เพราะความลำบาก คือหนทางสู่ความสำเร็จ

27 03 2017

ดอกเตอร์ จอยซ์ บราเธอร์ส อาจารย์ด้านจิตวิทยา เคยกล่าวไว้ว่า “คนประสบความสำเร็จ ต้องเรียนรู้ที่จะมองความล้มเหลวเป็นสิ่งดีมีประโยชน์ และเป็นส่วนที่เลี่ยงไม่ได้ของกระบวนการก้าวสู่ความสำเร็จ”

เราอาจสรุปได้ว่า “ความลำบากและความล้มเหลว คือส่วนสำคัญของกระบวนการสู่ความสำเร็จ” และข้อดีของความลำบากนั้นมีอยู่มากมาย… เราลองมาดูเหตุผลสำคัญๆ ว่าทำไมถึงต้องยอมรับความลำบาก และต้องพยายามมุ่งมั่นบากบั่นให้เต็มความสามารถ…

 

1. ความลำบาก ทำให้เกิดความยืดหยุ่น

 

ไม่มีอะไรในชีวิตที่ทำให้เกิด “ความยืดหยุ่น” ได้ดีเท่ากับความลำบากและความล้มเหลว… จากการศึกษาวิจัยซึ่งได้รับการเผยแพร่ในนิตยสารไทม์ ช่วงกลางทศวรรษ 1980 ได้ขยายความให้เห็นถึงพลังความยืดหยุ่นที่เหลือเชื่อของกลุ่มคนซึ่งสูญเสียงานของตนจากการปิดโรงงานถึงสามครั้ง!

ตอนแรก นักจิตวิทยาคาดว่าพวกเขาน่าจะท้อใจ แต่พวกเขากลับมองโลกในแง่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ความลำบากของพวกเขากลับกลายเป็นความได้เปรียบ เพราะพวกเขาต้องตกงาน และสามารถหางานใหม่ได้อย่างน้อยสองครั้ง นั่นแสดงว่า พวกเขาสามารถจัดการกับความลำบากได้ดีกว่าคนซึ่งทำงานกับบริษัทเพียงแห่งเดียว แล้วตกงาน…

 

2. ความลำบาก ทำให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่

 

ความลำบากทำให้คุณดีขึ้นได้ ถ้าคุณไม่ปล่อยตัวเองให้ขมขื่นจนเกินไป… อีกทั้งความลำบากยังช่วยส่งเสริมภูมิปัญญาและความกล้าแกร่ง อีกด้วย… วิลเลียม ซาโรยัน นักประพันธ์ชาวอเมริกัน เคยกล่าวว่า “คนเราประสบความสำเร็จได้ เพราะเรียนรู้จากความล้มเหลว… ลองนึกดูสิ เราแทบไม่ได้รู้อะไรจากความสำเร็จมากนักหรอก”

ในขณะที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นเรื่อยๆ ความกล้าแกร่งพร้อมด้วยความยืดหยุ่น จะกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ และคุณสมบัติเหล่านี้ ได้มาจากการฝ่าฟันอุปสรรคความลำบากต่างๆ…

จอห์น คอตเตอร์ ศาสตราจารย์แห่งฮาร์วาร์ด บิสสิเนส กล่าวว่า “ผมนึกภาพกลุ่มผู้บริหารเมื่อ 20 ปีก่อน กำลังถกกันเรื่องผู้สมัครในตำแหน่งงานระดับสูงสุดตำแหน่งหนึ่ง และพูดว่า ‘คนๆ นี้เคยประสบความล้มเหลวครั้งใหญ่ ตอนอายุ 32’ คนอื่นๆ ต่างก็พูดว่า ‘ใช่… ใช่… แบบนี้เป็นลางไม่ดีเลย’ แต่ถ้าพิจารณาด้วยเงื่อนไขเวลาปัจจุบัน เชื่อว่า สิ่งที่ทำให้ทุกคนหมดห่วงคือ ‘คนๆ นี้เคยล้มเหลวมาก่อน’…”

เพราะปัญหาที่เราเผชิญและเอาชนะได้ จะช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับปัญหาในอนาคต

 

3. ความลำบาก ทำให้คุณกล้าเสี่ยง

 

ลอยด์ โอกิลวี่ เล่าว่า เพื่อนคนหนึ่งของเขาซึ่งเคยเป็นนักแสดงในคณะละคร เล่าประสบการณ์การเรียนรู้วิธีเล่นชิงช้าสูง ดังต่อไปนี้…

เมื่อคุณรู้ว่าเบื้องล่างมีตาข่ายคอยรับคุณอยู่ คุณก็จะไม่วิตกเรื่องการตกจากชิงช้าอีกต่อไป… ตอนนี้คุณเรียนรู้ที่จะตกลงไปอย่างประสบความสำเร็จ ความหมายของมันก็คือ คุณสามารถพุ่งความสนใจไปที่การคว้าชิงช้าที่กำลังเหวี่ยงตัวเข้าหาคุณ ไม่ใช่เรื่องการตกไปข้างล่าง เพราะการตกซึ่งเคยเกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา ทำให้คุณมั่นใจว่าตาข่ายมีความแข็งแรงและไว้ใจได้เวลาที่คุณตกลงไปจริงๆ…

ผลของการตกลงไปและได้รับการรองรับด้วยตาข่าย คือความมั่นใจและความกล้าที่จะโหนชิงช้าสูงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ คุณจะพลาดน้อยลง และทุกครั้งที่พลาด หรือหล่นลงไป กลับทำให้คุณกล้าเสี่ยงมากขึ้น…

 

4. ความลำบาก ทำให้เห็นโอกาสมากขึ้น

 

“การหลีกหนีปัญหา คือการจำกัดศักยภาพของเรา” ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จหลายคน ต่างก็มีประสบการณ์ หรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับความลำบาก-ความผิดหวัง ซึ่งกลายเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ มากมาย…

ตัวอย่างเช่น ในปี 1978 เบอร์นี่ มาร์คัส ลูกชายช่างทำตู้ชาวรัสเซียน ในเมืองนวร์ก, นิวเจอร์ซี่ ถูกไล่ออกจากบริษัทแฮนดี้แดน ร้านจำหน่ายเครื่องมือเพื่อการซ่อมแซมบ้านด้วยตัวเอง เหตุการณ์นี้กระตุ้นมาร์คัสให้ไปจับมือกับ อาร์เธอร์ แบลงค์ เริ่มต้นธุรกิจของตนด้วยกัน และในปี 1979 ทั้งสองได้เปิดร้านแห่งแรกในเมืองแอตแลนต้า, จอร์เจีย มีชื่อว่า “โฮม ดีโปต์” ปัจจุบัน โฮม ดีโปต์ มีร้านกว่า 760 แห่ง มีพนักงาน 157,000 คน ทั้งสองได้ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ และสามารถทำยอดขาย ปีละกว่า 30 พันล้านเหรียญฯ เลยทีเดียว

เมื่อมองย้อนกลับไป เบอร์นี่ มาร์คัสคงไม่รู้สึกยินดีกับการถูกไล่ออกจากแฮนดี้แดน สักเท่าไหร่… แต่ถ้าเขาไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้ ใครจะไปรู้ว่า เขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้หรือไม่…


5. ความลำบาก กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม


ช่วงต้นศตวรรษ 20 เด็กชายคนหนึ่งซึ่งครอบครัวของเขาอพยพมากจากสวีเดน เพื่อมาตั้งรกรากในอิลลินอยส์ ได้ส่งเงินจำนวน 25 เซ็นต์ เพื่อสั่งซื้อหนังสือเกี่ยวกับภาพถ่าย จากสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง แต่กลับได้รับหนังสือเกี่ยวกับศิลปะการดัดเสียงพูดแทน…

แล้วเขาทำอย่างไรน่ะเหรอ? เขาก็ปรับตัวและเรียนรู้ศิลปะว่าด้วยการดัดเสียงพูด เด็กคนนี้คือ เอ็ดการ์ เบอร์เกน และตลอดเวลากว่า 40 ปี เขาสร้างความสำราญแก่ผู้ชม พร้อมกับหุ่นไม้ “ชาร์ลี แมคคาร์ธี” กลายเป็นรายการโชว์ชื่อดัง “เอ็ดการ์ เบอร์เกน กับหุ่นไม้ชื่อ ชาร์ลี แมคคาร์ธี ของเขา” 

ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมหรือสิ่งแปลกใหม่ คือหัวใจของความสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของความสำเร็จ… แจ๊ค แมตสัน แห่งมหาวิทยาลัยฮูสตัน เข้าใจความจริงข้อนี้ และได้พัฒนาหลักสูตรซึ่งนักศึกษาของเขาเรียกชื่อว่า “Failure 101”

ในหลักสูตรดังกล่าว แมตสันจะมอบหมายให้ผู้เรียนสร้างผลิตภัณฑ์จำลองที่ไม่มีใครซื้อ เป้าหมายของเขาคือ ทำให้มองความล้มเหลวเป็นเหมือนนวัตกรรม ไม่ใช่ความพ่ายแพ้… วิธีนี้ช่วยปลดปล่อยพวกเขาให้ได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ “นักศึกษาจะได้เรียนรู้ที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ และพร้อมที่จะเล็งเป้าหมายอีกครั้ง” แมตสันกล่าว

ถ้าคุณต้องการความสำเร็จ คุณต้องเรียนรู้ ปรับวิธีการ และลองใหม่ซ้ำอีกครั้ง… เพราะสุดท้ายแล้ว ความลำบากจะช่วยพัฒนาศักยภาพขึ้นมาได้…

เรียบเรียงโดย LEARNING HUB THAILAND

7 วิธีปลุกไอเดียใหม่ๆ ในตัวคุณ

03 03 2017

ในปัจจุบันที่โลกรอบตัวเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารล้นทะลัก… ทุกภาคส่วนล้วนเล็งเห็นตรงกันว่า “ยุคการตลาด 4.0” เราควรให้ความสำคัญกับ “นวัตกรรมและงานออกแบบ” เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า หรือบริการ…

แน่ล่ะว่า นวัตกรรมและงานออกแบบสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น จำเป็นต้องเริ่มต้นจาก “ไอเดีย-ความคิดสร้างสรรค์” โดยมีผลการวิจัยของนักจิตวิทยา ระบุชัดว่า… ไอเดียเจ๋งๆ ไม่ได้มาจากการพยายามเค้นความคิด หรือจินตนาการขึ้นจากความว่างเปล่า แต่จะเกิดขึ้นจากการพาตัวเองไปอยู่ในสภาวะที่เอื้อต่อการสร้างไอเดียเหล่านั้น

แล้ว “สภาวะที่เอื้อต่อการสร้างไอเดีย” มีอะไรบ้างหนอ?

 

1. ฟังดนตรีคลาสสิค

 

วงการวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ต่างยืนยันไปในทางเดียวกันว่า ดนตรีคลาสสิคช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ส่งผลให้เกิดภาพจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ได้ง่าย นอกจากนี้ ดนตรีคลาสสิคยังช่วยผ่อนคลายความเครียด ลดความกดดัน ทำให้สมองได้พักผ่อน ซึ่งเป็นสภาวะที่เอื้อต่อการเกิดไอเดียใหม่ๆ นั่นเอง

ในประเทศไทย คุณบัณฑิต อึ้งรังษี วาทยกรผู้มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับเพลงคลาสสิค บอกว่า “การฟังเพลงคลาสสิคตอนเช้า ก่อนเริ่มทำงาน นอกจากจะช่วยให้เราเพลิดเพลินและผ่อนคลาย ยังช่วยให้สมองแจ่มใส คิดไอเดียดีๆ ออกมาได้ง่าย”

สำหรับคนที่สนใจฟังเพลงคลาสสิค เพื่อให้เกิดไอเดียดีๆ หลั่งไหล… คุณสามารถเริ่มต้นฟังเพลงคลาสสิค ด้วยเพลงที่มีความง่าย ไม่ซับซ้อน อาทิ เพลง “Canon in D Major” ของ Pachelbel และ “Ode to Joy” ของ Beethoven… สองเพลงนี้เป็นเพลงยอดนิยม ที่เชื่อว่าหลายท่านอาจเคยได้ยินในภาพยนตร์โฆษณาต่างๆ มาก่อนหน้านี้ ลองค้นหามาฟังกันดูนะครับ

 

2. อยู่กับธรรมชาติ

 

ถ้าคุณเคยนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ มีลมเย็นๆ พัดผ่าน เชื่อว่าคุณจะรู้สึกดี… นั่นเพราะการอยู่กับธรรมชาติ ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว เมื่อร่ายกายผ่อนคลาย สมองก็จะจัดเรียงข้อมูลได้ดีขึ้น การหยิบใช้ข้อมูลในความคิดเราจึงทำได้ง่ายขึ้น และนั่นทำให้ “ไอเดียดีๆ” เกิดขึ้นในช่วงเวลาแบบนี้ได้ง่าย

นอกจากคำยืนยันทางวิทยาศาสตร์แล้ว นักธุรกิจหลายท่านก็ใช้วิธีนี้ในการหาไอเดียใหม่ๆ ครับ ตัวอย่างเช่น เกร็ก ไอเซนเบิร์ก ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงเรื่องความคิดสร้างสรรค์ เขาเคยบอกว่า… ไอเดียดีๆ ของเขา มักเกิดขึ้นตอนอยู่ในที่สงบๆ ท่ามกลางธรรมชาติ เช่น พื้นที่โล่งกว้างในชนบท หรือชายหาดริมทะเล

แต่ถ้ายังไม่มีเวลาเดินทางไปสัมผัสธรรมชาติต่างจังหวัด คุณอาจเพียงแค่เดินเล่นในสวน หรือหาที่นั่งใต้ต้นไม้ในสวนสาธารณะแถวบ้าน ก็ได้นะครับ

 

3. ทำสมาธิ

 

“การทำสมาธิ” จะทำให้เรามีสภาวะจิตที่ปลอดโปร่ง โล่งสบาย ทำให้เราได้อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง… “การทำสมาธิ” เป็นการดึงความคิดที่สะเปะสะปะ กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ส่งผลให้เราเห็นความคิดตัวเองชัดขึ้น… และในทางวิทยาศาสตร์ “การทำสมาธิ” จะทำให้คลื่นสมองช้าลง จนถึงความถี่หนึ่งที่เรียกว่า “คลื่นอัลฟ่า” ซึ่ง ณ ความถี่นี้เอง ที่สมองจะมีการจัดระเบียบความคิดได้ดีมาก ไอเดียดีๆ จึงหลั่งไหลได้ง่ายในสภาวะนี้นั่นเอง

วิธีนี้ นักธุรกิจหลายคนชื่นชอบ แม้แต่ สตีฟ จ็อปส์ ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม Apple ก็เป็นคนหนึ่งที่ทำสมาธิเป็นประจำ และพบว่า ไอเดียใหม่ๆ ของเขา มักเกิดขึ้นในช่วงที่จิตใจสงบระหว่างทำสมาธิ…

 

4. อ่านหนังสือ

 

“หนังสือ” ไม่เพียงทำให้เราได้ความรู้ แต่ยังช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของสมอง จากผลการศึกษาของ Emory University บอกว่า “การอ่านหนังสือหลากหลายแนว ทำให้การเชื่อมต่อของสมอง และการทำงานกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย ดีขึ้น เพราะการอ่าน จะบังคับให้เราต้องจินตนาการภาพตาม ซึ่งก็เป็นที่มาของไอเดียดีๆ นั่นเอง”

ถ้าเราสังเกตดีๆ นักธุรกิจและผู้ประสบความสำเร็จระดับโลกส่วนใหญ่ ล้วนเป็นนักอ่านครับ และการรับข้อมูลใหม่ๆ ก็จะทำให้เราจินตนาการได้ดีขึ้น… ยิ่งถ้าเราอ่านหนังสือที่หลากหลาย ก็จะยิ่งช่วยให้เรามองเรื่องที่เรา “คิดว่า รู้อยู่แล้ว” ด้วยกรอบความคิดใหม่…

 

5. ท่องเที่ยวไปในที่แปลกใหม่

 

การเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่แปลกใหม่ เป็นการทำลายความซ้ำซากจำเจและความเคยชินเดิมๆ ทั้งยังช่วยให้เราออกจาก comfort zone ของตัวเอง… บ่อยครั้งที่เราจะได้รับประสบการณ์คาดไม่ถึง ซึ่งเรื่องนี้ ได้รับการยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์และนักจิตวิทยาครับว่า การเดินทางท่องเที่ยวไปในที่แปลกใหม่ จะช่วยให้เกิดไอเดียเจ๋งๆ และความคิดสร้างสรรค์ดีๆ ได้ง่ายขึ้น…

คุณลองสังเกตตัวคุณเอง จะเห็นว่า เวลาท่องเที่ยวไปในที่ไม่เคยไปมาก่อน หูตาเราจะเปิดโดยอัตโนมัติแบบไม่ต้องฝืน ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดการเชื่อมต่อทางความคิด จนเกิดเป็นไอเดียใหม่ๆ… จัดสรรเวลาไปเที่ยวในที่ที่ไม่เคยไปดูนะครับ นอกจากได้พักผ่อนแล้ว ยังอาจได้ไอเดียดีๆ กลับมาด้วย

 

6. จดจ่อกับเป้าหมาย

 

“การจดจ่อกับเป้าหมาย” สามารถทำให้เราเกิดไอเดียดีๆ ได้อย่างไม่คาดคิด เพราะการที่เรามุ่งมั่น ชัดเจนกับเป้าหมาย ขีดเส้นตายให้ตัวเอง เท่ากับเราได้สร้างข้อจำกัดให้ชีวิต และการสร้างข้อจำกัดบางอย่างนี้นี่เอง ที่บังคับให้เรา “ต้องหาทางออก ด้วยปัจจัยเท่าที่มี” นั่นทำให้เราปลดปล่อยศักยภาพภายใจตัวเองได้มหาศาล และไอเดียดีๆ ก็จะพรั่งพรู เพื่อพาเราไปถึงเป้าหมายนั้นได้ นั่นเอง!

สำหรับ “วิธีการตั้งเป้าหมายเบื้องต้น” เราขอแนะนำหลักการ SMART ครับ ได้แก่ Specific (มีความเฉพาะเจาะจง), Measurable (สามารถวัดผลได้), Attainable (สามารถบรรลุได้), Realistic (อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง) และ Time-Bounded (มีกำหนดเวลาแน่นอน)

 

7. จดบันทึก

 

คุณรู้หรือไม่ว่า “การจดบันทึก” ไม่ได้แค่ช่วยเราจดจำข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่ยังกระตุ้นให้เกิดไอเดียดีๆ ได้ด้วย… เพราะ “การจดบันทึก” จะช่วยให้เรามองเห็นความคิดตัวเองในอดีต ที่พัฒนามาจนถึงปัจจุบัน… ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น และเมื่อเข้าใจตัวเองมากขึ้น เราก็สามารถทลายข้อจำกัดแบบเดิมๆ ได้ นั่นรวมถึงความกล้าคิดสิ่งใหม่ที่ไม่เคยคิดมาก่อน!

ริชาร์ด แบรนสัน เจ้าของอาณาจักร Virgin เวลาไปไหนก็ตาม เขาจะพกสมุดจดบันทึกเล่มเล็กๆ ติดตัวตลอดเวลา เมื่อมีสิ่งใดที่น่าสนใจแวบเข้ามาในความคิด เขาจะรีบจดมันลงไป… เขาบอกว่า “ไอเดียที่ก่อให้เกิดอาณาจักรธุรกิจที่ยิ่งใหญ่รอบตัวเขา มาจากสมุดบันทึกเหล่านี้แหละครับ”

ในส่วนของ “วิธีการจดบันทึก” ก็ไม่ได้มีอะไรตายตัว แต่ควรเขียนด้วยมือ และจดลงไปด้วยมุมมองความคิดของตัวเอง… ที่สำคัญ คุณควรฝึกจดบันทึกสิ่งต่างๆ ให้ติดเป็นนิสัย แล้วคุณจะพบว่า “สมุดบันทึกธรรมดาๆ นี่แหละ สร้างไอเดียไม่ธรรมดาให้เราได้มากมาย”

 

ทั้ง “7 วิธีปลุกไอเดียใหม่ๆ ในตัวคุณ” ในบทความนี้ เป็นวิธีง่ายๆ ที่เราเอามาแนะนำ… ลองทำดูสิครับ ไม่แน่ว่า หนึ่งในวิธีเหล่านี้ อาจช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์เจ๋งๆ ให้กลายมาเป็น “นวัตกรรมสร้างรายได้” สำหรับคุณ ก็เป็นได้!

 

บทความโดย LEARNING HUB THAILAND

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save