสัก 5-10 นาทียามเช้าจะช่วยเร่งให้คุณพัฒนาไปไกล เขียนความคิด ความรู้สึก สิ่งลึกๆ ในใจคุณออกมา

ผู้เขียนจะแบ่งหน้ากระดาษเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งแรกเขียนบทเรียนที่ได้รับ (lessons learned) และอีกฝั่งเขียนสิ่งที่สัญญาว่าจะทำ (new commitments) การทำเช่นนี้ทำให้เราไม่ทำผิดซ้ำแถมเปลี่ยนชีวิตไปเลย

13. จัดสรรเวลาอย่างชาญฉลาด

ลองจัดสรรเวลาของคุณทำสิ่งต่างๆ ที่แนะนำไปบางคนอาจจะใช้ 60 นาทีทำทั้ง 6 อย่างหรือใช้ 30 นาทีในการออกกำลังกายและก็ทำอย่างอื่น อย่างละ 5 นาที หรืออย่างน้อยถ้าคุณมีแค่ 6 นาทีจะแนะนำให้คุณทำต่อไปนี้ (อย่างละ 1 นาที)

1) นั่งเงียบๆ ทำสมาธิ
2) พูดกับตัวเอง 
3) มองเห็นภาพว่าวันนี้เป็นวันดีของคุณ 
4) เขียนสิ่งที่คุณขอบคุณและสิ่งที่คุณจะทำให้สำเร็จในวันนี้ 
5) อ่านหนังสือ 2 หน้า 
6) วิดพื้นหรือซิตอัพ

14. ทำต่อเนื่อง 30 วัน เปลี่ยนชีวิตตลอดกาล

การจะทำตอนเช้าให้เปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล คุณต้องทำสิ่งที่ผู้เขียนแนะนำ 30 วันจนติดเป็นนิสัยและแนะนำให้หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันมาทำด้วยกันจะสำเร็จได้ง่ายกว่าทำเพียงคนเดียว โดยคุณจะเจอ 3 ช่วงคือ 10 วันแรก คุณจะพบว่ามันช่างยากเย็นซะเหลือเกิน 10 วันถัดมาจะง่ายขึ้นแต่ก็ยังรู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยชิน และ 10 วันสุดท้าย มันจะกลายเป็นนิสัยใหม่ของคุณที่คุณเริ่มพอใจกับมัน

สรุป 6 ขั้นตอนง่ายๆ ทำตอนเช้าเพื่อเปลี่ยนชีวิตคุณ

1. ทำสมาธิ (silence)
2. พูดกับตัวเอง (affirmations)
3. ใช้จินตนาการเห็นภาพ (visualization)
4. ออกกำลังกาย (exercise)
5. อ่านหนังสือ (reading)
6. เขียนหนังสือ (writing)

แปลและเรียบเรียงโดย Kru Fiat (เพจ: Krufiat Boonphayoong)

(ที่มา: หนังสือ The Miracle Morning เขียนโดย Hal Elrod)

9 วิธีเพิ่มทักษะการฟัง สำหรับคนทำงาน เพื่อพัฒนาศักยภาพตนเอง

listenatwork

การฟัง หรือ Listening ถือเป็นหนึ่งทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งของผู้ที่กระหายในความสำเร็จของชีวิต เพราะเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่งนั้น สามารถเริ่มต้นเรียนรู้ได้จากทักษะแรกสุดที่ธรรมชาติให้มา นั่นคือการฟังนั่นเอง ยิ่งถ้าคุณทำงาน หรือสร้างธุรกิจ (Start Up) ด้วยแล้ว การฟังยิ่งทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เพราะหากการฟังไม่ดี เกิดการเข้าใจผิดหรือตัดสินใจผิด ปัญหาจะเกิดกับธุรกิจทันที

ดังนั้นเพื่อให้ทักษะการฟังพัฒนาขึ้น “9 วิธีการเพิ่มทักษะการฟัง” ต่อไปนี้ อาจช่วยให้คุณ มีพัฒนาการที่ดีด้านการฟัง และที่สำคัญ อาจกลายเป็นจิ้กซอว์ สำคัญในการสร้างความสำเร็จของคุณได้ด้วย

1.เรียนรู้ที่จะฟังเสียก่อน

ผมเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด แต่เป็นสิ่งที่เราอาจลืม หรือไม่ได้นึกถึงมากที่สุด นั่นคือ จงเริ่มต้นที่การเรียนรู้ที่จะฟังเสียก่อน เราฟังเพื่ออะไร เพื่อที่จะได้ถอดรหัสของเสียงเหล่านั้นกลายเป็นข้อมูลเพื่อการนำไปใช้ เช่น ฟังการสอน  ฟังวิธีการในการทำอาหาร เสียงช่วยให้เราถอดรหัสได้ง่ายเพิ่มขึ้น

2.คิดตามเสมอที่คุณฟัง

อย่าฟังเรื่องใดๆแบบปล่อยผ่าน แต่จงฟังอย่างตั้งใจ และพยายามตรองเรื่องที่เราฟังไปพร้อมๆกับเสียงที่ได้ยิน การที่เรานึกถึงสิ่งเหล่านั้นไปด้วย จะช่วยให้สมองได้รับการสนับสนุนให้กระตุ้นความคิดในเรื่องนั้นๆอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ และมันจะกลายเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับคุณ

3.ทวนความเป็นช่วงๆ ช่วยคุณได้

เพื่อให้การจดจำในสิ่งที่คนอื่นพูด เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หากคุณสนทนากับบุคคลดังกล่าวอยู่ ลองเปลี่ยนเป็น การพูดสลับออกมาจากที่คุณฟังด้วย โดยพูดในเรื่องที่ผู้พูดคนนั้นได้ถ่ายทอดบทความออกมา ผมมักทำแบบนี้อยู่เสมอๆ และเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก คือผมสามารถจดจำเรื่องต่างๆได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากเลยครับ

4.ฝึกสมาธิของคุณเป็นประจำ

อย่าดูเบาในเรื่องของสมาธินะครับ มีงานวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์ และด้านจิตวิทยาทั่วโลกมากมาย ที่สนับสนุนให้เรารู้ว่า การฝึกสมาธิเป็นประจำอย่างน้อย 15 นาทีทุกวัน สามารถพัฒนาขีดความสามารถด้านความจำของคุณได้อย่างมาก ดังนั้นเมื่อมีการค้นพบเทคนิคง่ายๆอย่างนี้แล้ว ก็อย่ารอช้า ฝึกสมาธิเลยครับ หรือเลือกเข้าคอร์สการอบรมเรื่องโยคะก็ได้

5.ลองฟังเสียงธรรมชาติและแยกเสียงสิ

ผมว่าเทคนิคข้อนี้ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่ สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่ฝึกฝนทักษะในเรื่องของการฟังอยู่ไม่น้อย นั่นคือ คุณลองหาโอกาสในการไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะหากสถานที่นั้นเป็นสถานที่แบบธรรมชาติ เพื่อที่ว่า ผมอยากให้คุณลองฟังดูเสียของธรรมชาติ เสียงต้นไม้ เสียงลมพัด หรือเสียงน้ำตกที่ไหลรินอย่างอ้อยอิ่ง ตามลำธารต่างๆ เป็นเรื่องเหลือเชื่อว่า ถ้าเราสามารถฟังและแยกเสียงเหล่านั้นได้ดี จะมีผลต่อประสิทธิภาพในการฟังอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว

6. การอบรมเรื่องการฟัง ช่วยได้มาก

อย่าคิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นนะครับ หากคุณมีปัญหาว่า ไม่สามารถเข้าใจสารที่เจ้านายสั่งงานคุณเป็นประจำ หรือรู้สึกว่าตนเองนั้นค่อนข้างมีสมาธิสั้นในการฟังแล้ว จงเริ่มเปลี่ยนแปลงวิถีของตนเองอย่างง่ายๆด้วยการเรียนรู้ทักษะการฟังที่ถูกต้อง จากวิทยากรที่มากด้วยความสามารถอย่างนี้จะดีกว่า การเรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญ ช่วยให้คุณไม่ต้องเริ่มต้นทักษะการฟังจากศูนย์

หลักสูตรสอนเรื่องการสื่อสารและการฟัง สำหรับคนทำงานในองค์กร เช่น “Communication for AEC Leadership: ทักษะการสื่อสารสำหรับผู้บริหารยุค AEC”

7.จดด้วยทุกครั้งที่คุณฟัง

สิ่งหนึ่งที่ผมนั้นชื่นชอบมากๆ เวลาเข้าไปฟังการอบรมหรือสัมมนานั่นคือ ยิ่งถ้าเรานั้นฟังมากเท่าใด สิ่งที่ตามมาคือปริมาณของข้อมูลที่ดีๆอาจล้นทะลัก จากคลังสมองของเรา ทำให้เราพลาดในการเลือกใช้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว อย่ารอช้า เตรียมสมุดจดไปสักเล่ม และบันทึกเรื่องราวต่างๆไปด้วยเสมอในระหว่างที่คุณฟัง การทำอย่างนี้จะทำให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องของข้อมูล ที่เกินกว่าจำนวนที่คุณรับรู้ได้อย่างแน่นอน

8. บันทึกผลของการฟังไว้บ้าง

หากเป็นไปได้ ผมแนะนำว่า คุณควรจดบันทึกผลของการฟังลงในสมุดเสียหน่อย เช่นวันนี้ฟังเรื่องอะไร และสามารถฟังได้นานกว่าปกติมากน้อยแค่ไหน ผมว่าการทำอย่างนี้ช่วยให้เราเห็นพัฒนาการและความก้าวหน้าของการฟังได้ชัดเจนขึ้นมากเลยนะครับ

9.เชื่อมั่นว่าสามารถพัฒนาทักษะด้านการฟังได้

เทคนิคข้อที่เก้านี้ อาจเป็นเทคนิคที่หลายๆคนมองข้าม หรืออาจเกิดความไม่มั่นใจว่า มันจำเป็นจริงหรือ ผมยังจำได้ตอนที่ผมเริ่มฝึกทักษะการฟังใหม่ๆ และสามารถฟังเรื่องราวของครูผู้สอนได้อย่างต่อเนื่องเกินกว่า 1 ชั่วโมง ในตอนนั้นผมคิดเสมอว่า มนุษย์เราจะสามารถฟังอะไรได้ต่อเนื่องยาวนานขนาดนั้นได้หรือไม่ ซึ่งท้ายที่สุดผมตัดสินใจว่า ผมต้องฟังอะไรได้ยาวกว่านั้น และเมื่อผมเชื่อ! ในที่สุดผมก็ทำได้ และนั่นควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณด้วยเช่นกัน


เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ 9 วิธีการอย่างง่ายๆในการเพิ่มทักษะด้านการฟัง ที่เราสามารถนำแนวทางข้างต้นต่อไปนี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตการทำงานของเราได้จริง และถ้าเราหมั่นฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ผมมั่นใจว่า ทักษะด้านการฟังของคุณจะต้องดีขึ้นอย่างมากอย่างแน่นอนครับ

บทความโดย Learning Hub Thailand

พัฒนาทักษะการฟัง อย่างก้าวกระโดดใน 1 วัน ด้วยหลักสูตร “Dialogue & Deep Listening : ศิลปะการสื่อสารและการฟัง” โดย เรือรบ ดูรายละเอียดคลิก

5 วิธีจับ “ไอเดียปิ๊งแว้บ” ให้อยู่หมัด

คนที่ทำงานครีเอทีฟ คงรู้ว่าชั่วขณะแห่งการ “ปิ๊งแว้บ” หรือ “AHA moment” ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ และที่สำคัญถ้าจับไว้ไม่ทัน มันก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอ

ต่อไปนี้เป็น 5 วิธีที่จะทำให้คุณสามารถผลิตไอเดียสร้างสรรค์ได้ไม่รู้จบ และยังคว้าชั่วขณะแห่งการ ”ปิ๊งแว้บ ไว้ได้อยู่หมัดด้วย

1. อยากรู้อยากเห็น

ความอยากรู้อยากเห็น เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างสภาวะปิ๊งแว้บ แม้แต่สิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวันที่พบเจออยู่ทั่วไป เราจะสามารถมองเห็นรายละเอียดและสร้างไอเดียใหม่ขึ้นมาได้ ในขณะที่คนทั่วๆไปจะมองไม่เห็น เพราะพวกเขาเคยชินกับมันไปแล้ว จึงไม่สังเกต ไม่ตั้งคำถาม หรือไม่มีสงสัยเกี่ยวกับมัน

 

2. ปล่อยใจให้ล่องลอย

การวิจัยทางประสาทวิทยาพบว่า คนที่ชอบฝันกลางวัน นั้นใช้สมองในส่วนของจินตนาการเป็นอย่างมาก นี่เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่อธิบายว่า การปล่อยใจให้ล่องลอย อันที่จริงเป็นปล่อยให้สมองได้ทำงานในการค้นพบไอเดียดีๆที่แอบซ่อนอยู่ เป็นการประมวลผลข้อมูลเก่าๆที่จะมาตอบโจทย์ด้วยวิธีการใหม่ๆที่สร้างสรรค์กว่า ดังนั้นในยามว่าง อย่าฆ่าเวลาเล่นด้วยการทำให้สมองยุ่ง แต่จงปล่อยให้สมองมีพื้นที่เงียบๆว่างๆ และปล่อยใจให้ล่องลอยบ้าง เพื่อไอเดียจะผุดบังเกิด

 

3. ไม่มีความบังเอิญในโลก

ในทุกๆสถานการณ์มักจะมีสิ่งผิดปกติอยู่เสมอ กระตือรือร้นที่จะมองหาสิ่งแปลกปลอมให้เจอ อย่าพยายามรีบอธิบายปรากฏการณ์ตรงหน้าว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ และมองผ่านไป เพราะความบังเอิญนี่แหละจะเป็นเงื่อนงำนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ ขอเพียงเราจดจ่อ มองหาความหมาย หรือความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้น นั่นจะเป็นวิธีที่จะสร้างไอเดียแปลกใหม่ให้เกิดขึ้น

 

4. มองให้ชัด เมื่อเจอสิ่งขัดแย้ง

ไอเดียโดนใจ มักเกิดขึ้นเมื่อเราเผชิญกับสิ่งที่ดูขัดแย้งและดูไม่สมเหตุสมผลสำหรับเรา การตั้งคำถามเมื่อเจอสิ่งที่ดูขัดแย้งนั้น จะนำไปสู่เส้นทางการสร้างสรรค์ใหม่ๆ ในขณะที่ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เราแปลกใจ ความขัดแย้งนั้นจะทำให้เราเกิดความสงสัยและตั้งคำถาม นี่เป็นอีกวิธีที่จะเข้าถึงปัญญาญาณของเรา

 

5. ทำทันที เมื่อมีเสียงภายใน

บางครั้งในความกดดัน มันจะรีดเร้นศักยภาพของเราออกมา ความคิดดีๆมักผุดขึ้นมาในสภาวะอันคับขันและเร่งด่วน ดังนั้นยิ่งรีบเร่ง เรายิ่งควรจะไว้วางใจในตัวเอง อย่าตระหนกตกใจ ตีโพยตีพาย แต่ให้สงบใจไว้ ตั้งสติ แล้วเผชิญหน้ากับมัน ลองมองว่าอะไรบ้างที่เรามองข้ามไปในภาวะปกติ เมื่อเกิดประกายความคิด หรือความรู้สึกอยากทำอะไรบางอย่าง ให้รีบลงมือกระทำในทันที โดยไม่ต้องสงสัยหรือกังวลใจ จำไว้ว่าในภาวะคับขัน เซ้นส์ของเรามักจะถูกต้องเสมอ

บทความโดย เรือรบ
………………

การสร้างสภาวะแห่งการปิ๊งแว้บ หรือการเข้าถึงปัญญาญาณของเรา เป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนได้ ขอแนะนำหลักสูตรการเข้าถึงปัญญาญาณและผลิตความคิดสร้างสรรค์ ผ่านเวิร์คช้อปการเขียน ในหลักสูตร “Intuitive Writing: ปลดล็อคศักยภาพการเขียนในตัวคุณ” โดย อ.เรือรบ ซึ่งจะทำให้การเขียนของคุณ ไม่ติดขัดอีกต่อไป รายละเอียดหลักสูตร

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save