คุณกำลังติดกับความสุขจอมปลอมหรือไม่ อะไรคือความสุขที่แท้จริง

truehappiness

เชื่อว่าทุกวันนี้ หลายคนคงติดตามเรื่องราวชีวิตของเพื่อนๆและคนรู้จักผ่านทางรูปถ่ายที่พวกเขาลงไว้ในอินสตราแกรม หรือเฟสบุคส่วนตัว พวกเขามักซื้อของใหม่ๆ ทานอาหารในร้านหรู นั่งรถราคาแพง ท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง และทำสิ่งแปลกใหม่เสมอ ชีวิตของพวกเขาช่างดูสวยงาม และมีความสุข จนทำให้เรารู้สึกอิจฉาและอยากที่จะมีชีวิตแบบนั้นบ้าง และเมื่อเราพยายามไขว่คว้าหาสิ่งที่ต้องการมาได้ หรือสามารถตอบสนองความต้องการของตนเองได้ เราก็จะรู้สึกมีความสุข

หลายคนให้นิยามความสุขไว้เช่นนี้ ความสุข คือ การทำสิ่งที่ตนเองต้องการได้สำเร็จ

“เมื่อฉันเห็นคนอื่นมี… คนอื่นได้… คนอื่นเป็น… ฉันก็เกิดความรู้สึกอยากมี…อยากได้…และอยากเป็น…เช่นกัน และเมื่อฉันมี…ฉันได้…และฉันเป็น…ตามที่ฉันต้องการ ฉันก็จะมีความสุข”

แต่แท้จริงแล้ว ความสุขที่เกิดจากการครอบครองเป็นเพียงความสุขระยะสั้น อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของวงจรแห่งความทุกข์ที่ไม่รู้จบ เพราะเมื่อคุณอยากได้ อยากมี คุณจะเปรียบเทียบชีวิตของตนเองกับคนอื่นตลอดเวลา คุณจะพยายามไขว่คว้า และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ เนื่องจากคุณรู้สึกว่าตนเองมีบางสิ่งที่ขาดหายไป และหากคุณสามารถทำได้สำเร็จ คุณก็จะมีความสุข แต่นั่นเป็นต้นตอที่ทำให้คุณวิ่งไล่ตามหาความสุขอื่นๆอย่างไม่จบสิ้น

บทความนี้จะทำให้คุณสามารถแยกแยะความสุข 2 ประเภท คือ ความสุขจอมปลอม และความสุขสงบที่แท้จริง แล้วหลังจากนั้น ก็อยู่ที่คุณเอง ว่าจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน

 คุณกำลังติดอยู่กับความสุขจอมปลอมหรือไม่

  • คุณปรารถนาที่จะทำสิ่งต่างๆเหมือนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การใช้ชีวิต การเข้าสังคม หรือการท่องเที่ยวหากคุณมีความคิดเช่นนี้ คุณกำลังหลงอยู่ในวังวนของความสุขจอมปลอม จะมีสิ่งใหม่ๆที่คนอื่นทำและคุณคิดว่ามันดีกว่าสิ่งที่คุณทำอยู่เสมอ คุณจึงต้องพยายามไขว่คว้าหาสิ่งต่างๆไม่รู้จบ
  • คุณคิดอยากจะปรับปรุงตัวเอง เช่น อยากผอมลง อยากมีผิวขาวขึ้น อยากฉลาดขึ้น อยากใจเย็นมากขึ้น สิ่งนี้หมายความว่า คุณรู้สึกไม่พอใจในตัวเอง คุณจึงพยายามทำให้ตัวคุณดูดีขึ้น ทว่า ความเป็นจริงแล้ว คุณก็ยังคงไม่สมบูรณ์แบบ เพราะคุณจะรู้สึกว่ายังมีสิ่งที่ตัวเองต้องปรับปรุงอีก และนั่นจะทำให้คุณเหนื่อยและมีความทุกข์อย่างต่อเนื่อง
  • คุณรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ คุณอาจจะอยากหาเงินเพิ่มขึ้น อยากทำงานมากขึ้น อยากออกกำลังกายมากขึ้น อยากไปเที่ยวมากขึ้น และผลก็คือ คุณต้องแก่งแย่งชิงดีกับคนอื่นๆ รวมถึงแข่งขันกับตัวเองมากขึ้น และไม่มีวันที่คุณจะพอใจกับสิ่งที่คุณทำอยู่ เพราะสำหรับคุณ มันไม่มีจุดสูงสุด คุณจะต้องเสาะแสวงหาสิ่งใหม่ๆเสมอ
  • คุณตำหนิคนอื่นๆในสิ่งที่พวกเขาทำ คุณมักจะต่อว่าลูกๆ สามี ครอบครัว หรือเพื่อน เพราะคุณคิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่ถูกต้อง หรือบางทีพวกเขาไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ แต่นั่นเป็นความคิดของคุณเพียงคนเดียว คุณตำหนิผู้อื่นเพราะคุณไม่ถูกใจ และสาเหตุที่แท้จริงนั้น เกิดจากความรู้สึกไม่พอใจในชีวิตของคุณเอง คุณจึงบ่นและวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น

หากคุณมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับตัวอย่างในข้างต้น คุณกำลังอยู่กับความสุขที่จอมปลอม คุณหลงใหลในรูปลักษณ์ภายนอกจนลืมสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของชีวิต และนั่นจะทำให้คุณเป็นทุกข์ ดังนั้น จงปรับเปลี่ยนความคิดและการกระทำของคุณตามขั้นตอนต่อไปนี้ เพื่อนำชีวิตไปสู่หนทางแห่งความสุขสงบที่แท้จริง

อะไรคือ ความสุขที่แท้จริง

 1. หยุดไขว่คว้า หาความสุขภายนอก

ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณมี สิ่งที่คุณเป็น สถานที่ที่คุณไป หรือสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ แต่ความสุขสามารถเกิดขึ้นได้จากใจหรือความคิดของตัวคุณเอง โลกวัตถุนิยมนั้นสร้างภาพลวงตาให้เราเข้าใจว่าความสุขสามารถหาได้จากการครอบครอง หรือการเป็นเจ้าของ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นความสุขระดับหนึ่งเท่านั้น

เพราะแม้ว่าเราจะมี… เราจะได้… หรือเราจะเป็น….อย่างที่ใจเราต้องการแล้ว เราก็ยังไม่มีความสุขที่สมบูรณ์หรือแท้จริง เพราะใจเรายังไม่หยุดนิ่ง เรายังต้องวิ่งตามหาความสุขที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในทางกลับกัน หากว่าเราขาดแคลนวัตถุในการปรนเปรอความสุขให้กับเรา แต่เรามีใจที่สงบ พอเพียง และพอใจกับสิ่งที่เรามี เพียงเท่านี้ เราก็จะมีความสุขในจิตใจ

2. ฝึกทำ “สมาธิ” อย่างสม่ำเสมอ

การฝึกสมาธิ สามารถช่วยให้คุณพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้ สมาธิ คือ สภาวะของจิตที่ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว คือนิ่งอยู่กับตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งอื่น คุณสามารถทำสมาธิได้ทุกที่ ทุกเวลา หรือไม่ว่าคุณจะทำอะไร หรืออยู่กับใคร โดยเริ่มจากการทำจิตใจของคุณให้สงบ ตัดความฟุ้งซ่านออกไป กำหนดความคิดและจิตให้นิ่ง จดจ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

คุณจะรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของร่างกาย ลมหายใจ และประสาทสัมผัสของคุณ ซึ่งปราศจากปัจจัยภายนอกรบกวน และหากคุณแน่วแน่และมีสมาธิมากพอ คุณจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่นิ่งและสงบ และคุณจะอิ่มเอมไปกับช่วงเวลาแห่งการรับรู้ตัวตนที่แท้จริง ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่พิเศษและมีความสุข

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.dailygood.org/story/988/the-contentment-habit-leo-babauta/

 

เผย 3 การค้นพบจากผลวิจัย ที่ทำให้ความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม

happyinreach

หลายคนคงเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันต้องการมีความสุขมากกว่านี้ แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร” บทความนี้จะเปิดเผยความลับที่จะทำให้ทุกคนรู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ปัจจุบันคนเรามีชีวิตที่ซับซ้อน เคร่งเครียด และมักถูกตัดขาด บ่อยครั้งเราถูกสื่อประโคมข้อมูลมากมายและถูกทำให้เชื่อว่าการซื้อสิ่งของต่างๆนั้นจะทำให้เรามีความสุข  มีชีวิตที่สวยงาม ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง และแม้แต่กลายเป็นคนที่น่ารักมากขึ้น แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการแสวงหาความสุขอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงความสุขชั่วครู่

ผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่า คนที่มีความสุขในชีวิตนั้น แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งวัดได้จากคุณภาพของ “ความสุข” หากคุณต้องการทราบว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขกลุ่มใดบ้าง ให้คุณใช้เวลาสักเล็กน้อยนึกถึงชีวิตตัวเองว่า “อะไรทำให้คุณมีความสุขบ้าง” จดลงในลิสต์ แล้วคุณจะพบคำตอบ

1.คุณเป็นพวกเพลิดเพลินกับความสุขในช่วงสั้นๆ

ความสุขทางประสาทสัมผัสเป็นสิ่งที่ดี เช่น อาหารและไวน์มื้อพิเศษ เซ็กส์ที่ยอดเยี่ยม กีฬา และความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ ทว่าความสุขแบบนี้กำลังหายไป เนื่องจากคนเรามีความต้องการมากขึ้น มีความปรารถนามากยิ่งขึ้น ทั้งยังถูกแวดล้อมไปด้วยสื่อที่กระตุ้นให้เราละทิ้งความสุขที่แท้จริง และไขว่คว้าหาความสุข “เพิ่มเติม”

โลกวัตถุนิยมทำให้เราไล่ตามความต้องการอันฉาบฉวยมากขึ้น และหากวันใดที่เรามีความทุกข์ เราก็จะพยายามหาทางหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจเหล่านั้นและแสวงหาสิ่งที่เราพึงพอใจไม่รู้จบ ไม่ว่าความสุขอันฉาบฉวยนั้นจะหาได้จากอาหารหรือยาเสพติด เงินทองหรือชื่อเสียง การพนันหรืองานหนัก และนั่นเป็นวงจรผิดๆซึ่งนำเราไปสู่ความไม่พึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ การเปรียบเทียบทางสังคม ความกระวนกระวายใจ ความหดหู่ซึมเศร้า และแม้กระทั่งสิ่งเสพติด

ดังนั้น ขอโทษที่ต้องบอกคุณว่า การเพลิดเพลินกับความสุขในช่วงสั้นๆนี้ไม่สามารถสร้างความสุขและความพึงพอใจที่ยั่งยืนให้กับคุณได้

2. คุณชอบท้าทายสิ่งใหม่ เรียนรู้จากความล้มเหลว และพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น

หากความสุขของคุณเป็นการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ เช่น คุณสามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ หรือมีความชำนาญในการสื่อสาร หรือถนัดด้านการซ่อมแซมเครื่องยนต์ แสดงว่าความสุขของคุณคือ “การพัฒนา” คนที่มีความสุขจะแสวงหาเรื่องที่ท้าทายและชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ พวกเขากล้าเสี่ยงและมักจะทดลองทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เพราะสิ่งนั้นทำให้พวกเขาเกิดความสนใจใคร่รู้ มีพลัง และก้าวไปข้างหน้า

แต่ความลับก็คือ คนที่มีความสุขเหล่านั้น คือ คนที่รู้จักความล้มเหลว คนที่มีความสุขจะเข้าใจว่าการพัฒนาตนเองไปอีกระดับนั้นต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย ซึ่งพวกเขาต้องใช้ความยืดหยุ่นในการปรับตัว การพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และมีความสุขกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เนลสัน แมนเดลา กล่าวคำพูดหนึ่งที่กินใจไว้ว่า “ความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น หาใช่การที่เราไม่เคยล้ม หากแต่เป็นการที่เราลุกขึ้นมาได้ในทุกครั้งที่เราล้มลง” สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ และนำมาซึ่งความสุขที่ลึกซึ้งของชีวิต

3. คุณมีทัศนคติที่ดี และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

ในลิสต์ของคุณมีความสุขที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ การเห็นอกเห็นใจ ความมีเมตตากรุณาบ้างหรือไม่ ทัศนคติที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่มีความสุข พวกเขารู้จักที่จะสังเกตและชื่นชมสิ่งดีๆรอบตัว ลองคิดดูว่า หากคุณตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย เช่น การข่มขู่คุกคาม หรือความตึงเครียด คุณอาจจะวิพากษ์วิจารณ์สิ่งต่างๆได้ตลอดเวลา

แต่ในทางกลับกัน คนที่มีความสุขจะเลือกมองหาด้านดีๆในสถานการณ์นั้นๆ นั่นเป็นเพราะทัศนคติที่ดี พวกเขามีเคล็ดลับก็คือ การคิดว่าชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การต่อสู้และเผชิญกับความผิดหวังหรือเคราะห์ร้ายเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาเข้าใจว่าความเจ็บปวดก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเช่นกัน

วิคเตอร์ ฟรังเคิล ผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กล่าวไว้ว่า “คุณสามารถเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากมนุษย์ได้ ยกเว้นเสรีภาพสุดท้ายของมนุษย์ที่จะเลือกมีทัศนคติต่อสถานการณ์ต่างๆซึ่งก็คือ การเลือกทางเดินของตนเอง” คำพูดนี้ไม่ใช่แค่นามธรรม หรือหลักการทั่วๆไป แต่มันเป็นสิ่งที่ละเอียดและชัดเจนซึ่งสามารถเปลี่ยนปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆให้กลายเป็นความคิดและการกระทำแง่บวกที่แน่วแน่และตรงตามเป้าหมาย

สุดท้าย ไม่มีสิ่งใดมีความหมายและสำคัญมากไปกว่าการที่เราให้ความสุขกับผู้อื่น และปฏิบัติต่อผู้อื่นและต่อตัวเราเองด้วยความรัก ความเมตตา เมื่อเราหยิบยื่นความรัก ความปรารถนาดี และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่น เราก็จะได้รับความสุขกลับมาเช่นกัน ดังที่ องค์ดาไล ลามะ กล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณอยากให้คนอื่นมีความสุข จงฝึกเห็นใจผู้อื่น ถ้าคุณอยากมีความสุข จงฝึกเห็นใจผู้อื่น”

หากคุณกำลังแสวงหาความสุขที่แท้จริงอยู่ กุญแจไขความลับนั้นอยู่ในบทความนี้แล้ว   “จงเพลิดเพลินกับความสุขในชีวิตของคุณ กล้าท้าทายตนเองเพื่อการพัฒนา เรียนรู้ไปกับทักษะและความสำเร็จใหม่ๆ นอกจากนี้ การมองโลกในแง่ดี และเผื่อแผ่ความเมตตาให้กับผู้คนรอบข้างจะช่วยให้ชีวิตของคุณมีความหมายและมีความสุขเพิ่มขึ้น” หากคุณลองทำตามคำแนะนำข้างต้น ความสุขก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

 เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.projecthappiness.org/happiness-within-reach-the-open-secret/

 

 

4 หลุมพรางของการฟัง ที่บ่งบอกว่าเรายังฟังไม่เป็น

“ยิ่งคุยกันมากขึ้น ทำไมเรากลับยิ่งเข้าใจกันน้อยลง”

บทความนี้ ผมจะเล่าถึง 4 หลุมพรางของการฟัง ที่คนเรามักจะทำผิดพลาด ทำให้เกิดปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้คน ทำให้เกิดปัญหาเรื่องความสัมพันธ์  ปัญหาความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน ปัญหาการทะเลาะกันในครอบครัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีสาเหตุหลักๆมาจาก “ปัญหาในการฟัง” ทั้งสิ้น

น่าแปลกที่หลายคนคิดว่า การฟังเป็นเรื่องไม่สำคัญ จึงไม่ค่อยได้ใส่ใจ อาจเพราะเห็นว่าเป็นความสามารถตามธรรมชาติที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทั้งๆที่ “การฟัง กับ การได้ยิน” นั้นแตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิง

การฟังที่แท้จริง ต้องอาศัย “สติ” และการ “เอาใจใส่”

ส่วนการได้ยิน เกิดขึ้นเองที่หู โดยเราไม่ต้องพยายามอะไร

ดังนั้น เรามีความสามารถในการได้ยิน แม้ว่าจะไม่เข้าใจในเรื่องๆนั้นเลย เป็นเหตุให้การสนทนาในชีวิตประจำวัน หากเราไม่ได้สังเกตตัวเอง เราก็อาจจะแค่ได้ยิน แต่ไม่ได้รับฟังอีกฝ่ายจริงๆ นั่นจึงเป็นบ่อเกิดแห่งความไม่เข้าใจกัน กลายเป็นปมความขัดแย้ง บานปลายจนถึงขั้นทะเลาะ และเลิกคบหากันในเวลาต่อมา

คุณฟังเก่งแค่ไหน แน่ใจไหมว่าคุณฟังเป็น ?
ต่อไปนี้เป็น 4 หลุมพรางของการฟัง ที่เรามักจะพลาดกัน ใครที่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ฟังเก่งอยู่แล้ว หรือคิดว่าการฟังไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ ลองพิจารณาดูว่าที่ผ่านมา คุณมีการฟังอย่างไร


1.ฟัง แล้วคิดดักหน้า

หลายคนมักจะคิดว่า การฟังที่ดีต้องคิดตามไปด้วย จะได้เข้าใจได้ดีขึ้น อันที่จริงการคิดก็ไม่ผิด แต่หลายครั้งที่ฟัง เรามักเผลอ “คิดไปดักหน้า” หมายถึง คิดวิเคราะห์ไปล่วงหน้าแล้ว ว่าคนพูดจะพูดอะไรต่อไป ถ้าเป็นเรา ในสถานการณ์นี้จะทำอย่างไรดี เตรียมคำแนะนำ หาทางออก ไว้ให้เค้าเสร็จสรรพ

โดยที่ไม่รู้เลยว่า ขณะที่เราคิดมโนไปนั้น ก็ได้พลาดสิ่งที่เค้าต้องการสื่อสารอย่างแท้จริงไป

ส่วนบางคนก็ขี้สงสัย เมื่อฟังไม่ทันไร ก็ชอบตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกต หรือออกความคิดเห็นส่วนตัว จนกระทั่งผู้พูด ไม่ได้พูดสิ่งที่เค้าต้องการเลย

Tips: ฟังด้วยความว่าง อย่างมีสติรู้ตัว ไม่ขัด ไม่แทรก ปล่อยให้ผู้พูด พูดจนจบ แล้วหากมีคำถามจึงสอบถามทีหลัง ไม่ด่วนให้คำแนะนำ หากคนพูดไม่ได้ร้องขอ

2.ฟัง แล้วจมกับอารมณ์

ข้อนี้คนเซนซีทิฟหรือใจอ่อนมักจะเป็น นั่นคือ เมื่อมีเพื่อนหรือคนใกล้ชิดมาระบายความทุกข์ให้ฟัง เราก็จะจมไปกับเรื่องราว อารมณ์ก็จะเอ่อขึ้นมาแบบท่วมท้น อินไปกับเรื่องนั้น

และยิ่งหากเรามีประสบการณ์ใกล้เคียง ทำให้เราย้อนนึกถึงอดีต เรายิ่งจมดิ่งไปกับเรื่องของตัวเอง จนไม่ได้รับฟังอย่างแท้จริง

การที่เรามีอารมณ์ร่วม และแสดงความเห็นอกเห็นใจในการฟัง ย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่หลายๆครั้ง อาการอินของเรา หากมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า โกรธ เกลียดที่เกิดขึ้น อารมณ์ที่รุนแรงเหล่านี้ย่อมจะมาบดบังการฟัง และครอบครองพื้นที่ในใจ จนทำให้เราละเลยผู้พูดไป อยู่แต่เรื่องของตัวเอง

Tips: เมื่อรู้สึกเกิดอารมณ์ร่วมอย่างมากในการฟัง ให้กลับมาระลึกรู้ อยู่กับลมหายใจเข้าและออก หรือรับรู้ถึงการเต้นของหัวใจเรา ใช้สติแยกแยะว่า เราสามารถรับฟังเค้าได้ แสดงความเห็นใจคนข้างหน้าได้ โดยที่ไม่ต้องจมไปกับอารมณ์นั้น

มองเห็นความทุกข์ของเรื่องราวนั้นว่าเป็นเพียงอดีต ที่แยกจากคนพูด แยกจากตัวเรา แล้วเราก็จะสามารถฟังได้ โดยที่ไม่ต้องไปเป็นความทุกข์เสียเอง 

3.ฟัง แบบใจลอย

บางคนมักจะบอกกับตัวเองว่าเป็นคน “สมาธิสั้น” ใครพูดนานๆ จะไม่เข้าใจ พอฟังได้นิดเดียว ใจก็จะลอยไปเรื่องอื่น

แต่ปรากฎว่าหลายคนที่พูดแบบนั้น สามารถเล่นเกมหรือแชทได้นานๆ คำว่าสมาธิสั้นนั้น อาจจะดูเป็นเพียงข้ออ้างในการฟังเกินไป

คนที่ใจลอยบ่อยๆเมื่อต้องฟังนั้น หากลองวิเคราะห์หาสาเหตุ เป็นไปได้ 2 กรณี คือ 1. ไม่สนใจคนที่พูด 2. ไม่สนใจในเรื่องๆนั้น

ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้ หากแม้ยังนั่งฟังอยู่ กริยาภายนอกดูเหมือนว่าฟัง แต่หากสังเกตด้วยการมองตา ก็จะรู้เลยว่า ใจเค้าไม่ได้อยู่กับตัวแล้ว และหากถามถึงเรื่องราวที่เพิ่งคุยกันไป เค้าจะรีบบอกปัดว่าเข้าใจ แต่ไม่สามารถจับประเด็นได้เลย

Tips: ในกรณีนี้ อยู่ที่ “ความพร้อม” ในการฟัง หากเราไม่สนใจจะสนทนาในเรื่องนั้น ก็ควรบอกอีกฝ่ายไปตรงๆว่าเราติดธุระอะไรอยู่ หรือเราไม่สะดวกคุยตอนนี้ 

การทำทีว่าฟัง แต่จริงๆแล้วไม่ได้ใส่ใจฟังนั้น จะสร้างความรู้สึกแย่ให้กับผู้พูดอย่างมาก ซึ่งคนที่พูดเค้าจะรู้สึกได้ว่า จริงๆแล้ว เราฟังเค้าอยู่หรือเปล่า

4.ฟัง แบบมีธงในใจ

กรณีสุดท้าย คนที่ใจร้อนมักจะเป็นกันมาก หากไม่สังเกตให้ดี ก็จะมองไม่เห็นตัวเองเลย การฟังแบบมีธงในใจ จะเกิดขึ้นเมื่อเราคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าผู้พูด หรือรู้อยู่แล้วว่าผู้พูดจะพูดอะไรต่อ

ทำให้เพียงเริ่มบทสนทนาได้ไม่นาน ก็จะปิดการฟังไป เพราะได้ตัดสินและมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดต่อไปอย่างไร ก็จะไม่ได้เข้าไปในใจเลย รอเพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะพูดจบ ตัวเองจะได้โอกาสพูดบ้าง

หลายๆคนอาจจะรู้สึกว่า เสียวเวลา ไม่อยากรอให้อีกฝ่ายพูดจบ เพราะคิดว่าไม่จำเป็น ในเมื่อเรามีคำตอบที่ชัดเจนในใจอยู่แล้ว จึงมักขัดขึ้นมากลางทางเลย แย่งพูดโดยที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่ง

แต่หากลองคิดให้ดี ในแต่ละครั้งสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปตามบริบทและเวลา การรีบด่วนตัดสินนั้นย่อมมาจากข้อมูลเก่าที่เรารับรู้ในอดีตเท่านั้น เราจึงอาจพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไป ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด เพราะไม่ได้รับฟังจนจบนั่นเอง

Tips: เมื่อรู้สึกอึดอัด ไม่อยากฟัง ให้พิจารณาว่าเรากำลังตัดสิน หรือมีธงในใจอยู่แล้วใช่ไหม ถ้าหากใช่ ให้ลอง “ห้อยแขวนคำตัดสิน” นั้นๆไปก่อน แล้วกลับมามีสติอยู่กับการฟังใหม่อีกครั้ง

พยายามรับฟังให้ลึกซึ้งกว่าเนื้อความ ให้ลึกลงไปถึงอารมณ์ ความเชื่อ มุมมองของผู้พูด ก็จะทำให้เราเข้าใจผู้พูดได้ดีขึ้น

หลุมพรางในการฟังทั้ง 4 ประการ เป็นเรื่องที่หากไม่ตระหนักรู้หรือสังเกตตัวเองให้ดีพอ เราจะคิดว่าเราฟังเป็นอยู่แล้ว แต่ที่ไหนได้ เราไม่เคยฟังเลย

บทความนี้ ทำให้เรารู้ว่า “การฟัง เป็นทักษะที่เราต้องฝึกฝน” และเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจมองข้ามไม่ได้

หากเรามีทักษะการฟังที่ดี ก็จะมีความเข้าใจอีกฝ่าย เราก็จะรู้ว่า ควรจะพูดกับเค้าอย่างไร

การสื่อสารที่ดีจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีคนพูดและมีคนรับฟังหากเราสนใจฝึกฝนแต่ทักษะการพูด ละเลยฝึกทักษะการฟัง ทำให้การสื่อสารขาดความสมดุล

และจะส่งผลกระทบไปถึงประสิทธิภาพการทำงาน การเป็นผู้นำ มีปัญหาความสัมพันธ์ส่วนตัวและครอบครัว อย่างแน่นอน


เรียบเรียงโดย “เรือรบ” ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการสื่อสารและการฟัง

อ้างอิงจากหนังสือ “เอนหลังฟัง: ศิลปะการฟังอย่างลึกซึ้ง” โดย ภินท์ ภารดาม 

ท่านที่สนใจ ฝึกทักษะการฟัง ขอแนะนำหลักสูตร ฟังเป็น เปลี่ยนชีวิต
พบกัน 11 มิ.ย.นี้ อบรมโดย เรือรบ ดูรายละเอียด คลิก

3 เหตุผล ที่เราควรเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก่อนอายุ 30

changebefore30

เคยสงสัยไหม ทำไมการ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ของหลายๆคนจึงเป็นสิ่งที่ยาก โดยเฉพาะคนที่อายุมากกว่า 30 บทความนี้จะบอกว่า ทำไมการเปลี่ยนแปลงตัวเองจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราฝึกที่จะทำตอนที่อายุยังไม่มาก ใครที่อายุไม่ถึง 30 อยากให้อ่าน ส่วนคนที่เกินแล้วลองดูว่าจริงไหม

1.เรามองไม่เห็นตัวเอง

มีใครมองเห็นตัวเองครบบ้างมั้ย อย่างน้อยก็แผ่นหลังและก้น ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้เอง ถ้าจะมอง ก็ต้องอาศัย “แสงสะท้อน” จากกระจก สิ่งที่เรามองไม่เห็นก็คือ “จุดบอด” ของดวงตาเรา

ในเรื่องนิสัยเอง ก็มีจุดบอดก็เช่นกัน เรามักจะมองไม่เห็นตัวเอง เพราะเรา “เป็นคนแบบนี้” มาตั้งแต่จำความได้ มันจึงเป็นเรื่องปกติของเรา แต่กระจกที่จะทำให้เราเห็นนิสัยของตัวเองได้ก็คือ “เสียงสะท้อน”จากคนใกล้ชิดนั่นเอง

โดยปกติคงไม่มีใครหวังดีกับเรา ขนาดที่เดินเข้ามาสะท้อนเราตรงๆ ว่าเรามีนิสัยที่ไม่ดีอย่างไร ดังนั้นส่วนใหญ่แล้ว เราจะไม่รู้เลยว่าคนอื่นนั้นจะรำคาญนิสัยของเราหรือไม่ เพราะคนทั่วไปคงไม่อยากเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของตนอื่น ยกเว้นว่า คนๆนั้นจะหวังดีกับเราจริงๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ หากเรารู้สึกว่าเพื่อนที่ทำงานมีกลิ่นปากแรง เราจะเตือนหรือบอกเค้าไหม หากเค้าเป็นคนที่นานๆเจอกันที เราคงไม่อยากก้าวก่ายบอกเค้า กลัวจะทำให้เค้ารู้สึกไม่ดี แต่ถ้าเกิดเราต้องเจอเค้าบ่อยๆหรือสนิทกัน แน่นอนว่า การบอกของเราก็คือการช่วยเหลือทั้งตัวเค้า (และตัวเราเอง)

ประเด็นของข้อนี้ก็คือ ถ้าเป็นเรื่องของนิสัย คนจะกล้าเดินมาฟีดแบ็คเรา เมื่อเรายังอายุน้อยๆ เพราะคิดว่าเราจะเปลี่ยนได้ และมันคงดีกับเรา หากเราอายุเกิน 30 ไปแล้ว โอกาสยากมากที่เราจะได้ยินใครมาเตือนเรา เพราะเค้าก็จะคิดว่า “โตๆกันแล้ว ให้มันรู้เอง” หรือไม่ก็ “บอกไปก็ไม่ช่วยหรอก อายุปูนนี้แล้ว”

ดังนั้น หากได้ยินใครเข้ามาฟีดแบ็ก หรือสะท้อนกับเราตรงๆ ว่าเค้าไม่พอใจอะไรเรา หรือเราทำให้เค้าเดือดร้อนรำคาญในเรื่องไหน นั่นคือ “ขุมทรัพย์” เลยทีเดียว แทนที่เราจะไม่พอใจเค้า เราต้องรู้สึกขอบคุณเค้าเป็นอย่างมาก เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าใครคิดยังไงกับเรา มองเรายังไง ถ้าเค้าไม่เดินเข้ามาบอก


 

2. ถึงมองเห็น ก็ไม่ยอมรับ

เมื่อเรามองไม่เห็นตัวเอง การยอมรับสิ่งที่คนอื่นมองเห็น จึงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เรามองเห็นอยู่แล้ว บางทีเรายังไม่อยากยอมรับเลย

สิ่งที่ต้องระวังก็คือ เมื่อได้ยินเสียงสะท้อนจากคนใกล้ตัว ถึงเรื่องที่ฟังดูไม่ดี ปฏิกิริยาแรก เรามักจะไม่เชื่อ ไม่ยอมรับ ไม่โอเค ขอให้พยายามอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ให้ขอบคุณ และนำสิ่งนั้นกับมาพิจารณาก่อน เพราะถ้าเราปกป้องตัวเอง และแสดงความไม่พอใจ เราอาจไม่ได้รับการเอื้อเฟื้อเช่นนั้นอีกเลย

ยกตัวอย่างตัวผมเอง ย้อนกลับไปเมื่อตอนอายุยังไม่ถึง 30 จะมีเรื่องหนึ่งที่คนรอบๆตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือคนเพิ่งรู้จักกันบอกก็คือ “ตอนที่เจอผมตอนแรกๆ ดูเหมือนเป็นคนหยิ่ง” บางคนก็บอกว่าผม “หน้าดุ”  ซึ่งเมื่อได้ยินผมก็จะงงๆว่าจริงหรือ แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

หากอายุยังไม่ถึง 30 เราควรจะฝึกสำรวจตัวเองด้วยใจเป็นกลางอยู่เสมอ  หรืออย่างน้อยก็ขอฟังฟีดแบ็กจากคนที่เราใกล้ชิดและไว้ใจ ซึ่งจะได้ข้อมูลที่ตรงที่สุด ถ้าเราไม่ทำในตอนนี้ เมื่อเราโตขึ้นนิสัยนั้นๆก็จะกลายเป็นเราอย่างแยกไม่ออก และสุดท้าย เราก็จะไม่คิดแม้แต่จะตรวจสอบและสงสัยตัวเองเลย


 

3. ถึงยอมรับ ก็ไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหา

แน่นอนว่า เรามีชีวิตเหมือนที่เป็นได้ในทุกวันนี้ เพราะนิสัยที่เราเป็น ดังนั้นเมื่อเราได้ยินบางเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง ที่เราเองจะรู้ตัวหรือไม่เคยรู้ตัวก็ตามที ความรู้สึกแรกก็คือ “ไม่เห็นจะเป็นปัญหาตรงไหน” เพราะเราก็ใช้ชีวิตโอเคดี มาจนอายุเท่านี้แล้ว บางคนถึงกับพูดว่า “ไม่หนักหัวใคร”

แต่การที่มีคนเข้ามาสะท้อนกับเราตรงๆ อาจจะบอกเป็นนัยได้ว่านิสัยไม่ดีของเรานั้น เริ่มเพิ่มขึ้นตามเวลา แล้วมันทำให้หลายคนถึงกับอึดอัด รำคาญ จนถึงขั้นเดือดร้อน เค้าถึงเข้ามาสะท้อนด้วยความหวังดี

ก่อนหน้านี้เราอาจจะได้ยินมันลอยๆผ่านหูเข้ามา ซึ่งเราก็อาจได้ฟังบ้าง หรือไม่ได้ฟังบ้าง แต่มันจะเริ่มเอะใจก็เพราะว่า มีคนพูดเรื่องนี้กับเราบ่อยแค่ไหน และมีหลายคนมั้ย ที่เข้ามาพูดคล้ายๆกัน แสดงว่า มันอาจไม่เป็นปัญหากับตัวเรา แต่มันส่งผลกระทบต่อคนอื่น หรืออย่างน้อย หากเราสามารถปรับปรุงเรื่องนี้ได้ มันอาจช่วยให้หลายๆสิ่งดีขึ้น เค้าจึงเข้ามาบอกเราตรงๆ

ในกรณีที่มีคนสะท้อนว่า ผมหน้าดุ และหยิ่งนั้น แรกๆผมก็รับไม่ได้และไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา แต่พอใช้ชีวิตไป ก็ได้ยินเรื่องนี้จากปากหลายๆคนตรงกัน ซึ่งเชื่อว่ามีอีกหลายคนมากๆที่คงรู้สึกเช่นนี้แล้วไม่ได้พูด ดังนั้นผมจึงนำเรื่องนี้มาพิจารณาแล้วพบว่า ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่ แต่หากผมปรับปรุงตัวเองให้หน้าตายิ้มและเป็นมิตรได้มากขึ้น ก็อาจจะช่วยให้ผมมีเพื่อนมากขึ้น ช่วยให้มีโอกาสดีๆในชีวิตมากขึ้น และเรื่องนี้มันก็ไม่ได้ยากอะไร


 

หากอายุเกิน 30 จะสายเกินไปมั้ย

หากเราไม่คิดเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนถึงอายุ 30 เราก็จะมองข้ามมันไปเลย เพราะยังไงถ้าอายุมาก เปลี่ยนแปลงอะไรไปก็คงไม่มีผลแล้ว ดังนั้นก็มีแนวโน้มที่เราจะไม่สนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาตัวเอง

การเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อายุน้อย จะทำให้เรามี “ทักษะในการเปลี่ยนแปลง” ที่จะสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาตัวเองได้เรื่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้นนั่นเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอายุเกิน 30 แล้วจะทำไม่ได้ หรือสายเกินไป ขึ้นอยู่กับว่า เรารู้จักประเมินตนเองอย่างสม่ำเสมอหรือไม่

สุดท้าย สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็นหลุมพรางของการเปลี่ยนแปลงก็คือ เราจะมองว่าสิ่งที่คนสะท้อนมา “ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน” เราจึงมักผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะชีวิต มักมีอย่างอื่นที่สำคัญกว่าเข้ามาแทรก ก็เลยลืมเลือนไป แต่ผมอยากจะบอกคุณว่า “สิ่งที่เราทำอย่างหนึ่ง มีผลสัมพันธ์กับทุกสิ่งในชีวิต”

ไม่มีเรื่องไหนเป็นเรื่องเล็ก ถ้ามันเกี่ยวกับนิสัย การเปลี่ยนนิสัยเพียงเรื่องเล็กๆจะส่งผลดีมหาศาลกับชีวิตข้างหน้าได้ และเรื่องนิสัยเล็กๆนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนได้ง่ายซะด้วย มันเปลี่ยนยากอย่างไร และมีวิธีการก้าวข้ามยังไงนั้น ผมจะขอเล่าต่อในตอนหน้าครับ

บทความโดย เรือรบ

5 สิ่งที่คนมีความสุข ไม่จำเป็นต้องมี

5thingsofhappiness

หลายคนมีความเชื่อว่า คนที่มีความสุขในชีวิต ต้องเป็นคนมีน้ำใจ ชีวิตมีความสะดวกสบาย มีชีวิตมั่นคง มีบางสิ่งที่โดดเด่นกว่าคนอื่นๆ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนใกล้ชิด

อันที่จริงแล้วคุณอาจเข้าใจผิด เพราะคนที่มีความสุข ไม่ได้มี 5 สิ่งนี้เหมือนที่คุณคิดไว้เลย ทำไมล่ะ งั้นไปดูกัน

1. ชอบเอาใจทุกคน

คนที่มีความสุข จะไม่พยายามเอาอกเอาใจใคร จนเสียความเป็นตัวของตัวเองไป ไม่ใช่ทุกครั้งที่ทำให้คนอื่นรู้สึกดี แล้วเราจะรู้สึกดีไปด้วย สุดท้ายอาจเป็นเราที่เจ็บปวด คนที่ชอบเอาอกเอาใจผู้อื่น บางคนกลับเต็มไปด้วยความทุกข์ที่เก็บกดไว้ภายในใจ

คอยระลึกไว้เสมอว่า เราไม่อาจทำให้ทุกคนพอใจได้ และไม่สามารถทำให้ทุกคนรักเราได้ แต่จะมีบางคน ที่แม้ไม่ต้องทำอะไรให้มาก เราก็มีความหมายในชีวิตของเขา และเขาก็ทำให้เรารู้สึกเป็นตัวของตัวเองได้

ถ้าคุณฝืนใจทำอะไรอยู่ตอนนี้ ลองถามตัวเองว่า กำลังทำเพื่อเอาใจใครหรือเปล่า และจะยังรู้สึกดีหลังจากนี้หรือไม่

2. ชีวิตมีความสะดวกสบาย

คนที่มีความสุข ต่างผ่านอุปสรรคและความยากลำบากในชีวิต เค้าไม่ได้คาดหวังว่าชีวิตจะง่ายดาย การที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข เพราะนั่นคือการที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย การเผชิญหน้ากับความท้าทาย ความกลัว สิ่งที่ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้แหละที่จะพิสูจน์ว่าคุณคือใคร

มันจะบ่งบอกความแตกต่างระหว่างคนที่ “แค่มีชีวิต” กับคนที่ “ใช้ชีวิต”
บ่งบอกความแตกต่างระหว่างชีวิตที่จำเจ กับชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขและความสำเร็จ

3. มีชีวิตที่แน่นอนและมั่นคง

หลายๆคนพยายามสร้างกำแพงขึ้นมากมายในชีวิต แต่ไม่สร้างสะพาน อาจฟังดูแปลกๆที่บอกว่า แทนที่จะใช้ชีวิตที่มั่นคงแน่นอนที่ซ้ำซากน่าเบื่อ น่าจะลองใช้ชีวิตแบบเสี่ยงๆที่จะรู้สึกถึงความสุขดูบ้าง ลองเปิดตัวเอง มองเห็นโอกาส ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ

ทำสิ่งที่น่าตื่นเต้นและท้าทาย ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ แต่อยู่อย่างมีความฝัน ไม่ใช่เอาแต่วางแผน แต่ต้องมีความเชื่อและศรัทธาในชีวิต เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจและผลลัพธ์สำหรับตัวเอง ปล่อยให้แรงขับดันและความหลงใหลนั้น จุดไฟในตัวให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และคุ้มค่า สำหรับวันนี้ และทุกๆวัน และอย่าลืมที่จะแบ่งปันพลังงานดีๆแบบนี้ออกไปให้ผู้คนรอบๆตัว

4. โดดเด่นกว่าคนรอบตัว

โลกดูแคบไปถนัดตา เมื่อเราเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง เมื่อเราคิดว่าคนรอบๆตัวคือคู่แข่ง เมื่อเราคิดว่า เราควรจะรวยกว่า ฉลาดกว่า น่าสนใจกว่าคนที่อยู่ข้างๆเรา การพยายามทำตัวให้โดดเด่นหรือดีกว่าคนอื่น เป้าหมายแบบนี้ยิ่งจะทำให้เราแปลกแยกออกจากคนอื่น รู้สึกเหนื่อย และไม่ดีพอเสียที

ลองหันกลับไปมองดูคนที่ไม่สนใจการแข่งขัน คนที่ไม่ได้มองหาว่าทำยังไงให้รวยกว่า ฉลาดกว่า น่าสนใจกว่าใครเลย เค้าไม่ได้อยากที่จะดีกว่าใครแม้แต่คนเดียว ลองดูคนเหล่านี้ ชีวิตเค้าจะมีแต่ความสุขและอิสระทางใจ

ความหมายที่แท้จริง ไม่ใช่ให้เราอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรให้ดีขึ้น แต่จงแข่งขันกับตัวเองคนเมื่อวาน ถ้าวันนี้เรามีสักนิดที่ดีขึ้น ขอให้ชื่นชมตัวเอง และก้าวต่อไปทำวันพรุ่งนี้ให้ดียิ่งขึ้น

5. มีความสัมพันธ์ที่ดีเสมอ

การมีความสัมพันธ์ที่รักใคร่กลมเกลียวกัน เป็นสิ่งที่ดีเมื่อทุกฝ่ายจริงใจต่อกัน แต่ถ้ามันเป็นตลอดเวลาแสดงว่ามีบางคนกำลังโกหกอยู่ ดังนั้นการสื่อสารและการฟัง จึงเป็นสิ่งสำคัญในทุกๆความสัมพันธ์ เราต้องพูดความในใจซึ่งกันและกันได้ และไม่ได้หวังว่าอีกฝ่ายต้องเห็นด้วยเสมอไป

ความสุขจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เราใช้ชีวิตอย่างที่เราเป็น ไม่ยอมเสียสละตัวเองในความสัมพันธ์ ไม่อดทนกับสิ่งที่เราไม่ต้องการ จงชัดเจนกับความรู้สึกและความต้องการของตัวเองและรู้จักร้องขอจากอีกฝ่าย

แน่นอนว่า การพูดความจริง มันอาจสร้างความกดดันและตึงเครียดขึ้นในความสัมพันธ์ แต่นั่นคือการที่เราจริงใจ ไม่ปิดบัง และจะทำให้ความสัมพันธ์แข็งแรงในระยะยาว การสื่อสารที่ออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง จะทำให้สร้างกติกาและข้อตกลงที่จะอยู่ร่วมกัน อย่างที่ทุกฝ่ายต่างพึงพอใจ

สุดท้าย ขอให้ใช้ชีวิตในทุกๆวันอย่างเต็มที่ บ่นว่าสิ่งรอบตัวให้น้อยลง ขอบคุณและชื่นชมสิ่งเล็กๆที่เราพบตรงหน้า แล้วจะพบว่า ความสุข ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรเยอะไปกว่านี้เลย…

บทความโดย : เรือรบ

ด้วยแรงบันดาลใจและความเชื่อว่า ความสุข เป็น “ทักษะที่สร้างได้ และส่งต่อได้” เรือรบ จึงได้เขียนหนังสือ “ Happiness Recipe: 10 สูตรผสมความสุข” ที่จะทำให้ท่านได้แนวคิดและแรงบันดาลใจ เพื่อออกแบบความสุขในฉบับของตนเอง

รายละเอียดหนังสือ คลิก

 

7 อุปนิสัยของคนที่มี EQ สูง

งานวิจัยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าความฉลาดทางอารมณ์ หรือที่เรียกว่า EQ (Emotional Intelligence) เป็นตัวชี้วัดความสุขและความสำเร็จในชีวิต แม้ว่า EQ จะเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น จับต้องได้ยาก แต่มันจะปรากฎออกมา ในพฤติกรรมของแต่ละคน ความสามารถในการเข้าสังคม การรับมือกับสถานการณ์ที่ยาก กระบวนการในการตัดสินใจ และมุมมองในชีวิต เป็นต้น

ปัจจุบันการทดสอบ EQ ทางวิทยาศาสตร์นั้น สามารถทำได้ แต่ก็มีค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตามงานวิจัยจากผู้คนนับพันก็พบว่า มีพฤติกรรมบางอย่าง ที่บ่งชี้ว่าคนเหล่านี้มี EQ ที่สูงกว่าคนทั่วไป

1. สามารถบ่งบอก “ภาวะอารมณ์” ของตัวเองได้

มนุษย์ทุกคนต่างมีอารมณ์ แต่เชื่อไหมว่า มีคนเพียง 36% เท่านั้น ที่จะสามารถบอกได้ว่า ขณะนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร คนทั่วไปไม่เข้าใจอารมณ์ มักปฏิเสธ หรือกดทับอารมณ์ของตัวเอง คนที่มี EQ สูง จะสามารถบ่งบอก และแยกแยะระดับอารมณ์ได้อย่างละเอียดชัดเจน

เช่น ตอนนี้รู้สึกแย่ หงุดหงิด รำคาญ ขุ่นเคือง โกรธ กังวล กระวนกระวาย ว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน ยิ่งสามารถอธิบายได้ละเอียดมากเท่าไหร่ แสดงว่าเขารู้จักตัวเองดีมากเท่านั้น

2. มีความสนใจผู้คน และไม่ด่วนตัดสินผู้อื่น

คนมี EQ สูงนั้นจะมีความห่วงใยใส่ใจผู้คนที่อยู่รอบๆตัวของเขา จะไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางในการคิดหรือตัดสินใจ แต่จะมองรอบๆตัวว่าจะทำให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายได้มากที่สุดอย่างไร

เมื่อต้องเจอกับคนที่ขี้หงุดหงิด ขี้วีน เขาจะรักษาระดับอารมณ์ไม่ให้ขึ้นไปตามสิ่งที่มากระทบ เขามองว่าคนเหล่านี้อาจกำลังเผชิญกับปัญหาส่วนตัวอยู่ และรู้ว่าไม่มีใครถูกหรือผิดไปซะทุกอย่าง ดังนั้นเขาจะไม่ด่วนตัดสินคน และจะสื่อสารโดยใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์

3. โอบอุ้มความเปลี่ยนแปลง ไม่มองหาความสมบูรณ์แบบ

เขาคือคนที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอด เขารู้ว่าความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง คืออุปสรรคต่อความสำเร็จและความสุขในชีวิต เขาจึงมองว่าความไม่แน่นอน คือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ และก็พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น

เขาจะไม่ตั้งเป้าหมายถึงความสมบูรณ์แบบ เพราะรู้ว่ามันไม่มีอยู่จริง แทนที่จะมองว่าตัวเองห่างจากความสมบูรณ์แบบมากแค่ไหน เขาจะมองว่าตัวเองทำอะไรสำเร็จมาแล้วบ้าง และจะทำอะไรต่อไป

4. รู้จักตัวเอง จึงไม่โกรธง่ายๆ

คนที่มี EQ สูงจะรู้ว่าตัวเองถนัดอะไร และจะปรับใช้สิ่งเหล่านั้นมากขึ้นเพื่อสร้างความได้เปรียบ ขณะเดียวกันก็จะเก็บจุดอ่อนเอาไว้ ไม่ให้มาฉุดรั้งตัวเอง เขารู้ดีว่าอะไรเป็นสิ่งที่จะมากดปุ่มให้ตัวเองโกรธหรือเสียใจ และอะไรที่จะสร้างกำลังใจไปสู่ความสำเร็จ เขาจะเป็นผู้ “เลือกตอบสนองต่อสถานการณ์” ไม่ใช่ “เป็นเหยื่อของสถานการณ์” ที่เกิดขึ้น

ไม่ใช่ว่าโกรธไม่เป็น แต่ด้วยความที่เขารู้จักตัวเองดี จึงมีความมั่นใจในและเคารพในตัวเอง ดังนั้นแม้ว่าจะมีใครมาแหย่ให้โกรธ พูดจาดูถูก หรือล้อเลียน เขาจะไม่ถือเป็นอารมณ์ เพราะลึกๆแล้วเขารู้ว่า นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายอิจฉา และรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอต่างหาก

5. รู้ว่าเมื่อไหร่ควรปฏิเสธ

คนมี EQ สูง รู้ความต้องการของตัวเอง และควบคุมตัวเองได้ เขารู้ว่ายิ่งอดทนมากไป ยิ่งจะสร้างความเครียด ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพูดว่า “ไม่” อย่างสุภาพ โดยที่ไม่รู้สึกแย่หรือกังวลภายหลัง

เขารู้ว่าการใช้คำว่า “บางที ไม่แน่ใจ อาจจะ ดูอีกทีนะ” ยิ่งจะทำให้เกิดความคาดหวัง และอึดอัดทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นเค้าจะให้คำสัญญาหรือตอบรับ ก็ต่อเมื่อเค้าหมายความถึงสิ่งที่พูดจริงๆ

6. ยอมให้ตัวเองผิดพลาดได้

คนมี EQ สูง ตระหนักดีว่า “ความผิดกับตัวเขา” ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ดังนั้นเขาจะให้อภัยตัวเองได้เร็ว เมื่อเกิดความผิดพลาด เขาจะมองหาบทเรียนที่ได้รับ และนำไปปรับปรุงสำหรับครั้งต่อไป เขาไม่ลืมความผิดนั้น แล้วก็ไม่ “จมอยู่กับความผิด” มันจะเป็นเพียงความทรงจำที่เตือนใจไม่ให้ทำผิดซ้ำ และความผิดที่ดูลำบากหนักหนาในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่จะทำให้เค้าลุกขึ้นได้ง่ายและเร็วขึ้นในครั้งต่อไป

7. รู้ว่าเมื่อไรควรหยุด

คนมี EQ สูงนั้นมักจัดสรรเวลา “หยุดพัก” ให้กับตัวเองอย่างสม่ำเสมอ แม้เขาจะทำงานหนัก และมีเรื่องต้องทำมากมาย แต่เค้าก็หาเวลา “ออฟไลน์” ให้กับตัวเองได้ การปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์และงาน ไม่ต้องติดต่อหรือพูดคุยกับใคร คือการมอบ “ช่วงเวลาเงียบ” ให้กายและใจได้หยุดพักอย่างแท้จริง

การที่ได้มีเวลาทบทวน ใคร่ครวญกับตัวเอง ทำให้เขากลับมาทำงานได้อย่างสดชื่น มีชีวิตชีวา และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

7 อุปนิสัยของผู้มี EQ สูง ทำให้เราสามารถประเมินตัวเองคร่าวๆ ได้ว่ายังขาดตกบกพร่องในข้อใด เพราะระดับ EQ ของเรานั้น แปรผันโดยตรงกับความสุขในชีวิต EQ และความสุข ต่างก็เป็น “ทักษะ” ที่ฝึกฝนได้ และส่งต่อได้

เรียบเรียงโดย เรือรบ โค้ชนักเขียนมือโปร

บทความนี้อ้างอิงจาก Travis Bradberry ผู้เขียนหนังสือ Emotional Intelligence 2.0

 

5 วิธีฟื้นคืน จากวิกฤตชีวิต

5lifechanging

ยากเหลือเกินที่จะยิ้มได้และใช้ชีวิตอย่างปกติ หากต้องเผชิญกับความท้อแท้สิ้นหวัง

ไม่ว่าจะเป็นการเจอวิกฤตด้านการเงิน ตกงานกะทันหัน ถูกทำร้ายทั้งร่างกายและอารมณ์ ความสัมพันธ์ที่ไปไม่รอด

การสูญเสียคนรักหรือเพื่อนอย่างกะทันหัน อีกทั้งความเจ็บป่วยเรื้อรังของญาติผู้ใหญ่

นี่คือสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่ใช่หรือเปล่า ?

ซ้ำร้ายกว่านั้น ในยามที่ชีวิตเป็นขาลง ดูเหมือนอะไรๆก็เข้ามาตามซ้ำเติม

ปัญหาหนึ่งก่อตัวขึ้นยังไม่จบ ปัญหาใหม่ๆก็เข้ามาทับถม และส่งผลกระทบถึงเรื่องต่อๆไป

คุณทำอย่างไร เมื่อชีวิตอยู่ในช่วงวิกฤต?

ในช่วงเวลาแบบนี้คุณจะพบว่า ในใจมีแต่ความกลัวและความเจ็บปวด เพราะความหวังพังทลาย

รู้สึกสูญเสียความมั่นใจ

รู้สึกไร้คุณค่าและไม่ดีพอ

รู้สึกสิ้นหวังและไม่มีกำลังใจจะก้าวเดินต่อ

สิ่งที่เกิดขึ้น อาจทำให้คุณจมอยู่ความรู้สึกย่ำแย่ และเศร้าโศกเนิ่นนาน จนกลายเป็นความซึมเศร้า ขาดกำลังใจที่จะใช้ชีวิต

คุณไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นมาอีกครั้งได้ยังไง ไม่ว่าใครจะมาพูดปลอบโยนเท่าไหร่ ก็ไม่อาจช่วยให้คุณดีขึ้นมาเลย…

 

ตามกฎของจักรวาล “ทุกสิ่งไม่เที่ยงและจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอ”

ดังนั้นโชคร้ายก็จะไม่อยู่กับคุณตลอดไป ในเมื่อชีวิตมีขาลงก็ย่อมมีขาขึ้น

ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ ข่าวดีก็จะมาเยือน แล้วคุณจะลุกขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

แต่หากคุณมีวิธีที่จะทำตัวเองให้ดีขึ้นได้ในเร็ววันจะไม่ดีกว่าหรือ

ต่อไปนี้เป็น 5 วิธีที่จะช่วยคุณได้

 

1. ยอมรับและเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

มีความทุกข์อยู่ 2 อย่าง คือ ทุกข์ที่ทำให้คุณเจ็บปวด และทุกข์ที่ทำให้คุณเปลี่ยนแปลง

คุณจะเจ็บปวดก็ต่อเมื่อคุณต่อต้านมัน หากคุณยอมรับและพร้อมที่จะเดินไปต่อกับมันได้ นั่นจะนำมาซึ่งการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง

อย่างแรกที่คุณจะทำก็คือ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าคุณไม่ชอบมันเลย การดิ้นรนต่อสู้กับมัน หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ก็ยิ่งจะเสียพลังงานและเวลาไปเปล่าๆ

 

การยอมรับจะทำให้คุณกลับมาพบความสงบในใจ และพร้อมที่จะเดินหน้าต่อในทิศทางใหม่ๆ

การปล่อยวางจะง่ายยิ่งขึ้น หากคุณ“ให้อภัย” ไม่ว่าจะเป็นกับตัวคุณเอง กับใครบางคน หรือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้

การให้อภัยจะปลดปล่อยตัวคุณจากความเครียด ความกดดัน ความกังวล ความยึดติดกับอดีตและอนาคตทั้งหลาย

การยอมรับและการอภัย จะช่วยให้ใจของคุณรู้สึกเบาสบายขึ้น เป็นอิสระจากสิ่งที่คุณยืดถือและคาดหวังว่าจะต้องเป็น แม้ว่าสิ่งภายนอกจะยังเหมือนเดิมก็ตาม

 

2. โอบกอดตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

หากคุณหมดความมั่นใจ หมดความเชื่อและศรัทธาในตนเอง แสดงว่าคุณกำลังอยากจะเป็นใครอีกคนที่ไม่ใช่คุณ

ลองถามตัวเองว่า กำลังคาดหวังความสมบูรณ์แบบในชีวิตอยู่หรือเปล่า ลองมองอดีตที่ผ่านมาสิ คุณก็มีความสำเร็จในชีวิตเกิดขึ้นตั้งมากมาย

สิ่งที่คุณต้องการในตอนนี้คือ การโอบกอดและยอมรับตัวเอง ในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

 

หยุดเปรียบเทียบกับชีวิตคนอื่น มองให้เห็นความสวยงามในตัวเอง

ถึงแม้จะไม่เหลือสิ่งภายนอกใดๆเลยก็ตาม คุณก็ยังเป็นมนุษย์ที่สวยงามในแบบที่คุณเป็น และมันดีที่สุดแล้ว

คุณคือคนธรรมดาที่สามารถทำผิดพลาดได้ มีความกังวลบ้าง กลัวบ้างเป็นธรรมชาติ

คุณไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ก็สามารถยอมรับและรักตัวเองได้

 

3. เตือนตัวเองว่า ทุกสิ่งเป็นของชั่วคราว

การก้าวข้ามที่สำคัญในชีวิต เกิดขึ้นเมื่อคุณตระหนักว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆในชีวิต ทั้งที่เป็นข้อจำกัด ความล้มเหลว ความผิดพลาด ความสูญเสีย โชคร้ายและความเสื่อมถอย เป็นเพียงของชั่วคราวเท่านั้น

และหลายครั้งมันผ่านไปแล้ว แต่คุณยังทำให้มันคงอยู่ ด้วยความคิดของคุณนั่นเอง

ความทุกข์และความไม่แน่นอน ก็เป็นของชั่วคราว มันไม่มีทางจะยาวนานไปตลอดกาล

เวลาจะช่วยเยียวยาคุณได้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลานับเดือนนับปี แต่แล้วมันก็จะผ่านไป

ชีวิตจะหมุนต่อไปไม่หยุด ดังนั้นอย่าให้ความทุกข์มาเปลี่ยนตัวคุณที่แท้จริงไป

คนที่เข้มแข็งคือคนที่ร้องไห้ได้อย่างเปิดเผย แล้วก็พร้อมก้าวต่อไปเมื่อหยาดน้ำตาเหือดแห้งลง

 

4. มองหาสิ่งที่ขอบคุณได้ ในช่วงเวลานี้

การขอบคุณ คือการเยียวยาตัวเองที่เรียบง่าย และมันช่วยได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ในภาวะที่กำลังจมอยู่กับตัวเองและความทุกข์ ลองหาเหตุผลที่จะขอบคุณกับอะไรก็ได้รอบๆตัว

แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งเล็กน้อยและธรรมดาแค่ไหน ขอบคุณที่ยังมีลมหายใจ ขอบคุณความรักจากคนรอบตัว ขอบคุณสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากเรื่องนี้

หากคุณเลิกมองสิ่งที่ขาดหาย และหันมาขอบคุณกับสิ่งที่เหลืออยู่ ด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ จะพบว่าหลายๆครั้งได้มองข้ามอะไรไปบ้าง

สิ่งที่สูญเสียไป คงเอากลับมาไม่ได้ แต่มันดีแค่ไหน ที่คุณได้ค้นพบสิ่งที่มีค่าที่ยังคงมี กับชีวิตที่เหลืออยู่

 

5. ยื่นมือออกไป ช่วยใครสักคน

ความท้อแท้ในชีวิต ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะคุณรู้สึกสมเพชตัวเอง แม้มันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ แต่คุณก็ทำอยู่เสมอๆโดยไม่รู้ตัว

ถ้าคุณสามารถจับความคิดได้ว่า เริ่มดูถูกและต่อว่าตัวเอง ให้หยุดสนใจที่ตัวเองแล้วมองไปที่ผู้คนรอบๆตัว

ลองหาทางที่จะช่วยเหลือใครสักคน แม้แต่จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆ เชื่อมั้ยว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นในทันที

 

เมื่อไหร่ที่คุณอยากได้รับการใส่ใจ ให้คุณใส่ใจผู้อื่น ดูแลเขาให้เหมือนกับที่คุณต้องการ ด้วยจิตที่เมตตา และหัวใจอ่อนโยน

หากคุณทำเช่นนี้ ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเองได้อีก มันจะทำให้คุณตระหนักถึงคุณค่าแห่งการมีชีวิต

การได้ช่วยเหลือใครสักคน จะทำให้คุณตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ที่ขังคุณไว้ในจิตใจอันโดดเดี่ยวของตัวเอง

 

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังท้อแท้สิ้นหวังในชีวิต ขอให้รู้ว่า คุณไม่ได้เผชิญกับมันเพียงลำพังผู้เดียว

คนรอบตัวที่เค้ารักคุณ ต่างรู้สึกและได้รับผลกระทบกับความเศร้าจากคุณอยู่เช่นกัน

ยิ่งคุณทำร้ายตัวเอง ก็จะยิ่งทำให้พวกเค้าเจ็บปวดไปด้วย

ถ้านั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ ลองใช้หลักการ 5 ข้อนี้ นำพาตัวเอง ให้ฟื้นคืนขึ้นมาจากฝันร้าย

นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังช่วยให้ชีวิตคุณและพวกเขาดีขึ้นในคราวเดียวกัน

บทความโดย “เรือรบ” ผู้เขียนหนังสือ “Happiness Recipe: 10 สูตรผสมความสุข”
…………….

5 ความแตกต่าง ระหว่างรักแท้กับรักเทียม

ความรักที่แท้ คนทั้งสองจะไม่ “ตกหลุมรัก” แต่จะ “ก้าวเข้าไปในความรัก” มันจะไม่เกิดจากการตกหลุมลงไปแบบหัวปักหัวปำ แต่จะเป็นการค่อยๆพัฒนาเติบโตไปด้วยกัน การตกหลุกรัก เป็นเพราะเราห้ามใจไม่ได้ จนต้องเสียความเป็นตัวเอง ติดอยู่ในที่ไหนสักแห่งที่ต่ำกว่าเดิม จะต้องพยายามปีนกลับขึ้นมา เพื่อจะใช้ชีวิตอย่างปกติ

แต่รักแท้ไม่ใช่อย่างนั้น การก้าวเข้าไปในรัก เกิดขึ้นง่ายๆโดยไม่ต้องพยายามอะไรเลย เป็นพื้นที่ๆสงบสุขของชีวิต ปลอดภัยและอบอุ่นเหมือนซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มา

เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าความรักครั้งนี้ เป็นรักแท้หรือเทียม มันจะสั้นแค่สองเดือน หรือจะยาวนานตลอดไป ต่อไปนี้เป็น 5 ความแตกต่าง ระหว่างรักแท้กับรักเทียม

1. รักเทียมมีแต่คำถาม รักแท้มีทุกคำตอบ

คู่รักเทียมชอบถามว่า เธอรักฉันไหม เธอกำลังมองคนอื่นอยู่รึเปล่า เราจะคบกันไปนานได้แค่ไหน คู่รักแท้ ไม่มีความสงสัย ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามเหล่านี้ เพราะต่างมีคำตอบให้ตัวเอง และไม่ต้องการคำยืนยันอะไรจากอีกฝ่าย เมื่อเรารักใครและเค้ารักเรา จะไม่เกิดความระแวงซึ่งกันและกัน

เมื่อคบกับเค้าแล้ว รู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจ ทำให้เราสงบใจได้อย่างประหลาด พวกเค้าไม่เสียเวลากับคำถามเล็กๆน้อยๆ เพราะมีคำตอบใหญ่ๆให้กับชีวิตแล้ว

2. รักเทียมมีแต่ดราม่า รักแท้เป็นเรื่องง่ายๆ

คู่รักเทียม ใช้ชีวิตอย่างอุดมคติ ว่าชีวิตรักต้องสวยหรูดูดี มันจึงเต็มไปด้วยความคาดหวังสิ่งต่างๆจากอีกฝ่าย มีความรู้สึกโหวงๆ ลึกๆแล้วเหมือนบางอย่างขาดหายไป มันคือการสูญเสียความเป็นตัวเอง ไม่ว่ายามหลับหรือตื่น แค่อยู่ใกล้ๆกันสองสามชั่วโมงก็รู้สึกเหนื่อย

แต่แล้วก็ต้องปลุกความรักขึ้นมาใหม่ด้วยกิจกรรมบนเตียงหรือหาเรื่องพูดคุยเรื่อยเปื่อย คู่รักแท้ไม่มีดราม่า เพราะดราม่าเป็นเรื่องของคนที่ไม่รู้วิธีสร้างความสัมพันธ์ที่ดีซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์นั้นควรจะเป็นไปอย่างสบายๆตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่มีการทะเลาะกันแรงๆแล้วต้องใช้เซ็กส์เพื่อคืนดีกัน ไม่ต้องมีการโทรตามจิก หรือหึงหวงกันให้วุ่นวาย

คู่รักแท้รู้สึกเติมเต็มในใจเสมอ ไม่มีช่องว่างตรงกลาง ไม่รู้สึกสูญเสียความเป็นตัวตน และไม่รู้สึกว่าถูกพรากอะไรไป แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน นั่งมองหน้าหรืออยู่ด้วยกันเงียบๆก็มีความสุข

3. รักเทียมรวมเป็นหนึ่ง รักแท้อยู่เป็นคู่

คู่รักเทียมมองหาอีกฝ่ายมาเติมเต็มสิ่งที่ขาด เหมือนครึ่งกับครึ่งมาเจอกัน พยายามรวมให้เป็นหนึ่ง ในความสัมพันธ์จึงมองหาในส่วนที่ตัวเองขาดหาย แต่เมื่อหาสิ่งนั้นไม่เจอในคู่ของตน จึงเกิดความไม่พึงพอใจ กลายเป็นบังคับอีกฝ่ายให้ปรับเข้าหาตน คู่รักแท้ ไม่ต้องการเป็นหนึ่งเดียว เค้าใช้ชีวิตแยกกัน แบบหนึ่งบวกหนึ่ง จึงรวมเป็นสอง

เมื่อจิตใจข้างในของตัวเองเต็มแล้ว จึงไม่ต้องมองหาใครมาเติมเต็มอีก ในความสัมพันธ์จึงไม่เรียกร้องให้อีกฝ่ายปรับเข้าหา แต่ให้พื้นที่กับคู่ของตน ในการใช้ชีวิตและเติบโตอย่างที่ต้องการ เป็นกำลังใจให้อีกฝ่ายได้ทำตามฝันและความสนใจ สนับสนุนทุกทางที่เป็นไปได้เพื่อให้อีกฝ่ายมีความสุข

4. รักเทียมทะเลาะด้วยข้อความ รักแท้เผชิญหน้า

การทะเลาะกันแบบคู่รักเทียม มักจะใช้วิธีแชท ส่งข้อความตอบโต้กันไปมา ลงท้ายก็คือยิ่งเข้าใจผิด เพราะมันไม่สามารถสื่ออารมณ์ที่แท้จริงได้ผ่านอักษรหรือไอคอนการ์ตูนได้ เหลือทิ้งไว้แต่หลักฐานของความสัมพันธ์ที่แตกร้าว

คู่รักแท้ หันหน้าเข้าหากันเสมอเมื่อมีเรื่องไม่เข้าใจ พร้อมรับฟังและสื่อสารด้วยหัวใจไม่ใช่อารมณ์รุนแรง กล้าเปิดเผยความรู้สึกและความต้องการที่แท้จริง เพื่อปรับความเข้าใจกันไม่ใช่โทษกัน ที่สำคัญพวกเขามักทะเลาะกันเพื่อสร้างอนาคต ไม่ใช่เพื่อขุดคุ้ยอดีต

5. รักเทียมเร่งเวลา รักแท้ไม่มีเวลา

ไม่มีสูตรสำเร็จว่า คู่รักจะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันได้เมื่อไหร่ คบกันนานแค่ไหนถึงจะแต่งงานกัน คู่รักเทียม ตั้งกฎและกำหนดข้อตกลงบางอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ตัดสินใจพลาดในครั้งนี้ รักแท้มีจังหวะของมันเอง คุณจะรู้สึกได้เมื่อพร้อม ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นภายในด้วยตัวเองอย่างปราศจากความพยายามหรือเร่งรีบ

คุณรู้สึกว่าการตัดสินใจอยู่ด้วยกันหรือแต่งงานกัน เป็นไปอย่างอิสระและธรรมชาติ แม้คนรักอาจเข้ามาและจากไป แต่ความรักนั้นจะไม่หายไปด้วยเวลา

“รักแท้ สร้างได้” หากคุณทำความเข้าใจกับหลัก 5 ประการนี้ จะเห็นว่าในความสัมพันธ์ตัวคุณคือ“ต้นเหตุ 100%” ที่จะทำให้ความรักครั้งนี้เป็นรักแท้ หรือรักเทียม แม้ว่าอยู่กับด้วย รักเทียม ก็ยังทำให้หลายๆคู่ที่อยู่ด้วยกันได้นาน แต่อาจจะเป็นการอยู่อย่างระหองระแหง และต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้มีความสุขเหมือนคู่ที่เป็นรักแท้

หากต้องการมีรักแท้ คุณต้องกลับมามองที่ตัวเอง เรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเอง ให้สามารถเข้าใจ ยอมรับ และรักตัวเองได้อย่างแท้จริง เมื่อคุณเติมเต็มตัวเองได้ พลังงานบวกนี้จะเปิดรับธรรมชาติแห่งความรัก ดึงดูดรักแท้ คืออีกคนที่เติมเต็มแล้วในตัวเองเข้ามา จากนั้น คุณก็ปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก้าวเข้าไปดื่มด่ำกับมัน โดยไม่คาดหวังหรือกะเกณฑ์

หากนั่นคือพลังแห่งความรัก สิ่งที่คุณจะพบคือความสบาย การให้ ความสวยงาม อบอุ่น ปลอดภัย ไว้วางใจ สนับสนุน ซึ่งนั่นจะทำให้คุณสองคนเติบโต และมีโลกใบใหม่ที่เดินร่วมทางไปคู่กัน

บทความโดย เรือรบ


 

ขอแนะนำหลักสูตรด้านการสื่อสาร ที่ทำให้คุณครองใจคนรัก และครองใจลูกน้องได้
Communication for Leadership: ทักษะการสื่อสาร สำหรับผู้นำยุค AEC

หลักสูตร 1 วัน โดย เรือรบ รายละเอียดคลิกที่นี่

10 สูตรผสมความสุข ที่คุณปรุงได้ด้วยตัวเอง

หากพูดถึงนิยามของความสุข ถ้าไปถามคนร้อยคน ก็คงได้คำตอบเป็นร้อยแบบ เพราะความสุข ก็เปรียบได้กับ “อาหารจานโปรด” ที่มีทั้งรสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว จนทำให้มีรสอร่อย ที่แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่แปลก ที่ความสุขของคนเราจะแตกต่างกันไป หากเชฟสามารถปรุงอาหารจานอร่อยให้เราได้ด้วยสูตรเด็ดๆ ดังนั้นความสุข ก็ย่อมมี สูตรเฉพาะ ด้วยเช่นกัน

 “ผมเชื่อว่าความสุขเป็น “ทักษะที่สร้างได้ และส่งต่อได้” เหมือนการทำอาหาร จึงได้ค้นหาและพัฒนา  10 สูตรผสมความสุข” และถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มใหม่ ซึ่งบทความนี้ได้ย่นย่อหลักสำคัญในหนังสือ ที่คุณจะนำไปใช้ออกแบบความสุขจานโปรดสำหรับตัวเองได้ง่ายๆในชีวิตประจำวัน และสามารถแชร์ให้คนรอบตัวมีความสุขไปด้วยกัน” – เรือรบ

 

1.SMILE -รอยยิ้ม

“การยิ้มเป็นวิธีที่ง่ายและเร็วที่สุด ที่เราจะสร้างความสุขให้ตนเองและผู้อื่นได้” ผลการวิจัยได้นำเสนอประโยชน์มหาศาลของรอยยิ้มไว้หลายข้อ เช่น ยิ้มสามารส่งต่อได้จากคนสู่คน เมื่อเรายิ้ม คนใกล้ตัวก็มีแนวโน้มจะยิ้มไปด้วย คนที่ยิ้มเก่งทำให้ดูน่าคบหาและน่าเชื่อถือมากกว่าคนหน้านิ่ง การยิ้มลดระดับความเครียดและคลายความกังวล เป็นยาขนานเอกทั้งรักษาและป้องกันโรค อีกทั้งทำให้ความสุขและอายุยืนยาวขึ้น

2.STYLE- สไตล์

“สไตล์ บ่งบอกความเป็นตัวเอง และทำให้เรามีความสุขอย่างที่เราเป็น” ในยุคที่ใครๆก็เดินตามกระแสสังคม เมื่อเราอยู่ภายใต้ระบบที่จำกัดให้ผู้คนคิดและทำเหมือนๆกันไปหมด ในเบื้องลึกเราจึงรู้สึกไม่มีที่ยืนและไร้ซึ่งตัวตน “สไตล์” คือการกลับมารู้จักตนเอง และกล้าที่จะทำในสิ่งที่เป็นตัวเรา เพื่อบอกว่าเราคือใครและมีจุดยืนอะไร การยอมรับและมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ทำให้เรามีความสุขได้อย่างแท้จริง

3.SKILL -ทักษะ

“สิ่งที่จะนำพาชีวิตให้ก้าวหน้าไปได้อย่างดี คือทักษะ” การที่เราเรียนเก่ง มีความรู้ มีการศึกษาสูง ไม่ได้รับประกันความสำเร็จและความสุขในชีวิต อายุและเพศก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ หากคนเหล่านั้นมีแต่ความรู้ แต่ไม่มีทักษะ “ทักษะ” เป็นผลรวมของ ความรู้ ความเข้าใจ และการนำไปใช้ จากนั้นนำประสบการณ์ที่ได้มา ประเมินและปรับปรุง สร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ของตนเอง ถ้าอยากให้ทักษะแน่นขึ้น ให้หาโอกาสแบ่งปันและถ่ายทอดให้คนอื่นด้วย ยิ่งมีคนได้ประโยชน์มาก เราก็จะกลายเป็นกูรูหรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆได้เอง

4.SLOWNESS – ช้าลง

“แค่ทำชีวิตให้ช้าลงได้ เราก็จะมีความสุขมากขึ้น” ลองใช้เวลาอยู่กับความเงียบด้วยการขอเวลานอกให้ตัวเองบ้าง อยู่กับลมหายใจลึกๆยาวๆสัก 5 นาที ออกไปเดินเล่นเพื่อลดปล่อยความเครียด ผ่อนคลายอารมณ์ ดื่มด่ำไปกับกิจกรรมต่างๆอย่างเชื่องช้า ฝึกที่จะช้าลงในการทำกิจกรรมต่างๆ แม้กระทั่งความคิด อย่ารีบด่วนตัดสินหรือตีความไปก่อนกับเรื่องใดๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ชีวิตมีพื้นที่อันน่ารื่นรมย์มากขึ้น

5.SIMPLICITY – เรียบง่าย

“ยิ่งทำชีวิตให้เรียบง่าย เรายิ่งเบาสบายและมีความสุข” มีความยืดหยุ่นให้ชีวิตบ้าง มีเงื่อนไขให้น้อย มีความคาดหวังให้น้อย รู้จักออกแบบวิถีชีวิตพอเพียง แยกความสำคัญระหว่างสิ่งจำเป็นกับสิ่งที่อยากได้ เพราะรายได้มากๆไม่สำคัญเท่าเงินเหลือ หาวิธีที่จะทำให้มีเงินเหลือมากกว่าที่ตนเองต้องการ ศึกษาการใช้วิถีของธรรมชาติในการดำเนินชีวิต ทำให้ชีวิตกลับสู่สมดุลมีสุขภาพดีขึ้น วิถีธรรมชาติเป็นสิ่งที่ฉลาดที่สุด เหมาะสมที่สุด และสร้างความยั่งยืนได้มากกว่า รวมทั้งเป็นมิตรทุกสรรพสิ่งในโลกใบนี้ด้วย

6.SHARING – การให้

“การให้และการแบ่งปัน เป็นต้นทางของความสุขและความสำเร็จ” เพราะการให้บ่งบอกว่า เรามีความเหลือเฟือในชีวิต การให้ทำให้เรารู้สึกเติมเต็ม และไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป การให้ที่ดีจะไม่ทำให้เราลดพลัง ไม่สูญเสียความเป็นตนเอง การให้ที่ดีไม่ใช่หน้าที่ ไม่ควรรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบ หรือรู้สึกผิดถ้าไม่ได้ทำ การให้ที่แท้จริงเกิดจากความเมตตากรุณา เราสร้างออกมาจากหัวใจของเรา ส่งต่อให้ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งใดๆ กลับมา

7.SYNERGY – การผสมผสาน

“เคล็ดลับของความสุขและสำเร็จอย่างรวดเร็ว คือการใช้หลักผสมผสาน” ซึ่งมี 3 องค์ประกอบด้วยกัน หนึ่งคือความสอดคล้อง หากเรามีเป้าหมายในชีวิตและความสุขนั้นสอดคล้องกัน จะทำให้เราสำเร็จในชีวิตได้อย่างรวดเร็ว โดยเป้าหมายคือทิศทางและโฟกัส ส่วนความสุขในการทำงานเป็นพลังงานที่ขับเคลื่อนอันทรงพลัง สองคือการเชื่อมโยง มีความสามารถในการโน้มน้าวนำพา และประสานประโยชน์ระหว่างผู้คน เพื่อให้พวกเค้าเข้ามามีส่วนร่วมในฝันใหญ่ๆร่วมกัน และทำภารกิจนั้นให้เป็นจริงได้ง่ายและเร็วขึ้น สุดท้ายคือความสร้างสรรค์ หากต้องการสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ให้ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เราต้องกล้าคิดนอกกรอบออกจากแบบแผนเดิมๆ ทั้งหมดนี้เป็นหลักการผสมผสานที่จะชักนำความสุขกับความสำเร็จมาผสมให้เข้ากันได้อย่างลงตัวและเกิดผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม

8.SUSTAINABILITY – ความยั่งยืน

“ความยั่งยืน คือความสุขจากความสัมพันธ์ที่กลมกลืนระหว่างชีวิตและสิ่งแวดล้อม” การจะใช้ชีวิตให้มีความสุขไม่ใช่เพียงเอาตัวคนเดียวรอด แต่ต้องพร้อมจะเป็นผู้นำที่จะเกื้อกูลให้สังคมรอบข้างและชุมชนของตนพัฒนาด้วย ไม่วัดความยั่งยืนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียว แต่ดูถึงองค์รวมของคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ มีการรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รู้จักหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ รู้จักบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด นำสิ่งที่มีอยู่มาใช้อย่างเต็มศักยภาพ ฟื้นฟูส่วนที่เสื่อมโทรมให้ฟื้นคืนสภาพ เพื่อส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนรุ่นต่อๆไป นั่นจึงจะเรียกว่ามีความยั่งยืนที่แท้จริง

9.SELF-DEPENDENCE – การพึ่งพาตนเอง

“การพึ่งพาตนเอง เป็นการรับประกันความสุขที่ง่ายและแน่นอนที่สุด” เพราะการคาดหวังและพึ่งพาผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ คนอ่อนแอจะต้องคอยหาคนอื่นมาพึ่งพิง ถ้าเค้าไม่รักหรือทิ้งไปก็มีแต่ทุกข์ ส่วนคนที่เข้มแข็งนั้นจะรู้ว่า หากพึ่งพาตนเองได้ ก็จะสามารถเอื้อเฟื้อให้คนอื่นเข้ามาในชีวิตได้มากขึ้น ในการพึ่งพาตนเอง เราต้องสร้างความมั่นใจด้วยการเลิกเปรียบเทียบกับคนอื่น หมั่นดูแลตัวเองอย่างดี ฝึกที่จะอยู่โดยลำพังให้ได้ มีจุดยืนในความคิดตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง รักและเห็นคุณค่าในตนเอง คนที่พึ่งพาตนเองได้นั้นมีเสน่ห์ ดูอบอุ่น มั่นคง เพียงอยู่เฉยๆ ก็เป็นที่น่าสนใจในสายตาคนทั่วไป

10.SELF-DEVELOPMENT – การพัฒนาตนเอง

“ต้นไม้ที่หยุดโตคือต้นไม้ที่กำลังจะตาย คนที่หยุดพัฒนาก็คือคนที่ตายไปแล้วทางจิตวิญญาณ” การพัฒนาในชีวิตนั้นแบ่งเป็น 2 ด้าน ด้านแรกคือทักษะภายนอก เกี่ยวกับการ เพิ่ม พัฒนา ขยาย เป็นทักษะในการทำงาน เชิงความรู้ เทคนิค การทำงานให้มีประสิทธิภาพที่ดี ด้านที่สองคือ “ทักษะภายใน” เป็นเรื่องของการ ลด ละ วาง เป็นทักษะเกี่ยวกับคน การเข้าใจตนเองและความสัมพันธ์ เป็นด้านของจิตใจ ซึ่งจะใช้เพื่อลดอัตตาตัวตน ลดความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ และลดความทุกข์ของเราลงได้ด้วย คนที่เรียนเก่ง ฉลาด หน้าตาดี มีฐานะและประสบความสำเร็จในชีวิต ถึงจุดหนึ่งอาจมีความทุกข์จนต้องฆ่าตัวตาย เพราะเขาเก่งแต่ทักษะภายนอก ไม่เคยพัฒนาทักษะภายในนั่นเอง ทักษะภายใน 5 อย่าง ที่เราควรฝึกให้เป็นนิสัยคือ  การขอบคุณ การขอโทษ การให้อภัย การให้คุณค่าในสิ่งต่างๆเท่ากัน และการทบทวนตนเอง สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นดีเสมอ ไม่ว่ามันจะนำมาซึ่งความทุกข์หรือสุข มันถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับเรา มันคือบทเรียนที่จะทำให้เราเติบโต และทำให้เรามีความสุขง่ายขึ้น นี่คือหนทางในการพัฒนาตัวเองและเติบโตทางจิตวิญญาณ ……………………… ทั้งหมดนี้คือ “10 สูตรผสมความสุข” ซึ่งเป็นทักษะที่เราสร้างได้และส่งต่อให้คนที่รักได้ ขอเพียงหมั่นฝึกฝนและใช้หลักการทั้ง 10 นี้ออกแบบการดำเนินชีวิต แล้วคุณจะสามารถมีความสุขและความสำเร็จได้พร้อมๆกัน แม้จะอยู่ท่ามกลางปัญหา อุปสรรค และความไม่แน่นอนในชีวิต จะไม่มีสิ่งภายนอกใดมาทำให้คุณทุกข์นานๆได้อีก เพราะคุณรู้วิธีสร้างความสุขจากภายในนั่นเอง เขียนโดย เรือรบ สรุปจากหนังสือ Happiness Recipe: 10 สูตรผสมความสุข” 

5 ขั้นตอน เปลี่ยนชีวิตแบบก้าวกระโดด

หากคุณเป็นคนหนึ่ง ที่อยากเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่จุดที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนัก อยากเปลี่ยนงานที่ทำ อยากออกจากความสัมพันธ์ที่เจ็บปวด หรืออะไรก็ตาม แม้ว่าจะไปซื้อหนังสือมาอ่านก็แล้ว ไปอบรมสัมมนาก็แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นั่นเป็นเพราะอะไร?  

สิ่งที่เรารู้ ไม่อาจทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้

แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเราอย่างแท้จริง มาจากสิ่งที่เราไม่รู้

เราจะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ จนกว่าเราจะขุดลึกลงไปจนเจอ “ความเชื่อ” เบื้องลึกในจิตใจ 

หากเราใช้กรรไกรตัดหญ้าออกจากสวน เพียงไม่นานหญ้าก็จะขึ้นมาเต็มอีก เป็นเพราะรากของมันยังไม่ถูกขุดออกนั่นเอง เหมือนกับพฤติกรรม ที่จะไม่สามารถเปลี่ยนได้จากการอ่านหนังสือ หรือการได้คำแนะนำดีๆจากใคร แต่มันต้องมาจาก ความปรารถนาจากจิตใจเบื้องลึก ของคุณเองเท่านั้น ต่อไปนี้เป็นวิธีการ 5 ขั้นตอนเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างก้าวกระโดด  

1. สำรวจความเป็นตัวคุณ

คุณเคยถอยหลังออกมาจากเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำซาก แล้วมาสังเกตตัวเองบ้างไหม หากยังอยู่ท่ามกลางประเด็นปัญหาในชีวิต ย่อมเต็มไปด้วยความคิดว้าวุ่นและความวุ่นวายใจ ยิ่งปัญหาอยู่ใกล้ตัวมาก ยิ่งจมจ่อมมาก จึงยากที่จะมองเห็นสิ่งที่เป็นจริงๆ

ดังนั้นอาจจะดีกว่า ถ้าเราขอเวลานอกให้กับตัวเอง แล้วตั้งคำถามเหล่านี้ เรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เป็นอยู่ พฤติกรรม ความเชื่อ ความคิด อารมณ์ที่เป็นอยู่นี้ มันได้ให้ประโยชน์อะไรกับเราหรือเปล่า? สิ่งเหล่านี้มันให้พลังกับเรา หรือบั่นทอนพลังของเรา? ผลกระทบที่มีต่อตัวเอง และความสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นอย่างไร?

ในขั้นแรกนี้ เพียงสร้าง “ความตระหนักรู้” ขึ้นมา

มองให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่มันเป็นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึก

ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างไร และมีประโยชน์กับเราหรือไม่ ?

2. การเปลี่ยนแปลง คือการปล่อยวาง

เราต้องปล่อยวางอะไรล่ะ มันอาจจะเป็นเรื่องราวที่เรามักบอกกับตัวเองว่า เราไม่มีทางทำได้ เราคงทำไม่สำเร็จ เพราะเราไม่ได้เรื่องและไม่ดีพอที่จะเปลี่ยนชีวิตให้เป็นอย่างที่เราต้องการได้ ความเชื่อที่ลดพลังเหล่านี้ มันคอยฉุดรั้งเราไว้ ไม่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้เลย

และเมื่อเวลาผ่านไป เรามักจะมีเหตุผลมาสนับสนุนให้ความเชื่อนี้ ดูเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเราแยกไม่ออกว่า มันคือความจริง หรือมันเป็นแค่ความเชื่อที่เราสะสมไว้เอง ทุกครั้งที่เราบอกว่า ฉันเป็นคนโชคร้าย ขาดโอกาส ไม่มีใครรักฉันจริง มันทำให้เราสามารถโทษคนอื่น โทษสถานการณ์ โทษโลกใบนี้ได้ โดยที่ตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย นอกจากมีชีวิตแย่ๆต่อไป

ในขั้นที่สอง ให้ถามตัวเองว่า เราใช้ชีวิตด้วยความเชื่อแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว ?

จะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไหม ?

เราจะต้องปล่อยวางความคิดอะไรบ้าง เพื่อก้าวต่อไป?

3. ตัดสินใจว่า อะไรคือความต้องการที่แท้จริงในชีวิต

มันอาจต้องใช้เวลาหลายปี ที่คนๆหนึ่งจะเข้าใจตัวเองว่า ทำไมเราถึงเป็นคนเช่นนี้  โดยมากเรามักมองเห็นแต่คนอื่น เราอาจจะไม่พอใจตัวเองเพราะอยากเป็นเหมือนคนอื่น อยากได้รับการยอมรับตามเสียงสังคม อยากทำให้สำเร็จตามเสียงแห่งความคาดหวัง โดยที่ไม่ได้มองว่าที่จริงแล้วเราคือใคร เราไม่รู้ว่าความต้องการที่แท้ของตัวเองคืออะไร เราละเลยเสียงของตัวเองมานานมาก มันเบาจนตัวเราแทบไม่ได้ยิน

เมื่อเราไม่ยอมรับตัวเอง เราจึงต้องพยายามมากเกินไป จนรู้สึกกังวล เหนื่อยหน่าย หมดหวัง ในที่สุดก็กลายเป็นนิสัยบ่อนทำลายตัวเอง กินมากเกินไป เมาหัวราน้ำ นอนไม่หลับ และเป็นโรคซึมเศร้า  

ในขั้นที่สาม ให้เราสำรวจความต้องการที่แท้จริงจากเบื้องลึกของจิตใจ และตั้งเป้าหมายที่มาจากตัวเอง 100%

หากต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ต้องมาจากตัวเอง ไม่ใช่อยากพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น

4. ลงมือกระทำจากพลังข้างใน

เมื่อเราได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ที่จะปล่อยวางเรื่องราวเก่าๆและมุ่งไปสู่เป้าหมายใหม่ๆ เราจะรู้ได้เองว่า หากสิ่งนั้นเป็นความต้องการเบื้องลึกในจิตใจ แม้จะยากลำบาก แต่เราจะทำมันได้อย่างไม่ฝืนใจ ไม่ทรมาน แต่ถ้าไม่ใช่ เพียงเจอความลำบากนิดหน่อย เราก็จะล้มเลิกไปอย่างง่ายๆ

ในขั้นที่สี่ หากเราเดินตามเสียงเรียกร้องในใจ

นั่นจึงจะเรียกพลังแห่งการลงมือทำที่แท้จริงของเราออกมา

5. ยินดีกับการเปลี่ยนแปลง แม้เพียงก้าวเล็กๆ

สุดท้าย ขอให้ระวังไว้ว่า หากเราลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองเมื่อไหร่ จะมีบางคนที่พยายามจะหยุดยั้ง ขัดขวาง หรือคอยซ้ำเติมเรา อาจเป็นเพราะความหวังดี หรือไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลงของเรา ดังนั้นให้แน่ใจว่า เราอยู่ท่ามกลางผู้ที่มีความคิดและทัศนคติที่สนับสนุนและส่งเสริมกัน

แน่นอนว่า ความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมเดิมๆที่สะสมไว้ จะยังส่งผลต่อเราอยู่ เราจะยังไม่ลืมมันไปง่ายๆ ดังนั้นถ้าเผลอกลับไปทำตัวแบบเดิมๆ ก็อย่าโทษตัวเอง เมื่อรู้สึกตัวเมื่อไหร่ จงให้อภัยตัวเองแล้วกลับมาทำตามที่เราตั้งใจทันที การเปลี่ยนแปลงชีวิตแบบก้าวกระโดด เริ่มจากก้าวเล็กๆเสมอ ให้เราเขียน “บันทึกความสำเร็จ” ในทุกๆคืนก่อนนอน  

 ในขั้นสุดท้าย เขียนความสำเร็จในวันนี้สัก 5 ข้อ เพื่อชื่นชม ให้กำลังใจ มองเห็นชัยชนะของตัวเอง

เราอาจไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีแบบพลิกฝ่ามือ แต่มันจะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป

ความสำเร็จเล็กๆในวันนี้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเรื่องที่ยากและยิ่งใหญ่กว่าในอนาคตได้อย่างแน่นอน

ใครที่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ คุณใช้วิธีการ 5 ขั้นตอนนี้ หรือวิธีใด เชิญแบ่งปันและแลกเปลี่ยนกันได้ในคอมเม้นท์ข้างล่างนะครับ

บทความโดย เรือรบ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save