วิธีทำชีวิตช้าลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

คุณเคยเป็นไหมครับ ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบเพื่อให้ทำอะไรเสร็จเร็วๆ แต่หลายครั้งกลับผิดพลาด หรือหลงลืมอย่างไม่น่าให้อภัย

เรามักบอกตัวเองว่าไม่มีเวลา จึงดูเหมือนว่าการเริ่มทำอะไรใหม่ๆก็ยากไปเสียหมด แต่เรากลับมีเวลาผลาญเล่นไปกับเกม ยูทูป และโซเชียลมีเดีย

====

เชื่อหรือไม่ว่าหากเราช้าลงกว่าเดิมสักนิด เรากลับทำสิ่งต่างๆได้เร็วขึ้น เพราะมีความผิดพลาดน้อยลง ไม่ต้องเสียเวลาในการแก้ไข หรือกลับมาทำใหม่เพราะหลงลืม

หากเราช้าลงอีกสักหน่อย เราจะเห็นว่า เราจัดสรรเวลาได้ เวลามีเหลือเฟือสำหรับสิ่งที่สำคัญกับเรา

====

การใช้ชีวิตให้ช้าลง ไม่ได้หมายถึง เรื่อยเปื่อยเนิบนาบเป็นเต่าคลาน แต่หมายถึง สภาวะที่เราช้าพอที่จะสามารถผ่อนคลายและดื่มด่ำกับชีวิตได้

หากวันนี้เราคิดว่าความเร็วเป็นสิ่งที่จำเป็น มันอาจทำให้เรารีบจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

จริงๆแล้วเราสามารถทำหลายสิ่งให้ช้าลงได้ในจังหวะที่ตัวเองรู้สึกโอเค และทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่เรียกว่า ช้าเพื่อเร็ว นั่นเอง

====

5 สัญญาณบ่งบอกว่า เราใช้ชีวิตเร็วเกินไป

  1. คุณพบว่า มันยากขึ้น ที่จะโฟกัสกับกิจกรรมตรงหน้าในปัจจุบันขณะ และคุณต้องคอยหาอะไรทำตลอดเวลา

  2. คุณใช้ชีวิตเหมือนเดิม เรื่อยๆ “อย่างเป็นอัตโนมัติ” โดยไม่ได้ตระหนักว่า คุณกำลังทำมันอยู่ด้วยซ้ำ

  3. คุณรีบเร่งไปกับกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน โดยไม่ได้ใส่ใจกับมันนัก รีบทำให้เสร็จเพื่อไปทำอย่างอื่นต่อ

  4. คุณกำลังมุ่งมั่นกับเป้าหมายบางอย่างอยู่ จนไม่ได้ใส่ใจว่าตอนนี้ตัวเองและคนรอบข้างกำลังทำอะไรอยู่บ้าง

  5. คุณพบว่าในสมอง เต็มไปด้วยความคิดหวาดกลัว กังวลเกี่ยวกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หรือความเศร้า โกรธแค้นเพราะคำนึงอยู่กับอดีตที่ผ่านมาแล้ว

====


 

ชีวิตที่ช้า คือชีวิตที่ยืนยาว

คนเรายอมเสียเงินนับแสน เพื่อซื้อยาต้านความแก่ วิตามินชะลอความชรา ทำทุกอย่างเพื่อยืดอายุตัวเองออกไป ให้ได้อีกสัก 1-2 ปีก็ยังดี

พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเป็นอัตโนมัติและหลับใหล ทำตามระบบไปอย่างไม่รู้วันคืน แต่พวกเขากลับไม่พยายาม “ตื่นขึ้นมา” เพื่อใช้ชีวิตของตัวเอง

ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องอายุยืนจนแก่หง่อม จึงจะเรียกว่า “ใช้ชีวิตคุ้ม”

คุณสามารถใช้ชีวิตที่มีคุณภาพและยืนยาวได้ โดยเพิ่มเวลาการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ ขึ้นสัก 2 เท่าในทุกๆวัน นั่นเท่ากับว่าคุณมีอายุยืนขึ้นในด้านคุณภาพ เหมือนคุณอายุ 60 ปี แต่ได้ใช้ชีวิตเท่ากับคนที่มีอายุยืนยาว 120 ปี

แล้วถ้าคุณเพิ่มเวลาได้ถึง 3-4 เท่าล่ะ ? มันจะดีแค่ไหน

====

ในเรื่องการใช้ชีวิต ปริมาณของเวลาไม่มีความหมายเท่ากับคุณภาพ

หากแม้คุณอายุยืนขึ้นเพราะเทคโนโลยีการแพทย์ แต่ไม่มีความสุข

ไม่ได้ใช้ชีวิตที่ตนเองรัก เพราะถูกบังคับ มีแต่ข้อจำกัด นั่นอาจเป็นความทรมานอย่างร้ายแรง

ดังนั้นสิ่งที่ต้องกลับมาคิดใคร่ครวญก็คือ จะปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตได้อย่างไร ?

====

ต่อไปนี้เป็น 5 วิธีง่ายๆที่จะยืดชีวิตให้ยาว ปลุกเราให้ตื่นจากความหลับใหล ด้วยการทำชีวิตให้ “ช้าลง”

5 วิธี ที่ทำให้ชีวิต “ช้าลง”

 1. กลับมาอยู่กับลมหายใจ

เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกเหนื่อยล้า ท้อแท้ หงุดหงิด เครียดหรือกังวล ลองใช้เวลาสัก 3 นาที นำจิตที่ว้าวุ่น กลับมาอยู่กับลมหายใจ

สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ให้ลึกยาว จนรู้สึกว่าท้องพองออก ผ่อนลมหายใจออกเบาๆผ่อนคลาย จนรู้สึกว่าท้องยุบลง

ทำแบบนี้ต่อเนื่องกัน โดยนำจิตรับรู้ อยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น มันจะเป็นสะพานเชื่อมร่างกาย อารมณ์ และจิตใจเข้าด้วยกัน เพียงเท่านี้คุณก็จะเกิดสมดุลทางอารมณ์ขึ้นมา การกลับมาสู่ปัจจุบันขณะจะทำให้สติของคุณเต็มเปี่ยม

 การกลับมาอยู่กับลมหายใจสักครู่หนึ่ง จะช่วยให้คุณจะพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

====

2. ออกไปเดินเล่น

นี่เป็นวิธีออกกำลังที่ง่ายที่สุด ช่วยปลดปล่อยความเครียด และช่วยผ่อนคลายอารมณ์

การเดินจะช่วยให้คุณกลับมาอยู่กับปัจจุบัน สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆรอบตัว สัมผัสกับธรรมชาติและกิจกรรมต่างๆของผู้คน

คุณอาจเปลี่ยนจากการขึ้นรถเมล์ ขึ้นมอเตอร์ไซด์ ขึ้นลิฟท์ เป็นการเดินแทน แถมยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย แต่ถ้าอยากสดชื่นกว่านั้น ออกไปเดินตอนฝนตกปรอยๆ หรือเดินในสวนตอนเช้าๆอย่างไม่รีบเร่ง

 แค่ได้อยู่กับการเดิน เชื่อมั้ยว่าคุณจะรู้สึกดีสุดๆไปเลย

====

 3. ดื่มด่ำไปกับกิจกรรมต่างๆ

ความสุข คือการมองเห็นสิ่งๆเดิม ในมุมมองที่เปลี่ยนไป ในเมื่อชีวิตนั้นเกิดขึ้นที่นี่และเดี๋ยวนี้ วันวานและวันพรุ่งนี้มีอยู่เพียงแต่ในความคิด

ฉะนั้นจะไม่เป็นการดีกว่าหรือ ที่เราจะสัมผัสรับรู้กับปัจจุบันขณะที่กำลังเป็นอยู่ ฝึกที่จะสังเกตและรับรู้สิ่งดีๆรอบๆตัว และใช้เวลามากขึ้นที่จะอยู่กับชั่วขณะนั้น มันจะทำให้ประสบการณ์ของความพึงพอใจนั้นยาวนานขึ้นอีก

ไม่ว่าจะเป็นการเข้าครัวเตรียมมื้ออาหาร การนั่งเล่นชื่นชมดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า การพูดคุยสนุกๆกับครอบครัว ในทุกๆกิจกรรม เราก็แค่ “อยู่ตรงนั้นอย่างเต็มเปี่ยม และดื่มด่ำกับมัน”

 แค่รู้จักดื่มด่ำกับสิ่งรอบตัว  เราจะสัมผัสความสุขได้ง่ายๆและบ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ

==== 

4. อยู่กับความเงียบ

หลายคนคิดว่าความสุข คือความสนุกสนานร่าเริง และมีกิจกรรมต่างๆทำให้เพลิดเพลินใน

แต่เราหารู้ไม่ว่า ชีวิตที่ถูกครอบครองด้วยกิจกรรมตลอดเวลา ลึกๆแล้วจะเรียกร้องหา “เวลาสำหรับตัวเอง”

แม้แต่คอมพิวเตอร์ยังต้องการ Defragment และ มี Sleeping Mode มนุษย์เราก็ต้องการ “ชั่วขณะแห่งความเงียบ” ให้ตัวเองเหมือนกัน

ในทุกๆวัน เราสามารถกำหนดเวลาสัก 5-10 นาที เพื่ออยู่กับตัวเองลำพังในความเงียบ

คุณอาจจะลองใช้คำถามเหล่านี้กับตนเอง และอาจจะเขียนมันลงไปเพื่อให้หลายๆสิ่งชัดเจนขึ้น

ร่างกายเรากำลังรู้สึกสัมผัสกับอะไรบ้างในขณะนี้ ?

จิตใจและอารมณ์ในขณะนี้ของเราเป็นอย่างไร ?

เรากำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ มีความกังวลหรือไม่สบายใจอะไรบ้าง ?

เมื่อทบทวนชีวิตในวันนี้ มีอะไรที่เราได้เรียนรู้ มีอะไรที่เราจะทำได้ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ?

เมื่อเรากลับมาสนใจ รับรู้ ความรู้สึกและอารมณ์ของตนเองได้สักพัก เราจะพบกับความสงบใจอย่างน่าประหลาด

 ท่ามกลางที่ว่างนี้ ดูเหมือนจะเกิดความสุขได้ง่ายขึ้น เราจะตอบคำถามบางอย่างในใจตนเองได้ และรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป

====

5. ไม่ด่วนตัดสิน

ความน่ากลัวอย่างหนึ่งที่คนเรามักมองข้ามไปก็คือ “เราจะได้ยิน เฉพาะสิ่งที่เราอยากฟังเท่านั้น” ปรากฏการณ์เช่นนี้สืบเนื่องมาจากการ ‘ด่วนตัดสิน’ 

เมื่อใดก็ตามที่เรา “ด่วนตัดสิน” กับคนบางคน กับเรื่องบางเรื่องไปแล้ว แม้เค้าพูดไม่ทันจบประโยค เราจะปิดการฟังไป เปลี่ยนเป็นการแทรกสอด คำถาม หรือไม่สนใจ นั่นทำให้เกิดการเข้าใจผิด เกิดความขัดแย้งขึ้นในความสัมพันธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  ฝึกที่จะรับฟังผู้คนจนจบ โดยยังไม่ด่วนตัดสิน ตีความไปก่อน นั่นทำให้การสื่อสารนั้นเข้าถึงเราได้อย่างเต็มเปี่ยม เราจะได้ยินในสิ่งที่เค้าไม่ได้พูดออกมา ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการ แล้วจะประหลาดใจว่า เราสามารถเข้าใจเค้าได้ง่ายขึ้น

หนึ่งในวิธีที่จะทำให้เราใช้ชีวิตช้าลงได้และไม่ด่วนตัดสิน ได้แก่ “การฝึกไดอะล็อค” พัฒนาทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง เรียนรู้และฝึกฝน  Active Listening ทักษะการฟังที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้คนในทีมคลิกที่นี่

 

 

การช้าลง ไม่ด่วนตัดสิน จะทำให้การสนทนาที่ดูจะยากลำบากครั้งนั้น กลับราบรื่นไปได้ด้วยดี

 

เป็นอย่างไรบ้างครับ กับ 5 วิธีการทำให้ชีวิตช้าลง หากเรานำวิธีเหล่านี้ไปใช้ เชื่อว่าจะมีความสุขขึ้นมากๆและบ่อยครั้งด้วยครับ

====

ถ้าคุณสนใจเรียนรู้และฝึกฝนพัฒนา Mindset และทักษะของผู้นำยุคใหม่ที่ผสมผสานความช้าเข้ากับการทำงานในโลกที่เร่งรีบได้อย่างลงตัว  ผมมีหลักสูตร The New Leadership Skillsเพื่อพัฒนาให้คุณเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพสูง คลิกดูรายละเอียดที่นี่

บทความโดย อ.เรือรบ CEO และผู้ก่อตั้ง Learning Hub Thailand

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962



5 ขั้นตอนเปลี่ยน Mindset เพื่อเปลี่ยนชีวิตก่อนอายุ 30

Mindset หรือ ทัศนคติ เป็นสิ่งที่กำหนดรูปแบบการดำเนินชีวิตของเรา

การเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาตนเอง เพื่อให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดี ย่อมต้องเริ่มมาจาก “การมี Mindset ที่ถูกต้อง” เสียก่อน

ซึ่งการเปลี่ยน Mindset นั้น เราควรทำให้ได้ก่อนอายุ 30 ซึ่งผมขอแชร์จากประสบการณ์ตรง ที่สามารถเปลี่ยน Mindset ของตัวเองได้ ซึ่งส่งผลให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นไปในทางที่ต้องการ 

และต่อไปนี้เป็น 5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่ผมใช้จริงซ่งคุณสามารถนำไปปรับใช้ได้กับตัวเองได้เช่นกัน 

====

1. มองให้เห็นว่าปัญหาเป็นโอกาส

“การมองเห็นปัญหาที่แท้จริง เป็นจุดเริ่มต้นของทุกการเปลี่ยนแปลง”

การมองเห็นตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย  คนเรามักมองไม่เห็นตัวเอง ถึงมองเห็นก็มักไม่ยอมรับ หรือยอมรับแล้ว ก็ไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา ดังนั้นการมองเห็นปัญหา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในชีวิต

ในช่วงก่อนอายุ 30 มีหลายคนสะท้อนว่า แรกๆ ที่พบผม ผมเป็นคนดูหยิ่ง หน้าดุ ไม่ค่อยยิ้ม ซึ่งผมฟังแล้วก็เฉยๆ ไม่คิดอะไร เพราะคิดว่าเกิดมาหน้าตาเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร

====

เมื่อใช้ชีวิตมานานขึ้น ก็ได้ยินเสียงสะท้อนมากขึ้น จากคนที่หวังดีอีกหลายๆ คน ทำให้ผมเริ่มเอะใจขึ้นมา

เห็นได้ชัดว่า การเห็นปัญหาของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยจริงๆ แต่ในทุกปัญหา ย่อมมีโอกาส ผมลองย้อนคิดดูว่า ขนาดหน้าไม่รับแขก ทุกวันนี้ก็มีเพื่อนหลายคนนะ ถ้าผมยิ้มเก่ง ยิ้มง่ายขึ้น ดูน่าเข้าหา จะมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตมากขึ้นแค่ไหน  

====

2. อย่าปลอบใจตัวเอง

“ปัญหาเล็กๆ มักส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ โดยที่เราไม่เคยรู้ตัวเลย”

ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยมองเห็นปัญหา เพราะมองแค่ที่ตัวเอง ไม่ได้มองลึกลงไปถึง “ปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่” เพราะแน่นอนว่าปัญหาใหญ่ มันจะไม่ได้อยู่ตื้นๆ ที่พื้นผิวให้เรามองเห็นง่ายๆ

สำหรับเรื่องการยิ้ม ถ้ามองแค่ตัวเอง ผมย่อมไม่เดือดร้อน เพราะผมไม่ได้เห็นหน้าตัวเองนี่นา แต่ปัญหาที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ก็คือ คนจะไม่ค่อยกล้าเข้าหาผม หรือไม่อยากเข้ามาพูดคุยกับผม ทำให้ผมมีเพื่อนน้อย จะมีเพื่อนใหม่ยิ่งยาก แต่ผมก็มักจะปลอบใจตัวเองว่า ไม่เห็นเป็นไร การมีเพื่อนน้อยก็ดี เรื่องไม่เยอะ การอยู่คนเดียวก็ดี สงบดี

การปลอบใจตัวเอง เป็นแนวโน้มให้เรา “ยึดติด” ในนิสัยเดิมๆ และไม่ได้ช่วยให้เรา “แก้ปัญหา” นั้นได้เลย

====

ฉะนั้นเมื่อเจอปัญหาเราจำเป็นต้องนำมาพิจารณาตรงๆ อย่างเป็นกลาง ด้วยการตั้งคำถามใหม่ว่า ภายใต้ปัญหาเล็กๆ ในเรื่องนั้น “อะไรคือปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่บ้าง”

สำหรับกรณีของผม ถ้ามองอย่างเป็นกลางแล้ว การที่เพื่อนน้อย หากไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่การที่คนใหม่ๆไม่อยากจะมาทำความรู้จักกับผม เป็นปัญหาใหญ่แน่นอน เพราะนั่นหมายถึง โอกาสดีๆ และคอนเนคชั่นดีๆ ในชีวิตจะหายไป

นอกจากนั้นผมก็คงไม่สามารถแบ่งปันสิ่งดีดีในชีวิตกับใครได้มาก เพราะไม่มีใครอยากเข้าหาผมนั่นเอง

====

3. ทำให้เป็นเรื่องเร่งด่วน

“ชีวิตไม่เคยเร่งด่วน แต่ปัญหาของชีวิตต้องทำให้เป็นเรื่องเร่งด่วน”

เราสามารถนอนทับปัญหา หรือจมอยู่กับมันได้นานเท่านาน ถ้าเรายังมองว่าชีวิตโอเคอยู่ นอกจากชีวิตจะเจอกับวิกฤต ที่จะบังคับให้เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง การเปลี่ยนเพราะวิกฤตเป็นเรื่องเจ็บปวดมาก การจะรอให้ชีวิตเจอวิกฤตแล้วค่อยเปลี่ยนแปลง จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ควรทำนัก

ความเร่งด่วนจะไม่เกิดขึ้นเอง มันจะต้องมาจากการเห็นความสำคัญของปัญหา โดยการจินตนาการจากคำถามว่า “หากเรายังนอนทับปัญหานี้ต่อไป สิ่งที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับเราจะเป็นอย่างไร”

การที่ผมเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม แต่เมื่อใช้ชีวิตมาสักระยะหนึ่ง พบว่า บุคคลิกของคนที่ประสบความสำเร็จและคนรวย มักจะเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูน่าคบหา ผมก็ชอบคนเช่นนั้น แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจำเป็นจะต้องทำ

====

การเห็นปัญหาจึงเป็นแค่จุดเริ่มต้น และอาจจะยังไม่พอให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ความเร่งด่วนจึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำให้เกิดขึ้น ผมต้องลองพิจารณาว่าสิ่งที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นถ้าผมยังไม่ยิ้ม มันจะเป็นอย่างไรได้บ้าง 

มีคำกล่าวว่า “ผลลัพธ์ในชีวิตของเรา สะท้อนตัวตนที่เราเป็น” ดังนั้นผมเลยย้อนมาดูผลลัพธ์ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ “เงินในกระเป๋า” จึงเห็นได้ชัดเลยว่า มีน้อยกว่าที่ควร ผมเองยังไม่พอใจกับรายได้ของตัวเอง นั่นแสดงว่า “ตัวตนที่ผมเป็น” ในตอนนี้ยังไม่โอเคความเร่งด่วนจึงเกิดขี้นทันที

เมื่อผมคิดว่า ถ้ายังไม่ยิ้มแบบนี้ ชีวิตคงจะถังแตกไปเรื่อยๆ แล้วมันจริงซะด้วย เห็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เค้ายิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน ว่าแต่ คิดได้แล้ว จะเปลี่ยนยังไงดีล่ะ

====

4. ออกเดินทาง เพื่อแก้ปัญหา

“การแก้ปัญหา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แค่นั่งคิด
แม้ว่าจริงๆ แล้วการแก้ปัญหา ก็คือการพลิกความคิดนั่นเอง”

ฟังแล้วงงมั้ยครับ สิ่งที่ผมอยากสื่อก็คือ การแก้ปัญหานั้นจะง่ายดาย แบบพลิกความคิดเลย ถ้าเรารู้วิธี แต่ขั้นตอนกว่าที่จะรู้วิธี เราจำเป็นต้องออกแรงเดินทางไปค้นคว้า ไปหาผู้รู้ หรือหาวิธีการมาครับ นั่งคิดเองไม่ได้ เพราะหากมันเป็นปัญหาได้ มันต้องใหญ่เกินกรอบความคิดของเราในปัจจุบันแน่นอน

คนที่ “ฝึกเจริญสติ” มาอย่างดีแล้วเท่านั้น ที่จะมีปัญญาที่สามารถทะลุทะลวงเข้าไปพิจารณาอดีตของตัวเอง จนเจอที่มาของนิสัยของตัวเองได้

หากเรายังไม่แก่กล้าถึงเพียงนั้น แนะนำให้หา “โค้ช” ไปปรึกษาในเรื่องที่เราติดขัด หรือไปเข้า “อบรมสัมมนา” ในคอร์สที่จะพลิกมุมมองพลิกชีวิตของตัวเองได้ หรืออย่างน้อยที่สุด “อ่านหนังสือ” ด้านการพัฒนาตัวเอง ให้ได้ข้อมูลใหม่ๆมาพัฒนาชีวิต

====

ส่วนตัวผม ในช่วงวัย 25-30 ก็ได้ไปเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองจากหลากหลายที่ ไม่ว่าจะไปคอร์สปฏิบัติธรรม เข้าสัมมนา ฝึกเจริญสติ เรียนศาสตร์โค้ชชิ่ง อ่านหนังสือหลายสิบเล่ม เพราะผมเชื่อว่ายังมีปัญหาหรือจุดบอดอีกมาก ที่ผมยังไม่รู้ว่ามี

และสิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่จะมาช่วยผมได้ในอนาคต และข้อดีของการออกเดินทางก็คือ ระหว่างทางที่เราจะเดินไปแก้ปัญหานึงนั้น โดยรู้ตัวและบางครั้งก็ไม่รู้ตัว เราได้แก้ปัญหาเรื่องอื่นๆในชีวิตไปได้อีกมากเลยทีเดียว

แม้ว่าผมจะยังยิ้มไม่เก่งอยู่ แต่ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น รู้จักคนมากขึ้น ยอมรับความแตกต่างของคนได้มากขึ้น โดยไม่รู้ตัว ผมเริ่มเป็นคนรับฟังคนเก่ง มนุษย์สัมพันธ์ดี และมีแฟนที่น่ารัก อันหลังไม่เกี่ยวกับนิสัย แต่เป็นผลพลอยได้ครับ

====

5. นิสัยใหม่ ทำให้ยั่งยืน

“ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำครั้งเดียวแล้วได้ผล นอกจากเราจะเป็นคนสร้างนิสัยใหม่ขึ้นมา”

ในเมื่อนิสัยเก่าๆเค้าใช้เวลาสะสมมาหลายปี ทำให้เรากลายเป็นคนแบบนี้ได้ การสร้างนิสัยใหม่ ก็ต้องใช้เวลา หากเราคาดหวังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ย่อมจะผิดหวัง

ดังนั้นต้องเผื่อใจ และค่อยๆทำมันทีละนิด แต่บ่อยๆ ซึ่งในตอนแรกๆมักจะรู้สึกฝืน นั่นก็แปลว่ามาถูกทางแล้วครับ

ผมจึงต้องเริ่มฝึกที่จะยิ้มกับกระจกทุกเช้า เจอใครก็เตือนตัวเองว่าให้ยิ้ม ทั้งๆ ที่ในใจก็วิพากษ์วิจารณ์ตัวเองอยู่ด้วย แต่ผมรู้ว่า นิสัยใหม่ ก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ไอ้ความคิดเดิมๆ มันจะยังไม่ทิ้งผมไปไหนหรอก

แต่หากเราทำนิสัยใหม่ มากเข้า บ่อยเข้า นานพอ ความคิดใหม่ก็จะเสียงดังความความคิดเดิมได้เอง อีกครั้ง สิ่งสำคัญคือ เราต้องมีสติ ในการใช้ชีวิตทุกวัน อย่าปล่อยให้อารมณ์ ความขี้เกียจ และความคุ้นชินเดิมๆ มันลากเรากลับไปได้ เพราะนั่นเท่ากับเรายอมแพ้กับชีวิตและอนาคตของตัวเอง

====

ไม่จำเป็นว่าเราต้องอายุน้อยกว่า 30 ที่จะทำตามเทคนิคเหล่านี้ได้ ขอแค่หัวใจเราอายุน้อยกว่า 30 ที่ยังมองว่าอนาคตยังมีความหวัง ยังอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้วันนี้ดีที่สุด และเพื่อวันพรุ่งนี้ที่จะดีกว่า

เทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้ ก็จะช่วยคุณได้มากๆเลยละครับ แม้ผมไม่รู้สาเหตุในอดีตว่าทำไมตัวเองไม่ชอบยิ้ม แต่ด้วยการเปลี่ยน Mindset และการฝึกทุกวัน ตอนนี้เมื่ออายุ 40 กว่าปี ผมเริ่มยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว เสียงในหัวของผมเงียบลงไป และจะทำให้ผมยิ้มเก่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเจอกับผมก็แวะเข้ามาหามาชวนคุยได้ครับ ผมไม่ดุ รับรอง ^__^

เมื่อปรับ Mindset ของตัวเองได้แล้ว ผมเชิญชวนทุกท่านให้มาทบทวน 4 คุณสมบัติของผู้นำยุคใหม่ ว่าคุณพร้อมหรือยังที่จะเป็นผู้นำในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความผันผวนเช่นนี้ คลิกอ่านที่นี่

====

บทความโดย CEO เรือรบ – ผู้ก่อตั้ง Learning Hub Thailand / ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาภาวะผู้นำ

ถ้าคุณสนใจเรียนรู้และฝึกฝนพัฒนา Mindset และทักษะของผู้นำยุคใหม่ ผมมีหลักสูตร The New Leadership Skills เพื่อพัฒนาให้คุณเป็นผู้นำที่พร้อมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่ คลิกดูรายละเอียดที่นี่

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962

5 พฤติกรรมที่คนสำเร็จจะไม่มีวันทำอย่างแน่นอน

ไม่ว่าคุณจะอยากประสบความสำเร็จในด้านใดก็ตาม จะเป็นการงาน อาชีพ งานอดิเรก การใช้ชีวิต ฯลฯ โลกมีกฎสากลอยู่แล้วในการจะประสบความสำเร็จ แต่ก็มีบางสิ่งที่คุณต้องหลีกเลี่ยง

ต่อไปนี้เป็น 5 พฤติกรรม ที่ต้องหลีกเลี่ยง มาลองดูกันว่าคุณตกหลุมพรางเหล่านี้บ้างแล้วหรือยัง

1.การเลี่ยงความรับผิดชอบ

“ราคาของความยิ่งใหญ่ ก็คือความรับผิดชอบ”

Winston Churchill

อย่างแรกที่คนสำเร็จไม่ทำกันคือ “การโทษคนอื่น หรือหาคนรับผิด” แม้กระทั่งในความคิดก็เถอะ เมื่อบางอย่างผิดพลาดไป อะไรคือปฏิกิริยาแรกของคุณ?

สำหรับคนสำเร็จ เค้าเลือกที่รับความผิดนั้นไว้กับตน แทนที่จะโทษคนอื่นหรือโทษโชคชะตา นั่นจึงทำให้เขาได้ “เรียนรู้” จากความผิดพลาดนั้น แล้วก็ไม่ผิดซ้ำอีก

====

2.การผัดวันประกันพรุ่ง

“การผัดวันประกันพรุ่ง คือพฤติกรรมแย่ๆที่เลื่อนไปถึงวันมะรืน ในขณะที่ควรทำตั้งแต่เมื่อวานซืน”

Napoleon Hill

คนสำเร็จนั้นเน้น “ทำทันที” โดยไม่สนว่าเป็น “เวลาที่เหมาะสม” หรือไม่ พวกเขาทำงานหนักและไม่เคยยอมแพ้ โดยไม่คำนึงถึงสภาพแวดล้อมว่าต้องเอื้ออำนวย

ความลับของความสำเร็จนั้นมาจาก “การสะสมความสำเร็จเล็กๆ” ด้วยการทำซ้ำ เป็นระยะเวลานานๆ ไม่ใช่การท่าให้เกิดความสำเร็จยิ่งใหญ่ครั้งเดียว

====

3.การตามกระแส

“ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้สำเร็จจากการที่ทำตามแนวโน้มหรือกระแสนิยมของคนทั่วไป”

Jack Kerouac

ในแต่ละวัน คนเราผลิตข้อมูลมากมายมหาศาลจนล้นทะลัก จึงง่ายที่เราจะกระโดดเข้าไปสนใจสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ เหมือนเป็นโรคกลัวตกเทรนด์ 

การทำเช่นนี้ ทำให้เราไม่เหลือเวลาสำหรับการทำความเข้าใจตัวเองกับสิ่งที่ตนทำอยู่อย่างลึกซึ้ง คนสำเร็จใช้พลังงานไปกับการทำความเข้าใจกับเป้าหมายของตนเองโดยไม่สนใจเรื่องอื่น

ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการสำเร็จในด้านการขายและการตลาด คุณอาจเลือกที่จะศึกษาลงลึกไปในด้านจิตวิทยามนุษย์ ไม่ใช่การมองหาวิธีโปรโมทแคมเปญใหม่ๆ บนโซเชียลมีเดียแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

====

4.ศิลปินเดี่ยว

“ ชีวิตไม่ใช่การแสดงคนเดียว แต่เป็นการร่วมมือกันอย่างยิ่งใหญ่ และเราจำเป็นต้องรวบรวมคนรอบตัวที่ใส่ใจและสนับสนุนเรา”

Tim Gunn

สิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่คนสำเร็จทำคือการแวดล้อมไปด้วยคนสำเร็จรอบตัว เขาจะไม่อยู่เพียงลำพัง เขาจะมีเครือข่ายและกลุ่มมืออาชีพ เขาจะอยู่ท่ามกลางคนฉลาด ที่สามารถทำเรื่องแตกต่างได้

นี่คือความจริง ไม่ว่าคุณจะอยากสำเร็จในเรื่องยิ่งใหญ่เพียงใด หรือแม้กระทั่งอยากลดน้ำหนักให้สำเร็จ มีการศึกษาวิจัยว่า เราจะลดน้ำหนักได้มากกว่าถ้าทำด้วยกันเป็นกลุ่ม

==== 

5.ขาดศรัทธา

“เชื่อในตนเอง มีศรัทธากับความสามารถของตน หากไม่มีความถ่อมตนและมั่นใจอย่างมีเหตุผลในพลังของตัวเองแล้วล่ะก็ คุณจะไม่มีทางประสบความสำเร็จและมีความสุขได้เลย”

Norma Vincent Peale

เรื่องนี้ไม่ใช่การคิดบวกหรือจินตนาการเข้าข้างตัวเอง “การมั่นใจอย่างมีเหตุผล” จะทำให้คุณสำเร็จในสิ่งที่วางเป้าหมายไว้

หากคุณไม่คิดแม้แต่ว่าจะทำได้สำเร็จแล้วล่ะก็ คุณจะไม่ลองทำด้วยซ้ำ ฉะนั้นคุณต้องบ่มเพาะความเชื่อและศรัทธาในตนเองให้เกิดขึ้น แม้ว่าชีวิตกำลังถอยหลังและยากลำบากอยู่ก็ตาม

====

การหลีกเลี่ยงความผิดพลาดทั้ง 5 ประเภทนี้ จะช่วยให้คุณบรรลุความสำเร็จในการงานและเป้าหมายส่วนตัวได้ แต่ถ้าอยากพบกับ”ความสำเร็จที่แท้จริง” แล้วล่ะก็ คุณต้องมีความสุขกับชีวิตเสียก่อน

อีกหนึ่งพฤติกรรมที่คนสำเร็จจะไม่มีวันทำคือการหยุดเรียนรู้อ่าน 3 เคล็ดลับที่การเรียนรู้ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้มากขึ้น คลิกที่นี่

แถมท้ายกับความผิดพลาดข้อ 6. “ความไม่สมดุล” คนเรามักจะล้มเหลวเพราะไม่มีความสมดุลระหว่าง การงาน ครอบครัว เพื่อน และสุขภาพของตน การที่เราสำเร็จด้านเดียว แต่แล้วก็ล้มเหลวด้านอื่น ก็ไม่อาจทำให้เรารู้สึกเต็มเต็มชีวิตได้อย่างแท้จริง

ดังนั้น ความสำเร็จที่แท้จริง คือ “ความสุขและความสมดุล” หากคุณสามารถสร้างสมดุลให้ทุกพื้นที่ของชีวิตได้ คุณก็จะมีความสุขและกำลังใจเต็มเปี่ยม เรื่องอื่นจะไปยากอะไร จริงไหมครับ

====

ผู้บริหาร ผู้จัดการ และเจ้าของธุรกิจที่ต้องการพัฒนาการทำงานและใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จสูงสุด เราขอแนะนำหลักสูตร The New Leadership Skill ดูรายละเอียดคลิกที่นี่

บทความโดย

อ. เรือรบ จิณณ์ณัฏฐ์ พรหมนุรักษ์

CEO และผู้ก่อตั้ง Learning Hub Thailand

ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาภาวะผู้นำ 

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962

 

3 เคล็ดลับที่การเรียนรู้ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้มากขึ้น

การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่า และให้ประโยชน์แก่ผู้เรียนมากมาย เช่น ทำให้เป็นคนเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น ทันคนขึ้น ทำอะไรได้หลายอย่างมากขึ้น ทำให้การดำเนินชีวิตดีขึ้นและง่ายขึ้น เป็นต้น

ทว่า หากพูดถึง “การเรียนรู้” คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการเรียนรู้ถูกจำกัดอยู่แต่ในสถานศึกษา และวัยที่เหมาะสมในการเรียนรู้ คือ วัยเด็กและวัยรุ่นเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด

เพราะการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ตลอดชีวิต เราสามารถแสวงหาความรู้ และพัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา การเรียนรู้ไม่มีรูปแบบตายตัว ปราศจากกฎเกณฑ์หรือข้อกำหนดเรื่องเวลาและสถานที่ กล่าวคือ คนเราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต

====

หากเปรียบชีวิตของคนเราเป็นดังต้นไม้ใหญ่ ปุ๋ยที่ดีที่สุดของคนเรา คือ การเรียนรู้ เพราะหากเราหยุดที่จะเรียนรู้ ชีวิตก็จะหยุดเติบโตเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ไร้ใบ คือ ไม่มีคุณค่า และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบริเวณนั้น ดังนั้น การเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงมีความสำคัญมาก และเราทุกคนควรที่จะตระหนัก ปลูกฝังจิตใจและนิสัยให้รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

บทความนี้จะเปิดเผย 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้คนเรามีแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ ทำมันอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ตลอดชีวิต

====

1.รู้เหตุผล และความสำคัญของการเรียนรู้

หากผู้เรียนเข้าใจถึงประโยชน์และความสำคัญของการเรียนรู้แล้ว ย่อมจะทำให้เกิดแรงจูงใจและทำให้การเรียนรู้เป็นไปได้ง่ายขึ้น การเรียนรู้มีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยให้คุณพัฒนาตนเอง ทำให้คุณมีความคิดใหม่ๆ และสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับสิ่งนี้สูงสุด

การเรียนรู้ คือ กระบวนการเพิ่มพูนและพัฒนาความรู้ความสามารถ ความคิด สติปัญญา ทักษะ ประสบการณ์ รวมถึงพฤติกรรมของผู้เรียนให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้จากการเห็น การฟัง การอ่าน จากข้อผิดพลาดของตนเองและผู้อื่น เป็นต้น

บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของการเรียนรู้ไว้ ดังนี้

  • อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “การพัฒนาทางสติปัญญาควรจะเริ่มเมื่อแรกเกิด และจะหยุดเมื่อชีวิตสิ้นสุดเท่านั้น”
  • เฮนรี่ ฟอร์ด กล่าวว่า “ใครก็ตามที่หยุดเรียนรู้ เขาจะกลายเป็นคนแก่ชรา ไม่ว่าเขาจะมีอายุ 20 หรือ 80 ปี แต่หากผู้ใดยังมีใจใฝ่เรียนรู้ เขาจะยังคงเป็นหนุ่มสาวเสมอ”
  • เอิร์ล ไนติงเกล กล่าวว่า “เมื่อคุณหยุดที่จะเรียนรู้ คุณก็เหมือนคนที่ตายแล้ว เพราะคุณจะเหลือเพียงร่างกายอันโดดเดี่ยวและเหี่ยวแห้ง”
  • อับราฮัม ลินคอร์น กล่าวว่า “สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ทั้งหมด มาจากการอ่านหนังสือ”
  • จอห์น อดัมส์ กล่าวว่า “ฉันจดจ่อกับการอ่านหนังสือ และอ่านไม่เคยพอ ยิ่งคนเราอ่านมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องอ่านมากเท่านั้น”

นอกจากนี้ ยังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่านให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น โทมัส เจฟเฟอร์สัน แอนดรู คาร์เนกี นโปเลียน ฮิลล์ วินสตัน เชอร์ชิล บรูซ ลี มหาตมะ คานธี เลโอนาร์โด ดาวินซี ขงจื๊อ โสกราตีส เป็นต้น

====

2. ค่อยๆสร้างอุปนิสัย รักการเรียนรู้

 “จงใช้ชีวิตราวกับว่าคุณกำลังจะตายในวันพรุ่งนี้ จงเรียนรู้ราวกับว่าคุณจะมีชีวิตอยู่เป็นนิรันดร์”

มหาตมะ คานธี

ผู้ที่รักการเรียนรู้จะตระหนักว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็น พวกเขารู้ว่ายังมีสิ่งที่รอคอยให้พวกเขาค้นพบอีกมาก ดังนั้นพวกเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ

พวกเขาจะตัดสิ่งที่รบกวนสมาธิและขัดขวางการเรียนรู้ออกไป เช่น โทรทัศน์ วิทยุ เกมส์คอมพิวเตอร์ และสื่อออนไลน์ นอกจากนี้ พวกเขามักรับฟังข่าวสาร หรืออ่านหนังสือระหว่างที่เดินทาง

หากคุณต้องการสร้างอุปนิสัยการเรียนรู้ คุณไม่จำเป็นต้องทำมันอย่างสุดโต่ง เพราะสิ่งนั้นจะทำให้คุณเกิดอคติและมองโลกในแง่ร้ายว่า คุณจะต้องใช้ชีวิตทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือ

ให้คุณค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรมทีละเล็กทีละน้อย เช่น คุณอาจเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆโดยการอ่านหนังสือวันละ 1 ชั่วโมง และเมื่อคุณทำมันอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นนิสัย เท่ากับว่าตลอดทั้งปีคุณจะมีเวลาในการอ่านหนังสือมากถึง 365 ชั่วโมง และสุดท้ายคุณจะพบว่าตัวเองมีความรู้มากขึ้น และทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

====

3. อยู่ในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้

ผู้ที่ชอบการเรียนรู้จะพยายามค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆมากมาย เช่น การอ่านหนังสือ การเข้าเรียนในหลักสูตร การเข้าร่วมอบรมสัมมนา การทำกิจกรรมหรือสร้างเครือข่าย การค้นคว้าทางอินเตอร์เน็ต การสอบถามหรือแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ เป็นต้น

การรู้จักและสานสัมพันธ์กับเพื่อนที่เข้าใจและเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ก็สามารถช่วยให้คุณเรียนรู้สิ่งต่างๆได้มากขึ้น

คุณอาจจะบอกเพื่อนและครอบครัวว่าคุณวางแผนที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆอย่างไร และให้พวกเขาช่วยย้ำเตือนให้คุณรับผิดชอบต่อความตั้งใจจริงของคุณ เพราะพวกเขาเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นและสนับสนุนให้คุณเกิดแรงจูงใจและมีความแน่วแน่ต่อเป้าหมายในการเรียนรู้

วิธีการนี้เป็นการสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ชอบการเรียนรู้ด้วยตัวเองและรักการเรียนรู้ตลอดชีวิตมักทำมันอย่างต่อเนื่อง เพราะมันช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีความมั่นใจ และประสบความสำเร็จในที่สุด

อีกหนึ่งวิธีในการอยู่ในสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้คือการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ภายในทีมของคุณ อ่าน 4 เทคนิคสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ภายในทีม คลิกที่นี่

====

เชื่อว่า หากคุณปฏิบัติตามเคล็ดลับทั้ง 3 ข้อนี้ คุณจะกลายเป็นคนที่รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

และนั่นก็จะการันตีได้ว่า ไม่ว่าโลกจะหมุนเร็วแค่ไหน มีการเปลี่ยนแปลงอะไร คุณก็จะสามารถรับมือกับมันได้ ไม่เป็นคนตกยุคอย่างแน่นอน

ที่มา : http://www.lifehack.org/287498/3-things-life-long-learners-differently-make-them-learn-unremittingly

====

ถ้าคุณสนใจการพัฒนาการเรียนรู้เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของคนทำงานยุคใหม่  ขอแนะนำหลักสูตร Corporate Entrepreneurship Program เพื่อพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นผู้ประกอบการภายในองค์กรซึ่งจะนำความสำเร็จมาสู่ตัวคุณและองค์กรของคุณ  คลิกที่นี่ 

 เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

 เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962

3 เคล็ดลับที่การเรียนรู้ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้มากขึ้น

การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่า และให้ประโยชน์แก่ผู้เรียนมากมาย เช่น ทำให้เป็นคนเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น ทันคนขึ้น ทำอะไรได้หลายอย่างมากขึ้น ทำให้การดำเนินชีวิตดีขึ้นและง่ายขึ้น เป็นต้น

ทว่า หากพูดถึง “การเรียนรู้” คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการเรียนรู้ถูกจำกัดอยู่แต่ในสถานศึกษา และวัยที่เหมาะสมในการเรียนรู้ คือ วัยเด็กและวัยรุ่นเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด

เพราะการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ตลอดชีวิต เราสามารถแสวงหาความรู้ และพัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา การเรียนรู้ไม่มีรูปแบบตายตัว ปราศจากกฎเกณฑ์หรือข้อกำหนดเรื่องเวลาและสถานที่ กล่าวคือ คนเราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต

====

หากเปรียบชีวิตของคนเราเป็นดังต้นไม้ใหญ่ ปุ๋ยที่ดีที่สุดของคนเรา คือ การเรียนรู้ เพราะหากเราหยุดที่จะเรียนรู้ ชีวิตก็จะหยุดเติบโตเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ไร้ใบ คือ ไม่มีคุณค่า และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบริเวณนั้น ดังนั้น การเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงมีความสำคัญมาก และเราทุกคนควรที่จะตระหนัก ปลูกฝังจิตใจและนิสัยให้รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

บทความนี้จะเปิดเผย 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้คนเรามีแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ ทำมันอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ตลอดชีวิต

====

1.รู้เหตุผล และความสำคัญของการเรียนรู้

หากผู้เรียนเข้าใจถึงประโยชน์และความสำคัญของการเรียนรู้แล้ว ย่อมจะทำให้เกิดแรงจูงใจและทำให้การเรียนรู้เป็นไปได้ง่ายขึ้น การเรียนรู้มีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยให้คุณพัฒนาตนเอง ทำให้คุณมีความคิดใหม่ๆ และสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับสิ่งนี้สูงสุด

การเรียนรู้ คือ กระบวนการเพิ่มพูนและพัฒนาความรู้ความสามารถ ความคิด สติปัญญา ทักษะ ประสบการณ์ รวมถึงพฤติกรรมของผู้เรียนให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้จากการเห็น การฟัง การอ่าน จากข้อผิดพลาดของตนเองและผู้อื่น เป็นต้น

บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของการเรียนรู้ไว้ ดังนี้

  • อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “การพัฒนาทางสติปัญญาควรจะเริ่มเมื่อแรกเกิด และจะหยุดเมื่อชีวิตสิ้นสุดเท่านั้น”
  • เฮนรี่ ฟอร์ด กล่าวว่า “ใครก็ตามที่หยุดเรียนรู้ เขาจะกลายเป็นคนแก่ชรา ไม่ว่าเขาจะมีอายุ 20 หรือ 80 ปี แต่หากผู้ใดยังมีใจใฝ่เรียนรู้ เขาจะยังคงเป็นหนุ่มสาวเสมอ”
  • เอิร์ล ไนติงเกล กล่าวว่า “เมื่อคุณหยุดที่จะเรียนรู้ คุณก็เหมือนคนที่ตายแล้ว เพราะคุณจะเหลือเพียงร่างกายอันโดดเดี่ยวและเหี่ยวแห้ง”
  • อับราฮัม ลินคอร์น กล่าวว่า “สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ทั้งหมด มาจากการอ่านหนังสือ”
  • จอห์น อดัมส์ กล่าวว่า “ฉันจดจ่อกับการอ่านหนังสือ และอ่านไม่เคยพอ ยิ่งคนเราอ่านมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องอ่านมากเท่านั้น”

นอกจากนี้ ยังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่านให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น โทมัส เจฟเฟอร์สัน แอนดรู คาร์เนกี นโปเลียน ฮิลล์ วินสตัน เชอร์ชิล บรูซ ลี มหาตมะ คานธี เลโอนาร์โด ดาวินซี ขงจื๊อ โสกราตีส เป็นต้น

====

2. ค่อยๆสร้างอุปนิสัย รักการเรียนรู้

 “จงใช้ชีวิตราวกับว่าคุณกำลังจะตายในวันพรุ่งนี้ จงเรียนรู้ราวกับว่าคุณจะมีชีวิตอยู่เป็นนิรันดร์”

มหาตมะ คานธี

ผู้ที่รักการเรียนรู้จะตระหนักว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็น พวกเขารู้ว่ายังมีสิ่งที่รอคอยให้พวกเขาค้นพบอีกมาก ดังนั้นพวกเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ

พวกเขาจะตัดสิ่งที่รบกวนสมาธิและขัดขวางการเรียนรู้ออกไป เช่น โทรทัศน์ วิทยุ เกมส์คอมพิวเตอร์ และสื่อออนไลน์ นอกจากนี้ พวกเขามักรับฟังข่าวสาร หรืออ่านหนังสือระหว่างที่เดินทาง

หากคุณต้องการสร้างอุปนิสัยการเรียนรู้ คุณไม่จำเป็นต้องทำมันอย่างสุดโต่ง เพราะสิ่งนั้นจะทำให้คุณเกิดอคติและมองโลกในแง่ร้ายว่า คุณจะต้องใช้ชีวิตทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือ

ให้คุณค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรมทีละเล็กทีละน้อย เช่น คุณอาจเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆโดยการอ่านหนังสือวันละ 1 ชั่วโมง และเมื่อคุณทำมันอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นนิสัย เท่ากับว่าตลอดทั้งปีคุณจะมีเวลาในการอ่านหนังสือมากถึง 365 ชั่วโมง และสุดท้ายคุณจะพบว่าตัวเองมีความรู้มากขึ้น และทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

====

3. อยู่ในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้

ผู้ที่ชอบการเรียนรู้จะพยายามค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆมากมาย เช่น การอ่านหนังสือ การเข้าเรียนในหลักสูตร การเข้าร่วมอบรมสัมมนา การทำกิจกรรมหรือสร้างเครือข่าย การค้นคว้าทางอินเตอร์เน็ต การสอบถามหรือแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ เป็นต้น

การรู้จักและสานสัมพันธ์กับเพื่อนที่เข้าใจและเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ก็สามารถช่วยให้คุณเรียนรู้สิ่งต่างๆได้มากขึ้น

คุณอาจจะบอกเพื่อนและครอบครัวว่าคุณวางแผนที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆอย่างไร และให้พวกเขาช่วยย้ำเตือนให้คุณรับผิดชอบต่อความตั้งใจจริงของคุณ เพราะพวกเขาเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นและสนับสนุนให้คุณเกิดแรงจูงใจและมีความแน่วแน่ต่อเป้าหมายในการเรียนรู้

วิธีการนี้เป็นการสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ชอบการเรียนรู้ด้วยตัวเองและรักการเรียนรู้ตลอดชีวิตมักทำมันอย่างต่อเนื่อง เพราะมันช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีความมั่นใจ และประสบความสำเร็จในที่สุด

อีกหนึ่งวิธีในการอยู่ในสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้คือการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ภายในทีมของคุณ อ่าน 4 เทคนิคสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ภายในทีม คลิกที่นี่

====

เชื่อว่า หากคุณปฏิบัติตามเคล็ดลับทั้ง 3 ข้อนี้ คุณจะกลายเป็นคนที่รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

และนั่นก็จะการันตีได้ว่า ไม่ว่าโลกจะหมุนเร็วแค่ไหน มีการเปลี่ยนแปลงอะไร คุณก็จะสามารถรับมือกับมันได้ ไม่เป็นคนตกยุคอย่างแน่นอน

ที่มา : http://www.lifehack.org/287498/3-things-life-long-learners-differently-make-them-learn-unremittingly

====

ถ้าคุณสนใจการพัฒนาการเรียนรู้ของคุณเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของคนทำงานยุคใหม่  ขอแนะนำหลักสูตร  Growth Mindset for Effective Work เพื่อเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ  คลิกที่นี่ 

 เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

 เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962

5 เคล็ดลับ สร้างสมาธิให้คุณโฟกัสงาน ได้ตลอดวัน

LHT template update 26 12 2016

คุณเคยพบว่าทำงานในแต่ละวันได้น้อยลงหรือไม่? บางวันคุณอาจรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหมือนติดปีก แต่ขณะที่วันอื่นๆ แม้ว่าจะใช้เวลานานมากแค่ไหน งานตรงหน้าก็ไม่สำเร็จสักที

เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันว่าการใช้เวลานานๆ และทำตัวให้ยุ่งตลอดทั้งวันจะช่วยให้งานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น จากการศึกษาเมื่อปี 2008 ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์แสดงให้เห็นว่าการถูกผูกติดอยู่กับโต๊ะเป็นเวลานานจะลดประสิทธิภาพในการทำงานลง ขณะที่การพักเบรกช่วงสั้นๆ นั้นช่วยให้คุณมีสมาธิและมีพลังงานมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยจำนวนมากที่บ่งบอกว่าการนั่งอยู่ที่โต๊ะนานๆ นั้นเป็นการทำลายสุขภาพ และเรายังรู้กันมานานแล้วว่าการนั่งนานๆ เป็นสาเหตุของโรคอ้วน โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน และความเสี่ยงโรคร้ายแรงอื่นๆ กระทั่งไม่นานมานี้ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าสามารถลดความเสี่ยงเหล่านี้ลงได้ด้วยการออกกำลังกาย

อย่างไรก็ตามงานวิจัยโดยนักวิจัยชาวสวีเดน Dr. Elin Ekblom-Bak ที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อปี 2010 แสดงให้เห็นว่าไม่เพียงแค่การออกกำลังกายเท่านั้นที่ทำให้สุขภาพเราดีขึ้น การพักเบรกเป็นช่วงและลุกจากโต๊ะบ้างก็ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเหล่านี้เช่นกัน

บทความวันนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ “โพโมโดโร เทคนิค” วิธีการง่ายๆ ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและปกป้องสุขภาพของคุณโดยการสร้างกำลังใจในการทำงานแต่ละวันด้วยการพักเบรกช่วงสั้นๆ

โพโมโดโร เทคนิคถูกคิดค้นขึ้นโดย Francesco Cirillo ในปี 1980 ในหนังสือขายดีที่ใช้ชื่อเดียวกันซึ่งได้รับการปรับปรุงและพิมพ์ซ้ำเมื่อปี 2013 

“โพโมโดโร” แปลว่ามะเขือเทศในภาษาอิตาเลียน Cirillo ได้แนวคิดชื่อนี้มาจากตัวจับเวลาในห้องครัวรูปมะเขือเทศที่เขาใช้เพื่อบริหารเวลาในช่วงที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย  

เทคนิคนี้แนะนำว่าให้คุณแบ่งการทำงานออกเป็นช่วงละ 25 นาที แต่ละช่วงคั่นด้วยเวลาเบรกสั้นๆ

วิธีนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ความเรียบง่าย ช่วงเวลา 25 นาที คือมะเขือเทศหนึ่งผล เมื่อคุณทำงานใช้ช่วงที่หนึ่งเสร็จ ให้ใช้เวลาพักประมาณ 5 นาทีก่อนจะเริ่มงานช่วงถัดไป เมื่อคุณทำงานทั้ง 4 ช่วงเสร็จ ให้พักยาวเพื่อเติมพลังและเรียกความสดชื่นให้แก่ร่างกาย

ในครั้งแรกที่คุณเริ่มทำความรู้จักกับเทคนิคนี้ มันอาจดูขัดแย้งเมื่อได้รู้ว่ามีเวลาพักเป็นช่วงๆ ตลอดทั้งวัน แต่จากงานวิจัยแสดงให้เราเห็นแล้วว่ามันสามารถเพิ่มพลังสมาธิเมื่อคุณกลับมาทำงานหลังการพักเบรกได้

5 ขั้นตอนการใช้เทคนิคโพโมโดโร

ขั้นที่ 1: ตรวจสอบตารางเวลา

ในขั้นแรกนี้คุณต้องตรวจสอบตารางเวลาของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นลิสต์รายการสิ่งที่ต้องทำหรือโครงการต่างๆ ที่วางแผนไว้ และเริ่มคิดว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องทำในวันนี้

ประมาณการเวลาที่คุณต้องใช้ในการทำงานแต่ละชิ้น โดยจำกัดส่วนของงานที่คุณต้องการทำให้สำเร็จให้อยู่ในช่วงโพโมโดโร (ช่วงละ 25 นาที) และตอนนี้ตารางเวลาของคุณก็จะเหมาะสมกับภาระหน้าที่ในแต่ละวันพอดี

นอกจากนี้อย่าลืมเวลาพักเบรกในตารางเวลาของคุณด้วย 5 นาทีในแต่ละช่วง และเพิ่มเวลาพักเป็น 20-30 นาที เพื่อให้ร่างกายได้พักช่วงจากงานอย่างเป็นธรรมชาติ (ตัวอย่างเช่น หลังทำงานครบทั้ง 4 โพโมโดโร ให้พักช่วงยาวหนึ่งช่วง)

หมายเหตุ:

Cirillo แนะนำให้ทำงานในช่วง 25 นาที แต่คุณอาจต้องการช่วงระยะเวลาอื่นๆ ที่เหมาะกับตัวเอง เช่น งานวิจัยเกี่ยวกับนาฬิกาชีวภาพของร่างกายเรา กล่าวว่าเราจะโฟกัสสิ่งที่กำลังทำได้เต็มที่ 90-120 นาทีก่อนที่ร่างกายจะต้องการพัก

อย่างไรก็ตามเพื่อสุขภาพของเรา ควรพักช่วงจากการทำงานและเคลื่อนไหวร่างกายบ้างทุกๆ 45 นาที

ขั้นที่ 2: ตั้งกำหนดการ

ก่อนจะเริ่ม คุณต้องมั่นใจก่อนว่าคุณมีอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็นในการทำงานเตรียมพร้อมไว้ใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นปากกาหรือกระดาษโน้ต (และอื่นๆ) ตั้งนาฬิกาจับเวลาสำหรับช่วงนาทีที่คุณตั้งใจจะทำงาน เช่น เราตั้งใจจะทำตามโพโมโดโรเทคนิคก็ตั้งไว้ที่ 25 นาที

คุณสามารถใช้ตัวจับเวลาประเภทใดก็ได้ที่ชอบ นาฬิกาจับเวลาสำหรับการทำอาหารก็ใช้ได้ถ้าหากคุณทำงานอยู่ที่บ้าน แต่หากคุณทำงานที่ออฟฟิศ ก็ต้องพยายามนึกถึงเพื่อนร่วมงานที่อาจทำเสียงดังรบกวนด้วย

ไม่ว่าจะเป็นตัวจับเวลาแบบไหนก็สามารถใช้งานได้ทั้งสิ้น กระทั้งแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนอย่าง Iphone หรือในระบบปฏิบัติการ Android ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน

เมื่อคุณเริ่มจับเวลา ให้สนใจแต่งานตรงหน้าเท่านั้น จำไว้ว่าคุณมีข้อจำกัดด้านเวลาที่ต้องโฟกัสในการทำงานอย่างเต็มที่ จากนั้นเมื่อถึงช่วงพัก คุณก็สามารถโทรกลับสายที่โทรเข้ามาระหว่างทำงานหรือไปพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานได้

หรืออาจจะเลือกทางเลือกอื่นเพื่อลดเหตุการณ์ที่อาจเข้ามารบกวนระหว่างคุณทำงาน โดยก่อนเริ่มจับเวลา คุณลองปิดประตูห้องทำงาน ปิดโทรศัพท์และแจ้งเตือนข้อความหรืออีเมล์ รวมถึงทำให้เพื่อนร่วมงานรู้ว่าคุณไม่ต้องการถูกรบกวน

ขั้นที่ 3: ทำงานของคุณและตั้งใจทำเฉพาะงานนั้น

มุ่งความสนใจอย่างเต็มที่ไปยังงานที่เราตั้งใจจะทำในช่วงเวลานั้นๆ

อย่าปล่อยให้สมาธิของคุณไขว้เขวไปกับไอเดียของงานชิ้นอื่นที่อาจผุดขึ้นมาในหัว โดยเขียนไอเดียเหล่านั้นไว้ในกระดาษโน้ตแล้วปล่อยมันไว้เพื่อกลับมาดูภายหลัง

และถ้ามันเป็นเรื่องสำคัญคุณอาจจัดตารางเวลาสำหรับไอเดียเหล่านั้นในช่วงต่อไป แต่ตอนนี้จงตั้งใจทำงานตรงหน้าซะก่อน

หากคุณทำงานเสร็จทั้งหมดก่อนเวลาจะหมด ให้ใช้เวลาที่เหลือเพื่อทำกิจวัตรเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำเป็นประจำหรือทำงานชิ้นเล็กๆ อย่างอื่น เป็นไอเดียที่ดีหากคุณคิดจะเขียนโน้ตเพื่อตรวจดูว่าเทคนิคนี้ทำให้คุณทำงานสำเร็จไปกี่ชิ้น เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการทำงานในอนาคตได้ หรือเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานแต่ละวันให้มากกว่าเดิม

ขั้นที่ 4: พักเบรกสักครู่

เมื่อเวลาหมด ให้คุณพักเบรก 5 นาทีถึงแม้ว่าคุณกำลังอยู่ใน ‘ภาวะลื่นไหล’ ก็ตาม เพราะการพักจะช่วยเติมพลังในการทำงานให้เรานั่นเอง

คุณอาจกังวลว่าการพักเบรกจะทำให้เสียเวลา แต่การพักตามปกตินั้นจะช่วยให้คุณได้เติมพลังงานกลับมาใหม่และเพิ่มประสิทธิภาพเมื่อกลับมาทำงานอีกครั้งมากกว่าจะเป็นการเสียเวลา Cirillo ให้เหตุผลว่าพลังงานนั้นสำคัญยิ่งกว่าเวลา แนวคิดโพโมโดโรนี้ก็เป็นการบริหารจัดการพลังงานของคุณ เพราะฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เพื่อทำงานเวลาที่ระดับสมาธิของคุณลดต่ำลง

เพื่อประโยชน์สูงสุด ใช้ช่วงเวลาพักโดยอยู่ให้ห่างโต๊ะของคุณ อาจเดินไปรอบๆ หรือยืดเส้นยืดสาย แม้กระทั่งเดินไปชงกาแฟ หยิบแก้วน้ำ หรือไปถ่ายเอกสารจากเครื่องที่ตั้งอยู่ห้องข้างๆ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้คุณเลี่ยงจากความเสี่ยงในการเกิดอาการเจ็บป่วยและภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้

ระหว่างที่คุณอยู่ในช่วงพัก ให้หลีกเลี่ยงการคิดถึงความคืบหน้าของงานที่ทำไป นี่คือช่วงเวลาที่สมองจะได้ผ่อนคลายหลังจากต้องเรียนรู้อย่างหนักมาตลอด เพราะฉะนั้นอย่าคิดอะไรมากเกินความจำเป็น!

นอกจากนี้ พยายามอย่าใช้ช่วงเวลาพักไปกับการตอบแชทโซเชียลมีเดีย อีเมล์ หรือท่องเว็บต่างๆ เพราะมีผลสำรวจพบว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันสายตาเสียจากการจ้องจอคอมหรือหน้าจอมือถือนานเกินไป

ให้ใช้เวลาเพื่อทำกิจกรรมอื่นที่อยู่ห่างจากโต๊ะทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเอกสารเก่าๆ หรือเดินไปพูดคุยกับเพื่อนในทีม หากคุณทำงานที่บ้านก็อาจทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เช่น นำผ้าลงเครื่องซัก เป็นต้น

ขั้นที่ 5: กลับเข้าสู่การทำงานให้ครบทุกช่วงและเข้าช่วงพักยาว

เมื่อเวลาพักสิ้นสุดลง ตั้งนาฬิกาจับเวลาเข้าสู่ช่วงการทำงานช่วงต่อไป เมื่อทำงานครบสี่ช่วงให้คุณใช้เวลาพักยาวประมาณ 20-30 นาที ไม่ว่าจะเป็นออกไปเดินเล่น กินอาหารว่างแบบเฮลท์ตี้ ทานอาหารกลางวัน อ่านหนังสือ อะไรก็ได้ที่คุณต้องการตราบใดที่กิจกรรมนั้นอยู่ห่างจากโต๊ะทำงานเพื่อให้คุณได้ทำจิตใจให้ปลอดโปร่งจากงานที่เพิ่งทำมาก่อนหน้านี้

จำไว้ว่าสิ่งสำคัญคือการเติมพลังงาน เพียงเพราะแนวทางของเราบอกไว้ว่าต้องทำงานให้เสร็จในช่วงเวลาหรือทำงานครบทั้งสี่ช่วงก่อนจะพักยาว ก็ไม่ได้หมายความว่ากฎเหล่านี้เป็นกฎตายตัว

การฟังความต้องการของร่างกายตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ หากจิตใจของเราเริ่มวอกแวกหรือคุณอาจเริ่มรู้สึกเหนื่อย อย่าฝืนตัวเองเพื่อทำงานให้ครบตามกำหนดช่วงเวลา ให้นึกถึงจังหวะของร่างกายที่เรากล่าวถึงก่อนหน้านี้ ที่ว่าตัวเรามีรอบการทำงานอยู่ที่ 90-120 นาที และมันก็ยากที่จะบอกได้ว่าร่างกายของคุณอยู่ในช่วงใดเมื่อเริ่มการทำงาน

บางทีคุณอาจต้องพิสูจน์เรื่องนี้ บางครั้งการทำงาน 20 นาที และแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลาก่อนจะพักยาว 30 นาทีอาจเหมาะสมกับคุณมากกว่าก็เป็นได้

หรือบางทีคุณอาจมีสมาธิดีในช่วงเช้าและต้องการพักบ่อยขึ้นในช่วงบ่าย เมื่อคุณค้นพบรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเอง คุณจะต้องรู้สึกอัศจรรย์กับความสำเร็จของงานที่คุณทำได้ในแต่ละวัน

ข้อดีและข้อเสียของโพโมโดโร เทคนิค

การใช้โพโมโดโร เทคนิคมีประโยชน์ต่อการบริหารเวลาในการทำงานหลากหลายข้อ

การหั่นเวลาทำงานให้สั้นลงช่วยให้ระดับการโฟกัสในงานแต่ละช่วงเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมันสามารถช่วยบริหารเวลาในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังสามารถทำให้โปรเจคใหญ่ๆ ดูทำสำเร็จได้ง่ายขึ้นด้วย

นอกจากนี้ยังช่วยลดการถูกรบกวนในการทำงานหลายๆ อย่าง ลดความรู้สึกท้อหรือการผัดวันประกันพรุ่งซึ่งอาจทำให้คุณเสียสมาธิและประสิทธิภาพในการทำงานเพราะคุณมีเวลาทำงานแต่ละชิ้นอย่างจำกัด

งานวิจัยยืนยันว่าการพักเบรกนั้นดีต่อสุขภาพและช่วยเพิ่มระดับสมาธิ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มระดับประสิทธิภาพการทำงานได้ Cirillo ระบุอีกว่าวิธีการนี้ยังเหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Disorder หรือ ADD) อีกด้วย  

นอกจากนี้การพักเบรกช่วงสั้นๆ จะช่วยให้สมองของคุณได้ปรับตัวรับข้อมูลต่างๆ ได้ดี เพิ่มโอกาสในการคิดไอเดียบรรเจิดใหม่ๆ ออกมาอย่างที่คุณนึกไม่ถึง

การใช้เวลาเพื่อพักผ่อนและเติมพลังงานในระหว่างวันยังช่วยให้คุณได้พักร่างกายเมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยล้าในยามบ่ายอีกด้วย

อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ไม่ได้เหมาะสมกับทุกคน บางคนอาจรู้สึกว่าการพักช่วงสั้นๆ นั้นน่ารำคาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อช่วงพักนั้นอยู่ในระหว่างที่พวกเขากำลังมีแรงบันดาลใจทำงานอย่างลื่นไหล

นอกจากนี้การโฟกัสงานเป็นช่วงๆ ยังทำได้ยากหากคุณมีหน้าที่การงานหรือทำงานอยู่ในออฟฟิศที่อาจถูกรบกวนได้บ่อยจากเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้า

ความไม่ยืดหยุ่นของการกำหนดเวลาทำงานในแต่ละช่วงเป็นเวลาเท่าๆ กันอาจส่งผลด้านลบให้เกิดขึ้นได้ เช่น หากคุณมีประชุมและเวลาประชุมมาซ้อนทับกับช่วงเวลา 4 ช่วงที่คุณกำหนดไว้พอดี เป็นต้น

โดยสรุป โพโมโดโร เทคนิคนั้นเรียบง่ายและมีการดำเนินการไม่ยุ่งยาก มันต้องการแค่ตัวจับเวลาและทัศนคติที่ว่า “ฉันทำได้” และยังสามารถสร้างสุขภาพที่ดีไปจนถึงทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น ลองดูสิว่ามันจะเหมาะกับคุณหรือไม่!

เคล็ดลับ

โพโมโดโร เทคนิคถูกคิดค้นขึ้นโดย Francesco Cirillo ในปี 1980 และตีพิมพ์ในหนังสือขายดีที่ใช้ชื่อเดียวกัน

เทคนิคนี้ใช้ตัวจับเวลาเพื่อแบ่งงานของคุณออกเป็นช่วงละ 25 นาที แต่ละช่วงเรียงว่า “โพโมโดรริ (Pomodori) หลังจากเสร็จงานในแต่ละช่วง คุณจะได้เวลาพัก 5 นาที และเมื่อคุณทำงานครบสี่ช่วง ให้พักยาว 20-30 นาที

มันเป็นเทคนิคที่เรียบง่าย ใช้งานง่ายและสามารถสร้างประโยชน์มากมายทั้งในด้านประสิทธิภาพการทำงานและด้านสุขภาพ การพักบ่อยๆ ช่วยเพิ่มระดับความสามารถในการตั้งสมาธิกับงานที่ทำซึ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้มันยังช่วยลดภาวะด้านลบต่างๆ ที่อาจเกิดกับร่างกายเมื่อนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะนานๆ อีกด้วย

แปลและเรียบเรียงโดย

Learning Hub Team

ที่มาบทความ: https://www.mindtools.com/pages/article/pomodoro-technique.htm

 

5 ขั้นตอน ตั้งเป้าให้สุข ทะลุกรอบเงินเดือน

ประชากรโลกกว่า 7,300 ล้านคน คุณผู้อ่านเชื่อไหมครับว่าเราสามารถแบ่งออกได้แค่ 2 กลุ่ม

กลุ่มแรก คือ กลุ่มคนที่ขาดเป้าหมายในการใช้ชีวิต

กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มคนที่มีเป้าหมายในการใช้ชีวิต

แน่นอนว่าคนกลุ่มที่สอง จะมีแนวโน้มประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าคนกลุ่มแรก แต่หากคุณเป็นส่วนหนึ่งในคนกลุ่มที่สองเชื่อเหลือเกินว่าคุณอาจจะต้องพบกับคำถามที่ว่า

“ทำไมฉันมีเป้าหมายแล้ว แต่ชีวิตกลับไม่มีความสุข”

ที่แย่กว่านั้น คือ หลายคนเป้าหมายกลายเป็นความจริงแล้ว แต่ก็ยังคงไร้ซึ่งความสุขในชีวิต

วันนี้ Learning Hub Thailand มี 5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะช่วยคุณสร้างเป้าหมายให้กลายเป็นจริง โดยไม่ทิ้งความสุขในชีวิต

1.คุยกับตัวเอง

ผู้คนมากมายตั้งเป้าหมายในชีวิตโดยใช้ความคิดเป็นหลัก ความคิดที่คาดหวังจะได้รับความสุขที่จะได้รับหลังเป้าหมายสำเร็จและหลายคนตั้งเป้าหมายในชีวิตตัวเองจากเป้าหมายของผู้อื่น

เป้าหมายที่เกิดจากความคิดแบบนี้จะไม่สามารถสร้างสุขให้ตัวเราในทุกขณะตั้งแต่ตั้งเป้า ระหว่างลงมือทำ ไปจนถึงวันที่เป้าหมายกลายเป็นจริง

 ณ จุดนี้อยากให้คุณลองหลับตาแล้วย้อนอดีตไปในวันที่เริ่มต้นตั้งเป้าหมายในชีวิตครั้งแรก แล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่า

เราตั้งเป้าหมายนี้จากเหตุผลอะไร

ทำไมถึงอยากให้เป้าหมายนี้สำเร็จ

ชีวิตเราต้องการสิ่งใดกันแน่

เคล็ดลับง่ายๆ ในการค้นหาเป้าหมายที่ใช่และทำให้ใจเป็นสุข คือ การใช้ความสุขเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง อย่าลืมว่า

          “เป้าหมายจะมีชีวิตถ้าสร้างจากความสุข มิใช่สร้างจากความคิด”

2.ค้นหาแรงบันดาลใจ

การสร้างเป้าหมายจากแรงบันดาลใจก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ลงในดิน ต้นไม้ไม่มีทางอยู่ได้โดยไม่มีดินและยิ่งดินมีคุณภาพมากเท่าไร

ต้นไม้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง งดงาม และสร้างคุณค่าได้มากเท่านั้น

การตั้งเป้าหมายในชีวิตก็เช่นเดียวกัน ควรตอบให้ได้ว่าในชีวิตของเรา ใครบ้างที่เราอยากให้พวกเขามีความสุข

เราต้องการความสุขจากพวกเขา และพวกเขาก็ต้องการความสุขจากเรา ตัวอย่างเช่น ถ้าความสุขของคุณคือการได้ดูแลภรรยาและลูกๆ ที่อยู่ในวัยกำลังซน

การตั้งเป้าหมายอยากเป็นนักธุรกิจข้ามชาติที่ต้องเดินทางแทบจะ 365 วัน ก็คงไม่สร้างพลังแห่งความสุขได้เท่ากับการตั้งเป้าหมายที่จะมีธุรกิจออนไลน์ที่สามารถสร้างรายได้หลักล้านแถมมีเวลาอยู่กับครอบครัว   อย่าลืมว่า

         “เป้าหมายเป็นเพียงเส้นชัย แต่แรงบันดาลใจจะทำให้คุณพิชิตเส้นชัย”

3.พร้อมที่จะให้

จุดผิดพลาดของคนที่มีเป้าหมาย คือ การตั้งเป้าหมายแบบคนที่ขาดเป้าหมาย หลายคนตั้งเป้าหมายเพียงให้ได้รับโบนัสสิ้นปีที่มากขึ้น

ได้ไปชอปปิ้งต่างประเทศบ่อยขึ้น

ต้องการให้พ่อแม่ซื้อของที่ตนเองต้องการให้มากขึ้น ฯลฯ เป้าหมายที่ทำให้ตัวเองอยู่ในฐานะ “ผู้รับ”

แบบนี้ถึงแม้จะกลายเป็นจริง ก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ตั้งแตกต่างอะไรกับกลุ่มคนที่ขาดเป้าหมายและใช้ชีวิตไปวันๆ เลย

ในทางกลับกันการตั้งเป้าหมายเพื่อสร้างความสุขให้ชีวิตจึงควรเปลี่ยนฐานะจากการเป็นผู้รับเป็น “ผู้ให้”

เช่น ตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้เสริมเทียบเท่าโบนัสสิ้นปี เป็นเจ้าของกิจการส่งออกสินค้า เป็นเสาหลักของครอบครัว ฯลฯ อย่าลืมว่า

      “มือของผู้ให้อยู่สูงกว่ามือของผู้รับเสมอ ความสุขจากการให้ก็เช่นเดียวกัน”

4. เขียนลงในกระดาษ

ในเมื่อความสุขเป็นนามธรรม การตั้งเป้าหมายที่จะมีความสุขจึงต้องเขียนลงในกระดาษให้เป็นรูปธรรมจับต้องได้ เช่น ต้องการมีรายได้เดือนละเท่าไร

ต้องการใช้เวลากับครอบครัววันละกี่ชั่วโมง

วันหยุดยาวอยากพาเจ้าตัวน้อยไปเที่ยวที่ไหนบ้าง

อยากทำสิ่งใดทดแทนบุญคุณพ่อและแม่ ฯลฯ

ยิ่งคุณกล้าเขียนเป้าหมายลงในกระดาษให้ชัดเจนมากขึ้นเท่าไร ขนาดความสุขก็จะยิ่งขยาย และเป้าหมายก็จะยิ่งกลายเป็นความจริงได้ไวขึ้นเท่านั้น  อย่าลืมว่า

     “การเขียนเป้าหมายลงในกระดาษ คือ การอนุญาตให้เป้าหมายมีชีวิต”

5. ระบุวันหมดอายุ

ความสุขในชีวิตไม่ใช่วัชพืชที่จู่ๆ จะงอกเงยขึ้นมาเองจากดิน แต่ความสุขเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่คุณต้องตัดสินใจให้มันเกิดขึ้นมาโดยการปลูกและรดน้ำ พรวนดิน อย่างสม่ำเสมอ

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การตั้งเป้าหมาย คือ การมีวินัยทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ดังนั้น ในแต่ละวันคุณจึงควรกำหนดรายละเอียดสิ่งที่ต้องทำให้ชัดเจน และอย่าลืมระบุวัน เวลา ที่คาดว่าจะทำสิ่งนั้นๆ

ให้แล้วเสร็จลงไปด้วย เพื่อป้องกันอาการผัดวันประกันพรุ่งจนทำให้เป้าหมายสลายไปในอากาศ  อย่าลืมว่า

      “เป้าหมายจะหมดอายุ ถ้าเราลืมระบุวันหมดอายุลงไป”

            ถ้าคุณผู้อ่านทำตามขั้นตอนครับทั้ง 5 ขั้นตอนแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อสุภาษิตไทยโบราณที่กล่าวว่า “ได้อย่างมักเสียอย่าง” อีกต่อไป เพราะคุณจะได้ชื่อว่าเป็นทั้ง “ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต” และเป็นทั้ง “ผู้ที่มีความสุขในชีวิต”

 เขียนโดย จิตเกษม น้อยไร่ภูมิ (โค้ชแมงปอ)

เคล็ดลับรับมือ หัวหน้า ไม่ได้ดั่งใจ

3

ผลวิจัยของ World Economic Forum ระบุว่า ความเครียดของพนักงานที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เกิดจากสัมพันธภาพที่ไม่ดีกับหัวหน้างาน ถ้าเจอหัวหน้างานแย่ๆ เป็นใครก็อยากลาออกทั้งนั้นครับ

แต่ภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ เจอหัวหน้าแย่ก็ย่อมดีกว่าตกงาน ฉะนั้นการทำงานร่วมกับหัวหน้างานจึงน่าจะเหมาะสมกว่านะครับ

Learning Hub จึงขอนำเสนอ 7 เคล็ดลับ เพื่อการรับมือกับหัวหน้างานที่ไม่ได้ดั่งใจ เพราะความเข้าใจคือหัวใจของการอยู่ร่วมกัน  


  1.หัวหน้างานจุกจิก   

อย่าให้อารมณ์บั่นทอนความสามารถ   

น่าปวดหัวไม่น้อยนะครับเมื่อเราต้องทำงานกับหัวหน้างานจู้จี้ทุกเรื่องราว คมชัดทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปเสียหมดในสายตาหัวหน้า

เมื่อเจอหัวหน้างานเช่นนี้ การปรับตัวเข้าหาเขาจะเหมาะสมมากที่สุด สิ่งแรกเลยคือการทำงานของเราต้องมีวินัยครับ ทำงานให้เสร็จก่อนกำหนดส่ง

เพื่อให้หัวหน้างานได้ตรวจดูรายละเอียดก่อน และมีเวลาปรับแก้งานก่อนส่งจริง อย่าทำเวอร์ชันเดียวแล้วส่งในวันสุดท้ายนะครับ เพราะหัวหน้างานเช่นนี้ถูกต้องไม่สำคัญเท่ากับถูกใจ

การรายงานความก้าวหน้าและส่งงานก่อนกำหนด  จึงเป็นทางออกหนึ่งที่จะช่วยให้สัมพันธภาพระหว่างคุณกับหัวหน้าราบรื่นขึ้นนะครับ  


2.หัวหน้าอัตตาสูง   

ให้หัวหน้าคิดว่าผลงานที่เกิดขึ้น เป็นเพราะเขา   

มีบ่อยเหมือนกันครับกับหัวหน้างานอีโก้สูง คิดว่าความคิดของตัวเองถูกเสมอ และมองลูกน้องที่คิดเห็นแตกต่างหรือขัดแย้งเป็นฝ่ายตรงข้าม ทำให้คนที่ทำงานเอาหน้าประจบประแจงได้รับความไว้ใจ

แต่คนทำงานอยู่เบื้องหลังกลับเหนื่อยฟรี ดังนั้น เราควรเสนอความคิดเห็นในบริบทที่หัวหน้างานจะได้หน้าไปด้วย หรือพูดง่ายๆคือให้เขามีส่วนได้หน้าจากผลงานของเรานั่นเองครับ

แม้ว่าจะเป็นวิธีการที่เจ็บปวดหน่อย ที่ต้องให้คนอื่นชุบมือเปิบ แต่ก็ป่วยการครับที่จะเป็นปรปักษ์ต่อหัวหน้างานโดยไม่จำเป็น

สำคัญอยู่ที่ตัวเราครับที่ต้องรู้จักตนเองและควบคุมอารมณ์ เลือกปะทะในสมรภูมิที่ได้เปรียบเท่านั้นครับ  


3.หัวหน้าที่ไม่เป็นงาน  

ทีมงานที่แข็งแกร่งและพร้อมเจรจา  

ระบบอุปถัมภ์ทำให้การแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งสูงอยู่ที่คนของใครมากกว่าความสามารถ   จึงทำให้มนุษย์เงินเดือนอย่างเราต้องพลอยลำบาก  คอยแก้งานของหัวหน้าที่ไม่เป็นงาน

หัวหน้าประเภทนี้มักจะเข้าหาลูกน้องก็ต่อเมื่อเจอปัญหา ปล่อยให้ลูกน้องแก้ปัญหาแต่เพียงลำพัง ในขณะที่ตนเองไม่คิดหาข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการตัดสินใจที่ถูกต้อง

ทำให้การทำงานในหลายๆครั้งสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา หัวหน้างานเช่นนี้หากจะรับมือยากสักหน่อยครับ เพราะต้องอาศัยความร่วมมือจากเพื่อนร่วมงาน

รวมกลุ่มกันเพื่อพูดคุยกับหัวหน้า เพื่อปรับวิธีการทำงานและหาแนวทางที่เหมาะสมในการทำงาน  ลดปัญหาในการทำงาน  

แต่ไม่ใช่การรวมกลุ่มกันเพื่อประท้วงหรือตำหนิหัวหน้างานนะครับ การบอกกล่าวพูดคุยกันด้วยเหตุผล        

มุ่งเน้นที่การทำงานเป็นหลักไม่ใช่เน้นที่ตัวบุคคล คือ แนวทางการเตือนหัวหน้ากับสิ่งที่เขาไม่รู้ตัวครับ  


4.หัวหน้าอ่อนประสบการณ์  

แชร์ไอเดีย แต่ไม่ทำให้เขาเสียหน้า 

เป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าครับที่ไม่ได้รู้เสียทุกเรื่อง เพราะเขาอาจจะย้ายมาจากแผนกอื่น 

หรือทำงานที่เขาไม่คุ้นเคย  ซึ่งเราในฐานะลูกน้องที่ผ่านงานมามากกว่า ควรแลกเปลี่ยนแชร์ประสบการณ์กับเขาครับ

การเสนอแนะไอเดียที่เป็นประโยชน์ ย่อมทำให้หัวหน้ารู้สึกมิตรกับเรายิ่ง เช่น หัวหน้างานรุ่นเก่าอาจจะไม่คุ้นกับการทำ Power Point หน้าที่ของเราคือแชร์ความรู้กับเขา

หรือใช้ความสามารถของเราเติมเต็มส่วนที่หัวหน้าขาด ไม่ดูถูกหรือทำให้เขารู้สึกอับอาย คิดอีกแง่เราเองก็มีเรื่องมากมายที่หัวหน้ารู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ก็ได้ครับ  


5.หัวหน้าที่ชอบตัวเลข  

ตัวเลขเป็นศาสตร์ แต่การตลาดเป็นศิลป์  

บ่อยครั้งเรามักจะพบความขัดแย้งกันระหว่างนักการตลาดและนักบัญชี สาเหตุของความขัดแย้งเกิดจากการมองต่างมุม

นักบัญชีหรือนักการเงินถูกสอนให้ตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและอ้างอิงตัวเลขเป็นสำคัญ จึงมักตั้งคำถามกับนักการตลาดว่า กลยุทธ์ที่เสนอมาสร้างกำไรกี่บาท กี่เปอร์เซ็นต์                      

เป็นคำถามที่นักการตลาดไม่สามารถตอบได้ครับ  เพราะไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นกี่คน ซื้อคนละกี่ชิ้น เพราะฉะนั้นหากเผชิญหน้ากับหัวหน้าที่มีพื้นฐานทางบัญชีหรือการเงิน การจะทำงานร่วมกับเขาได้นั้นต้องมีตัวเลขเสมอครับ

แผนการที่เสนอไปอย่างน้อยก็ต้องมีการประมาณการณ์งบประมาณ     เป้าหมายทางการเงิน ยอดขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เป็นต้น

การตัดสินใจบนพื้นฐานของตัวเลข ไม่ได้อยู่ที่ถูกหรือผิดหรอกครับ แต่อยู่ที่สมมติฐานของใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน   


6.หัวหน้าครีเอทีฟ   

โฟกัสที่ไอเดีย มองให้เป็นรูปธรรม  

หัวหน้าที่มีความคิดสร้างสรรค์นับเป็นเรื่องดีครับ แต่ถ้ามีมากไปก็เป็นโทษเหมือนกัน เพราะแต่ละวันมีไอเดียผุดขึ้นมากมาย เดี๋ยวก็ให้ทำนั่น เดี๋ยวก็ให้ทำนี่

ทั้งๆที่สิ่งที่กำลังทำอยู่ยังไม่แล้วเสร็จ การรับมือกับหัวหน้าเช่นนี้ เราต้องโฟกัสความคิดของหัวหน้าครับว่า หัวหน้าต้องการอะไรในขั้นสุดท้าย                        

เพราะหัวหน้าช่างครีเอทีฟมีความคิดกว้างครับ แต่ไม่สามารถลงลึกถึงการปฏิบัติจริงๆ การโน้มน้าวเขาจึงต้องตั้งคำถามที่โฟกัสมากๆว่า ต้องการอะไรที่เป็นรูปธรรม และชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคที่เป็นไปได้หากทำเช่นนั้น              

แต่อย่าวิพากษ์หรือปฏิเสธไอเดียเขานะครับ คล้อยตามความคิดเขา แต่ชี้ให้หัวหน้าเห็นว่าหากทำตามนี้จะเกิดอะไรขึ้นตามมา


7.สิ่งที่ไม่ควรทำ  

หัวหน้าไม่ใช่ศัตรู 

ไม่ว่าหัวหน้าจะเป็นคนเช่นไรก็แล้วแต่ แต่อย่ามองว่าเขาเป็นศัตรูเด็ดขาดครับ ไม่เช่นนั้นคงหาความสุขยากในที่ทำงาน

World Economic Forum จึงแนะนำว่า เราไม่ควรเผชิญหน้ากับหัวหน้าโดยตรง ไม่เช่นนั้นความขัดแย้งจะยิ่งร้าวลึก และอย่าแกล้งทำเป็นหูทวนลม

หรือโฟกัสที่งานอย่างเดียว ไม่เห็นหัวหน้างานอยู่ในสายตา เช่นนี้แล้วหัวหน้าจะคิดว่าเราไม่ให้ความเคารพ และเขาก็จะไม่เคารพเราเช่นกัน       

นอกจากนั้นการแกล้งป่วยแกล้งลา ก็ไม่ใช่ทางออกเช่นกันครับ เพราะนั่นคือการหนีปัญหา การลาป่วยในวันที่หัวหน้าต้องการเรา จะยิ่งสร้างความบาดหมางครับ  

และสิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรทำคือการประจานหัวหน้าให้คนภายนอกรับรู้ ความในไม่ควรนำออก ความนอกก็ไม่ควรนำเข้าครับ  


หากทำตาม 7 เคล็ดลับนี้แล้วบรรยากาศในการทำงานยังไม่ดีขึ้น ก็คงต้องทิ้งไพ่ใบสุดท้าย คือ การลาออกครับ แต่ก่อนจะลาออกคุณต้อง Stay on career path นะครับว่า เป้าหมายในการทำงานคืออะไร

แล้วการทำงานที่นี่ตอบโจทย์อะไรหรือไม่ หากลาออกแล้วกระทบต่อสายงานอาชีพอย่างไร ลาออกควรใช้เหตุผลไม่ใช้อารมณ์ครับ  

เรียบเรียงโดย วิญญู – Learning Hub Team 

ที่มา : https://www.weforum.org/agenda/2015/03/how-to-cope-with-a-toxic-boss/  

http://www.forbes.com/sites/travisbradberry/2015/06/17/how-successful-people-overcome-toxic-bosses/3/#2c5696034f75  

3 เคล็ดลับ ที่จะทำให้คุณรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

lifelearning

การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่า และให้ประโยชน์แก่ผู้เรียนมากมาย เช่น ทำให้เป็นคนเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น ทันคนขึ้น ทำอะไรได้หลายอย่างมากขึ้น ทำให้การดำเนินชีวิตดีขึ้นและง่ายขึ้น เป็นต้น ทว่า หากพูดถึง “การเรียนรู้” คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการเรียนรู้ถูกจำกัดอยู่แต่ในสถานศึกษา และวัยที่เหมาะสมในการเรียนรู้ คือ วัยเด็กและวัยรุ่นเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ตลอดชีวิต เราสามารถแสวงหาความรู้ และพัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา การเรียนรู้ไม่มีรูปแบบตายตัว ปราศจากกฎเกณฑ์หรือข้อกำหนดเรื่องเวลาและสถานที่ กล่าวคือ คนเราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต

หากเปรียบชีวิตของคนเราเป็นดังต้นไม้ใหญ่ ปุ๋ยที่ดีที่สุดของคนเรา คือ การเรียนรู้ เพราะหากเราหยุดที่จะเรียนรู้ ชีวิตก็จะหยุดเติบโตเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ไร้ใบ คือ ไม่มีคุณค่า และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบริเวณนั้น ดังนั้น การเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงมีความสำคัญมาก และเราทุกคนควรที่จะตระหนัก ปลูกฝังจิตใจและนิสัยให้รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

บทความนี้จะเปิดเผย 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้คนเรามีแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ ทำมันอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ตลอดชีวิต

1.รู้เหตุผล และความสำคัญของการเรียนรู้

หากผู้เรียนเข้าใจถึงประโยชน์และความสำคัญของการเรียนรู้แล้ว ย่อมจะทำให้เกิดแรงจูงใจและทำให้การเรียนรู้เป็นไปได้ง่ายขึ้น การเรียนรู้มีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยให้คุณพัฒนาตนเอง ทำให้คุณมีความคิดใหม่ๆ และสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับสิ่งนี้สูงสุด

การเรียนรู้ คือ กระบวนการเพิ่มพูนและพัฒนาความรู้ความสามารถ ความคิด สติปัญญา ทักษะ ประสบการณ์ รวมถึงพฤติกรรมของผู้เรียนให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้จากการเห็น การฟัง การอ่าน จากข้อผิดพลาดของตนเองและผู้อื่น เป็นต้น

บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของการเรียนรู้ไว้ ดังนี้

  • อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “การพัฒนาทางสติปัญญาควรจะเริ่มเมื่อแรกเกิด และจะหยุดเมื่อชีวิตสิ้นสุดเท่านั้น”
  • เฮนรี่ ฟอร์ด กล่าวว่า “ใครก็ตามที่หยุดเรียนรู้ เขาจะกลายเป็นคนแก่ชรา ไม่ว่าเขาจะมีอายุ 20 หรือ 80 ปี แต่หากผู้ใดยังมีใจใฝ่เรียนรู้ เขาจะยังคงเป็นหนุ่มสาวเสมอ”
  • เอิร์ล ไนติงเกล กล่าวว่า “เมื่อคุณหยุดที่จะเรียนรู้ คุณก็เหมือนคนที่ตายแล้ว เพราะคุณจะเหลือเพียงร่างกายอันโดดเดี่ยวและเหี่ยวแห้ง”
  • อับราฮัม ลินคอร์น กล่าวว่า “สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ทั้งหมด มาจากการอ่านหนังสือ”
  • จอห์น อดัมส์ กล่าวว่า “ฉันจดจ่อกับการอ่านหนังสือ และอ่านไม่เคยพอ ยิ่งคนเราอ่านมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องอ่านมากเท่านั้น”

นอกจากนี้ ยังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่านให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น โทมัส เจฟเฟอร์สัน แอนดรู คาร์เนกี นโปเลียน ฮิลล์ วินสตัน เชอร์ชิล บรูซ ลี มหาตมะ คานธี เลโอนาร์โด ดาวินซี ขงจื๊อ โสกราตีส เป็นต้น

2. ค่อยๆสร้างอุปนิสัย รักการเรียนรู้

 “จงใช้ชีวิตราวกับว่าคุณกำลังจะตายในวันพรุ่งนี้ จงเรียนรู้ราวกับว่าคุณจะมีชีวิตอยู่เป็นนิรันดร์”

มหาตมะ คานธี

ผู้ที่รักการเรียนรู้จะตระหนักว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็น พวกเขารู้ว่ายังมีสิ่งที่รอคอยให้พวกเขาค้นพบอีกมาก ดังนั้นพวกเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ พวกเขาจะตัดสิ่งที่รบกวนสมาธิและขัดขวางการเรียนรู้ออกไป เช่น โทรทัศน์ วิทยุ เกมส์คอมพิวเตอร์ และสื่อออนไลน์ นอกจากนี้ พวกเขามักรับฟังข่าวสาร หรืออ่านหนังสือระหว่างที่เดินทาง

หากคุณต้องการสร้างอุปนิสัยการเรียนรู้ คุณไม่จำเป็นต้องทำมันอย่างสุดโต่ง เพราะสิ่งนั้นจะทำให้คุณเกิดอคติและมองโลกในแง่ร้ายว่า คุณจะต้องใช้ชีวิตทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือ ให้คุณค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรมทีละเล็กทีละน้อย เช่น คุณอาจเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆโดยการอ่านหนังสือวันละ 1 ชั่วโมง และเมื่อคุณทำมันอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นนิสัย เท่ากับว่าตลอดทั้งปีคุณจะมีเวลาในการอ่านหนังสือมากถึง 365 ชั่วโมง และสุดท้ายคุณจะพบว่าตัวเองมีความรู้มากขึ้น และทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

3. อยู่ในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้

ผู้ที่ชอบการเรียนรู้จะพยายามค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆมากมาย เช่น การอ่านหนังสือ การเข้าเรียนในหลักสูตร การเข้าร่วมอบรมสัมมนา การทำกิจกรรมหรือสร้างเครือข่าย การค้นคว้าทางอินเตอร์เน็ต การสอบถามหรือแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ เป็นต้น

การรู้จักและสานสัมพันธ์กับเพื่อนที่เข้าใจและเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ก็สามารถช่วยให้คุณเรียนรู้สิ่งต่างๆได้มากขึ้น คุณอาจจะบอกเพื่อนและครอบครัวว่าคุณวางแผนที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆอย่างไร และให้พวกเขาช่วยย้ำเตือนให้คุณรับผิดชอบต่อความตั้งใจจริงของคุณ เพราะพวกเขาเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นและสนับสนุนให้คุณเกิดแรงจูงใจและมีความแน่วแน่ต่อเป้าหมายในการเรียนรู้

วิธีการนี้เป็นการสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ชอบการเรียนรู้ด้วยตัวเองและรักการเรียนรู้ตลอดชีวิตมักทำมันอย่างต่อเนื่อง เพราะมันช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีความมั่นใจ และประสบความสำเร็จในที่สุด

เชื่อว่า หากคุณปฏิบัติตามเคล็ดลับทั้ง 3 ข้อนี้ คุณจะกลายเป็นคนที่รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

และนั่นก็จะการันตีได้ว่า ไม่ว่าโลกจะหมุนเร็วแค่ไหน มีการเปลี่ยนแปลงอะไร คุณก็จะสามารถรับมือกับมันได้ ไม่เป็นคนตกยุคอย่างแน่นอน

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.lifehack.org/287498/3-things-life-long-learners-differently-make-them-learn-unremittingly

 

 

8 ประโยคโดนใจ พูดเมื่อไหร่ได้งานเมื่อนั้น

bestinterview

ทุกคนล้วนแต่อยากทำงานที่ใช่ งานที่ใฝ่ฝัน หรือทำงานในบริษัทชั้นนำ แต่กว่าที่คุณจะประสบความสำเร็จในการสมัครงาน และได้รับการว่าจ้างอย่างสมบูรณ์ คุณต้องผ่านกระบวนการสรรหาคัดเลือกที่ใช้เวลายาวนาน เริ่มตั้งแต่ ขั้นตอนการกรอกใบสมัคร ไปจนถึงการสอบสัมภาษณ์

อย่างไรก็ตาม หลายคนยังคงไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการสัมภาษณ์งาน และไม่ใส่ใจกับขั้นตอนนี้มากนัก ซึ่งเป็นสาเหตุให้คุณพลาดโอกาสได้งานไปอย่างน่าเสียดาย แต่เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบลง การสัมภาษณ์งานของคุณจะเปลี่ยนไป เพราะคุณจะมั่นใจ และมีความพร้อมมากยิ่งขึ้น บทความนี้แนะนำคำถามปิดท้าย 8 ประโยคที่จะทำให้คุณสามารถพิชิตใจกรรมการสัมภาษณ์ได้ไม่ยาก

1.กระบวนการหรือขั้นตอนถัดไป คืออะไร

หากการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง และกรรมการเอ่ยถามว่าคุณต้องการถามคำถามอะไรอีกไหม คุณควรคว้าโอกาสนั้นไว้ คุณไม่ควรเดินออกจากห้องสัมภาษณ์โดยไม่ถามอะไรเลย เพราะนั่นแสดงว่าคุณไม่สนใจว่าจะได้ทำงานนี้หรือไม่ คุณควรตั้งคำถามเพื่อแสดงให้กรรมการเห็นว่า คุณกระตือรือร้นที่จะทราบผลการสัมภาษณ์ และอยากที่จะเข้าสู่กระบวนการสรรหาว่าจ้างถัดไป

คุณอาจจะลองถามกรรมการว่า ยังมีผู้สมัครที่ยังรอการสัมภาษณ์ในตำแหน่งเดียวกันอีกหรือไม่ หรือหากคุณเป็นผู้สมัครคนสุดท้ายที่ถูกสัมภาษณ์ คุณควรถามว่า เมื่อไหร่ที่คุณจะทราบผลการสัมภาษณ์ หรือเมื่อไหร่ที่กรรมการจะตัดสินใจเลือกผู้สมัครที่มีความเหมาะสม การถามคำถามเหล่านี้จะช่วยให้คุณเตรียมตัว เตรียมใจ และทราบถึงระยะเวลาในการรอผลสัมภาษณ์

2. เมื่อไหร่ที่จะทราบผลการสัมภาษณ์

การตั้งคำถามปิดท้ายเช่นนี้ เป็นการช่วยให้กรรมการรู้สึกว่าคุณสนใจและรอคอยที่จะทำงานร่วมกับพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ อีกทั้งยังเป็นการแสดงความพร้อม และการเตรียมตัวสำหรับกระบวนการถัดไปที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการย้ำเตือนกรรมการเกี่ยวกับวันเวลาในการตัดสินใจที่จะคัดเลือกผู้สมัครอีกด้วย

3. ยังมีอะไรที่อยากให้ฉันช่วยหรือทำอีกไหม

หากหัวข้อในการสัมภาษณ์เกี่ยวข้องกับเรื่องรายละเอียดงาน การพูดปิดท้ายด้วยประโยคแบบนี้ ทำให้กรรมการรู้สึกว่าคุณกำลังให้คำมั่นสัญญากับทีมและต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานของบริษัท นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า คุณมีน้ำใจ กระตือรือร้น และพร้อมที่จะเรียนรู้ลักษณะงานในอนาคต ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้คุณได้คะแนนเพิ่มจากกรรมการ

4. คุณมีความกังวลใจ หรือมีข้อสงสัยอื่นใดหรือไม่

ระหว่างการสัมภาษณ์ คุณคงอยากจะรู้ว่ากรรมการมีความสงสัยหรือกังวลใจในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณหรือไม่ และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความคลุมเครือซึ่งอาจส่งผลต่อกระบวนการสัมภาษณ์ของคุณ การตั้งคำถามเช่นนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้ชี้แจงและอธิบายสิ่งต่างๆให้กรรมการได้ฟังในทันที ซึ่งจะทำให้กรรมการรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่ซื่อตรงและมีความจริงใจในการเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น

5. ฉันมีคุณสมบัติและความเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่คุณกำลังมองหาบ้างหรือไม่

การถามคำถามเช่นนี้ ทำให้คุณทราบถึงทัศนคติและความคิดเห็นโดยรวมของกรรมการที่มีต่อตัวคุณ เพราะพวกเขาจะแสดงความสนอกสนใจและความพึงพอในประวัติการศึกษา ภูมิหลัง ทักษะความสามารถ และประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณ ผ่านการตอบคำถามนี้ และบางทีคุณอาจจะทราบแนวโน้มของผลการสัมภาษณ์ครั้งนี้ก็ได้

6. ไม่ทราบว่า ใครเคยดำรงตำแหน่งนี้มาก่อน

หากคุณสอบถามถึงบุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งนี้มาก่อน จะทำให้กรรมการรู้สึกว่าคุณเป็นคนละเอียดรอบคอบ เพราะคุณสนใจเหตุผลที่บริษัทว่าจ้างคุณ นอกจากนี้ ขณะที่กรรมการกำลังอธิบายที่มาที่ไปของการสรรหาคัดเลือกครั้งนี้ คุณจะได้ทราบถึงรายละเอียดเพิ่มเติมของตำแหน่งงาน บทบาทหน้าที่ รวมทั้งความรับผิดชอบที่คุณต้องทำในบริษัทอีกด้วย

7. คุณคิดว่าวัฒนธรรมในองค์กรของคุณเป็นอย่างไร

คุณควรตั้งคำถามนี้ หากคุณต้องการทราบและทำความเข้าใจกับสิ่งที่บริษัทคาดหวังต่อพนักงานและตัวคุณ ในระหว่างที่กรรมการบรรยายถึงวัฒนธรรมของบริษัท คุณจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมในการพิจารณาว่าตัวคุณเองมีคุณสมบัติที่ตรงและเหมาะสมกับตำแหน่งงาน และองค์กรหรือไม่ นอกจากนี้ คำถามดังกล่าวยังช่วยให้คุณมองเห็นภาพจำลองการเป็นพนักงานในบริษัท และเป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับงานในอนาคตของคุณอีกด้วย

8. ทักษะอะไรที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานนี้ และมันมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนองค์กรอย่างไร

ทักษะเป็นเรื่องที่กรรมการสัมภาษณ์ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง จึงไม่น่าแปลกใจว่าระหว่างการสัมภาษณ์กรรมการจะพยายามค้นหาทักษะที่จำเป็นในตัวผู้สมัครแต่ละคน พนักงานที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่แตกต่างกันจะมีทักษะต่างกัน เช่น นักบัญชีมีทักษะในการคิดคำนวณ และมีความละเอียดรอบคอบ เลขานุการมีทักษะในการจัดการและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เป็นต้น

ดังนั้น การตั้งคำถามเช่นนี้ จะทำให้คุณสามารถประเมินตนเองได้ว่าตนเป็นคนที่ใช่และเหมาะสมกับตำแหน่งนี้หรือไม่ และหากคุณอยากได้คะแนนเพิ่มจากกรรมการ ให้คุณลองเล่าประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถหรือทักษะดังกล่าว แล้วคุณก็จะกลายเป็นคนที่กรรมการตามหา หรือสามารถพิชิตใจกรรมการได้นั่นเอง

เชื่อว่า หากคุณนำ 8 ประโยคเหล่านี้ไปใช้ในการสัมภาษณ์งาน การหางานจะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และคุณคงจะได้รับข่าวดีในไม่ช้า

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.lifehack.org/285407/8-things-outstanding-interviewees-say-the-end-interview

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save