10 เรื่องสำคัญ เกี่ยวกับความคิด แต่คุณแทบไม่เคยรู้

4

ความคิด คือ สิ่งที่อยู่กับเราตลอดเวลาแม้เวลาหลับ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้เท่าทันความคิดของตัวเอง และใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด วันนี้ผมมี 10 เรื่องสำคัญ เกี่ยวกับความคิดที่คุณอาจไม่เคยรู้ มาฝากครับ

1.ความคิด และจิต ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

แต่มีส่วนสัมพันธ์กัน ความคิดคือจิตสำนึก อุปนิสัยและการตอบสนองคือสิ่งที่ถูกส่งมาจากจิตใต้สำนึก

ส่วนธรรมชาติของจิตเดิมแท้นั้นอยู่ลึกลงไปกว่าจิตสำนึก จิตใต้สำนึก และเป็นยิ่งกว่าจิตไร้สำนึก แท้จริงแล้ว เราไม่ใช่ความคิด และความคิดก็ไม่ใช่เรา

2.ความคิด และอุปนิสัยของคนเรานั้น เกิดจากการสะสมสัญญาหมายจำหลายภพชาติ

ไม่ได้เกิดจากประสบการณ์ชาตินี้เพียงชาติเดียว การแก้ปัญหาความคิดโดยการพยายามคิดดีเพียงอย่างเดียวจึงเป็นไปไม่ได้

เพราะธรรมชาติของจิตย่อมมีการปรุงแต่งทั้งความคิดดีและร้ายสลับกันไปมา พระพุทธเจ้าจึงนำเสนอหนทางใหม่ที่ดีกว่า

“การควบคุมความคิด” นั่นคือ “การเห็นความคิด” เมื่อเราคิด เราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์ ต่อเมื่อเราเห็นความคิด

เราจะหลุดออกจากสถานการณ์ เมื่อเห็นความคิดแล้ว จะนำไปสู่ความรู้ที่ว่าความคิดไม่ใช่เรา เมื่อรู้ว่าความคิดไม่ใช่เราแล้วจะนำไปสู่การไม่ยึดติดความคิด จึงเป็นการแก้ไขปัญหาความคิดที่ได้ผลถาวร

3.สิ่งที่เราเรียกว่าการใช้ความคิดของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่การใช้ความคิด

แต่เป็นแค่การปรุงแต่งและความฟุ่งซ่าน เป็นแค่ความกังวลไร้ประโยชน์ที่ผุดขึ้นมาระหว่างกำลังเผลอเรอ ถ้าเป็นการใช้ความคิดจริง จะไม่ก่อให้เกิดโทษและความทุกข์ตามมา

การใช้ความคิดที่แท้จริงจะเกิดได้ ก็ต่อเมื่อเรามีสมาธิพุ่งเป้าไปสู่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า เป็นการขับเคลื่อนชีวิตโดยใช้กำลังแห่งปัจจุบันขณะไปเรื่อยๆ โดยไม่มีความคิดอดีต และอนาคตเข้ามาเกี่ยวข้อง

4.ทุกข์ทั้งหมด ล้วนเกิดจากความคิดปรุงแต่ง

ไม่ว่าจะเรียกมันว่า ทุกข์เพราะอะไร แต่รากก็มาจากสิ่งเดียวกัน นั่นคือความคิด ถ้าใครแก้ปัญหาความคิดได้ บุคคลผู้นั้นก็จะไม่มีความทุกข์เลยชั่วชีวิต

5.การยุติความทุกข์ให้เหลือศูนย์เปอร์เซ็นต์

เป็นสิ่งที่ทำได้จริง ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง หรือเรื่องอุปมาอุปไม

6.ทุกจุดที่มนุษย์ทุกคนยืนอยู่ ล้วนมีทั้งสุข และทุกข์

ไม่มีใครมีความสุขอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา การที่คนเราจะพบความสุขที่แท้จริงได้

จึงไม่ใช่เรื่องที่ว่า เราเป็นใคร มีฐานะอย่างไร มีการศึกษาแค่ไหน แต่เป็นเรื่องที่ว่า เราสามารถเท่าทันความคิดของเราได้แค่ไหน

คิดเก่ง ไม่ได้แปลว่าเท่าทันความคิด และเท่าทันความคิด ก็ไม่จำเป็นต้องคิดเก่ง หากแต่ต้องมีความสามารถใช้ความคิดได้ในเวลาที่เหมาะสม เป็นนายของความคิด ไม่ใช่เป็นทาสที่ถูกความคิดลากจูงไปสู่หนทางแห่งความทุกข์

7.สติ คือ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคนเรา

เพราะสติคือตัวควบคุมความคิด และการควบคุมสติ ไม่ใช่เรื่องของความรู้ แต่เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนทำอย่างต่อเนื่องจนเกิดความชำนาญ การอ่าน การฟัง จึงไม่สามารถทำให้คนเรามีสติที่แข็งแกร่งได้

เป็นแต่เพียงการทำความเข้าใจเบื้องต้น เพื่อเข้าสู่กระบวนการฝึกฝนทางจิตที่ถูกต้องเท่านั้น

8.โหมดของความคิดนั้นมีด้วยกันห้าโหมด

หนึ่ง คิดร้ายอันได้แก่คิดปรุงแต่งหรืออกุศลทั้งหลาย

สอง คิดดีหรือคิดเป็นกุศล คิดในลักษณะเมตตา หรือคิดในการทำหน้าที่อย่างไร้กังวล

สาม ดับความคิด หรือทำงานด้วยจิตว่าง หรืออยู่ในฌานสมาธิทั้งแปดระดับ

สี่ เห็นความคิด นั่นคือ เห็นการเคลื่อนไหวของร่างกาย ความรู้สึก เห็นการปรุงแต่งของความคิด เห็นความจริงแห่งการเกิดดับของสิ่งต่างๆ

ห้า เห็นว่า ความคิดไม่ใช่ตัวตน เห็นว่า แม้แต่จิตก็ไม่ใช่เรา

9.ปกติแล้วคนเราจะมีความคิดอยู่ในโหมดคิดร้ายมากที่สุด

ถ้ามีสติขึ้นหน่อยก็จะสามารถประคับประคองตนเองให้อยู่ในโหมดคิดดีได้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ไม่นานก็จะย้ายความคิดไปอยู่ในโหมดคิดร้ายอีก สลับไปมาอยู่อย่างนั้น ส่วนโหมดดับความคิดจะต้องมีการฝึกฝนสมาธิเข้ามาเกี่ยวข้อง

และถ้าจะเข้าสู่การเห็นความคิด และรู้ว่าความคิดไม่ใช่ตัวตน ก็จำเป็นต้องฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐานควบคู่ไปด้วย

10.ใครก็ตามที่เห็นการทำงานของความคิดบ่อยๆ ความคิด และจิตจะแยกออกจากกัน

จากนั้นความคิดที่ขึ้นๆ ลงๆ ดีๆ ร้ายๆ สุขๆ ทุกข์ๆ จะเข้าสู่ภาวะความเป็นกลางมากขึ้นโดยไม่ต้องควบคุม สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปโดยธรรมชาติ ส่งผลให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นคนที่มีความสงบนิ่ง สุขุม มีปัญญาเฉียมคม

ไม่ตกเป็นทาสของความต้องการชนิดต่างๆ ต่อเมื่อจิตเห็นการทำงานของความคิดบ่อยเข้าๆ ก็จะเห็นว่าแม้แต่ตัวจิตเองก็มีลักษณะเกิดดับอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเห็นว่าจิตมีลักษณะเกิดดับแล้ว กระบวนการที่จิตจะเข้าไปสำคัญมั่นหมายว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของเราจะถูกทำลาย ความยึดมั่นถือมั่นจึงถูกทำลายลงไปด้วย สิ่งนี้เอง คือ จุดมุ่งหมายของการเกิดมาเป็นมนุษย์

เป็นการทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

สิ่งเหล่านี้สามารถทำได้จริง เพียงแค่ตั้งใจจริง ฝึกฝนจริง ก็จะได้สิ่งที่เป็นของจริง ซึ่งคู่ควรกับผู้ที่เป็นคนจริงเท่านั้น

 

บทความโดย พศิน อินทรวงค์
ติดต่องานบรรยาย / ติดตามผลงานหนังสือ
หรือติดตามอ่านบทความดีๆ ก็สามารถเข้ามาได้ที่
เพจ พศิน อินทรวงค์
https://www.facebook.com/talktopasin2013

3 สิ่งที่คุณต้องค้นหา เพื่อชีวิตที่น่าอิจฉา ที่สุดในโลก

ตื่นแต่เช้ามืด – แต่งตัว – รถติด – ทำงาน –รถติด – กลับบ้าน – นอน วงจรชีวิตที่เหมือนมีวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ เอาไว้เป็นรางวัลปลอบใจ เอาไว้พักหายใจหายคอ เพื่อลุกขึ้นมาทำในสิ่งเดิมๆ ในวันจันทร์ถึงศุกร์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แน่นอนว่านี่คือ วิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่   แต่แน่ใจได้อย่างไร ว่านี่คือ วิธีการดำเนินชีวิตที่คนส่วนใหญ่เลือก?

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากหลุดพ้น จากวิถีชีวิตที่ตนเองไม่ได้เต็มใจเลือก 3 สิ่งต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่คุณต้องค้นหาให้พบ ก่อนที่จะรอให้เวลานำพาโชคชะตามาบรรจบกับคำว่า  “ไม่มีทางเลือก”

1.หาคนที่รักให้เจอ

มนุษย์ต่างจากหุ่นยนต์ ตรงที่หุ่นยนต์ทำทุกสิ่งตามคำสั่ง แต่มนุษย์ทำทุกอย่างตามความต้องการ การได้ครอบครองในสิ่งที่ต้องการ แม้จะเป็นความสุขที่มีรสชาติหอมหวาน แต่ระยะเวลาที่ได้สัมผัสลิ้มรสกลับมีระยะเวลาไม่นาน

หากเราสามารถแปรเปลี่ยนความต้องการให้กลายเป็น “แรงบันดาลใจ” ใช้แสงสว่างจากภายในส่องนำทางที่แสนยาวไกลบนโลกภายนอก

ไม่ว่าชีวิตจะเจอปัญหาเดิมๆ หรืออุปสรรคใหม่ๆ ก็จะไม่มีสิ่งใดมาหยุดยั้งแรงบันดาลใจที่จะทำให้คนที่เรารักมีความสุขได้

ชีวิตคุณอาจมีคนรักรอบตัวมากมายทั้งพ่อ แม่ พี่น้อง ญาติ และเพื่อนร่วมงาน ทุกความสัมพันธ์มีส่วนร่วมสร้างสรรค์แรงบันดาลใจของคุณ

แต่แรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดคือ “คนรัก” ของคุณ เพราะเขาหรือเธอคนนั้น คือคนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ผูกพันทางจิตใจร่วมกับคุณ ไม่ว่าเขาหรือเธอคนนั้น จะอยู่ใกล้หรือไกลตัวคุณก็ตาม

การเลือกเอาแต่ความรู้สึกที่ดี ทำทุกสิ่งด้วยความจริงใจ เขียนเป้าหมายใส่ลงไปในความสัมพันธ์ จะช่วยให้คุณมั่นใจว่าในทุกคราวที่พลาดพลั้งในทุกครั้งที่หกล้ม จะมีอ้อมกอดของคนอีกคนช่วยพยุงคุณให้ลุกขึ้นมาเพื่อมุ่งหน้าสู่เป้าหมาย ก้าวไปด้วยกัน

ซึ่งย่อมไปได้ไกลกว่าการใช้ชีวิตเพียงลำพัง

2.หางานที่เรารักให้เจอ

หลายต่อหลายคน ตอบได้ว่าอยากทำอาชีพอะไร อยากมีเงินเดือนเท่าไร ก่อนปลดเกษียณอยากนั่งเก้าอี้ตัวไหน

และการหาคำตอบอย่างมักง่ายเหล่านั้น ก็กลับกลายเป็นการกดปุ่มเปิดสวิสต์ให้เครื่องจักรหาเงินทำงานอย่างไร้จุดหมาย รอวันเปลี่ยนอะไหล่ และจำหน่ายเข้าโกดัง น้อยคนนักที่จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า

“ชีวิตของฉันเกิดมาเพื่อสร้างสิ่งใดให้แก่โลกใบนี้”

คำถามดีๆ สร้างวิธีการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป จากเครื่องจักรนักแสวงหา เปลี่ยนเป็นมนุษย์ผู้ให้ผู้อื่นอีกมากมาย คุณจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่ไม่ต้องทำงานอีกเลยตลอดชีวิต เป็นคนที่เกษียณตัวเองในวันที่ยังสดใสในวัยที่ยังแข็งแรง

วิธีหางานที่รัก เริ่มต้นง่ายๆ แค่สร้างนิยามใหม่ๆ ให้กับสิ่งที่ทำอยู่เดิมๆ เช่น อาชีพนักบัญชี นิยามใหม่ว่า คุณคือ “ผู้รักษาความมั่นคงทางการเงินให้แก่เพื่อนร่วมงานของคุณนับ 1,000 ชีวิต”

อาชีพนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ นิยามใหม่ว่า คุณคือ “ผู้จัดหาบ้านคุณภาพดีให้แก่เพื่อนผู้โชคดี”

อาชีพพนักงานทำความสะอาด นิยามใหม่ว่า คุณคือ “ผู้อาสารักษาสุขภาพกายและใจให้แก่ทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมา” ฯลฯ

เริ่มต้นรักในสิ่งเล็กๆ ที่ทำ ย่อมส่งผลให้ได้ทำในสิ่งที่รักในอีกไม่ช้า และมั่นใจได้ว่า งานสุดท้ายที่จะได้ทำในชีวิต ย่อมยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คุณจะสามารถคาดหมายได้ในปัจจุบัน

3.หาเงินจากงานที่รักเพื่อดูแลคนที่รัก

ในสมองกลของเครื่องจักรนักแสวงหา “เงิน” อาจเป็นเป้าหมายของชีวิต แต่ในสมองของมนุษย์ผู้ค้นพบความหมายของชีวิต “เงิน” เป็นเพียงผลลัพธ์ของการได้เลือกใช้ชีวิตที่ตัวเองรัก

คุณอาจจะกำลังแย้งอยู่ในใจว่า ข้อ 3 นี้ช่างยากแสนยาก คงไม่สามารถค้นพบได้ง่ายๆ เหมือน 2 ข้อแรก

จำบรรยากาศเมื่อครั้งเงินเดือนออกแล้วพากันยกโขยงกันทั้งแผนกไปทานอาคารบุฟเฟ่ในห้างสรรพสินค้าได้หรือไม่

สาเหตุที่ไปอาจไม่ใช่เพราะ ความอยากทาน แต่เป็นเพราะช่วงนั้น มีโปรโมชัน “จ่าย 2 ฟรี 1”

สิ่งที่คุณต้องค้นหา 3 สิ่งนี้ก็เช่นเดียวกัน

เมื่อคุณค้นหาข้อ 1 จนเจอ และค้นหาข้อ 2 จนพบ ผ่านไปสักระยะเวลาหนึ่งคุณจะรู้ซึ้งว่า คุณจะค้นพบข้อ 3 โดยไม่รู้ตัว

การค้นพบทั้ง 3 สิ่งข้างต้น คือ การสร้างโชคดีด้วยการตัดสินใจเลือกใช้ชีวิต ขอเพียงวันนี้คุณเริ่มตัดสินใจลงมือทำเพียงข้อใดข้อหนึ่ง

คุณก็ได้ชื่อว่า เป็นบุคคลที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ของโลกนี้ที่ยังแยกแยะความแตกต่างไม่ออก ระหว่างคำว่า “โชคดี” กับ “ชะตากรรม”

ขอให้คุณผู้อ่านทุกท่านโชคดีครับ

307090

จิตเกษม  น้อยไร่ภูมิ (แมงปอ) โค้ชทะลุกรอบเงินเดือน

ติดตามบทความได้ที่

https://m.facebook.com/OfficeMan-StandUp-1065263756901407/

                                                                                          

 

 

สุดยอดเทคนิค เลือกดึงดูดเฉพาะสิ่งดีดี ให้ตัวเอง

วันนี้ผมมีเทคนิคดีๆ ที่จะทำให้คุณดึงดูดสิ่งดีดีเข้ามาในชีวิต!?

และด้วยวิธีการที่คุณกำลังจะได้รู้ในบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาชีวิตให้มีความสุขอย่างมาก

จำประโยคนี้เอาไว้นะครับ Like Attract Like! สิ่งที่เหมือนกัน จะถูกดึงดูดเข้าหากันเสมอ

ดังนั้นการที่คุณจะรู้ล่วงหน้าได้ว่าในช่วงนี้ คุณกำลังดึงดูดเรื่องอะไร เข้ามาในชีวิตนั้น มันมีวิธีการที่ง่ายมากๆ เลยครับ

ขั้นแรก…. หายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกช้าๆ ปล่อยตัว และทำใจของคุณให้โล่งสบายเสียก่อน

การเตรียมกาย + ใจ ให้พร้อม สำคัญมากๆ เพราะคุณกำลังจะฝึกการเป็น… เจ้าพ่อ เจ้าแม่ พยากรณ์กันแล้ว
มันต้องใช้พลังงานขั้นสูงครับ! ดังนั้น ตั้งสติให้ดีๆ ก่อน

พร้อมหรือยังครับ?

.
.

.
อย่าพึ่งอ่านต่อถ้าคุณยังไม่ผ่อนคลาย กายและใจนะครับ เอาล่ะ ถ้าคุณพร้อมแล้ว

ขั้นที่ 2 กดไปดูที่ New Feed Facebook ของคุณทันทีครับ

เมื่อดูที่ New Feed ของตัวคุณเองแล้วลองดูสิว่า จาก 6 ใน 10 ของโพสต์ที่คุณเห็น ผ่าน New Feed ของคุณ
คือเรื่องอะไร? เป็นโพสต์ของใคร? เรื่องดีๆ หรือเรื่องแย่ๆ?

เพียงดูว่าตอนนี้ New Feed ส่วนใหญ่ของคุณเป็นเรื่องอะไร คุณก็สามารถรู้ได้แล้วว่าตอนนี้คุณกำลังดึงดูดอะไรเข้ามาในชีวิต

เพราะปัจจุบันนี้ Facebook เอง ได้ปรับระบบในการแสดงผล ให้แสดงสิ่งที่คุณให้ความสนใจ และจดจ่ออยู่กับมันผ่าน New Feed ของคุณบ่อยๆ ทำให้พอคาดเดาได้ว่า

………………… คุณกำลังให้พลังกับเรื่องอะไรอยู่

และเมื่อคุณให้พลังงานกับเรื่องอะไรมากๆ แน่นอนคุณกำลังจะดึงดูดเรื่องราวคล้ายๆ กันให้เกิดกับคุณ

ถ้า New Feed ของคุณ เต็มไปด้วยเรื่อง ดราม่า หรือเต็มไปด้วย ข่าวลบๆ เรื่องแย่ๆ คนที่ด่ากันไปมา

ระวังตัวเอาไว้ได้เลยครับ….. คุณกำลังดึงดูดเรื่องลบๆ เข้าตัว แต่ไม่ต้องกลัวครับ เพราะผมมีวิธีแก้ชงที่ง่ายมากๆ มาให้ด้วย

เพิ่มพลังดึงดูดเรื่องดีๆ ด้วยสูตร….

“เลิก 2 เพิ่ม 2!”

1. เลิกสนใจข่าวลบๆ ทาง New Feed หรือ Web ต่างๆ ซะ

 

2. เลิกกดถูกใจ โพสต์แย่ๆ หรือโพสต์ที่มีคำเสียดสีคนอื่น

 

3. เพิ่มการกดถูกใจแฟนเพจที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆ ทุกวัน (โดยเฉพาะ เพจ > Kitti Trirat – Fun Fulfull Freedom555+)

4. เพิ่มการกดถูกใจสเตตัสดีๆ ร่วมแสดงความคิดเห็น และกดแบ่งปันเรื่องดีๆ บ่อยๆ

เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ ลองเอาสูตร เลิก 2 เพิ่ม 2 ไปใช้ดูนะครับ

แล้วคุณจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนว่า ชีวิตคุณเปลี่ยนไป มีความสุขได้มากยิ่งขึ้น และมีอิสรภาพมากยิ่งขึ้นแน่นอน

นำไปใช้แล้ว อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ ว่าคุณได้ประสบการณ์ดีๆ อะไรกันบ้าง ผมรอฟังอยู่เสมอ

โค้ชกิตติ

กิตติ ไตรรัตน์  

ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง National Director ของ The Passion Test ประจำประเทศไทย 

ผู้มีความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสนับสนุนให้ผู้คน มีอิสรภาพจากภายในใจ 

www.KittiTrirat.com 

<

p class=”paragraph” style=”margin: 0cm; margin-bottom: .0001pt; vertical-align: baseline;”>

Categories EQ

ทำยังไง จึงจะหายจากอาการคิดมาก

5

คำถามที่มักมีคนถามเข้ามามาก คือ ทำไมบางเรื่องเราอยากลืมจากความทรงจำเรา แต่นานวันมันกลับชัดเจนมากขึ้นทุกที

ทำให้คิดถึงแต่เรื่องเก่าๆ เดิมๆ เหมือนวนเวียนอยู่ในตู้ปลา ลืมได้แค่เดี๋ยวเดียวแล้วก็กลับมาคิดถึงเรื่องเดิมอีก มันนานเกินกว่าที่เราเคยเป็น

คิดเรื่องเดิมๆ มาเกือบสองปี มีวิธีไหนที่ทำให้เราไม่ต้องสนใจ หรือไม่คิดถึงมันได้บ้าง ?

คำตอบ…

1.ธรรมชาติของจิต มันจะคิดตลอดเวลา

ทั้งคิดดี คิดไม่ดี คนเราคิดวันละ 5หมื่นเรื่องเป็นอย่างน้อย

2.ถ้าไม่อยากคิดแบบฟุุ้งซ่าน ต้องฝึกสมาธิ

เพราะคนฝึกสมาธิ มันจะคิดน้อยลง เป็นภาวะที่เรียกว่า “จิตอิ่มอารมณ์” เวลาทำสิ่งใดอยู่ จิตก็จะอยู่กับสิ่งๆ นั้นได้ อันนี้มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์มาแล้วมากมาย

3.การที่คนเราอยากจะเลิกคิด ไม่ใช่อยากเลิกมันก็จะเลิกได้

ไม่อย่างนั้น คงไม่มีใครมีความทุกข์กัน ดังนั้น ถ้าเราอยากเลิกฟุ้งซ่าน ไม่อยากให้ความคิดทำร้ายเรา ก็จำเป็นต้องฝึกสมาธิครับ

ส่วนวิธีอื่นๆ เช่นเบี่ยงเบนความสนใจ ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยว วิธีพวกนี้ก็ใช้ได้ แต่เดี๋ยวมันก็จะกลับมาคิดอีกเพราะธรรมชาติของจิตที่ไร้สมาธิมันเป็นแบบนั้น มันจะคิดตลอดเวลา

4.คนเราคิดอยู่เสมอ

บางคนคิดแง่ดีก็ดีไป บางคนคิดแง่ร้ายก็แย่ไป ถ้าไม่อยากทำสมาธิก็ฝึกให้ตัวเองคิดในแง่ดีเข้าไว้ แต่การฝึกให้ตัวเองคิดในแง่ดี

วิธีนี้จะใช้เวลานานกว่าการทำสมาธิ และได้ผลน้อยกว่า เพราะตราบใดที่จิตยังคิดมากอยู่ ต่อให้คิดแง่ดีเท่าไหร่ ไม่นานมันก็จะไป

คว้าเอาความคิดแย่ๆ มาทำร้ายตนเองจนได้

5.คนเราคิดมากไม่เท่ากัน เพราะจิตมีกำลังต่างกัน

ยิ่งจิตเป็นสมาธิเท่าไหร่ ความคิดจะฟุ้งซ่านน้อยลงเท่านั้น คิดมากในที่นี้ไม่ได้แปลว่าคิดกังวลอย่างเดียว แต่อาการใจลอย

คิดอะไรพล่าๆ เบรอๆ คิดน้อยใจ หรือคิดแต่เรื่องการงานทั้งวัน เหล่านี้เรียกว่าคิดมากทั้งนั้น

6.ผู้ฝึกจิต จะสามารถควบคุมความคิดได้

เช่น เมื่อถึงเวลาต้องใช้ความคิด ก็คิด และความคิดนั้นจะมีพลังมากกว่า แต่เมื่อต้องการอยู่นิ่งๆ มันก็นิ่งได้ เมื่อทำสิ่งใดก็อยู่กับสิ่งนั้น

ไม่มีอาการคนใจลอย คิดอดีต อนาคต ทำให้ความคิดเฉียบคมและทรงพลังมากกว่าคนทั่วไป

7.แนะนำให้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ

คือ อยากให้ไปหัดทำสมาธิครับ ไม่เช่นนั้นปัญหามันก็จะวนไปวนมาอยู่แบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

8.ทำสมาธิ

ทุกวันนี้มีหนังสือมากมายที่สอนการทำสมาธิ หรือสำนักต่างๆ จะเน้นสมถะกรรมฐาน หรือวิปัสสนากรรมฐานก็ตามแต่ใจ หรือจะใช้วิธีดูลมหายใจก็ตามแต่สะดวกเลยครับ

จริงอยู่ความคิดเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การฝึกจิตก็ช่วยให้ความคิดนั้นเป็นไปอย่างมีคุณภาพและไม่ทำร้ายตนเอง

ขอให้ควบคุมความคิดได้ในเร็ววันนะครับ

บทความโดย พศิน อินทรวงค์
ติดตามผลงานหนังสือ
หรือติดตามอ่านบทความดีๆ ได้ที่
เพจ https://www.facebook.com/talktopasin2013

 

Categories EQ

3 ขั้นตอน ปลดล็อคข้อจำกัด ในตัวคุณ

“ก็มึงมันโชคดี!!”

รู้ไหมครับว่า… สำหรับคนทั่วไป “ความโชคดี” คือ เคล็ดลับความของความสำเร็จ! ในเดือน พฤศจิกายน 1987 รูเบ็น กอนซาเลซ และพาโบล การ์เซีย ได้เปลี่ยนตัวเองจาก นักแข่งเลื่อนไร้ชื่อเสียง เป็นนักแข่งเลื่อน ลำดับที่ 14 ของโลก!!

นักแข่งเลื่อนคนอื่นๆ ต่างบอกว่า… ก็พวกมึงมันโชคดีนี่!!

แต่ความจริงแล้ว “ความโชคดี” คือเคล็ดลับของความสำเร็จของทั้งคู่จริงรึเปล่า?

โอกาสซ่อนอยู่รอบๆ ตัวเสมอ

ในเดือนพฤศจิกายน 1987 หลังจากที่ รูเบ็นได้เตรียมตัวฝึกซ้อมเพื่อเตรียมลงแข่งเลื่อน

เขาได้เดินทางมาถึงสนามแข่งซึ่งมีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาร่วมรายการนี้ ท่ามกลางผู้เข้าแข่งขันมากมาย
และโอกาสอันริบหรี่ รูเบ็นได้พบโอกาส ที่คนอื่นมองไม่เห็น!!

นั้นก็คือ…. ในการแข่งเลื่อนประเภทคู่นั้น มีผู้ร่วมแข่งขันเพียง 3 คันเท่านั้น!

จะคว้าโอกาสอาจมีอุปสรรค และอุปสรรคนี่แหละ ที่สร้างโอกาส! แต่การแข่งเลื่อนประเภทคู่นั้น เป็นการแข่งที่โหดมาก

เพราะผู้แข่งขัน จะต้องยืนอยู่บนเลื่อนคันเดียวกัน คนข้างหน้าจะสามารถมองเห็นได้ เพียงคนเดียว ในขณะที่คนข้างหลังจะมองไม่เห็น แต่ต้องควบคุมทิศทาง

หากไม่ได้ผ่านการซ้อมกันมาอย่างยาวนาน และผู้ร่วมแข่งขัน ไม่ได้เข้าขากันเป็นอย่างดี อาจมีบาดเจ็บ หรือถึงขั้นสาหัสได้เลยทีเดียว!

ใครๆ รู้แบบนี้ ต่างก็ไม่กล้าเข้าร่วมแข่ง แต่รูเบ็นกลับคิดต่าง และไปชวน พาโบล เพื่อนสนิทของเขาเข้าร่วมแข่งในประเภทคู่

รูเบ็น พูดสั้นๆ ว่า…

“นี่คือโอกาสของเรา ที่จะได้เหรียญ World Cup”

พาโบล ตัดสินใจ ลงแข่งกับรูเบ็น แต่เขาต้องไปขออนุญาตโค้ชเสียก่อน และต้องมีเลื่อนที่จะใช้ลงแข่งประเภทคู่ด้วย!

โค้ชของเขา อนุญาตให้เขาลงแข่งได้ แต่ความท้าทายสำคัญ ก็คือ “เขาไม่มีเลื่อน สำหรับลงแข่ง”

การแข่งครั้งนั้น จัดขึ้นที่ เมืองเซนต์ มอริตซ์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งผู้คนในเมืองนี้ ไม่ได้ใช้เลื่อนแบบที่ต้องใช้แข่งกันเลย

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คนที่นี่ พูดคุยกันด้วยภาษาเยอรมัน  ซึ่งทั้งรูเบน และพาโบล พูดเยอรมันไม่เป็น.. ทั้งคู่!!!

มีแต่ความคิดเท่านั้นแหละ ที่เป็นข้อจำกัดของชีวิต

แม้จะดูมืดมน และไร้หนทาง แต่รูเบ็นก็ไม่ยอมแพ้ เขา และพาโบล ตระเวนเคาะประตูบ้านของคนระแวกนั้น

เขาพูดคำว่า “คุณมีเลื่อนคู่สำหรับการแข่งเวิร์ดคัพไหม?” เป็นภาษาเยอรมันได้แบบตะกุกตะกัก และนั้นเป็นประโยคเดียวที่เขาพูดได้

เขาต้องเจอคำปฎิเสธ และบางคนก็ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เขาพูดด้วยซ้ำ!!

เป็นเวลา 2 วัน กว่าที่พวกเขา จะพบชายคนหนึ่ง ซึ่งมีเลื่อนเก่าอายุ 20 ปี ที่เต็มไปด้วยสนิม ในโรงเก็บของ

พวกเขายืมเลื่อนมาจากชายคนนั้น และใช้เวลาอีก 2 วัน ในการทำให้มันพร้อมสำหรับการแข่ง

พอถึงวันแข่ง…

นักแข่งคนอื่นๆ พากันมาดู รูเบ็น และพาโบล เอาชีวิตไปเสี่ยงในการแข่งประเภทคู่

พวกเขาชนลู่ เกือบตลอดระยะทางการแข่งขัน และเข้าเส้นชัยไปแบบทุลักทุเลและลงเอยที่อันดับ 4 ของการแข่ง!

แต่ผลจากการแข่งในครั้งนั้น ทำให้พวกเขาติดอันดับ 14 ของโลก ในการแข่งเลื่อนประเภทคู่ หลังจบฤดูการแข่งขัน

ผู้คนบอกว่า พวกเขาโชคดี ที่ตัดสินใจร่วมการแข่งขัน พวกเขาโชคดี ที่มีชีวิตรอด และได้ติดอันดับ 14 ของโลก

แต่ความจริงคือ… มันไม่ได้เกี่ยวกับโชคเลย!!

รูเบ็นบอกว่า…

“เราเพียงแค่เห็นโอกาส และเราก็ตัดสินใจลงมือทำ”
“เราสร้างโชคขึ้นมา!!”

พวกเขาแค่มุ่งมั่นไปยังสิ่งที่เขาฝัน เชื่อมั่น และไม่ปล่อยให้ความคิด มาจำกัดชีวิตของเขา

ถ้าคุณเองก็มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังมีความคิดที่จำกัดชีวิตอยู่ล่ะก็ นี่คือวิธีการ ที่คุณจะเป็นอิสระจากมัน!!

3 ขั้นตอน ปลดล็อคความคิด

 1 .ความคิดไหนที่จำกัดชีวิตคุณ?

คุณจะปลดล็อคความคิดของคุณไม่ได้หรอกครับ ถ้าคุณยังไม่ตระหนักเลยว่า ความคิดไหน มันฉุดรั้งคุณเอาไว้

จัดสรรเวลาเลยครับ ลิสต์มาเลยว่า ความคิดไหนบ้างที่มันฉุดคุณไว้

ความคิดลบๆ ทั้งหลาย เช่น…

– ฉันเป็นคนที่ตัดสินใจผิดพลาดตลอด
– ฉันมันห่วย และไม่เอาไหน
– ฉันกลัวว่ามันจะผิดพลาด และล้มเหลว เพราะฉันเก่งไม่พอ
– มันยากมากเลยนะ ที่จะทำสิ่งที่รักไปด้วย ในตอนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว
– ฉันคงมีความสุขไม่ได้แน่ๆ ถ้าจะเริ่มทำตาม Passion
– ฉันยังรู้ไม่พอ ซึ่งนั้นทำให้ฉันไม่กล้าลงมือทำอะไรจริงๆ สักที

ลิสต์ออกมาให้มากที่สุด เท่าที่จะนึกได้เลยครับ

ถึงเวลาปลดปล่อยมันออกไปแล้ว!!

 2. ยอมรับ และเลือกใหม่

หลังจากที่คุณได้ลิสต์ความคิดลบๆ ออกมาแล้ว ยอมรับว่า นั่นคือความคิดลบๆ ของคุณเอง

หลังจากนั้นให้คุณลิสต์รายการความคิด หรือความเชื่อใหม่ที่มันจะสนับสนุนให้คุณ มีชีวิตในแบบที่คุณฝันได้ง่ายมากขึ้น ไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องกังวล

แค่เลือกความเชื่อที่มันสนับสนุนคุณ แล้วเขียนลงไป

ตัวอย่างเช่น..

– เมื่อฉันตั้งใจจริงในเรื่องไหน ฉันก็จะสำเร็จในสิ่งนั้น
– ฉันคือคนที่เหมาะสม และคู่ควรกับผลลัพธ์
– ฉันตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ให้ตัวเองเสมอ
– ฉันมีความรู้ มีความสามารถมากพอ ที่จะเริ่มต้นลงมือทำ และประสบความสำเร็จ
– ถ้าฉันเลือกเดินตาม Passion ฉันจะมีชีวิตที่สนุกสนาน และมีความสุข
– ฉันสามารถสร้างชีวิต ด้วยการทำสิ่งที่ฉันรักได้
– ฉันเป็นคนที่ยอดเยี่ยม และฉันมีศักยภาพที่เต็มเปี่ยมอยู่ภายใน

มาถึงขั้นนี้ คุณจะมีทั้ง ลิสต์ของความคิดลบๆ
และลิสต์ของความเชื่อใหม่ในมือแล้ว

ก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายที่จะทำให้คุณปลดล็อคความคิดลบๆ ออกไปซะ

3 .เข้าใจ – ขอบคุณ – และลงมือทำ

หยิบลิสต์รายการความคิดลบๆ ของคุณขึ้นมาอีกครั้ง ทำความเข้าใจว่าทำไมความคิดนี้ถึงเกิดขึ้น
ขอบคุณในความหวังดีของมัน และฉีกมันทิ้งซะ!! วิธีการคือแบบนี้ครับ

ให้คุณเลือกความคิดลบๆ ที่เขียนไว้ มาทีละ 1 ข้อ

เช่น….

ความคิดลบๆ: “ฉันเป็นคนที่ตัดสินใจผิดพลาดตลอด”

หลังจากนั้นให้คุณทำความเข้าใจว่า ทำไมความคิดลบๆ นี้ เกิดขึ้นจากความหวังดี ที่จะทำให้เราเป็นอย่างไร

เช่น….

ความหวังดีของมัน: “มันต้องการให้ฉันได้ใช้ชีวิตที่สุขสบาย แบบชิลๆ” หลังจากนั้นให้คุณ กล่าวขอบคุณความคิดนั้น

แล้วขีดฆ่ามันทิ้งไปซะ!!

ทำจนครบทุกรายการที่คุณลิสต์ออกมา เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความคิดลบๆ เหล่านั้น

หลังจากนั้น ให้คุณหยิบลิสต์ความเชื่อใหม่ขึ้นมา ตั้งใจอ่านช้าๆ แล้วลงมือสร้างชีวิตที่ใช่ สักที

คุณคือคน 95% หรือเปล่า?

คุณรู้ไหมครับว่า 95% ของคนที่อ่านบทความนี้ 

จะเลือกให้ชีวิตมีแต่ข้อจำกัดเหมือนเดิมต่อไป!!

นั่นก็เพราะ พวกเขาคิดว่า… เขาคงไม่มีเวลาที่จะทำตาม 3 ขั้นตอนนี้

และสาเหตุของการ “ไม่มีเวลา” ก็คือ ชีวิตเขามันยังเจ็บมาไม่พอ!!

ถ้าคุณไม่ต้องการปล่อยให้ชีวิตที่มีค่าของคุณ ต้องเต็มไปด้วยข้อจำกัดแบบเดิมต่อไปอีกแล้ว

ผมจะบอกว่า…

คุณแค่เริ่มต้น ปลดล็อค 1 ความคิดลบในทันที คุณก็ได้ก้าวมาเป็นคน 5% ที่จะประสบความสำเร็จแล้ว

ถ้าคุณคือ คน 5% นั้น ผมขอท้าทายให้คุณ…

เขียน 1 ความคิดที่ฉุดรั้งคุณเอาไว้
เลือกความเชื่อใหม่ มา 1 ข้อ
กล่าวขอบคุณ และเลือก 1 Action
ที่คุณจะลงมือทำ เพื่อสร้างชีวิตที่ใช่

และแบ่งปัน ความคิดลบ และความคิดใหม่ ที่คุณได้จากทำตาม 3 ขั้นตอนลงในกล่อง Comment ทันที

ตัวอย่างเช่น….

ความคิดลบ: “ฉันไม่เก่ง และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้”
ความคิดใหม่: “ฉันมีความสามารถ และพัฒนาตัวเองได้แบบก้าวกระโดด”

เพราะความแตกต่าง ระหว่างคนล้มเหลว และคนสำเร็จ ก็คือ….

คนล้มเหลว แค่อยากรู้ แต่ไม่คิดที่จะลงมือทำ แต่คนสำเร็จ เขาจะเอาสิ่งที่เขารู้ มาลงมือทำ และเริ่มต้นสร้างผลลัพธ์ทันที!!

โค้ชกิตติ

กิตติ ไตรรัตน์  

ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง National Director ของ The Passion Test ประจำประเทศไทย 

ผู้มีความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสนับสนุนให้ผู้คน มีอิสรภาพจากภายในใจ 

www.KittiTrirat.com 

5 ทักษะ ที่ช่วยให้คุณมีความสุข เพิ่มขึ้นทุกวัน

ชีวิตที่จะมีความสุขอย่างแท้จริงนั้น ต้องมีองค์ประกอบของความสุขครับ ความสุขเป็นหนึ่งในความรู้สึกที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา แต่จะทำอย่างไรให้ คุณมีความสุขเพิ่มขึ้นในทุกวัน

วันนี้ผมมี 5 ทักษะง่ายๆ ที่ทำได้ทันทีเพื่อให้คุณมีความสุขมากขึ้น มาฝากกันครับ

1.การดื่มด่ำ

คือทักษะในการทำให้ร่างกายและจิตใจ ดื่มด่ำไปกับเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้น ทำตัวของเราให้แช่อิ่มอยู่ในห้วงเวลาแห่งความสุข

…. เวลาที่คุณทำอะไรสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ลองฝึกปล่อยใจให้ดื่มด่ำไปกับอารมณ์ดีๆ นั้นให้นานขึ้นดูสิครับ

2.การขอบคุณ

หมั่นขอบคุณเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต ปรับมุมมองและทัศนคติให้เป็นด้านบวก แม้วันนี้จะพบเจอกับความล้มเหลว

ก็ลองขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ทำให้เราได้มีประสบการณ์ชีวิต ที่จะช่วยให้เราภาคภูมิใจกับความสำเร็จได้มากขึ้นกว่าเดิม

3.มีความหวัง

ใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง โอกาสดีๆ รอปรากฏให้คนที่มีหวังได้มีโอกาสพบเจออยู่เสมอ การมีความหวังทำให้เราก้าวเดินต่อไป

แม้จะเจอกับสิ่งกีดขวางระหว่างทาง…. ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่… ขอจงเชื่อเถอะว่า… ความหวังยังมี

4.การให้

การให้ทำให้มนุษย์มีความสุข และมีความสุขทั้งผู้ให้ และผู้รับเลยทีเดียว ซึ่งการให้ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย

… เพราะมันทำได้ตั้งแต่การให้รอยยิ้มกับคนใกล้ๆ ตัว ก็ถือเป็นการให้ ที่สร้างความสุขได้แล้ว

5.ความเอาใจใส่

การรู้จักเอาใจเข้ามาใส่ใจเรา รู้จักแสดงความรัก และความห่วงใยต่อผู้อื่น นอกจากจะช่วยให้เรามีความสุขมากยิ่งขึ้นแล้ว

ยังเป็นการฝึกให้เราเป็นคนไม่ตัดสินคนอื่น ความเครียด ความโกรธ ที่มีต่อคนอื่นก็จะลดลงตามไปด้วย

มาฝึกทักษะเหล่านี้ เพื่อเพิ่มความสุขในชีวิตกันนะครับ ^^

โค้ชกิตติ

กิตติ ไตรรัตน์  

ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง National Director ของ The Passion Test ประจำประเทศไทย 

ผู้มีความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสนับสนุนให้ผู้คน มีอิสรภาพจากภายในใจ 

www.KittiTrirat.com 

<

p class=”paragraph” style=”margin: 0cm; margin-bottom: .0001pt; vertical-align: baseline;”>

3 สิ่งดีดี ที่ยิ่งทำให้คุณห่างไกล ความสำเร็จ

อะไรคือ 3 สิ่งดีๆ ที่ทำให้คุณยิ่งห่างไกลความสำเร็จ !

ต่อไปนี้คือ 3 สูตรแห่งความสำเร็จในยุคนี้ ที่ใครๆก็บอกกัน

ไปสัมมนาไหน ก็บอกให้หา Passion 
ลงเรียนคอร์สอะไร ก็บอกให้ ตั้งเป้าหมาย 
อยากสำเร็จใช่มั้ย กูรูบอกให้ มุ่งมั่นอดทน

ไม่มีอะไรผิดหรอก แต่บังเอิญผมใช้แล้วมันไม่ work ผมเริ่มธุรกิจอย่างตั้งใจและใช้เวลา 3 ปี พิสูจน์ว่า 3 สิ่งดีๆนี้ มันใช้ไม่ได้ผล ธุรกิจเกือบเจ๊ง

แต่พอมาตกผลึกตัวเองได้ ก็พลิกกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็ว บทความนี้ไม่อิงหลักการใดๆ ไม่รับประกันความถูกต้อง เพราะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ ผมแค่อยากแชร์ในอีกมุมมอง ว่าอะไรเป็นสูตรความสำเร็จ “ฉบับเรือรบ”

เรามาคุยถึงนิยามคำว่า “ความสำเร็จ” กันก่อน เพราะหลายๆคนอาจคิดไม่เหมือนกัน สำหรับผม ความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ทำได้ดีกว่าใคร ไม่ใช่แค่ ทำแล้วพออยู่ได้ ไม่ใช่แค่ ทำแล้วรวย แต่ต้องทั้งรวยและมีความสุขด้วย ถึงเรียกว่า “สำเร็จ” อย่างแท้จริง

ถ้าเห็นด้วยตามนี้ อ่านต่อครับ ว่าทำไม 3 สิ่งดีๆนี้ จึงทำให้คุณห่างไกลความสำเร็จ


1.ทำไม Passion ถึงไม่ช่วยให้คุณสำเร็จ?

Passion คือ การที่คุณรักและยังทำสิ่งนั้นอยู่ตลอด แม้ว่าคุณจะมีเงินล้นเหลืออยู่แล้ว หรือว่าคุณจะไม่ได้เงินจากมันเลยก็ตาม

จะเห็นได้ว่า การทำสิ่งที่รัก กับการทำเงิน มันคนละเรื่องกัน การหา Passion เจอ จึงไม่ได้ช่วยให้เราทำเงินได้เสมอไป

ดังนั้น สำหรับคนที่ต้องการความสำเร็จ แล้วยังค้นหา Passion อยู่ อยากให้เลิกกังวล เมื่อไม่รู้ว่าตัวเองรัก หรือถนัดอะไรกันแน่ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาค้นหานาน
         

แต่ให้เริ่ม “ลงมือทำ” อะไรก็ได้ เพื่อ “ล้มเหลว” ให้เร็วที่สุด

ผมตกผลึกได้ว่า “ต้องกล้าล้มเหลว” เพื่อจะได้ “เรียนรู้และปรับปรุง” เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ

ยิ่งเราทำมาก โอกาสเจอ Passion และสิ่งที่ถนัด (ที่ทำเงินได้) จะมากขึ้นเอง แต่ถ้าไม่เจอ เราก็จะเก่งขึ้น แล้วเอาทักษะนั้น ไปต่อยอดกับคนอื่นได้ต่อไป

หยุดเรียนเพื่อรู้ แล้วกระโดดลงไปเปื้อนโคลน เพื่อเรียนรู้ชีวิตจริง กันดีกว่าแนวคิดนี้ ทำให้ผมเป็นคนกล้า กล้าลองอะไรใหม่ๆ ที่คนอื่นลังเล

          ผมไม่สน Passion จึงกล้าทำสิ่งที่ไม่คุ้นชิน ไม่รัก ไม่ถนัดในตอนแรก เมื่อโอกาสเข้ามา ผม Say Yes ก่อน แล้วค่อยหาคนที่รักมัน มาทำต่อทีหลัง นั่นทำให้ธุรกิจผมขยายไปสู่ทิศทางใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว


2.ทำไม การตั้งเป้าหมาย ถึงไม่ช่วยให้คุณสำเร็จ?

จงฝันใหญ่ จงใช้จินตนาการ เห็นภาพความสำเร็จของตัวเอง ให้ชัดเจนที่สุด ผมทำมาหมดแล้วครับ ยิ่งทำยิ่งจิตตก เพราะจิตใต้สำนึกเราคิดว่า เป็นไปไม่ได้ เว่อร์เกิน

การตั้งเป้าของคนเริ่มธุรกิจใหม่ๆ มักจะทำไปด้วยกิเลส จิตฮึกเหิม อยากมี อยากเป็น อยากได้ ตั้งเป้าร้อยล้าน แต่เงินล้านเดียวยังไม่เคยจับ แล้วจะเอาวิธีการที่ไหนไปทำ

          การตั้งเป้า ต้องมี “Action Plan” ประกอบเสมอ ไม่งั้นเรียกว่า “ฝันกลางวัน” 

หากคุณ “ล้มเหลวในการวางแผน” แปลว่าคุณ “วางแผนไปล้มเหลว” ตั้งแต่แรก

ผมตกผลึกได้ว่า “อย่ายึดติดกับเป้า” เมื่อเวลาผ่าน เป้าหมายจะเปลี่ยนแปลงเสมอ แค่เราตั้งเป้า 5 ปีก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ปัจจุบันโลกหมุนเร็วมาก เปลี่ยนได้ทุกเดือนทีเดียว

ผมจึงเน้น ทำทีละเป้าเล็กๆ ที่วัดผลได้ชัดเจน จะได้รู้ว่าอะไร work อะไรไม่ work ให้ความสำเร็จเล็กๆ นำพาเราไปสู่ความสำเร็จขั้นต่อไป

ที่สำคัญ พร้อมจะ “ทิ้งเป้าใหญ่” ที่ตั้งใจไว้ได้เสมอ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง

ก็จะรอความสำเร็จอีก 10 ปีข้างหน้าทำไม สู้ฉลองความสำเร็จของเดือนนี้ ไม่ดีกว่าหรอ

         แนวคิดนี้ ทำให้ผมทำงานอย่างสนุก ไม่เครียด ทำเต็มที่ด้วยจิตว่าง ไม่ยึดติดผลลัพธ์ ให้อภัยกับความผิดพลาดของตัวเอง และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้เร็ว 

ผมยังตัดสินใจผิดบ่อย พอๆกับที่ตัดสินใจถูก แต่บังเอิญสิ่งที่ตัดสินใจถูกมักจะทำเงินกลับมาได้มากกว่าส่วนที่เสียไปเสมอ  นั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ ?


3.ทำไม การมุ่งมั่นอดทน ถึงไม่ช่วยให้คุณสำเร็จ?

ถ้าเราทำสิ่งที่ทำอยู่ ด้วยความมุ่งมั่นอดทน สักวันมันจะสำเร็จได้เอง คุณเชื่อเช่นนั้นใช่ไหม? 

หากคุณเลือกได้ จะเสียเวลา 10 ปี เพื่อทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ หรือใช้เวลา 1 ปี ทำสิ่งที่ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน แต่ไม่ใช่สิ่งที่ตั้งใจไว้ตอนแรก ?

        ไม่มีอะไรถูกผิด มันก็ขึ้นอยู่กับคุณเลือก แต่สำหรับผม “เวลา” มีค่ามากกว่า “เงิน”

เพราะเวลามันเพิ่มไม่ได้ มีแต่ลดลงไปทุกวัน    

ดังนั้น แทนที่จะมุ่งมั่นอดทน เพื่อหมกมุ่นปลุกปั้นกับสิ่งหนึ่งนานๆ ผมจะพิจารณาเสมอว่า

1. มีคนทำสิ่งนี้ ได้ดีกว่าผมมั้ย
2. จะให้เค้ามาช่วยทำแทน เพื่อให้ผมมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้มั้ย
3. เราจะแบ่งกำไรกันอย่างไร ให้ win win

โดยพื้นฐานนิสัย ผมเป็นคนขี้เกียจ ขี้เบื่อ และไม่อดทน นั่นทำให้ผมคิดเสมอว่า จะทำสิ่งหนึ่งให้ง่ายที่สุด สำเร็จได้เร็วที่สุด โดยเหนื่อยน้อยที่สุดได้อย่างไร

แนวคิดนี้ ทำให้ผมแตกไลน์ธุรกิจได้เร็วมากในช่วงหลังๆ ด้วยวิธีหา Partner ทางธุรกิจ ทำแต่สิ่งที่ถนัด ไม่ต้องจ้าง ต้นทุนต่ำ และแชร์ส่วนแบ่งกำไรกัน ใครถนัดอะไร อยากทำอะไร มาหาผม ผมจับชนกันได้หมด เกิดธุรกิจข้ามคืน


สรุปอีกครั้ง Passion การตั้งเป้าหมาย และความมุ่งมั่นอดทน ไม่ใช่สูตรความสำเร็จของผม  

3 สิ่งนี้อาจจะเหมาะกับหลายๆคน แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน  

ชีวิต อาจไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว แต่คนสำเร็จ ทิ้งร่องรอยไว้เสมอ

ถ้าคุณรัก และศรัทธาใคร ก็ติดตามร่องรอยคนนั้น คุณก็อาจจะสำเร็จในแบบเขาได้ แต่คุณต้องฝึก “แกะรอยความสำเร็จ” เพราะคงไม่มีใครบอกคุณได้ตรงๆทั้งหมด 

ดังนั้น “ทักษะการตกผลึกชีวิต และการเขียน” จึงเป็นทักษะสำคัญ ที่อยากฝากไว้ 

สำหรับพวกอินดี้อย่างผมจะนิยามความสำเร็จ ในแบบของตนเอง ผมชอบสร้างทางของตัวเอง โดยไม่ติดตามหรือเปรียบเทียบกับใคร 

ผมไม่มีคู่แข่ง มีแต่เพื่อนร่วมธุรกิจ ผมพร้อมจะปรับเปลี่ยนและเดินหน้ากับเพื่อนใหม่ๆเสมอ

แล้วคุณล่ะ มีนิยาม และสูตรความสำเร็จของตัวเองอย่างไร?
แชร์ที่คอมเม้นท์ข้างล่างกันหน่อยสิครับ

ด้วยมิตรภาพ

13339503_1098701643524708_887953190810839057_n

บทความโดย เรือรบ โค้ชนักเขียนมือโปร 
ติดตามได้ที่เพจ ‪https://www.facebook.com/ruarob

Categories EQ

7 บุคคลที่มีความสุขที่สุด บนโลกออนไลน์

4

สื่อออนไลน์ในขณะนี้ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่มีอิทธิพลที่สุด เราสามารถใช้สื่อออนไลน์ในการทำโฆษณา ติดต่อสื่อสาร หรือ ติดตาม

ข่าวสารบ้านเมืองต่างๆ พูดได้เลยว่าสื่อออนไลน์นั้นมีคุณประโยชน์มากมายเหลือเกินหากเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมในเชิงสร้างสรรค์

วันนี้ Learning Hub Thailand จึงอยากจะนำเสนอ 7 บุคคลทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางในการทำสิ่ง

ที่ตัวเองรัก สร้างความสุขให้ตัวเองและผู้อื่น บางท่านถึงขั้นพัฒนาไปเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้งามๆ ได้อีกเรามาดูกันเลยค่ะว่ามีท่านใดบ้าง  


 1.Michelle Phan 

เริ่มต้นกันด้วยสาวน้อยชาวเวียดนามคนนี้ เธอเกิดและโตที่อเมริกา ความดังของเธอมาจากการอัพคลิปแต่งหน้าที่เธออัดและตัดต่อ

ด้วยตัวเองลง Youtube จนสาวๆ ทุกคนต้องร้องเป็นเสียงเดียวกันว่านี่มันคือเวทมนต์ชัดๆ ! เพราะนอกจาก Michelle Phan จะมา

แต่งหน้าแนวธรรมชาติไปจนถึงแฟนตาซีโดยการนำวิชาศิลปะที่เธอร่ำเรียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เธอก็มีเคล็ดลับดูแลความสวย

ความงามในราคายอมเยาว์ให้สาวๆที่ติดตามเธอแถมให้อีก เรียกได้ว่าไม่ต้องรวยก็สวยได้นะคะ  

เพื่อเป็นการตอกย้ำความฮอตอย่างฉุดไม่อยู่ นอกจากเธอจะได้เป็นช่างแต่งหน้าประจำคอลัมม์ของเครื่องสำอางระดับ High End

อย่าง Lancome แล้ว เธอยังสร้างแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองที่มีชื่อว่า Em Michelle Phan  โดยรังสรรค์สีที่เป็นตัวเธอออกมา

ให้สาวๆ ได้เลือกใช้ (หากใครสนใจตอนนี้ยังไม่มีขายนะคะ ต้องสั่งทาง Website  อย่างเดียวค่ะ) ติดตามผลงานของเธอต่อได้ที่

https://www.youtube.com/user/MichellePhan 


2.คุณโมเม นภัสสร บุรณศิริ 

ถัดจาก Makeup Artist คนดังระดับโลกอย่าง Michelle Phan แล้ว เรามาต่อกันที่ช่างแต่งหน้ามือฉมังอย่างคุณโมเม

นภัสสร บุรณศิริ หรือฉายาโมเมพาเพลิน เธอเป็นที่นิยมอย่างไม่เสื่อมคลายในหมู่สาวไทย ที่ไม่ใช่แค่ต้องการเคล็ดลับเนรมิตความ

สวยที่เหมาะกับสาวโซนเอเชีย แต่ยังนำเอา Item เครื่องสำอางค์มารีวิวให้ดูกันจะๆ ฉะกันไปเลยว่าตัวไหนดีตัวไหนด้อยโดยไม่สน

ว่าแบรนด์นั้นจะ High end หรือจะ Drug Store  เรียกได้ว่าช่วยชีวิตสาวๆ ในการเลือกซื้อเครื่องสำอางค์ผิดชีวิตเปลี่ยนได้มากจริงๆ 

เริ่มแรกคุณโมเมเป็นคนชอบเครื่องสำอาง รักการแต่งหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอทำไปเรื่อยๆ จากความชอบกลายเป็นความรักจึง

เกิดประกายความคิดกับกรรรมการผู้จัดการและครีเอทีฟไดเร็คเตอร์คนเก่งของรายการ Spokedark ทำรายการสอนแต่งหน้าขึ้นมา

ซึ่งกว่าจะเป็นที่รู้จักได้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร และคงจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลยถ้าปราศจากความรักในสิ่งที่เธอทำอยู่  

สาวคนไหนอยากสวยเด้งหรืออยากรู้เทคนิกของคุณโมเมเผื่ออยากเป็นกูรูเข้าไปชมคุณโมเมเม้าท์เพลินๆ เรื่องความสวยความงาม

กันได้ที่ http://momay.spokedark.tv/ 


3.คุณบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ 

คุณบิณฑ์ ในฐานะที่คนทั่วไปรู้จักคือนักแสดงรุ่นเก๋าที่มากความสามารถ และเคยสมัครลงเล่นการเมืองด้วยนะคะ แต่บทบาทที่ยิ่ง

ใหญ่ตอนนี้ก็คือพ่อพระนักบุญ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ก่อนหน้านี้คุณบิณฑ์ ได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้คนที่ประสบภัยพิบัติ

กับมูลนิธิอย่างปอเต็กตึ๊งแต่เกิดความรู้สึกอิ่มบุญ มีความสุขขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงตั้ง Facebook fanpage ของตัวเองเพื่อแจ้งข่าวสารคนที่กำลังเดือดร้อนขึ้นมา

โดยเฉพาะตอนนี้มีลูกเพจของเขาแชร์เรื่องราวกันมาอย่างไม่ขาดสาย ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากๆ ที่คนไทยยังไม่ขาดแคลนน้ำใจ 

คุณบิณฑ์ที่ลงทั้งแรงเงินและแรงกายเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไม่มีเงื่อนไข

หากใครอยากติดตามคุณบิณฑ์ก็สามารถ ติดตามได้ที่ https://th-th.facebook.com/Bhin.fanclub/ 


4.คุณบัณฑิต อึ้งรังษี

คุณบัณทิต คือบุลที่ไต่เต้าจากคนธรรมดาไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร จนเป็นนักวาทยกรที่มีชื่อเสียงระดับโลก อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ได้รับ

การยอมรับว่าเป็น  “ผู้ชายที่ใช้ชีวิตคุ้มและน่าจะมีความสุขที่สุด”

นอกจากเขาจับธุรกิจวงการเพลงแล้ว เขายังมีประสบการณ์ชีวิตมากพอที่จะออกหนังสือ อัดคลิปวีดีโอและจัดสัมมนาแนวให้กำลังใจ

เพื่อชี้ทางสว่างให้คนมากมายที่อาจจะกำลังท้อถอยกับชีวิตอีกด้วยค่ะ เปรียบเทียบได้กับเป็นวอเรน บัฟเฟตของเมืองไทยเลยทีเดียว 

นอกจากเรื่องให้กำลังใจและแนะแนวทางธุรกิจแล้ว เขายังมาจับหนังสือแนวหาคู่เนื่องจากเขาได้แต่งงานมีครอบครัวที่สมบูรณ์

พร้อมแฟนสาวชาวต่างชาติที่ตรงตามสเปคของทุกประการ ดังนั้นเขาจึงอยากจะแบ่งปันเทคนิคนี้ให้กับคนอื่นบ้าง สุดยอดจริงๆ !

หากใครสนใจจะติดตามเรื่องราวดีๆ จากคุณบัณฑิต สามารถติดตามได้ที่ http://bundit.org/  


5.คุณพิมฐา ฐานิดา มานะเลิศเรืองกุล 

สาวน้อยที่นำภาพถ่ายตัวเองลงสื่อออนไลน์อย่าง Instagram จนความน่ารักสดใสไปเข้าตาชาวเน็ตอย่างจังดังเป็นพลุแตก แต่จะให้

เครดิตแค่น้องพิมฐาอย่างเดียวไม่ได้ค่ะ ต้องยกให้คุณบูม แฟนหนุ่มหล่อของเธอด้วยที่เป็นผู้ถ่ายภาพเกือบทั้งหมดของเธอด้วย

ความรัก ทำให้ภาพออกมาละมุนมากๆ บวกกับวิวของประเทศญี่ปุ่นที่ทั้งคู่ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อ ขอบอกว่างานเขาดีเหมือนซีรี่ย์ญี่ปุ่นเลยนะคะ 

ความโด่งดังของพิมฐาไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้นนะคะ แต่ดังไปถึงระดับต่างประเทศอีกด้วย  ตอนนี้เธอออก Photo book มาเอาใจแฟนคลับให้ฟินยาวๆ กันไป

หากใครรักและติดตามเธอก็อุดหนุนได้ รับรองว่าน้องเค้าพกความสดใสมาแจกให้โลกยิ้มตามเป็นลังๆ เลยค่ะ   

สามารถติดตาม Instagram ของน้องพิมฐาได้ที่ https://www.instagram.com/pimtha/


6.คุณรุ้ง LoveExpert 

คุณรุ้ง LoveExpert  หรือคุณพิมพ์ภัทรา พิมพ์รัตนากุล เป็นศิษย์เอกสาวสวย ของคุณบัณฑิต อึ้งรังสี เธอจะเน้นการอธิบายและให้

คำปรึกษาเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ เผยแพร่กลเม็ดเคล็ดลับต่างๆ เพื่อเสริมสร้างพลังในตัวเอง พัฒนาความคิดแง่บวกโดยมี

การนำหลักจิตวิทยามาอ้างอิง   

เธอได้แบ่งปันเรื่องราวดีๆ บนเวบไซด์ของตัวเองและ Facebook เพื่อช่วยเหลือคนอื่นอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น กฎแรงดึงดูดของ

ความรัก  เคล็ดลับในการเปลี่ยนแปลงคนรักให้เป็นแบบที่เราต้องการ และ 5 เคล็ดลับดีๆ ที่ทำให้มีแต่คนรักคุณ

นี่แค่น้ำจิ้มเท่านั้นนะคะ เรียกได้ว่าหากคุณได้ชมคลิปของเธอแล้ว รับประกันได้เลยว่าโลกของคุณและคนรอบข้างจะต้องสดใส

มีความสุขขึ้นแน่นอนค่ะ มารับแนวความคิดเสริมพลังใจของตัวเองและคนรอบข้างกับคุณรุ้งได้ที่ https://www.facebook.com/RainbowLoveExpert/  


7.คุณ Linna Li 

คุณ Linna Li หรือ นลินนา ลี สาวน้อยผู้เป็นนางฟ้าในวงการ D.I.Y หรือย่อมาจาก Do It by Yourself นอกจากหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก

แล้ว ความสามารถของเธอก็ไม่ได้จิ้มลิ้มตามหน้าตาเลยค่ะ เธอมีความสามารถในการหยิบนั้นหยิบนี้มาประกอบกันเป็นของที่น่ารัก

ถูกใจวัยรุ่นเป็นที่สุด แถมยังออกหนังสือพ็อกสอนตัดเย็บออกมาด้วยค่ะ โอ้ย แม่สีเรือนสุดๆ  

เธอไม่ได้พกมาแค่ความคิดสร้างสรรค์อันบรรเจิด เธอยังออกอัลบั้มเพลงเป็นของตัวเองอีกด้วย โชว์เสียงหวานใสน่ารักให้แฟนๆ

ละลายกันเป็นแถว ทั้งน่ารักแล้วยังใจบุญแบ่งบันเทคนิคดีๆ บนสื่อออนไลน์แบบนี้ กดเลิฟเลยแหละสามารถติดตามผลงานของเธอ

ได้ที่ https://www.facebook.com/the.forest.wanderer 


แน่นอนว่าการได้ทำงานที่ตัวเองรักถือเป็นความฝันสูงสุดของทุกคน บุคคลทั้ง 7 ท่านที่เราได้นำมาเสนอในวันนี้ ไม่เพียงแต่จะใช้ความพากเพียรในการทำสิ่งที่ตัวเองรักให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาโดยไม่สนใจคำพูดด้านลบของคนอื่น

แต่กลับเอาคำพูดเหล่านั้นมาเป็นแรงฮึดสู้ จนกระทั่งประสบความสำเร็จกลับมาสอนคนรอบตัวและสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมอีกด้วย Learning Hub Thailand หวังว่าผู้อ่านจะนำข้อคิดอันมีค่าจากบุคคลเหล่านี้มาประยุกต์ใช้และกลายเป็นบุคคลที่มีความสุขที่สุดคนต่อไปค่ะ  

เรียบเรียงโดย ไพรินทร์- Learning Hub Team 

บันได 5 ขั้น สู่การปลดล็อคความคิด

11

         ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จในแบบฉบับของตนเอง  ทุกคนเกิดมาแต่แรกก็ยังลืมตาไม่ได้ นั่งไม่ได้ เดินไม่ได้ พูดไม่ได้ วิ่งก็ไม่ได้ และอีกสารพัดที่ยังทำไม่ได้ แต่ต่อมาเราพัฒนาจนเราสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้หลายอย่าง เดินก็ได้ พูดก็ได้ อ่านก็ได้ เขียนก็ได้ ขับรถก็ได้ ว่ายน้ำได้

         และผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายอย่างที่เราสามารถทำได้ เพราะมนุษย์สามารถพัฒนาได้และเป็นได้ทุกอย่างตามที่มนุษย์ต้องการจะเป็นมนุษย์สามารถสื่อสารกันได้ทั้งโลกด้วยอินเตอร์เน็ต

มนุษย์เราสามารถเดินทางข้ามโลกไปหากันได้ด้วยเครื่องบิน

มนุษย์เราสามารถออกนอกโลกไปเหยียบดวงจันทร์ได้ และอีกมากมายที่มนุษย์ทำได้ ฯลฯ
       

         หากย้อนหลังไปสัก 500 ปี ใครจะเชื่อว่าจะเกิดเรื่องดังกล่าวนี้ขึ้น บางคนมองว่าคนที่ประสบความสำเร็จดังกล่าวเป็นอัจฉริยะเขาเป็นได้ เขาทำได้ แต่ฉันคงทำแบบเขาไม่ได้หรอก ถูกของคุณครับ คุณคิดแบบไหนมันก็จะเป็นจริงแบบนั้น
         แล้วทำไมเราถึงคิดว่าเราทำไมได้ละ อะไรคือสิ่งที่กดเราไว้ทำให้เรากังวล กลัว ลังเล ขาดอิสรภาพ
มีอยู่เพียงสิ่งเดียว สิ่งนั้นคือ “ความคิด” ของเรานั่นเอง ถ้าเรายังปลดล็อคความคิด หรือมีอิสระทางความคิดไม่ได้เรื่องอื่นๆ ก็ยากที่จะสำเร็จ ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน รับรองว่าคุณก็จะไม่มีความสุขแบบเต็มที่แน่นอน และผมมีเทคนิคสำหรับปลดล็อคความคิด ให้ลองนำไปทำดูนะครับ

1. หาความต้องการที่แท้จริงของตัวเองให้เจอ 

          โดยการหยุดฟังเสียงรอบตัว แล้วให้ฟังเสียงหัวใจตัวเอง ลองถามตัวเองว่าชีวิตเรา เราต้องการอะไรจริงๆกันแน่ไม่ใช่ต้องการในสิ่งที่คนอื่นคาดหวัง หรือเป็นไปตามกระแสสังคม จากนั้นเขียนเป็นเป้าหมายให้ชัดเจน

2. รับผิดชอบชีวิตของตัวเอง

          ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ให้เรายิ้มและพูดว่าโชคดีจังที่…..ให้เราหากเหตุผลมาอธิบายความโชคดีนั้นให้ได้ เช่น 
บ้านไฟไหม้ ก็ยิ้มและพูดว่าโชคดีจัง ที่ไม่มีใครเป็นอะไร   ตกงานก็ยิ้มและโชคดีจังที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำสักทีหรือโชคดีจัง  จะได้มีเวลาเป็นของตัวเองสักที

            มันอาจจะทำยากสักหน่อย เราจึงต้องมั่นฝึกทำบ่อยๆ ครับใช้สติจับความรู้สึก และหาความโชคดีให้เจอครับ

3. อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ และพัฒนาตัวเอง

           ความรู้จะทำให้เรามั่นใจ ถ้าไม่รู้เราจะไม่มั่นใจ จงเป็นคนที่เรียนรู้ตลอดชีวิตครับแต่เนื่องจากเวลาของเรามีน้อยครับ ดังนั้นให้เลือกเรียนรู้ในสิ่งที่จะพัฒนาเราไปสู่เป้าหมายครับ

4. ขอให้เรามีความกล้าหาญ กล้าที่จะลงมือทำสิ่งใหม่ๆ

          กล้าที่จะออกไปเผชิญในสิ่งที่ไม่เคยทำด้วยความรู้และสติปัญญา เพื่อให้เราได้เรียนรู้และเติบโตเต็มตามศักยภาพ ความกล้ามันตรงข้ามกับความกลัวครับ

          เมื่อไหร่ที่เราไม่กล้าคือเรากลัวให้เราลงมือทำกับเรื่องที่กลัว เผชิญหน้ากับมันครับทำไปทำมาความกลัวมันจะหายไป กลายเป็นความกล้าหาญ แต่ถ้ากล้าแบบขาดสติ ขาดปัญญา กล้าบ้าบิ่นก็อาจจะเป็นการฆ่าตัวตายดีๆนี่เอง ดังนั้นจงกล้าแบบมีความรู้และสติปัญญาครับ

5. สร้างนิสัยใหม่ โดยใช้วินัยเป็นตัวกำกับ

           ผู้ที่มีวินัย ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ

ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้นะครับ

เรียบเรียงโดย คติพจน์ จินดาวงศ์

3 เคล็ดลับ ใช้ชีวิตโสดอย่างไร ให้มีความสุข

9

         เชื่อว่าหลายๆคน คงกลัวความเหงากันไม่น้อยเลยใช่ไหมค่ะ เพราะการไปไหนคนเดียว กินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว มันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับคนที่เคยมีคู่อยู่ไม่น้อย วันนี้ใหม่มีเคล็ดลับดีๆ 3 ข้อมาฝากกัน

         หากใครที่กลัวว่าการใช้ชีวิตโสดดูจะเป็นเรื่องดูไม่น่าสนุกเอาซะเลย ลองเปลี่ยนแนวคิดดู แล้วจะพบว่าการใช้ชีวิตโสดไม่น่ากลัวไปกว่าความคิดเราเลย  เราอาจพบมุมมองใหม่ในชีวิตที่เราไม่เคยรู้สึกมาก่อนและโหยหามาทั้งชีวิตก็ได้ มาเริ่มกันที่ข้อแรกเลยดีกว่าค่ะ

1.หาโอกาสไปเที่ยว ไปเปิดโลกใหม่ๆ ลองทำกิจกรรมใหม่ๆ ดูบ้าง

         หากคุณหวังที่จะเจออะไรใหม่ๆ แต่ยังไม่ยอมออกไปไหน เพราะกลัวที่จะต้องไปไหนคนเดียว คุณคงจะหาโอกาสได้ยากมากๆที่จะเจอคนใหม่ๆ หรือกิจกรรมใหม่ๆที่ทำให้คุณได้พบกับความสุขทางใจมากขึ้น อาจเป็นเรื่องแปลกอยู่บ้างกับสายตาของคนทั่วไปที่มองว่า ทำไมชอบไปไหนมาไหนคนเดียว

        แต่เมื่อคุณเริ่มปรับตัวได้ คุณจะเริ่มรู้สึกว่า ความสุขของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายตาภายนอกอีกแล้ว แต่มันขึ้นอยู่กับความสุขภายในใจของคุณเอง ลองดูนะค่ะ แรกๆอาจจะยาก แต่ถ้าเริ่มมันจะดี เพราะคุณจะเริ่มรู้สึกว่า การลองทำอะไรคนเดียวมันก็ไม่ได้น่ากลัวแบบที่ใจเราคิดเลย ความกลัวทุกอย่างมันก็เริ่มมาจากใจเราเอง ถ้าจะทำให้มันจบ ก็ต้องจบที่ใจของเราเองเช่นกันค่ะ

 2.เปลี่ยนแนวคิดคำว่า “โสด”

         โสดเป็นแค่คำที่กำหนดสถานะของเราในสังคมเท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่ชี้วัดว่าถ้าเรา โสด  เราจะ สนุก กับชีวิตไม่ได้  อย่ายึดติดว่าเมื่อเรา โสด เราจะต้องเหงา ต้องโดดเดี่ยวเสมอไป ตระหนักไว้อยู่เสมอว่า ความเหงาเป็นอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งเฉกเช่นเดียวกับ ความสุข ความทุกข์ ความเศร้า และความสนุกสนาน

         ดังนั้น ความรู้สึกเหล่านี้เมื่อเข้ามาไม่นานมันก็จะผ่านไปเช่นเดียวกันค่ะ  ชีวิตของคนเราไม่ได้มีแค่มิติของการใช้ชีวิตคู่อย่างเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มีความสุข แต่ยังมีชีวิตในมิติด้านอื่นๆ เช่น การงานที่ดี มิตรภาพที่จริงใจ การมีอิสรภาพในการได้ทำในสิ่งที่ตนรัก หรือแม้กระทั่งการท่องเที่ยว ล้วนเป็นสิ่งที่มาช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตให้มีความความสุขได้แม้ไร้ “คู่” เช่นเดียวกันค่ะ

3. การเป็นโสดจะทำให้คุณได้อยู่กับตัวเอง ครอบครัวและมิตรภาพมากยิ่งขึ้น

         แน่นอนเมื่อตอนที่เรายังมีคนรัก เวลาที่มีทั้งหมดของเรา 100% จะต้องถูกแบ่งให้กับคนรักเกินกว่า     50 % จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากคุณจะมีเวลาที่จะได้อยู่กับตัวเอง ครอบครัวหรือเพื่อนน้อยลงด้วย ข้อดีของการที่คุณยังใช้ชีวิตโสดอยู่คือ คุณจะมีเวลาเป็นตัวคุณเอง 100% โดยที่คุณสามารถเลือกได้ว่าจะใช้เวลานั้นอยู่กับใคร

         ยิ่งคุณมีเวลาอยู่กับตัวเอง ทบทวนตัวเองเรื่องความสัมพันธ์กับผู้อื่นมากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งรักตัวเองและรักคนอื่นโดยเฉพาะครอบครัว เพื่อน มิตรภาพดีๆ มากยิ่งขึ้น  การมีชีวิตคู่นั้นเป็นเรื่องที่สวยงามเสมอ เราเปิดใจยอมให้ใครซักคนมาร่วมใช้เวลา 100% ที่มีกับเราล้วนแต่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ 

        แต่หากคุณยังโสดให้ลองปรับเปลี่ยนวิธีคิดดูใหม่ว่า การอยู่กับตัวเอง(ชั่วคราว) เป็นการทำให้  หัวใจเราเองได้หยุดพักกับเรื่องราววุ่นๆ เพื่อทำให้ใจได้แข็งแรงพร้อมรับมือเรื่องราวใหม่ๆที่จะเข้ามาในชีวิตในอนาคตได้ดีอีกด้วย

         สุดท้ายแล้ว การที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนั้น วิธีคิด เป็นสิ่งสำคัญและเป็นจุดเริ่มต้นในการลองทำ ลองเปลี่ยนอะไรใหม่ ๆ แม้จะยืนอยู่บนกระดานที่ชื่อว่า “ความกลัว”  หาก mind set ของคุณคือต้องการเป็นคนที่มีความสุขรับมือกับความทุกข์ได้เป็นอย่างดี เราเชื่อว่า แม้ว่าคุณจะ “โสด” หรือ “ ไม่โสด “ คุณจะเป็นคนที่มีความสุขได้ไม่ว่าในสถานะภาพทางสังคมไหนแน่นอนค่ะ

ใหม่ – Learning Hub Thailand

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save