3 เคล็ดลับ ที่จะทำให้คุณรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

lifelearning

การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่า และให้ประโยชน์แก่ผู้เรียนมากมาย เช่น ทำให้เป็นคนเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น ทันคนขึ้น ทำอะไรได้หลายอย่างมากขึ้น ทำให้การดำเนินชีวิตดีขึ้นและง่ายขึ้น เป็นต้น ทว่า หากพูดถึง “การเรียนรู้” คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการเรียนรู้ถูกจำกัดอยู่แต่ในสถานศึกษา และวัยที่เหมาะสมในการเรียนรู้ คือ วัยเด็กและวัยรุ่นเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ตลอดชีวิต เราสามารถแสวงหาความรู้ และพัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา การเรียนรู้ไม่มีรูปแบบตายตัว ปราศจากกฎเกณฑ์หรือข้อกำหนดเรื่องเวลาและสถานที่ กล่าวคือ คนเราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต

หากเปรียบชีวิตของคนเราเป็นดังต้นไม้ใหญ่ ปุ๋ยที่ดีที่สุดของคนเรา คือ การเรียนรู้ เพราะหากเราหยุดที่จะเรียนรู้ ชีวิตก็จะหยุดเติบโตเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ไร้ใบ คือ ไม่มีคุณค่า และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบริเวณนั้น ดังนั้น การเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงมีความสำคัญมาก และเราทุกคนควรที่จะตระหนัก ปลูกฝังจิตใจและนิสัยให้รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

บทความนี้จะเปิดเผย 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้คนเรามีแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ ทำมันอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ตลอดชีวิต

1.รู้เหตุผล และความสำคัญของการเรียนรู้

หากผู้เรียนเข้าใจถึงประโยชน์และความสำคัญของการเรียนรู้แล้ว ย่อมจะทำให้เกิดแรงจูงใจและทำให้การเรียนรู้เป็นไปได้ง่ายขึ้น การเรียนรู้มีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยให้คุณพัฒนาตนเอง ทำให้คุณมีความคิดใหม่ๆ และสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับสิ่งนี้สูงสุด

การเรียนรู้ คือ กระบวนการเพิ่มพูนและพัฒนาความรู้ความสามารถ ความคิด สติปัญญา ทักษะ ประสบการณ์ รวมถึงพฤติกรรมของผู้เรียนให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้จากการเห็น การฟัง การอ่าน จากข้อผิดพลาดของตนเองและผู้อื่น เป็นต้น

บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของการเรียนรู้ไว้ ดังนี้

  • อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “การพัฒนาทางสติปัญญาควรจะเริ่มเมื่อแรกเกิด และจะหยุดเมื่อชีวิตสิ้นสุดเท่านั้น”
  • เฮนรี่ ฟอร์ด กล่าวว่า “ใครก็ตามที่หยุดเรียนรู้ เขาจะกลายเป็นคนแก่ชรา ไม่ว่าเขาจะมีอายุ 20 หรือ 80 ปี แต่หากผู้ใดยังมีใจใฝ่เรียนรู้ เขาจะยังคงเป็นหนุ่มสาวเสมอ”
  • เอิร์ล ไนติงเกล กล่าวว่า “เมื่อคุณหยุดที่จะเรียนรู้ คุณก็เหมือนคนที่ตายแล้ว เพราะคุณจะเหลือเพียงร่างกายอันโดดเดี่ยวและเหี่ยวแห้ง”
  • อับราฮัม ลินคอร์น กล่าวว่า “สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ทั้งหมด มาจากการอ่านหนังสือ”
  • จอห์น อดัมส์ กล่าวว่า “ฉันจดจ่อกับการอ่านหนังสือ และอ่านไม่เคยพอ ยิ่งคนเราอ่านมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องอ่านมากเท่านั้น”

นอกจากนี้ ยังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่านให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น โทมัส เจฟเฟอร์สัน แอนดรู คาร์เนกี นโปเลียน ฮิลล์ วินสตัน เชอร์ชิล บรูซ ลี มหาตมะ คานธี เลโอนาร์โด ดาวินซี ขงจื๊อ โสกราตีส เป็นต้น

2. ค่อยๆสร้างอุปนิสัย รักการเรียนรู้

 “จงใช้ชีวิตราวกับว่าคุณกำลังจะตายในวันพรุ่งนี้ จงเรียนรู้ราวกับว่าคุณจะมีชีวิตอยู่เป็นนิรันดร์”

มหาตมะ คานธี

ผู้ที่รักการเรียนรู้จะตระหนักว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็น พวกเขารู้ว่ายังมีสิ่งที่รอคอยให้พวกเขาค้นพบอีกมาก ดังนั้นพวกเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ พวกเขาจะตัดสิ่งที่รบกวนสมาธิและขัดขวางการเรียนรู้ออกไป เช่น โทรทัศน์ วิทยุ เกมส์คอมพิวเตอร์ และสื่อออนไลน์ นอกจากนี้ พวกเขามักรับฟังข่าวสาร หรืออ่านหนังสือระหว่างที่เดินทาง

หากคุณต้องการสร้างอุปนิสัยการเรียนรู้ คุณไม่จำเป็นต้องทำมันอย่างสุดโต่ง เพราะสิ่งนั้นจะทำให้คุณเกิดอคติและมองโลกในแง่ร้ายว่า คุณจะต้องใช้ชีวิตทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือ ให้คุณค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรมทีละเล็กทีละน้อย เช่น คุณอาจเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆโดยการอ่านหนังสือวันละ 1 ชั่วโมง และเมื่อคุณทำมันอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นนิสัย เท่ากับว่าตลอดทั้งปีคุณจะมีเวลาในการอ่านหนังสือมากถึง 365 ชั่วโมง และสุดท้ายคุณจะพบว่าตัวเองมีความรู้มากขึ้น และทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

3. อยู่ในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้

ผู้ที่ชอบการเรียนรู้จะพยายามค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆมากมาย เช่น การอ่านหนังสือ การเข้าเรียนในหลักสูตร การเข้าร่วมอบรมสัมมนา การทำกิจกรรมหรือสร้างเครือข่าย การค้นคว้าทางอินเตอร์เน็ต การสอบถามหรือแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ เป็นต้น

การรู้จักและสานสัมพันธ์กับเพื่อนที่เข้าใจและเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ก็สามารถช่วยให้คุณเรียนรู้สิ่งต่างๆได้มากขึ้น คุณอาจจะบอกเพื่อนและครอบครัวว่าคุณวางแผนที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆอย่างไร และให้พวกเขาช่วยย้ำเตือนให้คุณรับผิดชอบต่อความตั้งใจจริงของคุณ เพราะพวกเขาเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นและสนับสนุนให้คุณเกิดแรงจูงใจและมีความแน่วแน่ต่อเป้าหมายในการเรียนรู้

วิธีการนี้เป็นการสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ชอบการเรียนรู้ด้วยตัวเองและรักการเรียนรู้ตลอดชีวิตมักทำมันอย่างต่อเนื่อง เพราะมันช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีความมั่นใจ และประสบความสำเร็จในที่สุด

เชื่อว่า หากคุณปฏิบัติตามเคล็ดลับทั้ง 3 ข้อนี้ คุณจะกลายเป็นคนที่รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

และนั่นก็จะการันตีได้ว่า ไม่ว่าโลกจะหมุนเร็วแค่ไหน มีการเปลี่ยนแปลงอะไร คุณก็จะสามารถรับมือกับมันได้ ไม่เป็นคนตกยุคอย่างแน่นอน

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.lifehack.org/287498/3-things-life-long-learners-differently-make-them-learn-unremittingly

 

 

เผย 5 เทคนิค สร้างสุข ในที่ทำงาน

happyatwork

ไม่มีใคร ที่ไม่ปรารถนาความสุข แต่คนส่วนใหญ่ กลับไม่เคยรู้วิธีสร้างความสุข ให้เกิดขึ้นได้เลย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น หรือเพราะเรา กำลังเข้าใจอะไรผิดๆ เกี่ยวกับความสุขอยู่ อยากสุข แต่กลับสร้างเหตุแห่งความทุกข์ แล้วเมื่อไหร่จะได้พบกับความสุขอย่างที่หวังไว้

คนเราฉลาดที่จะเข้าใจคนอื่นได้หมด แต่พอเป็นเรื่องของตัวเอง กลับไม่เคยเข้าใจมันได้เลย มีตัวอย่างที่แสดงเห็น ได้อย่างชัดเจนเรื่องหนึ่ง ก็คือ สมมติเราอยากให้ตัวเองมีความสุข แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เลยพยายามขยันทำงาน  เพื่อให้ได้เงินมามากๆ เพราะคิดว่า เมื่อมีเงินมากแล้ว จะมีความสุข แต่สุดท้าย กลับต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะร่างกายไม่ไหว พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดเป็นทุกข์ขึ้นมาอีก นี่ไงครับ ที่บอกว่า คนเราไม่เข้าใจตัวเอง คิดว่าทำแล้วจะมีความสุข แต่สุดท้ายกลับทุกข์เสียนี่

อย่าเพิ่งสิ้นหวังกับการสร้างความสุข ที่ยังหาไม่เจอเลยครับ บางครั้งมันอาจอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เรามาดู 5 เทคนิคสร้างความสุขง่ายๆ ในที่ทำงานกันครับ

1.พอเพียง

พอดี พอมี พอกิน แค่นี้ ก็เพียงพอต่อการดำเนินชีวิตของเราแล้วครับ ไม่ต้องมีเงินมาก แค่อย่าให้ขาดก็เป็นพอ หากตอนนี้ เงินในกระเป๋า ยังไม่ทำให้ท่านรู้สึกมีความสุข ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า ท่านตั้งเป้าหมาย ให้กับความสุขในชีวิต สูงเกินไปหรือเปล่า คิดว่าต้องมีเงินเท่านั้นเท่านี้ ถึงจะมีความสุข

ถ้าท่านคิดแบบนี้ ความสุขถึงได้ดูเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป อย่าไปเปรียบเทียบ กับเพื่อนร่วมงานที่มีต้นทุนมากกว่าเราครับ ให้ลองมองดูคนที่มีโอกาสน้อยกว่าเราจะดีกว่า เพราะท่านจะเห็นว่า สิ่งที่ท่านมีอยู่นี้ มันดีมากที่สุดแล้ว อยากให้ลองถามตัวเองดูว่า ที่ท่านทุกข์อยู่นี้ เป็นเพราะว่า ”ไม่มี” หรือว่า “ไม่พอ” กันแน่ครับ

2.แบ่งปัน

การเป็นผู้รับ ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่การได้เป็นผู้ให้ ถือว่าเป็นความสุข อย่างที่สุดครับ การที่เราจะเป็นผู้ให้ หรือแบ่งปันให้กับคนอื่นได้นั้น เราจำเป็นต้องมีเหลือก่อน เหลือในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า เหลือกิน เหลือใช้นะครับ แต่คือ “เหลือใจ” ที่จะมาเห็นใจผู้อื่น ถ้าท่านไม่เหลือใจแล้ว ต่อให้มีเงินทองมากมายขนาดไหน ท่านก็ว่า ท่านมีไม่พอ ที่จะแบ่งให้คนอื่นอยู่ดี

การแบ่งปัน ไม่จำเป็นต้องรอให้เรามีมากก่อน ถึงจะแบ่งปันได้นะครับ ไม่มีเงิน ก็ใช้แรง ไม่มีแรง ก็ใช้ใจได้ครับ ใช้ใจในการแบ่งปันแนวคิดดีๆให้กับเพื่อนร่วมงาน เพื่อเป็นกำลังใจให้เขา ได้ผ่านพ้นอุปสรรคในชีวิตไปได้ นี่ถือว่า เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วครับ ดังนั้น การให้ จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียง ทรัพย์สิน หรือเงินทองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แล้วท่าน พร้อมที่จะให้ ได้บ้างหรือยังครับ

3.ใส่ใจ

เมื่อเราอยากมีความสุข แต่คนรอบๆข้างของเรา มีแต่คนที่ทุกข์ แล้วอย่างนี้ มันจะทำให้เราสุข ไปได้อย่างไร ดังนั้น ขอให้ใส่ใจผู้คนรอบข้างที่ทำงานร่วมกัน ให้เวลาในการรับฟังเรื่องราวของเพื่อนร่วมงานบ้าง แชร์สุขทุกข์ซึ่งกันและกัน ย่อมจะทำให้เกิดมิตรภาพที่ดี เมื่อเค้าสบายใจขึ้นแล้วความสุขที่เกิดขึ้นนั้น มันจะส่งผลมายังเราเอง อีกอย่าง จะทำให้ท่านเป็นคนที่มีคนรัก มากที่สุดคนหนึ่งอีกด้วย อย่าหลงลืมคนรอบข้างของท่านนะครับ สุขก็สุขไปด้วยกัน เพราะเวลาทุกข์ จะได้มีคน ช่วยกันดูแล

นอกจากใส่ใจคนแล้ว การใส่ใจงานก็สำคัญ แต่อย่าตกหลุมพรางใส่ใจเฉพาะงานของตัวเอง ขอให้ใส่ใจงานในภาพรวมของบริษัท งานบางอย่างไม่ใช่ความรับผิดชอบของเราโดยตรง แต่การช่วยเหลือของเราจะทำให้เกิดผลลัพธ์ความสำเร็จต่อองค์กรได้ แบบนี้ควรใส่ใจมากกว่างานเฉพาะหน้าของตนเองเสียอีก ทำได้แบบนี้ก็แสดงว่าเราเป็นคนที่มีคุณค่าต่อองค์กรอย่างมากครับ

4.ไม่สร้างศัตรู

เมื่อมีคนเกลียดเรา ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ดีเหล่านั้น มันจะส่งผลมาถึงเราได้ ทำให้เราไม่มีความสุข และจิตใจเราเศร้าหมอง ไม่สดใส ทำอะไรก็มีอุปสรรคไปหมด ผิดกับคนที่มีแต่คนรัก เขาเหล่านั้น จะดูสดใสร่าเริงอยู่ตลอด ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะมีแต่คนอยากช่วยเหลือ เห็นแล้วใช่ไหมครับว่า สร้างมิตร ดีกว่าสร้างศัตรู

ยิ่งในสังคมการทำงาน เราต้องเจอกันไม่ต่ำกว่าวันละ 8 ชั่วโมง หากเรามีศัตรูสักคน ต้องเดินเฉียดกันไปมา ย่อมทำให้เรารู้สึกอึดอัด การทำงานก็ไม่ราบรื่น คนที่ฉลาด จะไม่สร้างศัตรู เพราะเขาไม่เห็นประโยชน์ที่ได้ จากศัตรูที่สร้างขึ้นมาเลย ในเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าจะให้เรายอมคนไปเสียหมด แต่ในทางตรงข้าม อยากให้เราฝึกวางใจเป็นกลาง และกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง มีเรื่องอะไรในใจ ก็เริ่มมองตัวเองว่าให้อภัยเค้าได้มั้ย แล้วถ้ามีโอกาสก็เปิดใจคุยกัน เพื่อไม่ให้ความร้าวฉานนั้นลุกลาม

5.ขยันให้ถูกเวลา

ความขยัน เป็นสิ่งที่ดี และนำมาซึ่งความสำเร็จ แต่ขอให้ขยัน ให้ถูกเวลาด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นแล้ว ท่านจะกลายเป็นคนขยัน ที่ไม่มีความสุขเลย หลายท่านทำงานแบบถวายหัว ไม่เสร็จไม่กลับบ้าน เพราะคิดว่า รักษาผลประโยชน์ ให้กับบริษัทเต็มที่ ทำงานจนดึกดื่นเที่ยงคืน เช้าก็รีบกระวีกระวาดมาทำงาน เพื่อหวังว่าจะได้ก้าวหน้าในการงาน

แต่หากท่านทำงานจนป่วยหนัก อาจถึงวันที่บริษัทเลิกจ้างท่านขึ้นมา ท่านก็จะเห็นว่า แม้ไม่มีท่าน บริษัทก็ยังเจริญเติบโตต่อไปได้ เค้าหาคนมาทำหน้าที่แทนท่านได้เสมอ ท่านไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ดังนั้น เราสามารถทุ่มเทให้กับงานที่ทำได้ ขยันให้เต็มที่กับเวลาที่เหมาะที่ควร พอถึงเวลากลับบ้าน ก็ทิ้งงานไว้ ไปใช้เวลามีความสุขกับครอบครัวดีกว่าครับ

อย่าเพียงคิดแต่ว่า รีบทำงานให้เสร็จรีบเลิกงาน เพื่อกลับไปมีความสุขที่บ้านอย่างเดียว ถ้าคิดแบบนี้ วันๆก็คงอยู่แต่กับตัวเอง ไม่สนใจคนอื่น หากต้องทนทุกข์กว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อจะไปมีความสุขแค่ช่วงค่ำๆที่บ้าน คงไม่ดีแน่ ดังนั้นโจทย์ของเราก็คือ ทำอย่างไรเจะสามารถมีความสุขในช่วงเวลาของการทำงานด้วย ดังนั้น 5 เทคนิค สร้างสุขในที่ทำงาน ที่ให้ในบทความนี้ หากเรานำไปปรับใช้ ก็จะช่วยให้ใจของเราเบาสบาย ทำงานอย่างมีความสุข มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนรอบตัว และมีชีวิตการทำงานที่ก้าวหน้าในไปพร้อมๆกัน

8 ประโยคโดนใจ พูดเมื่อไหร่ได้งานเมื่อนั้น

bestinterview

ทุกคนล้วนแต่อยากทำงานที่ใช่ งานที่ใฝ่ฝัน หรือทำงานในบริษัทชั้นนำ แต่กว่าที่คุณจะประสบความสำเร็จในการสมัครงาน และได้รับการว่าจ้างอย่างสมบูรณ์ คุณต้องผ่านกระบวนการสรรหาคัดเลือกที่ใช้เวลายาวนาน เริ่มตั้งแต่ ขั้นตอนการกรอกใบสมัคร ไปจนถึงการสอบสัมภาษณ์

อย่างไรก็ตาม หลายคนยังคงไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการสัมภาษณ์งาน และไม่ใส่ใจกับขั้นตอนนี้มากนัก ซึ่งเป็นสาเหตุให้คุณพลาดโอกาสได้งานไปอย่างน่าเสียดาย แต่เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบลง การสัมภาษณ์งานของคุณจะเปลี่ยนไป เพราะคุณจะมั่นใจ และมีความพร้อมมากยิ่งขึ้น บทความนี้แนะนำคำถามปิดท้าย 8 ประโยคที่จะทำให้คุณสามารถพิชิตใจกรรมการสัมภาษณ์ได้ไม่ยาก

1.กระบวนการหรือขั้นตอนถัดไป คืออะไร

หากการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง และกรรมการเอ่ยถามว่าคุณต้องการถามคำถามอะไรอีกไหม คุณควรคว้าโอกาสนั้นไว้ คุณไม่ควรเดินออกจากห้องสัมภาษณ์โดยไม่ถามอะไรเลย เพราะนั่นแสดงว่าคุณไม่สนใจว่าจะได้ทำงานนี้หรือไม่ คุณควรตั้งคำถามเพื่อแสดงให้กรรมการเห็นว่า คุณกระตือรือร้นที่จะทราบผลการสัมภาษณ์ และอยากที่จะเข้าสู่กระบวนการสรรหาว่าจ้างถัดไป

คุณอาจจะลองถามกรรมการว่า ยังมีผู้สมัครที่ยังรอการสัมภาษณ์ในตำแหน่งเดียวกันอีกหรือไม่ หรือหากคุณเป็นผู้สมัครคนสุดท้ายที่ถูกสัมภาษณ์ คุณควรถามว่า เมื่อไหร่ที่คุณจะทราบผลการสัมภาษณ์ หรือเมื่อไหร่ที่กรรมการจะตัดสินใจเลือกผู้สมัครที่มีความเหมาะสม การถามคำถามเหล่านี้จะช่วยให้คุณเตรียมตัว เตรียมใจ และทราบถึงระยะเวลาในการรอผลสัมภาษณ์

2. เมื่อไหร่ที่จะทราบผลการสัมภาษณ์

การตั้งคำถามปิดท้ายเช่นนี้ เป็นการช่วยให้กรรมการรู้สึกว่าคุณสนใจและรอคอยที่จะทำงานร่วมกับพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ อีกทั้งยังเป็นการแสดงความพร้อม และการเตรียมตัวสำหรับกระบวนการถัดไปที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการย้ำเตือนกรรมการเกี่ยวกับวันเวลาในการตัดสินใจที่จะคัดเลือกผู้สมัครอีกด้วย

3. ยังมีอะไรที่อยากให้ฉันช่วยหรือทำอีกไหม

หากหัวข้อในการสัมภาษณ์เกี่ยวข้องกับเรื่องรายละเอียดงาน การพูดปิดท้ายด้วยประโยคแบบนี้ ทำให้กรรมการรู้สึกว่าคุณกำลังให้คำมั่นสัญญากับทีมและต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานของบริษัท นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า คุณมีน้ำใจ กระตือรือร้น และพร้อมที่จะเรียนรู้ลักษณะงานในอนาคต ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้คุณได้คะแนนเพิ่มจากกรรมการ

4. คุณมีความกังวลใจ หรือมีข้อสงสัยอื่นใดหรือไม่

ระหว่างการสัมภาษณ์ คุณคงอยากจะรู้ว่ากรรมการมีความสงสัยหรือกังวลใจในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณหรือไม่ และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความคลุมเครือซึ่งอาจส่งผลต่อกระบวนการสัมภาษณ์ของคุณ การตั้งคำถามเช่นนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้ชี้แจงและอธิบายสิ่งต่างๆให้กรรมการได้ฟังในทันที ซึ่งจะทำให้กรรมการรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่ซื่อตรงและมีความจริงใจในการเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น

5. ฉันมีคุณสมบัติและความเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่คุณกำลังมองหาบ้างหรือไม่

การถามคำถามเช่นนี้ ทำให้คุณทราบถึงทัศนคติและความคิดเห็นโดยรวมของกรรมการที่มีต่อตัวคุณ เพราะพวกเขาจะแสดงความสนอกสนใจและความพึงพอในประวัติการศึกษา ภูมิหลัง ทักษะความสามารถ และประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณ ผ่านการตอบคำถามนี้ และบางทีคุณอาจจะทราบแนวโน้มของผลการสัมภาษณ์ครั้งนี้ก็ได้

6. ไม่ทราบว่า ใครเคยดำรงตำแหน่งนี้มาก่อน

หากคุณสอบถามถึงบุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งนี้มาก่อน จะทำให้กรรมการรู้สึกว่าคุณเป็นคนละเอียดรอบคอบ เพราะคุณสนใจเหตุผลที่บริษัทว่าจ้างคุณ นอกจากนี้ ขณะที่กรรมการกำลังอธิบายที่มาที่ไปของการสรรหาคัดเลือกครั้งนี้ คุณจะได้ทราบถึงรายละเอียดเพิ่มเติมของตำแหน่งงาน บทบาทหน้าที่ รวมทั้งความรับผิดชอบที่คุณต้องทำในบริษัทอีกด้วย

7. คุณคิดว่าวัฒนธรรมในองค์กรของคุณเป็นอย่างไร

คุณควรตั้งคำถามนี้ หากคุณต้องการทราบและทำความเข้าใจกับสิ่งที่บริษัทคาดหวังต่อพนักงานและตัวคุณ ในระหว่างที่กรรมการบรรยายถึงวัฒนธรรมของบริษัท คุณจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมในการพิจารณาว่าตัวคุณเองมีคุณสมบัติที่ตรงและเหมาะสมกับตำแหน่งงาน และองค์กรหรือไม่ นอกจากนี้ คำถามดังกล่าวยังช่วยให้คุณมองเห็นภาพจำลองการเป็นพนักงานในบริษัท และเป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับงานในอนาคตของคุณอีกด้วย

8. ทักษะอะไรที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานนี้ และมันมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนองค์กรอย่างไร

ทักษะเป็นเรื่องที่กรรมการสัมภาษณ์ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง จึงไม่น่าแปลกใจว่าระหว่างการสัมภาษณ์กรรมการจะพยายามค้นหาทักษะที่จำเป็นในตัวผู้สมัครแต่ละคน พนักงานที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่แตกต่างกันจะมีทักษะต่างกัน เช่น นักบัญชีมีทักษะในการคิดคำนวณ และมีความละเอียดรอบคอบ เลขานุการมีทักษะในการจัดการและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เป็นต้น

ดังนั้น การตั้งคำถามเช่นนี้ จะทำให้คุณสามารถประเมินตนเองได้ว่าตนเป็นคนที่ใช่และเหมาะสมกับตำแหน่งนี้หรือไม่ และหากคุณอยากได้คะแนนเพิ่มจากกรรมการ ให้คุณลองเล่าประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถหรือทักษะดังกล่าว แล้วคุณก็จะกลายเป็นคนที่กรรมการตามหา หรือสามารถพิชิตใจกรรมการได้นั่นเอง

เชื่อว่า หากคุณนำ 8 ประโยคเหล่านี้ไปใช้ในการสัมภาษณ์งาน การหางานจะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และคุณคงจะได้รับข่าวดีในไม่ช้า

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.lifehack.org/285407/8-things-outstanding-interviewees-say-the-end-interview

 

เคล็ดลับการทำงาน Office ให้มีความสุข

เคล็ดลับการทำงานออฟฟิตให้มีความสุข

เมื่อพูดถึงงานประจำ ส่วนใหญ่จะหมายถึง การทำงาน Office เกือบจะทั้งนั้น ซึ่งลักษณะงานเหล่านี้ ต้องนั่งโต๊ะทำงานที่อยู่ติดๆกัน มีแผนกต่างๆ นั่งรวมกันอยู่ และจะต้องพบเจอผู้คนมากมาย ที่มีนิสัยแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น แผนกขาเม้าท์ (จับกลุ่มนินทา) แผนกเฝ้าหน้าจอ (แอบดู YouTube) แผนกรอดูผล (ฟ้องหัวหน้า) หรือแผนกคนคอยเตือน (เก็บค่าแชร์) และอื่นๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่คนทำงาน Office จะต้องพบเจอมา ไม่มากก็น้อย

แล้วเรา จะบริหารจัดการการทำงาน การใช้ชีวิต เพื่อให้อยู่รอดในสถานที่แบบนี้ได้อย่างไร เราอาจต้องใช้ความสามารถขั้นสูงสุดเข้าสู้ ไม่อย่างนั้นแล้ว เราจะแพ้ภัยตัวเอง ทำงานผ่านไปแต่ละวัน มีแต่ความทุกข์ ไม่พบเจอกับความสุขเลย จำเป็นต้องลาออก หางานใหม่ไปเรื่อยๆ เพียงเพราะ รับกับสภาพสังคมแบบนี้ไม่ได้ แล้วจะมีวิธีไหน ที่จะทำให้เราไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะแบบนี้ได้บ้าง เราลองมาเรียนรู้ร่วมกันเลย

พูดให้น้อย ทำงานให้มาก

การทำงาน Office เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบปะผู้คนจำนวนมาก และเมื่อเจอกันแล้ว ก็ต้องมีเรื่องที่นำมาพูดคุยกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองทั้งสิ้น ยิ่งคุย ยิ่งไม่จบ มีเรื่องให้คุยกันได้ทั้งวัน ทำให้เราไม่มีเวลาทำงานที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเต็มที่ และเมื่อถึงกำหนดเวลาส่งงาน งานชิ้นนั้นก็เสียหาย เพราะทำแบบ ลวกๆ ไม่ตั้งใจ ผลงานก็ออกมาไม่ดี ส่งผลให้การประเมินผลงานของเรา ออกมาไม่ดีตามไปด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว ต้องฝึกพูดให้น้อยลง จะได้มีเวลาทำงานมากขึ้น ตัวงานที่รับผิดชอบ ก็จะได้ออกมามีคุณภาพมากที่สุด

ไม่จับกลุ่มนินทา

ร้อยทั้งร้อย เมื่อเห็นกลุ่มคนที่ทำงาน Office นั่งรวมตัวกัน จะต้องกำลังนินทาใครสักคนอยู่เป็นแน่ ซึ่งขอเตือนไว้เลยว่า อย่าทำแบบนี้เลย เพราะคุณต้องคิดเสมอว่า ถ้าคนอื่นโดน ตัวคุณก็มีสิทธิ์โดนเป็นรายต่อไป ไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีใครอยากโดนนินทาด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งถ้ามารู้ที่หลังว่ากลุ่มนั้นกำลังนินทาเรื่องเราอยู่ ก็อาจจะทำให้มองหนากันไม่ติดอีกเลย การทำงานก็จะมีปัญหาตามมา เพราะฉะนั้น ถ้าเจอวงนินทา รีบกันตัวเองออกมา เป็นดีที่สุดครับ

ไม่แบ่งฝักฝ่าย

ในที่ทำงาน อย่าก่อสงคราม โดยการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันเลยครับ ไม่อย่างนั้น เราจะต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง ก็คงต้องเสียเพื่อนอีกกลุ่มไป ถ้าคุณคิดได้แบบนี้แล้ว การทำงาน Office ก็จะเหมือนมีอิสระ ปราศจากข้อจำกัดใดๆ เพราะคุณสามารถเข้าไปคุยได้กับทุกฝ่าย ทุกแผนก และอาจจะทำให้คุณเป็นที่รักของทุกๆคนได้อีกด้วย เมื่อเวลาต้องการความช่วยเหลือ ก็จะมีแต่คนอยากหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คุณ เห็นถึงประโยชน์ ของการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีหรือยังครับ มีคนรัก ดีกว่ามีคนเกลียดนะครับ

อ่อนน้อมกับผู้ใหญ่

บางคนอาจจะมองว่า แค่ทำงานเก่งอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว มองที่คุณภาพงานอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมให้ใคร แต่อย่าลืมนะครับ สังคมไทยเรา การเคารพผู้ใหญ่ ยังเป็นธรรมเนียมที่นับถือกันอยู่ คนรุ่นใหม่ที่เรียนจบสูงๆและจบจากต่างประเทศ อาจจะนึกว่าตัวเองเก่งอยู่แล้ว พอมาทำงาน Office เลยไม่สนใจใคร ทำแต่ในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดี คิดว่าถูก จนบางครั้งข้ามหัวผู้ใหญ่ในที่ทำงาน ไปเลยก็ยังมี เคยได้ยินคำกล่าวนี้มั้ยครับ “ถ้าอยากไปเร็ว ให้ไปคนเดียว แต่ถ้าอยากไปไกล ให้ไปเป็นทีม” ดังนั้นมารยาทในสังคมไทยเรา การอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่ดี ไม่ว่าเค้าจะเป็นหัวหน้าหรือลูกน้องเราก็ตาม ควรที่เราจะให้เกียรติเค้ามากๆ แล้วเราจะเรียนรู้จากเค้าได้มากเลยทีเดียว

ไม่เสี่ยง ในเรื่องเงิน

เรื่องเงิน ไม่เข้าใครออกใคร ทำให้เสียเพื่อนกันมานักต่อนักแล้ว ถ้าคุณมีเพื่อนที่ทำงาน Office เดียวกัน มาขอยืมเงิน ไม่จำเป็น อย่าให้ยืมเด็ดขาดนะครับ ให้ปฏิเสธไปเลย บอกว่าคุณก็จำเป็นต้องใช้ เพราะถ้าให้ยืมไปแล้ว คุณจะทำงานแบบไม่มีความสุขอีกเลย ถ้ายืมแล้วคืน ตามที่ตกลงกันไว้ ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว จะไม่ค่อยได้คืน หรือกว่าจะทวงคืนได้มา ก็เลือดตาแทบกระเด็น กลายเป็นเรารู้สึกผิดไปอีกทีทวง และหลังจากนั้น อาจจะมองหน้ากันไม่ติดไปเลยก็มี

นอกจากเรื่องยืมเงินแล้ว ก็เรื่องการเบิกเงินหรือจ่ายเงินทั้งหมด ควรจะต้องตรวจสอบให้รอบคอบและมีหลักฐานในการรับเงินจ่ายเงินทุกครั้ง อย่าได้ไว้ใจเพราะเห็นว่าสนิทกัน เพราะถ้าเกิดผิดพลาดไป ต้องถูกตรวจสอบทีหลัง จะโทษใครก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเองคนเดียว แล้วก็ต้องรับผิดชอบจ่ายเงินที่ไม่สมควรเสียด้วยนะครับ

ไม่เหยียบหัวคนอื่น

ข้อนี้สำคัญมาก อย่าทำให้งานคนอื่นแย่ลง เพียงเพราะจะทำให้งานเราดูดีขึ้น สังคมคนทำงาน Office มีเรื่องแบบนี้ให้เห็นอยู่บ่อยๆ ถ้าใครผิดพลาดแล้ว เตรียมรอโดนซ้ำได้เลย ซึ่งถ้าเราจะได้ดีแล้ว ให้ดึงเพื่อนรอบๆตัวเรา ให้ได้ดีตามเราไปด้วยจะดีกว่าครับ เพราะชีวิตเรา ไม่ได้มีแต่เรื่องงานนะครับ เลิกงานแล้ว ก็ยังต้องใช้ชีวิตต่อไปอีก สร้างมิตรที่ดีไว้ ดีกว่าครับ

แม้ว่าบางที การทำงาน Office อาจเป็นสังคมแห่งการแข่งขัน แต่ก็เป็นการแข่งขันไปในทางที่ดี คงไม่ถึงขนาดว่าเป็นสังคมแห่งการเอารัดเอาเปรียบ ขอเพียงเราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และเคารพให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน เหมือนที่อยากให้เค้าทำกับเรา หากมีใครมาทำอะไรกระทบกระทั่งเราบ้าง พยายามมองข้าม หรือทำทุกอย่าง ให้เป็นเรื่องตลก หรือขำๆไป เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้เราทำงานได้อย่างมีความสุขที่สุดแล้วครับ

บทความโดย Learning Hub Thailand

4 วิถี สู่ความร่ำรวยที่แท้จริง

“ความรวย”  เป็นความใฝ่ฝันของผู้คนทั่วไป ซึ่งเริ่มจาก การได้ทำงานดีๆ มีเงินเดือนสูงๆ หรือมีธุรกิจของตนเอง จะได้มีเงินเยอะๆ เมื่อรวยแล้ว ชีวิตจะได้สบาย

แต่ว่า “คนรวยที่แท้จริง” ต้องมีเงินเท่าไหร่กัน ?

ในยุคปัจจุบัน “ความร่ำรวยที่แท้จริง” ไม่ได้วัดจาก “จำนวนเงินที่มี” แต่วัดจาก “อิสรภาพ” ที่ได้รับต่างหาก

ความรวย ที่คุณเข้าใจ “ยิ่งมีเงินมาก ก็จะยิ่งมีความสุขมาก” ใช่มั้ย ?

ในอดีต ความร่ำรวยอาจหมายถึง ผู้ที่ครอบครองเงิน หรือวัตถุที่มีค่าเป็นจำนวนมาก ความร่ำรวยของแต่ละคนวัดได้จาก การมีรถราคาแพงหรือไม่ มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน ได้ไปเที่ยวทริปหรูได้บ่อยเท่าใด การได้ครอบครองแบรนด์ชั้นนำและวัตถุหายาก มันสะท้อนถึงความร่ำรวยของคุณ แนวคิดแบบนี้ทำให้ผู้คนพยายาม ดิ้นรนไขว่คว้า สะสมครอบครอง เพื่อให้มีมากที่สุด

จนบางคนอาจไม่คำนึงถึง “วิธีการที่ได้มา”

มองเพียงแค่ “มูลค่าของสิ่งที่ครอบครอง”

แต่มันจะสร้างความสุขให้กับพวกเขาจริงๆหรือ ?

แน่นอนว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญและขาดไม่ได้ในโลกปัจจุบัน แต่หากลองพิจารณาดู เงินเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการมีชีวิตรอดของคนกลุ่มแรงงานที่มีรายได้น้อยเท่านั้น

ส่วนคนที่ “พอมีอันจะกิน” ซึ่งเป็นประชากรที่มีการศึกษา เงินถูกใช้เพื่อสร้างความสนุกสนาน ความสะดวกสบาย ที่อาจเกินความจำเป็น เช่น การแสดงความหรูหราเพื่อเข้าสังคมและเรียกร้องการยอมรับจากผู้อื่น ใช่หรือไม่

เปรียบเทียบให้ภาพเห็นตัวอย่างง่ายๆ หากในวัยเริ่มทำงาน คุณสามารถเก็บเงินจนซื้อรถคันแรกได้ นั่นย่อมสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมากให้กับชีวิต เพราะคุณไม่ต้องไปยืนเบียดร้อนบนรถเมล์ ไม่ต้องดมควันกลางถนนบนมอเตอร์ไซด์ และสามารถขับรถของคุณเองไปได้ในทุกที่ๆต้องการ  ไปทำงาน ไปเจอเพื่อน ไปปาร์ตี้ยามค่ำคืนโดยไม่ต้องกลัวอันตราย แบบนี้ย่อมสร้างความสุขให้คุณอย่างมาก

เมื่อได้เลื่อนตำแหน่ง คุณจึงซื้อ รถคันที่ 2 ที่หรูกว่าเดิม ลองเปรียบเทียบความสุขตอนที่ได้รถคันใหม่นี้ เทียบกับตอนมีรถคันแรก อย่างไหนมีมากกว่ากัน

และหากซื้อ รถคันที่ 3 ตอนมีลูก ก็คงแทบไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรแล้ว

รถคันที่ 4 ที่ซื้อมา คงต้องเริ่มคิดว่าจะหาที่จอดที่ไหน

ส่วนรถคันที่ 5  อาจทำให้ต้องจ้างคนมาล้างรถเพิ่มอีกคน

 

ลองพิจารณาว่าที่ผ่านมา คุณมีที่สิ่งที่ซื้อมาได้ใช้เพียงแค่หนเดียวแล้วก็เก็บ มากแค่ไหน ?

คุณมีสิ่งที่ซื้อมาเป็นปีแล้ว ยังไม่เคยแกะห่อออกมาใช้เลย บ้างหรือไม่ ?

คุณได้ออกไปหาซื้อของ แล้วมาพบทีหลังว่าคุณมีสิ่งนั้นอยู่แล้ว บ่อยแค่ไหน ?

คุณต้องทิ้งของกินดีๆที่หมดอายุ เพราะคุณซื้อไว้แล้วหลงลืมหรือกินไม่หมด ไปเยอะมั้ย ?

ทุกครั้งที่ซื้อของชิ้นใหม่ คุณมีความสุขอยู่กับมันได้นานเพียงใด ?

หากทุกคนใช้ชีวิตแบบนี้ ยิ่งผลิตมากทรัพยากรธรรมชาติจะยิ่งร่อยหรอ สิ่งของจะกองทับถม มลพิษจะเกินควบคุม ขยะจะล้นโลกดังนั้นการมีสิ่งของมากๆก็อาจลดความสุขของเราไปได้

จะเห็นได้ว่า หากเราอยู่ในกลุ่มคนที่พอมีอันจะกิน เงินและสิ่งของที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่ปัจจัยที่จะ “เพิ่มความสุข” ได้มากเท่าไหร่เลย

แล้วความสุขจริงๆอยู่ที่ไหนล่ะ

 


ความร่ำรวยที่แท้จริง “4 วิถี สู่อิสรภาพ”

คงถึงเวลาทบทวนแล้วว่า โลกนี้กำลังต้องการแนวคิดของ “ความร่ำรวย” ในรูปแบบใหม่หรือเปล่า คนที่มี “ความร่ำรวยที่แท้จริง” อาจดูได้จาก 4 วิถีการใช้ชีวิต ดังนี้

 

1. ความร่ำรวย ทางอารมณ์

คนรวยที่แท้จริง คือคนที่ “ไร้ความกังวลในเรื่องเงิน” เขาสามารถควบคุมอารมณ์ภายในให้สดใสเบิกบานได้ การที่เขามีอารมณ์ดีเป็นประจำ ก็จะทำให้พบแต่ประสบการณ์ดีๆในชีวิต

ไม่จำเป็นต้องรวยร้อยล้านพันล้าน ถึงจะปราศจากความกังวลในเรื่องเงิน ขอเพียงรู้จักบริหารเงินให้มีเหลือใช้ในทุกเดือน ไม่ยึดติดกับวัตถุภายนอกที่อาจสูญเสียไปเมื่อไหร่ก็ได้ รู้จักพึ่งพาตัวเองมากกว่าพึ่งพาคนอื่น

เมื่อมี “ความร่ำรวยทางอารมณ์” ก็จะไม่ขี้กลัว ไม่หงุดหงิดจิตตก ไม่ห่อเหี่ยวนานๆ จะมีความชัดเจนในชีวิต มีแรงบันดาลใจ มีความคิดสร้างสรรค์ มีพลังข้างในที่ผลักดันในตัวเองอยู่เสมอ และมีประสิทธิภาพในการทำงานให้สำเร็จได้อย่างสูง

 

2. ความร่ำรวย ด้านเวลา

เวลาคือสิ่งที่มี “ราคา” มากที่สุด เพราะชีวิตมีวันหมดอายุ จึงไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับเวลาที่หมดไปแต่ละปีๆ หากเราไม่ใช้ชีวิตที่เราเลือก เราก็กำลังผลาญเวลาในชีวิตของตัวเองลงไปเปล่าๆ

คนที่ร่ำรวยอย่างแท้จริง สามารถเลือกวิถีชีวิตที่สามารถเป็นผู้กำหนดตารางเวลาของตัวเองได้ ว่าจะตื่นกี่โมง ทำงานกี่โมง พักผ่อนเมื่อไหร่

ไม่ต้องให้คนอื่นเป็นผู้กำหนด ไม่ต้องตื่นเช้าฝ่ารถติดบนถนน ไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนเพื่อไปพักผ่อนในวันหยุดยาว

เมื่อมี “ความร่ำรวยด้านเวลา” ทำให้เค้าใช้เวลาอย่างคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นได้มากที่สุด

 

3. ความร่ำรวย ไม่จำกัดด้วยสถานที่

คนรวยที่แท้จริง สามารถจะอาศัยอยู่ที่ใดก็ได้ หรือเดินทางเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ ไม่จำเป็นจะต้องมีเงินมากมายที่จะใช้ในการเดินทางท่องเที่ยว แต่เป็นเพราะพวกเค้ามีเวลา มีพลังเหลือเฟือ จึงสามารถเลือกที่จะเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆได้

พวกเค้าเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง จึงสามารถทำงาน ใช้ชีวิตและพักผ่อนได้ทุกที่ และทุกเวลา

เมื่อมี “ความร่ำรวย ที่ไม่จำกัดด้วยสถานที่” ทำให้เค้าได้รู้จักออกไปใช้ชีวิต พบปะผู้คน ไม่ต้องทนอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ ได้มีโอกาสพบเห็นสิ่งแปลกใหม่ๆ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตอันหลากหลายในโลก เป็นอิสรภาพที่เค้ากำหนดได้ด้วยตัวเอง

 

4. ความร่ำรวย ในการให้

สุดยอดตัวชี้วัดของการเป็นคนรวยที่แท้จริงคือ “ความสามารถในการให้และแบ่งปัน” ไม่ว่าจะเป็นการให้เวลา ให้แรงงาน ให้เงิน หรือแบ่งปันความสุขที่มีแผ่กระจายไปสู่ผู้คนรอบๆตัว คนที่มั่งคั่งนั้นเป็นผู้เหลือเฟือที่จะให้ ไม่จำเป็นว่าเค้าต้องมีเงินมากมาย เพียงแต่ว่ามันมากพอที่จะแบ่งปันออกไปได้ แม้บางคนมีมากมายก็ยังไม่สามารถให้คนอื่นรได้ เพราะลึกๆแล้วในจิตใจ เค้ายังรู้สึกว่ามีไม่พอนั่นเอง

เมื่อมีความมั่งคั่งในการให้ ย่อมจะเติมเต็มคุณค่าและความหมายในชีวิต เค้าจะรู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งของตัวเองอย่างแท้จริง โดยที่ไม่ได้วัดจากจำนวนเงินที่มีหรือมูลค่าสิ่งของที่ครอบครองอย่างใดเลย

 

คนที่ร่ำรวยไม่ว่าจะมีเงินกี่ร้อยล้านพันล้าน ทั้งชีวิตของเขา อาจเข้าไม่ถึงความรู้สึกมั่งคั่งร่ำรวยเลยก็เป็นได้

เพราะความร่ำรวยที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องมีเงินมากมาย ก็สามารถเข้าถึงวิถีชีวิตทั้ง 4 มิตินี้ได้

เพียงแต่ต้องอาศัยการรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้

มีไลฟ์สไตล์ที่พอเพียง

มีทักษะที่หลากหลาย

และมีความกล้าคิด กล้าทำ นอกกรอบ

สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณเข้าถึงคำว่า “ความร่ำรวยที่แท้จริง”

และมันจะนำพามาซึ่งความสุข และความร่ำรวยเงินทองไปพร้อมๆกัน อย่างที่คุณนึกไม่ถึงทีเดียว

 แม้วันนี้เราอาจยังทำได้ไม่ครบทั้ง 4 ด้าน แต่ขอให้กำลังใจว่า

หากทำได้สักหนึ่งข้อ ส่วนที่เหลือจะทยอยเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เพราะการเดินไปถูกทิศและไม่หลงทาง ไม่ช้าไม่นานเราจะถึงปลายทางได้อย่างแน่นอน

แนวคิดจากหนังสือ  The New Meaning of Rich: Four Principles of Wealth That Will Change Your Life by Evan Tarver

เรียบเรียงโดย เรือรบ

ชีวิตสำเร็จได้ แค่เริ่มทำสิ่งที่ชอบ

24 03 2017

เคยมีคนกล่าวไว้ว่า “ให้พยายามค้นหาและทำสิ่งที่ชอบ แล้วรายได้จะตามมา เพราะถ้าคุณวิ่งไล่ล่าหาเงินตั้งแต่เริ่มต้น สุดท้ายคุณจะไม่มีวันค้นพบสิ่งที่ชอบ”

ในโลกทุนนิยม หลายคนทำงานหามรุ่งหามค่ำ โดยลืมนึกถึงความสุขของตนเอง พวกเขาทนทำงานที่ไม่ชอบ หรือเกลียด เพียงเพราะต้องการเงินมาซื้อความสุขฉาบฉวย… พวกเขากำลังดำเนินชีวิตผิดกระบวนการ เพราะวิธีที่ถูกต้องคือ “ให้ค้นหาสิ่งที่ชอบ ทำแล้วมีความสุข แล้วเงินจะตามมา”

มนุษย์ทุกคนล้วนมีบุคลิกเฉพาะตัว และมีสิ่งที่ชอบแตกต่างกัน เช่น บางคนชอบร้องเพลง ชอบพูด ชอบเล่นกีฬา ชอบคิดวิเคราะห์ ชอบเขียน ชอบวิจารณ์… คุณเริ่มรู้ตัวหรือยัง ว่าชอบทำอะไร? สิ่งใดที่ทำแล้วมีความสุข? หากคิดไม่ออก ให้ลองย้อนนึกดูว่า กิจกรรมอะไรที่คุณทำแล้วไม่รู้สึกเบื่อ?

หากคุณคิดออก… นั่นแสดงว่าคุณเจอสิ่งที่ชอบแล้วล่ะ! จากนั้นก็แค่ทุ่มเท ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ รับรองเลยว่า ผลลัพธ์ที่ตามมาจะสวยงามและยั่งยืน…

นั่นหมายความว่า คุณจำเป็นต้องรู้จักตัวเอง ค้นหาสิ่งที่คุณชอบให้เจอ เพื่อที่คุณจะได้อยู่กับมันอย่างมีความสุข และได้ในสิ่งที่คุณต้องการ… บทความนี้จะอธิบายเพิ่มเติม ถึง “5 เหตุผล” ที่คุณควรหาสิ่งที่ชอบให้เจอ โดยเร็วที่สุด…

 

1. คุณจะรู้สึกดีและมีความสุข

 

การได้ทำในสิ่งที่รัก คือการมอบหัวใจและจิตวิญญาณลงไปในชิ้นงาน เมื่อคุณได้ลงมือทำสิ่งนั้น คุณจะรู้สึกดี สบายใจ มองโลกสดใส และแน่นอนว่า ผลงานจะออกมาดี ผลลัพธ์นี้จะทำให้คุณรู้สึกภูมิใจในตัวเอง… ในทางตรงกันข้าม หากคุณทำในสิ่งที่ไม่ชอบ คุณจะเครียด กดดัน รู้สึกต่อต้าน ฝืนใจตนเอง สุดท้ายก็ไม่สามารถทำงานออกมาให้ดีได้…

 

2. คุณจะก้าวเข้าใกล้ความสำเร็จ โดยไม่เหนื่อย

การได้ทำในสิ่งที่รัก จะทำให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น เพราะความรักเปรียบเสมือนพลัง และทำให้คุณมีแรงต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ หากเปรียบเทียบระหว่างการทำงานที่ชอบ กับการทำงานที่เกลียด คุณจะพบว่า ตนเองสามารถทำงานที่ชอบให้สำเร็จได้โดยง่าย และผลลัพธ์ก็ออกมาดีกว่า นั่นเป็นเพราะคุณมีความสุขที่ได้ทำ แม้จะเกิดปัญหา คุณก็ไม่รู้สึกเหนื่อยที่ต้องแก้ไข

แตกต่างกับการทำงานที่คุณเกลียด กว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง คุณต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และบ่อยครั้งก็แอบถอดใจนับครั้งไม่ถ้วน… ด้วยเหตุนี้ ความรักในงานจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้งานประสบความสำเร็จ อย่ารีรอที่จะลงมือทำในสิ่งที่คุณรัก เพราะมันจะช่วยสร้างฝันของคุณให้เป็นจริง!

 

3. คุณจะมุ่งมั่นทำต่อเนื่อง ไม่ย่อท้อ

 

ทุกเช้าที่เสียงนาฬิกาปลุกดัง คุณจะลืมตาตื่นขึ้นทันที หรือคุณจะงัวเงีย ล้มตัวลงนอนต่อ… หากเป็นแบบหลัง แสดงว่าคุณกำลังหมดไฟ ไม่อยากทำงานนั้นแล้ว! ทั้งวันของคุณจะเต็มไปด้วยความสุข จากการได้ทำงานที่คุณรัก เพราะมันจะหล่อเลี้ยงและคอยผลักดันให้คุณมีแรงก้าวต่อไป ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง

เราอยากให้คุณลองทำงานที่คุณรัก คุณชอบ แล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงพลังที่มากขึ้น สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญ คุณจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ

 

4. คุณจะเติบโตและก้าวหน้า

 

การได้ทำในสิ่งที่รัก จะส่งผลให้คุณมีไอเดียใหม่ๆ ตลอดเวลา คุณจะสร้างสรรค์ผลงานได้มากมาย เป็นการพัฒนาตนเองและทำให้คุณโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ… กลับกัน สำหรับคนที่กล้ำกลืนฝืนทนทำงานที่ตนเองไม่ชอบ คนเหล่านี้จะมีความคิดตื้อตัน คิดอะไรไม่ออก เพราะวันๆ คิดแต่จะทำงานให้เสร็จๆ โดยไม่สนใจผลลัพธ์ของงาน

 

5. คุณจะรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า

 

เราทุกคนเกิดมาล้วนต้องตาย ดังนั้น คุณจึงควรทำตามความฝัน ทำในสิ่งที่รัก ก่อนที่เวลาของคุณจะหมดไป มันไม่มีประโยชน์ที่คุณจะมานั่งทำงานด้วยสีหน้าบึ้งตึง บูดเบี้ยว ขมวดคิ้ว และกลับบ้านไปด้วยอาการไมเกรนกำเริบ นอกจากนี้ คุณไม่ควรทำงานไปวันๆ แบบเช้าชามเย็นชาม เพื่อรอวันเกษียณ

 

เวลา 1 วัน มี 24 ชั่วโมง เราทำงานประมาณ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของเวลาทั้งวัน ดังนั้น พยายามหางานที่ตนรัก ทำให้เต็มที่ เพราะมันคือส่วนหนึ่งของความสุข… ใช้เวลาให้คุ้มค่า เลือกทำตามที่ใจต้องการ คุณจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง ว่ายังไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำ!

 

เรียบเรียงโดย LEARNING HUB THAILAND

7 วิธีสร้างสุข ใน 30 นาที

10 03 2017

ถ้าคุณเป็นคนเครียดง่าย หรือกำลังรู้สึกหดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง… ไม่ว่าจะมาจากการถูกเจ้านายตำหนิ มีปัญหากับคนรัก หรือหงุดหงิดจากที่บ้าน… แล้วอีก 30 นาทีข้างหน้า คุณต้องนำเสนองาน มีนัดประชุมสำคัญ หรือเจอะเจอผู้คน…

ขอแนะนำให้คุณ “ปรับอารมณ์ให้อยู่ในโหมดปกติ” ขจัดอารมณ์หมองเศร้า หดหู่ ทำจิตใจให้แจ่มใสเบิกบาน เพื่อพิชิตภารกิจสำคัญตรงหน้า… โดยเรามีวิธีการง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้ใน 30 นาที เพื่อปรับอารมณ์ให้มีความสุข และรู้สึกดีกับตัวเอง…

1. เดินเล่น สูดอากาศเข้าปอดลึกๆ

การหลบออกจากบรรยากาศเดิมๆ ปลดปล่อยอารมณ์ให้ผ่อนคลายในสวนเขียว หรือพื้นที่ว่างตามระเบียง กระทั่งเดินขึ้นรับลมบนดาดฟ้า… แสงแดดจากภายนอก ท้องฟ้าใส มองก้อนเมฆไกลๆ พลังจากธรรมชาติจะช่วยทำให้คุณปล่อยวางเรื่องราวบางอย่าง และทำให้คุณมีความสุขขึ้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว…

2. โทร.คุยกับเพื่อนสนิท

อีกวิธีช่วยหยุดอาการฟุ้งซ่าน และความคิดลบทำร้ายตัวเอง คือการกดเบอร์เพื่อนสนิท เลือกใครสักคนที่รู้ใจและเข้าใจคุณเป็นอย่างดี… ในช่วงที่คุณซึมเศร้าและขาดกำลังใจ ไม่มีสติกับการงานที่ต้องทำ การโทร.หาคนรัก หรือเพื่อนสนิท จะช่วยให้คุณได้ปลดปล่อยความอัดอั้นเหล่านั้นออกมา…

3. ดูคลิปดีๆ หรืออ่านบทความเจ๋งๆ

การดูคลิปซีรี่ส์เรื่องโปรด รายการเพลง ซิทคอม อ่านการ์ตูน หรืออ่านบทความนักเขียนที่คุณชื่นชอบ… เรื่องราวที่คุณรู้สึกสนุกและมีอารมณ์ร่วม จะเรียกรอยยิ้มหรือกระทั่งเสียงหัวเราะออกมาได้ในเวลาอันสั้น ไม่อยากบอกเลยว่า… “การเสพสื่อที่ตรงจริต เป็นยาเพิ่มความสุขชั้นดีให้กับตัวคุณมากเลยนะ”

4. ทำบุญ บริจาคทาน

“การให้” โดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นในพริบตา! คุณอาจทำบุญให้องค์กรการกุศล ทำทานแก่สัตว์พิการ โดยการซื้อของกิน ให้เงินสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ หรือแค่ช่วยอุดหนุนคนสูงอายุที่ขายของอยู่ข้างถนน/หน้าออฟฟิศ… เรื่องเล็กๆ แค่นี้ จะช่วยทำให้คุณเกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจ และรู้สึกดีในฐานะ “ผู้ให้” ขึ้นมาทันที…

5. ออกแรง ปล่อยพลังงาน

“การออกกำลัง” เป็นการปลดปล่อยพลังงานด้านลบได้วิธีหนึ่ง… คุณอาจออกมาวิ่งข้างทาง สัก 15 นาที เข้าฟิตเนสของออฟฟิศ หรือวิดพื้นอยู่ในห้องเงียบๆ ในขณะที่คุณออกกำลังกาย มีการเสียเหงื่อ ร่างกายคุณจะหลั่งฮอร์โมน ทำให้รู้สึกมีความสุข สดชื่น พร้อมเผชิญปัญหาที่อยู่ตรงหน้า…

6. สวดมนต์

การหาบทสวดขึ้นมาสวด ช่วยทำให้คุณมีสมาธิ สามารถควบคุมสติและอารมณ์ได้มากขึ้น คุณจะรู้สึกถึงความสงบสุขชั่วคราว รู้สึกสบายใจ คลายทุกข์ วิธีการง่ายๆ อย่าง “การสวดมนต์” สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา และยังไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ด้วย

7. หาของกิน เพิ่มพลังงาน

ขนมผสมช็อคโกแลต หรือของหวานชนิดต่างๆ จะให้สารอาหารประเภทน้ำตาล เพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย ทั้งยังกระตุ้นการหลั่งสารเอนโดรฟิน ทำให้คุณรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า รู้สึกดีขึ้นฉับพลันหลังเจอภาวะความกดดันต่างๆ

ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการง่ายๆ และรวดเร็วในการช่วยปรับอารมณ์ให้เข้าสู่ “โหมดแห่งความสุขชั่วคราว” แต่สุดท้าย เมื่อคุณมีเวลามากขึ้น… เราอยากแนะนำให้คุณค่อยๆ คิด ค่อยๆ หา ว่าอะไรคือ “ต้นเหตุของความรู้สึกทุกข์” และจะสร้าง “ความสุขอย่างยั่งยืน” ได้อย่างไร? เป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาไปได้ด้วยดีครับ

บทความโดย LEARNING HUB THAILAND

5 วิธีจัดการอารมณ์ด้านลบ

28 02 2017

“อารมณ์” สามารถเป็นได้ทั้งเพื่อนที่แสนดี หรือเป็นศัตรูที่น่ากลัว! เมื่อกล่าวถึง “อารมณ์เชิงบวก” เช่น ดีใจ มีความสุข สนุกสนาน ทุกคนมักอ้าแขนเปิดรับอย่างเต็มที่… กลับกัน หากพูดถึง “อารมณ์ด้านลบ” เช่น โกรธ กลัว โมโห ซึมเศร้า กังวลใจ ทุกคนต่างพยายามปิดกั้น และหลีกหนี…

ในโลกแห่งความจริง เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงอารมณ์ต่างๆ ได้… ทุกวัน เราต้องเจอะเจอกับอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งของตนเองและผู้อื่น สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ คือ “ต้องรู้เท่าทันและรีบจัดการอารมณ์” ไม่ให้มีอิทธิพลเหนือตัวเรา…

เราขอแนะนำ “5 วิธี” ต่อไปนี้… ที่จะช่วยให้คุณ “รับมือกับอารมณ์เชิงลบ” ได้อย่างเหมาะสม…

1. รู้เท่าทัน และเข้าใจอารมณ์ที่เกิดขึ้น

“การรับรู้และเข้าใจความรู้สึกของตนเอง” เป็นเรื่องสำคัญ หากคุณไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกอะไร? คุณจะไม่สามารถจัดการอารมณ์ได้อย่างถูกต้อง! การปิดบังซ่อนเร้นความรู้สึก เสแสร้ง หรือโกหกตัวเอง เป็นเพียงแค่การซื้อเวลา… ไม่นาน อารมณ์ที่เก็บสะสมไว้จะปะทุ และระเบิดออกมาในที่สุด!

ดังนั้น เมื่อคุณเกิดอารมณ์ด้านลบ จงหยุดพัก พิจารณาความรู้สึกที่แท้จริงของตน… ลองหาสถานที่เงียบๆ ให้ร่างกายของคุณได้ปลดปล่อย คุณอาจพูดออกมา ว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร ร้องไห้ หรือตะโกนออกมาดังๆ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณผ่อนคลาย และรู้สึกดีขึ้นได้

นอกจากนี้ คุณควรสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่ออารมณ์ต่างๆ เช่น หากคุณโกรธ ตัวจะสั่น มือไม้เกร็ง หากคุณวิตกกังวล จะมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียน… ข้อดีของการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนเอง และได้ปลดปล่อยมันออกมา จะทำให้คุณไม่เครียดจนเกินไป

2. เริ่มเช้าวันใหม่อย่างสดใส

คุณรู้หรือไม่ว่า “เวลาช่วงเช้ามีอิทธิพลอย่างมาก” เพราะมันจะส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึก “ทั้งวัน” ของคุณ ดังนั้น คุณควรทำกิจกรรมยามเช้าที่ช่วยให้คุณชำระล้างจิตใจ และกำจัดอารมณ์ด้านลบได้ เช่น…

“เขียนมันออกมา” การเขียนความคิดที่ฟุ้งซ่านลงบนหน้ากระดาษ จะช่วยให้คุณได้ระบาย และทำให้คุณรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาก แต่หากคุณไม่มีอะไรจะพูด คุณอาจเขียนว่า “ฉันไม่มีอะไรจะพูด” ก็ได้นะ… คุณสามารถเขียนมันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งข้อความเต็มหน้ากระดาษ หรือหากคุณมีความคิดใหม่ๆ แล่นเข้ามาในหัว ก็สามารถจดลงไปได้เช่นกัน… วิธีการนี้จะช่วยให้คุณสามารถเรียบเรียงความคิดได้ดีขึ้น และช่วยกำจัดความคิดเชิงลบออกไปได้เร็วขึ้น

“ทำสมาธิ” การทำจิตใจให้สงบ ด้วยการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก หรือการทำสมาธิ เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดี เพียงแค่คุณหาสถานที่เงียบๆ ในการนั่งสมาธิประมาณ 10-15 นาที กำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เมื่อคุณทำสมาธิเป็นประจำคุณจะพบว่าความคิดที่ฟุ้งซ่านลดน้อยลง มีสภาวะจิตใจที่สงบมากขึ้น… นอกจากนี้ ความสงบสุขที่เกิดจากการทำสมาธิยังช่วยให้คุณตระหนักรู้ถึงอารมณ์ด้านลบ ช่วยให้คุณจัดการมันได้ ก่อนที่อารมณ์แย่ๆ เหล่านั้นจะถาโถม และทำให้ทั้งวันของคุณเต็มไปด้วยสิ่งเลวร้าย

3. การออกกำลังช่วยได้

“การออกกำลังกาย” เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจของคุณ เพราะขณะที่คุณออกกำลังกาย ร่างกายของคุณจะเคลื่อนไหว หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง

คุณอาจวิ่ง เดินช้าๆ หรือออกกำลังกายประเภทอื่นๆ วิธีนี้จะช่วยให้คุณผ่อนคลาย รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ดังนั้น แทนที่คุณจะคว้าถุงมันฝรั่งทอดมาเคี้ยวเล่น หรือนอนขดตัวอยู่หน้าทีวี ลองขยับร่างกาย เลือกเล่นกีฬาที่คุณชอบ หรือแม้แต่การลุกขึ้นเต้น ก็ทำให้คุณรู้สึกดีได้นะ…

4. ปรับเปลี่ยนมุมมอง

นักจิตวิทยาเคยสรุปผลงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งพบว่า “เมื่อคุณมองสิ่งต่างๆ ในมุมที่เปลี่ยนไป คุณจะพบว่าสิ่งนั้นแตกต่างจากเดิม” พูดง่ายๆ ก็คือ “มุมมอง” เป็นตัวกำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้น หากคุณเผชิญกับอารมณ์ด้านลบ แทนที่คุณจะกระโจนลงไป พร้อมกับบ่น-ก่นด่าปัญหานั้นๆ… ให้คุณสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และถามตนเองว่า “ฉันสามารถมองเห็นปัญหานั้นในรูปแบบอื่นที่แตกต่าง ได้หรือไม่”

สมมติว่าคุณกับเพื่อนทะเลาะกัน หากคุณยึดความคิดของตนเองเป็นใหญ่ คิดว่าต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอ… คุณก็จะยึดติด และไม่มีวันเข้าใจผู้อื่น! ในทางกลับกัน หากคุณคิดว่าตนเองเป็นอีกฝ่าย ลองมองในมุมกลับกัน คุณจะเข้าใจสถานการณ์ได้ดีขึ้น… คุณจะเปิดใจ เรียนรู้ตนเองและผู้อื่นมากขึ้น…

แต่หากการปรับเปลี่ยนมุมมองเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับคุณ เพียงแค่คุณตระหนักว่า “อารมณ์ด้านลบกำลังทำร้ายคุณ” คุณก็จะปล่อยให้มันผ่านไป ให้อภัย และดำเนินชีวิตต่อไป…

5. ระวัง! อย่าส่งต่อ “อารมณ์ด้านลบ” ให้คนรอบข้าง

อารมณ์ของคนเราเปรียบเหมือน “ก้อนหิมะ” เมื่อใดก็ตามที่เราปล่อยให้กลิ้งไปเรื่อยๆ มันก็จะใหญ่ และแผ่วงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น หากคุณรู้สึกว่ากำลังอารมณ์เสีย… จงพยายามสกัดกั้น อย่าปล่อยให้มันขยายไปหาคนรอบข้าง เพราะนั่นจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม!

สมมติว่า จู่ๆ เพื่อนสนิทยกเลิกนัดกะทันหัน แน่นอนว่า ทันทีที่รู้ คุณคงรู้สึกหงุดหงิด ไม่พอใจ แต่การเก็บความโกรธ แล้วสาดอารมณ์ใส่คนรอบข้างหรือคนในครอบครัว อาจทำให้เขาไประบายอารมณ์กับคนอื่นๆ ต่อ หรือกระทั่งลูกของคุณเอง และท้ายที่สุด ครอบครัวคุณก็จะเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความโกรธแค้น เกลียดชัง

ดังนั้น เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกไม่โอเค… เริ่มจากตั้งสติ หาสาเหตุของอารมณ์นั้น แยกแยะ และพยายามระงับมันให้ได้… อย่าปล่อยให้อารมณ์ของคุณเดือดดาล และพลุ่งพล่าน จนเผลอไปทำร้ายคนอื่นล่ะ!

บทความโดย LEARNING HUB THAILAND

คำถามเปลี่ยนชีวิต ปรับทัศนคติให้เปี่ยมสุข

02 03 2017

คนที่มี “ความสงบสุขในชีวิต” ไม่ใช่เพราะพวกเขามีชีวิตที่ราบเรียบ หรือเจอะเจอแต่สิ่งดีๆ เท่านั้น แต่พวกเขามีชีวิตที่สุขสงบ เพราะสามารถปรับมุมมองให้เข้ากับทุกๆ สถานการณ์…

ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไร เป็นเจ้าของธุรกิจ เป็นแม่บ้าน พนักงานประจำ หรือฟรีแลนซ์… แม้คุณจะมีลูกค้าประจำ มีรายได้ต่อเนื่อง มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี หรือมีการวางแผนล่วงหน้าอย่างรัดกุม แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง บ่อยครั้งกลับไม่เป็นดังใจนึก!

และบางครั้ง ถึงแม้จะทำดีที่สุดแล้ว แต่เรากลับไม่อาจกำหนดโชคชะตาได้  ยังมีปัจจัยภายนอกอีกหลายอย่าง นอกเหนือความคาดหมาย ซึ่งอาจทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไป… แต่คุณรู้หรือไม่? มีสิ่งหนึ่งที่คุณสามารถควบคุมได้ และปรับเปลี่ยนได้ในทุกสถานการณ์ นั่นคือ “มุมมอง-ทัศนคติ”

“การปรับเปลี่ยนความคิด พลิกมุมมอง” เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณรับมือกับปัญหาต่างๆ เพื่อแก้ไขสถานการณ์เลวร้าย-ไม่คาดฝันต่างๆ ได้…

ในช่วงที่เจอวิกฤต มีปัญหารุมเร้า ดูเหมือนจะไม่มีทางออก… คุณอาจกำลังคิดว่า คุณไม่มีทางเลือกกับการรับมือปัญหาเหล่านั้น! แต่แท้จริงแล้ว คุณมีทางเลือกหลายอย่าง เพียงแต่คุณไม่รู้ตัว!!!

คุณเลือกได้ว่า จะอารมณ์เสีย จะโมโห หรือจะใช้สติแก้ปัญหา… คุณเลือกได้ว่า จะละทิ้งปัญหา ปล่อยให้มันเป็นไป หรือจะไม่ยอมแพ้ แล้วสู้ขาดใจ…  คุณเลือกได้ว่า คุณจะจบหรือไปต่อ… และคุณก็เลือกที่จะปรับมุมมอง-ความคิด เปลี่ยนวิกฤตหรือปัญหาครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งบททดสอบของชีวิต…

การเปลี่ยนมุมมอง “ตกผลึกทางความคิดจากข้างใน” ทำให้คุณสามารถมีชัยเหนืออุปสรรคทั้งหลาย โดยเฉพาะปัญหาภายนอกที่คุณไม่สามารถควบคุมได้… และนี่คือ “4 คำถามหลัก” ที่จะช่วยให้คุณตระหนัก-รู้ทันอารมณ์ของตัวเอง และเป็นคำถามที่จะ “กระตุกต่อมความคิด ปรับเปลี่ยนมุมมองของคุณ”

1. คุณกำลังกังวลเกินไป หรือเปล่า?

“ความกังวล” ก็แค่ “กังวลล่วงหน้า” เป็นความจริงที่ยังไม่เกิด เป็นศัตรูตัวฉกาจคอยทำลายความสุขของคุณ ณ ปัจจุบัน…  เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มกังวล นอกจากจะทำให้คุณไม่มีความสุขกับชีวิตแล้ว ความกังวลยังทำให้คุณจินตนาการไปไกลในด้านลบ สร้างบรรยากาศแห่งความทุกข์ให้กับตนเองและคนรอบข้างที่อยู่ใกล้คุณด้วย… 

“ความสุขจากภายใน” ไม่ได้หมายความว่า คุณต้องนั่งเล่นรับลมทะเลอยู่ริมหาดทราย หรือนั่งตากแอร์เย็นๆ อยู่บนรถส่วนตัว เพราะไมว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แย่ หรือดีแค่ไหน… ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากความคิดและทัศนคติที่อยู่ภายใน 

“ความสงบสุข หรือความสุขในชีวิต ล้วนอยู่ที่ตัวคุณ ไม่ได้มาจากปัจจัยภายนอก” คุณสามารถเปิดเพลงเสียงดัง ร้องเพลงอย่างสนุกสนานระหว่างรถติดก็เป็นได้… “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องให้คุณค่ากับเวลา ณ ปัจจุบัน หรือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ มากกว่าเหตุการณ์อนาคตที่อาจไม่เกิดขึ้นจริง”

2. คุณกำลังคิดว่ามันแย่จนแก้ไม่ได้ หรือเปล่า?

อาวุธที่ทรงพลานุภาพในการทำลายความเครียด และการคิดลบ คือ “ความสามารถในการเลือกที่จะปรับมุมมองความคิด”

เมื่อไหร่ก็ตามที่ชีวิตเจอเรื่องแย่ๆ อย่าคิดว่า “มันแย่” แต่ให้คิดอีกด้าน คิดว่าเป็นโอกาส เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เป็นอีกหนึ่งบทเรียน… พยายามหลุดออกจากวนเวียนความคิดเดิมๆ กล้าคิดต่าง ถึงแม้ว่าบางครั้งอาจดูไม่มีเหตุผลก็ตาม!

ความรู้สึกสนุกกับเรื่องราวและปัญหาที่คุณกำลังเผชิญ… นอกจากทำให้ร่างกายคุณไม่เครียดแล้ว คุณอาจมองเห็นทางออกได้เร็วขึ้น… มีการวิจัยเกี่ยวกับ “การคิดบวก” ว่า นักเรียนที่มีทัศนคติที่ดีกับชีวิต สามารถทำข้อสอบได้ดีกว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกัน หรือแม้แต่พนักงานขายที่มองโลกในแง่ดี ก็สามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 50% เมื่อเทียบกับพนักงานขายที่มองโลกในแง่ร้าย… 

3. คุณกำลังใช้วิธีการเดิมๆ แก้ปัญหา อยู่หรือเปล่า?

ทุกครั้งที่คุณเจอปัญหาเดิมๆ และกำลังแก้ไขปัญหาในแบบเดิมๆ ให้คุณหยุด และคิดอย่างจริงจัง ตัดสินใจใหม่อย่างรอบคอบ ว่าคุณจะกลับไปฉายหนังม้วนเดิมซ้ำ หรือจะเป็นผู้สร้างหนังเรื่องใหม่…

วิธีที่จะทำให้คุณมีสติและควบคุมอารมณ์ได้ดี คือการหายใจเข้า-ออกลึกๆ จะช่วยทำให้คุณฉุกคิด และไม่ให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล… ในสถานการณ์เลวร้าย ค่อยๆ คิด ถึงแม้จะดูไม่มีความหวัง หมดหนทาง  และดูเหมือนกำลังจะสูญเสียทุกอย่าง แต่จริงๆ แล้ว คุณกำลังศึกษาบทเรียนชีวิต ได้รับประสบการณ์อันล้ำค่าที่หาที่ไหนไม่ได้ต่างหาก! 

ในชีวิตจริง ไม่มีใครดึงคุณให้จมดิ่งได้หรอก มีแต่ “ความคิดของคุณ” เท่านั้น ที่ทำร้ายคุณ… ความคิด จะกำหนดความเชื่อ… ความเชื่อ ส่งผลถึงพฤติกรรม… พฤติกรรม สะท้อนการดำเนินชีวิตและภาพรวมทั้งหมดของคุณ… ความคิดมีผลต่อการกระทำและบรรยากาศรอบตัวคุณ…

นี่คือเหตุผลสำคัญที่คุณควรจะคัดกรองและตกผลึกความคิด… คิดในสิ่งดีๆ เพื่อสรรสร้างชีวิตดีๆ ในแบบที่คุณต้องการ…  

4.  คุณกำลังยึดติดกับวิถีเดิมๆ หรือเปล่า?

 
เอาเข้าจริงแล้ว มีหลายอย่างในชีวิต ที่คุณสามารถปล่อยผ่าน หรือให้มันเป็นไป โดยไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียตามมา… สถานการณ์บางอย่างจะทำให้คุณโตขึ้น ก้าวหน้าขึ้น ด้วยการไม่ยึดติดกับความคิด ผลลัพธ์ หรือการกระทำแบบเดิมๆ

บางทีการที่คุณยึดติดกับสิ่งเดิมๆ อาจสร้างความทุกข์ใจให้มากกว่า ถ้าคุณไม่ปล่อยให้เลยตามเลย บ่อยครั้งจะไม่สามารถก่อเกิดสิ่งใหม่ๆ หรือมีชีวิตที่ดีขึ้น… คุณควรต้องปล่อยวางอดีต ยอมตัดใจกับสิ่งเก่าๆ ที่คุณคุ้นชินลงบ้าง… 

คุณไม่สามารถเจอโลกใบใหม่ได้ ถ้าคุณไม่กล้าออกจากฝั่ง… กุญแจสำคัญของการเริ่มต้นสิ่งใหม่ คือการให้อภัย… ให้อภัยตัวเอง ให้อภัยคนอื่น ปลดปล่อยเรื่องราวร้ายๆ ที่เคยเกิด หยุดจินตนาการถึงความเลวร้ายของเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว… “การให้อภัยด้วยใจเบิกบาน คือการบำบัดน้ำเสียในจิตใจของคุณ”

ถึงเวลาแล้วที่คุณควรหยุดคาดหวังกับคนรอบตัว กับปัจจัยต่างๆ ที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ และแทนที่จะพยายามควบคุม คุณแค่เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนทัศนคติ “เริ่มจากภายในสู่ภายนอก” เพียงแค่นี้ คุณก็จะก้าวผ่านทุกอุปสรรค ในทุกๆ สถานการณ์ของชีวิตได้อย่างเป็นสุขครับ

บทความโดย LEARNING HUB THAILAND

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save