5 บทเรียนชีวิต ที่เด็กๆสอนเรา

5lessonfromchild

เชื่อว่าชีวิตของหลายๆคน เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเพราะมีลูก ไม่ใช่เพียงเรื่องภาระความรับผิดชอบ แต่เป็นสภาวะจิตใจด้านในด้วย บทบาทหน้าที่ของการเป็นพ่อแม่ จะทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตทางจิตวิญญาณ กลายเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มที่

อย่าคิดว่าการเป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่สอนลูกเพียงฝ่ายเดียว มีหลายสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากลูกๆได้ และมันจะทำให้เราเติบโตไปอีกขั้น อาจตกผลึกจนกระทั่งแก้ปัญหาบางอย่างในชีวิตได้

ส่วนคนที่ไม่มีลูก ก็สามารถเรียนรู้จากหลานๆและเด็กเล็กๆได้เช่นกัน มาดูกันว่า พวกเค้าจะสอนบทเรียนอะไรให้เราได้บ้าง

 

 ถึงผู้ใหญ่ทุกคน…

เด็กน้อย คือดวงวิญญาณอันเก่าแก่ ในร่างเล็กๆ

เค้าเกิดมาเพื่อเติบโต และใช้ชีวิตในแนวทางของตัวเอง

เค้ามาจากเรา แต่ไม่ได้เป็นของเรา

เราได้เรียนรู้และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ได้ ก็เพราะเค้านั่นเอง

1.แค่ได้เล่น ก็มีความสุข

เด็กๆเกิดมาพร้อมกับความสดใสร่าเริง เค้าไม่ต้องพยายามเอาใจใคร เพียงแต่เป็นตัวเอง รอยยิ้มของเค้ามันเปล่งประกายจนทำให้ผู้คนรอบตัวรู้สึกมีความสุขไปด้วย เด็กๆทุกคนหัวเราะง่าย ยิ้มเก่ง แค่ได้เล่นก็มีความสุขง่ายๆ เห็นชีวิตเป็นเรื่องสนุก เด็กๆไม่เคยกลัวแพ้ พอล้มแล้วก็รีบลุกไปเล่นต่อ มีพลังขับเคลื่อนในตัวเองตลอดเวลา

แน่นอนว่า ผู้ใหญ่มีภาระและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ  แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่ควรจะเลิกเล่นสนุก เด็กๆสอนเราว่า จงออกแบบชีวิตใหม่ เปลี่ยนชีวิตให้เป็นเกมและการเล่นสนุก ไม่เคยคาดหวังว่าจะชนะ ขอแค่ให้ได้เล่นก็มีความสุข

…………………

2.ทุกอย่างเริ่มที่จินตนาการ

เด็กๆต่างมีพรสวรรค์ในการจินตนาการที่ล้ำเลิศ หากผู้ใหญ่ไม่คอยห้าม สอนสั่งและหยุดยั้ง เค้าจะไม่มีข้อจำกัดในการผลิตไอเดียและความคิดสร้างสรรค์เลย เด็กๆไม่ต้องการของเล่นแพงๆ ขอมีเพียงดินทราย ก้อนหิน ท่อนไม้ ก็จะเสกให้กลายเป็น ปราสาท มังกร เครื่องบิน ยานอวกาศ ใช้จินตนาการขับเคลื่อนมันไปมา มีครบหมดทั้งภาพ แสง สี เสียงและอารมณ์ นั่นทำให้ชีวิตของเค้ามีสีสันและความเป็นไปได้ที่ไม่มีขีดจำกัด

แม้กฎระเบียบเป็นสิ่งที่ต้องยึดถึอและปฏิบัติ แต่เด็กๆสอนเราว่า ชีวิตไม่ควรขาดจินตนาการ เพราะมันจะสร้างโอกาสใหม่ๆเพื่อขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้าได้เสมอ ชีวิตจะเป็นไปเท่าที่เราขีดกรอบไว้ ไม่มากไปกว่านั้น ดังนั้นจินตนาการของเรา จึงเป็นสิ่งที่กำหนดขอบเขตการเติบโตและความเป็นไปได้ในชีวิตเราเอง

………………..

3.อย่าหยุดตั้งคำถาม

สำหรับเด็กๆแล้ว ชีวิตคือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ เค้าจะตื่นเต้นกับทุกสิ่ง เค้าช่างสังเกตและตั้งคำถามไม่หยุดหย่อน มันอาจดูน่ารำคาญ แต่แท้จริงแล้ว คำถามทำให้ชีวิตขับเคลื่อนต่อไปในทางที่พัฒนาและแตกต่างไปจากเดิม ชีวิตที่หยุดเรียนรู้ เหมือนต้นไม้ที่หยุดโตและกำลังจะตายลง หากติดอยู่กับความคุ้นชินเดิมๆ เท่ากับตายไปแล้วทางจิตวิญญาณ

แม้จะคิดว่าตัวเองรู้ดีในเรื่องนั้นแล้วก็ตาม เด็กๆสอนเราว่า อย่าหยุดตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว จงใช้ชีวิตด้วยการค้นคว้าทดลอง ออกเดินทางไปพบกับความตื่นเต้นสดใหม่ อย่าหยุดเรียนรู้และอย่าพอใจกับคำตอบเดิมๆ

……………………..

4.ต้องการอะไร จะทำให้ได้

เด็กๆมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า หากเค้าต้องการอะไรแล้ว จะมีวิธีสารพัดที่จะทำเพื่อจะได้มา ถ้าทำเองได้จะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่ถ้าต้องพึ่งพาคนอื่น เค้าจะขอตรงๆอย่างไม่เขินอายหรือเกรงใจ แต่ถ้าไม่ได้ผล เค้าจะหาวิธีอื่นๆสารพัด งัดกลยุทธ์ออกมาใช้ทุกอย่าง ทั้งออดอ้อนออเซาะ ขอร้องไปจนถึงร้องไห้ หรือไม่ก็โวยวายชักดิ้นชักงอ แต่เหนือสิ่งอื่นใด หากเป็นสิ่งที่ต้องการจริงๆ พวกเค้าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ถ้ายังไม่ได้วันนี้ วันหลังจะมาใหม่ ไม่ลืมง่ายๆแน่นอน

ผู้ใหญ่หลายคนใช้ชีวิตมาหลายสิบปี โดยละเลยความต้องการลึกๆของตัวเอง ส่วนบางคนก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรเด็กๆสอนให้เรารู้ว่า มันสำคัญมากที่เราต้องชัดเจนถึงความต้องการที่แท้จริงของตนเองก่อน และขอให้มุ่งมั่นและมีพันธะสัญญากับสิ่งนั้น หากลองทำแล้วไม่เวิร์ค อย่ายอมจำนน มันต้องมีวิธีอื่นๆที่จะทำให้ได้ผล ตราบใดที่เราไม่ย่อท้อและหยุดเสียกลางคัน สักวันจะต้องสำเร็จแน่นอน

………………..

5.มิตรภาพสำคัญที่สุด

ในทุกวันที่เด็กๆออกไปวิ่งเล่น บางทีก็ร้องไห้กลับมา เพราะอาจถูกเพื่อนรังแก แต่ถ้าผู้ใหญ่ไม่รีบตีโพยตีพาย เร่งด่วนเข้าไปจัดการ เด็กจะมีวิธีการในการปรับตัวของเค้าเอง พอหายเจ็บแล้วเค้าก็ให้อภัยอีกฝ่ายได้ง่ายๆ และพร้อมจะเริ่มใหม่เสมอ เพราะเค้ารู้ว่าถ้าอยากจะเล่นกันอีก มิตรภาพสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

แน่นอนว่าการใช้ชีวิตครอบครัวและการทำงานร่วมกัน ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป อาจมีการกระทบกระทั่งกัน บางครั้งก็รุนแรงจนมีคนร้องไห้ เด็กๆสอนว่า อย่าไปยึดติดว่าใครถูกใครผิด หากเรายังมองเห็นว่าคนๆนี้สำคัญกับชีวิตเรา ความรักและมิตรภาพสำคัญกว่าเสมอ การให้อภัยไม่ใช่สัญลักษณ์ของความอ่อนแอ ในทางตรงกันข้าม มันคือความกล้าหาญที่จะบอกว่า “ฉันรักเธอนะ เรามาเริ่มใหม่กันเถอะ”

ถึงคุณผู้อ่าน….

ตัวเราเอง ก็คือเด็กน้อยคนนั้นด้วย

กว่าที่จะเติบโตมา เราได้เรียนรู้สิ่งที่ควรและไม่ควร จนมีข้อจำกัดมากมาย

แต่การเป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้หมายความว่า จำเป็นจะต้องทิ้งความเป็นเด็กไป

แล้วละทิ้งความสนุก ความฝัน ความต้องการ และจินตนาการในตัวเองไปด้วย

ความเป็นเด็กน้อยในตัว จะทำให้ชีวิตของเราสดใส มีชีวิตชีวา และมีความสุขอยู่เสมอ

หากอยากนำพาความเป็นเด็กน้อยกลับมาอีกครั้ง
ลองไปเล่นสนุกคลุกคลีกับพวกเค้าดู
เชื่อว่ายังมีบทเรียนอีกหลายข้อ ที่เราสามารถเรียนรู้จากเด็กๆได้
คุณค้นพบข้อใดเพิ่มเติมอีกไหม กรุณาแชร์ในคอมเม้นท์ด้านล่างนะครับ

บทความโดย เรือรบ

5 ทักษะ ที่เพิ่มระดับความสุขของคุณ

5skillofhappiness

ความสุข หากแบ่งจากที่มาของมัน จะเห็นว่ามีอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรก ความสุขภายนอก คือการได้รับสิ่งที่พอใจ และหลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่ชอบใจ การได้ มี หรือเป็น ในสิ่งที่เราปรารถนาหรือคาดหวังไว้

ความสุขประเภทที่สอง ความสุขภายใน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องพึ่งพิงวัตถุ ไม่ต้องคาดหวัง ไม่ต้องผิดหวัง และเราสามารถสร้างมันได้ด้วยตัวของเราเองทุกเมื่อที่ต้องการ

ความสุขจากภายในนี้ เป็น “ทักษะ” ที่ต้องอาศัยการฝึกและปฏิบัติให้เป็นนิสัย ต่อไปนี้เป็น “5 ทักษะ ที่จะเพิ่มระดับความสุขของคุณ”

1. ความดื่มด่ำ

ความดื่มด่ำนั้นเป็นวิธีที่ง่ายและเร็ว ในการเพิ่มอารมณ์ด้านบวก ลดความเครียดและอารมณ์ทางด้านลบ การฝึกที่จะสังเกตและรับรู้สิ่งดีๆรอบๆตัว และใช้เวลามากขึ้นที่จะอยู่กับมัน สุขใจเต็มเปี่ยมกับชั่วขณะนั้นๆ ทำให้ประสบการณ์ของความพึงพอใจนั้นยาวนานขึ้นเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้นการฝึกก็คือ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมมื้ออาหาร การชื่นชมดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า การพูดคุยสนุกสนานกับเพื่อนๆ ในทุกกิจกรรมเราก็แค่ อยู่ตรงนั้น ดื่มด่ำกับมัน ในที่สุดเราก็จะทำได้จนเป็นนิสัย

งานวิจัยของ ดร.เฟรด ไบรอัน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยชิคาโก ได้แสดงว่า ผู้ที่รู้จักใช้ความดื่มด่ำเป็นประจำและอย่างสม่ำเสมอ จะมีความสุขมากขึ้น มีมุมมองด้านบวก พึงพอใจกับชีวิต ซึ่งความดื่มด่ำนั้นแบ่งได้เป็น 3 ห้วงขณะ นั่นคือ เราสามารถดื่มด่ำกับอดีตด้วยความคิดคำนึง ดื่มด่ำกับอนาคตด้วยจินตนาการด้านบวก ดื่มด่ำกับปัจจุบันด้วยการเจริญสตินั่นเอง


2. การขอบคุณ

การกระทำพื้นๆอย่าง การมองเห็นและชื่นชมในสิ่งที่ผู้อื่นทำให้แก่เรา นั้นเหมือนยาขนานเอก มันทำให้ราเติมเต็มไปด้วยอารมณ์บวกและความมั่นใจ เมื่อรู้ว่าคนเหล่านั้นอยู่เพื่อเรา และสนับสนุนในสิ่งที่เราต้องการ และมันทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เมื่อเราได้แสดงความขอบคุณไปสู่ใคร เราก็จะได้ความรู้สึกดีและคำขอบคุณตอบกลับมา การศึกษาโดย ดร.มาร์ติน เซลิคแมน ระบุว่าผู้ที่ได้เขียนจดหมายระลึกคุณไปให้คนที่เค้าไม่เคยมีโอกาสได้กล่าวคำขอบคุณมาก่อน จะทำให้เกิดความสุขเพิ่มขึ้นในทันที และลดอาการของความซึมเศร้าลงได้

ดร. บ็อบ เอ็มมอน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้ทำการศึกษาวิจัยในเรื่องของการระลึกคุณ และแนะนำว่า ทุกๆคนควรที่จะฝึกที่จะระลึกคุณ เพราะจะได้ประโยชน์มหาศาล ประการแรก เพิ่มระดับความสุขขึ้นทันที 25% ประการที่สอง มันไม่ยากเลยที่จะทำ เช่น การเขียนบันทึกเพื่อระลึกคุณไปสัก 3 สัปดาห์ ก็จะสร้างผลกระทบทางบวกไปได้ยาวถึง 6 เดือนเลยทีเดียว ประการที่ 3 การเพาะบ่มจิตใจแห่งการระลึกคุณ จะทำให้สุขภาพดีขึ้น เช่น สามารถนอนหลับได้ยาวขึ้นและหลับได้ลึกขึ้น


3. ความมุ่งมั่น

ความมุ่งมั่น ก็คือความรู้สึกมีหวัง มีเป้าหมาย มีมุมมองด้านบวกกับตนเอง ได้มีการศึกษาวิจัยกันอย่างแพร่หลายว่า ผู้ที่สร้างสิ่งที่มีความหายในชีวิตจะมีความสุขกว่า และมีความพึงพอใจมากกว่ากับชีวิต คุณก็สามารถที่จะรู้สึกอยากฟันฝ่าไปสู่อนาคตด้วยศักยภาพที่มี ใครบ้างจะไม่อยากรู้สึกเช่นนี้ การมีมุมมองด้านบวกนั้นก็สำคัญ มันจะทำให้เป้าหมายของคุณเป็นไปได้และความท้าทายทั้งหลายก็ดูจะง่ายขึ้นที่จะก้าวผ่านไป ด้วยเหตุนี้ คุณจะไม่เพียงรู้สึกถึงความสำเร็จ แต่คุณจะสำเร็จได้มากขึ้นแน่นอน

ระดับของความหวัง จะแปรผันทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น การใช้จุดแข็งในชีวิตประจำวัน จะทำให้เกิดความภาคภูมิใจ และมีความกระตือรือร้น หากเชื่อว่าเป้าหมายนั้นไปถึงได้แน่นอน นั่นย่อมจะทำให้รู้สึกถึง จุดมุ่งหมาย และความหมายของชีวิต ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของความสุข


4. การให้

การให้อะไรก็ตามนั้นง่ายสุดๆ และเห็นได้ชัดว่า เมื่อเราให้บางอย่างกับใคร เรากำลังทำให้เค้ามีความสุข แต่สิ่งที่คุณอาจไม่รู้ก็คือ ผู้ที่ให้ ไม่ใช่ผู้ที่รับ จะได้ประโยชน์มากกว่าอีก มีการศึกษาวิจัยมากมาย ที่แสดงว่า การเป็นผู้ให้นั้น ไม่เพียงจะทำให้เราลดความเครียด รู้สึกโดดเดี่ยว หรือความโกรธ แต่ยังทำให้เรารู้สึกได้ถึงความสุขที่มากขึ้น ได้เชื่อมกับโลก และรู้สึกเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ

มีการศึกษาชิ้นหนึ่งที่โด่งดังของ Dr. Sonja Lyubomirsky ที่ให้นักศึกษา สัญญาที่จะทำดีกับผู้อื่น สัปดาห์ละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 6 สัปดาห์ เทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ให้ทำ ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ทำดีกับผู้อื่นนั้นมีความสุขเพิ่มขึ้นถึง 42% งานวิจัยของ Dr. Stephen Post ก็ได้ผลว่า เมื่อเราได้ให้ออกไป จะมีผลกระทบอย่างสูงกับทุกๆเรื่องในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความพึงพอใจ ความตระหนักรู้ในตนเอง สุขภาพดีขึ้น อายุยืนขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


5. ความเห็นอกเห็นใจ

ความเห็นอกเห็นใจ เป็นความสามารถในการใส่ใจกับผู้อื่น เป็นความคิดความเข้าใจ ในพฤติกรรมและไอเดียของอีกฝ่ายหนึ่ง ที่แม้จะแตกต่างจากเราก็ตาม เมื่อเราใส่ใจกับเรื่องความสัมพันธ์ในชีวิต การมีทักษะในความเห็นอกเห็นใจนั้นสำคัญมากๆ เมื่อเราเห็นใจผู้อื่น เราจะลดการตัดสิน ลดความหงุดหงิด ความโกรธ หรือความผิดหวัง และเราจะมีความอดทนมากขึ้น เราจะเพิ่มพันธะผูกพัน ความสนิทสนมมากขึ้น และเมื่อเรานั้นได้ตั้งใจฟังจริงๆ ในมุมมองของผู้อื่น ก็จะพบว่าพวกเขาก็จะตั้งใจฟังเรามากขึ้นเช่นกัน ความสัมพันธ์ที่ดีนั้นสำคัญต่อความสุขของคนเรา ดังนั้นการฝึกที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่นจึงสำคัญมาก

อันนี้ก็รวมไปถึงเรื่องความเมตตาที่มีให้กับตนเอง งานวิจัยของ Dr. Kristin Neff ได้ชี้ว่า คนที่มีความเมตตาต่อตนเองนั้นจะมีสุขภาพที่ดีกว่า มีผลลัพธ์ในชีวิตมากกว่าคนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง


ที่มา www.happify.com – The 5 Skills That Will Increase Your Happiness

แปลและเรียบเรียงโดย เรือรบ

 

ด้วยแรงบันดาลใจและความเชื่อว่า ความสุข เป็น “ทักษะที่สร้างได้ และส่งต่อได้” เรือรบ จึงได้เขียนหนังสือ “ Happiness Recipe: 10 สูตรผสมความสุข” ที่จะทำให้ท่านได้แนวคิดและแรงบันดาลใจ เพื่อออกแบบความสุขในฉบับของตนเอง

รายละเอียดหนังสือ คลิก

 

5 วิธีที่ทำให้ชีวิต “ช้าลง”

slowlife

เคยเป็นไหม ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบเพื่อให้ทำอะไรเสร็จเร็วๆ แต่หลายๆครั้งกลับผิดพลาด หลงลืมอย่างไม่น่าให้อภัย

เรามักบอกตัวเองว่าไม่มีเวลา จึงดูเหมือนว่าจะเริ่มทำอะไรใหม่ๆก็ยากไปเสียหมด แต่เรากลับมีเวลาผลาญเล่นไปกับเกม ยูทูป และโซเชียลมีเดีย

เชื่อหรือไม่ หากเราช้าลงกว่าปกติสักนิด กลับเราจะทำสิ่งต่างๆได้เร็วขึ้น เพราะมีความผิดพลาดน้อยลง ไม่ต้องเสียเวลาในการแก้ไข หรือกลับมาทำใหม่

หากเราช้าลงอีกสักหน่อย เราจะเห็นว่า เราจัดสรรเวลาได้ เวลามีเหลือเฟือสำหรับสิ่งที่สำคัญกับเรา

การใช้ชีวิตให้ช้าลง ไม่ได้หมายถึง เรื่อยเปื่อยเนิบนาบเป็นเต่าคลาน แต่หมายถึง ช้าพอที่เราจะสามารถผ่อนคลายและดื่มด่ำกับชีวิตได้

หากวันนี้เราคิดว่าความเร็วเป็นสิ่งที่จำเป็น มันอาจทำให้เรารีบจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

จริงๆแล้วเราสามารถทำหลายๆสิ่งให้ช้าลงได้ในจังหวะที่ตัวเองรู้สึกโอเค แต่กลับทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่เรียกว่า ช้าเพื่อเร็ว นั่นเอง

 

5 สัญญาณบ่งบอกว่า เราใช้ชีวิตเร็วเกินไป

  1. คุณพบว่า มันยากขึ้น ที่จะโฟกัสกับสิ่งตรงหน้าในปัจจุบันขณะ คุณต้องคอยหาอะไรทำตลอดเวลา 2. คุณใช้ชีวิตไปเหมือนเดิม เรื่อยๆ “อย่างเป็นอัตโนมัติ” โดยไม่ได้ตระหนักว่า คุณกำลังทำมันอยู่ด้วยซ้ำ 3. คุณรีบเร่งไปกับกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน โดยไม่ได้ใส่ใจกับมันนัก รีบทำให้เสร็จเพื่อไปทำอย่างอื่นต่อ 4. คุณกำลังมุ่งมั่นกับเป้าหมายบางอย่างอยู่ จนคุณไม่ได้ใส่ใจว่าตอนนี้ตัวเองและคนรอบข้างกำลังทำอะไรอยู่บ้าง 5. คุณพบว่าในสมอง เต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หรือความคำนึงอยู่กับอดีตที่ผ่านมาแล้ว

 


 

ชีวิตที่ช้า คือชีวิตที่ยืนยาว

คนเรายอมเสียเงินนับแสน เพื่อซื้อยาต้านความแก่ วิตามินชะลอความชรา ทำทุกอย่างเพื่อยืดอายุตัวเองออกไป ให้ได้อีกสัก 1-2 ปีก็ยังดี พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเป็นอัตโนมัติและหลับใหล ทำตามระบบไปอย่างไม่รู้วันคืน แต่พวกเขากลับไม่พยายาม “ตื่นขึ้นมา” เพื่อใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องอายุยืนจนแก่หง่อม จึงจะเรียกว่า “ใช้ชีวิตคุ้ม” คุณสามารถใช้ชีวิตที่มีคุณภาพและยืนยาวได้ โดยเพิ่มเวลาการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ ขึ้นสัก 2 เท่าในทุกๆวัน นั่นเท่ากับว่าคุณมีอายุยืนขึ้นในด้านคุณภาพ เหมือนคุณอายุ 60 ปี แต่ได้ใช้ชีวิตเท่ากับคนที่มีอายุยืนยาว 120 ปี

แล้วถ้าคุณเพิ่มเวลาได้ถึง 3-4 เท่าล่ะ ? มันจะดีแค่ไหน

ในเรื่องการใช้ชีวิต ปริมาณของเวลาไม่มีความหมายเท่ากับคุณภาพ

หากแม้คุณอายุยืนขึ้นเพราะเทคโนโลยีการแพทย์ แต่ไม่มีความสุข

ไม่ได้ใช้ชีวิตที่ตนเองรัก เพราะถูกบังคับ มีแต่ข้อจำกัด นั่นอาจเป็นความทรมานอย่างร้ายแรง

ดังนั้นสิ่งที่ต้องกลับมาคิดใคร่ครวญก็คือ จะปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตได้อย่างไร ?

ต่อไปนี้เป็น 5 วิธีง่ายๆที่จะยืดชีวิตให้ยาว ปลุกเราให้ตื่นจากความหลับใหล ด้วยการทำชีวิตให้ “ช้าลง”

5 วิธี ที่ทำให้ชีวิต “ช้าลง”

 1. กลับมาอยู่กับลมหายใจ

เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกเหนื่อยล้า ท้อแท้ หงุดหงิด เครียดหรือกังวล ลองใช้เวลาสัก 3 นาที นำจิตที่ว้าวุ่น กลับมาอยู่กับลมหายใจ…. สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ให้ลึกยาว จนรู้สึกว่าท้องพองออก ผ่อนลมหายใจออกเบาๆผ่อนคลาย จนรู้สึกว่าท้องยุบลง ทำแบบนี้ต่อเนื่องกัน โดยนำจิตรับรู้ อยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น มันจะเป็นสะพานเชื่อมร่างกาย อารมณ์ และจิตใจเข้าด้วยกัน เพียงเท่านี้คุณก็จะเกิดสมดุลทางอารมณ์ขึ้นมา การกลับมาสู่ปัจจุบันขณะจะทำให้สติของคุณเต็มเปี่ยม

 การกลับมาอยู่กับลมหายใจสักครู่หนึ่ง จะช่วยให้คุณจะพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

 

2. ออกไปเดินเล่น

นี่เป็นวิธีออกกำลังที่ง่ายที่สุด ช่วยปลดปล่อยความเครียด และช่วยผ่อนคลายอารมณ์ การเดินจะช่วยให้คุณกลับมาอยู่กับปัจจุบัน สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆรอบตัว สัมผัสกับธรรมชาติและกิจกรรมต่างๆของผู้คน คุณอาจเปลี่ยนจากการขึ้นรถเมล์ ขึ้นมอเตอร์ไซด์ ขึ้นลิฟท์ เป็นการเดินแทน แถมยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย แต่ถ้าอยากสดชื่นกว่านั้น ออกไปเดินตอนฝนตกปรอยๆ หรือเดินในสวนตอนเช้าๆอย่างไม่รีบเร่ง

 แค่ได้อยู่กับการเดิน เชื่อมั้ยว่าคุณจะรู้สึกดีสุดๆไปเลย

 

 3. ดื่มด่ำไปกับกิจกรรมต่างๆ

ความสุข คือการมองเห็นสิ่งๆเดิม ในมุมมองที่เปลี่ยนไป ในเมื่อชีวิตนั้นเกิดขึ้นที่นี่และเดี๋ยวนี้ วันวานและวันพรุ่งนี้มีอยู่เพียงแต่ในความคิด ดังนั้นไม่เป็นการดีกว่าหรือ ที่เราจะสัมผัสรับรู้กับปัจจุบันขณะที่กำลังเป็นอยู่ ฝึกที่จะสังเกตและรับรู้สิ่งดีๆรอบๆตัว และใช้เวลามากขึ้นที่จะอยู่กับชั่วขณะนั้น มันจะทำให้ประสบการณ์ของความพึงพอใจนั้นยาวนานขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าครัวเตรียมมื้ออาหาร การนั่งเล่นชื่นชมดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า การพูดคุยสนุกๆกับครอบครัว ในทุกๆกิจกรรม เราก็แค่ “อยู่ตรงนั้นอย่างเต็มเปี่ยม และดื่มด่ำกับมัน”

 แค่รู้จักดื่มด่ำกับสิ่งรอบตัว  เราจะสัมผัสความสุขได้ง่ายๆและบ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ

 4. อยู่กับความเงียบ

หลายคนคิดว่าความสุข คือความสนุกสนานร่าเริง และมีกิจกรรมต่างๆทำให้เพลิดเพลินใน แต่เราหารู้ไม่ว่า ชีวิตที่ถูกครอบครองด้วยกิจกรรมตลอดเวลา ลึกๆแล้วจะเรียกร้องหา “เวลาสำหรับตัวเอง” แม้แต่คอมพิวเตอร์ยังต้องการ Defragment และ มี Sleeping Mode มนุษย์เราก็ต้องการ “ชั่วขณะแห่งความเงียบ” ให้ตัวเองเหมือนกัน ในทุกๆวัน เราน่าจะกำหนดเวลาสัก 5-10 นาที เพื่ออยู่กับตัวเองลำพังในความเงียบ ลองใช้คำถามเหล่านี้กับตนเอง และอาจจะเขียนมันลงไปเพื่อให้หลายๆสิ่งชัดเจนขึ้น ร่างกายเรากำลังรู้สึกสัมผัสกับอะไรบ้างในขณะนี้ ? จิตใจและอารมณ์ในขณะนี้ของเราเป็นอย่างไร ? เรากำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ มีความกังวลหรือไม่สบายใจอะไรบ้าง ? เมื่อทบทวนชีวิตในวันนี้ มีอะไรที่เราได้เรียนรู้ มีอะไรที่เราจะทำได้ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ? เมื่อเรากลับมาสนใจ รับรู้ ความรู้สึกและอารมณ์ของตนเองได้สักพัก เราจะพบกับความสงบใจอย่างน่าประหลาด

 ท่ามกลางที่ว่างนี้ ดูเหมือนจะเกิดความสุขได้ง่ายขึ้น เราจะตอบคำถามบางอย่างในใจตนเองได้ และรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป

 

5. ไม่ด่วนตัดสิน

ความน่ากลัวอย่างหนึ่งที่คนเรามักมองข้ามไปก็คือ “เราจะได้ยิน เฉพาะสิ่งที่เราอยากฟังเท่านั้น” เมื่อใดก็ตามที่เรา “ด่วนตัดสิน” กับคนบางคน กับเรื่องบางเรื่องไปแล้ว แม้เค้าพูดไม่ทันจบประโยค เราจะปิดการฟังไป เปลี่ยนเป็นการแทรกสอด คำถาม หรือไม่สนใจ นั่นทำให้เกิดการเข้าใจผิด เกิดความขัดแย้งขึ้นในความสัมพันธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   ฝึกที่จะรับฟังผู้คนจนจบ โดยยังไม่ด่วนตัดสิน ตีความไปก่อน นั่นทำให้การสื่อสารนั้นเข้าถึงเราได้อย่างเต็มเปี่ยม เราจะได้ยินในสิ่งที่เค้าไม่ได้พูดออกมา ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการ แล้วจะประหลาดใจว่า เราสามารถเข้าใจเค้าได้ง่ายขึ้น

หนึ่งในวิธีที่จะทำให้เราใช้ชีวิตช้าลงได้และไม่ด่วนตัดสิน ได้แก่ “การฝึกไดอะล็อค” พัฒนาทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง

ซึ่งผมพัฒนาเป็นหลักสูตรอบรม 1 วัน   “Dialogue & Deep Listening: ศิลปะแห่งการสื่อสารและการฟัง” 

การช้าลง ไม่ด่วนตัดสิน จะทำให้การสนทนาที่ดูจะยากลำบากครั้งนั้น กลับราบรื่นไปได้ด้วยดี

เป็นอย่างไรบ้างครับ กับ 5 วิธีการทำให้ชีวิตช้าลง หากเรานำวิธีเหล่านี้ไปใช้ เชื่อว่าจะมีความสุขขึ้นมากๆและบ่อยครั้งด้วย

หากคุณมีวิธีอื่นๆในการใช้ชีวิตให้ช้าลงและมีความสุขขึ้น กรุณาแชร์ในคอมเม้นท์ด้านล่างได้เลยนะครับ

บทความโดย เรือรบ

 

3 สิ่งที่คนมักเข้าใจผิด เกี่ยวกับ “ความสุข” ?

What-makes-a-good-relationship

ความสุขคืออะไร ? คนเราต่างพูดถึงมันมาเป็นร้อยๆปี จนถึงวันนี้ มีผลวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์เข้ามารองรับ แต่ก่อนที่จะไปถึงข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ เราน่าจะเริ่มจากคำถามง่ายๆเช่นว่า อะไรบ้างที่ไม่ใช่ความสุข ?

ความสุข ไม่ใช่การมีความรู้สึกดีตลอดเวลา

หากเป็นเช่นนั้นแล้ว คนขี้สงสัยคงถามว่า คนที่เสพโคเคน กัญชา ก็จะต้องเป็นคนที่มีความสุขมากๆใช่มั้ย? ซึ่งความจริงไม่ใช่เช่นนั้น งานวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า อารมณ์แบบธรรมดาๆ ในทุกๆวันนั้น ดูจะเป็นผลดีต่อจิตใจมากกว่า อารมณ์แบบมีความสุขสุดๆ สำเร็จสุดๆ เพราะในที่สุดแล้ว อะไรก็ตามที่ขึ้นไปสูง ก็ย่อมตกลงมาเป็นธรรมดา

นอกจากนั้น หากคุณถามคนทั่วไปว่า อะไรคือสิ่งที่คุ้มค่ากับการมีชีวิตอยู่ พวกเค้าจะไม่พูดเรื่องอารมณ์หรอก พวกเขาจะพูดถึงอะไรที่มีความหมาย เช่น ความสัมพันธ์ ความดีที่ทำไว้ ซึ่งงานวิจัยก็ระบุว่า หากคุณเพ่งความสนใจไปที่ความพยายามที่จะรู้สึกดีตลอดเวลามากเกินไป คุณก็จะรู้สึกไม่พอใจสักที หรือพูดอีกนัยหนึ่ง จะไม่มีความรู้สึกดีอันใด ที่จะทำให้คุณรู้สึกพอใจนั่นเอง เพราะสิ่งที่คุณคาดหวัง มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้จริงสำหรับคนส่วนใหญ่

ความสุข ไม่ใช่ความร่ำรวย หรือสามารถซื้อทุกสิ่งที่อยากได้

แน่นอนว่าความเป็นอยู่ที่อดอยากขาดแคลน นั้นยากที่จะทำให้รู้สึกมีความสุข แต่เงินก็ไม่ใช่สิ่งที่จะซื้อความสุขได้เสมอไป ลองจินตนาการสิว่า อยู่ๆคุณก็ได้ขึ้นเงินเดือนเป็นเดือนละ 1 แสน คุณก็จะตื่นเต้นมากๆในระยะสั้นๆ เวลาผ่านไปไม่นานความคาดหวังและการใช้จ่ายของคุณก็จะเปลี่ยนไปตามรายได้ใหม่ของคุณ ก่อนที่คุณจะทันรู้ตัว คุณก็จะมีความรู้สึกเหมือนๆกับก่อนหน้าที่จะได้เงินก้อนนี้มา เพราะเงินนี้ก็เอาไปใช้ซื้อบ้านใหม่ รถใหม่ สิ่งของเครื่องใช้หรูหราใหม่ๆ ที่ใครๆก็ต่างอยากมีกัน พอคุณได้มาแล้ว ความสุขก็ไม่ได้มากขึ้นเลย

มีข้อยกเว้นเดียวก็คือ หากคุณใช้เงินไปเพื่อซื้อประสบการณ์ร่วมกับผู้อื่น เช่น การจ่ายเงินเพื่อไปพักผ่อนตามสถานที่ท่องเที่ยวกับครอบครัว จัดทริปเที่ยวสนุกผจญภัยกับเพื่อนๆ พาเพื่อนร่วมงานไปทำบุญบ้านพักคนชรา หรือเลี้ยงดูเด็กพิการ แบบนี้จะทำให้คุณมีความสุขมากกว่า เพราะคุณได้รับความสัมพันธ์ที่ดีและประสบการณ์ร่วมที่หาซื้อไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามนั่นมักไม่ใช่วิธีที่คนใช้จ่ายเมื่อได้เงินมา

ความสุข ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย

มีความเชื่อเรื่อง “เป้าหมายของชีวิต” นั่นทำให้คนคิดถึงเรื่องความสุข ทำให้คนเราต่างทำงานหนัก เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จที่วันหนึ่งเราจะ “เดินทางไปถึง” ความสุขในบั้นปลาย ซึ่งในทางตรงกันข้าม อาจมีน้อยคนมากๆที่จะเข้าถึงความสุขแบบยั่งยืนหรือทำให้ตัวเองมีความสุขได้อย่างสม่ำเสมอ

โดยมากในชีวิต สิ่งที่จะสร้างความสุขให้เรานั้นจะเป็นเหตุการณ์แบบครั้งเดียวและระยะสั้น เช่น การเรียนจบ ได้เลื่อนตำแหน่ง และการแต่งงาน ซึ่งนั่นจะเป็นความสุขที่ค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆหลังจากที่เราปรับตัวรับรู้สิ่งนั้นๆแล้ว
นั่นจึงเป็นเหตุให้หลายๆคน พยายามค้นคว้าหาเทคนิควิธีการที่จะทำให้มีความสุขขึ้น เช่น การเขียนบันทึกแห่งการขอบคุณ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง ที่เป็นพฤติกรรมสร้างสุข เพราะมันไม่ใช่แค่เหตุการณ์ครั้งเดียว

ถ้าอย่างนั้น ความสุขคืออะไรกันแน่ ?

งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ความสุขเป็น ผลรวมของ 2 สิ่งคือ
ความพึงพอใจของคุณเกี่ยวกับชีวิต ตัวอย่างเช่น เมื่อได้ทำงานที่รัก หรือทำสิ่งที่มีความหมายต่อผู้อื่น
และ ความรู้สึกดี ที่คุณได้รับในแต่ละวัน

ทั้งสองสิ่งนี้เป็นความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกัน แต่ในเมื่อชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงตลอด และเรามีอารมณ์ขึ้นลงตลอดเวลา นั่นทำให้ความสุขเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ

ข่าวดีก็คือ หากเรามีความพยายามอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น เรื่องน้ำหนักตัวของเรา หากเรา หากเรากินตามใจและออกแรงตามใจ น้ำหนักก็จะอยู่ในระดับหนึ่ง เมื่อเรากินน้อยลงแต่ออกกำลังมากขึ้น น้ำหนักตัวจะปรับลดลง จนถึงจุดหนึ่งถ้าเราปฏิบัติให้เป็นนิสัย เราก็จะยังรักษาน้ำหนักในระดับนี้ต่อไปได้

แต่ถ้าเรากลับมากินและออกแรงเหมือนอย่างเคย น้ำหนักก็จะกลับไปเท่าเดิมในที่สุด
เช่นเดียวกับเรื่องของความสุข ถ้าคุณมีความสามารถที่จะควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ ด้วยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ คุณจะสามารถกำหนดรูปแบบของพฤติกรรม ที่จะสร้างความพึงพอใจและเติมเต็มในชีวิตได้ในระยะยาว
…………………………

แปลและเรียบเรียงโดย เรือรบ

เครดิตบทความ  What is Happiness, Anyway? By Acadia Parks, PhD
เครดิตภาพ Copyright: alexandralexey / 123RF Stock Photo

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save