วิธีทำชีวิตช้าลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

คุณเคยเป็นไหมครับ ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบเพื่อให้ทำอะไรเสร็จเร็วๆ แต่หลายครั้งกลับผิดพลาด หรือหลงลืมอย่างไม่น่าให้อภัย

เรามักบอกตัวเองว่าไม่มีเวลา จึงดูเหมือนว่าการเริ่มทำอะไรใหม่ๆก็ยากไปเสียหมด แต่เรากลับมีเวลาผลาญเล่นไปกับเกม ยูทูป และโซเชียลมีเดีย

====

เชื่อหรือไม่ว่าหากเราช้าลงกว่าเดิมสักนิด เรากลับทำสิ่งต่างๆได้เร็วขึ้น เพราะมีความผิดพลาดน้อยลง ไม่ต้องเสียเวลาในการแก้ไข หรือกลับมาทำใหม่เพราะหลงลืม

หากเราช้าลงอีกสักหน่อย เราจะเห็นว่า เราจัดสรรเวลาได้ เวลามีเหลือเฟือสำหรับสิ่งที่สำคัญกับเรา

====

การใช้ชีวิตให้ช้าลง ไม่ได้หมายถึง เรื่อยเปื่อยเนิบนาบเป็นเต่าคลาน แต่หมายถึง สภาวะที่เราช้าพอที่จะสามารถผ่อนคลายและดื่มด่ำกับชีวิตได้

หากวันนี้เราคิดว่าความเร็วเป็นสิ่งที่จำเป็น มันอาจทำให้เรารีบจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

จริงๆแล้วเราสามารถทำหลายสิ่งให้ช้าลงได้ในจังหวะที่ตัวเองรู้สึกโอเค และทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่เรียกว่า ช้าเพื่อเร็ว นั่นเอง

====

5 สัญญาณบ่งบอกว่า เราใช้ชีวิตเร็วเกินไป

  1. คุณพบว่า มันยากขึ้น ที่จะโฟกัสกับกิจกรรมตรงหน้าในปัจจุบันขณะ และคุณต้องคอยหาอะไรทำตลอดเวลา

  2. คุณใช้ชีวิตเหมือนเดิม เรื่อยๆ “อย่างเป็นอัตโนมัติ” โดยไม่ได้ตระหนักว่า คุณกำลังทำมันอยู่ด้วยซ้ำ

  3. คุณรีบเร่งไปกับกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน โดยไม่ได้ใส่ใจกับมันนัก รีบทำให้เสร็จเพื่อไปทำอย่างอื่นต่อ

  4. คุณกำลังมุ่งมั่นกับเป้าหมายบางอย่างอยู่ จนไม่ได้ใส่ใจว่าตอนนี้ตัวเองและคนรอบข้างกำลังทำอะไรอยู่บ้าง

  5. คุณพบว่าในสมอง เต็มไปด้วยความคิดหวาดกลัว กังวลเกี่ยวกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หรือความเศร้า โกรธแค้นเพราะคำนึงอยู่กับอดีตที่ผ่านมาแล้ว

====


 

ชีวิตที่ช้า คือชีวิตที่ยืนยาว

คนเรายอมเสียเงินนับแสน เพื่อซื้อยาต้านความแก่ วิตามินชะลอความชรา ทำทุกอย่างเพื่อยืดอายุตัวเองออกไป ให้ได้อีกสัก 1-2 ปีก็ยังดี

พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเป็นอัตโนมัติและหลับใหล ทำตามระบบไปอย่างไม่รู้วันคืน แต่พวกเขากลับไม่พยายาม “ตื่นขึ้นมา” เพื่อใช้ชีวิตของตัวเอง

ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องอายุยืนจนแก่หง่อม จึงจะเรียกว่า “ใช้ชีวิตคุ้ม”

คุณสามารถใช้ชีวิตที่มีคุณภาพและยืนยาวได้ โดยเพิ่มเวลาการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ ขึ้นสัก 2 เท่าในทุกๆวัน นั่นเท่ากับว่าคุณมีอายุยืนขึ้นในด้านคุณภาพ เหมือนคุณอายุ 60 ปี แต่ได้ใช้ชีวิตเท่ากับคนที่มีอายุยืนยาว 120 ปี

แล้วถ้าคุณเพิ่มเวลาได้ถึง 3-4 เท่าล่ะ ? มันจะดีแค่ไหน

====

ในเรื่องการใช้ชีวิต ปริมาณของเวลาไม่มีความหมายเท่ากับคุณภาพ

หากแม้คุณอายุยืนขึ้นเพราะเทคโนโลยีการแพทย์ แต่ไม่มีความสุข

ไม่ได้ใช้ชีวิตที่ตนเองรัก เพราะถูกบังคับ มีแต่ข้อจำกัด นั่นอาจเป็นความทรมานอย่างร้ายแรง

ดังนั้นสิ่งที่ต้องกลับมาคิดใคร่ครวญก็คือ จะปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตได้อย่างไร ?

====

ต่อไปนี้เป็น 5 วิธีง่ายๆที่จะยืดชีวิตให้ยาว ปลุกเราให้ตื่นจากความหลับใหล ด้วยการทำชีวิตให้ “ช้าลง”

5 วิธี ที่ทำให้ชีวิต “ช้าลง”

 1. กลับมาอยู่กับลมหายใจ

เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกเหนื่อยล้า ท้อแท้ หงุดหงิด เครียดหรือกังวล ลองใช้เวลาสัก 3 นาที นำจิตที่ว้าวุ่น กลับมาอยู่กับลมหายใจ

สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ให้ลึกยาว จนรู้สึกว่าท้องพองออก ผ่อนลมหายใจออกเบาๆผ่อนคลาย จนรู้สึกว่าท้องยุบลง

ทำแบบนี้ต่อเนื่องกัน โดยนำจิตรับรู้ อยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น มันจะเป็นสะพานเชื่อมร่างกาย อารมณ์ และจิตใจเข้าด้วยกัน เพียงเท่านี้คุณก็จะเกิดสมดุลทางอารมณ์ขึ้นมา การกลับมาสู่ปัจจุบันขณะจะทำให้สติของคุณเต็มเปี่ยม

 การกลับมาอยู่กับลมหายใจสักครู่หนึ่ง จะช่วยให้คุณจะพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

====

2. ออกไปเดินเล่น

นี่เป็นวิธีออกกำลังที่ง่ายที่สุด ช่วยปลดปล่อยความเครียด และช่วยผ่อนคลายอารมณ์

การเดินจะช่วยให้คุณกลับมาอยู่กับปัจจุบัน สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆรอบตัว สัมผัสกับธรรมชาติและกิจกรรมต่างๆของผู้คน

คุณอาจเปลี่ยนจากการขึ้นรถเมล์ ขึ้นมอเตอร์ไซด์ ขึ้นลิฟท์ เป็นการเดินแทน แถมยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย แต่ถ้าอยากสดชื่นกว่านั้น ออกไปเดินตอนฝนตกปรอยๆ หรือเดินในสวนตอนเช้าๆอย่างไม่รีบเร่ง

 แค่ได้อยู่กับการเดิน เชื่อมั้ยว่าคุณจะรู้สึกดีสุดๆไปเลย

====

 3. ดื่มด่ำไปกับกิจกรรมต่างๆ

ความสุข คือการมองเห็นสิ่งๆเดิม ในมุมมองที่เปลี่ยนไป ในเมื่อชีวิตนั้นเกิดขึ้นที่นี่และเดี๋ยวนี้ วันวานและวันพรุ่งนี้มีอยู่เพียงแต่ในความคิด

ฉะนั้นจะไม่เป็นการดีกว่าหรือ ที่เราจะสัมผัสรับรู้กับปัจจุบันขณะที่กำลังเป็นอยู่ ฝึกที่จะสังเกตและรับรู้สิ่งดีๆรอบๆตัว และใช้เวลามากขึ้นที่จะอยู่กับชั่วขณะนั้น มันจะทำให้ประสบการณ์ของความพึงพอใจนั้นยาวนานขึ้นอีก

ไม่ว่าจะเป็นการเข้าครัวเตรียมมื้ออาหาร การนั่งเล่นชื่นชมดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า การพูดคุยสนุกๆกับครอบครัว ในทุกๆกิจกรรม เราก็แค่ “อยู่ตรงนั้นอย่างเต็มเปี่ยม และดื่มด่ำกับมัน”

 แค่รู้จักดื่มด่ำกับสิ่งรอบตัว  เราจะสัมผัสความสุขได้ง่ายๆและบ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ

==== 

4. อยู่กับความเงียบ

หลายคนคิดว่าความสุข คือความสนุกสนานร่าเริง และมีกิจกรรมต่างๆทำให้เพลิดเพลินใน

แต่เราหารู้ไม่ว่า ชีวิตที่ถูกครอบครองด้วยกิจกรรมตลอดเวลา ลึกๆแล้วจะเรียกร้องหา “เวลาสำหรับตัวเอง”

แม้แต่คอมพิวเตอร์ยังต้องการ Defragment และ มี Sleeping Mode มนุษย์เราก็ต้องการ “ชั่วขณะแห่งความเงียบ” ให้ตัวเองเหมือนกัน

ในทุกๆวัน เราสามารถกำหนดเวลาสัก 5-10 นาที เพื่ออยู่กับตัวเองลำพังในความเงียบ

คุณอาจจะลองใช้คำถามเหล่านี้กับตนเอง และอาจจะเขียนมันลงไปเพื่อให้หลายๆสิ่งชัดเจนขึ้น

ร่างกายเรากำลังรู้สึกสัมผัสกับอะไรบ้างในขณะนี้ ?

จิตใจและอารมณ์ในขณะนี้ของเราเป็นอย่างไร ?

เรากำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ มีความกังวลหรือไม่สบายใจอะไรบ้าง ?

เมื่อทบทวนชีวิตในวันนี้ มีอะไรที่เราได้เรียนรู้ มีอะไรที่เราจะทำได้ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ?

เมื่อเรากลับมาสนใจ รับรู้ ความรู้สึกและอารมณ์ของตนเองได้สักพัก เราจะพบกับความสงบใจอย่างน่าประหลาด

 ท่ามกลางที่ว่างนี้ ดูเหมือนจะเกิดความสุขได้ง่ายขึ้น เราจะตอบคำถามบางอย่างในใจตนเองได้ และรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป

====

5. ไม่ด่วนตัดสิน

ความน่ากลัวอย่างหนึ่งที่คนเรามักมองข้ามไปก็คือ “เราจะได้ยิน เฉพาะสิ่งที่เราอยากฟังเท่านั้น” ปรากฏการณ์เช่นนี้สืบเนื่องมาจากการ ‘ด่วนตัดสิน’ 

เมื่อใดก็ตามที่เรา “ด่วนตัดสิน” กับคนบางคน กับเรื่องบางเรื่องไปแล้ว แม้เค้าพูดไม่ทันจบประโยค เราจะปิดการฟังไป เปลี่ยนเป็นการแทรกสอด คำถาม หรือไม่สนใจ นั่นทำให้เกิดการเข้าใจผิด เกิดความขัดแย้งขึ้นในความสัมพันธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  ฝึกที่จะรับฟังผู้คนจนจบ โดยยังไม่ด่วนตัดสิน ตีความไปก่อน นั่นทำให้การสื่อสารนั้นเข้าถึงเราได้อย่างเต็มเปี่ยม เราจะได้ยินในสิ่งที่เค้าไม่ได้พูดออกมา ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการ แล้วจะประหลาดใจว่า เราสามารถเข้าใจเค้าได้ง่ายขึ้น

หนึ่งในวิธีที่จะทำให้เราใช้ชีวิตช้าลงได้และไม่ด่วนตัดสิน ได้แก่ “การฝึกไดอะล็อค” พัฒนาทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง เรียนรู้และฝึกฝน  Active Listening ทักษะการฟังที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้คนในทีมคลิกที่นี่

 

 

การช้าลง ไม่ด่วนตัดสิน จะทำให้การสนทนาที่ดูจะยากลำบากครั้งนั้น กลับราบรื่นไปได้ด้วยดี

 

เป็นอย่างไรบ้างครับ กับ 5 วิธีการทำให้ชีวิตช้าลง หากเรานำวิธีเหล่านี้ไปใช้ เชื่อว่าจะมีความสุขขึ้นมากๆและบ่อยครั้งด้วยครับ

====

ถ้าคุณสนใจเรียนรู้และฝึกฝนพัฒนา Mindset และทักษะของผู้นำยุคใหม่ที่ผสมผสานความช้าเข้ากับการทำงานในโลกที่เร่งรีบได้อย่างลงตัว  ผมมีหลักสูตร The New Leadership Skillsเพื่อพัฒนาให้คุณเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพสูง คลิกดูรายละเอียดที่นี่

บทความโดย อ.เรือรบ CEO และผู้ก่อตั้ง Learning Hub Thailand

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962



10 เคล็ดลับ ที่คนประสบความสำเร็จในชีวิตมักทำ ก่อนอายุ 30

reveals-10-secrets-to-success-in-life-usually-before-the-age-of-30-3

การประสบความสำเร็จในชีวิตจากเรื่องการงาน ไม่ได้มาพร้อมกับคำว่า เก่ง บวก เฮง เท่านั้น แต่การที่คนเราจะถึงจุดสูงสุดในชีวิต ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย พบเจอปัญหาต่างๆ ไม่ว่างเว้นแต่ละวัน หรือแม้แต่ที่จะต้องผ่านการทำงานหนัก การถูกโกง การดูถูกเหยียดหยามต่างๆ

โดยเฉพาะในช่วงอายุก่อน 30  เป็นวัยที่เริ่มทำงาน มีพลัง มีเวลา มีสุขภาพ มีความคิด และพร้อมที่จะลองผิดลองถูก ในการตั้งเข็มทิศชีวิตให้กับตัวเอง คนที่มีแนวความคิดที่ดี และลงมือปฎิบัติอย่างจริงจัง ทำให้สร้างโอกาสให้กับตัวเอง และพร้อมไปสู่จุดหมายได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆ

1. รู้จักจัดการเรื่องเงิน

คุณต้องมีวินัยเรื่องการเงินอย่างจริงจัง  มันไม่ได้สำคัญว่าคุณมีรายได้เท่าไหร่ แต่มันสำคัญว่าคุณมีเงินเหลือเท่าไหร่ ในแต่ละเดือน  งานที่ดีไม่ใช่แค่สร้างความสุขในการทำงานเท่านั้น แต่ต้องทำให้คุณภาพชีวิตคุณดีด้วย การรู้จักออม ลงทุน และไม่ใช้จ่ายเกินตัว จะทำให้คุณมีรายได้ที่มั่นคง และไม่กระทบกับชีวิตด้านอื่นๆ

2. ล้มให้เร็ว ลุกให้เป็น

ทุกคนจะต้องเจอ จุดเปลี่ยนในชีวิต ที่ทำให้ตัวเองต้องสะดุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ เช่น การทำงานไม่ถึงเป้าหมาย จนถึงเรื่อง การจ้างออก ไม่ว่าคุณจะเจอปัญหาที่ทำให้คุณต้องล้มลุกคลุกคลานเพียงใด การที่ได้ล้มเร็ว จะทำให้คุณเรียนรู้ วิธีการแก้ไขปัญหา และมีภูมิต้านทานในชีวิตการทำงาน ที่สำคัญคือ จงจดจำข้อผิดพลาด และเรียนรู้จากบทเรียนที่คุณได้

3. เริ่มธุรกิจของตัวเอง

คนประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ไม่ใช่พนักงานกินเงินเดือน แต่เป็นคนที่ตามความฝัน ทำให้สิ่งที่ชอบ และเริ่มธุรกิจของตัวเอง คุณอาจเริ่มต้นจากการเปลี่ยนงานอดิเรก มาเป็นรายได้  ไม่จำเป็นที่คุณต้อง ออกจากงานเพื่อมาทำตามความฝัน เพียงแค่คุณรู้จักแหล่งปั๊มเงินเพิ่ม อีกทางก็พอ

4. ชอบความท้าทาย

ออกจาก comfort zone ของตัวเอง และลองหาสื่งที่ท้าทาย ตื่นเต้นในชีวิต ใหม่ๆ  คุณอาจได้ไอเดีย ความคิดใหม่ๆ จากการทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เป็นการเพิ่มพลังชีวิตให้กับตัวเอง หลังจากเหนื่อยล้าจากชีวิตการทำงาน นอกจากนี้ มันยังเป็นการทดสอบศักยภาพในตัวคุณ กับการทำอะไรที่เหนือความคาดหมาย

5. เก่งเรื่องการจัดระเบียบชีวิต

นี่คือ กฏเหล็ก ที่คนประสบความสำเร็จในชีวิตมักมีข้อนี้ พวกเขารู้ดีว่า วันนี้ ต้องทำอะไร เสร็จก่อนหลัง พวกเขาให้ลำดับความสำคัญกับชีวิตเป็น และพวกเขาไม่ปล่อยชีวิตไหลไปเรื่อยๆ หรือทำงานๆไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเป้าหมาย  คนที่ยุ่งอย่างมีสติ รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร เพื่ออะไร คือคนที่มีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จสูง

6. มีคอนเนคชั่น

ยุคนี้คือ ยุคของคอนเนคชั่นอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไทย หรือต่างประเทศ  ไม่ได้สำคัญว่าคุณทำอะไรเป็นเท่านั้น แต่สำคัญว่าคุณรู้จักใคร และใครรู้จักคุณด้วย การมีคอนเนคชั่นที่ดี จะเพิ่มโอกาสให้คุณต่อยอด ในสิ่งที่คุณกำลังทำได้ง่ายขึ้น ทำให้คุณก้าวไปสู่ความสำเร็จได้เร็ว และมั่นคงกว่าคนอื่น  โอกาสทางธุรกิจต่างๆจากเพื่อนเก่า  หรือแม้แต่จากเจ้านายเก่า อาจพลิกชิวิตคุณก็เป็นได้

7. มีความมุ่งมั่น แน่วแน่

ระหว่างการเดินทาง ทุกคนต้องประสบปัญหา และอุปสรรค  แต่คนที่ประสบความสำเร็จ มักไม่ย่อท้อ แต่เชื่อมั่น และศรัทธาในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ พวกเขาจะพยายามหาวิธีแก้ไขปัญหา เพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่ตั้งเป้าไว้ ถึงแม้บางครั้งจะท้อ แต่ไม่เคยหมดหวัง และทำมันซ้ำเรื่อยๆจนกว่าจะประสบความสำเร็จ

ยกตัวอย่างเช่น โทมัส อัลวา เอดิสัน ที่ทดลองสร้างหลอดไฟ เป็นหมื่นครั้งกว่าจะสำเร็จ ถ้าเขาล้มเลิกความตั้งใจในวันนั้น เราคงไม่มีไฟฟ้าใช้จนถึงทุกวันนี้

8. ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง

ในช่วงวัย 20-30 คือวัยแห่งอิสระ  วัยแห่งการเรียนรู้ชีวิต ถึงแม้จะจบจากการเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่คุณก็ยังต้องพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง  เป็นวัยที่คุณต้องค้นหาว่าตัวเองทำอะไรดี ทำอะไรถนัด พัฒนาจุดแข็ง และกลบจุดอ่อนในตัวเอง เพื่อที่จะหาเส้นทางชีวิตของตัวเอง และก้าวสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นคง และรวดเร็ว

9. วางแผนชีวิตเป็น

อนาคตเป็นสิ่งที่สร้างได้ และวางแผนได้  อย่าคิดว่าอนาคตอยู่ที่ชะตาชีวิต หรือฟ้าดินกำหนดเท่านั้น อย่าน้อยเนื้อต่ำใจกับต้นทุนชีวิตของคุณ อย่าเปรียบเทียบสิ่งที่คุณและเพื่อนคุณมี แต่จงเปรียบเทียบตัวเองในอดีตกับตอนนี้  คุณสามารถคิดต่างและสร้างอนาคตที่สดใส ด้วยการวางแผนชีวิตให้กับตัวเอง เริ่มจากซื่อสัตย์กับตัวเอง เขียนเป้าหมายและคนที่คุนอยากเป็น  พร้อมทั้งเขียนวิธีและขั้นตอน ปัจจัยต่างๆที่ทำให้คุณเป็นคนนั้น และเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้

10. ปรับตัวเก่ง

ไม่มีอะไรที่ดีตลอด และแย่ไปตลอด คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่รู้จักการปรับตัว พวกเขาจะรู้ก่อนว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี หรือดี อย่างไร พวกเขาจะเตรียมรับมือ และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆ ก่อนที่มันจะเกิด ทำให้พวกเขาสามารถอยู่รอด และประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะพบเจอเหตุการณ์อะไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว ไม่จำเป็นว่าคุณจะใช้เคล็ดลับทั้ง 10 ข้อนี้ก่อนอายุ 30 เท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จได้

แต่ที่จริงแล้วในทุกช่วงวัย ก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ ขอเพียงดำเนินชีวิตตามหลักการนี้ สิ่งที่สวยงามจากภายนอกที่เรามองเห็นจากคนที่ประสบความสำเร็จนั้น เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขาเท่านั้น  แนวความคิดที่ดี การไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค มีความเชื่อมั่น และศรัทธาในสิ่งที่ทำ คือแรงผลักดันที่ทำให้ก้าวผ่านทุกปัญหา และเป็นกุญแจสำคัญ ในการประสบความสำเร็จในชีวิต

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://www.lifehack.org/274987/11-things-successful-people-age-30)

4 วิถี สู่ความร่ำรวยที่แท้จริง

“ความรวย”  เป็นความใฝ่ฝันของผู้คนทั่วไป ซึ่งเริ่มจาก การได้ทำงานดีๆ มีเงินเดือนสูงๆ หรือมีธุรกิจของตนเอง จะได้มีเงินเยอะๆ เมื่อรวยแล้ว ชีวิตจะได้สบาย

แต่ว่า “คนรวยที่แท้จริง” ต้องมีเงินเท่าไหร่กัน ?

ในยุคปัจจุบัน “ความร่ำรวยที่แท้จริง” ไม่ได้วัดจาก “จำนวนเงินที่มี” แต่วัดจาก “อิสรภาพ” ที่ได้รับต่างหาก

ความรวย ที่คุณเข้าใจ “ยิ่งมีเงินมาก ก็จะยิ่งมีความสุขมาก” ใช่มั้ย ?

ในอดีต ความร่ำรวยอาจหมายถึง ผู้ที่ครอบครองเงิน หรือวัตถุที่มีค่าเป็นจำนวนมาก ความร่ำรวยของแต่ละคนวัดได้จาก การมีรถราคาแพงหรือไม่ มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน ได้ไปเที่ยวทริปหรูได้บ่อยเท่าใด การได้ครอบครองแบรนด์ชั้นนำและวัตถุหายาก มันสะท้อนถึงความร่ำรวยของคุณ แนวคิดแบบนี้ทำให้ผู้คนพยายาม ดิ้นรนไขว่คว้า สะสมครอบครอง เพื่อให้มีมากที่สุด

จนบางคนอาจไม่คำนึงถึง “วิธีการที่ได้มา”

มองเพียงแค่ “มูลค่าของสิ่งที่ครอบครอง”

แต่มันจะสร้างความสุขให้กับพวกเขาจริงๆหรือ ?

แน่นอนว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญและขาดไม่ได้ในโลกปัจจุบัน แต่หากลองพิจารณาดู เงินเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการมีชีวิตรอดของคนกลุ่มแรงงานที่มีรายได้น้อยเท่านั้น

ส่วนคนที่ “พอมีอันจะกิน” ซึ่งเป็นประชากรที่มีการศึกษา เงินถูกใช้เพื่อสร้างความสนุกสนาน ความสะดวกสบาย ที่อาจเกินความจำเป็น เช่น การแสดงความหรูหราเพื่อเข้าสังคมและเรียกร้องการยอมรับจากผู้อื่น ใช่หรือไม่

เปรียบเทียบให้ภาพเห็นตัวอย่างง่ายๆ หากในวัยเริ่มทำงาน คุณสามารถเก็บเงินจนซื้อรถคันแรกได้ นั่นย่อมสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมากให้กับชีวิต เพราะคุณไม่ต้องไปยืนเบียดร้อนบนรถเมล์ ไม่ต้องดมควันกลางถนนบนมอเตอร์ไซด์ และสามารถขับรถของคุณเองไปได้ในทุกที่ๆต้องการ  ไปทำงาน ไปเจอเพื่อน ไปปาร์ตี้ยามค่ำคืนโดยไม่ต้องกลัวอันตราย แบบนี้ย่อมสร้างความสุขให้คุณอย่างมาก

เมื่อได้เลื่อนตำแหน่ง คุณจึงซื้อ รถคันที่ 2 ที่หรูกว่าเดิม ลองเปรียบเทียบความสุขตอนที่ได้รถคันใหม่นี้ เทียบกับตอนมีรถคันแรก อย่างไหนมีมากกว่ากัน

และหากซื้อ รถคันที่ 3 ตอนมีลูก ก็คงแทบไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรแล้ว

รถคันที่ 4 ที่ซื้อมา คงต้องเริ่มคิดว่าจะหาที่จอดที่ไหน

ส่วนรถคันที่ 5  อาจทำให้ต้องจ้างคนมาล้างรถเพิ่มอีกคน

 

ลองพิจารณาว่าที่ผ่านมา คุณมีที่สิ่งที่ซื้อมาได้ใช้เพียงแค่หนเดียวแล้วก็เก็บ มากแค่ไหน ?

คุณมีสิ่งที่ซื้อมาเป็นปีแล้ว ยังไม่เคยแกะห่อออกมาใช้เลย บ้างหรือไม่ ?

คุณได้ออกไปหาซื้อของ แล้วมาพบทีหลังว่าคุณมีสิ่งนั้นอยู่แล้ว บ่อยแค่ไหน ?

คุณต้องทิ้งของกินดีๆที่หมดอายุ เพราะคุณซื้อไว้แล้วหลงลืมหรือกินไม่หมด ไปเยอะมั้ย ?

ทุกครั้งที่ซื้อของชิ้นใหม่ คุณมีความสุขอยู่กับมันได้นานเพียงใด ?

หากทุกคนใช้ชีวิตแบบนี้ ยิ่งผลิตมากทรัพยากรธรรมชาติจะยิ่งร่อยหรอ สิ่งของจะกองทับถม มลพิษจะเกินควบคุม ขยะจะล้นโลกดังนั้นการมีสิ่งของมากๆก็อาจลดความสุขของเราไปได้

จะเห็นได้ว่า หากเราอยู่ในกลุ่มคนที่พอมีอันจะกิน เงินและสิ่งของที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่ปัจจัยที่จะ “เพิ่มความสุข” ได้มากเท่าไหร่เลย

แล้วความสุขจริงๆอยู่ที่ไหนล่ะ

 


ความร่ำรวยที่แท้จริง “4 วิถี สู่อิสรภาพ”

คงถึงเวลาทบทวนแล้วว่า โลกนี้กำลังต้องการแนวคิดของ “ความร่ำรวย” ในรูปแบบใหม่หรือเปล่า คนที่มี “ความร่ำรวยที่แท้จริง” อาจดูได้จาก 4 วิถีการใช้ชีวิต ดังนี้

 

1. ความร่ำรวย ทางอารมณ์

คนรวยที่แท้จริง คือคนที่ “ไร้ความกังวลในเรื่องเงิน” เขาสามารถควบคุมอารมณ์ภายในให้สดใสเบิกบานได้ การที่เขามีอารมณ์ดีเป็นประจำ ก็จะทำให้พบแต่ประสบการณ์ดีๆในชีวิต

ไม่จำเป็นต้องรวยร้อยล้านพันล้าน ถึงจะปราศจากความกังวลในเรื่องเงิน ขอเพียงรู้จักบริหารเงินให้มีเหลือใช้ในทุกเดือน ไม่ยึดติดกับวัตถุภายนอกที่อาจสูญเสียไปเมื่อไหร่ก็ได้ รู้จักพึ่งพาตัวเองมากกว่าพึ่งพาคนอื่น

เมื่อมี “ความร่ำรวยทางอารมณ์” ก็จะไม่ขี้กลัว ไม่หงุดหงิดจิตตก ไม่ห่อเหี่ยวนานๆ จะมีความชัดเจนในชีวิต มีแรงบันดาลใจ มีความคิดสร้างสรรค์ มีพลังข้างในที่ผลักดันในตัวเองอยู่เสมอ และมีประสิทธิภาพในการทำงานให้สำเร็จได้อย่างสูง

 

2. ความร่ำรวย ด้านเวลา

เวลาคือสิ่งที่มี “ราคา” มากที่สุด เพราะชีวิตมีวันหมดอายุ จึงไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับเวลาที่หมดไปแต่ละปีๆ หากเราไม่ใช้ชีวิตที่เราเลือก เราก็กำลังผลาญเวลาในชีวิตของตัวเองลงไปเปล่าๆ

คนที่ร่ำรวยอย่างแท้จริง สามารถเลือกวิถีชีวิตที่สามารถเป็นผู้กำหนดตารางเวลาของตัวเองได้ ว่าจะตื่นกี่โมง ทำงานกี่โมง พักผ่อนเมื่อไหร่

ไม่ต้องให้คนอื่นเป็นผู้กำหนด ไม่ต้องตื่นเช้าฝ่ารถติดบนถนน ไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนเพื่อไปพักผ่อนในวันหยุดยาว

เมื่อมี “ความร่ำรวยด้านเวลา” ทำให้เค้าใช้เวลาอย่างคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นได้มากที่สุด

 

3. ความร่ำรวย ไม่จำกัดด้วยสถานที่

คนรวยที่แท้จริง สามารถจะอาศัยอยู่ที่ใดก็ได้ หรือเดินทางเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ ไม่จำเป็นจะต้องมีเงินมากมายที่จะใช้ในการเดินทางท่องเที่ยว แต่เป็นเพราะพวกเค้ามีเวลา มีพลังเหลือเฟือ จึงสามารถเลือกที่จะเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆได้

พวกเค้าเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง จึงสามารถทำงาน ใช้ชีวิตและพักผ่อนได้ทุกที่ และทุกเวลา

เมื่อมี “ความร่ำรวย ที่ไม่จำกัดด้วยสถานที่” ทำให้เค้าได้รู้จักออกไปใช้ชีวิต พบปะผู้คน ไม่ต้องทนอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ ได้มีโอกาสพบเห็นสิ่งแปลกใหม่ๆ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตอันหลากหลายในโลก เป็นอิสรภาพที่เค้ากำหนดได้ด้วยตัวเอง

 

4. ความร่ำรวย ในการให้

สุดยอดตัวชี้วัดของการเป็นคนรวยที่แท้จริงคือ “ความสามารถในการให้และแบ่งปัน” ไม่ว่าจะเป็นการให้เวลา ให้แรงงาน ให้เงิน หรือแบ่งปันความสุขที่มีแผ่กระจายไปสู่ผู้คนรอบๆตัว คนที่มั่งคั่งนั้นเป็นผู้เหลือเฟือที่จะให้ ไม่จำเป็นว่าเค้าต้องมีเงินมากมาย เพียงแต่ว่ามันมากพอที่จะแบ่งปันออกไปได้ แม้บางคนมีมากมายก็ยังไม่สามารถให้คนอื่นรได้ เพราะลึกๆแล้วในจิตใจ เค้ายังรู้สึกว่ามีไม่พอนั่นเอง

เมื่อมีความมั่งคั่งในการให้ ย่อมจะเติมเต็มคุณค่าและความหมายในชีวิต เค้าจะรู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งของตัวเองอย่างแท้จริง โดยที่ไม่ได้วัดจากจำนวนเงินที่มีหรือมูลค่าสิ่งของที่ครอบครองอย่างใดเลย

 

คนที่ร่ำรวยไม่ว่าจะมีเงินกี่ร้อยล้านพันล้าน ทั้งชีวิตของเขา อาจเข้าไม่ถึงความรู้สึกมั่งคั่งร่ำรวยเลยก็เป็นได้

เพราะความร่ำรวยที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องมีเงินมากมาย ก็สามารถเข้าถึงวิถีชีวิตทั้ง 4 มิตินี้ได้

เพียงแต่ต้องอาศัยการรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้

มีไลฟ์สไตล์ที่พอเพียง

มีทักษะที่หลากหลาย

และมีความกล้าคิด กล้าทำ นอกกรอบ

สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณเข้าถึงคำว่า “ความร่ำรวยที่แท้จริง”

และมันจะนำพามาซึ่งความสุข และความร่ำรวยเงินทองไปพร้อมๆกัน อย่างที่คุณนึกไม่ถึงทีเดียว

 แม้วันนี้เราอาจยังทำได้ไม่ครบทั้ง 4 ด้าน แต่ขอให้กำลังใจว่า

หากทำได้สักหนึ่งข้อ ส่วนที่เหลือจะทยอยเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เพราะการเดินไปถูกทิศและไม่หลงทาง ไม่ช้าไม่นานเราจะถึงปลายทางได้อย่างแน่นอน

แนวคิดจากหนังสือ  The New Meaning of Rich: Four Principles of Wealth That Will Change Your Life by Evan Tarver

เรียบเรียงโดย เรือรบ

เคล็ดลับการทำงาน Office ให้มีความสุข

เคล็ดลับการทำงานออฟฟิตให้มีความสุข

เมื่อพูดถึงงานประจำ ส่วนใหญ่จะหมายถึง การทำงาน Office เกือบจะทั้งนั้น ซึ่งลักษณะงานเหล่านี้ ต้องนั่งโต๊ะทำงานที่อยู่ติดๆกัน มีแผนกต่างๆ นั่งรวมกันอยู่ และจะต้องพบเจอผู้คนมากมาย ที่มีนิสัยแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น แผนกขาเม้าท์ (จับกลุ่มนินทา) แผนกเฝ้าหน้าจอ (แอบดู YouTube) แผนกรอดูผล (ฟ้องหัวหน้า) หรือแผนกคนคอยเตือน (เก็บค่าแชร์) และอื่นๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่คนทำงาน Office จะต้องพบเจอมา ไม่มากก็น้อย

แล้วเรา จะบริหารจัดการการทำงาน การใช้ชีวิต เพื่อให้อยู่รอดในสถานที่แบบนี้ได้อย่างไร เราอาจต้องใช้ความสามารถขั้นสูงสุดเข้าสู้ ไม่อย่างนั้นแล้ว เราจะแพ้ภัยตัวเอง ทำงานผ่านไปแต่ละวัน มีแต่ความทุกข์ ไม่พบเจอกับความสุขเลย จำเป็นต้องลาออก หางานใหม่ไปเรื่อยๆ เพียงเพราะ รับกับสภาพสังคมแบบนี้ไม่ได้ แล้วจะมีวิธีไหน ที่จะทำให้เราไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะแบบนี้ได้บ้าง เราลองมาเรียนรู้ร่วมกันเลย

พูดให้น้อย ทำงานให้มาก

การทำงาน Office เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบปะผู้คนจำนวนมาก และเมื่อเจอกันแล้ว ก็ต้องมีเรื่องที่นำมาพูดคุยกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองทั้งสิ้น ยิ่งคุย ยิ่งไม่จบ มีเรื่องให้คุยกันได้ทั้งวัน ทำให้เราไม่มีเวลาทำงานที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเต็มที่ และเมื่อถึงกำหนดเวลาส่งงาน งานชิ้นนั้นก็เสียหาย เพราะทำแบบ ลวกๆ ไม่ตั้งใจ ผลงานก็ออกมาไม่ดี ส่งผลให้การประเมินผลงานของเรา ออกมาไม่ดีตามไปด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว ต้องฝึกพูดให้น้อยลง จะได้มีเวลาทำงานมากขึ้น ตัวงานที่รับผิดชอบ ก็จะได้ออกมามีคุณภาพมากที่สุด

ไม่จับกลุ่มนินทา

ร้อยทั้งร้อย เมื่อเห็นกลุ่มคนที่ทำงาน Office นั่งรวมตัวกัน จะต้องกำลังนินทาใครสักคนอยู่เป็นแน่ ซึ่งขอเตือนไว้เลยว่า อย่าทำแบบนี้เลย เพราะคุณต้องคิดเสมอว่า ถ้าคนอื่นโดน ตัวคุณก็มีสิทธิ์โดนเป็นรายต่อไป ไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีใครอยากโดนนินทาด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งถ้ามารู้ที่หลังว่ากลุ่มนั้นกำลังนินทาเรื่องเราอยู่ ก็อาจจะทำให้มองหนากันไม่ติดอีกเลย การทำงานก็จะมีปัญหาตามมา เพราะฉะนั้น ถ้าเจอวงนินทา รีบกันตัวเองออกมา เป็นดีที่สุดครับ

ไม่แบ่งฝักฝ่าย

ในที่ทำงาน อย่าก่อสงคราม โดยการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันเลยครับ ไม่อย่างนั้น เราจะต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง ก็คงต้องเสียเพื่อนอีกกลุ่มไป ถ้าคุณคิดได้แบบนี้แล้ว การทำงาน Office ก็จะเหมือนมีอิสระ ปราศจากข้อจำกัดใดๆ เพราะคุณสามารถเข้าไปคุยได้กับทุกฝ่าย ทุกแผนก และอาจจะทำให้คุณเป็นที่รักของทุกๆคนได้อีกด้วย เมื่อเวลาต้องการความช่วยเหลือ ก็จะมีแต่คนอยากหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คุณ เห็นถึงประโยชน์ ของการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีหรือยังครับ มีคนรัก ดีกว่ามีคนเกลียดนะครับ

อ่อนน้อมกับผู้ใหญ่

บางคนอาจจะมองว่า แค่ทำงานเก่งอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว มองที่คุณภาพงานอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมให้ใคร แต่อย่าลืมนะครับ สังคมไทยเรา การเคารพผู้ใหญ่ ยังเป็นธรรมเนียมที่นับถือกันอยู่ คนรุ่นใหม่ที่เรียนจบสูงๆและจบจากต่างประเทศ อาจจะนึกว่าตัวเองเก่งอยู่แล้ว พอมาทำงาน Office เลยไม่สนใจใคร ทำแต่ในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดี คิดว่าถูก จนบางครั้งข้ามหัวผู้ใหญ่ในที่ทำงาน ไปเลยก็ยังมี เคยได้ยินคำกล่าวนี้มั้ยครับ “ถ้าอยากไปเร็ว ให้ไปคนเดียว แต่ถ้าอยากไปไกล ให้ไปเป็นทีม” ดังนั้นมารยาทในสังคมไทยเรา การอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่ดี ไม่ว่าเค้าจะเป็นหัวหน้าหรือลูกน้องเราก็ตาม ควรที่เราจะให้เกียรติเค้ามากๆ แล้วเราจะเรียนรู้จากเค้าได้มากเลยทีเดียว

ไม่เสี่ยง ในเรื่องเงิน

เรื่องเงิน ไม่เข้าใครออกใคร ทำให้เสียเพื่อนกันมานักต่อนักแล้ว ถ้าคุณมีเพื่อนที่ทำงาน Office เดียวกัน มาขอยืมเงิน ไม่จำเป็น อย่าให้ยืมเด็ดขาดนะครับ ให้ปฏิเสธไปเลย บอกว่าคุณก็จำเป็นต้องใช้ เพราะถ้าให้ยืมไปแล้ว คุณจะทำงานแบบไม่มีความสุขอีกเลย ถ้ายืมแล้วคืน ตามที่ตกลงกันไว้ ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว จะไม่ค่อยได้คืน หรือกว่าจะทวงคืนได้มา ก็เลือดตาแทบกระเด็น กลายเป็นเรารู้สึกผิดไปอีกทีทวง และหลังจากนั้น อาจจะมองหน้ากันไม่ติดไปเลยก็มี

นอกจากเรื่องยืมเงินแล้ว ก็เรื่องการเบิกเงินหรือจ่ายเงินทั้งหมด ควรจะต้องตรวจสอบให้รอบคอบและมีหลักฐานในการรับเงินจ่ายเงินทุกครั้ง อย่าได้ไว้ใจเพราะเห็นว่าสนิทกัน เพราะถ้าเกิดผิดพลาดไป ต้องถูกตรวจสอบทีหลัง จะโทษใครก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเองคนเดียว แล้วก็ต้องรับผิดชอบจ่ายเงินที่ไม่สมควรเสียด้วยนะครับ

ไม่เหยียบหัวคนอื่น

ข้อนี้สำคัญมาก อย่าทำให้งานคนอื่นแย่ลง เพียงเพราะจะทำให้งานเราดูดีขึ้น สังคมคนทำงาน Office มีเรื่องแบบนี้ให้เห็นอยู่บ่อยๆ ถ้าใครผิดพลาดแล้ว เตรียมรอโดนซ้ำได้เลย ซึ่งถ้าเราจะได้ดีแล้ว ให้ดึงเพื่อนรอบๆตัวเรา ให้ได้ดีตามเราไปด้วยจะดีกว่าครับ เพราะชีวิตเรา ไม่ได้มีแต่เรื่องงานนะครับ เลิกงานแล้ว ก็ยังต้องใช้ชีวิตต่อไปอีก สร้างมิตรที่ดีไว้ ดีกว่าครับ

แม้ว่าบางที การทำงาน Office อาจเป็นสังคมแห่งการแข่งขัน แต่ก็เป็นการแข่งขันไปในทางที่ดี คงไม่ถึงขนาดว่าเป็นสังคมแห่งการเอารัดเอาเปรียบ ขอเพียงเราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และเคารพให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน เหมือนที่อยากให้เค้าทำกับเรา หากมีใครมาทำอะไรกระทบกระทั่งเราบ้าง พยายามมองข้าม หรือทำทุกอย่าง ให้เป็นเรื่องตลก หรือขำๆไป เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้เราทำงานได้อย่างมีความสุขที่สุดแล้วครับ

บทความโดย Learning Hub Thailand

10 กฏทอง ที่ทำให้คุณมีความสุขง่ายๆ ในทุกวัน

LHT template update 26 12 2016

คุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ” กล่าวคือ ในชีวิตจริงเราไม่สามารถมีชีวิตที่สุขสบายเหมือนดั่งเจ้าหญิงและเจ้าชายในนิยาย

บางครั้งเราพบเจอกับสิ่งที่สวยงาม แต่บางครั้งเราต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้าย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชีวิตของเราจะมีทั้งสุขและทุกข์ แต่เราเลือกที่จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ได้ และกุญแจสำคัญที่จะช่วยคุณไขประตูแห่งความสุขได้ก็คือ “ทัศนคติ” ของคุณ

งานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่า ผู้ที่มองโลกในแง่ดีมีแนวโน้มที่จะอายุยืนยาว ส่วนผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายกลับมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น หากคุณต้องการทราบว่าตนเองเป็นคนมองโลกในแง่ดี หรือ มองโลกในแง่ร้าย ลองอ่านบททดสอบนี้ดู

หากมีแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วคุณจะมองมันอย่างไร ระหว่าง “มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว” กับ “มีน้ำหายไปครึ่งแก้ว” และคำตอบจะสะท้อนทัศนคติของคุณ หากคุณเลือก “มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว” คุณเป็นคนมองโลกในแง่บวก คุณชื่นชมและพอใจกับสิ่งที่มีอยู่

ในสถานการณ์นี้คุณรู้สึกว่าการมีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้วดีกว่าการมีเพียงแก้วเปล่า ในทางกลับกัน หากคุณเลือก “มีน้ำหายไปครึ่งแก้ว” คุณเป็นคนมองโลกในแง่ลบ คุณสนใจในสิ่งที่ขาดหายไป ดังนั้น คุณจะพยายามไขว่คว้าหาสิ่งอื่นมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย

เมื่อคุณรู้คำตอบแล้ว จงรักษาหรือปรับเปลี่ยนทัศนคติของคุณให้กลายเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก หากคุณไม่รู้วิธีที่จะทำมัน บทความนี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณมีมุมมองในการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากเดิม และพบกับความสุขในชีวิต

1) มองหาด้านดี ๆ ในสถานการณ์อันเลวร้าย

ในแต่ละวัน คุณต้องพบเจอกับเรื่องราวทั้งดีและร้ายปะปนกัน และเพื่อสนับสนุนทัศนคติการมองโลกในแง่ดี เมื่อคุณเผชิญกับเหตุการณ์แย่ ๆ ที่ทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดหรือโมโห ให้คุณพยายามคิดบวก มองหาด้านดีในสถานการณ์อันเลวร้ายนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเจอรถติดบนถนน แทนที่คุณจะบ่น ด่า หรือระบายความโมโหด้วยการบีบแตรเสียงดัง คุณอาจคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะใช้เวลาฟังเพลงโปรดของคุณให้นานขึ้น

2) ให้ความสนใจและชื่นชมกับสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว

ท่ามกลางสังคมที่วุ่นวาย มนุษย์เราต่างดิ้นรนไขว่คว้าหาความสุขในรูปแบบต่าง ๆ แต่หนึ่งในหลายวิธีที่ทำให้เราค้นพบความสุขก็คือ การได้ใกล้ชิดธรรมชาติ และสนใจต่อสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว

ผู้ที่นับถือนิกายเซนมีความสุขจากการพิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว พวกเขาจะชื่นชม ซึมซับ และมีความสุขไปกับสิ่งที่แสนธรรมดาและเรียบง่าย

ยกตัวอย่างเช่น การได้เห็นผีเสื้อกระพือปีกเบา ๆ หรือการเฝ้ามองสายฝนอันชุ่มฉ่ำ และคุณก็สามารถนำเอาวิธีนี้ไปใช้ได้เช่นกัน สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นปัญหาใหญ่ ๆกลายเป็นเรื่องเล็กในพริบตา

3) ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม กล่าวคือ โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน และต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้นในยามที่เราประสบปัญหาในชีวิต เราย่อมต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

และแน่นอนว่า หากเราเห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก หรือเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย หรือทางจิตใจ เราก็ควรที่จะช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นเช่นกัน

การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เราได้พัฒนาความคิดด้านบวกของตนเอง ในทางกลับกัน คนที่คิดเอาแต่ได้ จิตใจจะเต็มไปด้วยกิเลสและความทุกข์ ต่างกับคนที่คิดจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับคนอื่น พวกเขารู้จักและเห็นคุณค่าของการให้ และเมื่อเขาหยิบยื่นความปรารถนาดีให้กับผู้อื่นแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่าเขาจะยิ่งได้รับสิ่งดี ๆ กลับคืนมา

4) ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ

ในสังคมสมัยใหม่ ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกนิยม แต่ละคนต่างยึดถือตัวเองเป็นที่ตั้ง ให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนสิ่งอื่นใด จนนำมาซึ่งสภาวะต่างคนต่างอยู่ในสังคม

อย่างไรก็ตาม ประโยคที่ว่า “น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า” ยังคงสามารถใช้ได้ตลอดกาล มนุษย์ต้องอาศัยรวมกันเป็นกลุ่ม ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้น เราควรปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสมและจริงใจ

ยกตัวอย่างเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น หากคู่สนทนาของคุณกำลังประสบปัญหา คุณก็ควรที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจ รับฟังและให้คำแนะนำแก่เขาด้วยความจริงใจ นอกจากนี้หากคุณสามารถช่วยเหลือเขาได้ ก็ควรที่จะทำโดยไม่หวังผลตอบแทน

5) รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

หากคุณนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้านทั้งวันโดยไม่ทำอะไรเลย คุณจะกลายเป็นคนขี้เกียจและเฉื่อยชาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นคุณจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์

หนึ่งในวิธีการสร้างสุขภาพกายและใจที่ดี คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม คุณควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกดีมีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน

นอกจากนี้ คุณควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพราะจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งจะทำให้คุณมีความสุขและผ่อนคลายความตึงเครียดได้

6) ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน        

ครอบครัวและเพื่อนคือคนที่รู้จักคุณดีที่สุด พวกเขารักคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข และเข้าใจคุณเกือบทุกเรื่อง ดังนั้นคุณจึงควรใช้เวลาอยู่กับพวกเขาบ้าง

การใช้เวลาร่วมกันของสมาชิกในครอบครัวสามารถทำได้ตั้งแต่กิจกรรมเล็ก ๆ ภายในบ้าน เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน ดูโทรทัศน์ร่วมกัน ไปจนถึงกิจกรรมนอกบ้าน เช่น การไปท่องเที่ยว หรือการดูภาพยนตร์ เป็นต้น นอกจากนี้ อย่าลืมที่จะแบ่งเวลาให้กับกลุ่มเพื่อนของคุณด้วย

เพราะมิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญ  มันไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ดังนั้น เมื่อคุณเจอแล้ว จึงควรรักษาไว้ให้ดีที่สุด คุณอาจหาโอกาสพบปะสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนบ้าง สิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกดีและอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

7) เดินตามความฝันและทำสิ่งที่คุณสนใจจริงๆ

หลายคนทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นหน้าที่หรือความรับผิดชอบที่ต้องทำ จนทำให้ลืมไปว่าตัวเองสนใจและต้องการอะไรจริง ๆ ดังนั้น จงค้นหาสิ่งที่คุณรัก

และเมื่อคุณเจอแล้ว จงทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณมีความสุขและอิ่มเอิบใจ จงท่องให้ขึ้นใจว่าชีวิตของคนเราสั้นนัก ดังนั้น เราไม่ควรเสียเวลากับการทำสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง

8) ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ แต่ต้องรู้ข้อจำกัดของตัวเอง

การทำกิจกรรมที่คุณชอบ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นกีฬา การเล่นดนตรี หรือการท่องเที่ยวจะทำให้คุณพึงพอใจ และมีความสุข แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรทำสิ่งต่างๆอย่างสุดโต่งจนเกินไป

พราะนั่นจะทำให้คุณหมดสนุกและอาจทำให้คุณเครียดอีกด้วย ดังนั้น จงทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเหมาะสมไม่มากหรือน้อยจนเกินไป กล่าวคือ การเดินทางสายกลางเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

9) อย่าระบายความโกรธให้ผู้อื่น

แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากจะมีหน้าตาบูดบึ้ง หรือเป็นคนอารมณ์ร้าย ดังนั้น เมื่อคุณรู้สึกโกรธหรือโมโหสิ่งใดก็ตาม อย่าระบายอารมณ์ของคุณกับผู้อื่น เพราะมันจะทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบไปด้วย

ความโกรธเปรียบเสมือนวงล้อแห่งไฟ และเมื่อคุณผลักวงล้อนี้ไปยังผู้อื่น มันจะเผาผลาญและแสดงพลังต่อผู้ที่อยู่รอบข้าง

เพราะฉะนั้น หากคุณเริ่มหงุดหงิด ให้พยายามเบี่ยงเบนอารมณ์และระงับความรู้สึกนั้น โดยการคิดถึงสิ่งดีดป ๆ คุณอาจเดินออกไปข้างนอกเพื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ตึงเครียดนั้น สูดลมหายใจลึกๆ จนกระทั่งความโกรธนั้นหายไป

10) ลดการรับสื่อที่ไม่มีประโยชน์

สังคมทุกวันนี้เต็มไปด้วยสื่อมากมายหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น รายการทางโทรทัศน์ออกอากาศละครที่มีเนื้อหาไม่สร้างสรรค คลื่นวิทยุมักเปิดเพลงที่มีเนื้อหาด้านลบ

เช่น เพลงอกหัก หลงรักคนมีเจ้าของ หรือเพลงที่มีเนื้อหาล่อแหลม สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจของคุณหม่นหมองและเป็นการยั่วยุให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบอีกด้วย

ดังนั้นเพื่อให้จิตใจของคุณมองโลกในแง่บวก คุณควรเลือกรับข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์และไม่ควรติดตามหรือเสียเวลากับสื่อที่ไม่ทำให้จิตใจผ่องใส

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://expandedconsciousness.com/2015/08/09/10-tools-to-live-a-happy-life/)

 

7 สิ่งดีๆ ที่ควรบอกตัวเองในทุกวัน

7-things-you-should-tell-yourself-every-day

คุณเป็นคนสำคัญ และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่คุณคิด พูด หรือปฏิบัติต่อตนเองล้วนมีความสำคัญ และส่งผลต่อชีวิตทั้งนั้น กล่าวคือ หากคุณทำดีต่อตนเอง คุณก็จะได้รับผลดีเป็นการตอบแทน แต่หากคุณทำสิ่งแย่ๆ คุณก็จะได้รับผลที่เลวร้ายเช่นกัน

บางครั้งคุณอาจรู้สึกผิดหวัง เสียใจกับคำพูด หรือการกระทำ ซึ่งเกิดจากตัดสินใจที่ผิดพลาดของตนเอง คุณอาจรู้สึกแย่จนถึงขั้นต่อว่า กล่าวโทษ และดูถูกตนเอง ความคิดเช่นนี้ทำให้ตัวคุณเองไม่มีความสุข มิหนำซ้ำยังฉุดให้ชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ วิธีแก้ไขคือให้คุณมองโลกในแง่บวก คิดแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอ

เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณมีพลังในการก้าวเดินไปข้างหน้า และทำให้ชีวิตคุณมีแต่ความสุข บทความนี้แนะนำแนวคิด 7 สิ่งดีๆ ที่คุณควรยึดถือ และบอกตัวเองในทุกวัน

1. ฉันเชื่อในความฝัน

          ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากความฝัน ตอนเด็กๆ เราฝันอยากจะเป็นคนนั้นคนนี้ อยากมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เมื่อเราโตขึ้น ความฝันเหล่านั้นค่อยๆ หายไป เพราะเรากลัว และไม่กล้าฝันต่อ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ความฝันไม่กลายเป็นจริงสักที ดังนั้น จงเชื่อมั่นและศรัทธาในความฝันของตนเอง

คุณมีความฝันอะไรบ้าง ลองหลับตา และปลดปล่อยจินตนาการไปตามความปรารถนา คุณอาจพบว่าตนเองฝันอยากเป็นนักร้อง อยากเป็นเจ้าของกิจการ อยากมีบ้านหลังใหญ่ อยากไปเที่ยวรอบโลก อยากมีเงินมากมาย เป็นต้น เมื่อคุณฝันแล้ว อย่าปล่อยให้มันสูญเปล่า เพราะความฝันนั้นมีพลังและสามารถเป็นจริงได้

จงเชื่อมั่นและพร่ำบอกกับตนเองว่า ความฝันนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม เมื่อคุณทำเช่นนี้แล้ว ความฝันของคุณจะชัดเจนขึ้น อีกทั้ง คุณจะกลายเป็นคนที่มั่นใจ สามารถสร้างสรรค์และผลักดันสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้

2. ฉันทำทุกวันให้ดีที่สุด

          ไม่ว่าวันนี้คุณจะทำสิ่งเล็กๆ หรือยิ่งใหญ่ ให้คุณคิดเสมอว่าคุณต้องทำให้ดีที่สุด เพราะความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่มันค่อยๆ สะสมทีละเล็กทีละน้อย และในที่สุดมันจะกลายเป็นความสำเร็จอันสวยงาม ดังสุภาษิตที่ว่า “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว”

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม จงเตือนตัวเองให้ทำอย่างดีที่สุด ทำให้เต็มที่อย่างสุดกำลังความสามารถ และหากคุณผิดพลาด จงเรียนรู้จากประสบการณ์ ใช้ความผิดพลาดนั้นเป็นบทเรียน รู้จักปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

3. ฉันรักในสิ่งที่ฉันเป็น

          คุณรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อเห็นตัวเองในกระจก หากคุณยิ้มให้กับตนเอง แสดงว่าคุณรักในสิ่งที่คุณเป็น และนั่นเป็นบันไดก้าวแรกที่ทำให้คุณสามารถก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง สิ่งที่คุณเป็นไม่ว่าจะดีหรือร้าย เช่น ผิวขาว ผิวคล้ำ หน้าใส มีสิว ผมตรง ผมหยิก ตัวสูง ตัวเตี้ย หรืออุปนิสัยใจคอต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่งบอกความเป็นตัวคุณ และทำให้คุณมีเอกลักษณ์

เพราะฉะนั้น จงยอมรับและพอใจในสิ่งที่เป็น หากคุณไม่รักตัวเอง คุณก็ไม่สามารถรักคนอื่นได้เช่นกัน ในทางตรงกันข้าม เมื่อคุณรักตัวเองแล้ว คุณจะสามารถส่งต่อความรักและความปรารถนาดีให้กับคนรอบข้างได้ 

4. ฉันเลือกที่จะมีความสุขได้

          หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นั่นหมายถึง ความคิดและจิตใจมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นที่ใจ เราสามารถกำหนดได้ว่าในแต่ละวันตนเองจะมีความสุขหรือความทุกข์เช่นหากคุณตั้งเป้าหมายที่จะทำอะไรแล้วคุณสมหวัง แน่นอนว่าคุณจะรู้สึกมีความสุข

แต่หากคุณไม่สามารถทำมันได้สำเร็จเหมือนที่ตั้งใจไว้ คุณจะเครียด ผิดหวัง และเสียใจทั้งนี้ หากคุณรู้เท่าทันธรรมชาติของความคิดและจิตใจ เข้าใจถึงกลไกดังกล่าว คุณก็จะสามารถกำหนดความสุขได้ด้วยตัวคุณเอง นอกจากนี้ หากคุณพบกับความผิดหวัง คุณก็จะสามารถทำใจ และปล่อยวางได้เร็วกว่าคนอื่น

5. ฉันกำหนดชีวิตตนเองได้

          สิ่งนี้คล้ายๆ กับการกำหนดความสุขได้ด้วยความคิดและจิตใจของตนเอง แต่เปลี่ยนเป็นเรื่องของการกระทำ กล่าวคือ คุณสามารถกำหนดชีวิตของตนเองได้โดยรับผิดชอบ และยอมรับในทุกๆ การกระทำของตนเอง หากคุณทำสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ ชีวิตก็จะเป็นไปในทางที่ดี ในทางตรงกันข้าม หากคุณประพฤติตัวแย่ คุณก็จะได้รับผลของการกระทำนั้น

จงจำไว้ว่าไม่มีใครมีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ คุณเท่านั้นที่สามารถขีดเส้นทางเดินชีวิตของตนเองได้

6. พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้

          การคิดเช่นนี้ทำให้คุณมีพลัง และเกิดแรงบันดาลใจ จงเชื่อว่าวันพรุ่งนี้จะสดใสกว่าเดิม คุณควรเปิดโอกาสให้ตนเองพบเจอกับสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทาย ทำให้ตนเองเรียนรู้ และเพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิต เพราะนั่นจะทำให้คุณไม่หยุดพัฒนาตนเอง เมื่อคุณฝึกคิดเช่นนี้บ่อยๆ คุณจะพยายามทำสิ่งต่างๆ อย่างเต็มที่ และสามารถสานฝันให้กลายเป็นจริง

7. ขอบคุณสิ่งต่างๆ ในชีวิต

          แม้ว่าคุณไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ได้ แต่สิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้คือ ทัศนคติของตัวเอง คุณควรมองโลกในแง่ดี โดยหัดขอบคุณสิ่งดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บางทีสิ่งนั้นอาจเป็นเพียงแค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่มันก็ทำให้คุณมีความสุขได้

เช่น ขอบคุณลมหายใจที่ทำให้คุณได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพื่อทำในสิ่งที่คุณรัก ขอบคุณมิตรภาพดีๆ จากครอบครัว เพื่อนฝูง รวมทั้งคนแปลกหน้า ขอบคุณสิ่งเลวร้ายที่เป็นบทเรียนให้คุณได้เรียนรู้ และเติบโตขึ้น เป็นต้น หากคุณคิดบวก คุณจะพบว่าชีวิตมีเรื่องดีๆ มากมาย

เรียบเรียงโดย Nadda – Learning Hub Team

(ที่มา: http://www.lifehack.org/363049/7-positive-affirmations-tell-yourself-every-day)

10 กุญแจสำคัญไขประตูแห่งความสุข

10-tools-to-live-a-happy-life

คุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ” กล่าวคือ ในชีวิตจริงเราไม่สามารถมีชีวิตที่สุขสบายเหมือนดั่งเจ้าหญิงและเจ้าชายในนิยาย บางครั้งเราพบเจอกับสิ่งที่สวยงาม แต่บางครั้งเราต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้าย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชีวิตของเราจะมีทั้งสุขและทุกข์ แต่เราเลือกที่จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ได้ และกุญแจสำคัญที่จะช่วยคุณไขประตูแห่งความสุขได้ก็คือ “ทัศนคติ” ของคุณ

งานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่า ผู้ที่มองโลกในแง่ดีมีแนวโน้มที่จะอายุยืนยาว ส่วนผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายกลับมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น หากคุณต้องการทราบว่าตนเองเป็นคนมองโลกในแง่ดี หรือ มองโลกในแง่ร้าย ลองอ่านบททดสอบนี้ดู

หากมีแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วคุณจะมองมันอย่างไร ระหว่าง “มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว” กับ “มีน้ำหายไปครึ่งแก้ว” และคำตอบจะสะท้อนทัศนคติของคุณ หากคุณเลือก “มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว” คุณเป็นคนมองโลกในแง่บวก คุณชื่นชมและพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ในสถานการณ์นี้คุณรู้สึกว่าการมีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้วดีกว่าการมีเพียงแก้วเปล่า ในทางกลับกัน หากคุณเลือก “มีน้ำหายไปครึ่งแก้ว” คุณเป็นคนมองโลกในแง่ลบ คุณสนใจในสิ่งที่ขาดหายไป ดังนั้น คุณจะพยายามไขว่คว้าหาสิ่งอื่นมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย

เมื่อคุณรู้คำตอบแล้ว จงรักษาหรือปรับเปลี่ยนทัศนคติของคุณให้กลายเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก หากคุณไม่รู้วิธีที่จะทำมัน บทความนี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณมีมุมมองในการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากเดิม และพบกับความสุขในชีวิต

1) มองหาด้านดี ๆ ในสถานการณ์อันเลวร้าย

ในแต่ละวัน คุณต้องพบเจอกับเรื่องราวทั้งดีและร้ายปะปนกัน และเพื่อสนับสนุนทัศนคติการมองโลกในแง่ดี เมื่อคุณเผชิญกับเหตุการณ์แย่ ๆ ที่ทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดหรือโมโห ให้คุณพยายามคิดบวก มองหาด้านดีในสถานการณ์อันเลวร้ายนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเจอรถติดบนถนน แทนที่คุณจะบ่น ด่า หรือระบายความโมโหด้วยการบีบแตรเสียงดัง คุณอาจคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะใช้เวลาฟังเพลงโปรดของคุณให้นานขึ้น

2) ให้ความสนใจและชื่นชมกับสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว

ท่ามกลางสังคมที่วุ่นวาย มนุษย์เราต่างดิ้นรนไขว่คว้าหาความสุขในรูปแบบต่าง ๆ แต่หนึ่งในหลายวิธีที่ทำให้เราค้นพบความสุขก็คือ การได้ใกล้ชิดธรรมชาติ และสนใจต่อสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว

ผู้ที่นับถือนิกายเซนมีความสุขจากการพิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว พวกเขาจะชื่นชม ซึมซับ และมีความสุขไปกับสิ่งที่แสนธรรมดาและเรียบง่าย ยกตัวอย่างเช่น การได้เห็นผีเสื้อกระพือปีกเบา ๆ หรือการเฝ้ามองสายฝนอันชุ่มฉ่ำ และคุณก็สามารถนำเอาวิธีนี้ไปใช้ได้เช่นกัน สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นปัญหาใหญ่ ๆกลายเป็นเรื่องเล็กในพริบตา

3) ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม กล่าวคือ โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน และต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้นในยามที่เราประสบปัญหาในชีวิต เราย่อมต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และแน่นอนว่า หากเราเห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก หรือเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย หรือทางจิตใจ เราก็ควรที่จะช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นเช่นกัน

การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เราได้พัฒนาความคิดด้านบวกของตนเอง ในทางกลับกัน คนที่คิดเอาแต่ได้ จิตใจจะเต็มไปด้วยกิเลสและความทุกข์ ต่างกับคนที่คิดจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับคนอื่น พวกเขารู้จักและเห็นคุณค่าของการให้ และเมื่อเขาหยิบยื่นความปรารถนาดีให้กับผู้อื่นแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่าเขาจะยิ่งได้รับสิ่งดี ๆ กลับคืนมา

4) ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ

ในสังคมสมัยใหม่ ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกนิยม แต่ละคนต่างยึดถือตัวเองเป็นที่ตั้ง ให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนสิ่งอื่นใด จนนำมาซึ่งสภาวะต่างคนต่างอยู่ในสังคม

อย่างไรก็ตาม ประโยคที่ว่า “น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า” ยังคงสามารถใช้ได้ตลอดกาล มนุษย์ต้องอาศัยรวมกันเป็นกลุ่ม ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้น เราควรปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสมและจริงใจ ยกตัวอย่างเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น หากคู่สนทนาของคุณกำลังประสบปัญหา คุณก็ควรที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจ รับฟังและให้คำแนะนำแก่เขาด้วยความจริงใจ นอกจากนี้หากคุณสามารถช่วยเหลือเขาได้ ก็ควรที่จะทำโดยไม่หวังผลตอบแทน

5) รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

หากคุณนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้านทั้งวันโดยไม่ทำอะไรเลย คุณจะกลายเป็นคนขี้เกียจและเฉื่อยชาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นคุณจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์

หนึ่งในวิธีการสร้างสุขภาพกายและใจที่ดี คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม คุณควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกดีมีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน นอกจากนี้ คุณควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพราะจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งจะทำให้คุณมีความสุขและผ่อนคลายความตึงเครียดได้

6) ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน

ครอบครัวและเพื่อนคือคนที่รู้จักคุณดีที่สุด พวกเขารักคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข และเข้าใจคุณเกือบทุกเรื่อง ดังนั้นคุณจึงควรใช้เวลาอยู่กับพวกเขาบ้าง

การใช้เวลาร่วมกันของสมาชิกในครอบครัวสามารถทำได้ตั้งแต่กิจกรรมเล็ก ๆ ภายในบ้าน เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน ดูโทรทัศน์ร่วมกัน ไปจนถึงกิจกรรมนอกบ้าน เช่น การไปท่องเที่ยว หรือการดูภาพยนตร์ เป็นต้น นอกจากนี้ อย่าลืมที่จะแบ่งเวลาให้กับกลุ่มเพื่อนของคุณด้วย เพราะมิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญ  มันไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ดังนั้น เมื่อคุณเจอแล้ว จึงควรรักษาไว้ให้ดีที่สุด คุณอาจหาโอกาสพบปะสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนบ้าง สิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกดีและอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

7) เดินตามความฝันและทำสิ่งที่คุณสนใจจริง ๆ

หลายคนทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นหน้าที่หรือความรับผิดชอบที่ต้องทำ จนทำให้ลืมไปว่าตัวเองสนใจและต้องการอะไรจริง ๆ ดังนั้น จงค้นหาสิ่งที่คุณรัก และเมื่อคุณเจอแล้ว จงทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณมีความสุขและอิ่มเอิบใจ จงท่องให้ขึ้นใจว่าชีวิตของคนเราสั้นนัก ดังนั้น เราไม่ควรเสียเวลากับการทำสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง

8) ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ แต่ต้องรู้ข้อจำกัดของตัวเอง

การทำกิจกรรมที่คุณชอบ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นกีฬา การเล่นดนตรี หรือการท่องเที่ยวจะทำให้คุณพึงพอใจ และมีความสุข แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรทำสิ่งต่างๆอย่างสุดโต่งจนเกินไป เพราะนั่นจะทำให้คุณหมดสนุกและอาจทำให้คุณเครียดอีกด้วย ดังนั้น จงทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเหมาะสมไม่มากหรือน้อยจนเกินไป กล่าวคือ การเดินทางสายกลางเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

9) อย่าระบายความโกรธให้ผู้อื่น

แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากจะมีหน้าตาบูดบึ้ง หรือเป็นคนอารมณ์ร้าย ดังนั้น เมื่อคุณรู้สึกโกรธหรือโมโหสิ่งใดก็ตาม อย่าระบายอารมณ์ของคุณกับผู้อื่น เพราะมันจะทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบไปด้วย ความโกรธเปรียบเสมือนวงล้อแห่งไฟ และเมื่อคุณผลักวงล้อนี้ไปยังผู้อื่น มันจะเผาผลาญและแสดงพลังต่อผู้ที่อยู่รอบข้าง เพราะฉะนั้น หากคุณเริ่มหงุดหงิด ให้พยายามเบี่ยงเบนอารมณ์และระงับความรู้สึกนั้น โดยการคิดถึงสิ่งดีดป ๆ คุณอาจเดินออกไปข้างนอกเพื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ตึงเครียดนั้น สูดลมหายใจลึกๆ จนกระทั่งความโกรธนั้นหายไป

10) ลดการรับสื่อที่ไม่มีประโยชน์

สังคมทุกวันนี้เต็มไปด้วยสื่อมากมายหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น รายการทางโทรทัศน์ออกอากาศละครที่มีเนื้อหาไม่สร้างสรรค คลื่นวิทยุมักเปิดเพลงที่มีเนื้อหาด้านลบ เช่น เพลงอกหัก หลงรักคนมีเจ้าของ หรือเพลงที่มีเนื้อหาล่อแหลม สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจของคุณหม่นหมองและเป็นการยั่วยุให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบอีกด้วย ดังนั้นเพื่อให้จิตใจของคุณมองโลกในแง่บวก คุณควรเลือกรับข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์และไม่ควรติดตามหรือเสียเวลากับสื่อที่ไม่มีประโยชน์

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://expandedconsciousness.com/2015/08/09/10-tools-to-live-a-happy-life/)

30 เรื่องจิ๋วแต่แจ๋ว ทำแล้วสุขสุดๆ

little-things-you-can-every-day-refresh-your-life

เชื่อว่าทุกคนเกิดมาคงเคยมีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น บางคนทุกข์เนื่องจากกังวลว่าตนเองจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ หรือประสบความสำเร็จมากพอหรือยัง บางคนมักเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นๆและมักรู้สึกว่าตนเองไม่ดีพอหรือมีสิ่งที่ขาดหายไปบางคนเป็นพวกมองโลกในแง่ร้าย เจ้าคิดเจ้าแค้น เห็นแก่ตัว เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเรามีจิตใจโศกเศร้า หม่นหมอง หรือเกิดความทุกข์นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม จงอย่าลืมว่าชีวิตคนเราสั้นนัก อย่ามัวเสียเวลากับเรื่องที่ทำให้เราไม่สบายใจ เราควรใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่าและทำให้ตนเองมีความสุขมากที่สุดบทความนี้เปิดเผยเรื่องราวง่ายๆในชีวิตประจำวันที่คุณสามารถทำได้เพื่อเติมความสุขให้กับชีวิตของคุณ

1) ทำสิ่งที่คุณชอบทำตอนเด็กๆ เช่น นั่งชิงช้า เล่นเกม หรืออ่านหนังสือการ์ตูน คุณจะรู้สึกเพลิดเพลินกับกิจกรรมที่ไม่ได้ทำมานาน และนั่นจะทำให้คุณยิ้มได้

2) ฟังเพลงอัลบั้มโปรดสมัยที่คุณยังวัยรุ่น และหวนรำลึกถึงช่วงเวลา ณ ตอนนั้น สิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกเบิกบานใจและกระชุ่มกระชวย

3) เดินเตร็ดเตร่ยามเย็นในสถานที่ร่มรื่น เช่น อุทยาน หรือ สวนสาธารณะ คุณจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ และรู้สึกสดชื่นมากยิ่งขึ้น

4) หากคุณมีโอกาส ลองเต้นหรือทำท่าทางแปลกประหลาด คุณอาจทำในครัว ริมถนน หรือในห้องน้ำ และเมื่อคุณได้ปลดปล่อย คุณจะอารมณ์ดีขึ้น

5) เดินสำรวจสถานที่ต่างๆในละแวกที่คุณพักอาศัยคุณอาจลองเข้าไปซื้อของในร้านใหม่ๆ หรือลองทานอาหารเมนูใหม่ๆ สิ่งนี้จะทำให้คุณพบกับประสบการณ์ใหม่ๆ และคุณอาจจะพบสิ่งที่คุณกำลังตามหาก็ได้

6) ชงเครื่องดื่มร้อนๆถ้วยโปรด เช่น ชา โกโก้ หรือช็อคโกแล็ตและนั่งจิบมันอย่างช้าๆบนโซฟา แค่นี้คุณก็จะรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจแล้ว

7) ลองเล่นโยคะหรือออกกำลังกายเบาๆ เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกดีและกระฉับกระเฉงมากขึ้น

8) ฟังเพลงโปรดพร้อมๆกับจุดเทียนหอมในห้องนอนของคุณ เมื่อประสาทสัมผัสทางการได้ยินและได้กลิ่นทำงาน คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย

9) เขียนสิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณ 3 สิ่งในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อย เช่น ขนมชิ้นเล็กๆที่ทำให้คุณอิ่มท้อง ไปจนถึงบุคคลที่คุณรักเช่นเพื่อนหรือครอบครัว

10) ทำสิ่งที่คุณรักและมีความสำคัญกับคุณ เช่น การเขียนหนังสือ การเล่นดนตรี การปลูกต้นไม้ หรือการทำงานฝีมือ เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้คุณได้พักผ่อนหย่อนใจ และช่วยให้คุณมีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น

11) ร้องเพลงที่คุณชอบ เพราะคุณจะรู้สึกผ่อนคลายและได้ปลดปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลง

12) ลองรับประทานอาหารเช้าบนเตียงสักครั้ง อย่าลืมว่าต้องเป็นอาหารที่มีประโยชน์และรสชาติอร่อย สิ่งนี้ช่วยให้คุณเริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างสดใส

13) ลองปลูกต้นไม้ หรือดอกไม้บ้าง เพราะมันจะช่วยให้คุณใจเย็นลง แต่หากบ้านของคุณไม่มีสวน คุณอาจลองเลี้ยงต้นไม้ที่ปลูกในร่มได้

14) ทำอาหารจานโปรดทานเอง โดยใส่ใจกับขั้นตอนการปรุงและการรับประทานอาหาร ซึ่งคุณจะพบว่าอาหารช่วยให้คุณผ่อนคลาย และอารมณ์ดีขึ้นได้

15) เยี่ยมชมสถานที่สาธารณะบริเวณใกล้ๆชุมชนที่คุณอาศัยอยู่ เช่น พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด หรือสวนสาธารณะ สถานที่เหล่านี้จะทำให้คุณพบกับประสบการณ์แปลกใหม่

16) หากคุณมีสัตว์เลี้ยง จงให้เวลากับมัน โดยการกอดมัน พามันไปเดินเล่น หรืออาบน้ำให้มัน

17) การวาดภาพ หรือระบายสีสามารถช่วยให้คุณผ่อนคลายและทำให้คุณเกิดจินตนาการใหม่ๆได้ แต่หากคุณไม่มีเวลามากนัก เพียงแค่สเก๊ตช์ภาพเร็วๆก็ได้

18) ในตอนต้นสัปดาห์ คุณอาจทำของว่างที่อร่อยและมีประโยชน์ เช่นขนมปังธัญพืช เพื่อที่ตลอดทั้งสัปดาห์คุณจะมีของทานเล่นที่สามารถรองท้องและทานได้ในทันที

19) ใช้เวลากับเพื่อนหรือคนที่คุณรัก โดยการทานข้าวร่วมกัน ดูโทรทัศน์ร่วมกัน หรือฟังเพลงร่วมกัน สิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

20) เริ่มอ่านหนังสือเล่มใหม่ที่คุณยังไม่เคยอ่าน และคุณจะพบเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย

21) เมื่อคุณมีโอกาส ลองกล่าวชื่นชมและขอบคุณเพื่อนหรือผู้ร่วมงานของคุณ แน่นอนว่าพวกเขาจะรู้สึกดีเมื่อได้รับคำชม และนี่เป็นวิธีการเผื่อแผ่ความสุขให้กับคนรอบข้างอีกทางหนึ่ง

22) หากคุณตื่นขึ้นมาและพบว่าเป็นวันที่อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส และปลอดโปร่ง คุณควรออกไปทานข้าวนอกบ้าน เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศดีๆเหล่านั้น

23) ทำขนมที่คุณชอบและแบ่งให้กับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนๆ เพราะ “การให้” จะทำให้คุณรู้สึกดี สบายใจ และมีความสุข

24) ผ่อนคลายตัวเองด้วยการหมักผม มาสก์หน้า หรือนวดน้ำมัน กิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจเหล่านี้ทำให้คุณมีความสุขได้เช่นกัน

25) ทำงานอดิเรกที่ช่วยพัฒนาให้คุณมีทักษะใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ เช่น การเย็บปักถักร้อย การปลูกต้นไม้ การเล่นดนตรี เป็นต้น

26) ในช่วงเวลาของการอาบน้ำ คุณอาจจะตีฟองนุ่มๆและจุดเทียนหอมเพื่อการผ่อนคลาย

27) ลองยิ้มให้กับคนแปลกหน้าที่คุณพบเจอตามถนน แล้วคุณจะพบว่ามิตรภาพดีๆสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

28) การสัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติ เช่น การชมพระอาทิตย์ขึ้น หรือชมพระอาทิตย์ตกสามารถสร้างความสุขและความประทับใจให้คุณไม่รู้ลืม

29) ชมภาพยนตร์สนุกๆหรือตลกๆที่ทำให้คุณยิ้มได้ วิธีการนี้ช่วยให้คุณได้ปลดปล่อยความเครียดที่สะสมมานาน

30) ติดต่อกับคนที่คุณไม่ได้ติดต่อมานาน เช่น เพื่อนสมัยมัธยม หรือเพื่อนร่วมงานที่เก่า แล้วคุณจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://www.lifehack.org/309278/little-things-you-can-every-day-refresh-your-life)

4 นิสัยสร้างสุขที่คุณทำได้ ง่ายกว่าที่คิด

“ความสุขไม่ใช่สิ่งสำเร็จรูป แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากการกระทำของเราเอง” – องค์ดาไล ลามะ

คุณไม่สามารถมีความสุขได้ตลอดเวลา แต่คุณสามารถที่จะเรียนรู้การมีความสุขผ่านช่วงเวลาที่ดีและร้ายในชีวิต มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณไม่มีความสุขเพราะเจ้านายคุณงี่เง่า แฟนคุณไม่ได้ดั่งใจ หรือเพื่อนคุณพูดอะไรขัดหู แต่ทั้งหมดนั้นมันมาจากตัวคุณเอง คุณไม่มีความสุขกับงาน คุณไม่มีความสุขกับเรื่องต่างๆ เพราะตัวคุณ และใจคุณเองเป็นคนกำหนด

ความสุขของคุณอาจไม่ใช่ความสุขของคนอื่น หรือความสุขของคนอื่นอาจเป็นความทุกข์ของคุณ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่ต้องมีปฎิสัมพันธ์กัน คุณไม่สามารอยู่คนเดียวได้โดยไม่พึ่งพาคนอื่น ด้วยสังคม อาชีพ หน้าที่การงาน และความรับผิดชอบ อาจทำให้คุณและคนรอบตัวคุณเกิดผิดใจกัน หรือ ทำให้เกิดความสุขน้อยลง จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง และจุดแตกหักภายหลัง เราไม่สามารถควบคุมความสุขจากสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ แต่เราสามารถควบคุมตัวเราเอง โดยการสร้างพฤติกรรมที่ทำให้เรามีความสุขจำภายในได้

พฤติกรรมที่ทำให้คุณมีความสุข

คุณสามารถมีความสุขจากสิ่งเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันของคุณได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณมองข้าม และคุณไม่จำเป็นต้องใช้เงินฟุ่มเฟือย หรือ ใช้แรงกายมากมายในการสร้างความสุขเหล่านั้นให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคุณ

1.เขียน 3 สิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขในแต่ละวัน

คุณอาจเริ่มการจดบันทึก หรือ เขียนสิ่งที่ทำให้คุณยิ้ม หัวเราะ หรือมีความสุขในวันนี้ คุณแค่ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง และทบทวนว่าวันนี้คุณทำอะไรบ้าง สิ่งไหนที่ทำให้คุณรู้สึกดี และสิ่งไหนที่คุณไม่ชอบ ทำให้คุณอึดอัด กังวล หรือคิดมาก คุณจะค้นพบตัวเองว่าคุณชอบทำอะไร และอะไรคือสิ่งที่สร้างความสุขให้คุณในแต่ละวัน มันไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้คุณยิ้มได้ มันอาจเป็นอะไรเล็กๆน้อยๆ ระหว่างวันก็ได้ ขอเพียงแค่คุณรู้สึกดีกับมันก็พอ

2.ช่วยเหลือผู้อื่น

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณนึกถึงแต่ตัวเอง ทำทุกอย่างทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง หรือเอาความต้องการของตัวเองเป็นหลัก เมื่อนั้นคือคุณกำลังเป็นคนที่ไม่มีความสุข เพราะคุณมองแค่มุมเดียวจากตัวเอง อะไรที่ไม่ได้ดังใจ หรือขัดใจ จะทำให้คุณมีอารมณ์ขุ่นมัว และรู้สึกหงุดหงิด แต่ถ้าคุณลองเปิดใจ ลองมองโลกในมุมของคนอื่น คุณจะเห็นความทุกข์ของคนอื่น และรู้ดีว่าคุณโชคดีกว่าพวกเขามากแค่ไหน คุณสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้ เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น การให้โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน และเห็นคนที่คุณช่วยเหลือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากการช่วยเหลือของคุณ คุณจะรู้สึกอิ่มเอม ตื้นตัน และมันเป็นความสุขที่ไม่สามารถซื้อได้

3.ทำสมาธิ

การทำสมาธิ คือพื้นฐานที่จำเป็นของชีวิต และคุณควรฝึกเป็นนิสัย การทำสมาธินอกจากทำให้จิตใจคุณสงบ รู้สึกผ่อนคลาย มันยังเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คุณได้อยู่กับความคิด และอยู่กับตัวเองจริงๆ ทำให้คุณมีสติรับรู้ ตกผลึกทางความคิดมากขึ้น การทำสมาธิทำให้คุณใช้ชีวิตและให้ความสำคัญกับคำว่าปัจจุบัน เพราะความทุกข์ที่เกิดส่วนใหญ่ในใจคุณมักมาจากการที่ไม่สามารถลืมอดีตอันเจ็บปวด หรือการกังวลไปกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง การทำสมาธิจะทำให้คุณลดความกังวลและอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น การทำสมาธิสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา และไม่มีค่าใช้จ่ายต้นทุนใดๆ นอกจากต้นทุนเวลา คุณสามารถฝึกสมาธิแค่เพียง 2 นาทีต่อวัน เพียงแค่คุณสังเกตและพิจารณาลมหายใจเข้าออก คุณก็จะรับรู้ถึงความสงบสุขในใจได้

4.ออกกำลังกาย

ทุกคนรู้ว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งดี แต่การออกกำลังกายไม่ได้ทำให้ร่างกายคุณกระปรี้กระเปร่าเท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจคุณปลอดโปร่งอีกด้วย การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายของคุณหลั่งฮอร์โมนซึ่งเป็นสารความสุข ทำให้คุณรู้สึกมีความสุขมากขึ้น ถ้าคุณไม่ได้ออกกำลังกายเป็นนิสัย คุณสามารถเริ่มจากการออกกำลังกายเบาๆก่อนก็ได้ เพื่อให้ร่างกายคุณเริ่มชินและให้เวลากับคุณในการปรับตัว ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องออกกำลังกายเป็นชั่วโมง คุณสามารถแบ่งเวลาการออกกำลังกายได้แค่ 5-10 นาที ที่บ้าน ถึงแม้ว่าคุณจะยุ่งมากแค่ไหน แต่คุณก็ควรจัดตารางเพื่อการออกกำลังกายนี้ เพียงแค่ไม่กี่นาทีต่อวัน กับกิจกรรมที่ทำให้คุณแข็งแรงขึ้นและมีความสุขขึ้น

มีกิจกรรมอีกหลายอย่างที่เพิ่มพูนความสุขของคุณในแต่ละวัน เช่น การกินอาหารที่อร่อย การดื่มชา การเล่นโยคะ การพบปะสังสรรค์กับเพื่อนเก่า อะไรที่ทำให้คุณมีความสุขและสนุกกับสิ่งนั้น จงทำมันบ่อยๆ แต่ถ้าอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกกังวล จงถอยออกห่าง

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือ การเพิ่มความสุขให้กับชีวิตเล็กๆน้อยๆ มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ใช้เงินมหาศาล ใช้เวลามาก หรือทำให้คุณเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิต คุณสามารถเริ่มได้จากสิ่งเล็กๆ แต่ทำมันอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเต็มใจ และคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิต

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

http://zenhabits.net/brighten/

5 สิ่งที่คนมีความสุขไม่เคยลืม

เมื่อคุณมองไปรอบๆตัว และสังเกตเห็นผู้คนที่กำลังยิ้มแย้มและหัวเราะ คุณคิดอิจฉาว่าทุกสิ่งทุกอย่างดูจะเป็นใจไปกับพวกเขาซะหมด

ในขณะเดียวกัน คุณรู้สึกว่าตนเองกำลังต่อสู้ดิ้นรนกับสิ่งต่างๆในชีวิต และกว่าที่ผ่านพ้นไปในแต่ละวันมันช่างยากลำบากซะเหลือเกิน คุณเฝ้าบอกกับตัวเองว่าคนอื่นๆ ไม่ได้มีความสุขจริงๆ และสิ่งที่คุณเห็นมันเป็นแค่ภาพลวงตา หากคุณกำลังคิดเช่นนี้ คุณกำลังทำลายความสุขของตัวเอง และไม่น่าแปลกใจที่คนอื่นๆจะมีความสุขมากกว่าคุณ

ดังนั้น เพื่อแสวงหาความสุขและดึงตัวเองให้ขึ้นมาจากความทุกข์ คุณควรอ่านบทความนี้ เพราะบทความนี้เปิดเผยสิ่งที่คนที่มีความสุขปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาไม่เคยลืมทำ 5 สิ่งเหล่านี้เลย และเมื่อคุณอ่านจบ คุณจะพบว่าความสุขเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราและหาได้ไม่ยาก

1.ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

คนที่มีความสุขมักยินดีและเห็นคุณค่าในความสำเร็จของผู้อื่น พวกเขาไม่อิจฉาริษยา หรือแก่งแย่งชิงดีกับใคร

ในทางตรงกันข้าม คนที่มีความทุกข์มักเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นตลอดเวลา พวกเขาคอยจับจ้องความสำเร็จของผู้อื่น และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งนั้นเช่นกัน ดังนั้น หากคุณต้องการมีความสุข ให้คุณตั้งเป้าหมายในชีวิตของคุณเอง และใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุความสำเร็จนั้น คุณควรแข่งขันกับตัวเอง อย่าแข่งขันกับคนอื่น

นอกจากนี้ หากคุณเผชิญกับปัญหาที่อาจทำให้คุณล้มลุกคลุกคลาน ให้ถือว่าอุปสรรคนั้นเป็นบทเรียนที่ล้ำค่า จงเข้มแข็งและอย่ายอมแพ้ คุณควรปรับปรุงและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และท้ายที่สุด คุณจะพบว่าคุณสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์เหล่านั้น และกลายเป็นคนที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีความสุข

2.เลือกที่จะมีความสุข

เราทุกคนล้วนมีปัญหาในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องครอบครัว เงินตรา ความรัก การงาน เป็นต้น แต่ความแตกต่างระหว่างคนที่มีความสุขกับคนที่ไม่มีความสุข คือ ทัศนคติ หรือมุมมองในการใช้ชีวิต

ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีความสุข คือ คนที่มองโลกในแง่ดี พวกเขาเพลิดเพลินไปกับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆก็ตาม นอกจากนี้ พวกเขามีความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีหรือสิ่งที่ตนเองเป็น ดังนั้น พวกเขาสามารถหาความสุขได้จากสิ่งที่เรียบง่าย และมีชีวิตที่ราบรื่น

อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ ก็คือ การนิยามความสุขด้วยตัวคุณเอง คุณเป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถบอกได้ว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น หากคุณรู้สึกมีความสุขกับการทำงานอดิเรกอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จงทำมัน และใช้เวลากับมันให้เต็มที่ ดังนั้น จงอย่าปล่อยให้คนอื่นกำหนดหรือบงการชีวิตของคุณ เพราะนั่นจะทำให้คุณไม่มีความสุขที่แท้จริง

3.ลืมอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว

คนที่มีความสุข คือ คนที่สามารถจัดการกับความทรงจำอันโหดร้ายในชีวิตได้ พวกเขาเลือกที่จะไม่จมอยู่กับความทุกข์เหล่านั้น ทั้งยังนำเอาประสบการณ์ที่เคยผิดพลาดมาเป็นบทเรียน และผลักดันให้ชีวิตของตนก้าวไปข้างหน้า

หากคุณต้องการมีความสุข จงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ยึดติดกับอดีตหรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง กล่าวคือ อย่าปล่อยให้ความทุกข์ในอดีตส่งผลต่อความสุขในปัจจุบันของคุณ พยายามลืมความทุกข์ที่ทำให้คุณรู้สึกขมขื่น และใช้เวลาในปัจจุบันให้มีคุณค่าและมีความสุข

4.อยู่ท่ามกลางคนที่ทำให้รู้สึกดีและมีความสุข

สุภาษิตไทยที่ว่า “เข้าฝูงหงส์เป็นหงส์ เข้าฝูงกาเป็นกา” นั้น มีหมายความว่าหากเราเข้าไปอยู่ในหมู่คนดี หรือคบเพื่อนดี ก็จะเป็นศรีแก่ตัว แต่หากเราอยู่ในหมู่คนชั่ว เราก็จะพลอยเดือดร้อนหรือกลายเป็นคนชั่วไปด้วย

ดังนั้น หากคุณต้องการมีความสุข คุณก็ควรอยู่ท่ามกลางคนที่ทำให้คุณรู้สึกดีและมีความสุข การใช้เวลาอยู่กับคนที่บั่นทอนกำลังใจ และไม่สนับสนุนความพยายามของคุณ จะทำให้คุณรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง คุณควรเดินออกมาจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้น และหากคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การอยู่ลำพังอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการอยู่ร่วมกับคนที่ทำให้คุณมีความคิดเชิงลบ

คุณอาจกลัวกับการอยู่คนเดียว แต่จงจำไว้ว่าการอยู่เพียงลำพัง ไม่ได้หมายถึง ความโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่การอยู่กับตัวเองเป็นเวลาที่ดีที่คุณจะได้รู้จักตนเอง และหาทางปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองโดยไม่มีอิทธิพลหรือความคิดของผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง

5.ยอมรับความจริง

บางครั้งความจริงในชีวิตอาจเป็นสิ่งที่น่ากลัว หรือทำให้เราเจ็บปวด แต่ความจริง ก็คือความจริง คุณไม่มีทางหลีกหนีไปได้ และคนที่มีความสุข คือ คนที่รู้จักยอมรับและใช้ชีวิตอยู่กับความจริงอย่างมีความสุข

ในทางตรงกันข้าม คนที่มีความทุกข์ มักหลีกหนีจากความจริง ชอบการโกหกหลอกลวง ปกปิดซ่อนเร้นอยู่ตลอดเวลา พวกเขาเหล่านี้มีแต่ความกังวลใจ และกลัวว่าผู้อื่นจะรู้ความจริงของตนเอง การยอมรับความจริงในช่วงแรกอาจทำให้คุณรู้สึกทุกข์ เดือดเนื้อร้อนใจ แต่สิ่งนี้จะทำให้คุณเห็นสัจธรรมของชีวิต หรือเตือนใจให้เราไม่ประมาทในสิ่งต่างๆที่รออยู่ข้างหน้า อีกทั้ง ยังฝึกใจเราให้เข้มแข็ง อดทน และมีสติมากขึ้น  

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

Source: http://www.pickthebrain.com/blog/5-things-happy-people-never-forget/

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save