5 สิ่งที่คนมีความสุขไม่เคยลืม

เมื่อคุณมองไปรอบๆตัว และสังเกตเห็นผู้คนที่กำลังยิ้มแย้มและหัวเราะ คุณคิดอิจฉาว่าทุกสิ่งทุกอย่างดูจะเป็นใจไปกับพวกเขาซะหมด

ในขณะเดียวกัน คุณรู้สึกว่าตนเองกำลังต่อสู้ดิ้นรนกับสิ่งต่างๆในชีวิต และกว่าที่ผ่านพ้นไปในแต่ละวันมันช่างยากลำบากซะเหลือเกิน คุณเฝ้าบอกกับตัวเองว่าคนอื่นๆ ไม่ได้มีความสุขจริงๆ และสิ่งที่คุณเห็นมันเป็นแค่ภาพลวงตา หากคุณกำลังคิดเช่นนี้ คุณกำลังทำลายความสุขของตัวเอง และไม่น่าแปลกใจที่คนอื่นๆจะมีความสุขมากกว่าคุณ

ดังนั้น เพื่อแสวงหาความสุขและดึงตัวเองให้ขึ้นมาจากความทุกข์ คุณควรอ่านบทความนี้ เพราะบทความนี้เปิดเผยสิ่งที่คนที่มีความสุขปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาไม่เคยลืมทำ 5 สิ่งเหล่านี้เลย และเมื่อคุณอ่านจบ คุณจะพบว่าความสุขเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราและหาได้ไม่ยาก

1.ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

คนที่มีความสุขมักยินดีและเห็นคุณค่าในความสำเร็จของผู้อื่น พวกเขาไม่อิจฉาริษยา หรือแก่งแย่งชิงดีกับใคร

ในทางตรงกันข้าม คนที่มีความทุกข์มักเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นตลอดเวลา พวกเขาคอยจับจ้องความสำเร็จของผู้อื่น และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งนั้นเช่นกัน ดังนั้น หากคุณต้องการมีความสุข ให้คุณตั้งเป้าหมายในชีวิตของคุณเอง และใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุความสำเร็จนั้น คุณควรแข่งขันกับตัวเอง อย่าแข่งขันกับคนอื่น

นอกจากนี้ หากคุณเผชิญกับปัญหาที่อาจทำให้คุณล้มลุกคลุกคลาน ให้ถือว่าอุปสรรคนั้นเป็นบทเรียนที่ล้ำค่า จงเข้มแข็งและอย่ายอมแพ้ คุณควรปรับปรุงและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และท้ายที่สุด คุณจะพบว่าคุณสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์เหล่านั้น และกลายเป็นคนที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีความสุข

2.เลือกที่จะมีความสุข

เราทุกคนล้วนมีปัญหาในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องครอบครัว เงินตรา ความรัก การงาน เป็นต้น แต่ความแตกต่างระหว่างคนที่มีความสุขกับคนที่ไม่มีความสุข คือ ทัศนคติ หรือมุมมองในการใช้ชีวิต

ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีความสุข คือ คนที่มองโลกในแง่ดี พวกเขาเพลิดเพลินไปกับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆก็ตาม นอกจากนี้ พวกเขามีความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีหรือสิ่งที่ตนเองเป็น ดังนั้น พวกเขาสามารถหาความสุขได้จากสิ่งที่เรียบง่าย และมีชีวิตที่ราบรื่น

อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ ก็คือ การนิยามความสุขด้วยตัวคุณเอง คุณเป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถบอกได้ว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น หากคุณรู้สึกมีความสุขกับการทำงานอดิเรกอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จงทำมัน และใช้เวลากับมันให้เต็มที่ ดังนั้น จงอย่าปล่อยให้คนอื่นกำหนดหรือบงการชีวิตของคุณ เพราะนั่นจะทำให้คุณไม่มีความสุขที่แท้จริง

3.ลืมอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว

คนที่มีความสุข คือ คนที่สามารถจัดการกับความทรงจำอันโหดร้ายในชีวิตได้ พวกเขาเลือกที่จะไม่จมอยู่กับความทุกข์เหล่านั้น ทั้งยังนำเอาประสบการณ์ที่เคยผิดพลาดมาเป็นบทเรียน และผลักดันให้ชีวิตของตนก้าวไปข้างหน้า

หากคุณต้องการมีความสุข จงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ยึดติดกับอดีตหรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง กล่าวคือ อย่าปล่อยให้ความทุกข์ในอดีตส่งผลต่อความสุขในปัจจุบันของคุณ พยายามลืมความทุกข์ที่ทำให้คุณรู้สึกขมขื่น และใช้เวลาในปัจจุบันให้มีคุณค่าและมีความสุข

4.อยู่ท่ามกลางคนที่ทำให้รู้สึกดีและมีความสุข

สุภาษิตไทยที่ว่า “เข้าฝูงหงส์เป็นหงส์ เข้าฝูงกาเป็นกา” นั้น มีหมายความว่าหากเราเข้าไปอยู่ในหมู่คนดี หรือคบเพื่อนดี ก็จะเป็นศรีแก่ตัว แต่หากเราอยู่ในหมู่คนชั่ว เราก็จะพลอยเดือดร้อนหรือกลายเป็นคนชั่วไปด้วย

ดังนั้น หากคุณต้องการมีความสุข คุณก็ควรอยู่ท่ามกลางคนที่ทำให้คุณรู้สึกดีและมีความสุข การใช้เวลาอยู่กับคนที่บั่นทอนกำลังใจ และไม่สนับสนุนความพยายามของคุณ จะทำให้คุณรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง คุณควรเดินออกมาจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้น และหากคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การอยู่ลำพังอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการอยู่ร่วมกับคนที่ทำให้คุณมีความคิดเชิงลบ

คุณอาจกลัวกับการอยู่คนเดียว แต่จงจำไว้ว่าการอยู่เพียงลำพัง ไม่ได้หมายถึง ความโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่การอยู่กับตัวเองเป็นเวลาที่ดีที่คุณจะได้รู้จักตนเอง และหาทางปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองโดยไม่มีอิทธิพลหรือความคิดของผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง

5.ยอมรับความจริง

บางครั้งความจริงในชีวิตอาจเป็นสิ่งที่น่ากลัว หรือทำให้เราเจ็บปวด แต่ความจริง ก็คือความจริง คุณไม่มีทางหลีกหนีไปได้ และคนที่มีความสุข คือ คนที่รู้จักยอมรับและใช้ชีวิตอยู่กับความจริงอย่างมีความสุข

ในทางตรงกันข้าม คนที่มีความทุกข์ มักหลีกหนีจากความจริง ชอบการโกหกหลอกลวง ปกปิดซ่อนเร้นอยู่ตลอดเวลา พวกเขาเหล่านี้มีแต่ความกังวลใจ และกลัวว่าผู้อื่นจะรู้ความจริงของตนเอง การยอมรับความจริงในช่วงแรกอาจทำให้คุณรู้สึกทุกข์ เดือดเนื้อร้อนใจ แต่สิ่งนี้จะทำให้คุณเห็นสัจธรรมของชีวิต หรือเตือนใจให้เราไม่ประมาทในสิ่งต่างๆที่รออยู่ข้างหน้า อีกทั้ง ยังฝึกใจเราให้เข้มแข็ง อดทน และมีสติมากขึ้น  

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

Source: http://www.pickthebrain.com/blog/5-things-happy-people-never-forget/

5 สัญญานเตือนที่บ่งบอกว่าคุณกำลังไม่มีความสุขในชีวิต

5 warning signs that indicate that you are not happy in life

ในวันหนึ่งคุณอาจมีอารมณ์ขึ้นและลงมีทั้งความสุข ความทุกข์ เครียด กังวล ดีใจ โล่งใจ หิว เหวี่ยง และอารมณ์อื่นๆ ซึ่งปัญหาหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนหรือคนรอบข้างคุณ คุณอาจมองว่าเป็นปัญหาเล็กนิดเดียว แต่ในทางกลับกันพวกเขาอาจรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา อย่าตัดสินปัญหาของคนเราด้วยการเปรียบเทียบกัน เพราะแต่ละคนมีต้นทุนชีวิต และปัจจัยไม่เหมือนกัน ในทางตรงข้ามคุณก็ไม่ควรตัดพ้อกับชีวิต หรือ โทษโชคชะตาในปัญหาที่คุณเจอแต่เพื่อนคุณไม่เจอ

สิ่งที่ทำให้คุณมองปัญหาออกและแก้ไขมันอย่างทันท่วงทีคือ สติ และปัญญา ถ้าคุณปรารถนาจะมีชีวิตที่มีความสุข ได้ทำตามความฝันของตัวเอง คุณจะต้องรู้ตัวเองก่อนว่าคุณชอบทำอะไร ทำอะไรได้ดี ทำอะไรแล้วมีความสุข และที่สำคัญ สิ่งที่คุณชอบทำนั้นก่อให้เกิดรายได้ที่เลี้ยงตนเองได้หรือไม่ แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น คุณต้องยอมรับความจริงก่อนว่าสิ่งไหนคือตัวถ่วงและเป็นสิ่งที่คุณทำแล้วไม่มีความสุขเอาซะเลย

1.คุณไม่ยอมลาออกจากงานประจำที่คุณเกลียด

เริ่มจากงานที่คุณกำลังทำอยู่ คนเราใช้เวลาทำงานอย่างน้อย 40 ชั่วโมง ต่อ สัปดาห์ ในการทำงาน นั่นหมายถึงว่าครึ่งชีวิตของคุณอยู่กับที่ทำงาน ถ้าคุณไม่มีความสุขกับที่ทำงานแล้วละก็ นั่นหมายถึงว่าชีวิตคุณก็กำลังไม่มีความสุขด้วย ถึงแม้ว่างานในสมัยนี้จะหายาก แต่ถ้าคุณไม่คิดจะเริ่มหางาน หรือ เริ่มพัฒนาตัวเอง เพื่อให้ได้งานใหม่ที่ดีกว่า คุณก็ต้องจมปลักอยู่กับชีวิตเดิมๆแบบนี้ และเป็นชีวิตที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลง วนเวียนกับความทุกข์ซ้ำซาก

2.คุณมีความสัมพันธ์ที่มึนอึน

ความรักเป็นสิ่งสวยงามที่สร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับชีวิตคุณ เมื่อไหร่ก็ตามที่ความรักของคุณเริ่มทำร้ายคุณ ทำให้ชีวิตคุณแย่ลง ทำให้คุณเหนื่อยขึ้น ทำให้คุณเสียใจบ่อยๆครั้ง คุณควรที่จะหันมารักตัวเอง และให้คุณค่ากับตัวคุณเอง มากกว่าคนที่ไม่สนใจและทำร้ายความรู้สึกคุณ อย่าเสียดายความผูกพันหรือเวลาที่เสียไป แต่จงเสียดายเวลาในอนาคตที่คุณต้องทนอยู่อย่างไม่มีความสุข ยอมตัดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อชีวิตที่ดีในอนาคต

3.คุณไม่ยอมตัดสิ่งไม่ดีออกจากชีวิต

สิ่งไม่ดีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของพฤติกรรมที่แย่ เพื่อนที่แย่ สิ่งแวดล้อมที่แย่ ทุกอย่างคือปัจจัยที่ทำให้ชีวิตคุณไม่มีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแย่ๆที่ชอบยืมเงินและไม่คืนคุณ บ้านหรือที่อยู่อาศัยคุณที่อยู่ในแหล่งซ่องสุมของโจร พฤติกรรมการตื่นสายที่แก้ไม่ได้ หรือ พฤติกรรมการติดเหล้าติดบุหรี่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกระตุ้นและสิ่งเร้าที่ทำให้ชีวิตคุณแย่ลงเรื่อยๆ คุณอาจเคยคิดที่จะตัดมันออกไปจากชีวิต แต่ถ้าคุณแค่คิด แต่ทำไม่ได้ ท้ายสุดคุณก็ไม่มีความสุขที่แท้จริงอยู่ดี

4.คุณเต็มไปด้วยความสงสัยและความกลัว


คุณอาจเคยผิดหวังมามาก คุณอาจกลัวในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มีคำถามสงสัยเต็มหัวไปหมด ว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างไร ซึ่งบางทีเรื่องราวเหล่านั้นยังไม่เกิด และอาจไม่เกิดเลยก็ได้ การที่คุณคิดไปเองก่อน ทำให้คุณเป็นทุกข์และกังวลเปล่าๆ ถ้าคุณรู้ตัวว่าคุณกำลังมีความคิดวนเวียนซ้ำๆซากๆ มีความสงสัย ความกังวลในเรื่องเดิมๆ นั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกแล้วว่าคุณกำลังไม่มีความสุขเอาเสียเลย

5.คุณผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ


การที่คุณบอกตัวเองว่าเดี๋ยวค่อยทำ และผลัดมันไปเรื่อยๆ คือปัญหาสะสมเรื้อรัง และดูเหมือนว่าสิ่งที่คุณเลื่อนไปเรื่อยๆจะไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้ ไม่มีใครอยู่ได้ไปตลอดกาล ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้หรือชาติหน้าอะไรจะมาก่อน คุณควรทำในสิ่งที่คุณอยากทำตอนนี้ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป การผลัดผ่อนสิ่งต่างๆในชีวิตออกไปเรื่อยๆ เป็นอีกสัญญานที่บ่งบอกว่าคุณยังไม่พร้อม หรือ ติดค้างปัญหาอื่นๆอยู่

การเปลี่ยนแปลงคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง คุณต้องมีความเชื่อก่อนว่าคุณสามารถทำได้ และสามารถทำได้ด้วยดี คุณต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง และมีความสุข ไม่มีสิ่งไหนในชีวิตได้มาง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความพยายาม ชีวิตคุณลิขิตได้ เพียงแค่คุณเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเปลี่ยนมุมมองความคิดเพื่อทำให้ชีวิตคุณมีความสุขขึ้น

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

เครดิต : Huffington post

http://www.huffingtonpost.com/kimanzi-constable/5-signs-youre-not-happy-with-your-life-and-what-you-can-do-about-it_b_8166980.html?utm_hp_ref=gps-for-the-soul&ir=GPS+for+the+Soul

เผย 5 เคล็ดลับ สร้างความสุข ตั้งแต่อายุน้อย

happyyouth

คนเรา ยิ่งอายุมาก ทั้งความรับผิดชอบ ตำแหน่งฐานะ การงาน อาจทำให้การเข้าถึง “ความสุข” เป็นเรื่องยาก เพราะกฎเกณฑ์และมาตรฐานในชีวิตสูง

ความสุข คือ “ทักษะของจิตใจ” ที่ควรฝึกฝนตั้งแต่อายุน้อย นั่นจะทำให้คนๆนั้นเป็นคนที่มีความสุขได้ง่าย และบ่อยครั้ง

เหล่าบรรดา Gen Y, Gen Z อาจจะสงสัยว่า แล้วทำไมผู้ใหญ่ทั้งหลาย ต้องสร้างกรอบมาตรฐานเยอะแยะให้กับตัวเองด้วย แทนที่จะเลือกให้ตัวเอง พบเจอแต่ความสุขได้เลยตั้งแต่อายุน้อยๆ แต่ก็ไม่ทำกัน หรือคนที่เป็นผู้ใหญ่เหล่านั้น อาจจะยังไม่ได้รู้ถึงเคล็ดลับ  5 ข้อนี้ ก็เป็นได้

1.ความเด่นดัง ไม่ใช่หนทางสู่ความสุข

คนในยุคนี้ไม่ว่าใคร ก็อยากที่จะมีชื่อเสียง เด่นดังด้วยกันทั้งนั้น เพราะมันจะนำมาซึ่งความสุข เงินทอง และการนับหน้าถือตา อำนาจ อภิสิทธิ์ต่างๆที่คนอื่น มอบให้กับเรา ตอนที่อายุยังน้อยๆอาจจะไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ต่อมาเมื่อไปชอบดารา นักร้อง หรือไอเดอลต่างๆ ก็อยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง จึงพยายามทำหลายๆวิธีให้มุ่งไปสู่จุดนั้น ทั้งๆที่อาจไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบและรักที่จะทำจริงๆ แต่ทำไปเพราะอยากดัง

คุณรู้หรือไม่ว่า ความดังและชื่อเสียงที่ได้รับมานั้น มันเป็นสิ่งของปลอม เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมาทั้งหมด เพราะในวันหนึ่งมันก็ต้องเสื่อมไป ถ้าคนที่คิดได้ ก็จะไม่หลงไปกับสิ่งเหล่านั้น แต่ส่วนใหญ่จะคิดกันไม่ได้ และจะทำให้กลายเป็นคนหลงอำนาจ ใช้สิ่งที่มีไปในทางที่ผิด เมื่อวันหนึ่งที่อำนาจเหล่านั้นได้หมดลงไป คนพวกนี้จะทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส เพราะไม่เหลือใคร ที่จะสนใจ หรือให้การยอมรับเหมือนวันก่อน

Tips: ทำสิ่งในที่รัก และทำให้เต็มที่ ตั้งเป้าในการพัฒนาตัวเอง สร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับผู้คน ระวังในอำนาจวาสนาที่ได้มาอย่างรวดเร็ว ไม่หลงไปกับความฟุ้งเฟ้อที่จอมปลอม ส่วนความเด่นดัง ถ้ามี ก็เป็นเพียงผลพลอยได้ ไม่ใช่เป้าหมายในชีวิต

2. หมั่นสังเกต สิ่งเล็กน้อย รอบๆตัว

ตอนเราอายุน้อย ผู้ใหญ่ในครอบครัว มักจะปลูกฝังว่า ความสุขไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ง่ายๆ แต่ต้องผ่านความยากลำบากในชีวิตเสียก่อน ที่คิดว่าสร้างยากนั้น อาจเพราะเค้าเห็นว่า บางคนต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และเสียสละชีวิตส่วนตัวไป เพื่อที่จะแลกกับความสุขกลับมา ก็เลยคิดว่า ถ้าอยากได้ความสุขแล้ว ต้องทำแบบคนๆนั้น ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่จำเป็นเลย ความสุขอยู่รอบๆตัวเราเต็มไปหมด ถ้าเราฉลาดพอ ที่จะคิดให้เป็น เราก็จะสามารถสะสมความสุขเหล่านั้น ให้มาอยู่กับเราได้ โดยที่ไม่ต้องลำบากเลย

Tips: ความสุขที่แท้จริง อาจจะอยู่รอบๆตัวคุณอยู่แล้วก็ได้ ลองดูเด็กตัวเล็กๆ เค้าจะมีความสุขง่ายๆ กับสิ่งเล็กๆน้อยๆ หัวเราะดังๆ ยิ้มได้กว้างๆ ดังนั้น ในทุกวัน หมั่นลองสังเกตสิ่งรอบๆตัวคุณดู ว่าอะไรที่หากขาดมันไป อาจส่งผลกระทบกับคุณได้ เช่น คุณมีรถมอเตอร์ไซค์ ที่ไม่เคยเห็นความสำคัญ แต่วันไหนถ้ามันพังขึ้นมา คุณก็ต้องลำบากไปขึ้นรถเมล์ สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้คุณอาจจะหลงลืมไปในชีวิตไปก็ได้ เพราะอาจจะคิดว่า มันไม่มีความสำคัญต่อคุณสักเท่าไหร่ในตอนนี้ เลยทำให้มองข้ามมันไป

3.อย่ามัวสนใจ แต่เรื่องของตัวเอง

การสนใจตัวเอง เป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้เราเข้าใจ และรู้จักพัฒนาข้อบกพร่องต่างๆ เกี่ยวกับตัวเราให้ดีขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้เรา เป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด คนหนึ่งได้เลยทีเดียว แต่ทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ ถ้าเราใช้มันไม่เป็น การสนใจแต่เรื่องของตัวเอง จนมองข้ามเรื่องของคนอื่นไป ในสายตาคนอื่น เราอาจจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวได้ง่ายๆ

ตอนอายุน้อยเราอาจจะไม่รู้สึกตัว เพราะเรายังคงหมกมุ่นอยู่แต่ความสุขของตัวเอง แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ต้องการขอความช่วยเหลือ ทีนี้ เราก็จะเริ่มเห็นแล้วว่า ไม่มีใคร อยากที่จะยื่นมือมาช่วยเหลือเราเลย เพราะเรา ไม่เคยที่จะสนใจช่วยเหลือคนอื่นมาก่อนนั่นเอง

Tips: ลองเปิดโลกของตัวเอง ออกจากแค่ที่ทำงาน แนะนำให้ลองไปทำกิจกรรมอาสา หรือทำค่ายพัฒนาต่างๆ เราจะพบว่า โลกนี้มีมิติที่หลากหลาย สังคมและผู้คนยังขาดโอกาสและแตกต่างจากเรามาก และการแบ่งปันให้กับผู้คนที่ด้อยโอกาสกว่า เราจะพบคุณค่าและความสามารถในตัวเอง ที่เราอาจไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน

4. สร้างสังคมที่ดี เริ่มที่ตัวเรา

ตอนอายุน้อย หลายคนไม่เคยสนใจเรื่องปัญหาสังคม การเมือง หรือสิ่งแวดล้อม เพราะดูเป็นเรื่องไกลตัว และด้วยเราเป็นเด็ก ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่เชื่อไหม แม้คนเป็นผู้ใหญ่อายุมาก ก็คิดเช่นเดียวกัน ว่าเป็นแค่คนๆหนึ่ง คงไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ จึงเมินเฉยต่อเรื่องราวในสังคม อย่างมากก็แค่บ่น แต่ไม่ทำอะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือนักการเมือง ที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้ว ปัญหาใดๆก็ตาม ไม่อาจแก้ได้ด้วยใครคนใดคนหนึ่ง แต่มาจากคนเล็กๆหลายๆคนเข้ามาช่วยกัน

Tips: แม้จะอายุน้อย เราเองก็เป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัวได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปยืนประท้วงหรือทำอะไรที่เบียดเบียนตัวเอง เริ่มด้วยการเป็นคนอารมณ์ดีแจ่มใสอยู่เสมอ จริงใจ พร้อมจะเอื้อเฟื้อช่วยเหลือคนอื่น เท่าที่มีกำลังความสามารถ เราก็สามารถสร้างสังคมเล็กๆแห่งการแบ่งปัน สร้างความเป็นกันเองให้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าสังคมนั้นจะเป็นระดับครอบครัว เพื่อนฝูงที่ทำงาน ชมรมต่างๆ ขอแค่เราเป็นคนที่พึ่งให้ตัวเองได้ เป็นที่พึ่งให้คนอื่นด้วยการทำประโยชน์ให้ผู้คนรอบตัว  แล้วเราก็จะพบว่าการสร้างสังคมที่ดี ก็เริ่มได้แค่นี้เอง

5. ฝึกเจริญสติ

ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ สิ่งผิดพลาดต่างๆ ในชีวิต ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการที่เราขาดสติ ในการทำสิ่งนั้นๆไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านรุนแรง ผลออกมา กลายเป็นความผิดพลาดที่เราต้องมาเสียใจภายหลัง การฝึกสมาธิหรือเจริญสติ จึงเป็นสิ่งที่ดี เพราะเหมือนเป็นเกราะป้องกันภัย ให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด การฝึกสตินั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้เราประสบกับปัญหาชีวิตหนักๆก่อน ถึงจะเริ่มสนใจ แต่เรื่องการเจริญสตินั้น ทุกคนควรหมั่นฝึกทำให้เป็นนิสัย เพราะมันง่ายมากๆ ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ทำตอนนี้เลยก็ยังได้

Tips: การเจริญสติไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตานานๆ แต่แค่ฝึกรับรู้ลมหายใจเข้าออก และรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง ทำกิจวัตรอะไรก็ให้ระลึกรู้อยู่เนืองๆ เริ่มจาก 5 นาที 10 นาที แล้วค่อยเพิ่มเวลาให้มากยิ่งขึ้น พอมีสติยาวนาน ก็จะกลายเป็นสมาธิที่มั่นคง เมื่อสมาธิเราดีแล้ว ปัญญาก็จะเกิดโดยง่าย เราก็จะคิดได้ด้วยตัวเองว่า สิ่งไหนที่ทำแล้วมีความสุข สิ่งไหนที่ทำแล้วจะทุกข์ ก็จะไม่เกิดความผิดพลาด ขึ้นเพราะอารมณ์พาไปเหมือนแต่ก่อน

ถึงตรงนี้ คุณผู้อ่าน Gen Y Gen Z ก็รู้แล้วว่า ความสุขที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการที่เรามีสิ่งของ มีเงินทอง  อำนาจชื่อเสียง มากมายเสมอไป อย่าไปติดหลุมพรางกับดักเหมือนผู้ใหญ่เค้า หากได้ฝึกปฏิบัติกับเคล็ดลับสร้างสุข ทั้ง 5 วิธีที่แนะนำไป ก็จะทำให้เรามีความสุขได้เลย ไม่ต้องรอให้ประสบความสำเร็จหรือรวยก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้ คุณมีความสุขแล้ว ก็จงภูมิใจได้เลยว่า คุณเป็นคนส่วนน้อยในสังคม ที่เดินมาถูกทาง

เผย 5 เคล็ดลับการปล่อยวางที่ทำได้จริง

สังคมปัจจุบันนี้ ต่างคนต่างแก่งแย่งแข่งขันเพื่อที่จะให้ตัวเองสำเร็จและเหนือกว่าคนอื่น จนบางครั้งก็ลืมนึกถึงความสุขและใช้ชีวิตในแบบยึดติดกับความสำเร็จมากจนเกินไป

บางคนเมื่อเจอกับความล้มเหลว และความผิดพลาดต่างๆแล้ว ก็ทำใจให้ปล่อยวางกับเรื่องนั้น ไม่ได้ บางคนถึงขั้นคิดสั้น ฆ่าตัวตายไปเลยทีเดียว 

=====

สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ฝึกทำใจวางเฉยกับเรื่องต่างๆ รอบตัวซึ่งก็คือการปล่อยวางกับความยึดมั่นถือมั่น

ถ้าทำได้ คุณจะเห็นอีกมุมมองของชีวิต ที่อาจจะไม่เคยได้เห็นมาก่อนเลยก็ได้

เมื่อพูดถึงคำว่าปล่อยวาง เราได้ยินกันบ่อยตั้งแต่เด็กจนโต  ดูเหมือนเป็นคำที่พูดง่ายแต่ทำทำได้ยาก Learning Hub จึงขอเสนอ 5 เคล็ดลับการปล่อยวางที่ทำได้จริงซึ่งคุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันทีที่อ่านจบ

=====

1.ให้อภัยอดีต

หลายคนมีอดีตที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่และเรื่องต่างๆ มักจะคอยตามหลอกหลอนอยู่เสมอ  ไมว่าจะดำเนินชีวิตไปทางไหน อดีตก็จะมาทักทายให้ได้เจ็บปวดอยู่เรื่อยๆ จนดูเหมือนว่าไม่สามารถพบความสุขได้เลย

สำหรับอดีตนั้น ลึกๆแล้ว มันเกิดขึ้นมาจากใจของเราที่ไม่ยอมปล่อยวางจากเรื่องนั้นๆ ทำให้ความคิดยังคงสร้างอดีตที่แสนเจ็บปวดมาคอยทิ่มแทงตัวเองอยู่ตลอดเวลา

Tips: เทคนิคในการปล่อยวางอดีต ก็คือ การให้อภัย ทั้งคนอื่น และตัวเราเอง

หากเรามองเห็นได้ว่า เหตุการณ์นั้นเป็นสิ่งที่ผ่านเลยไปแล้วไม่อาจหวนกลับมาแก้ไขได้อีก การให้อภัยคือการปลดปล่อยตัวเราจากความทุกข์ที่เกาะกินใจอยู่

และนั่นจะทำให้เรามีโอกาสได้ เริ่มต้นใหม่และทำให้เราสัมผัสกับความสุขในปัจจุบันได้อย่างเต็มเปี่ยมมากขึ้น

=====

2. หยุดกังวลเรื่องอนาคต

หลายคนมีชีวิตที่ดี แต่ไม่อาจมีความสุขได้เต็มที่ เพราะมีความกังวลกับอนาคตของตัวเอง  เช่น ถ้ามีมีลูก ก็กังวลกับอนาตคของลูกจนไม่อาจสงบจิตใจได้เลย

ในความเป็นจริง เราเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปยาวนานแค่ไหน เราอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ การทำวันนี้ให้ดีที่สุด และกลับมามีความสุขอยู่กับปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า

หลายคนยอมแลกความสุขในปัจจุบันเพื่อรอคอยความสุขที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต น่าเศร้าที่หลายคนนั้นจากโลกนี้ไป โดยที่ยังไม่ได้พบกับความสุขนั้นเลย

Tips: หากต้องการปล่อยวางอนาคต ให้ระลึกถึงความตายบ่อยๆ

เมื่อมองเห็นว่า ชีวิตของเราไม่แน่นอน ปัจจุบันคือสิ่งที่แน่นอนและจริงแท้มากกว่า และเราสามารถทำให้ปัจจุบันเกิดขึ้นได้จริง

การมีความสุขตั้งแต่วันนี้ ทำทุกอย่างให้เหมือนสิ่งสุดท้ายที่เราจะได้ทำมันจะทำให้เรา ทำทุกสิ่งออกมาอย่างดีที่สุด

ทำอย่างไรถ้ายังมีความคิดกังวลกับอนาคต การตระหนักรู้เท่าทันตัวเอง (Self – Awareness) ช่วยคุณได้ นี่คือแนวทางการฝึกตระหนักรู้ในตัวเองที่เป็นรูปธรรมและเป็นขั้นตอนที่สุด

=====

3.ฝึกการบริจาค

เป็นธรรมชาติของคนเราที่ต้องการความสะดวกสบาย เราจึงใช้ชีวิตเพื่อสะสมสิ่งของ ซื้อ เก็บ สะสมไว้เป็นปริมาณมาก จนบางครั้งก็มีเยอะเกินพอดี เยอะจนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองควรต้องมีอะไรบ้าง

ในความเป็นจริงทุกอย่างสิ่งต่าง ๆ ที่สะสมคือของที่เราไม่สามารถเอาไปได้เมื่อตายไปแล้ว แต่มนุษย์กลับยึดติดวัตถุเหล่านั้นเป็นอย่างมาก 

ทั้ง ๆ ที่วันหนึ่งถ้าเราตายไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นของไร้ค่าในทันที หลายคนแม้ป่วยหนัก ก็ยังหวงแหนสิ่งของ จนไม่ยอมปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ลงไป

Tips: หาเวลาประมาณสัปดาห์ละครั้ง ในการพิจารณาตู้เสื้อผ้า ห้องเก็บของ ลิ้นชักตู้

ดูว่ามีอะไรบ้างที่เราไม่เคยหยิบใช้เลยมากกว่า 1 ปี  จากนั้นให้ทยอยบริจาคสิ่งเหล่านั้นโดยไม่จำเป็นต้องเสียดาย

เพราะที่ผ่านมาเราเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีของชิ้นนั้นอยู่ ถ้าหากเราบริจาค มันจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นมากกว่า

ถ้าเราสามารถสละสิ่งเล็กๆน้อยๆ ได้อยู่เรื่อยๆได้จะทำให้เราสามารถปล่อยวางเรื่องใหญ่ต่างๆ ได้มากขึ้น

=====

4.มองเห็นทุกสิ่งเป็นสิ่งชั่วคราว

สถานะต่างๆในสังคมไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ลูกน้องหัวหน้า หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาทั้งนั้น มันจึงเป็นเพียงแค่สิ่งชั่วคราว

ที่บอกอย่างนี้เพราะไม่มีใครที่จะรักษาตำแหน่ง หรือบทบาทเหล่านี้ไปจนตายได้ เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้วเราก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีหน้าที่อะไร

ร่างกายเราจะกลับคืนสู่ธรรมชาติทั้งหมด ไม่มีอะไรติดตัวเราไปได้เลย นอกจากความดี ความชั่ว และเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เราจะไปยึดติด กับสิ่งที่คนอื่นสมมติให้เราทำไม ปล่อยวางแล้วหันมาสร้างสิ่งดี เพื่อให้คนรุ่นหลังได้จดจำเรา ในแบบที่น่าจดจำจะดีกว่า

Tips: หากเรารู้สึกว่าใจไปยึดติดกับอะไร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หน้าที่ ตำแหน่ง สถานะทางสังคม ให้ลองจินตนาการว่า อีกร้อยปีข้างหน้า สิ่งที่เรายึดถืออยู่นี้จะเป็นอย่างไร

เราจะพบว่า เรามองเห็นจุดจบของสิ่งต่างๆมองเห็นความเป็นสถานะชั่วคราว และไม่จีรังของสรรพสิ่ง

เมื่อระลึกรู้ เตือนใจตัวเองเนืองๆแบบนี้ เราจะสามารถปล่อยวางทุกสิ่งได้ง่ายยิ่งขึ้น

=====

5. ปล่อยให้มันเป็นไป

ที่สุดของการปล่อยวาง คือหยุดคาดการณ์และบังคับควบคุมอนาคต เพราะไม่มีใครที่จะสามารถหยั่งรู้ หรือจัดการกับอนาคตได้

สิ่งเดียวที่ทำได้ คือทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่มีวิธีอื่นใดอีก ที่จะทำให้อนาคตเราให้ดีได้ เมื่อทำวันนี้อย่างดีและเต็มที่แล้ว ก็จงปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยกฎของเหตุและผล

ไม่ว่าเราจะเจอสิ่งดีหรือไม่ดี ให้คิดว่า เราได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว ก็จะไม่ทำให้เราเสียใจภายหลัง

หลายๆ คนเคยคิดหรือไม่ว่า ที่เราเสียใจมากๆ กับเรื่องต่างๆ ที่เราผิดหวังนั้น จริงๆแล้ว เราเสียใจจากเรื่องอะไร เสียใจเพราะการเกิดขึ้นของเรื่องนั้นหรือเสียใจที่เราไม่ได้พยายามทำเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นอย่างเต็มที่กันแน่

Tips: เราสามารถวางแผน และสร้างเป้าหมายได้ แต่ไม่ต้องยึดติดว่าทุกสิ่งจะต้องดำเนินไปตามแผนที่วางไว้เสมอไป

แผนมีเพื่อเป็นแผนที่บอกทาง แต่การเดินทางจะบอกถึงการใช้ชีวิตที่แท้จริง

ฉะนั้นเมื่อวางแผนแล้วก็จงทำให้เต็มที่ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป โดยไม่ต้องกังวลหรือคาดหวังผลลัพธ์ วิธีนี้จะทำให้เรามีความสุขในทุกย่างก้าวของชีวิตอย่างแน่นอน 

=====

ปล่อยวาง เป็นคำที่ใครก็สามารถเขียนหรือพูดให้ดูดีได้ แต่คนที่ทำได้จริงมีน้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเสียเลยทีเดียวสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน

ถ้าในขณะนี้คุณกำลังมีความทุกข์ ขอให้ถามตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่า เรากำลังฝึกที่จะปล่อยวางบ้างหรือยัง

หวังว่าทั้ง 5 วิธีนี้ จะทำให้ท่านสามารถปล่อยวางเรื่องราวต่างๆในชีวิตได้มากขึ้น และหากคุณมีวิธีอื่นๆที่ใช้ได้ผล ก็ช่วยแบ่งปันในคอมเม้นท์ให้เราได้เรียนรู้ไปด้วยกันมากขึ้นนะครับ

และถ้าคุณอยากติดอาวุธให้กับการปล่อยวาง กรอบคิดแบบยืดหยุ่น หรือ Growth Mindset ช่วยคุณได้ ดูรายละเอียดหลักสูตร Growth Mindset for Effective work ที่นี่

=====

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 093 925 4962

เผย 3 การค้นพบจากผลวิจัย ที่ทำให้ความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม

happyinreach

หลายคนคงเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันต้องการมีความสุขมากกว่านี้ แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร” บทความนี้จะเปิดเผยความลับที่จะทำให้ทุกคนรู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ปัจจุบันคนเรามีชีวิตที่ซับซ้อน เคร่งเครียด และมักถูกตัดขาด บ่อยครั้งเราถูกสื่อประโคมข้อมูลมากมายและถูกทำให้เชื่อว่าการซื้อสิ่งของต่างๆนั้นจะทำให้เรามีความสุข  มีชีวิตที่สวยงาม ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง และแม้แต่กลายเป็นคนที่น่ารักมากขึ้น แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการแสวงหาความสุขอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงความสุขชั่วครู่

ผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่า คนที่มีความสุขในชีวิตนั้น แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งวัดได้จากคุณภาพของ “ความสุข” หากคุณต้องการทราบว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขกลุ่มใดบ้าง ให้คุณใช้เวลาสักเล็กน้อยนึกถึงชีวิตตัวเองว่า “อะไรทำให้คุณมีความสุขบ้าง” จดลงในลิสต์ แล้วคุณจะพบคำตอบ

1.คุณเป็นพวกเพลิดเพลินกับความสุขในช่วงสั้นๆ

ความสุขทางประสาทสัมผัสเป็นสิ่งที่ดี เช่น อาหารและไวน์มื้อพิเศษ เซ็กส์ที่ยอดเยี่ยม กีฬา และความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ ทว่าความสุขแบบนี้กำลังหายไป เนื่องจากคนเรามีความต้องการมากขึ้น มีความปรารถนามากยิ่งขึ้น ทั้งยังถูกแวดล้อมไปด้วยสื่อที่กระตุ้นให้เราละทิ้งความสุขที่แท้จริง และไขว่คว้าหาความสุข “เพิ่มเติม”

โลกวัตถุนิยมทำให้เราไล่ตามความต้องการอันฉาบฉวยมากขึ้น และหากวันใดที่เรามีความทุกข์ เราก็จะพยายามหาทางหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจเหล่านั้นและแสวงหาสิ่งที่เราพึงพอใจไม่รู้จบ ไม่ว่าความสุขอันฉาบฉวยนั้นจะหาได้จากอาหารหรือยาเสพติด เงินทองหรือชื่อเสียง การพนันหรืองานหนัก และนั่นเป็นวงจรผิดๆซึ่งนำเราไปสู่ความไม่พึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ การเปรียบเทียบทางสังคม ความกระวนกระวายใจ ความหดหู่ซึมเศร้า และแม้กระทั่งสิ่งเสพติด

ดังนั้น ขอโทษที่ต้องบอกคุณว่า การเพลิดเพลินกับความสุขในช่วงสั้นๆนี้ไม่สามารถสร้างความสุขและความพึงพอใจที่ยั่งยืนให้กับคุณได้

2. คุณชอบท้าทายสิ่งใหม่ เรียนรู้จากความล้มเหลว และพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น

หากความสุขของคุณเป็นการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ เช่น คุณสามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ หรือมีความชำนาญในการสื่อสาร หรือถนัดด้านการซ่อมแซมเครื่องยนต์ แสดงว่าความสุขของคุณคือ “การพัฒนา” คนที่มีความสุขจะแสวงหาเรื่องที่ท้าทายและชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ พวกเขากล้าเสี่ยงและมักจะทดลองทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เพราะสิ่งนั้นทำให้พวกเขาเกิดความสนใจใคร่รู้ มีพลัง และก้าวไปข้างหน้า

แต่ความลับก็คือ คนที่มีความสุขเหล่านั้น คือ คนที่รู้จักความล้มเหลว คนที่มีความสุขจะเข้าใจว่าการพัฒนาตนเองไปอีกระดับนั้นต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย ซึ่งพวกเขาต้องใช้ความยืดหยุ่นในการปรับตัว การพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และมีความสุขกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เนลสัน แมนเดลา กล่าวคำพูดหนึ่งที่กินใจไว้ว่า “ความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น หาใช่การที่เราไม่เคยล้ม หากแต่เป็นการที่เราลุกขึ้นมาได้ในทุกครั้งที่เราล้มลง” สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ และนำมาซึ่งความสุขที่ลึกซึ้งของชีวิต

3. คุณมีทัศนคติที่ดี และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

ในลิสต์ของคุณมีความสุขที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ การเห็นอกเห็นใจ ความมีเมตตากรุณาบ้างหรือไม่ ทัศนคติที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่มีความสุข พวกเขารู้จักที่จะสังเกตและชื่นชมสิ่งดีๆรอบตัว ลองคิดดูว่า หากคุณตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย เช่น การข่มขู่คุกคาม หรือความตึงเครียด คุณอาจจะวิพากษ์วิจารณ์สิ่งต่างๆได้ตลอดเวลา

แต่ในทางกลับกัน คนที่มีความสุขจะเลือกมองหาด้านดีๆในสถานการณ์นั้นๆ นั่นเป็นเพราะทัศนคติที่ดี พวกเขามีเคล็ดลับก็คือ การคิดว่าชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การต่อสู้และเผชิญกับความผิดหวังหรือเคราะห์ร้ายเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาเข้าใจว่าความเจ็บปวดก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเช่นกัน

วิคเตอร์ ฟรังเคิล ผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กล่าวไว้ว่า “คุณสามารถเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากมนุษย์ได้ ยกเว้นเสรีภาพสุดท้ายของมนุษย์ที่จะเลือกมีทัศนคติต่อสถานการณ์ต่างๆซึ่งก็คือ การเลือกทางเดินของตนเอง” คำพูดนี้ไม่ใช่แค่นามธรรม หรือหลักการทั่วๆไป แต่มันเป็นสิ่งที่ละเอียดและชัดเจนซึ่งสามารถเปลี่ยนปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆให้กลายเป็นความคิดและการกระทำแง่บวกที่แน่วแน่และตรงตามเป้าหมาย

สุดท้าย ไม่มีสิ่งใดมีความหมายและสำคัญมากไปกว่าการที่เราให้ความสุขกับผู้อื่น และปฏิบัติต่อผู้อื่นและต่อตัวเราเองด้วยความรัก ความเมตตา เมื่อเราหยิบยื่นความรัก ความปรารถนาดี และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่น เราก็จะได้รับความสุขกลับมาเช่นกัน ดังที่ องค์ดาไล ลามะ กล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณอยากให้คนอื่นมีความสุข จงฝึกเห็นใจผู้อื่น ถ้าคุณอยากมีความสุข จงฝึกเห็นใจผู้อื่น”

หากคุณกำลังแสวงหาความสุขที่แท้จริงอยู่ กุญแจไขความลับนั้นอยู่ในบทความนี้แล้ว   “จงเพลิดเพลินกับความสุขในชีวิตของคุณ กล้าท้าทายตนเองเพื่อการพัฒนา เรียนรู้ไปกับทักษะและความสำเร็จใหม่ๆ นอกจากนี้ การมองโลกในแง่ดี และเผื่อแผ่ความเมตตาให้กับผู้คนรอบข้างจะช่วยให้ชีวิตของคุณมีความหมายและมีความสุขเพิ่มขึ้น” หากคุณลองทำตามคำแนะนำข้างต้น ความสุขก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

 เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.projecthappiness.org/happiness-within-reach-the-open-secret/

 

 

4 หลุมพรางของการฟัง ที่บ่งบอกว่าเรายังฟังไม่เป็น

“ยิ่งคุยกันมากขึ้น ทำไมเรากลับยิ่งเข้าใจกันน้อยลง”

บทความนี้ ผมจะเล่าถึง 4 หลุมพรางของการฟัง ที่คนเรามักจะทำผิดพลาด ทำให้เกิดปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้คน ทำให้เกิดปัญหาเรื่องความสัมพันธ์  ปัญหาความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน ปัญหาการทะเลาะกันในครอบครัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีสาเหตุหลักๆมาจาก “ปัญหาในการฟัง” ทั้งสิ้น

น่าแปลกที่หลายคนคิดว่า การฟังเป็นเรื่องไม่สำคัญ จึงไม่ค่อยได้ใส่ใจ อาจเพราะเห็นว่าเป็นความสามารถตามธรรมชาติที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทั้งๆที่ “การฟัง กับ การได้ยิน” นั้นแตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิง

การฟังที่แท้จริง ต้องอาศัย “สติ” และการ “เอาใจใส่”

ส่วนการได้ยิน เกิดขึ้นเองที่หู โดยเราไม่ต้องพยายามอะไร

ดังนั้น เรามีความสามารถในการได้ยิน แม้ว่าจะไม่เข้าใจในเรื่องๆนั้นเลย เป็นเหตุให้การสนทนาในชีวิตประจำวัน หากเราไม่ได้สังเกตตัวเอง เราก็อาจจะแค่ได้ยิน แต่ไม่ได้รับฟังอีกฝ่ายจริงๆ นั่นจึงเป็นบ่อเกิดแห่งความไม่เข้าใจกัน กลายเป็นปมความขัดแย้ง บานปลายจนถึงขั้นทะเลาะ และเลิกคบหากันในเวลาต่อมา

คุณฟังเก่งแค่ไหน แน่ใจไหมว่าคุณฟังเป็น ?
ต่อไปนี้เป็น 4 หลุมพรางของการฟัง ที่เรามักจะพลาดกัน ใครที่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ฟังเก่งอยู่แล้ว หรือคิดว่าการฟังไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ ลองพิจารณาดูว่าที่ผ่านมา คุณมีการฟังอย่างไร


1.ฟัง แล้วคิดดักหน้า

หลายคนมักจะคิดว่า การฟังที่ดีต้องคิดตามไปด้วย จะได้เข้าใจได้ดีขึ้น อันที่จริงการคิดก็ไม่ผิด แต่หลายครั้งที่ฟัง เรามักเผลอ “คิดไปดักหน้า” หมายถึง คิดวิเคราะห์ไปล่วงหน้าแล้ว ว่าคนพูดจะพูดอะไรต่อไป ถ้าเป็นเรา ในสถานการณ์นี้จะทำอย่างไรดี เตรียมคำแนะนำ หาทางออก ไว้ให้เค้าเสร็จสรรพ

โดยที่ไม่รู้เลยว่า ขณะที่เราคิดมโนไปนั้น ก็ได้พลาดสิ่งที่เค้าต้องการสื่อสารอย่างแท้จริงไป

ส่วนบางคนก็ขี้สงสัย เมื่อฟังไม่ทันไร ก็ชอบตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกต หรือออกความคิดเห็นส่วนตัว จนกระทั่งผู้พูด ไม่ได้พูดสิ่งที่เค้าต้องการเลย

Tips: ฟังด้วยความว่าง อย่างมีสติรู้ตัว ไม่ขัด ไม่แทรก ปล่อยให้ผู้พูด พูดจนจบ แล้วหากมีคำถามจึงสอบถามทีหลัง ไม่ด่วนให้คำแนะนำ หากคนพูดไม่ได้ร้องขอ

2.ฟัง แล้วจมกับอารมณ์

ข้อนี้คนเซนซีทิฟหรือใจอ่อนมักจะเป็น นั่นคือ เมื่อมีเพื่อนหรือคนใกล้ชิดมาระบายความทุกข์ให้ฟัง เราก็จะจมไปกับเรื่องราว อารมณ์ก็จะเอ่อขึ้นมาแบบท่วมท้น อินไปกับเรื่องนั้น

และยิ่งหากเรามีประสบการณ์ใกล้เคียง ทำให้เราย้อนนึกถึงอดีต เรายิ่งจมดิ่งไปกับเรื่องของตัวเอง จนไม่ได้รับฟังอย่างแท้จริง

การที่เรามีอารมณ์ร่วม และแสดงความเห็นอกเห็นใจในการฟัง ย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่หลายๆครั้ง อาการอินของเรา หากมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า โกรธ เกลียดที่เกิดขึ้น อารมณ์ที่รุนแรงเหล่านี้ย่อมจะมาบดบังการฟัง และครอบครองพื้นที่ในใจ จนทำให้เราละเลยผู้พูดไป อยู่แต่เรื่องของตัวเอง

Tips: เมื่อรู้สึกเกิดอารมณ์ร่วมอย่างมากในการฟัง ให้กลับมาระลึกรู้ อยู่กับลมหายใจเข้าและออก หรือรับรู้ถึงการเต้นของหัวใจเรา ใช้สติแยกแยะว่า เราสามารถรับฟังเค้าได้ แสดงความเห็นใจคนข้างหน้าได้ โดยที่ไม่ต้องจมไปกับอารมณ์นั้น

มองเห็นความทุกข์ของเรื่องราวนั้นว่าเป็นเพียงอดีต ที่แยกจากคนพูด แยกจากตัวเรา แล้วเราก็จะสามารถฟังได้ โดยที่ไม่ต้องไปเป็นความทุกข์เสียเอง 

3.ฟัง แบบใจลอย

บางคนมักจะบอกกับตัวเองว่าเป็นคน “สมาธิสั้น” ใครพูดนานๆ จะไม่เข้าใจ พอฟังได้นิดเดียว ใจก็จะลอยไปเรื่องอื่น

แต่ปรากฎว่าหลายคนที่พูดแบบนั้น สามารถเล่นเกมหรือแชทได้นานๆ คำว่าสมาธิสั้นนั้น อาจจะดูเป็นเพียงข้ออ้างในการฟังเกินไป

คนที่ใจลอยบ่อยๆเมื่อต้องฟังนั้น หากลองวิเคราะห์หาสาเหตุ เป็นไปได้ 2 กรณี คือ 1. ไม่สนใจคนที่พูด 2. ไม่สนใจในเรื่องๆนั้น

ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้ หากแม้ยังนั่งฟังอยู่ กริยาภายนอกดูเหมือนว่าฟัง แต่หากสังเกตด้วยการมองตา ก็จะรู้เลยว่า ใจเค้าไม่ได้อยู่กับตัวแล้ว และหากถามถึงเรื่องราวที่เพิ่งคุยกันไป เค้าจะรีบบอกปัดว่าเข้าใจ แต่ไม่สามารถจับประเด็นได้เลย

Tips: ในกรณีนี้ อยู่ที่ “ความพร้อม” ในการฟัง หากเราไม่สนใจจะสนทนาในเรื่องนั้น ก็ควรบอกอีกฝ่ายไปตรงๆว่าเราติดธุระอะไรอยู่ หรือเราไม่สะดวกคุยตอนนี้ 

การทำทีว่าฟัง แต่จริงๆแล้วไม่ได้ใส่ใจฟังนั้น จะสร้างความรู้สึกแย่ให้กับผู้พูดอย่างมาก ซึ่งคนที่พูดเค้าจะรู้สึกได้ว่า จริงๆแล้ว เราฟังเค้าอยู่หรือเปล่า

4.ฟัง แบบมีธงในใจ

กรณีสุดท้าย คนที่ใจร้อนมักจะเป็นกันมาก หากไม่สังเกตให้ดี ก็จะมองไม่เห็นตัวเองเลย การฟังแบบมีธงในใจ จะเกิดขึ้นเมื่อเราคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าผู้พูด หรือรู้อยู่แล้วว่าผู้พูดจะพูดอะไรต่อ

ทำให้เพียงเริ่มบทสนทนาได้ไม่นาน ก็จะปิดการฟังไป เพราะได้ตัดสินและมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดต่อไปอย่างไร ก็จะไม่ได้เข้าไปในใจเลย รอเพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะพูดจบ ตัวเองจะได้โอกาสพูดบ้าง

หลายๆคนอาจจะรู้สึกว่า เสียวเวลา ไม่อยากรอให้อีกฝ่ายพูดจบ เพราะคิดว่าไม่จำเป็น ในเมื่อเรามีคำตอบที่ชัดเจนในใจอยู่แล้ว จึงมักขัดขึ้นมากลางทางเลย แย่งพูดโดยที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่ง

แต่หากลองคิดให้ดี ในแต่ละครั้งสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปตามบริบทและเวลา การรีบด่วนตัดสินนั้นย่อมมาจากข้อมูลเก่าที่เรารับรู้ในอดีตเท่านั้น เราจึงอาจพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไป ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด เพราะไม่ได้รับฟังจนจบนั่นเอง

Tips: เมื่อรู้สึกอึดอัด ไม่อยากฟัง ให้พิจารณาว่าเรากำลังตัดสิน หรือมีธงในใจอยู่แล้วใช่ไหม ถ้าหากใช่ ให้ลอง “ห้อยแขวนคำตัดสิน” นั้นๆไปก่อน แล้วกลับมามีสติอยู่กับการฟังใหม่อีกครั้ง

พยายามรับฟังให้ลึกซึ้งกว่าเนื้อความ ให้ลึกลงไปถึงอารมณ์ ความเชื่อ มุมมองของผู้พูด ก็จะทำให้เราเข้าใจผู้พูดได้ดีขึ้น

หลุมพรางในการฟังทั้ง 4 ประการ เป็นเรื่องที่หากไม่ตระหนักรู้หรือสังเกตตัวเองให้ดีพอ เราจะคิดว่าเราฟังเป็นอยู่แล้ว แต่ที่ไหนได้ เราไม่เคยฟังเลย

บทความนี้ ทำให้เรารู้ว่า “การฟัง เป็นทักษะที่เราต้องฝึกฝน” และเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจมองข้ามไม่ได้

หากเรามีทักษะการฟังที่ดี ก็จะมีความเข้าใจอีกฝ่าย เราก็จะรู้ว่า ควรจะพูดกับเค้าอย่างไร

การสื่อสารที่ดีจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีคนพูดและมีคนรับฟังหากเราสนใจฝึกฝนแต่ทักษะการพูด ละเลยฝึกทักษะการฟัง ทำให้การสื่อสารขาดความสมดุล

และจะส่งผลกระทบไปถึงประสิทธิภาพการทำงาน การเป็นผู้นำ มีปัญหาความสัมพันธ์ส่วนตัวและครอบครัว อย่างแน่นอน


เรียบเรียงโดย “เรือรบ” ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการสื่อสารและการฟัง

อ้างอิงจากหนังสือ “เอนหลังฟัง: ศิลปะการฟังอย่างลึกซึ้ง” โดย ภินท์ ภารดาม 

ท่านที่สนใจ ฝึกทักษะการฟัง ขอแนะนำหลักสูตร ฟังเป็น เปลี่ยนชีวิต
พบกัน 11 มิ.ย.นี้ อบรมโดย เรือรบ ดูรายละเอียด คลิก

5 สิ่งที่คนมีความสุข ไม่จำเป็นต้องมี

5thingsofhappiness

หลายคนมีความเชื่อว่า คนที่มีความสุขในชีวิต ต้องเป็นคนมีน้ำใจ ชีวิตมีความสะดวกสบาย มีชีวิตมั่นคง มีบางสิ่งที่โดดเด่นกว่าคนอื่นๆ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนใกล้ชิด

อันที่จริงแล้วคุณอาจเข้าใจผิด เพราะคนที่มีความสุข ไม่ได้มี 5 สิ่งนี้เหมือนที่คุณคิดไว้เลย ทำไมล่ะ งั้นไปดูกัน

1. ชอบเอาใจทุกคน

คนที่มีความสุข จะไม่พยายามเอาอกเอาใจใคร จนเสียความเป็นตัวของตัวเองไป ไม่ใช่ทุกครั้งที่ทำให้คนอื่นรู้สึกดี แล้วเราจะรู้สึกดีไปด้วย สุดท้ายอาจเป็นเราที่เจ็บปวด คนที่ชอบเอาอกเอาใจผู้อื่น บางคนกลับเต็มไปด้วยความทุกข์ที่เก็บกดไว้ภายในใจ

คอยระลึกไว้เสมอว่า เราไม่อาจทำให้ทุกคนพอใจได้ และไม่สามารถทำให้ทุกคนรักเราได้ แต่จะมีบางคน ที่แม้ไม่ต้องทำอะไรให้มาก เราก็มีความหมายในชีวิตของเขา และเขาก็ทำให้เรารู้สึกเป็นตัวของตัวเองได้

ถ้าคุณฝืนใจทำอะไรอยู่ตอนนี้ ลองถามตัวเองว่า กำลังทำเพื่อเอาใจใครหรือเปล่า และจะยังรู้สึกดีหลังจากนี้หรือไม่

2. ชีวิตมีความสะดวกสบาย

คนที่มีความสุข ต่างผ่านอุปสรรคและความยากลำบากในชีวิต เค้าไม่ได้คาดหวังว่าชีวิตจะง่ายดาย การที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข เพราะนั่นคือการที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย การเผชิญหน้ากับความท้าทาย ความกลัว สิ่งที่ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้แหละที่จะพิสูจน์ว่าคุณคือใคร

มันจะบ่งบอกความแตกต่างระหว่างคนที่ “แค่มีชีวิต” กับคนที่ “ใช้ชีวิต”
บ่งบอกความแตกต่างระหว่างชีวิตที่จำเจ กับชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขและความสำเร็จ

3. มีชีวิตที่แน่นอนและมั่นคง

หลายๆคนพยายามสร้างกำแพงขึ้นมากมายในชีวิต แต่ไม่สร้างสะพาน อาจฟังดูแปลกๆที่บอกว่า แทนที่จะใช้ชีวิตที่มั่นคงแน่นอนที่ซ้ำซากน่าเบื่อ น่าจะลองใช้ชีวิตแบบเสี่ยงๆที่จะรู้สึกถึงความสุขดูบ้าง ลองเปิดตัวเอง มองเห็นโอกาส ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ

ทำสิ่งที่น่าตื่นเต้นและท้าทาย ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ แต่อยู่อย่างมีความฝัน ไม่ใช่เอาแต่วางแผน แต่ต้องมีความเชื่อและศรัทธาในชีวิต เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจและผลลัพธ์สำหรับตัวเอง ปล่อยให้แรงขับดันและความหลงใหลนั้น จุดไฟในตัวให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และคุ้มค่า สำหรับวันนี้ และทุกๆวัน และอย่าลืมที่จะแบ่งปันพลังงานดีๆแบบนี้ออกไปให้ผู้คนรอบๆตัว

4. โดดเด่นกว่าคนรอบตัว

โลกดูแคบไปถนัดตา เมื่อเราเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง เมื่อเราคิดว่าคนรอบๆตัวคือคู่แข่ง เมื่อเราคิดว่า เราควรจะรวยกว่า ฉลาดกว่า น่าสนใจกว่าคนที่อยู่ข้างๆเรา การพยายามทำตัวให้โดดเด่นหรือดีกว่าคนอื่น เป้าหมายแบบนี้ยิ่งจะทำให้เราแปลกแยกออกจากคนอื่น รู้สึกเหนื่อย และไม่ดีพอเสียที

ลองหันกลับไปมองดูคนที่ไม่สนใจการแข่งขัน คนที่ไม่ได้มองหาว่าทำยังไงให้รวยกว่า ฉลาดกว่า น่าสนใจกว่าใครเลย เค้าไม่ได้อยากที่จะดีกว่าใครแม้แต่คนเดียว ลองดูคนเหล่านี้ ชีวิตเค้าจะมีแต่ความสุขและอิสระทางใจ

ความหมายที่แท้จริง ไม่ใช่ให้เราอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรให้ดีขึ้น แต่จงแข่งขันกับตัวเองคนเมื่อวาน ถ้าวันนี้เรามีสักนิดที่ดีขึ้น ขอให้ชื่นชมตัวเอง และก้าวต่อไปทำวันพรุ่งนี้ให้ดียิ่งขึ้น

5. มีความสัมพันธ์ที่ดีเสมอ

การมีความสัมพันธ์ที่รักใคร่กลมเกลียวกัน เป็นสิ่งที่ดีเมื่อทุกฝ่ายจริงใจต่อกัน แต่ถ้ามันเป็นตลอดเวลาแสดงว่ามีบางคนกำลังโกหกอยู่ ดังนั้นการสื่อสารและการฟัง จึงเป็นสิ่งสำคัญในทุกๆความสัมพันธ์ เราต้องพูดความในใจซึ่งกันและกันได้ และไม่ได้หวังว่าอีกฝ่ายต้องเห็นด้วยเสมอไป

ความสุขจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เราใช้ชีวิตอย่างที่เราเป็น ไม่ยอมเสียสละตัวเองในความสัมพันธ์ ไม่อดทนกับสิ่งที่เราไม่ต้องการ จงชัดเจนกับความรู้สึกและความต้องการของตัวเองและรู้จักร้องขอจากอีกฝ่าย

แน่นอนว่า การพูดความจริง มันอาจสร้างความกดดันและตึงเครียดขึ้นในความสัมพันธ์ แต่นั่นคือการที่เราจริงใจ ไม่ปิดบัง และจะทำให้ความสัมพันธ์แข็งแรงในระยะยาว การสื่อสารที่ออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง จะทำให้สร้างกติกาและข้อตกลงที่จะอยู่ร่วมกัน อย่างที่ทุกฝ่ายต่างพึงพอใจ

สุดท้าย ขอให้ใช้ชีวิตในทุกๆวันอย่างเต็มที่ บ่นว่าสิ่งรอบตัวให้น้อยลง ขอบคุณและชื่นชมสิ่งเล็กๆที่เราพบตรงหน้า แล้วจะพบว่า ความสุข ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรเยอะไปกว่านี้เลย…

บทความโดย : เรือรบ

ด้วยแรงบันดาลใจและความเชื่อว่า ความสุข เป็น “ทักษะที่สร้างได้ และส่งต่อได้” เรือรบ จึงได้เขียนหนังสือ “ Happiness Recipe: 10 สูตรผสมความสุข” ที่จะทำให้ท่านได้แนวคิดและแรงบันดาลใจ เพื่อออกแบบความสุขในฉบับของตนเอง

รายละเอียดหนังสือ คลิก

 

5 วิธีฟื้นคืน จากวิกฤตชีวิต

5lifechanging

ยากเหลือเกินที่จะยิ้มได้และใช้ชีวิตอย่างปกติ หากต้องเผชิญกับความท้อแท้สิ้นหวัง

ไม่ว่าจะเป็นการเจอวิกฤตด้านการเงิน ตกงานกะทันหัน ถูกทำร้ายทั้งร่างกายและอารมณ์ ความสัมพันธ์ที่ไปไม่รอด

การสูญเสียคนรักหรือเพื่อนอย่างกะทันหัน อีกทั้งความเจ็บป่วยเรื้อรังของญาติผู้ใหญ่

นี่คือสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่ใช่หรือเปล่า ?

ซ้ำร้ายกว่านั้น ในยามที่ชีวิตเป็นขาลง ดูเหมือนอะไรๆก็เข้ามาตามซ้ำเติม

ปัญหาหนึ่งก่อตัวขึ้นยังไม่จบ ปัญหาใหม่ๆก็เข้ามาทับถม และส่งผลกระทบถึงเรื่องต่อๆไป

คุณทำอย่างไร เมื่อชีวิตอยู่ในช่วงวิกฤต?

ในช่วงเวลาแบบนี้คุณจะพบว่า ในใจมีแต่ความกลัวและความเจ็บปวด เพราะความหวังพังทลาย

รู้สึกสูญเสียความมั่นใจ

รู้สึกไร้คุณค่าและไม่ดีพอ

รู้สึกสิ้นหวังและไม่มีกำลังใจจะก้าวเดินต่อ

สิ่งที่เกิดขึ้น อาจทำให้คุณจมอยู่ความรู้สึกย่ำแย่ และเศร้าโศกเนิ่นนาน จนกลายเป็นความซึมเศร้า ขาดกำลังใจที่จะใช้ชีวิต

คุณไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นมาอีกครั้งได้ยังไง ไม่ว่าใครจะมาพูดปลอบโยนเท่าไหร่ ก็ไม่อาจช่วยให้คุณดีขึ้นมาเลย…

 

ตามกฎของจักรวาล “ทุกสิ่งไม่เที่ยงและจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอ”

ดังนั้นโชคร้ายก็จะไม่อยู่กับคุณตลอดไป ในเมื่อชีวิตมีขาลงก็ย่อมมีขาขึ้น

ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ ข่าวดีก็จะมาเยือน แล้วคุณจะลุกขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

แต่หากคุณมีวิธีที่จะทำตัวเองให้ดีขึ้นได้ในเร็ววันจะไม่ดีกว่าหรือ

ต่อไปนี้เป็น 5 วิธีที่จะช่วยคุณได้

 

1. ยอมรับและเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

มีความทุกข์อยู่ 2 อย่าง คือ ทุกข์ที่ทำให้คุณเจ็บปวด และทุกข์ที่ทำให้คุณเปลี่ยนแปลง

คุณจะเจ็บปวดก็ต่อเมื่อคุณต่อต้านมัน หากคุณยอมรับและพร้อมที่จะเดินไปต่อกับมันได้ นั่นจะนำมาซึ่งการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง

อย่างแรกที่คุณจะทำก็คือ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าคุณไม่ชอบมันเลย การดิ้นรนต่อสู้กับมัน หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ก็ยิ่งจะเสียพลังงานและเวลาไปเปล่าๆ

 

การยอมรับจะทำให้คุณกลับมาพบความสงบในใจ และพร้อมที่จะเดินหน้าต่อในทิศทางใหม่ๆ

การปล่อยวางจะง่ายยิ่งขึ้น หากคุณ“ให้อภัย” ไม่ว่าจะเป็นกับตัวคุณเอง กับใครบางคน หรือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้

การให้อภัยจะปลดปล่อยตัวคุณจากความเครียด ความกดดัน ความกังวล ความยึดติดกับอดีตและอนาคตทั้งหลาย

การยอมรับและการอภัย จะช่วยให้ใจของคุณรู้สึกเบาสบายขึ้น เป็นอิสระจากสิ่งที่คุณยืดถือและคาดหวังว่าจะต้องเป็น แม้ว่าสิ่งภายนอกจะยังเหมือนเดิมก็ตาม

 

2. โอบกอดตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

หากคุณหมดความมั่นใจ หมดความเชื่อและศรัทธาในตนเอง แสดงว่าคุณกำลังอยากจะเป็นใครอีกคนที่ไม่ใช่คุณ

ลองถามตัวเองว่า กำลังคาดหวังความสมบูรณ์แบบในชีวิตอยู่หรือเปล่า ลองมองอดีตที่ผ่านมาสิ คุณก็มีความสำเร็จในชีวิตเกิดขึ้นตั้งมากมาย

สิ่งที่คุณต้องการในตอนนี้คือ การโอบกอดและยอมรับตัวเอง ในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

 

หยุดเปรียบเทียบกับชีวิตคนอื่น มองให้เห็นความสวยงามในตัวเอง

ถึงแม้จะไม่เหลือสิ่งภายนอกใดๆเลยก็ตาม คุณก็ยังเป็นมนุษย์ที่สวยงามในแบบที่คุณเป็น และมันดีที่สุดแล้ว

คุณคือคนธรรมดาที่สามารถทำผิดพลาดได้ มีความกังวลบ้าง กลัวบ้างเป็นธรรมชาติ

คุณไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ก็สามารถยอมรับและรักตัวเองได้

 

3. เตือนตัวเองว่า ทุกสิ่งเป็นของชั่วคราว

การก้าวข้ามที่สำคัญในชีวิต เกิดขึ้นเมื่อคุณตระหนักว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆในชีวิต ทั้งที่เป็นข้อจำกัด ความล้มเหลว ความผิดพลาด ความสูญเสีย โชคร้ายและความเสื่อมถอย เป็นเพียงของชั่วคราวเท่านั้น

และหลายครั้งมันผ่านไปแล้ว แต่คุณยังทำให้มันคงอยู่ ด้วยความคิดของคุณนั่นเอง

ความทุกข์และความไม่แน่นอน ก็เป็นของชั่วคราว มันไม่มีทางจะยาวนานไปตลอดกาล

เวลาจะช่วยเยียวยาคุณได้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลานับเดือนนับปี แต่แล้วมันก็จะผ่านไป

ชีวิตจะหมุนต่อไปไม่หยุด ดังนั้นอย่าให้ความทุกข์มาเปลี่ยนตัวคุณที่แท้จริงไป

คนที่เข้มแข็งคือคนที่ร้องไห้ได้อย่างเปิดเผย แล้วก็พร้อมก้าวต่อไปเมื่อหยาดน้ำตาเหือดแห้งลง

 

4. มองหาสิ่งที่ขอบคุณได้ ในช่วงเวลานี้

การขอบคุณ คือการเยียวยาตัวเองที่เรียบง่าย และมันช่วยได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ในภาวะที่กำลังจมอยู่กับตัวเองและความทุกข์ ลองหาเหตุผลที่จะขอบคุณกับอะไรก็ได้รอบๆตัว

แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งเล็กน้อยและธรรมดาแค่ไหน ขอบคุณที่ยังมีลมหายใจ ขอบคุณความรักจากคนรอบตัว ขอบคุณสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากเรื่องนี้

หากคุณเลิกมองสิ่งที่ขาดหาย และหันมาขอบคุณกับสิ่งที่เหลืออยู่ ด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ จะพบว่าหลายๆครั้งได้มองข้ามอะไรไปบ้าง

สิ่งที่สูญเสียไป คงเอากลับมาไม่ได้ แต่มันดีแค่ไหน ที่คุณได้ค้นพบสิ่งที่มีค่าที่ยังคงมี กับชีวิตที่เหลืออยู่

 

5. ยื่นมือออกไป ช่วยใครสักคน

ความท้อแท้ในชีวิต ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะคุณรู้สึกสมเพชตัวเอง แม้มันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ แต่คุณก็ทำอยู่เสมอๆโดยไม่รู้ตัว

ถ้าคุณสามารถจับความคิดได้ว่า เริ่มดูถูกและต่อว่าตัวเอง ให้หยุดสนใจที่ตัวเองแล้วมองไปที่ผู้คนรอบๆตัว

ลองหาทางที่จะช่วยเหลือใครสักคน แม้แต่จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆ เชื่อมั้ยว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นในทันที

 

เมื่อไหร่ที่คุณอยากได้รับการใส่ใจ ให้คุณใส่ใจผู้อื่น ดูแลเขาให้เหมือนกับที่คุณต้องการ ด้วยจิตที่เมตตา และหัวใจอ่อนโยน

หากคุณทำเช่นนี้ ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเองได้อีก มันจะทำให้คุณตระหนักถึงคุณค่าแห่งการมีชีวิต

การได้ช่วยเหลือใครสักคน จะทำให้คุณตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ที่ขังคุณไว้ในจิตใจอันโดดเดี่ยวของตัวเอง

 

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังท้อแท้สิ้นหวังในชีวิต ขอให้รู้ว่า คุณไม่ได้เผชิญกับมันเพียงลำพังผู้เดียว

คนรอบตัวที่เค้ารักคุณ ต่างรู้สึกและได้รับผลกระทบกับความเศร้าจากคุณอยู่เช่นกัน

ยิ่งคุณทำร้ายตัวเอง ก็จะยิ่งทำให้พวกเค้าเจ็บปวดไปด้วย

ถ้านั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ ลองใช้หลักการ 5 ข้อนี้ นำพาตัวเอง ให้ฟื้นคืนขึ้นมาจากฝันร้าย

นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังช่วยให้ชีวิตคุณและพวกเขาดีขึ้นในคราวเดียวกัน

บทความโดย “เรือรบ” ผู้เขียนหนังสือ “Happiness Recipe: 10 สูตรผสมความสุข”
…………….

5 ความแตกต่าง ระหว่างรักแท้กับรักเทียม

ความรักที่แท้ คนทั้งสองจะไม่ “ตกหลุมรัก” แต่จะ “ก้าวเข้าไปในความรัก” มันจะไม่เกิดจากการตกหลุมลงไปแบบหัวปักหัวปำ แต่จะเป็นการค่อยๆพัฒนาเติบโตไปด้วยกัน การตกหลุกรัก เป็นเพราะเราห้ามใจไม่ได้ จนต้องเสียความเป็นตัวเอง ติดอยู่ในที่ไหนสักแห่งที่ต่ำกว่าเดิม จะต้องพยายามปีนกลับขึ้นมา เพื่อจะใช้ชีวิตอย่างปกติ

แต่รักแท้ไม่ใช่อย่างนั้น การก้าวเข้าไปในรัก เกิดขึ้นง่ายๆโดยไม่ต้องพยายามอะไรเลย เป็นพื้นที่ๆสงบสุขของชีวิต ปลอดภัยและอบอุ่นเหมือนซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มา

เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าความรักครั้งนี้ เป็นรักแท้หรือเทียม มันจะสั้นแค่สองเดือน หรือจะยาวนานตลอดไป ต่อไปนี้เป็น 5 ความแตกต่าง ระหว่างรักแท้กับรักเทียม

1. รักเทียมมีแต่คำถาม รักแท้มีทุกคำตอบ

คู่รักเทียมชอบถามว่า เธอรักฉันไหม เธอกำลังมองคนอื่นอยู่รึเปล่า เราจะคบกันไปนานได้แค่ไหน คู่รักแท้ ไม่มีความสงสัย ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามเหล่านี้ เพราะต่างมีคำตอบให้ตัวเอง และไม่ต้องการคำยืนยันอะไรจากอีกฝ่าย เมื่อเรารักใครและเค้ารักเรา จะไม่เกิดความระแวงซึ่งกันและกัน

เมื่อคบกับเค้าแล้ว รู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจ ทำให้เราสงบใจได้อย่างประหลาด พวกเค้าไม่เสียเวลากับคำถามเล็กๆน้อยๆ เพราะมีคำตอบใหญ่ๆให้กับชีวิตแล้ว

2. รักเทียมมีแต่ดราม่า รักแท้เป็นเรื่องง่ายๆ

คู่รักเทียม ใช้ชีวิตอย่างอุดมคติ ว่าชีวิตรักต้องสวยหรูดูดี มันจึงเต็มไปด้วยความคาดหวังสิ่งต่างๆจากอีกฝ่าย มีความรู้สึกโหวงๆ ลึกๆแล้วเหมือนบางอย่างขาดหายไป มันคือการสูญเสียความเป็นตัวเอง ไม่ว่ายามหลับหรือตื่น แค่อยู่ใกล้ๆกันสองสามชั่วโมงก็รู้สึกเหนื่อย

แต่แล้วก็ต้องปลุกความรักขึ้นมาใหม่ด้วยกิจกรรมบนเตียงหรือหาเรื่องพูดคุยเรื่อยเปื่อย คู่รักแท้ไม่มีดราม่า เพราะดราม่าเป็นเรื่องของคนที่ไม่รู้วิธีสร้างความสัมพันธ์ที่ดีซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์นั้นควรจะเป็นไปอย่างสบายๆตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่มีการทะเลาะกันแรงๆแล้วต้องใช้เซ็กส์เพื่อคืนดีกัน ไม่ต้องมีการโทรตามจิก หรือหึงหวงกันให้วุ่นวาย

คู่รักแท้รู้สึกเติมเต็มในใจเสมอ ไม่มีช่องว่างตรงกลาง ไม่รู้สึกสูญเสียความเป็นตัวตน และไม่รู้สึกว่าถูกพรากอะไรไป แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน นั่งมองหน้าหรืออยู่ด้วยกันเงียบๆก็มีความสุข

3. รักเทียมรวมเป็นหนึ่ง รักแท้อยู่เป็นคู่

คู่รักเทียมมองหาอีกฝ่ายมาเติมเต็มสิ่งที่ขาด เหมือนครึ่งกับครึ่งมาเจอกัน พยายามรวมให้เป็นหนึ่ง ในความสัมพันธ์จึงมองหาในส่วนที่ตัวเองขาดหาย แต่เมื่อหาสิ่งนั้นไม่เจอในคู่ของตน จึงเกิดความไม่พึงพอใจ กลายเป็นบังคับอีกฝ่ายให้ปรับเข้าหาตน คู่รักแท้ ไม่ต้องการเป็นหนึ่งเดียว เค้าใช้ชีวิตแยกกัน แบบหนึ่งบวกหนึ่ง จึงรวมเป็นสอง

เมื่อจิตใจข้างในของตัวเองเต็มแล้ว จึงไม่ต้องมองหาใครมาเติมเต็มอีก ในความสัมพันธ์จึงไม่เรียกร้องให้อีกฝ่ายปรับเข้าหา แต่ให้พื้นที่กับคู่ของตน ในการใช้ชีวิตและเติบโตอย่างที่ต้องการ เป็นกำลังใจให้อีกฝ่ายได้ทำตามฝันและความสนใจ สนับสนุนทุกทางที่เป็นไปได้เพื่อให้อีกฝ่ายมีความสุข

4. รักเทียมทะเลาะด้วยข้อความ รักแท้เผชิญหน้า

การทะเลาะกันแบบคู่รักเทียม มักจะใช้วิธีแชท ส่งข้อความตอบโต้กันไปมา ลงท้ายก็คือยิ่งเข้าใจผิด เพราะมันไม่สามารถสื่ออารมณ์ที่แท้จริงได้ผ่านอักษรหรือไอคอนการ์ตูนได้ เหลือทิ้งไว้แต่หลักฐานของความสัมพันธ์ที่แตกร้าว

คู่รักแท้ หันหน้าเข้าหากันเสมอเมื่อมีเรื่องไม่เข้าใจ พร้อมรับฟังและสื่อสารด้วยหัวใจไม่ใช่อารมณ์รุนแรง กล้าเปิดเผยความรู้สึกและความต้องการที่แท้จริง เพื่อปรับความเข้าใจกันไม่ใช่โทษกัน ที่สำคัญพวกเขามักทะเลาะกันเพื่อสร้างอนาคต ไม่ใช่เพื่อขุดคุ้ยอดีต

5. รักเทียมเร่งเวลา รักแท้ไม่มีเวลา

ไม่มีสูตรสำเร็จว่า คู่รักจะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันได้เมื่อไหร่ คบกันนานแค่ไหนถึงจะแต่งงานกัน คู่รักเทียม ตั้งกฎและกำหนดข้อตกลงบางอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ตัดสินใจพลาดในครั้งนี้ รักแท้มีจังหวะของมันเอง คุณจะรู้สึกได้เมื่อพร้อม ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นภายในด้วยตัวเองอย่างปราศจากความพยายามหรือเร่งรีบ

คุณรู้สึกว่าการตัดสินใจอยู่ด้วยกันหรือแต่งงานกัน เป็นไปอย่างอิสระและธรรมชาติ แม้คนรักอาจเข้ามาและจากไป แต่ความรักนั้นจะไม่หายไปด้วยเวลา

“รักแท้ สร้างได้” หากคุณทำความเข้าใจกับหลัก 5 ประการนี้ จะเห็นว่าในความสัมพันธ์ตัวคุณคือ“ต้นเหตุ 100%” ที่จะทำให้ความรักครั้งนี้เป็นรักแท้ หรือรักเทียม แม้ว่าอยู่กับด้วย รักเทียม ก็ยังทำให้หลายๆคู่ที่อยู่ด้วยกันได้นาน แต่อาจจะเป็นการอยู่อย่างระหองระแหง และต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้มีความสุขเหมือนคู่ที่เป็นรักแท้

หากต้องการมีรักแท้ คุณต้องกลับมามองที่ตัวเอง เรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเอง ให้สามารถเข้าใจ ยอมรับ และรักตัวเองได้อย่างแท้จริง เมื่อคุณเติมเต็มตัวเองได้ พลังงานบวกนี้จะเปิดรับธรรมชาติแห่งความรัก ดึงดูดรักแท้ คืออีกคนที่เติมเต็มแล้วในตัวเองเข้ามา จากนั้น คุณก็ปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก้าวเข้าไปดื่มด่ำกับมัน โดยไม่คาดหวังหรือกะเกณฑ์

หากนั่นคือพลังแห่งความรัก สิ่งที่คุณจะพบคือความสบาย การให้ ความสวยงาม อบอุ่น ปลอดภัย ไว้วางใจ สนับสนุน ซึ่งนั่นจะทำให้คุณสองคนเติบโต และมีโลกใบใหม่ที่เดินร่วมทางไปคู่กัน

บทความโดย เรือรบ


 

ขอแนะนำหลักสูตรด้านการสื่อสาร ที่ทำให้คุณครองใจคนรัก และครองใจลูกน้องได้
Communication for Leadership: ทักษะการสื่อสาร สำหรับผู้นำยุค AEC

หลักสูตร 1 วัน โดย เรือรบ รายละเอียดคลิกที่นี่

10 สูตรผสมความสุข ที่คุณปรุงได้ด้วยตัวเอง

หากพูดถึงนิยามของความสุข ถ้าไปถามคนร้อยคน ก็คงได้คำตอบเป็นร้อยแบบ เพราะความสุข ก็เปรียบได้กับ “อาหารจานโปรด” ที่มีทั้งรสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว จนทำให้มีรสอร่อย ที่แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่แปลก ที่ความสุขของคนเราจะแตกต่างกันไป หากเชฟสามารถปรุงอาหารจานอร่อยให้เราได้ด้วยสูตรเด็ดๆ ดังนั้นความสุข ก็ย่อมมี สูตรเฉพาะ ด้วยเช่นกัน

 “ผมเชื่อว่าความสุขเป็น “ทักษะที่สร้างได้ และส่งต่อได้” เหมือนการทำอาหาร จึงได้ค้นหาและพัฒนา  10 สูตรผสมความสุข” และถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มใหม่ ซึ่งบทความนี้ได้ย่นย่อหลักสำคัญในหนังสือ ที่คุณจะนำไปใช้ออกแบบความสุขจานโปรดสำหรับตัวเองได้ง่ายๆในชีวิตประจำวัน และสามารถแชร์ให้คนรอบตัวมีความสุขไปด้วยกัน” – เรือรบ

 

1.SMILE -รอยยิ้ม

“การยิ้มเป็นวิธีที่ง่ายและเร็วที่สุด ที่เราจะสร้างความสุขให้ตนเองและผู้อื่นได้” ผลการวิจัยได้นำเสนอประโยชน์มหาศาลของรอยยิ้มไว้หลายข้อ เช่น ยิ้มสามารส่งต่อได้จากคนสู่คน เมื่อเรายิ้ม คนใกล้ตัวก็มีแนวโน้มจะยิ้มไปด้วย คนที่ยิ้มเก่งทำให้ดูน่าคบหาและน่าเชื่อถือมากกว่าคนหน้านิ่ง การยิ้มลดระดับความเครียดและคลายความกังวล เป็นยาขนานเอกทั้งรักษาและป้องกันโรค อีกทั้งทำให้ความสุขและอายุยืนยาวขึ้น

2.STYLE- สไตล์

“สไตล์ บ่งบอกความเป็นตัวเอง และทำให้เรามีความสุขอย่างที่เราเป็น” ในยุคที่ใครๆก็เดินตามกระแสสังคม เมื่อเราอยู่ภายใต้ระบบที่จำกัดให้ผู้คนคิดและทำเหมือนๆกันไปหมด ในเบื้องลึกเราจึงรู้สึกไม่มีที่ยืนและไร้ซึ่งตัวตน “สไตล์” คือการกลับมารู้จักตนเอง และกล้าที่จะทำในสิ่งที่เป็นตัวเรา เพื่อบอกว่าเราคือใครและมีจุดยืนอะไร การยอมรับและมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ทำให้เรามีความสุขได้อย่างแท้จริง

3.SKILL -ทักษะ

“สิ่งที่จะนำพาชีวิตให้ก้าวหน้าไปได้อย่างดี คือทักษะ” การที่เราเรียนเก่ง มีความรู้ มีการศึกษาสูง ไม่ได้รับประกันความสำเร็จและความสุขในชีวิต อายุและเพศก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ หากคนเหล่านั้นมีแต่ความรู้ แต่ไม่มีทักษะ “ทักษะ” เป็นผลรวมของ ความรู้ ความเข้าใจ และการนำไปใช้ จากนั้นนำประสบการณ์ที่ได้มา ประเมินและปรับปรุง สร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ของตนเอง ถ้าอยากให้ทักษะแน่นขึ้น ให้หาโอกาสแบ่งปันและถ่ายทอดให้คนอื่นด้วย ยิ่งมีคนได้ประโยชน์มาก เราก็จะกลายเป็นกูรูหรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆได้เอง

4.SLOWNESS – ช้าลง

“แค่ทำชีวิตให้ช้าลงได้ เราก็จะมีความสุขมากขึ้น” ลองใช้เวลาอยู่กับความเงียบด้วยการขอเวลานอกให้ตัวเองบ้าง อยู่กับลมหายใจลึกๆยาวๆสัก 5 นาที ออกไปเดินเล่นเพื่อลดปล่อยความเครียด ผ่อนคลายอารมณ์ ดื่มด่ำไปกับกิจกรรมต่างๆอย่างเชื่องช้า ฝึกที่จะช้าลงในการทำกิจกรรมต่างๆ แม้กระทั่งความคิด อย่ารีบด่วนตัดสินหรือตีความไปก่อนกับเรื่องใดๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ชีวิตมีพื้นที่อันน่ารื่นรมย์มากขึ้น

5.SIMPLICITY – เรียบง่าย

“ยิ่งทำชีวิตให้เรียบง่าย เรายิ่งเบาสบายและมีความสุข” มีความยืดหยุ่นให้ชีวิตบ้าง มีเงื่อนไขให้น้อย มีความคาดหวังให้น้อย รู้จักออกแบบวิถีชีวิตพอเพียง แยกความสำคัญระหว่างสิ่งจำเป็นกับสิ่งที่อยากได้ เพราะรายได้มากๆไม่สำคัญเท่าเงินเหลือ หาวิธีที่จะทำให้มีเงินเหลือมากกว่าที่ตนเองต้องการ ศึกษาการใช้วิถีของธรรมชาติในการดำเนินชีวิต ทำให้ชีวิตกลับสู่สมดุลมีสุขภาพดีขึ้น วิถีธรรมชาติเป็นสิ่งที่ฉลาดที่สุด เหมาะสมที่สุด และสร้างความยั่งยืนได้มากกว่า รวมทั้งเป็นมิตรทุกสรรพสิ่งในโลกใบนี้ด้วย

6.SHARING – การให้

“การให้และการแบ่งปัน เป็นต้นทางของความสุขและความสำเร็จ” เพราะการให้บ่งบอกว่า เรามีความเหลือเฟือในชีวิต การให้ทำให้เรารู้สึกเติมเต็ม และไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป การให้ที่ดีจะไม่ทำให้เราลดพลัง ไม่สูญเสียความเป็นตนเอง การให้ที่ดีไม่ใช่หน้าที่ ไม่ควรรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบ หรือรู้สึกผิดถ้าไม่ได้ทำ การให้ที่แท้จริงเกิดจากความเมตตากรุณา เราสร้างออกมาจากหัวใจของเรา ส่งต่อให้ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งใดๆ กลับมา

7.SYNERGY – การผสมผสาน

“เคล็ดลับของความสุขและสำเร็จอย่างรวดเร็ว คือการใช้หลักผสมผสาน” ซึ่งมี 3 องค์ประกอบด้วยกัน หนึ่งคือความสอดคล้อง หากเรามีเป้าหมายในชีวิตและความสุขนั้นสอดคล้องกัน จะทำให้เราสำเร็จในชีวิตได้อย่างรวดเร็ว โดยเป้าหมายคือทิศทางและโฟกัส ส่วนความสุขในการทำงานเป็นพลังงานที่ขับเคลื่อนอันทรงพลัง สองคือการเชื่อมโยง มีความสามารถในการโน้มน้าวนำพา และประสานประโยชน์ระหว่างผู้คน เพื่อให้พวกเค้าเข้ามามีส่วนร่วมในฝันใหญ่ๆร่วมกัน และทำภารกิจนั้นให้เป็นจริงได้ง่ายและเร็วขึ้น สุดท้ายคือความสร้างสรรค์ หากต้องการสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ให้ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เราต้องกล้าคิดนอกกรอบออกจากแบบแผนเดิมๆ ทั้งหมดนี้เป็นหลักการผสมผสานที่จะชักนำความสุขกับความสำเร็จมาผสมให้เข้ากันได้อย่างลงตัวและเกิดผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม

8.SUSTAINABILITY – ความยั่งยืน

“ความยั่งยืน คือความสุขจากความสัมพันธ์ที่กลมกลืนระหว่างชีวิตและสิ่งแวดล้อม” การจะใช้ชีวิตให้มีความสุขไม่ใช่เพียงเอาตัวคนเดียวรอด แต่ต้องพร้อมจะเป็นผู้นำที่จะเกื้อกูลให้สังคมรอบข้างและชุมชนของตนพัฒนาด้วย ไม่วัดความยั่งยืนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียว แต่ดูถึงองค์รวมของคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ มีการรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รู้จักหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ รู้จักบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด นำสิ่งที่มีอยู่มาใช้อย่างเต็มศักยภาพ ฟื้นฟูส่วนที่เสื่อมโทรมให้ฟื้นคืนสภาพ เพื่อส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนรุ่นต่อๆไป นั่นจึงจะเรียกว่ามีความยั่งยืนที่แท้จริง

9.SELF-DEPENDENCE – การพึ่งพาตนเอง

“การพึ่งพาตนเอง เป็นการรับประกันความสุขที่ง่ายและแน่นอนที่สุด” เพราะการคาดหวังและพึ่งพาผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ คนอ่อนแอจะต้องคอยหาคนอื่นมาพึ่งพิง ถ้าเค้าไม่รักหรือทิ้งไปก็มีแต่ทุกข์ ส่วนคนที่เข้มแข็งนั้นจะรู้ว่า หากพึ่งพาตนเองได้ ก็จะสามารถเอื้อเฟื้อให้คนอื่นเข้ามาในชีวิตได้มากขึ้น ในการพึ่งพาตนเอง เราต้องสร้างความมั่นใจด้วยการเลิกเปรียบเทียบกับคนอื่น หมั่นดูแลตัวเองอย่างดี ฝึกที่จะอยู่โดยลำพังให้ได้ มีจุดยืนในความคิดตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง รักและเห็นคุณค่าในตนเอง คนที่พึ่งพาตนเองได้นั้นมีเสน่ห์ ดูอบอุ่น มั่นคง เพียงอยู่เฉยๆ ก็เป็นที่น่าสนใจในสายตาคนทั่วไป

10.SELF-DEVELOPMENT – การพัฒนาตนเอง

“ต้นไม้ที่หยุดโตคือต้นไม้ที่กำลังจะตาย คนที่หยุดพัฒนาก็คือคนที่ตายไปแล้วทางจิตวิญญาณ” การพัฒนาในชีวิตนั้นแบ่งเป็น 2 ด้าน ด้านแรกคือทักษะภายนอก เกี่ยวกับการ เพิ่ม พัฒนา ขยาย เป็นทักษะในการทำงาน เชิงความรู้ เทคนิค การทำงานให้มีประสิทธิภาพที่ดี ด้านที่สองคือ “ทักษะภายใน” เป็นเรื่องของการ ลด ละ วาง เป็นทักษะเกี่ยวกับคน การเข้าใจตนเองและความสัมพันธ์ เป็นด้านของจิตใจ ซึ่งจะใช้เพื่อลดอัตตาตัวตน ลดความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ และลดความทุกข์ของเราลงได้ด้วย คนที่เรียนเก่ง ฉลาด หน้าตาดี มีฐานะและประสบความสำเร็จในชีวิต ถึงจุดหนึ่งอาจมีความทุกข์จนต้องฆ่าตัวตาย เพราะเขาเก่งแต่ทักษะภายนอก ไม่เคยพัฒนาทักษะภายในนั่นเอง ทักษะภายใน 5 อย่าง ที่เราควรฝึกให้เป็นนิสัยคือ  การขอบคุณ การขอโทษ การให้อภัย การให้คุณค่าในสิ่งต่างๆเท่ากัน และการทบทวนตนเอง สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นดีเสมอ ไม่ว่ามันจะนำมาซึ่งความทุกข์หรือสุข มันถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับเรา มันคือบทเรียนที่จะทำให้เราเติบโต และทำให้เรามีความสุขง่ายขึ้น นี่คือหนทางในการพัฒนาตัวเองและเติบโตทางจิตวิญญาณ ……………………… ทั้งหมดนี้คือ “10 สูตรผสมความสุข” ซึ่งเป็นทักษะที่เราสร้างได้และส่งต่อให้คนที่รักได้ ขอเพียงหมั่นฝึกฝนและใช้หลักการทั้ง 10 นี้ออกแบบการดำเนินชีวิต แล้วคุณจะสามารถมีความสุขและความสำเร็จได้พร้อมๆกัน แม้จะอยู่ท่ามกลางปัญหา อุปสรรค และความไม่แน่นอนในชีวิต จะไม่มีสิ่งภายนอกใดมาทำให้คุณทุกข์นานๆได้อีก เพราะคุณรู้วิธีสร้างความสุขจากภายในนั่นเอง เขียนโดย เรือรบ สรุปจากหนังสือ Happiness Recipe: 10 สูตรผสมความสุข” 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save