3 ขั้นตอน สร้างรายได้งามๆ จากงานประจำ

คุณอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า

แต่ทว่า สำหรับคนทำงานประจำหรือมนุษย์เงินเดือนแล้ว การสร้างรายได้ในสายอาชีพของคุณไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงคุณได้อ่านบทความนี้

คำถามคือ งานประจำทำเงินกว่า ได้อย่างไร ?

เคยได้ยินประโยคที่ว่า “เงินลอยอยู่ในอากาศ” หรือไม่ ? ประโยคนี้เปรียบเปรยว่า ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร ก็มีโอกาสสร้างเงินได้ทั้งนั้น

บทความสั้นๆ ต่อไปนี้ จะช่วยบอกวิธีสร้างเงินมหาศาลจากงานประจำที่คุณทำซ้ำๆ ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน

1.ค้นหา passion ของตัวเองให้เจอ

คำว่า passion หากจะแปลให้ใกล้เคียงกับความหมายดั้งเดิมที่สุด น่าจะแปลว่า “สิ่งที่หลงใหลจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต”

ปัจจุบันคุณอาจทำงานประจำเป็น นักบัญชี ฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย ข้าราชการ ฯลฯ

แต่ passion ของคุณ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรอบงานประจำ

เช่น คุณอาจจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่าเรื่อง แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่นฟัง ทั้งที่คุณไม่ได้ทำอาชีพพิธีกร ,คุณอาจจะชอบวิเคราะห์ตัวเลขสถิติการเงินทั้งที่คุณไม่ได้ทำงานด้านการเงิน ,คุณอาจจะชอบขายทั้งที่ไม่ได้ทำอาชีพนักขาย

ขั้นตอนแรก แค่หาให้เจอก็พอ อย่าเพิ่งคิดว่าจะเอาไปทำอะไรต่อ

2.ค้นหา skill จากงานประจำ

ขั้นตอนที่สอง แค่จำแนกสิ่งที่คุณทำเป็นประจำว่าคุณมีสิ่งใดบ้างที่เป็น skill อย่าเพิ่งกังวลว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยๆ

คำว่า skill หรือ ทักษะ ไม่ได้หมายถึงความเก่ง ไม่ได้หมายถึงวิชาชีพเท่านั้น แต่หมายถึง สิ่งที่ทำซ้ำๆ ทำจนชินเป็นนิสัย หรือ ทำไปโดยอัตโนมัติ

อาจเปรียบเทียบได้กับการปั่นจักรยานที่ทุกวันนี้คุณสามารถปั่นได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก

ในงานประจำของคุณที่อาจจะดูน่าเบื่อหน่าย ถ้ามองให้ดีแล้วจะค้นพบว่ามีทักษะ หลายอย่างที่หลบซ่อนอยู่

เช่น เจ้าหน้าที่วิเคราะห์การเงิน อาจมี ทักษะ คือ การพิมพ์ดีด การใช้โปรแกรม Excel การติดต่อลูกค้าต่างประเทศ การนำเสนองานในที่ประชุม การเอาตัวรอดจากเจ้านายขี้วีน การออมเงินเดือนให้เพียงพอค่านมลูก ฯลฯ

3.สร้าง Connection

เครือข่ายไม่ได้มีความสำคัญแต่เฉพาะนักธุรกิจเท่านั้น สำหรับคนทำงานประจำก็สำคัญเช่นกัน

โดยเฉพาะเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือ Social Media ที่สามารถสร้างทั้งโอกาสดีๆ และรายได้งามๆ ให้แก่มนุษย์เงินเดือนทั้งหลายได้ง่ายๆ

ในขั้นตอนนี้ ให้คุณนำ Passion ที่มี บวกเข้ากับ Skill ที่มี แล้วค้นหา “สิ่งที่คุณสามารถช่วยผู้อื่นแก้ปัญหาได้”

แล้วนำเสนอสิ่งนั้นให้เพื่อนและเครือข่ายของคุณรับรู้ เช่น

คุณมี Passion เรื่องการเล่าเรื่องราวแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่น

คุณมีทักษะด้านการใช้โปรแกรม Excel เท่ากับ คุณสามารถสอนผู้คนมากมายที่ไม่มีพื้นฐานด้านการใช้ Excel ให้สามารถใช้งานได้ในแบบที่คุณทำได้ ไม่ว่าจะเป็นคอร์สสอนสด หรือ Online

 

                   เปรียบเทียบ Passion เป็นเสมือนเมล็ดพันธุ์ผลไม้

                   Skill เป็นเหมือนการรดน้ำพรวนดิน

                   Connection ก็จะเปรียบเสมือนผู้คนที่เดินอยู่ในตลาดผลไม้

 

อย่าลืม ค้นหาเมล็ดพันธุ์ผลไม้ของตัวเองให้เจอนะครับ เพราะนี่คือวิธีที่จะช่วยให้คุณหยิบเงินที่ลอยอยู่ในอากาศมาเข้ากระเป๋าของคุณได้ !!!

image1

Coach Mangpor

เพจ เล่าเป็นเรื่อง

https://m.facebook.com/rhetoricalcoach/ 

10 กฏทอง ที่ทำให้คุณมีความสุขง่ายๆ ในทุกวัน

LHT template update 26 12 2016

คุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ” กล่าวคือ ในชีวิตจริงเราไม่สามารถมีชีวิตที่สุขสบายเหมือนดั่งเจ้าหญิงและเจ้าชายในนิยาย

บางครั้งเราพบเจอกับสิ่งที่สวยงาม แต่บางครั้งเราต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้าย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชีวิตของเราจะมีทั้งสุขและทุกข์ แต่เราเลือกที่จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ได้ และกุญแจสำคัญที่จะช่วยคุณไขประตูแห่งความสุขได้ก็คือ “ทัศนคติ” ของคุณ

งานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่า ผู้ที่มองโลกในแง่ดีมีแนวโน้มที่จะอายุยืนยาว ส่วนผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายกลับมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น หากคุณต้องการทราบว่าตนเองเป็นคนมองโลกในแง่ดี หรือ มองโลกในแง่ร้าย ลองอ่านบททดสอบนี้ดู

หากมีแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วคุณจะมองมันอย่างไร ระหว่าง “มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว” กับ “มีน้ำหายไปครึ่งแก้ว” และคำตอบจะสะท้อนทัศนคติของคุณ หากคุณเลือก “มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว” คุณเป็นคนมองโลกในแง่บวก คุณชื่นชมและพอใจกับสิ่งที่มีอยู่

ในสถานการณ์นี้คุณรู้สึกว่าการมีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้วดีกว่าการมีเพียงแก้วเปล่า ในทางกลับกัน หากคุณเลือก “มีน้ำหายไปครึ่งแก้ว” คุณเป็นคนมองโลกในแง่ลบ คุณสนใจในสิ่งที่ขาดหายไป ดังนั้น คุณจะพยายามไขว่คว้าหาสิ่งอื่นมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย

เมื่อคุณรู้คำตอบแล้ว จงรักษาหรือปรับเปลี่ยนทัศนคติของคุณให้กลายเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก หากคุณไม่รู้วิธีที่จะทำมัน บทความนี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณมีมุมมองในการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากเดิม และพบกับความสุขในชีวิต

1) มองหาด้านดี ๆ ในสถานการณ์อันเลวร้าย

ในแต่ละวัน คุณต้องพบเจอกับเรื่องราวทั้งดีและร้ายปะปนกัน และเพื่อสนับสนุนทัศนคติการมองโลกในแง่ดี เมื่อคุณเผชิญกับเหตุการณ์แย่ ๆ ที่ทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดหรือโมโห ให้คุณพยายามคิดบวก มองหาด้านดีในสถานการณ์อันเลวร้ายนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเจอรถติดบนถนน แทนที่คุณจะบ่น ด่า หรือระบายความโมโหด้วยการบีบแตรเสียงดัง คุณอาจคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะใช้เวลาฟังเพลงโปรดของคุณให้นานขึ้น

2) ให้ความสนใจและชื่นชมกับสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว

ท่ามกลางสังคมที่วุ่นวาย มนุษย์เราต่างดิ้นรนไขว่คว้าหาความสุขในรูปแบบต่าง ๆ แต่หนึ่งในหลายวิธีที่ทำให้เราค้นพบความสุขก็คือ การได้ใกล้ชิดธรรมชาติ และสนใจต่อสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว

ผู้ที่นับถือนิกายเซนมีความสุขจากการพิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว พวกเขาจะชื่นชม ซึมซับ และมีความสุขไปกับสิ่งที่แสนธรรมดาและเรียบง่าย

ยกตัวอย่างเช่น การได้เห็นผีเสื้อกระพือปีกเบา ๆ หรือการเฝ้ามองสายฝนอันชุ่มฉ่ำ และคุณก็สามารถนำเอาวิธีนี้ไปใช้ได้เช่นกัน สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นปัญหาใหญ่ ๆกลายเป็นเรื่องเล็กในพริบตา

3) ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม กล่าวคือ โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน และต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้นในยามที่เราประสบปัญหาในชีวิต เราย่อมต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

และแน่นอนว่า หากเราเห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก หรือเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย หรือทางจิตใจ เราก็ควรที่จะช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นเช่นกัน

การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เราได้พัฒนาความคิดด้านบวกของตนเอง ในทางกลับกัน คนที่คิดเอาแต่ได้ จิตใจจะเต็มไปด้วยกิเลสและความทุกข์ ต่างกับคนที่คิดจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับคนอื่น พวกเขารู้จักและเห็นคุณค่าของการให้ และเมื่อเขาหยิบยื่นความปรารถนาดีให้กับผู้อื่นแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่าเขาจะยิ่งได้รับสิ่งดี ๆ กลับคืนมา

4) ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ

ในสังคมสมัยใหม่ ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกนิยม แต่ละคนต่างยึดถือตัวเองเป็นที่ตั้ง ให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนสิ่งอื่นใด จนนำมาซึ่งสภาวะต่างคนต่างอยู่ในสังคม

อย่างไรก็ตาม ประโยคที่ว่า “น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า” ยังคงสามารถใช้ได้ตลอดกาล มนุษย์ต้องอาศัยรวมกันเป็นกลุ่ม ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้น เราควรปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสมและจริงใจ

ยกตัวอย่างเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น หากคู่สนทนาของคุณกำลังประสบปัญหา คุณก็ควรที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจ รับฟังและให้คำแนะนำแก่เขาด้วยความจริงใจ นอกจากนี้หากคุณสามารถช่วยเหลือเขาได้ ก็ควรที่จะทำโดยไม่หวังผลตอบแทน

5) รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

หากคุณนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้านทั้งวันโดยไม่ทำอะไรเลย คุณจะกลายเป็นคนขี้เกียจและเฉื่อยชาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นคุณจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์

หนึ่งในวิธีการสร้างสุขภาพกายและใจที่ดี คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม คุณควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกดีมีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน

นอกจากนี้ คุณควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพราะจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งจะทำให้คุณมีความสุขและผ่อนคลายความตึงเครียดได้

6) ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน        

ครอบครัวและเพื่อนคือคนที่รู้จักคุณดีที่สุด พวกเขารักคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข และเข้าใจคุณเกือบทุกเรื่อง ดังนั้นคุณจึงควรใช้เวลาอยู่กับพวกเขาบ้าง

การใช้เวลาร่วมกันของสมาชิกในครอบครัวสามารถทำได้ตั้งแต่กิจกรรมเล็ก ๆ ภายในบ้าน เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน ดูโทรทัศน์ร่วมกัน ไปจนถึงกิจกรรมนอกบ้าน เช่น การไปท่องเที่ยว หรือการดูภาพยนตร์ เป็นต้น นอกจากนี้ อย่าลืมที่จะแบ่งเวลาให้กับกลุ่มเพื่อนของคุณด้วย

เพราะมิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญ  มันไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ดังนั้น เมื่อคุณเจอแล้ว จึงควรรักษาไว้ให้ดีที่สุด คุณอาจหาโอกาสพบปะสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนบ้าง สิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกดีและอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

7) เดินตามความฝันและทำสิ่งที่คุณสนใจจริงๆ

หลายคนทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นหน้าที่หรือความรับผิดชอบที่ต้องทำ จนทำให้ลืมไปว่าตัวเองสนใจและต้องการอะไรจริง ๆ ดังนั้น จงค้นหาสิ่งที่คุณรัก

และเมื่อคุณเจอแล้ว จงทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณมีความสุขและอิ่มเอิบใจ จงท่องให้ขึ้นใจว่าชีวิตของคนเราสั้นนัก ดังนั้น เราไม่ควรเสียเวลากับการทำสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง

8) ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ แต่ต้องรู้ข้อจำกัดของตัวเอง

การทำกิจกรรมที่คุณชอบ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นกีฬา การเล่นดนตรี หรือการท่องเที่ยวจะทำให้คุณพึงพอใจ และมีความสุข แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรทำสิ่งต่างๆอย่างสุดโต่งจนเกินไป

พราะนั่นจะทำให้คุณหมดสนุกและอาจทำให้คุณเครียดอีกด้วย ดังนั้น จงทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเหมาะสมไม่มากหรือน้อยจนเกินไป กล่าวคือ การเดินทางสายกลางเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

9) อย่าระบายความโกรธให้ผู้อื่น

แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากจะมีหน้าตาบูดบึ้ง หรือเป็นคนอารมณ์ร้าย ดังนั้น เมื่อคุณรู้สึกโกรธหรือโมโหสิ่งใดก็ตาม อย่าระบายอารมณ์ของคุณกับผู้อื่น เพราะมันจะทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบไปด้วย

ความโกรธเปรียบเสมือนวงล้อแห่งไฟ และเมื่อคุณผลักวงล้อนี้ไปยังผู้อื่น มันจะเผาผลาญและแสดงพลังต่อผู้ที่อยู่รอบข้าง

เพราะฉะนั้น หากคุณเริ่มหงุดหงิด ให้พยายามเบี่ยงเบนอารมณ์และระงับความรู้สึกนั้น โดยการคิดถึงสิ่งดีดป ๆ คุณอาจเดินออกไปข้างนอกเพื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ตึงเครียดนั้น สูดลมหายใจลึกๆ จนกระทั่งความโกรธนั้นหายไป

10) ลดการรับสื่อที่ไม่มีประโยชน์

สังคมทุกวันนี้เต็มไปด้วยสื่อมากมายหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น รายการทางโทรทัศน์ออกอากาศละครที่มีเนื้อหาไม่สร้างสรรค คลื่นวิทยุมักเปิดเพลงที่มีเนื้อหาด้านลบ

เช่น เพลงอกหัก หลงรักคนมีเจ้าของ หรือเพลงที่มีเนื้อหาล่อแหลม สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจของคุณหม่นหมองและเป็นการยั่วยุให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบอีกด้วย

ดังนั้นเพื่อให้จิตใจของคุณมองโลกในแง่บวก คุณควรเลือกรับข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์และไม่ควรติดตามหรือเสียเวลากับสื่อที่ไม่ทำให้จิตใจผ่องใส

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://expandedconsciousness.com/2015/08/09/10-tools-to-live-a-happy-life/)

 

ค้นพบความง่าย ในการเปลี่ยนทุกเป้าหมาย ให้กลายเป็นจริง

ปัญหาของการไม่มีเป้าหมายชีวิต เปรียบได้กับการที่คุณสามารถใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการวิ่งขึ้นวิ่งลงไปทั่วสนาม

และทำคะแนนไม่ได้แม้แต่แต้มเดียว

– บิลล์ โคปแลนด์

คุณเคยรู้สึกไหมว่าตัวเองทำงานหนักมากแต่กลับย่ำอยู่กับที่? บางครั้งคุณพบว่าตัวเองมีพัฒนาการขึ้นเล็กน้อยในทักษะฝีมือหรือในด้านความสำเร็จเมื่อเทียบกับตัวเองเมื่อห้าหรือสิบปีก่อน หรือบางทีคุณต้องดิ้นรนเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองจะตอบสนองความทะเยอทะยานในไม่กี่ปีข้างหน้านี้ได้

ผู้คนจำนวนมากใช้ชีวิตไปกับการทำงานหนึ่งไปสู่อีกงานหนึ่ง หรือวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อทำอะไรให้สำเร็จมากขึ้นแต่กลับมีสิ่งที่ทำสำเร็จจริงๆ ได้เล็กน้อยเท่านั้น

การตั้ง ‘เป้าหมายที่ชาญฉลาด’ หรือ SMART Goals หมายความว่าคุณสามารถเข้าใจความคิดของตัวเองได้อย่างชัดเจน โฟกัสไปที่ความพยายาม ใช้เวลาและทรัพยากรที่ตัวเองมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงเพิ่มโอกาสของความสำเร็จในชีวิต

ในบทความของเราวันนี้ จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ SMART Goals ว่าคืออะไร และคุณจะสามารถใช้มันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ต่างๆ ของตัวเองได้อย่างไร

SMART หมายถึงอะไร?

SMART คืออักษรย่อที่คุณสามารถใช้เป็นแนวทางการตั้งเป้าหมายได้

หลักเกณฑ์ทั่วไปนำมาจากแนวคิด ‘หลักการบริหารจัดการของปีเตอร์ ดรักเกอร์’ ซึ่งเป็นที่รู้จักครั้งแรกในนิตยสาร Management Review ฉบับเดือนพฤศจิกายน ปี 1981 โดยจอร์จ ที. โดแรน  จากนั้นศาสตราจารย์โรเบิร์ต เอส. รูบิน (มหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์) ได้เขียนเกี่ยวกับ SMART ในบทความสำหรับสมาคมจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์กร เขาเริ่มใช้คำว่า SMART เพื่อนิยามถึงสิ่งที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล

เพื่อให้มั่นใจว่าเป้าหมายของคุณนั้นชัดเจนและสัมผัสได้ แต่ละเป้าหมายควรจะ :

  • Specific: มีความเฉพาะเจาะจง เรียบง่าย สมเหตุสมผล เป็นเป้าหมายที่สำคัญ
  • Measurable: วัดผลได้ มีความหมาย มีแรงจูงใจ
  • Achievable: ลงมือทำได้จริง สามารถทำสำเร็จได้
  • Relevant: มีความเกี่ยวเนื่องกัน มีเหตุผล และมีทรัพยากร ตั้งอยู่บนฐานผลลัพธ์ที่ได้
  • Time bound: กำหนดเวลาได้

ศาสตราจารย์รูบินยังเพิ่มเติมว่าบางที SMART นั้นต้องการการอัพเดทบ้างเพื่อสะท้อนความสำคัญของประสิทธิภาพและข้อเสนอแนะต่างๆ

อย่างไรก็ตามนักเขียนบางคนได้ขยายแนวคิดนี้ขึ้นเพื่อโฟกัสด้านอื่นเพิ่มเติม เช่น SMARTER โดยรวมเอาการประเมินผล (Evaluated) และการทบทวน (Reviewed) เข้าไปด้วย

วิธีการใช้แนวคิด SMART

นักธุรกิจชื่อ พอล เจ. เมเยอร์ นักเขียนและผู้ค้นพบแนวคิด ‘แรงจูงใจในความสำเร็จระดับสากล’ ซึ่งอธิบายลักษณะเฉพาะของ SMART Goals ในหนังสือของเขาเมื่อปี 2003 ชื่อว่า “Attitude Is Everything: If You Want to Succeed Above and Beyond.”

 พวกเราจะลองมาดูว่าเขาได้นิยามวิธีการสร้าง พัฒนา และวิธีประสบความสำเร็จในเป้าหมายไว้ว่าอย่างไรบ้าง

1.มีความเฉพาะเจาะจง (Specific)

เป้าหมายของคุณควรชัดเจนและมีความเฉพาะเจาะจง มิฉะนั้นแล้ว คุณจะไม่สามารถรวบรวมความตั้งใจหรือรู้สึกถึงแรงจูงใจที่แท้จริงในการประสบความสำเร็จได้ เมื่อทำการร่างเป้าหมายจึงควรตอบ 5 คำถาม W นี้ให้ได้

  • What: คุณต้องการประสบความสำเร็จเรื่องอะไร?
  • Why: ทำไมเป้าหมายนี้จึงมีความสำคัญ?
  • Who: ใครมีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง?
  • Where: สถานที่ในการดำเนินการตั้งอยู่ที่ไหน?
  • Which: ทรัพยากรหรือข้อจำกัดอะไรที่เกี่ยวข้อง?

ตัวอย่าง

ลองจินตนาการว่าคุณทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดและต้องการขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่าย เป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงอาจเป็น “ฉันต้องการทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นในการเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดในองค์กร เพราะฉะนั้นฉันต้องสร้างหน้าที่การงานและทีมที่ประสบความสำเร็จ”

2.วัดผลได้ (Measurable)

การมีเป้าหมายที่วัดผลได้นั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะคุณจะสามารถติดตามความคืบหน้าและยังคงมีแรงจูงใจต่อไปได้ การประเมินความคืบหน้าจะช่วยให้คุณสามารถโฟกัสที่เป้าหมาย เผชิญกับกำหนดเวลาและรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่เข้าใกล้ความสำเร็จ

เป้าหมายที่วัดผลได้อาจเริ่มจากคำถามเหล่านี้:

  • มีค่าใช้จ่ายเท่าไร?
  • มีปริมาณมากแค่ไหน?
  • จะรู้ได้อย่างไรว่าประสบความสำเร็จ?

ตัวอย่าง

คุณอาจวัดเป้าหมายในการได้รับทักษะสำหรับการเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาด จากการเข้าร่วมการอบรมที่จำเป็นจนเสร็จสิ้นหรือได้รับประสบการณ์จากงานที่เกี่ยวข้องเป็นเวลาห้าปี

3. ลงมือทำได้จริง (Achievable)

เป้าหมายของคุณต้องมีความสมจริงและสามารถทำให้สำเร็จได้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมันควรท้าทายความสามารถของคุณแต่ก็สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เมื่อคุณตั้งเป้าหมาย

คุณอาจมองไปถึงโอกาสหรือทรัพยากรที่ต้องใช้เพื่อทำให้คุณเข้าใกล้ความสำเร็จในอนาคต

เป้าหมายที่ลงมือทำได้จริงมักจะเริ่มด้วยคำถาม เช่น

  • ฉันจะทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จได้อย่างไร?
  • เป้าหมายนี้ตั้งบนฐานความเป็นจริงมากแค่ไหน เช่น ดูจากปัจจัยทางการเงิน เป็นต้น

ตัวอย่าง

คุณอาจต้องถามตัวเองว่าการพัฒนาทักษะที่จำเป็นเพื่อเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดนั้นอยู่บนพื้นฐานความจริงหรือไม่ อาจมองจากคุณสมบัติหรือประสบการณ์เดิมที่คุณมี เช่น

คุณมีเวลามากพอจะเข้าอบรมจนเสร็จสิ้นไหม?

มีทรัพยากรที่จำเป็นหรือไม่?

คุณสามารถที่จะทำมันได้หรือไม่?

4. มีความเกี่ยวเนื่องกัน (Relevant)

สำหรับขั้นตอนนี้เป็นการทำให้แน่ใจว่าเป้าหมายนั้นเหมาะสมกับคุณและมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเป้าหมายอื่นๆ พวกเราทุกคนต่างต้องการการสนับสนุนและความช่วยเหลือในการทำเป้าหมายให้สำเร็จ

แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องสามารถควบคุมเหนือปัจจัยต่างๆ เหล่านั้นได้ ดังนั้นทำให้แน่ใจว่าแผนของคุณจะผลักดันคนอื่นๆ ไปข้างหน้าแต่คุณก็ต้องรับผิดชอบความสำเร็จของเป้าหมายของตัวเองด้วย

การหาว่าเป้าหมายนั้นมีความเกี่ยวเนื่องกันหรือไม่ คุณต้องตอบ ‘ใช่’ จากคำถามต่อไปนี้:

  • มันดูคุ้มค่าหรือไม่?
  • ถูกช่วงเวลาแล้วใช่ไหม?
  • มันตรงกับความต้องการอื่นๆ หรือไม่?
  • ฉันใช่คนที่จะก้าวไปถึงเป้าหมายนี้ไหม?
  • สามารถใช้ได้ในสภาพเศรษฐกิจหรือสังคมปัจจุบันหรือไม่?

ตัวอย่าง

คุณอาจต้องการเพิ่มพูนทักษะเพื่อก้าวไปสู่ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดในองค์กรของคุณ แต่นี่คือเวลาสำหรับการเข้าร่วมอบรมหรือยัง หรือจะเลือกที่จะเพิ่มเติมคุณสมบัติที่จำเป็นก่อน

คุณแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าตัวเองเหมาะกับบทบาทหัวหน้าฝ่ายการตลาด  คุณพิจารณาเป้าหมายของคู่สมรสบ้างหรือไม่

ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเริ่มสร้างครอบครัว การเข้าฝึกอบรมต่างๆ จะต้องกินเวลาว่างของคุณ ซึ่งอาจทำให้เรื่องต่างๆ ยากขึ้นหรือไม่?

5.ผูกพันกับเวลา (Time-bound)

ทุกๆ เป้าหมายต้องการกำหนดเวลา ดังนั้นคุณต้องตั้งเส้นตายในการทำเป้าหมายต่างๆ เพื่อให้ตัวเองโฟกัสในการทำสิ่งต่างๆ ให้ก้าวหน้า หัวข้อนี้ของ SMART Goals จะช่วยให้สามารถจัดลำดับความสำคัญสำหรับเป้าหมายระยะยาวได้

การกำหนดเวลามักถามด้วยคำถามเหล่านี้:

  • เมื่อไร?
  • ฉันสามารถทำอะไรได้บ้างในหกเดือนต่อจากนี้?
  • ฉันสามารถทำอะไรได้บ้างในหกสัปดาห์ต่อจากนี้?
  • ฉันสามารถทำอะไรได้บ้างในวันนี้?

ตัวอย่าง

การเพิ่มพูนทักษะสำหรับเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดอาจต้องการการฝึกฝนหรือประสบการณ์ ตามที่เรากล่าวไปก่อนหน้านี้ คุณต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการเรียนรู้ทักษะเหล่านั้น?

หากคุณต้องการเข้าอบรมคุณก็ต้องทดสอบว่าตัวเองมีคุณสมบัติหรือไม่ มันเป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องให้กรอบเวลาตามความเป็นจริงสำหรับทำเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ ให้สำเร็จ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในเป้าหมายใหญ่ๆ ต่อไป

ข้อดีและข้อเสียของการตั้งเป้าแบบ SMART Goals

SMART นั้นมีประสิทธิภาพในการทำให้คุณมองเห็นเป้าหมายต่างๆ ได้อย่างชัดเจน สามารถโฟกัสกับจุดมุ่งหมายและมีแรงจูงใจเพื่อทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จได้ นอกจากนี้มันยังช่วยเพิ่มความสามารถเพิ่มแรงใจในการกำหนดวัตถุประสงค์ต่างๆ และกำหนดวันที่ต้องการให้สำเร็จอีกด้วย

ทุกคนสามารถนำหลัก SMART Goals ไปปฏิบัติตามได้ง่ายในทุกที่โดยไม่ต้องการเครื่องมือพิเศษหรือการฝึกฝนใดๆ มาก่อน

การตีความได้หลากหลายของ SMART นั้นหมายความว่า อาจทำให้มันสูญเสียประสิทธิภาพหรือเกิดการเข้าใจผิดในความหมายที่แท้จริงได้ อีกทั้งบางคนก็มีความเชื่อว่า SMART ไม่เหมาะกับเป้าหมายระยะยาวเพราะขาดความยืดหยุ่นและความคิดสร้างสรรค์

เคล็ดลับ

SMART เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการวางแผนหรือการตั้งเป้าหมาย ในขณะที่มีการตีความเรื่องอักษรย่อที่หลากหลายทั้งความเฉพาะเจาะจง การวัดผลได้ ทำให้สำเร็จได้ มีความเกี่ยวเนื่องกันและเรื่องความผูกพันกับเวลา

เมื่อคุณใช้แนวคิด SMART คุณสามารถสร้างเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถทำได้จริงและมีความหมายขึ้นได้ นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนาแรงจูงใจ แนวทางปฏิบัติและการสนับสนุนที่ต้องการเพื่อทำให้สำเร็จได้

การประยุกต์ SMART Goals ในชีวิตประจำวัน

บางครั้งคุณอาจฝันบ่อยๆ ว่าอยากไปเที่ยวรอบโลก แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้น คุณอาจจะบอกตัวเองว่าเป็นเพราะคุณไม่มีเวลาหรือเงินและบางทีอาจผลัดไปเป็นปีหน้า

ลองตั้งเป้าหมายแบบ SMART Goals เพื่อช่วยให้เป้าหมายการท่องเที่ยวของคุณมีความเจาะจงมากขึ้น สามารถวัดผลได้ ทำได้จริง มีความเกี่ยวเนื่องกับเป้าหมายอื่นๆ และผูกพันกับกำหนดเวลา

คุณอาจพบเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมคุณถึงไม่เคยได้ออกเดินทาง อาจเพราะแผนการของคุณไม่ชัดเจนหรือเกินจริงมากไป ลองปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ให้เข้ากับแนวคิด SMART Goals และนี่ก็คือตัวช่วยที่จะทำให้ความฝันของคุณกลายเป็นจริง

แปลและเรียบเรียงโดย 

Learning Hub Team

ที่มา: https://www.mindtools.com/pages/article/smart-goals.htm

10 ข้อคิด เพื่อมีชีวิตที่เรียบง่าย

1. ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ได้ทำง่ายสมชื่อ

ใช่ว่าใครๆ จะมีชีวิตที่เรียบง่ายได้ ชีวิตที่เรียบง่ายไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรวยหรือยากจน ไม่ได้เกี่ยวกับการศึกษา หน้าตาทางสังคม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเพศหรืออายุ แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับวุฒิปัญญาของบุคคล

เพราะชีวิตที่เรียบง่ายคือชีวิตที่ผ่านการตกผลึกมาแล้วเป็นอย่างดี ว่าอะไรคือสิ่งจำเป็น อะไรคือสิ่งไม่จำเป็น อะไรคือความสุขที่แท้จริงของชีวิต อะไรคือความสุขจอมปลอมที่แฝงความทุกข์ตามมา

“ถ้าปัญญามากพอแล้ว ก็จะมีชีวิตที่เรียบง่ายได้ทันที แม้ปัญญายังมีไม่พอ

ต่อให้ต้องการชีวิตที่เรียบง่ายสักแค่ไหน ก็ไม่อาจพบกับความเรียบง่ายได้เลย”

2. ความเรียบง่าย ไม่ได้มาจากความต้องการความเรียบง่ายในลักษณะแฟชั่น

แต่ความเรียบง่ายมาจากความคิดที่ต้องการกำจัดกิเลสของตนอย่างจริงจัง หนทางแห่งการใช้ชีวิตเรียบง่าย จึงเป็นหนทางเดียวกับการขัดเกลากิเลสของตน “ความต้องการที่จะไม่ต้องการอะไรนั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่เรียบง่าย”

3. เมื่อทำการงาน จงทำด้วยจิตว่าง อย่าทำงานด้วยความอยากมี อยากได้ อยากเป็น

“ความสำเร็จไม่เคยได้มาด้วยความอยาก แต่ได้มาด้วยการสร้างเหตุแห่งความสำเร็จ”

จงทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยพลังแห่งปัจจุบันขณะ อย่าได้เพ้อฝันถึงความสำเร็จที่ยังมาไม่ถึง เมื่อไม่มีความคิดปรุงแต่ง ย่อมไม่เกิดความโลภ ไม่เกิดการเปรียบเทียบ ไม่เกิดความกดดัน ไม่เกิดความหวั่นไหว การงานที่รับผิดชอบอยู่ย่อมดีขึ้นเป็นลำดับ

4. แม้ต้องการชีวิตที่เรียบง่าย การพูดจาของเราก็สมควรทำให้เรียบง่ายด้วย

“คำโกหกหลอกลวง คำโฆษณาเกินจริง การวิจารณ์ที่ไร้ประโยชน์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องปวดหัวที่ต้องตระเตรียมการ ต้องคิด ต้องใช้สมองในทางที่ผิด”

ง่ายที่สุด! ดีที่สุด! สบายใจที่สุด! จงพูดแต่ความจริงที่เป็นประโยชน์ ถ้าต้องพูดอะไรที่โกหกและไม่เป็นประโยชน์ สู้เอาเวลาไปนอนเสียยังดีกว่า

5. มนุษย์เรากินเพื่ออยู่ มิใช่อยู่เพื่อกิน

มีคนมากมายที่ไม่มีกิน และมีคนมากมายที่กินทิ้งกินขว้าง “แม้ต้องการมีชีวิตที่เรียบง่าย ก็สมควรทำเรื่องการกินให้เป็นเรื่องง่ายๆ ด้วย เราจะมีชีวิตที่เรียบง่ายได้อย่างไร หากยังดิ้นรนแสวงหาของอร่อยกินอยู่ตลอดเวลา”

6. เราคือมนุษย์ผู้มีร่างกายเน่าเหม็น

เพียงไม่อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันเพียงครึ่งวัน ความจริงก็เริ่มปรากฏ กลิ่นตัว กลิ่นปากตลบอบอวล หน้าตา ผมเผ้าเริ่มดูไม่ได้ ความจริงเหล่านี้ถูกเราปกปิดด้วยการแต่งหน้า ทาปาก นุ่งห่มเสื้อผ้าสวยงาม

แม้ต้องการชีวิตเรียบง่าย เราก็ควรพิจารณาความจริงของกายอย่างจริงจังด้วย “เป็นไปได้หรือไม่ ที่เราจะมีเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็น ทาครีมประทินผิวให้น้อยลง ทำอะไรๆ กับร่างกายแต่พอดี

โดยรู้เท่าทันว่าร่างกายนี้ คือ ของชั่วคราวที่รอวันเสื่อมสลาย” มนุษย์เรายึดมั่นร่างกายนี้เป็นที่สุด ทำลายความยึดมั่นในกายได้ ความเรียบง่ายของชีวิตจะไปไหนเสีย

7. “เมื่อโลกนี้มีคนผิดหวังมากมาย แล้วเหตุใดเราจึงหลงงมงายคิดว่าตนเองต้องสมหวังอยู่ตลอดเวลา”

การรับรู้ว่าความผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดา คือ หัวใจสำคัญที่ทำให้ความเรียบง่ายเกิดขึ้นในชีวิต คนพิการก็มีมาก คนสูญเสียคนรักก็มีมาก สงครามมีอยู่ทุกที ความไม่ยุติธรรมมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก

จงเปิดรับความผิดหวังเสียใจ ให้มันเข้ามา! จ้องหน้ามัน! เข้าไปใกล้มัน! แล้วกระซิบถามมันสิว่า “แกทำได้แค่นี้เองเหรอ”

8. ความเรียบง่ายย่อมเกิดขึ้นทันที แม้เราตระหนักว่า คนอื่นไม่จำเป็นต้องดีกับเรา

การยอมรับกับตนเองว่า ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องดีกับเรานั้นตัดความวุ่นวายไปได้หลายอย่าง หนึ่ง เราย่อมไม่ทำให้ผู้อื่นกดดันจากการคาดหวังของเรา สอง เมื่อเราไม่คาดหวังว่าเขาต้องดีกับเรา

เราย่อมเป็นอิสระจากความคิด คำพูด และการกระทำของเขาไปด้วย การไม่เอาจิตใจไปยึดกับความรู้สึกของผู้อื่นคือความสำคัญที่จะทำให้ชีวิตของเราเกิดความเรียบง่าย

9. อย่าได้สร้างวาระพิเศษใดๆ ขึ้นมาเลย

อย่ามองหาความพิเศษจากการท่องเที่ยว

อย่ามองหาความพิเศษจากการดื่มกิน จากการซื้อของที่มีราคาแพง

อย่ามองหาความพิเศษจากการใฝ่ฝันถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความพิเศษที่ทำให้เรากลายเป็นผู้หิวโซที่มีชีวิตซับซ้อน จงคลีคลายชีวิตด้วยการหาความพิเศษจากสิ่งพื้นๆ ธรรมดาๆ ทำสิ่งพื้นๆ ธรรมดาๆ ให้กลายเป็นความพิเศษสุด

“จงหาความพิเศษจากการเดิน นั่ง นอน ความพิเศษจากการขับถ่าย ความพิเศษจากการมองท้องฟ้าหน้าบ้านของตนเอง จงทำกิจวัตรประจำวันของตนกลายเป็นความพิเศษ ถ้าทำอย่างนี้ได้เมื่อไหร่ เราจะกลายเป็นผู้มีชีวิตเรียบง่ายท่ามกลางความวุ่นวายของโลกทันที”

10. แท้จริงแล้วสิ่งที่ต้องทำในชีวิตมีอยู่เพียงไม่กี่เรื่อง ที่เหลือล้วนเป็นสิ่งที่เราทำเพื่อสนองกิเลสของตนเองทั้งสิ้น

รวบหน้าที่ให้น้อย และกำหนดสิ่งที่ต้องทำให้ชัด หนึ่ง คือการทำงานที่รับผิดชอบอยู่ให้ดีที่สุด สอง คือการปฏิบัติดีกับคนรอบข้าง และสงเคราะห์โลกตามกำลัง สาม คือการขูดเกลา ยุติความชั่วช้าในใจตน

แม้ใครทำหน้าที่หลักของชีวิตได้เพียงสามข้อ บุคคลผู้นั้นย่อมเป็นเจ้าของปีกสีขาวล่องหน สามารถโบยบินอยู่เหนือโลกด้วยปรัชญาแห่งความเรียบง่ายของชีวิต

บทความโดย

พศิน อินทรวงค์

12670730_529154373929843_5749514810970098390_n
ติดต่องานบรรยาย / วิทยากร
ติดตามผลงานหนังสือ
หรือติดตามอ่านบทความดีๆ ได้ที่
เพจ พศิน อินทรวงค์
https://www.facebook.com/talktopasin2013

7 วิธี สร้างความมั่นใจ ทำอะไรก็ผ่านฉลุย

LHT template update 26 12 2016

ความมั่นใจเป็นสิ่งที่สำคัญมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการทำงาน ด้านการศึกษา หรือเรื่องการดำเนินชีวิต หากเรามีความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตัวเองแล้วล่ะก็ความสำเร็จอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ความมั่นใจนั้นไม่ใช่ว่าทุกคนจะมี

บางคนขาดความมั่นใจในตัวเองจนพลาดอะไรไปหลายอย่าง แต่อย่าเพิ่งเครียดไปค่ะเพราะความมั่นใจสร้างได้

วันนี้ Learning Hub Thailand  มีวิธีการเสริมสร้างความมั่นใจเพื่อคว้าความสำเร็จที่ตัวคุณหมายปองมาได้อย่างไม่ยากมาฝากกันค่ะ เรามาลองดูกันเลย

1.เชื่อมั่นและทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง

แน่นอนค่ะเราทุกคนย่อมมีความคิดเป็นของตัวเองแต่ประเด็นก็คือเราจะเชื่อมั่นได้ตลอดรอดฝั่งไหมว่าความคิดที่เรามีนั้นถูกต้อง

นี่คือประเด็นที่ยากที่สุดในข้อนี้ค่ะ บางทีเราอาจจะโดนคนรอบข้างขัดแย้งความคิดของเราจนเราไขว้เขวไป แต่คุณต้องลองดูก่อนนะคะว่าความคิดเห็นนั้นมีเหตุผลไหมและเหตุผลของเราแข็งเพียงใด

หากมีเหตุผลที่แข็งและแน่นพอ รับรองว่าทุกคนจะต้องรับความคิดเห็นของคุณไปพิจารณาแน่ๆ ค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพอเรามีเหตุผลแล้วก็เถียงหัวชนฝาเลยนะคะ เรียกว่ายอมประนีประนอมโดยใส่ความคิดเห็นของตัวเองเข้าไปด้วยโดยคิดว่าเป็นการเสริมความคิดของเราให้ไร้ที่ติมากขึ้นไปอีกก็ได้ค่ะ

2.ยอมรับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้

มนุษย์ทุกคนย่อมเคยทำผิดพลาดค่ะ แต่ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะสามารถรับข้อผิดพลาดของตัวเองได้ เราขอแนะนำว่าคุณต้องเข้าใจว่าคุณสามารถทำผิดพลาดได้ คุณสามารถตัดสินใจผิดพลาดในชีวิตได้แต่ว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเสียความมั่นใจไม่ได้

คุณอาจจะรู้สึกเสียความมั่นใจไปเลยเมื่อรู้ตัวว่าตัดสินใจพลาดและอาจจะทำให้ตัวเองหรือคนอื่นเดือดร้อนและโดนต่อว่า นั่นอาจทำให้คุณไม่กล้าตัดสินใจอะไรอีก มันไม่ผิดหรอกค่ะที่คุณจะรู้สึกแบบนั้น

แต่ท้ายที่สุด คุณต้องทำใจยอมรับและดึงความมั่นใจของตัวเองกลับคืนมา โดยโยนคำวิจารณ์ทิ้งไปซะเพราะว่าอย่างที่บอกไปว่ามนุษย์ทุกคนย่อมเคยทำพลาดแต่ก็ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนพลาดแล้วจะต้องผิดพลาดไปตลอดนะคะ

3.เรียนรู้จากข้อผิดพลาด

ข้อนี้ขอแยกจากข้อที่แล้วเพราะไม่อยากจะจำกัดว่าข้อผิดพลาดที่คุณจะต้องเรียนรู้และนำไปพัฒนาปรับปรุงในอนาคตมีเพียงแค่ความผิดพลาดที่ตัวคุณก่อขึ้น แต่อยากจะให้คุณนำข้อผิดพลาดของคนอื่นมาปรับปรุงตัวเองเช่นกันค่ะ

ข้อนี้เกี่ยวข้องกับความมั่นใจอย่างไร แน่นอนว่าหากเรียนรู้ข้อผิดพลาดนั้นและนำมาเป็นบทเรียนแล้ว เมื่อเราจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่งเราก็สามารถนำข้อมูลนั้นมาประกอบเหตุผลในการตัดสินใจของเราได้ ทำให้เรามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นค่ะ

โดยการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ของเราทั้งนั้น คุณควรมองทุกอย่างอย่างเป็นเหตุเป็นผลและมั่นใจในความเป็นจริงที่คุณสามารถรับรู้และสัมผัสได้

4.รู้จักจุดแข็งของตนเองและเสริมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ข้อนี้มีชื่อเรียกแสนจะไฮโซว่า SWOT Analysis หรือการวิเคราะห์จุดแข็งของตัวเอง เมื่อก่อนเคยมีคนบอกว่าเราควรจะวิเคราะห์จุดอ่อนของเราและลองแก้ไขมันให้ได้ แต่จริงๆ แล้วตอนนี้เรื่องจุดอ่อนไม่ใช่เรื่องที่ต้องโฟกัสอีกต่อไปแล้วค่ะ

ก่อนอื่นต้องมาดูกันว่าคุณมีจุดแข็ง (หรือจะเรียกว่าจุดขายก็ได้นะคะ) คืออะไรและเสริมจุดแข็งนั้นให้แกร่งยิ่งขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจมีจุดอ่อนเรื่องการคำนวณแต่เก่งภาษา คุณก็ฝึกภาษาให้แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก เอาให้ฝรั่งยังต้องร้องขอชีวิต หรือไม่ก็ฝึกภาษาที่สามไปเลยค่ะเก๋ๆ สิ่งนี้จะช่วยในการเสริมความมั่นใจให้แก่คุณได้มากขึ้นค่ะ

5.ลองดูว่าคุณประสบความสำเร็จอะไรในชีวิตไปแล้วบ้าง

หัวข้อนี้คุณอาจต้องใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์สักหน่อย แต่รับรองค่ะว่าคุณจะได้ความมั่นใจกลับมาอีกเต็มๆ เพราะว่าสาเหตุของความไม่มั่นใจนั้นอาจเกิดจากคุณไม่รู้ว่าคุณเองมีความสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือคุณสร้างประโยชน์อะไรได้บ้าง

คุณอาจเคยสอบได้ที่สามของห้องหรืออาจเคยเสนอไอเดียเพื่อทำโปรเจคจนสำเร็จอย่างสวยงาม สิ่งดีๆ ที่คุณอาจเคยมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยนี้แหละค่ะ เมื่อมารวมกันแล้วมันกลายเป็นความมั่นใจที่ยิ่งใหญ่ได้นะคะ

การโฟกัสความสำเร็จของตัวเองไม่ว่าเล็กหรือใหญ่เป็นกิจกรรมเสริมความมั่นใจทางจิตวิทยาโดยการเพิ่มความเคารพตัวเองอย่างหนึ่งค่ะ

6.ตั้งจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนขึ้นมาในชีวิตซะเลย

หากคุณยังมองว่าความสำเร็จที่คุณทำมามันยังไม่ค่อยโอเค คุณก็ลองตั้งเป้าหมายใหม่ขึ้นมาซะเลยซิ โดยไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเป้าหมายใหญ่เสมอไป คุณอาจจะเริ่มจากเป้าหมายเล็กๆ ก่อนก็ได้ค่ะ

คุณอาจมีเรื่องที่อยากทำมาตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ยังไม่มีเวลาหรือยังไม่สบโอกาสที่จะทำเสียที ตอนนี้ถึงเวลาที่คุณต้องตั้งเป้าหมายและทำมันอย่างจริงๆ จังๆ

ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะอยากลดน้ำหนักเพื่อร่างกายที่แข็งแรงและฟิตแอนด์เฟิร์ม ลองตั้งเป้าหมายเป็นด่านๆ ไป ลดน้ำหนักลงอย่างน้อย 1 กก. ใน 1 เดือนหรืออะไรประมาณนั้นโดยไม่ต้องกดดันตัวเองมากจนเกินไปก็ได้ค่ะ เรื่องทั่วไปแบบนี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้คุณ แล้วคุณจะสังเกตได้เลยว่าหากคุณตั้งใจทำอะไรแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่สำเร็จหรอก เชื่อสิ

7.ลองทำอะไรเองคนเดียวบ้าง

หลายคนพอไม่ค่อยมีความมั่นใจก็ไม่กล้าทำอะไรคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการไปเข้าคอร์สงานฝีมือที่มีแต่คนแปลกหน้าเต็มไปหมดหรือเข้าสัมมนาในที่ที่ไม่มีมีคนรู้จักเลย

แต่รู้ไหมว่าหากคุณสามารถทำอะไรบางอย่างสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียวจะช่วยเสริมความมั่นใจของคุณได้ล้นหลาม รับรองว่าคุณจะรู้สึกพึงพอใจในตัวเองเป็นอย่างมากและจะเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเลยละค่ะ

คุณต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับคนอื่นตลอดเวลา

คุณสามารถทำงานเป็น Teamwork ได้และต้องดีพอๆ กับการฉายเดี่ยว เราเชื่อว่าคุณเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่งแต่ความสามารถเหล่านั้นจะไม่มีวันฉายแสงเลยหากคุณไม่มีความมั่นใจในความสามารถของคุณเอง

ไม่ว่าจะเป็นคนดังและประสบความสำเร็จมามากมายขนาดไหนล้วนผ่านช่วงเวลาที่ไม่มั่นใจมาก่อนทั้งนั้น เราอาจจะเห็น Naomi Campbell เดินอย่างมาดมั่นด้วยท่วงท่าที่แสนจะ Strong

หรือจะเป็นพิธีกรสาวที่กลายเป็นตำนาน Talk show อย่าง Oprah Winfrey  พวกเธอก็ล้วนเคยผ่านความไม่มั่นใจในตัวเองอันเนื่องมาจากอดีตอันแสนโหดร้ายและคำวิจารณ์ที่รุนแรงมาแล้วทั้งนั้น

แต่พวกเธอก็สู้ต่อไปจนได้มาเป็นผู้มีอิทธิพลในสายอาชีพของเธอเอง Learning Hub Thailand ขอส่งกำลังใจให้คุณเพื่อเสริมความเชื่อมั่นและคว้าความสำเร็จมาไว้ในมือให้ได้ค่ะ

เรียบเรียงโดย  – Learning Hub Team

3 คำพูด สู่การมีชีวิตเปี่ยมพลัง

รู้หรือไม่ “คำพูด” แค่เพียงหนึ่งคำ ก็สามารถสร้างผลกระทบต่อจิตใจ เนรมิตให้วันหนึ่งวันกลายเป็นวันดีๆ หรือวันร้ายๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

โดยเพราะการพูดกับตัวเอง หรือ self talk ที่ถือเป็นการสื่อสารกับจิตใต้สำนึกด้วยแล้ว ยิ่งส่งผลต่อความรู้สึก อารมณ์ และจิตใจเป็นอย่างมาก

 วันนี้ learning hub thailand มี 3 คำพูด ที่สามารถเปลี่ยนชีวิตที่ไร้พลังให้กลายเป็นชีวิตที่เปี่ยมพลังมาฝากกันครับ  

1.Go

ใช้พูดกับตัวเองในสถานการณ์ที่กลัวการเริ่มต้นทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่กล้าทำมาก่อน

คุณอาจใช้การนับเลข 1 2 3 มาประกอบกับการ self talk เพื่อให้จิตใจมีสมาธิมากยิ่งขึ้น

เช่น กลัวการนำเสนองานต่อหน้าที่ประชุมให้พูดกับตัวเองว่า  1 2 3 Go แล้วลุยทันที

2.Next

ใช้พูดกับตัวเองในสถานการณ์ที่เพิ่งทำบางสิ่งผิดพลาด หรือ ล้มเหลว เพื่อป้องกันไม่ให้จิตใจจมปลักอยู่กับความคิดลบๆ ให้คุณเปลี่ยนความผิดพลาดครั้งนี้ให้กลายเป็นโอกาสที่จะได้พัฒนาตนเองต่อไป โดยพูดกับตัวเองว่า Next แล้วลงมือทำสิ่งนั้นๆ ใหม่ทันที

3.Yes

ใช้พูดกับตัวเองในสถานการณ์ที่เพิ่งทำบางสิ่งบางอย่างสำเร็จ ถึงแม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ ก็ตาม

การพูดกับตัวเองว่า Yes จะช่วยให้จิตใจเบิกบานและประทับประทาบความทรงจำดีๆ

ไว้ในจิตใต้สำนึก ถือเป็นการสะสมความสำเร็จให้แก่จิตใจ ยิ่งสะสมมากเท่าไร

ขนาดของความสำเร็จก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นๆ  เท่านั้น

ว่ากันว่าชีวิตของเราจะสุขหรือทุกข์ ขึ้นอยู่กับเรามีความคิดแบบไหน

และคงปฏิเสธไม่ได้ ว่าสิ่งที่เราพูดกับตัวเองบ่อยๆ ย่อมส่งผลต่อความคิดของตัวเราเอง

วันนี้ อยากให้คุณลองถามตัวเอง ว่าในแต่ละวันคุณพูดถ้อยคำดีๆ ให้แก่ตัวเอง

มากพอแล้วหรือยัง ?

ถ้ายัง อย่าลืมนำคำทั้ง 3 คำ ไปใช้เป็นประจำน่ะครับ เพราะความสุขอยู่ใกล้แค่นิดเดียว และคุณสร้างมันได้

บทความโดย

S__40099845

จิตเกษม น้อยไร่ภูมิ (แมงปอ) โค้ชทะลุกรอบเงินเดือน

ติดตามได้ที่ https://m.facebook.com/OfficeMan-StandUp-1065263756901407/

 

8 เทคนิคขั้นเทพ ที่ช่วยให้คุณเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใคร ๆ ก็คงอยากเรียนเก่ง ฉลาด และมีความจำเป็นเลิศ แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนประสบปัญหาอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าหัว เรียนไม่เก่ง จำไม่ได้

หากคุณปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะส่งผลต่อความได้เปรียบ โอกาสในชีวิต และความภาคภูมิใจในตัวเอง

ดังนั้น คุณควรพัฒนาตนเองให้เก่งและสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำตามเทคนิค 8 ข้อในบทความนี้

1) จับประเด็นให้ได้ สรุปความให้เป็น

ความสามารถในการสรุปความเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับวัยเรียนและวัยทำงาน คุณไม่จำเป็นต้องจดทุกคำพูดหรือทุกตัวอักษร แต่คุณต้องจับประเด็นสำคัญในสิ่งที่คุณฟังหรืออ่าน และถ่ายทอดความเข้าใจนั้นออกมาโดยใช้คำพูดของตนเอง

วิธีการฝึกฝนทักษะนี้ก็คือ หลังจากที่คุณอ่านหรือฟังข้อความยาว ๆ ให้คุณลองเขียนสรุปใจความสำคัญของสิ่งนั้น ๆ การทำเช่นนี้จะทำให้คุณรู้ว่าตนเองเข้าใจเนื้อหาสาระและสามารถจับประเด็นสำคัญได้หรือไม่

2) ใช้ความกดดันเป็นพลังผลักดัน

หากคุณทำให้ตนเองรู้สึกกดดันบ้าง คุณจะสามารถผลักดันความสามารถของตนเองได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจำกัดเวลาในการเรียนรู้ของตนเอง หรือคุณอาจตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น เป็นต้น

แรงกดดันนี้อาจทำให้คุณรู้สึกเครียดและกดดัน แต่มันทำให้คุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจและพยายามทำให้ตนเองบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

3) หลีกหนีสิ่งรบกวน

โลกที่เราอาศัยอยู่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุที่รบกวนการเรียนรู้ และทำให้สมาธิของคุณวอกแวก เช่น โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ วิทยุ เป็นต้น ดังนั้น หากคุณต้องการเรียนรู้ได้ดี และมีประสิทธิภาพ คุณควรหลีกหนีจากสิ่งยั่วยุเหล่านั้นเพราะความปรารถนาที่จะเรียนรู้อาจยังไม่พอที่จะทำให้คุณเรียนได้ดี

แต่คุณต้องรู้จักที่จะปฏิเสธสิ่งรบกวนรอบตัวคุณด้วยดังนั้น ในขณะที่คุณอยู่ในห้องเรียน คุณควรปิดอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ หากคุณอ่านหนังสือหรือทบทวนบทเรียน คุณควรปิดวิทยุ หรือเปิดเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง วิธีการนี้จะทำให้คุณมีสมาธิ และจดจ่อกับการเรียนรู้มากขึ้น

4) ฝึกฝนจนชำนาญ

สิ่งใดที่กระทำซ้ำ ๆ หรือมีการฝึกฝนอยู่เสมอ ผู้ฝึกย่อมทำสิ่งนั้นได้ดี ในทางกลับกัน สิ่งใดที่ไม่ได้ทำนาน ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะถูกลืมหรือทำไม่ได้เหมือนเดิม ดังนั้นจงอย่ารอช้าที่จะฝึกฝน และทำซ้ำ หนึ่งในวิธีที่ช่วยย้ำเตือนความทรงจำ และทำให้คุณหลงลืมได้น้อยลงก็คือ การจดบันทึก

กล่าวคือ ยิ่งคุณเขียนมาก คุณก็จะยิ่งจำได้แม่นยำขึ้น เพราะการเขียนจะช่วยให้คุณมีสมาธิ และเมื่อคุณมีสมาธิ คุณก็จะสามารถจดจำสิ่งที่คุณเรียนรู้ได้ อีกทั้งมันยังช่วยเรียบเรียงความคิดของคุณให้เป็นระบบและทำให้การเรียนรู้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น5) ใช้ภาพประกอบ

หลายคนไม่รู้ว่าความจำมีความเชื่อมโยงกับการมองเห็น กล่าวคือ คนเราสามารถจดจำสิ่งต่างๆได้ดี เมื่อเราเห็นภาพประกอบยกตัวอย่างเช่น หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนผ่านทางโทรศัพท์ เมื่อเวลาผ่านไปคุณอาจจำชื่อของพวกเขาได้เพียงแค่ 1-2 คนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนเท่าๆกันในงานปาร์ตี้ คุณมีแนวโน้มที่จะจำพวกเขาได้มากกว่า 1-2 คนอย่างแน่นอน เพราะคุณได้เห็นหน้าตาพวกเขาจริงๆ และได้ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาผ่านการพูดคุย และการสัมผัส

ดังนั้น คุณสามารถประยุกต์สิ่งนี้กับการเรียนรู้ของคุณ โดยการใช้ภาพประกอบ เพราะมันจะทำให้คุณจดจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น

6) เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบ

แน่นอนว่าคนเราสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบได้ดีกว่าสิ่งที่เรารู้สึกเบื่อหน่าย หากคุณเปิดเพลงที่คุณชื่นชอบและไม่ได้ฟังมาเป็นระยะเวลาหลายปี คุณจะพบว่าตนเองยังสามารถจำเนื้อร้องได้อย่างแม่นยำ

ดังนั้น หากคุณเรียนรู้ในสิ่งที่คุณเกลียด มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้มันเข้าหัว และคุณก็ไม่สามารถทำมันได้ดี ดังนั้น เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างราบรื่น คุณควรรักการเรียนรู้ ทำให้มันน่าสนใจ และจงคิดว่ามันให้ประโยชน์แก่ชีวิตคุณ เพราะแรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญต่อการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ

7) พักผ่อนอย่างเพียงพอ

การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอมีความสำคัญมาก เพราะมันส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ หากคุณลองสังเกตว่าวันใดที่คุณได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ สมองของคุณก็จะรู้สึกปลอดโปร่ง และสามารถเปิดรับการเรียนรู้ใหม่ๆได้มากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากวันใดคุณพักผ่อนน้อย คุณจะรู้สึกถึงความอ่อนเพลีย สมองไม่แล่น และไม่สดชื่นตลอดทั้งวัน

ดังนั้น แทนที่คุณจะนอนดึกดื่นเพื่อโหมอ่านหนังสือ คุณควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอโดยควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมงเพื่อที่คุณจะได้รู้สึกสดชื่น และมีสมาธิกับสิ่งที่เรียนรู้ในแต่ละวัน

8) เชื่อมโยงสิ่งที่กำลังเรียนรู้กับสิ่งที่รู้อยู่แล้ว

การเชื่อมโยงสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้กับสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วจะทำให้คุณสามารถจดจำได้ดียิ่งขึ้น เพราะคุณจะเห็นความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกันซึ่งจะทำให้การเรียนรู้มีความหมายมากขึ้น หากคุณเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ

คุณอาจนึกถึงคำศัพท์ที่คุณรู้อยู่แล้ว หรือนึกถึงบริบทที่คุณเคยเจอคำศัพท์นี้ในชีวิตประจำวัน วิธีการนี้จะทำให้คุณเข้าใจและเห็นความสอดคล้องของความรู้ต่างๆบนโลกใบนี้

แปลและเรียบเรียงโดย Learning Hub Team

ที่มาบทความ : http://www.lifehack.org/327781/brain-power-level-8-ways-remember-absolutely-everything-you-learn

5 วิธี ฟื้นคืนจากวิกฤตชีวิต

ยากเหลือเกินที่จะยิ้มได้และใช้ชีวิตอย่างปกติ หากต้องเผชิญกับความท้อแท้สิ้นหวัง

ไม่ว่าจะเป็นการเจอวิกฤตด้านการเงิน ตกงานกะทันหัน ถูกทำร้ายทั้งร่างกายและอารมณ์

ความสัมพันธ์ที่ไปไม่รอด

การสูญเสียคนรักหรือเพื่อนอย่างกะทันหัน อีกทั้งความเจ็บป่วยเรื้อรังของญาติผู้ใหญ่

นี่คือสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่ใช่หรือเปล่า ?

ซ้ำร้ายกว่านั้น ในยามที่ชีวิตเป็นขาลง ดูเหมือนอะไรๆก็เข้ามาตามซ้ำเติม

ปัญหาหนึ่งก่อตัวขึ้นยังไม่จบ ปัญหาใหม่ๆก็เข้ามาทับถม และส่งผลกระทบถึงเรื่องต่อๆไป

คุณทำอย่างไร เมื่อชีวิตอยู่ในช่วงวิกฤต?

ในช่วงเวลาแบบนี้คุณจะพบว่า ในใจมีแต่ความกลัวและความเจ็บปวด เพราะความหวังพังทลาย

รู้สึกสูญเสียความมั่นใจ

รู้สึกไร้คุณค่าและไม่ดีพอ

รู้สึกสิ้นหวังและไม่มีกำลังใจจะก้าวเดินต่อ

สิ่งที่เกิดขึ้น อาจทำให้คุณจมอยู่ความรู้สึกย่ำแย่ และเศร้าโศกเนิ่นนาน จนกลายเป็นความซึมเศร้า ขาดกำลังใจที่จะใช้ชีวิต

คุณไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นมาอีกครั้งได้ยังไง ไม่ว่าใครจะมาพูดปลอบโยนเท่าไหร่ ก็ไม่อาจช่วยให้คุณดีขึ้นมาเลย…

 

ตามกฎของจักรวาล “ทุกสิ่งไม่เที่ยงและจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอ” ดังนั้นโชคร้ายก็จะไม่อยู่กับคุณตลอดไป ในเมื่อชีวิตมีขาลงก็ย่อมมีขาขึ้น

ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ ข่าวดีก็จะมาเยือน แล้วคุณจะลุกขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

แต่หากคุณมีวิธีที่จะทำตัวเองให้ดีขึ้นได้ในเร็ววันจะไม่ดีกว่าหรือ

ต่อไปนี้เป็น 5 วิธีที่จะช่วยคุณได้

1.ยอมรับและเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

มีความทุกข์อยู่ 2 อย่าง คือ ทุกข์ที่ทำให้คุณเจ็บปวด และทุกข์ที่ทำให้คุณเปลี่ยนแปลง

คุณจะเจ็บปวดก็ต่อเมื่อคุณต่อต้านมัน หากคุณยอมรับและพร้อมที่จะเดินไปต่อกับมันได้ นั่นจะนำมาซึ่งการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง

อย่างแรกที่คุณจะทำก็คือ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าคุณไม่ชอบมันเลย การดิ้นรนต่อสู้กับมัน หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ก็ยิ่งจะเสียพลังงานและเวลาไปเปล่าๆ

การยอมรับจะทำให้คุณกลับมาพบความสงบในใจ และพร้อมที่จะเดินหน้าต่อในทิศทางใหม่ๆ

การปล่อยวางจะง่ายยิ่งขึ้น หากคุณ“ให้อภัย” ไม่ว่าจะเป็นกับตัวคุณเอง กับใครบางคน หรือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

การให้อภัยจะปลดปล่อยตัวคุณจากความเครียด ความกดดัน ความกังวล ความยึดติดกับอดีตและอนาคตทั้งหลาย

การยอมรับและการอภัย จะช่วยให้ใจของคุณรู้สึกเบาสบายขึ้น เป็นอิสระจากสิ่งที่คุณยืดถือและคาดหวังว่าจะต้องเป็น แม้ว่าสิ่งภายนอกจะยังเหมือนเดิมก็ตาม

2.โอบกอดตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

หากคุณหมดความมั่นใจ หมดความเชื่อและศรัทธาในตนเอง แสดงว่าคุณกำลังอยากจะเป็นใครอีกคนที่ไม่ใช่คุณ

ลองถามตัวเองว่า กำลังคาดหวังความสมบูรณ์แบบในชีวิตอยู่หรือเปล่า ลองมองอดีตที่ผ่านมาสิ คุณก็มีความสำเร็จในชีวิตเกิดขึ้นตั้งมากมาย

สิ่งที่คุณต้องการในตอนนี้คือ การโอบกอดและยอมรับตัวเอง ในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

หยุดเปรียบเทียบกับชีวิตคนอื่น มองให้เห็นความสวยงามในตัวเอง

ถึงแม้จะไม่เหลือสิ่งภายนอกใดๆเลยก็ตาม คุณก็ยังเป็นมนุษย์ที่สวยงามในแบบที่คุณเป็น และมันดีที่สุดแล้ว

คุณคือคนธรรมดาที่สามารถทำผิดพลาดได้ มีความกังวลบ้าง กลัวบ้างเป็นธรรมชาติ

คุณไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ก็สามารถยอมรับและรักตัวเองได้

3.เตือนตัวเองว่า ทุกสิ่งเป็นของชั่วคราว

การก้าวข้ามที่สำคัญในชีวิต เกิดขึ้นเมื่อคุณตระหนักว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆในชีวิต ทั้งที่เป็นข้อจำกัด ความล้มเหลว ความผิดพลาด ความสูญเสีย โชคร้ายและความเสื่อมถอย เป็นเพียงของชั่วคราวเท่านั้น

และหลายครั้งมันผ่านไปแล้ว แต่คุณยังทำให้มันคงอยู่ ด้วยความคิดของคุณนั่นเอง

ความทุกข์และความไม่แน่นอน ก็เป็นของชั่วคราว มันไม่มีทางจะยาวนานไปตลอดกาล

เวลาจะช่วยเยียวยาคุณได้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลานับเดือนนับปี แต่แล้วมันก็จะผ่านไป

ชีวิตจะหมุนต่อไปไม่หยุด ดังนั้นอย่าให้ความทุกข์มาเปลี่ยนตัวคุณที่แท้จริงไป

คนที่เข้มแข็งคือคนที่ร้องไห้ได้อย่างเปิดเผย แล้วก็พร้อมก้าวต่อไปเมื่อหยาดน้ำตาเหือดแห้งลง

4.มองหาสิ่งที่ขอบคุณได้ ในช่วงเวลานี้

การขอบคุณ คือการเยียวยาตัวเองที่เรียบง่าย และมันช่วยได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ในภาวะที่กำลังจมอยู่กับตัวเองและความทุกข์ ลองหาเหตุผลที่จะขอบคุณกับอะไรก็ได้รอบๆตัว

แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งเล็กน้อยและธรรมดาแค่ไหน ขอบคุณที่ยังมีลมหายใจ ขอบคุณความรักจากคนรอบตัว ขอบคุณสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากเรื่องนี้

หากคุณเลิกมองสิ่งที่ขาดหาย และหันมาขอบคุณกับสิ่งที่เหลืออยู่ ด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ จะพบว่าหลายๆครั้งได้มองข้ามอะไรไปบ้าง

สิ่งที่สูญเสียไป คงเอากลับมาไม่ได้ แต่มันดีแค่ไหน ที่คุณได้ค้นพบสิ่งที่มีค่าที่ยังคงมี กับชีวิตที่เหลืออยู่

5.ยื่นมือออกไป ช่วยใครสักคน

ความท้อแท้ในชีวิต ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะคุณรู้สึกสมเพชตัวเอง แม้มันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ แต่คุณก็ทำอยู่เสมอๆโดยไม่รู้ตัว

ถ้าคุณสามารถจับความคิดได้ว่า เริ่มดูถูกและต่อว่าตัวเอง ให้หยุดสนใจที่ตัวเองแล้วมองไปที่ผู้คนรอบๆตัว

ลองหาทางที่จะช่วยเหลือใครสักคน แม้แต่จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆ เชื่อมั้ยว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นในทันที

เมื่อไหร่ที่คุณอยากได้รับการใส่ใจ ให้คุณใส่ใจผู้อื่น ดูแลเขาให้เหมือนกับที่คุณต้องการ ด้วยจิตที่เมตตา และหัวใจอ่อนโยน

หากคุณทำเช่นนี้ ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเองได้อีก มันจะทำให้คุณตระหนักถึงคุณค่าแห่งการมีชีวิต

การได้ช่วยเหลือใครสักคน จะทำให้คุณตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ที่ขังคุณไว้ในจิตใจอันโดดเดี่ยวของตัวเอง

 

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังท้อแท้สิ้นหวังในชีวิต ขอให้รู้ว่า คุณไม่ได้เผชิญกับมันเพียงลำพังผู้เดียว

คนรอบตัวที่เค้ารักคุณ ต่างรู้สึกและได้รับผลกระทบกับความเศร้าจากคุณอยู่เช่นกัน

ยิ่งคุณทำร้ายตัวเอง ก็จะยิ่งทำให้พวกเค้าเจ็บปวดไปด้วย

ถ้านั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ ลองใช้หลักการ 5 ข้อนี้ นำพาตัวเอง ให้ฟื้นคืนขึ้นมาจากฝันร้าย

นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังช่วยให้ชีวิตคุณและพวกเขาดีขึ้นในคราวเดียวกัน

บทความโดย “เรือรบ” โค้ชนักเขียนมือโปร

15171330_1499006013448479_3554154597384815987_n

โค้ชที่ทำให้คุณให้ออกหนังสือได้ใน 10 สัปดาห์ มีทีมงานมืออาชีพสนับสนุนทุกขั้นตอน

ติดตามเทคนิคการเขียนได้ที่เพจ https://www.facebook.com/ruarob/

3 สิ่งที่ทำให้คนตั้งใจ ไม่มีความสุขในการทำงาน

ในหนึ่งวัน เวลาที่เราใช้ไปกับการทำงาน รวมๆ แล้ว ยังมากกว่าเวลาที่เรานอนเสียด้วยซ้ำ

จะแย่แค่ไหน ถ้าอาการทุกข์เพราะงานรุกลามไปตลอดทั้งปี

ต่อไปนี้ อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของคนตั้งใจทำงาน

1. ตั้งใจทำงานเพื่อเงิน

เมื่อเราตั้งใจทำงานเพื่อเงินแล้ว ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จิตใจของเราจะจดจ่ออยู่กับรายได้ที่คาดหวัง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ในหนึ่งเดือนรายได้จะเข้ากระเป๋าเราแค่เพียง 1 ครั้ง

ในขณะที่ปัญหาทั้งใหญ่ ทั้งเล็กจากการทำงานสามารถเกิดได้ทุกวัน ทุกเวลา จึงยากยิ่งนักที่คนทำงานจะมีความสุขในรอบ 1 เดือน

2. ตั้งใจทำงานเพื่อลาภยศ

เมื่อเราตั้งใจทำงานเพื่อลาภยศแล้ว ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จิตใจของเราจะจดจ่ออยู่กับความเจริญก้าวหน้าจากตำแหน่งและหน้าที่การงาน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วในรอบ 1 ปี คนทำงานจะมีโอกาสได้รับ
การพิจารณาเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง แค่เพียง 1 – 2 ครั้ง เท่านั้น จึงยากยิ่งนักที่คนทำงานจะมีความสุขในรอบ 1 ปี

3. ตั้งใจทำงานเพื่อชื่อเสียง

เมื่อเราตั้งใจทำงานเพื่อชื่อเสียงแล้ว ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จิตใจของเราจะจดจ่ออยู่กับการได้รับการยอมรับ นับหน้าถือตาจากผู้คนมากมาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความคิดเห็นของบุคคลอื่น

ไม่สามารถควบคุมจิตใจของบุคคลอื่นให้รู้สึกชื่นชมตัวเราในแบบที่เราต้องการได้
จึงยากยิ่งนักที่คนทำงานจะมีความสุขตลอดช่วงชีวิตของการทำงาน

วิธีการที่ดีที่สุดในการสร้างสุขในการทำงานคงไม่ใช่แค่การตั้งใจทำงานเพื่อให้สิ่งที่คาดหวังสำเร็จแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงการรู้จักเลือกสิ่งที่คาดหวังให้เหมาะสม

ถ้าเราเปลี่ยนจากที่เคยคาดหวัง เงิน ลาภยศ ชื่อเสียงมาเป็นคาดหวังที่จะได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองจากการทำงาน
เราจะรู้สึกว่าการทำงานมีแต่เรื่องที่ทำให้เราได้เรียนรู้
และปัญหาทุกปัญหาคือโอกาสที่ทำให้เราได้พัฒนาตนเอง

ที่สำคัญคือ เรามีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้ทุกวัน ทุกเวลา
เมือความสำเร็จเล็กๆ เกิดขึ้นทุกวันๆ ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ชีวิตเราจะมีความสุขในทุกวันๆ ตลอดปี

307090

บทความโดย จิตเกษม น้อยไร่ภูมิ (แมงปอ) โค้ชทะลุกรอบเงินเดือน

ติดตามได้ที่ https://m.facebook.com/OfficeMan-StandUp-1065263756901407/

 

7 คำถาม ที่ช่วยให้คุณก้าวข้ามดวงแย่ๆ (แม้อยู่ในปีชง)

ในช่วงปีเก่าเพิ่งผ่านไป ปีใหม่เพิ่งมาเยือนแบบนี้ เชื่อว่ากิจกรรมหนึ่งที่คนไทยนิยมทำกันมาก คงหนีไม่พ้น “การดูดวง” ยิ่งในปีนี้ผู้ที่เกิดในปีนักษัตรที่ถูกทำนายว่าเป็นปีชง คงต้องเดือดเนื้อร้อนใจเป็นพิเศษ เพราะเกรงว่าจะมีอุปสรรคต่างๆ มาขวางกั้นความสำเร็จ

วันนี้ ผมมี 7 คำถาม ง่ายๆ ที่คุณสามารถตั้งเอง ตอบเอง และก้าวข้ามดวงแย่ๆ โดยไม่ต้องพึ่งซินแส หรือหมอดูชื่อดังที่ไหน

เริ่มเลย !!!

1.สิ่งใดบ้างที่จะทำให้ฉันประสบความสำเร็จ ?

ผู้ที่ต้องการความสำเร็จในด้านใด จำเป็นที่จะต้องตอบให้ได้ว่าวิธีการพัฒนาตัวเองให้ประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นๆ จำเป็นที่จะต้องศึกษาความรู้เรื่องใดเพิ่มเติม ต้องหาประสบการณ์ใดเพิ่มเติม หรือ ต้องเอาใจใส่สิ่งที่ทำอยู่ในเรื่องใด

2. เป้าหมายในชีวิตของฉันคืออะไร ?

หลายคนต้องการความสำเร็จ แต่ไม่เคยตอบได้เลยว่าความสำเร็จที่ตนเองต้องการหน้าตาเป็นเช่นไร ดังนั้น ในการตั้งเป้าหมายจึงควรระบุให้ได้เป็นรูปธรรมว่าคุณต้อการประสบความสำเร็จเรื่องใดบ้าง

และความสำเร็จในเรื่องนั้นๆ มีขนาด ปริมาณ หรือ หน้าตาเป็นเช่นไร เช่น อยากมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท ต่อเดือน อยากมีเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง อยากมีเวลาอยู่กับลูกทุกวันในตอนเย็น เป็นต้น

3.ฉันมีความสามารถในเรื่องใด ?

การรู้และเข้าใจในตนเอง คือ พื้นฐานสำคัญที่จะทำให้คุณสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผู้ที่สามารถเอาชนะเป้าหมายในชีวิตได้แทบทุกคนล้วนแต่เป็นบุคคลที่พัฒนาตนเองจากสิ่งที่ถนัด ไม่ใช่คนที่พยายามพัฒนาตนเองจากสิ่งที่ตนไม่ถนัด

4. สิ่งที่ฉันต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือเรื่องอะไร ?

คงไม่มีใครที่เก่งไปเสียทุกเรื่อง แต่ละคนย่อมมีจุดอ่อน จุดด้อยที่แตกต่างกัน การค้นพบว่าสิ่งใดเป็นจุดอ่อนของตนเองและหาวิธีแก้ไข ป้องกันไม่ให้สิ่งนั้นกลายเป็นอุปสรรคต่อการทำตามเป้าหมาย คือ การปิดประตูความผิดพลาดเล็กน้อยๆ ที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายที่ใหญ่หลวงในอนาคต

5. ฉันบริหารเวลาได้ดีแค่ไหน ?

เวลาถือเป็นปัจจัยหลักที่จะสร้างความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลว ให้ชีวิตคนหนึ่งคน ดังนั้น การบริหารเวลาจึงเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ชีวิตของมนุษย์ทุกคน

6. ฉันรู้จักสภาพแวดล้อมของสิ่งที่ฉันต้องทำมากหรือน้อยแค่ไหน ?

สิ่งที่คุณต้องทำในปี 2560 อาจมีหลายสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้องกับสังคม และชีวิตของผู้คนมากมาย เช่น การค้าขาย การเดินทาง การลงทุน ฯลฯ จึงจำเป็นที่คุณจะต้องมีความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทั้งทางชุมชน สังคม วัฒนธรรม และด้านอื่นๆ ของสิ่งที่คุณต้องทำ มันอาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้คุณประสบความสำเร็จได้

7. มีใครบ้างที่จะช่วยสนับสนุนฉันได้ ?

หากคุณมีเพื่อนคู่คิด หรือ คนที่คุณสามารถเชื่อใจและไว้ใจที่จะขอคำปรึกษา ขอความช่วยเหลือ เพื่อให้งานหรือเป้าหมายของคุณประสบความสำเร็จลุลวงไปได้ด้วยดี ก็นับว่าคุณโชคดีมากๆ ที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากเพียงลำพัง

คำถามทั้ง 7 ข้อ จะนำมาซึ่งความรู้ทั้ง 7 ประการ ได้แก่

 รู้จักเหตุ

 รู้จักผล

 รู้จักตน

 รู้จักประมาณ

 รู้จักกาล

 รู้จักชุมชน

 และรู้จักบุคคล

ความรู้ทั้ง 7 ประการ ถือเป็นความรู้ที่ช่วยพัฒนาชีวิตให้พบแต่ความสมบูรณ์แบบ หรือ ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “สัปปุริสธรรม 7”

ดังนั้น ในปีนี้ไม่ว่าจะดวงชงหรือไม่ชง คงไม่สำคัญเท่ากับคุณได้ตั้งคำถามทั้ง 7 เพื่อพัฒนาตนเองแล้วหรือยัง

บทความโดย

307090

โค้ชแมงปอ จิตเกษม น้อยไร่ภูมิ

https://www.facebook.com/mungmaha.norrata

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save