ต่อจากตอนที่แล้ว เรากำลังกล่าวถึงการนำกระบวนการไดอะล็อคมาประยุกต์ใช้ในองค์กร ซึ่งสิ่งที่แปลกไปกว่าการสนทนาหรือการประชุมทั่วไปก็คือ ในวงไดอะล็อค จะไม่มีหัวข้อในการพูดคุย อีกทั้งไม่จำเป็นต้องตั้งหัวข้อมาก่อน
ความน่าฉงนของบทสนทนาที่ไม่มีหัวข้อ
เราจะพบว่า เมื่อแต่ละคนพูดเรื่องบางอย่างออกมา ตอนแรกอาจดูไม่เกี่ยวกัน ไปคนละทิศละทาง แต่พอผลัดกันพูดวนไปสักรอบหรือสองรอบ อาจมีหัวข้อบางเรื่องที่กลายเป็น “วาระร่วม” หรือความสนใจร่วมในที่สุด เมื่อนั้นก็จะเกิดการเลื่อนไหลอย่างรวดเร็วในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
อย่างไรก็ตาม หากเราจะมีจุดประสงค์ที่จะประยุกต์ใช้รูปแบบของการไดอะล็อค มาทำ KM หรือมาประชุมหารือใดๆ ก็อาจตั้งหัวข้อได้เช่นกัน แต่ถ้าหากมีการถกเถียงกันหรือต้องหาข้อยุติด้วยการโหวต หรือคำตัดสินของคนใดคนหนึ่ง เราก็ต้องประกาศและยอมรับการประชุมนั้นว่าได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการอภิปราย หรือวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ใช่การไดอะล็อคอีกต่อไป
พูดคุยอย่างเปิดใจ ไม่ด่วนสรุป ห้อยแขวนคำตัดสิน
ในระหว่างที่พูดคุยทำไดอะล็อคกัน หากใครต้องการจะเสนอความคิดที่ตนเองกลั่นกรองหรือตกผลึกได้ ก็ควรพูดในลักษณะที่เป็นความเห็นเฉพาะตน ไม่ยัดเยียดข้อสรุปนั้นให้ใคร ไม่ฟันธง อาจทิ้งท้ายว่า มั้ง รึเปล่า เพื่อเตือนสติตนเองว่า ความคิดของตนนั้นไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไปก็ได้
หากเมื่อใดก็ตามที่เราเห็นว่าตนคิดถูกเสมอ เราก็จะปิดกั้นการเรียนรู้ใหม่ๆ ทั้งยังปิดโอกาสที่จะเข้าใจหรือยอมรับฟังความคิดเห็นที่ต่างออกไป ซึ่งนั่นเป็นชนวนบ่อเกิดแห่งความขัดแย้งระหว่างคู่สนทนา แต่หากเมื่อใดเราห้อยแขวนคำตัดสินได้ รับฟังเขาอย่างเต็มที่ แม้ภายหลังเรายืนกรานความคิดเรา อีกฝ่ายก็ย่อมยินดีจะเข้าใจมากกว่าที่เราปิดใจ รีบเถียงหรือวิพากษ์วิจารณ์ทันทีที่ยังไม่ทันฟังจนจบ ซึ่งล้วนเห็นในบทสนทนาทั่วไปในชีวิตประจำวัน
รอบสุดท้าย คือการ Check Out
เมื่อสมควรแก่เวลา ผู้อำนวยวงหรือฟา (Facilitator) ก็จะเชิญผู้ร่วมวงเช็คเอาท์ (Check out) ซึ่งก็คือการพูดถึงคุณค่าที่ตนได้รับจากการพูดคุยในครั้งนี้ รวมไปถึงสิ่งใดๆที่อยากพูดเพื่อให้รู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ไม่ค้างคาใจ (Completion)
ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หากไดอะล็อคกันได้นานและลงลึกพอ สมาชิกในวงจะพบกับความอิ่มเอมใจ เพราะการสนทนานั้นจะเป็นไปอย่างมีคุณภาพ มีคุณค่าและมีความหมาย
เพียงระยะเวลาสั้นๆ เราจะได้รู้จักเพื่อนร่วมวงในมุมใหม่ที่ลึกซึ้งอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน การได้สัมผัสอารมณ์เบื้องลึกและคุณค่าในใจของกันและกัน ทำให้รู้สึกสนิทชิดเชื้อกันมากขึ้น อีกทั้งตลอดเวลาในการทำไดอะล็อคนั้น เราจะได้รับการรับฟังอย่างใส่ใจ ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
เพียงแค่การรับฟังอย่างตั้งใจก็เปรียบเสมือนคำชื่นชมและการยอมรับ โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องกล่าวคำเยินยอหรือใช้คำพูดหวานหูใดๆเลย
เมื่อทุกคนเช็คเอาท์ครบแล้ว ฟาก็อาจเชิญทุกคนคารวะให้กัน เป็นแสดงการขอบคุณด้วยการโค้งงามๆในท่านั่งให้แก่กันและกัน เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ
มหัศจรรย์ผลลัพธ์ของการไดอะล็อค
ประโยชน์ที่ได้ไม่ใช่แต่ในช่วงเวลาแห่งการสนทนาเท่านั้น โดยมากผู้คนรายงานว่า หลังจากจบการไดอะล็อคแล้วกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ เพียงหนึ่งวันหรือสองวัน อยู่ๆพวกเขาก็จะเกิดญาณทัสนะหรืออาการปิ๊งแว้บบางอย่างขึ้นมา และสามารถแก้ไขโจทย์ที่ตนขบคิดไว้มานานก่อนการไดอะล็อคได้
นั่นเป็นเพราะมนุษย์เราต่างมีพื้นฐานการดำเนินชีวิตและจิตใจใกล้เคียงกัน การสนทนาที่ผ่อนคลายก็นำพาองค์ความรู้ที่ถ่ายทอดกันอยู่ในวงนั้น ให้เลื่อนไหลเข้ามาสู่จิตใต้สำนึกของเราโดยไม่รู้ตัว เมื่อมันเพาะบ่มได้ที่ หากมีปัญหาก็ถึงเวลาที่ปัญญาจะเผยออกมา
สิ่งสำคัญก็คือ เราไม่อาจมีปัญญาหาคำตอบได้เลยหากเราคิดเพียงคนเดียว เพราะถ้าหากเรารู้คำตอบอยู่แล้ว หรือหาคำตอบได้เอง นั่นก็จะไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง หรือไม่ใช่ประเด็นปัญหาใหญ่อะไรนัก
แต่ปัญหาชีวิตหรือปัญหาสำคัญที่แท้จริง ย่อมไม่สามารถขบคิดได้ด้วยตนเอง หากจะเกิดจากการตกผลึกจากกระบวนการคิดร่วมกัน ได้ค้นพบปัญญาญาณร่วม หรือ Collective Wisdom ในวงไดอะล็อคนั่นเอง
( ปรับปรุงจากบทความ วารสารกายใจ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เมื่อ ส.ค.55)