5 วิธี เพิ่มพลังทวี เรียกโชคดีให้ชีวิต

8

         เป็นที่รู้กันว่าเรื่องโชคชะตาดีร้ายดีมักไม่เข้าใครออกใคร แต่รู้หรือไม่ค่ะว่า “ตัวเราเอง” ก็เป็นศูนย์กลางเพื่อเรียก “ความโชคดี” เหล่านั้นได้  

         ในเรื่องของความโชคดี แต่ละศาสตร์ก็จะมีความเชื่อต่างกันไป เช่น ลัทธิเต๋า มีความเชื่อเรื่องหยิน-หยาง เป็นพื้นฐานศาสตร์แห่งความสมดุล มีอิทธิพลต่อสุขภาพ รวมถึงความสมดุลของชีวิตของคนเราด้วย หากใครมีหยิน – หยางไม่สมดุลอาจทำให้ป่วยได้หรือความเชื่อของคนไทย ก็มีวิธีสะเดาะห์เคราะห์ ปัดโชคร้ายปัดรังควานสิ่งไม่ดีออกไป เพื่อให้ชีวิตมีพื้นที่ว่าง รอต้อนรับสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเข้ามา

        และถ้าคุณกำลังหดหู่ ไม่สดใส รู้สึกช่วงนี้ดวงซวยแบบไร้สาเหตุ Learning Hub Thailand  มี 5 วิธีเพิ่มพลังและเรียกโชคมาฝากค่ะ อยากรู้ว่าจะได้ผลมั้ย ชีวิตจะโชคดีขึ้นแค่ไหน คุณเท่านั้นที่จะสัมผัสผลลัพธ์นั้นเอง

1.หมั่นสร้างอารมณ์บวกให้กับตัวเอง

               คนโชคดี สร้างชะตากรรมของพวกเขาขึ้นมาเอง

                                                          ศาสตราจารย์ริชาร์ด ไวส์แมน นักจิตวิทยา

            ศาสตราจารย์ริชาร์ด ไวส์แมน ใช้เวลาในช่วงสิบปีศึกษาเรื่องความโชคดี แม้กลุ่มทดลองไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเกี่ยวกับโชคสักนิด แต่เชื่อมั้ยคะ ผลลัพธ์จากการทดลอง

พบว่า วิธีคิดและพฤติกรรมของคนเรา มีความสัมพันธ์อย่างมากกับความโชคดีหรืออับโชค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการได้รับโอกาส

            ผลวิจัยยังพบอีกว่า “คนโชคดี มีลักษณะนิสัยที่ผ่อนคลายและเปิดกว้างมากกว่า เห็นวิกฤตเป็นโอกาสมากกว่า ตรงข้ามกับคนอับโชค ที่มีนิสัยตึงเครียดอยู่บ่อยครั้ง  ซึ่งอารมณ์ลบๆ แบบนี้ล่ะ เป็นตัวขัดขวางไม่ให้พบเจอเรื่องดีๆ เพราะมัวแต่ไปเพ่งเล็งเรื่องแย่ๆ อยู่นั่นเองค่ะ

            แล้วคุณล่ะคะ? กำลังอยู่ในกลุ่มคนโชคดีหรืออับโชค?

2.เลือกใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส

ปี 2016 เป็นปีพลังธาตุไฟแรง

            ถ้าคุณ คือ หนุ่มเพลย์บอยหรือเหล่าแฟชั่นนิสต้าตัวยง คงเข้าใจเรื่องอิทธิพลของสี ที่มีต่ออารมณ์ของคนเราได้เป็นอย่างดี และปีนี้ก็เช่นกันค่ะ ซึ่งเป็นปีที่พลังธาตุไฟแรง ถ้าคุณอยากเพิ่มความมงคลโชคดีให้กับชีวิต แค่ลองเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส เช่น ส้ม แดง ซึ่งเป็นตัวแทนของธาตุไฟ ช่วยเสริมโชคด้านการเงิน หรือเน้นเครื่องประดับที่มีความแวววาวสักนิด เช่น แหวนเงิน แหวนทอง พลังของโลหะจะช่วยสลายพลังไม่ดีออกไปได้

3.พาตัวเองเข้าใกล้ “คนโชคดี”

      คนโชคดี มักมีมุมมองที่แตกต่างจากคนโชคร้ายเสมอ

            เคยมั้ยคะ? เห็นคนรอบข้าง หรือคนไกลตัวโชคดีอยู่บ่อยๆ แล้วคุณกลับมาหดหู่กับตัวเอง ขั้นตอนนี้อยากให้คุณมองข้ามตัวเองไปสักพัก แล้วเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตด้วยการพาตัวเองไปอยู่ใกล้คนโชคดีเหล่านั้น ไม่ใช่เพื่อให้ความโชคดีแผ่ออร่ามาถึง แต่เพื่อให้คุณได้ซึมซับทัศนคติ วิธีคิด มุมมองอื่นๆจากคนเหล่านั้น

           เมื่อคุณได้มุมมองใหม่ คุณจะเห็นโอกาสดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในแต่ละสถานการณืแบบที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อนก็เป็นได้ค่ะ

4.ติดอาวุธให้ตัวเอง

                                                         มีดยิ่งลับยิ่งคบ โชคดีเกิดจากการฝึกฝน

           บางคนอาจงงว่าอาวุธอะไรเหรอ อาวุธที่ว่า คือ ความรู้ค่ะ  หมั่นหาความรู้ พัฒนาทักษะที่คุณอยากฝึกหรือแนวที่คุณถนัดอยู่แล้ว ต่อยอดความรู้ไปอีก อย่าพอใจกับตัวเองในวันนี้ ใครอยากให้ตัวเองเชี่ยวชาญด้านไหนหรือถ้าเป็นเรื่องนี้เขาต้องนึกถึงเราก่อน

           ลองหาต้นแบบคนสำเร็จแบบนั้นดู ฝึกฝนวิทยายุทธตัวเองให้เก่ง เชี่ยวชาญมากขึ้น วันหนึ่งเมื่อคุณมีความสามารถ ประสบการณ์มากพอ เมื่อโอกาสมาเยือนคุณก็พร้อมจะยื่นมือออกไปคว้ามันไว้ แล้ววันนั้นคุณจะคิดว่า โชคดีนะที่เราเตรียมความพร้อม ฝึกทักษะตัวเองก่อน เพราะถ้ามีโอกาสดีดีมา แต่คุณเองที่ความสามารถยังไม่เข้าขั้น มันก็จบค่ะ เพราะโชคดีมาพร้อมกับคนที่เตรียมพร้อมค่ะ

5.คิดเสมอว่าคุณเป็นคนโชคดี

            กฎแรงดึงดูด เป็นกฎธรรมชาติ เหมือนกฎแรงโน้มถ่วง ฉะนั้น มันมีจริงแน่นอน

                                                                                                                         บัณฑิต อึ้งรังษี

            หากความโชคดี คือเรื่องธรรมชาติ การคิดเสมอว่าเราคือคนโชคดี ก็คือการคิดแบบ ธรรมชาตินั่นเองค่ะ แน่นอนว่าถ้าคุณมัวแต่เพ่งเล็งว่าตัวเองโชคร้าย  คุณก็จะพบเจอว่าตัวเองโชคร้ายอยู่ร่ำไป จนละเลยความโชคดีรอบๆ ตัว

            หลายครั้งเราเห็นนักธุรกิจที่บริษัทเจ๊งไม่เป็นท่า แต่สุดท้ายเค้ายังพลิกวิกฤติ ให้เป็นโอกาสได้ ไม่ใช่เพียงความไม่ยอมแพ้ของเค้า แต่นั่นแสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ของคนเรา ส่วนหนึ่งได้มาจากวิธีคิดของเราด้วย ดังนั้นให้เชื่อมั่นในใจเสมอว่า “ใครเจอเรา คนนั้นโชคดี”

โชคดีที่เขามีเพื่อนแบบเรา

โชคดีที่เขามีแฟนแบบเรา

โชคดีที่เขามีน้องแบบเรา

โชคดีที่เขามีพี่แบบเรา

เมื่อคุณเชื่อคุณจะลงมือทำตามสิ่งที่คุณเชื่อ

           คุณ คือ ผู้สร้างโชคดีให้เกิดขึ้น อย่ารอให้ใครหรืออะไรมีอิทธิพลกำหนดชีวิต หากคุณอยากเปลี่ยนแปลงโชคชะตา อย่าลืมคิดว่า “โชคนั้น” เป็นของคุณ และคุณสร้างมันขึ้นมาเองได้ ทุกที่ ทุกเวลา และทุกสถานการณ์ค่ะ …ขอให้โชคดีนะคะ

เรียบเรียงโดย Aris – Learning Hub Team

ที่มาข้อมูล

http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=2710&read=true&count=true

http://www.praew.com/26215/lifestyle/horoscope/fix-tips-2016/

http://home.sanook.com/8469/

3 สิ่งดีดี ที่ยิ่งทำให้คุณห่างไกล ความสำเร็จ

อะไรคือ 3 สิ่งดีๆ ที่ทำให้คุณยิ่งห่างไกลความสำเร็จ !

ต่อไปนี้คือ 3 สูตรแห่งความสำเร็จในยุคนี้ ที่ใครๆก็บอกกัน

ไปสัมมนาไหน ก็บอกให้หา Passion 
ลงเรียนคอร์สอะไร ก็บอกให้ ตั้งเป้าหมาย 
อยากสำเร็จใช่มั้ย กูรูบอกให้ มุ่งมั่นอดทน

ไม่มีอะไรผิดหรอก แต่บังเอิญผมใช้แล้วมันไม่ work ผมเริ่มธุรกิจอย่างตั้งใจและใช้เวลา 3 ปี พิสูจน์ว่า 3 สิ่งดีๆนี้ มันใช้ไม่ได้ผล ธุรกิจเกือบเจ๊ง

แต่พอมาตกผลึกตัวเองได้ ก็พลิกกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็ว บทความนี้ไม่อิงหลักการใดๆ ไม่รับประกันความถูกต้อง เพราะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ ผมแค่อยากแชร์ในอีกมุมมอง ว่าอะไรเป็นสูตรความสำเร็จ “ฉบับเรือรบ”

เรามาคุยถึงนิยามคำว่า “ความสำเร็จ” กันก่อน เพราะหลายๆคนอาจคิดไม่เหมือนกัน สำหรับผม ความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ทำได้ดีกว่าใคร ไม่ใช่แค่ ทำแล้วพออยู่ได้ ไม่ใช่แค่ ทำแล้วรวย แต่ต้องทั้งรวยและมีความสุขด้วย ถึงเรียกว่า “สำเร็จ” อย่างแท้จริง

ถ้าเห็นด้วยตามนี้ อ่านต่อครับ ว่าทำไม 3 สิ่งดีๆนี้ จึงทำให้คุณห่างไกลความสำเร็จ


1.ทำไม Passion ถึงไม่ช่วยให้คุณสำเร็จ?

Passion คือ การที่คุณรักและยังทำสิ่งนั้นอยู่ตลอด แม้ว่าคุณจะมีเงินล้นเหลืออยู่แล้ว หรือว่าคุณจะไม่ได้เงินจากมันเลยก็ตาม

จะเห็นได้ว่า การทำสิ่งที่รัก กับการทำเงิน มันคนละเรื่องกัน การหา Passion เจอ จึงไม่ได้ช่วยให้เราทำเงินได้เสมอไป

ดังนั้น สำหรับคนที่ต้องการความสำเร็จ แล้วยังค้นหา Passion อยู่ อยากให้เลิกกังวล เมื่อไม่รู้ว่าตัวเองรัก หรือถนัดอะไรกันแน่ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาค้นหานาน
         

แต่ให้เริ่ม “ลงมือทำ” อะไรก็ได้ เพื่อ “ล้มเหลว” ให้เร็วที่สุด

ผมตกผลึกได้ว่า “ต้องกล้าล้มเหลว” เพื่อจะได้ “เรียนรู้และปรับปรุง” เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ

ยิ่งเราทำมาก โอกาสเจอ Passion และสิ่งที่ถนัด (ที่ทำเงินได้) จะมากขึ้นเอง แต่ถ้าไม่เจอ เราก็จะเก่งขึ้น แล้วเอาทักษะนั้น ไปต่อยอดกับคนอื่นได้ต่อไป

หยุดเรียนเพื่อรู้ แล้วกระโดดลงไปเปื้อนโคลน เพื่อเรียนรู้ชีวิตจริง กันดีกว่าแนวคิดนี้ ทำให้ผมเป็นคนกล้า กล้าลองอะไรใหม่ๆ ที่คนอื่นลังเล

          ผมไม่สน Passion จึงกล้าทำสิ่งที่ไม่คุ้นชิน ไม่รัก ไม่ถนัดในตอนแรก เมื่อโอกาสเข้ามา ผม Say Yes ก่อน แล้วค่อยหาคนที่รักมัน มาทำต่อทีหลัง นั่นทำให้ธุรกิจผมขยายไปสู่ทิศทางใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว


2.ทำไม การตั้งเป้าหมาย ถึงไม่ช่วยให้คุณสำเร็จ?

จงฝันใหญ่ จงใช้จินตนาการ เห็นภาพความสำเร็จของตัวเอง ให้ชัดเจนที่สุด ผมทำมาหมดแล้วครับ ยิ่งทำยิ่งจิตตก เพราะจิตใต้สำนึกเราคิดว่า เป็นไปไม่ได้ เว่อร์เกิน

การตั้งเป้าของคนเริ่มธุรกิจใหม่ๆ มักจะทำไปด้วยกิเลส จิตฮึกเหิม อยากมี อยากเป็น อยากได้ ตั้งเป้าร้อยล้าน แต่เงินล้านเดียวยังไม่เคยจับ แล้วจะเอาวิธีการที่ไหนไปทำ

          การตั้งเป้า ต้องมี “Action Plan” ประกอบเสมอ ไม่งั้นเรียกว่า “ฝันกลางวัน” 

หากคุณ “ล้มเหลวในการวางแผน” แปลว่าคุณ “วางแผนไปล้มเหลว” ตั้งแต่แรก

ผมตกผลึกได้ว่า “อย่ายึดติดกับเป้า” เมื่อเวลาผ่าน เป้าหมายจะเปลี่ยนแปลงเสมอ แค่เราตั้งเป้า 5 ปีก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ปัจจุบันโลกหมุนเร็วมาก เปลี่ยนได้ทุกเดือนทีเดียว

ผมจึงเน้น ทำทีละเป้าเล็กๆ ที่วัดผลได้ชัดเจน จะได้รู้ว่าอะไร work อะไรไม่ work ให้ความสำเร็จเล็กๆ นำพาเราไปสู่ความสำเร็จขั้นต่อไป

ที่สำคัญ พร้อมจะ “ทิ้งเป้าใหญ่” ที่ตั้งใจไว้ได้เสมอ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง

ก็จะรอความสำเร็จอีก 10 ปีข้างหน้าทำไม สู้ฉลองความสำเร็จของเดือนนี้ ไม่ดีกว่าหรอ

         แนวคิดนี้ ทำให้ผมทำงานอย่างสนุก ไม่เครียด ทำเต็มที่ด้วยจิตว่าง ไม่ยึดติดผลลัพธ์ ให้อภัยกับความผิดพลาดของตัวเอง และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้เร็ว 

ผมยังตัดสินใจผิดบ่อย พอๆกับที่ตัดสินใจถูก แต่บังเอิญสิ่งที่ตัดสินใจถูกมักจะทำเงินกลับมาได้มากกว่าส่วนที่เสียไปเสมอ  นั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ ?


3.ทำไม การมุ่งมั่นอดทน ถึงไม่ช่วยให้คุณสำเร็จ?

ถ้าเราทำสิ่งที่ทำอยู่ ด้วยความมุ่งมั่นอดทน สักวันมันจะสำเร็จได้เอง คุณเชื่อเช่นนั้นใช่ไหม? 

หากคุณเลือกได้ จะเสียเวลา 10 ปี เพื่อทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ หรือใช้เวลา 1 ปี ทำสิ่งที่ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน แต่ไม่ใช่สิ่งที่ตั้งใจไว้ตอนแรก ?

        ไม่มีอะไรถูกผิด มันก็ขึ้นอยู่กับคุณเลือก แต่สำหรับผม “เวลา” มีค่ามากกว่า “เงิน”

เพราะเวลามันเพิ่มไม่ได้ มีแต่ลดลงไปทุกวัน    

ดังนั้น แทนที่จะมุ่งมั่นอดทน เพื่อหมกมุ่นปลุกปั้นกับสิ่งหนึ่งนานๆ ผมจะพิจารณาเสมอว่า

1. มีคนทำสิ่งนี้ ได้ดีกว่าผมมั้ย
2. จะให้เค้ามาช่วยทำแทน เพื่อให้ผมมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้มั้ย
3. เราจะแบ่งกำไรกันอย่างไร ให้ win win

โดยพื้นฐานนิสัย ผมเป็นคนขี้เกียจ ขี้เบื่อ และไม่อดทน นั่นทำให้ผมคิดเสมอว่า จะทำสิ่งหนึ่งให้ง่ายที่สุด สำเร็จได้เร็วที่สุด โดยเหนื่อยน้อยที่สุดได้อย่างไร

แนวคิดนี้ ทำให้ผมแตกไลน์ธุรกิจได้เร็วมากในช่วงหลังๆ ด้วยวิธีหา Partner ทางธุรกิจ ทำแต่สิ่งที่ถนัด ไม่ต้องจ้าง ต้นทุนต่ำ และแชร์ส่วนแบ่งกำไรกัน ใครถนัดอะไร อยากทำอะไร มาหาผม ผมจับชนกันได้หมด เกิดธุรกิจข้ามคืน


สรุปอีกครั้ง Passion การตั้งเป้าหมาย และความมุ่งมั่นอดทน ไม่ใช่สูตรความสำเร็จของผม  

3 สิ่งนี้อาจจะเหมาะกับหลายๆคน แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน  

ชีวิต อาจไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว แต่คนสำเร็จ ทิ้งร่องรอยไว้เสมอ

ถ้าคุณรัก และศรัทธาใคร ก็ติดตามร่องรอยคนนั้น คุณก็อาจจะสำเร็จในแบบเขาได้ แต่คุณต้องฝึก “แกะรอยความสำเร็จ” เพราะคงไม่มีใครบอกคุณได้ตรงๆทั้งหมด 

ดังนั้น “ทักษะการตกผลึกชีวิต และการเขียน” จึงเป็นทักษะสำคัญ ที่อยากฝากไว้ 

สำหรับพวกอินดี้อย่างผมจะนิยามความสำเร็จ ในแบบของตนเอง ผมชอบสร้างทางของตัวเอง โดยไม่ติดตามหรือเปรียบเทียบกับใคร 

ผมไม่มีคู่แข่ง มีแต่เพื่อนร่วมธุรกิจ ผมพร้อมจะปรับเปลี่ยนและเดินหน้ากับเพื่อนใหม่ๆเสมอ

แล้วคุณล่ะ มีนิยาม และสูตรความสำเร็จของตัวเองอย่างไร?
แชร์ที่คอมเม้นท์ข้างล่างกันหน่อยสิครับ

ด้วยมิตรภาพ

13339503_1098701643524708_887953190810839057_n

บทความโดย เรือรบ โค้ชนักเขียนมือโปร 
ติดตามได้ที่เพจ ‪https://www.facebook.com/ruarob

Categories EQ

7 บุคคลที่มีความสุขที่สุด บนโลกออนไลน์

4

สื่อออนไลน์ในขณะนี้ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่มีอิทธิพลที่สุด เราสามารถใช้สื่อออนไลน์ในการทำโฆษณา ติดต่อสื่อสาร หรือ ติดตาม

ข่าวสารบ้านเมืองต่างๆ พูดได้เลยว่าสื่อออนไลน์นั้นมีคุณประโยชน์มากมายเหลือเกินหากเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมในเชิงสร้างสรรค์

วันนี้ Learning Hub Thailand จึงอยากจะนำเสนอ 7 บุคคลทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางในการทำสิ่ง

ที่ตัวเองรัก สร้างความสุขให้ตัวเองและผู้อื่น บางท่านถึงขั้นพัฒนาไปเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้งามๆ ได้อีกเรามาดูกันเลยค่ะว่ามีท่านใดบ้าง  


 1.Michelle Phan 

เริ่มต้นกันด้วยสาวน้อยชาวเวียดนามคนนี้ เธอเกิดและโตที่อเมริกา ความดังของเธอมาจากการอัพคลิปแต่งหน้าที่เธออัดและตัดต่อ

ด้วยตัวเองลง Youtube จนสาวๆ ทุกคนต้องร้องเป็นเสียงเดียวกันว่านี่มันคือเวทมนต์ชัดๆ ! เพราะนอกจาก Michelle Phan จะมา

แต่งหน้าแนวธรรมชาติไปจนถึงแฟนตาซีโดยการนำวิชาศิลปะที่เธอร่ำเรียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เธอก็มีเคล็ดลับดูแลความสวย

ความงามในราคายอมเยาว์ให้สาวๆที่ติดตามเธอแถมให้อีก เรียกได้ว่าไม่ต้องรวยก็สวยได้นะคะ  

เพื่อเป็นการตอกย้ำความฮอตอย่างฉุดไม่อยู่ นอกจากเธอจะได้เป็นช่างแต่งหน้าประจำคอลัมม์ของเครื่องสำอางระดับ High End

อย่าง Lancome แล้ว เธอยังสร้างแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองที่มีชื่อว่า Em Michelle Phan  โดยรังสรรค์สีที่เป็นตัวเธอออกมา

ให้สาวๆ ได้เลือกใช้ (หากใครสนใจตอนนี้ยังไม่มีขายนะคะ ต้องสั่งทาง Website  อย่างเดียวค่ะ) ติดตามผลงานของเธอต่อได้ที่

https://www.youtube.com/user/MichellePhan 


2.คุณโมเม นภัสสร บุรณศิริ 

ถัดจาก Makeup Artist คนดังระดับโลกอย่าง Michelle Phan แล้ว เรามาต่อกันที่ช่างแต่งหน้ามือฉมังอย่างคุณโมเม

นภัสสร บุรณศิริ หรือฉายาโมเมพาเพลิน เธอเป็นที่นิยมอย่างไม่เสื่อมคลายในหมู่สาวไทย ที่ไม่ใช่แค่ต้องการเคล็ดลับเนรมิตความ

สวยที่เหมาะกับสาวโซนเอเชีย แต่ยังนำเอา Item เครื่องสำอางค์มารีวิวให้ดูกันจะๆ ฉะกันไปเลยว่าตัวไหนดีตัวไหนด้อยโดยไม่สน

ว่าแบรนด์นั้นจะ High end หรือจะ Drug Store  เรียกได้ว่าช่วยชีวิตสาวๆ ในการเลือกซื้อเครื่องสำอางค์ผิดชีวิตเปลี่ยนได้มากจริงๆ 

เริ่มแรกคุณโมเมเป็นคนชอบเครื่องสำอาง รักการแต่งหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอทำไปเรื่อยๆ จากความชอบกลายเป็นความรักจึง

เกิดประกายความคิดกับกรรรมการผู้จัดการและครีเอทีฟไดเร็คเตอร์คนเก่งของรายการ Spokedark ทำรายการสอนแต่งหน้าขึ้นมา

ซึ่งกว่าจะเป็นที่รู้จักได้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร และคงจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลยถ้าปราศจากความรักในสิ่งที่เธอทำอยู่  

สาวคนไหนอยากสวยเด้งหรืออยากรู้เทคนิกของคุณโมเมเผื่ออยากเป็นกูรูเข้าไปชมคุณโมเมเม้าท์เพลินๆ เรื่องความสวยความงาม

กันได้ที่ http://momay.spokedark.tv/ 


3.คุณบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ 

คุณบิณฑ์ ในฐานะที่คนทั่วไปรู้จักคือนักแสดงรุ่นเก๋าที่มากความสามารถ และเคยสมัครลงเล่นการเมืองด้วยนะคะ แต่บทบาทที่ยิ่ง

ใหญ่ตอนนี้ก็คือพ่อพระนักบุญ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ก่อนหน้านี้คุณบิณฑ์ ได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้คนที่ประสบภัยพิบัติ

กับมูลนิธิอย่างปอเต็กตึ๊งแต่เกิดความรู้สึกอิ่มบุญ มีความสุขขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงตั้ง Facebook fanpage ของตัวเองเพื่อแจ้งข่าวสารคนที่กำลังเดือดร้อนขึ้นมา

โดยเฉพาะตอนนี้มีลูกเพจของเขาแชร์เรื่องราวกันมาอย่างไม่ขาดสาย ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากๆ ที่คนไทยยังไม่ขาดแคลนน้ำใจ 

คุณบิณฑ์ที่ลงทั้งแรงเงินและแรงกายเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไม่มีเงื่อนไข

หากใครอยากติดตามคุณบิณฑ์ก็สามารถ ติดตามได้ที่ https://th-th.facebook.com/Bhin.fanclub/ 


4.คุณบัณฑิต อึ้งรังษี

คุณบัณทิต คือบุลที่ไต่เต้าจากคนธรรมดาไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร จนเป็นนักวาทยกรที่มีชื่อเสียงระดับโลก อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ได้รับ

การยอมรับว่าเป็น  “ผู้ชายที่ใช้ชีวิตคุ้มและน่าจะมีความสุขที่สุด”

นอกจากเขาจับธุรกิจวงการเพลงแล้ว เขายังมีประสบการณ์ชีวิตมากพอที่จะออกหนังสือ อัดคลิปวีดีโอและจัดสัมมนาแนวให้กำลังใจ

เพื่อชี้ทางสว่างให้คนมากมายที่อาจจะกำลังท้อถอยกับชีวิตอีกด้วยค่ะ เปรียบเทียบได้กับเป็นวอเรน บัฟเฟตของเมืองไทยเลยทีเดียว 

นอกจากเรื่องให้กำลังใจและแนะแนวทางธุรกิจแล้ว เขายังมาจับหนังสือแนวหาคู่เนื่องจากเขาได้แต่งงานมีครอบครัวที่สมบูรณ์

พร้อมแฟนสาวชาวต่างชาติที่ตรงตามสเปคของทุกประการ ดังนั้นเขาจึงอยากจะแบ่งปันเทคนิคนี้ให้กับคนอื่นบ้าง สุดยอดจริงๆ !

หากใครสนใจจะติดตามเรื่องราวดีๆ จากคุณบัณฑิต สามารถติดตามได้ที่ http://bundit.org/  


5.คุณพิมฐา ฐานิดา มานะเลิศเรืองกุล 

สาวน้อยที่นำภาพถ่ายตัวเองลงสื่อออนไลน์อย่าง Instagram จนความน่ารักสดใสไปเข้าตาชาวเน็ตอย่างจังดังเป็นพลุแตก แต่จะให้

เครดิตแค่น้องพิมฐาอย่างเดียวไม่ได้ค่ะ ต้องยกให้คุณบูม แฟนหนุ่มหล่อของเธอด้วยที่เป็นผู้ถ่ายภาพเกือบทั้งหมดของเธอด้วย

ความรัก ทำให้ภาพออกมาละมุนมากๆ บวกกับวิวของประเทศญี่ปุ่นที่ทั้งคู่ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อ ขอบอกว่างานเขาดีเหมือนซีรี่ย์ญี่ปุ่นเลยนะคะ 

ความโด่งดังของพิมฐาไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้นนะคะ แต่ดังไปถึงระดับต่างประเทศอีกด้วย  ตอนนี้เธอออก Photo book มาเอาใจแฟนคลับให้ฟินยาวๆ กันไป

หากใครรักและติดตามเธอก็อุดหนุนได้ รับรองว่าน้องเค้าพกความสดใสมาแจกให้โลกยิ้มตามเป็นลังๆ เลยค่ะ   

สามารถติดตาม Instagram ของน้องพิมฐาได้ที่ https://www.instagram.com/pimtha/


6.คุณรุ้ง LoveExpert 

คุณรุ้ง LoveExpert  หรือคุณพิมพ์ภัทรา พิมพ์รัตนากุล เป็นศิษย์เอกสาวสวย ของคุณบัณฑิต อึ้งรังสี เธอจะเน้นการอธิบายและให้

คำปรึกษาเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ เผยแพร่กลเม็ดเคล็ดลับต่างๆ เพื่อเสริมสร้างพลังในตัวเอง พัฒนาความคิดแง่บวกโดยมี

การนำหลักจิตวิทยามาอ้างอิง   

เธอได้แบ่งปันเรื่องราวดีๆ บนเวบไซด์ของตัวเองและ Facebook เพื่อช่วยเหลือคนอื่นอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น กฎแรงดึงดูดของ

ความรัก  เคล็ดลับในการเปลี่ยนแปลงคนรักให้เป็นแบบที่เราต้องการ และ 5 เคล็ดลับดีๆ ที่ทำให้มีแต่คนรักคุณ

นี่แค่น้ำจิ้มเท่านั้นนะคะ เรียกได้ว่าหากคุณได้ชมคลิปของเธอแล้ว รับประกันได้เลยว่าโลกของคุณและคนรอบข้างจะต้องสดใส

มีความสุขขึ้นแน่นอนค่ะ มารับแนวความคิดเสริมพลังใจของตัวเองและคนรอบข้างกับคุณรุ้งได้ที่ https://www.facebook.com/RainbowLoveExpert/  


7.คุณ Linna Li 

คุณ Linna Li หรือ นลินนา ลี สาวน้อยผู้เป็นนางฟ้าในวงการ D.I.Y หรือย่อมาจาก Do It by Yourself นอกจากหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก

แล้ว ความสามารถของเธอก็ไม่ได้จิ้มลิ้มตามหน้าตาเลยค่ะ เธอมีความสามารถในการหยิบนั้นหยิบนี้มาประกอบกันเป็นของที่น่ารัก

ถูกใจวัยรุ่นเป็นที่สุด แถมยังออกหนังสือพ็อกสอนตัดเย็บออกมาด้วยค่ะ โอ้ย แม่สีเรือนสุดๆ  

เธอไม่ได้พกมาแค่ความคิดสร้างสรรค์อันบรรเจิด เธอยังออกอัลบั้มเพลงเป็นของตัวเองอีกด้วย โชว์เสียงหวานใสน่ารักให้แฟนๆ

ละลายกันเป็นแถว ทั้งน่ารักแล้วยังใจบุญแบ่งบันเทคนิคดีๆ บนสื่อออนไลน์แบบนี้ กดเลิฟเลยแหละสามารถติดตามผลงานของเธอ

ได้ที่ https://www.facebook.com/the.forest.wanderer 


แน่นอนว่าการได้ทำงานที่ตัวเองรักถือเป็นความฝันสูงสุดของทุกคน บุคคลทั้ง 7 ท่านที่เราได้นำมาเสนอในวันนี้ ไม่เพียงแต่จะใช้ความพากเพียรในการทำสิ่งที่ตัวเองรักให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาโดยไม่สนใจคำพูดด้านลบของคนอื่น

แต่กลับเอาคำพูดเหล่านั้นมาเป็นแรงฮึดสู้ จนกระทั่งประสบความสำเร็จกลับมาสอนคนรอบตัวและสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมอีกด้วย Learning Hub Thailand หวังว่าผู้อ่านจะนำข้อคิดอันมีค่าจากบุคคลเหล่านี้มาประยุกต์ใช้และกลายเป็นบุคคลที่มีความสุขที่สุดคนต่อไปค่ะ  

เรียบเรียงโดย ไพรินทร์- Learning Hub Team 

3 วิธีง่ายๆ ให้คุณรู้จักและรักตัวเองเพิ่มขึ้นทุกวัน

การรู้จักตัวเอง และความชัดเจนเป็นกุญแจสำคัญสู่การมีชีวิตที่โคตรจะสำเร็จและโคตรมีความสุข

หนังสือ Success Build To Last (ความสำเร็จที่ยั่งยืน)ได้พูดถึงสาเหตุสำคัญของการความสำเร็จที่เป็นความสำเร็จอย่างยั่งยืน เอาไว้ว่า…

         คนสำเร็จทุกคน ล้วนตัดสินใจเลือกสิ่งต่างๆบนพื้นฐานของสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่า สำคัญต่อชีวิตเขา พวกเขาทุกคนล้วนรู้จัก และเลือกเดินบนเส้นทางของตนเอง

         วันนี้คุณจะมีโอกาส ทำความรู้จักตัวเองมากขึ้นและเริ่มต้นเดินบนเส้นทางที่ใช่ของตัวเองสักทีเพราะนี่คือ 3 วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้คุณรู้จักและเริ่มเดินบนเส้นทางของตัวเองจริงๆ สักที

1.จงรักตัวเอง ก่อนที่จะค้นหา และรู้จักตัวเอง

          ผมได้เขียนในบทความ 3 ความเชื่อผิดๆ ในการค้นหาตัวเอง ว่า.. การไม่รู้จักตัวเอง ไม่ใช่ปัญหา แต่มันคือผลลัพธ์ ของการไม่ศรัทธาในตัวเอง!

          ดังนั้น หากคุณไม่กลับมารัก และศรัทธาในตัวเองซะก่อนต่อให้คุณพยายามแค่ไหน ต่อให้คุณเรียนหนักขนาดไหน

คุณก็จะไม่มีวัน… “ค้นพบตัวเอง” ดังนั้น ในขั้นตอนแรก ของการทำความรู้จัก และรักตัวเองนั้น คุณต้อง “รักและศรัทธาในตัวเอง” ซะก่อน

         ผมมี กิจกรรมง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณดึงพลังนั้นกลับมา โดยให้คุณเตรียมกระดาษ กับปากกามาครับ และเขียนลงตรงด้านบนของกระดาษว่า..  “50 ความสำเร็จ ของฉัน”

         หลังจากนั้นให้คุณ เขียนบรรยายความสำเร็จต่างๆ ลงไปในกระดาษแผ่นนั้นจนครบ 50 ข้อ!!  ถ้าคุณกำลังคิดว่า… จะเอาความสำเร็จมากขนาดนั้นมาจากไหน?

ผมจะบอกว่า… นั่นคือความคิดลบๆ ของตัวคุณเองเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องจริงครับ เพราะเรื่องจริงก็คือ ตั้งแต่คุณเกิดมา จนมาถึงวันนี้ คุณประสบความสำเร็จ และคุณทำเรื่องเจ๋งๆ มาเป็นร้อย เป็นพันเรื่องแล้ว คุณแค่ไม่เคยมองเห็นคุณค่าของมันเท่านั้นเอง!!!  คิดตามผมนะครับ ตอนคุณเกิดมาวันแรกบนโลกใบนี้

          คุณสามารถทำอะไรได้บ้าง?……. แค่ร้องไห้ และหายใจใช่ไหมครับ? นั่นคือความสำเร็จแรกในชีวิตของคุณ… เพราะคุณเกิดมามีชีวิต  

ต่อมาคุณทำอะไรได้อีกบ้างครับ  จากเดินไม่ได้ คุณก็คลานได้ คุณเดินได้ คุณวิ่งได้ คุณขี่จักรยานได้

จากพูดไม่ได้ คุณพูดได้เป็นคำๆ ไป คุณพูดได้เป็นประโยค  คุณพูดได้ 1 ภาษา คุณพูดภาษาต่างประเทศ  

จากต้องนอนอยู่เฉยๆ บนเบาะ ตอนนี้คุณทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง

ทุกสิ่งที่ผมพูดมา… คือความสำเร็จของคุณ!

         อย่าเอาสิ่งที่คุณทำได้ ไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เขียนรายการความสำเร็จ 50 ข้อลงในกระดาษและผมการันตีว่า เมื่อคุณเขียนจบ… คุณจะรู้สึกกับตัวเอง ต่างออกไปทันที!

2.ความชัดเจน 2 ระดับ!

         หลังจากที่คุณดึงพลังความรักและศรัทธาในตัวเองกลับมาแล้วขั้นต่อมาคือการสร้างความชัดเจนในชีวิตของคุณทันที

โดยความชัดเจนนี้ ผมแบ่งออกเป็น 2 ระดับด้วยกัน

ความชัดเจนในระดับที่ 1 คือความชัดเจนว่า “คุณชอบอะไร?”

ความชัดเจนในระดับที่ 2 คือความชัดเจนว่า “ทำไมคุณถึงชอบ?”

         มาเริ่มต้นด้วยขั้นตอนแรกที่ง่ายที่สุดกันก่อนนะครับ  ให้คุณทำสร้างความชัดเจนว่าคุณคือใครในระดับที่ 1 ด้วยการตั้งคำถามกับตัวเองว่า…  คุณชอบอะไร? คุณรักอะไร? อะไรคือสิ่งที่คุณสนุกที่จะทำตลอดเวลา?

คุณสนใจที่จะเรียนรู้ และศึกษาเรื่องใด เพื่อจะเข้าใจมันให้ลึกลงไปอยู่เสมอ?

ถ้าวันนี้ชีวิตคุณเป็นชีวิตที่ไร้ขีดจำกัด จะทำอะไรก็ได้ คุณจะใช้เวลาของคุณกับเรื่องอะไร?

         เขียนมันลงไปในกระดาษ อย่าเอาแต่แค่คิดอยู่ในหัว  อย่ามักง่ายกับการค้นหาตัวเองครับ! ตั้งใจทำให้ดี เพราะกิจกรรมนี้จะเปลี่ยนชีวิตคุณได้

         หลังจากที่คุณมีความชัดเจนในระดับที่ 1 แล้ว ขั้นต่อไปก็ให้เพิ่มระดับของความชัดเจนให้ลึกลงไปอีก ด้วยการตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่า… แล้วสิ่งที่คุณเขียนมาในขั้นที่ 1 นั้น ทำไมมันถึงสำคัญกับคุณ?

         เมื่อคุณได้ทำหรือมีสิ่งเหล่านั้นแล้ว มันจะทำให้ชีวิตคุณเป็นอย่างไร?  เขียนลงในกระดาษให้ชัดเจนครับ แล้วคุณจะแปลกใจกับคำตอบที่คุณได้

3.ใช้ชีวิตให้เป็น เพื่อจะรักและรู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น

         ผมมีอาจารย์ระดับโลกที่ช่วยฉุดผมจากชีวิตที่ไม่ก้าวหน้าไปได้ตามที่ใจต้องการสักที  อาจารย์ผมคนนี้ชื่อ Janet Attwood

เป็นผู้แต่งหนังสือ New York Time Bestseller ชื่อว่า The Passion Test และยังเป็นอาจารย์ของ รอนด้า เบิร์น ผู้สร้าง The Secret อีกด้วย

         เธอช่วยทำให้ชีวิตผมในช่วง 6 เดือน เติบโตไปได้รวดเร็วกว่าช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ด้วยการทำให้ผม “ชัดเจน” กับชีวิตอย่างแท้จริงและยังได้มอบ “สูตรลับ” ในการใช้ชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วย Passion และแรงบันดาลใจ

ซึ่งสูตรนั้นก็คือ….

Intention – Attention – No-Tension (ตั้งใจ – ใส่ใจ – ไม่ตึงเครียด)

Intention หรือ ตั้งใจ คือ การตระหนัก และชัดเจนว่าสิ่งที่สำคัญจริงๆ ในชีวิตที่ต้อง FOCUS คืออะไร?

อะไรคือสิ่งที่มีคุณค่า และมีความหมายในชีวิต

อะไรคือสิ่งที่มันจุดไฟในชีวิตขึ้นมา  ระบุลงไปให้ชัด ตั้งความตั้งใจ ลงไปว่าต่อจากนี้…. “กูจะใช้ชีวิต เพื่อสิ่งสำคัญนี้เท่านั้น”

Attention หรือ ใส่ใจ คือ การลงมือทำ

        เมื่อรู้แล้วว่าสิ่งที่สำคัญคืออะไร ก็ให้พุ่งพลังในการโฟกัส  มุ่งให้ความใส่ใจไปที่สิ่งนั้นแบบเต็มที่ แบบไร้เงื่อนไข และสิ่งที่จะแสดงออกถึงความใส่ใจได้ดีที่สุดนั้นก็คือ การลงมือทำ เฉพาะสิ่งที่มันตอบโจทย์ความตั้งใจเท่านั้น

        อาจารย์ผมบอกว่า “สิ่งที่เราให้ความใส่ใจ จะขยายใหญ่ขึ้นเสมอ” และมันก็โคตรจริงเลยครับ…

ไม่เชื่อลองย้อนกลับไปดูชีวิตของคุณเองก็ได้  เวลาที่คุณใส่ใจ หรือโฟกัสเรื่องแย่ๆ คุณก็จะเห็นแต่เรื่องแย่ๆ เต็มไปหมด แต่เมื่อใดที่คุณใส่ใจ หรือโฟกัสสิ่งดีๆ ชีวิตคุณก็จะมีสีสัน และเห็นแต่เรื่องดีๆ จริงไหมครับ

        และขั้นสุดท้ายคือ No-Tension หรือ ไม่ตึงเครียด  คือการที่คุณลงมือทำสิ่งต่างๆ อย่างมีสติ อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ด้วยความสงบ ไม่ว่าเมื่อคุณลงมือทำไปแล้ว มันจะมีเหตุการณ์แบบไหนเกิดขึ้นก็ตาม

เพราะเหตุการณ์ที่อาจจะดูแย่ที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจเป็นบันไดขั้นสำคัญ ที่จะนำพาคุณไปสู่ชีวิตที่ยอดเยี่ยมจนคุณคาดไม่ถึงในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้

         จงโฟกัสในการเลือกและลงมือทำในสิ่งที่สำคัญจริงๆ ของคุณ เท่านั้น!!

เพราะคุณ คือคนที่คู่ควรที่จะประสบความสำเร็จ ในแบบของคุณ  คุณคือคนที่คู่ควร ที่จะมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม ในแบบฉบับที่ไม่ซ้ำกับใคร

จงใช้เวลาเพื่อทำความรู้จัก และสร้างความสำเร็จในแบบของคุณขึ้นมานะครับ

โค้ชกิตติ

กิตติ ไตรรัตน์ -Passion Expert 

www.KittiTrirat.com

5 เคล็ดลับ เปลี่ยนวันจันทร์ ให้เป็นวันสุข

10

    หากถามว่าในหนึ่งสัปดาห์…

                        วันใดเป็นวันที่ยากลำบากที่สุด ?

                        วันใดเป็นวันที่ไม่อยากให้เวียนมาถึงมากที่สุด ?

                        วันใดเป็นวันที่อยากลบออกจากปฎิทินที่สุด ?

 

            ถ้าคำตอบของคุณ คือ “วันจันทร์ วันจันทร์ และวันจันทร์”

            ขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณคือ มนุษย์เงินเดือนโดยสมบูรณ์แบบ 100%

            จะดีแค่ไหนหากเราสามารถเปลี่ยนวันจันทร์ให้กลายเป็นวันที่สุขใจ

            วันนี้ Learning Hub Thailand มี 5 เคล็ดลับ ที่จะเปลี่ยนวันจันทร์ให้กลายเป็นวันดีๆ ในแบบที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อน มาฝากคุณผู้อ่านทุกท่าน

1.ทำ To Do List

                 การเขียนสิ่งที่ต้องทำลงในกระดาษแผ่นเดียวโดยเรียงลำดับไปทีละเรื่องๆ หรือ การทำ To Do List ในคืนวันอาทิตย์ หรือ เช้าวันจันทร์ก่อนเริ่มทำงาน ถือเป็นการวางแผนและตีกรอบให้สมองทำงานจัดการปัญหาทีละเรื่องๆ อย่างเป็นระบบ ถือเป็นการปิดประตูความวุ่นวายสับสนที่อาจแวะเข้ามาทักทายคุณได้ในตลอดทั้งวัน

2.เลือกทำงานที่ยากที่สุดก่อนเสมอ

                 ในบรรดางานที่ต้องจัดการที่เขียนไว้ใน To Do List อาจมีทั้งงานชิ้นใหญ่ที่มีความซับซ้อนในการสะสางปัญหาต่างๆ และงานชิ้นเล็กที่ไม่มีความซับซ้อน ให้คุณเลือกหยิบงานชิ้นใหญ่ที่สุด งานที่ยากที่สุด และงานที่มีปัญหามากที่สุดขึ้นมาทำเป็นลำดับแรกเสมอ

                เพราะสมองที่เพิ่งตื่นจากการพักผ่อนในช่วงวันหยุดจะมีพลังเต็มเปี่ยมเหมือนแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนที่เพิ่งชาร์ตมาจนเต็มพิกัด จึงสามารถจัดการงานที่ยุ่งยากซับซ้อนได้ดีกว่าการเก็บงานชิ้นดังกล่าว
เอาไว้ทำทีหลัง

3.ลงมือทำงานที่ยากที่สุดโดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด

             ในงานชิ้นที่ยากที่สุดที่คุณหยิบมาทำเป็นลำดับแรกนั้น อาจประกอบไปด้วยสิ่งที่ต้องทำหลายสิ่งๆ ให้คุณ
แจกแจงสิ่งที่ต้องทำต่างๆ ออกมาให้มากที่สุด เช่น ภารกิจในการจัดประชุมบอร์ดบริหาร ประกอบไปด้วยสิ่งที่ต้องทำ ดังนี้ การจัดทำวาระการประชุม การสรุปผลประกอบการในรอบไตรมาส การโทรศัพท์นัดกรรมการ การประสานงานแม่บ้านเพื่อจัดหาอาหาร การเตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในห้องประชุม เป็นต้น

             ให้คุณเลือกลงมือเตรียมอุปกรณ์ฯ เป็นลำดับแรกแล้วจึงประสานงานแม่บ้าน โทรศัพท์นัดกรรมการ สรุปผลประกอบการฯ และจัดทำวาระการประชุม ตามลำดับ วิธีการนี้เป็นการหลอกสมองให้ค่อยๆ สะสมความสำเร็จที่ละเล็กทีละน้อยเพื่อสร้างความสำเร็จที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับการค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดที่ละก้าวจนถึงจุดสูงสุด

4.ให้รางวัลกับทุกความสำเร็จเล็กๆ

                 ในทุกๆ ขั้นตอนของการทำงานแต่ละชิ้น เมื่อทำแต่ละขั้นตอนเสร็จแล้วให้คุณทยอยให้รางวัลกับความสำเร็จเล็กๆ หลายครั้งๆ แทนที่จะรอจนงานชิ้นใหญ่เสร็จแล้วค่อยให้รางวัลกับความสำเร็จชิ้นใหญ่เพียงครั้งเดียว โดยรางวัลอาจเป็นแค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การพักจิบชาอุ่นๆ 15 นาที การแวะช๊อปปิ้งต่างหูที่ตลาดนัดในช่วงพักกลางวัน

                 การอนุโลมให้ตัวเองทานเค้กสักชิ้นในช่วง On Diet เป็นต้น วิธีการนี้เป็นการสร้างแรงจูงใจโน้มน้าวให้สมองวิ่งไล่ความสำเร็จที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

5.ใช้ Social Media ให้น้อยที่สุด

                  ข้อนี้น่าจะเป็นข้อที่ทำได้ยากที่สุดสำหรับหนุ่มสาวในยุคปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงต้องยอมรับว่าสาเหตุหลักๆ ของอารมณ์หงุดหงิดหัวเสีย ไม่มีสมาธิในการทำงาน และอาการบ่นในเรื่องต่างๆ มักจะมาจากข่าว หรือ เรื่องราวที่ได้รับรู้ผ่าน Facebook Line Twitter IG และ Weblog ต่างๆ

                 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นสำหรับตัวคุณ การงดใช้ Social Media ที่ไม่จำเป็นในวันจันทร์ จึงถือเป็นการป้องกันสิ่งที่จะเข้ามาปั่นทอนศักยภาพของสมองที่กำลังทำงานรับใช้นายของมันอย่างขยันขันแข็ง

                 เคล็ดลับทั้ง 5 ข้อนี้ จะช่วยปลดล็อคให้วันจันทร์กลายเป็นวันที่แสนสุขใจ ขอเพียงแค่คุณได้เริ่มต้นสร้าง
วันจันทร์ให้เป็นวันสุข วันอื่นๆ ในสัปดาห์ก็จะค่อยๆ เป็นวันสุขตามไปด้วย และใน 1 ปี ขอเพียงคุณใช้เคล็ดลับทั้ง 5 ข้อ
ในทุกๆ วันจันทร์ แค่เพียง 48 วัน เชื่อได้ว่าอีก 317 วัน ที่เหลือ ก็จะกลายเป็นวันดีๆ ท้ายที่สุดตลอดทั้งปีก็จะกลายเป็นปีที่แสนมหัศจรรย์

ลองทำดูครับ แล้วคุณจะประหลาดใจว่า… ในทุกๆ วันจันทร์ก็สุขได้ไม่แพ้เย็นวันศุกร์

เรียบเรียงโดย จิตเกษม น้อยไร่ภูมิ

5 ทีเด็ด ทำงานให้รุ่ง สไตล์คนขี้เกียจ

18

      ชีวิตคนเหมือนการก้าวบันไดขึ้น สิ่งที่ตามมากับการก้าวขึ้นไปคือภาระหน้าที่ แต่เคยเป็นมั้ยคะที่รู้สึกอึดอัดกับความขี้เกียจของตัวเอง? ซึ่งไม่แปลกเพราะใครต่อใครก็ต่างมีช่วงเวลาที่อยากอยู่เฉยๆ ด้วยกันทั้งนั้น  

      แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ ถ้าความขี้เกียจกำลังกลายเป็นอุปสรรคในการทำงานอยู่ล่ะ  เราจะทำยังไง ? วันนี้ Learning Hub มี 5 เทคนิคเด็ดๆ ทำงานอย่างไรให้รุ่ง สไตล์คนขี้เกียจมาฝาก เผื่อให้คุณเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินในวันที่ต้องมีภาระหน้าที่รอให้ไปสะสาง แต่ดันเป็นวันที่ความขี้เกียจเล่นงานคุณหนักเหลือเกิน 

 1.จดงานที่ต้องทำในแต่ละวัน

        ทุกครั้งที่เริ่มต้นวันใหม่ อย่ารอให้แบตร่างกายคุณหมดซะก่อนค่ะ รีบนึกสิ่งที่คุณต้องทำ งานที่ต้องส่งและรีบจดใส่กระดาษหรือกระดานใหญ่ๆ ที่คุณมองเห็นได้ง่ายๆ อ่านซ้ำได้บ่อยๆ

       วิธีนี้จะช่วยให้คุณเรียงลำดับความสำคัญของงานได้เป็นอย่างดี  เมื่อได้สิ่งที่ต้องทำแล้ว เริ่มต้นทำงานที่สำคัญที่สุดไปก่อนเลยค่ะ เผื่อว่าความขี้เกียจเริ่มครอบงำคุณเมื่อไหร่ อย่างน้อยงานที่สำคัญที่สุดก็ได้เสร็จลุล่วงไปแล้วชิ้นนึงนั่นเอง 

 2.จดรายได้ที่ได้รับ

       สิ่งที่คุณต้องเริ่มทำในเทคนิคนี้ก็คือ จดตัวเลขรายรับที่คุณจะได้รับจากงานชิ้นที่คุณทำเป็นตัวใหญ่ๆ เพื่อสะกดจิตตัวเอง สร้างแรงผลักให้ตัวเองด้วยจำนวนเงินที่คุณจะได้รับ เมื่องานเสร็จสิ้น  

       หากตัวเลขเงินที่ได้รับยังไม่เป็นแรงจูงใจมากพอ แนะนำว่าให้ตั้งเป้าหมายกับตัวเองว่าถ้าเสร็จงานชิ้นนี้ คุณจะได้อะไร? การเล่นเกมส์กับตัวเองดูบ้าง นอกจากจะได้งานที่สำเร็จทันเวลาแล้ว คุณยังจะได้เรียนรู้การเอาชนะใจตัวเองอีกด้วยละค่ะ 

 3.เลือกเวลาทำงาน ที่ “ใช่” ที่สุด

       ไม่มีใครรู้จักคุณดี นอกจากตัวคุณเอง เทคนิคนี้อยากให้คุณสังเกตตัวเองสักนิดค่ะ ว่ารู้สึกมีเรี่ยวแรงมีพลังมากที่สุด ในช่วงไหนของวัน? หรือเรียกว่าช่วงเวลาทองของคุณ (เอาเวลาทำงานเป็นมาตรฐาน)

       เมื่อรู้แล้วลองแยกออกมาว่าทั้งวัน ช่วงไหนคุณรู้สึกอะไร? ช่วงไหนง่วงบ่อย ช่วงไหนสมองแล่น หรือช่วงไหนคุณอยากพักแล้ว? เมื่อได้ช่วงเวลาประกอบกับความรู้สึกที่คุณมี

       ลองเลือกทำงานในแบบที่เหมาะสมกับความรู้สึกและอารมณ์คุณ ณ ขณะนั้นดู  เช่น ถ้าช่วงไหนคุณง่วงบ่อย ลองเลือกทำงานที่ต้องใช้ความคิดสูง มีสมาธิกับมันเยอะๆ เพราะการที่คุณจดจ่อกับบางสิ่งบางอย่างจะส่งผลให้คุณลืมความรู้สึกตัวเองจริงๆ ได้โดยไม่รู้ตัว 

 4.ใช้เพลงกระตุ้นอารมณ์

       มีผลวิจัยออกมาว่าเพลงที่คุณฟัง ส่งผลต่อความรู้สึกและอารมณ์ของคุณ ไม่ได้แปลว่าคุณจะฟังเพลงโปรดหรือแนวเพลงที่ชอบไม่ได้นะคะ แค่ลองเลือกเพลงที่มีจังหวะขึ้นมาสักนิดเอาไว้ฟังตอนที่คุณเริ่มรู้ตัวว่าความขี้เกียจเริ่มจะเล่นงานคุณเข้าแล้ว จังหวะที่ใช่ เนื้อเพลงที่เร้าอารมณ์นี่ล่ะ จะช่วยให้คุณรู้สึกตื่นตัว และสามารถทำงานต่อไปได้นั่นเอง  

 5.แบ่งงานใหญ่ ให้เล็กลง

       “ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร” นักจิตวิทยาพัฒนาสมอง กล่าวไว้ว่า “สมองมีกลไกการทำงานที่ฉลาด เมื่อไหร่ที่เรานึกจะทำอะไร สมองจะสั่งการคำนวณพลังงานที่ต้องใช้ เวลาที่ต้องเสียไป ทำให้เรารู้สึกว่างานมันเยอะและยากมาก จึงเลือกที่จะไม่ทำ ณ ตอนนั้น แต่ไปทำอะไรที่ง่ายๆ ก่อน”  

        ดังนั้นเราจึงต้องหลอกสมองค่ะ ด้วยการแบ่งงานใหญ่ให้ออกเป็นงานเล็ก เช่น งานสิบหน้า คุณต้องบอกให้ตัวเองเริ่มต้นทำหน้าที่หนึ่ง โดยที่ไม่ต้องสนใจว่ายังมีอีก 9 หน้าที่ยังไม่ได้ทำรออยู่ เมื่อทำแบบนี้หลายต่อหลายครั้งเข้า จาก 1 จะค่อยๆ ถูกรวมกันจนครบ 10 ได้เอง 

       ไม่แปลกค่ะที่คนเราจะมีช่วงเวลาที่ขี้เกียจบ้าง แต่เมื่อขี้เกียจแล้วก็ต้องหาวิธีให้ตัวเองเอาชนะความขี้เกียจนั้นให้ได้ อาจจะไม่ได้ชนะในคราวเดียว แต่ชนะแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมๆกับงานที่สำเร็จทีละเล็กละน้อย  

        สิ่งเหล่านี้ล่ะค่ะจะรวบรวมเป็นความสำเร็จใหญ่ๆ รุ่งพุ่งพรวดในสไตล์ที่คนขี้เกียจก็ทำได้ ลองเอาไปใช้ดูนะคะ  

 Aris – Learning Hub Team 

 ที่มาข้อมูล “ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร” นักจิตวิทยาพัฒนาสมอง 

 https://www.facebook.com/KhunkhaoWriter/ 

รีวิวหนังสือ“ไม่ว่าจะคิดอะไร ให้คิดตรงกันข้าม”

20

          เมื่อเข้ายุคดิจิตอลอย่างเต็มตัว เราต่างเห็นคนประสบสำเร็จกันมากขึ้น โดยที่อายุ เพศ การศึกษา ไม่ใช่อุปสรรคสำคัญอีกต่อไป แต่ตัวเลขของคนที่ประสบความสำเร็จก็ไม่ได้แปลว่าการแข่งขันในโลกยุคนี้จะลดลง ตรงกันข้ามเรากลับเห็นผู้คนต่างหาวิธีการแข่งขันในรูปแบบที่เป็นตัวเองกันมากขึ้น เพื่อสร้างความโดดเด่น และกลายเป็นที่จดจำต่อผู้พบเห็น 

         แต่ต้องถือเป็นเรื่องที่ดีนะคะ เพราะการแข่งขันที่สูง คือแรงผลักที่ดี ทำให้เรายิ่งต้องรีบหา จุดแข็งของตัวเองให้เจอและก้าวข้ามความกลัวที่จะ “คิดตรงข้ามกับ คนอื่นไปบ้าง” ซึ่งถ้าคุณอยากต่าง แต่ติดที่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง?  

         วันนี้ Learning Hub มีหนังสือ “ไม่ว่าจะคิดอะไร ให้คิดตรงกันข้าม” Whatever You Think, Think the Opposite. มารีวิวให้คุณค่ะ 

         หนังสือเล่มนี้เป็นฝีมือจากปลายปากกาของ “พอล อาร์เดน” ชายผู้ที่เรซูเม่สมัครงาน ไม่สวยงามเอาเสียเลย เพราะถูกไล่ออกจากบริษัทถึง 5 ครั้ง เพียงเพราะคิดต่างจากคนอื่น แต่ปัจจุบันเค้ากลายเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ มีผลงานตีพิมพ์มาแล้วหลายเล่ม เช่น “ครีเอทีฟ ต็อดท์”  

          แถมยังได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดครีเอทีฟของวงการโฆษณาในประเทศอังกฤษ  ที่ไม่ว่าแบรนด์ไหนๆ ต่างต้องการตัว 

และเมื่อเป็นหนังสือของครีเอทีฟ ไม่ว่าคุณจะเป็นครีเอทีฟหรือไม่ ก็ถือว่าหนังสือเล่มนี้สามารถตอบสนองความต้องการของ “คนอยากแตกต่าง” ได้เป็นอย่างดีค่ะ

          ถ้าพูดถึงสิ่งที่น่าสนใจของเล่มนี้ จุดเด่นต้องยกให้กับการรวบรวมความคิดที่ “แตกต่าง แต่ทว่าสำเร็จของคนธรรมดา ที่กลายเป็นตำนานระดับโลกไปแล้วหลายต่อหลายคน”  

         ยกตัวอย่างเช่น ช่วงก่อนกีฬาโอลิมปิก 1968 ที่เม็กซิโก คุณอาจจะคุ้นเคยกับกีฬากระโดดสูงเป็นอย่างดี ภาพจำของเราคือนักกีฬาทุกคน พยายามจะใช้วิธีพุ่งไปข้างหน้า ให้ขนานกับไม้พาด เพื่อกระโดดให้สูงที่สุด ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียกว่า เวสเทิร์น โรลล์  

         แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อ “ดิก ฟอสแบรี” เลือก “ทำตรงกันข้าม” กับนักกระโดดสูง ทุกคนด้วยการ “หันหลังให้ไม้พาด” แทนที่จะหันหน้าเข้าหามัน ผลลัพธ์คือเขา กระโดด ได้สูงกว่าใครๆ จนเทคนิคนั้น ถูกใช้กันเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ในชื่อ “แฟแบรี ฟลอป” 

         ไม่เพียงแต่ความต่างที่ “พอล อาร์เดน” เลือกมารวบรวมไว้ให้คุณ แต่รับรองว่ายังมีอีกหลายประโยคในหนังสือเล่มนี้ ที่อ่านแล้วคุณอาจจะหันมาย้อนดูตัวเองในทันที!  

          เช่น “บางทีสิ่งที่ฉลาดที่สุด คือการทำตัวไม่ฉลาดจนเกินไป”  และยิ่งถ้าใคร ชอบรูปสวยๆ ความหมายดีๆ คุณย่อมไม่น่าพลาดหนังสือเล่มนี้ด้วยประการทั้งปวง เพราะแทบ 100% ของหนังสือ เน้นใช้รูปสื่อสารกับคนอ่าน แต่ถ้านับความคุ้มค่าคง แพ้หนังสือเล่มอื่นๆ เพราะเนื้อหา “น้อยกว่า” ที่คาดหวังไว้เยอะเลย   

         แม้หนังสือเล่มนี้จะมีเนื้อหาสั้นกระชับ แต่สำหรับผู้เขียนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว กลับมองว่ามันคุ้มค่า และถ้าคุณคือคนหนึ่งที่ต้องการสิ่งกระตุ้นให้ตัวเองกล้าคิดอะไรใหม่ๆ อย่าลังเลที่จะซื้อหามาอ่าน อย่างที่ “พอล อาร์เดน” ทิ้งท้ายไว้ในหน้าเกือบทสุดท้ายว่า

“โลกนี้เป็นอย่างที่คุณคิด ดังนั้นจงคิดถึงมันให้ต่างไปจากเดิม

แล้วชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไป” 

        …อ่านประโยคนี้จบ คงต้องถามผู้อ่านกลับบ้างแล้วล่ะค่ะว่า “วันนี้คุณพร้อมจะแตกต่างจากคนอื่น แล้วหรือยัง?”  

 

เรียงเรียงโดย  Aris – Learning Hub Team 

ที่มาข้อมูล หนังสือ  “ไม่ว่าจะคิดอะไร ให้คิดตรงกันข้าม” Whatever You Think, Think the Opposite 

ผู้เขียน – พอล อาร์เดน Paul Arden 

ผู้แปล – อรณี อรุณีกุล 

สำนักพิมพ์วีเลิร์น 

3 ความเชื่อผิดๆ ในการค้นหาตัวเอง

12

            ทำไมคุณถึงยังค้นหาตัวเองไม่เจอสักที?

   รู้ไหมครับว่าสาเหตุที่ทำให้คุณ “หาตัวเองไม่เจอ” มาจากการที่คุณมีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการ “รู้จักตัวเอง” อยู่ในหัว

ถ้าวันนี้คุณต้องการค้นหาตัวเองให้พบจริงๆ ล่ะก็ คุณจะต้องขจัด 3 ความเชื่อผิดๆ ของการค้นหาตัวเองออกไปซะก่อน

มาดูกันครับว่า ไอ้ความเชื่อผิดๆ เหล่านั้นมีอะไรกันบ้าง?

1.เชื่อว่า… ถ้าฉันรู้จักตัวเอง ฉันจะสำเร็จเหมือนคนสำเร็จคนอื่นทันที

          ผมมักจะได้ยินคนพูดว่า..สาเหตุที่พวกเขายังไม่สำเร็จเหมือนคนอื่นๆก็เพราะพวกเขากำลังทำสิ่งที่ไม่เหมาะกับเขา  แล้วเริ่มตั้งขอสันนิฐานกับตัวเองว่า…   “สิ่งที่เขากำลังทำนั่น ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับฉัน”

“ฉันคงยังไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับอะไร?”

          รู้หรือเปล่าครับ?…. ไอ้ความคิดที่ว่า…. “ถ้าฉันรู้จักตัวเองแล้วฉันก็จะต้องมีผลลัพธ์ เหมือนคนที่รู้จักตัวเองคนอื่นๆ ได้ทันที” ถือเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของคนที่กำลังค้นหาตัวเองเลย!!

       คุณจะไม่มีวันรู้จักตัวเอง ตราบใดที่สายตาของคุณ ยังจับจ้องไปที่คนอื่นและคอยเอาแต่เปรียบเทียบสิ่งที่คุณมีกับสิ่งที่คนอื่นมี

        การรู้จักตัวเอง คือการตระหนักรู้ว่า “คุณคือใคร”   คุณทำอะไรได้ดี แรงบันดาลใจของคุณคืออะไร  และรู้ว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ตรงไหน และต้องการจะไปไหน

        ส่วนความสำเร็จนั้น จะเกิดขึ้นจากการที่คุณมีความชัดเจนว่า คุณคือใครและ “ลงมือทำ” จนประสบความสำเร็จ

ตัวอย่าง: คนที่วันๆ ชอบคลุกอยู่กับการทำขนมเค้ก เชื่อว่าตัวเองชอบทำขนมเค้กและสนุกกับมันมากๆ แต่พอหันไปมองคนอื่นที่เขาขายของออนไลน์เห็นเขาได้เงินเยอะและประสบความสำเร็จมีรายได้ที่ดีก็กลับมาทำร้ายตัวเองด้วยความคิดที่ว่า…สงสัยการทำขนมเค้กจะไม่ใช่ตัวตนของฉันเพราะมันไม่เห็นทำเงินเหมือนคนที่เขาชอบขายของเลย

วิธีการแก้ไขความเชื่อผิดๆ  :   แยกแยะให้ออกว่าการรู้จักตัวเอง คือการกลับมาถามตัวเองว่า “เราคือใคร?”

“เราต้องการผลลัพธ์อะไรในชีวิตจริงๆ กันแน่?”   ส่วนความสำเร็จ เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการ “ลงมือทำ” นะจ๊ะ

2.เชื่อว่า… ฉันต้องรู้จักตัวเอง 100% ก่อน แล้วค่อยลงมือทำ จะได้ไม่พลาด

        คนที่คิดแบบนี้มักมีความเชื่อที่ว่าการรู้จักตัวเอง คือสิ่งที่ทำครั้งเดียวจบเหมือนการเรียนจบชั้นประถมแล้ว ก็ไม่ต้องกลับไปเรียนอีก  แต่การค้นหาและรู้จักตัวเองนั้นมันเป็นงานศิลปะครับมันไม่ใช่ศาสตร์ที่จะมานั่งเรียนรู้ และก็จบไปในทีเดียว  แต่คุณจะต้องสร้างประสบการณ์และรับฟังเสียงหัวใจตัวเองอยู่เสมอเพื่อที่จะรู้จักตัวเอง… มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

       ทุกๆ ก้าวที่คุณก้าวและทุกๆ ประสบการณ์ คือการสำรวจทุกพื้นที่ของชีวิต  ทุกๆ การพิจารณาและการรับฟังเสียงหัวใจ คือการเข้าใจและทำความรู้จักกับตัวเอง

       การไม่ทำอะไรเลย ไม่ช่วยให้คุณชัดเจนกับตัวเองหรอกนะครับ คุณต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะรู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่าง: คนที่ไม่กล้าลงมือทำสิ่งใหม่ๆ เพราะกลัวว่าถ้าทำไปแล้วจะเสียเวลา พอได้เรียนรู้อะไรมาแล้ว เกิดไอเดีย

แต่ก็ไม่กล้าลงมือทำสักที กลัวเสียเวลาเปล่า กลัวทำแล้วผิดหวัง กลัวทำแล้วไม่สำเร็จอย่างที่คาดหวังเอาไว้  ชีวิตก็เลยติดอยู่กับวังวนของไอเดียดีๆ ที่ไม่เคยถูกนำมาลงมือทำจริงๆสักที

       วิธีการแก้ไขความเชื่อผิดๆ:   ออกไปทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำ  พบปะ พูดคุยกับผู้คนใหม่ๆ ที่คุณไม่เคยพบหรือเข้างานสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องการค้นหาตัวเองที่เน้นในเรื่องการสร้างประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่ให้ความรู้!

จงออกไปลงมือทำในสนามชีวิต แล้วคุณจะ “ชัดเจน” มากขึ้นครับ

3.เชื่อว่า… การไม่รู้จักตัวเองเป็น “ปัญหา”

          ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิด ความคิดที่ว่า..“การไม่รู้จักตัวเอง เป็นปัญหา”  คือความเชื่อที่ผิดพลาดของคนที่กำลังค้นหาตัวเองครับ  ถ้าวันนี้คุณใช้ชีวิตอยู่กับใครสักคนและเขาคนนั้น บอกคุณทุกเรื่องที่เขาคิด

ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เขาจะบอกคุณก่อนเสมอ

ไม่ว่าเขารู้สึกอย่างไร เขาจะเล่าให้คุณฟัง

ไม่ว่าเขาชอบ/ไม่ชอบอะไร คุณคือคนที่จะรู้เป็นคนแรก   และคนๆ นั้นอยู่กับคนตลอดเวลา  ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า จนเข้านอน คุณใช้ชีวิตกับเขาคนนี้มาตลอด…. 1 ปีเต็ม!!!  คุณคิดว่า…. “คุณจะรู้จักเขาดีขนาดไหน?”

         แน่นอนคุณต้องบอกว่า โคตรรู้ไส้รู้พุงเลยจริงไหมครับ  ถ้าอย่างนั้นคุณสงสัยไหมว่าทำไม ทั้งๆ ที่คุณ “อยู่กับตัวเอง” แบบนี้มากี่สิบปีแล้วล่ะครับ?

          ทำไมคุณถึงบอกว่า… คุณยังค้นหาตัวเองไม่เจอ!!

ผมขอแบ่งปันแบบนี้ครับ….

         จริงๆ การไม่รู้จักตัวเองมัน “ไม่ใช่ปัญหา” เลยแต่การไม่รู้จักตัวเอง คือ “ผลลัพธ์” ต่างหาก   การไม่รู้จักตัวเองเป็น ผลลัพธ์ ที่เกิดขึ้นจากการที่คุณลืมที่จะรัก และศรัทธาในตัวเอง  เกิดจากการที่คุณไม่เคยฟังเสียงของหัวใจตัวเองเลย!!

          คุณเฝ้ามองสิ่งที่คนอื่นทำได้มากเกินไปและลืมให้เวลาสนใจและใส่ใจในสิ่งที่ตัวคุณมี  ความรู้สึกสนุกและชื่นชมกับชีวิตที่เคยมีอยู่เต็มเปี่ยมในวัยเด็กถูกทำให้ลดน้อยถอยลงไปตามกาลเวลาและประสบการณ์แย่ๆ เพราะคุณดูถูกชีวิตคุณเอง เพราะคุณไม่เห็นคุณค่าในชีวิตตัวเอง   เพราะคุณไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่คุณมีหรือความสำเร็จที่คุณทำ

คุณจึง…. “ไม่รู้จักตัวเองสักที”

ตัวอย่าง: ผมมีลูกศิษย์ที่เก่งเรื่องการขายมากๆ เป็น Top Sale ของบริษัท ทำยอดขายได้เกิน 7 หลัก

แต่เขากลับไม่เคยเชื่อมั่นและคิดว่าตัวเองเจ๋งเลย พอคิดว่าตัวเองไม่ดีพอก็ได้แต่ไปติดตามคนอื่น เข้าเรียนรู้กับคนอื่น ชื่นชมคนอื่น

          แต่เขาพึ่งมาตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วเขามีของดีในตัวเพียบ เขามีจุดเด่นที่เจ๋งมากๆและบางสิ่งที่เขามี… แม่มเจ๋งกว่าคนที่เขาไปติดตามด้วยซ้ำ!!

วิธีการแก้ไขความเชื่อผิดๆ:  ถ้าคุณอยากรู้จักตัวเอง ต้องการที่จะทำในสิ่งที่มันเต็มเต็มคุณค่าในชีวิตเริ่มต้นจากการดึงพลังความรัก และความศรัทธาในตัวเอง กลับมาก่อนนะครับ

ผมแนะนำให้คุณเขียนรายการความสำเร็จในอดีต เขียนบันทึกเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เพื่อฝึกให้ใจของคุณ กลับมารักและศรัทธาในชีวิตเสียก่อนครับ

และข้อสุดท้าย ผมแถมให้

4.(แถม)เชื่อว่า… “วิธีการสู่ความสำเร็จ” สำคัญกว่า “การใช้เวลาค้นหา และรู้จักตัวเอง”

         โลกปัจจุบันนี้ เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลอะไรๆ ก็หาได้ เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วมือเท่านั้น  คนจำนวนมากที่ยังไม่รู้จักตัวเองจึงพยายามค้นหาวิธีการสู่ความสำเร็จ  โดยที่เขาหวังว่า เมื่อเขามีวิธีการที่ดี เมื่อเขาประสบความสำเร็จแล้ว

เขาจะรู้จักตัวเองได้ง่ายขึ้น!!

       แต่คุณลองมองไปในโลกของความเป็นจริงนะครับ คนที่ประสบความสำเร็จ และมีชีวิตที่มีความสุข สดใสนั้น

พวกเขาล้วนเริ่มต้นจากการรู้จักตัวเอง รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญในชีวิตเขาก่อนที่เขาจะหาวิธีการสู่ความสำเร็จทั้งสิ้น

       หนังสือ Success Build To Last หรือ “ความสำเร็จที่ยั่งยืน” ได้สัมภาษณ์บุคคลผู้ประสบความสำเร็จ อย่างต่อเนื่อง นานกว่า 20 ปี จากการสัมภาษณ์คนกลุ่มนี้กว่า 200 คน ตั้งแต่ เศรษฐีพันล้าน CEO ประธานาธิบดี ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ  พวกเขาอาจมีวิธีการสู่ความสำเร็จที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือ… “พวกเขาตัดสินใจ เลือกแต่สิ่งที่สำคัญต่อชีวิตเขาเท่านั้น”  พวกเขารู้จักตัวเองว่าตัวเองต้องการอะไร ตัวเองเป็นใคร และใช้ชีวิตบนพื้นฐานความเชื่อมั่นนั้นตลอดเวลา

       จากนั้นพวกเขาค่อยค้นหา “วิธีการ” ที่จะช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในภายหลัง

ตัวอย่าง:

       ลูกศิษย์ผมคนหนึ่ง เป็นคนบ้าความสำเร็จมากๆ เขาพร้อมที่จะศึกษาความรู้ เกี่ยวกับเครื่องมือ และเทคนิคใหม่ๆ เสมอ

ตอนที่มาเข้า Workshop เพื่อค้นหากับตัวเองกับผมใหม่ๆ เขาก็ยังแอบเถียงผมในใจว่า… “มันไม่เห็นจะสำคัญอะไรเลย” (ไม่รู้หลงมาเข้าคอร์สผมได้ยังไง)  แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมาขอบคุณและสารภาพกับผมว่า…. ที่ผ่านมาเขาเลือกทางผิดมาตลอด!

       เขาเคยคิดเสมอว่า เขาจะใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อมาเติมเต็มความสำเร็จ และความสุขในชีวิตของเขา แต่พอได้ทำความรู้จักตัวเองจริงๆ  เขากลับพบว่า… ความพยายามที่จะสำเร็จ พยายามหาเครื่องมือใหม่ๆ เทคนิคเจ๋งๆ นั่นไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตของเขาจริงๆ เลย  เขาพยายามทำสิ่งนั้นเพื่อให้คนอื่นยอมรับ  พยายามทำสิ่งนั้นเพื่อให้ดูดีในสายตาคนอื่นและบางครั้งก็ดันไปพยายามพิสูจน์ตัวเองกับคนที่ไม่ได้สำคัญอะไรในชีวิตเลยด้วยซ้ำ!!

วิธีการแก้ไขความเชื่อผิดๆ:  ถ้าคุณคือคนที่ต้องการรู้จักตัวเอง ต้องการประสบความสำเร็จในแบบที่โดดเด่นและแตกต่างในแบบฉบับของคุณเอง

ลองถามตัวเองดูครับว่า..

“คุณให้ความสำคัญกับการรู้จักตัวเองมากพอหรือยัง?”

 

กิตติ ไตรรัตน์

ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง National Director ของ The Passion Test ประจำประเทศไทย

ผู้มีความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสนับสนุนให้ผู้คน มีอิสรภาพจากภายในใจ

www.KittiTrirat.com

7 เทคนิคทรงพลัง ที่ไม่ว่าใครก็ต้องหลงรักคุณ

16

        ในโลกใบนี้มีอะไรที่เราคาดไม่ถึงอีกเยอะ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าถ้าคนเราต้องการอะไรสักอย่างอย่างแรงกล้าแล้วล่ะก็ มันจะมีพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ออกจากตัวเราไปดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาหา เหมือนได้เปิดวาร์ป1 (warp) พุ่งตรงไปสู่สิ่งนั้นทันที  

       ถ้าเราอยากให้ตัวเองเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น ส่งสัญญาณออกไปสิคะ ทริคมีอยู่ในมือคุณแล้ว มาดูพร้อมกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้าง   

1.ฉันชอบตัวเองจังเลย

ทำตัวเองให้เป็นคนที่ใช่

        อยากให้คนอื่นมาชอบ แล้วเราเป็นคนที่ใช่หรือยัง? เรื่องนี้เหมือน “เส้นผมบังภูเขา” ที่เราไม่ค่อยจะคิดกันเท่าไหร่ ในเมื่อเราตั้งโจทย์ว่า อยากให้ใครๆ มาชอบเรา แต่ถ้าตัวเราเองยังไม่ชอบตัวเองแล้วเราจะปล่อยพลังดึงให้ใครมาชอบเราได้ยังไง 

        วิธีชอบตัวเองทำง่ายๆ อยู่ที่การคิดบวก เพราะแท้ที่จริงแล้วทุกคนมีดีเป็นของตัวเอง คุณค่าอยู่ที่มุมมอง ถ้าเราเห็นจุดดีของตัวเอง ภูมิใจสิคะรออะไรอยู่ แล้วจุดดีจุดแรกที่เราภูมิใจจะเป็นเหมือนสะพานที่นำเราไปพบจุดที่น่าภูมิใจต่อไป

        เมื่อเราชอบตัวเองสารแห่งความพึงพอใจนั้นจะแผ่ออกจากตัวเราออกไปให้คนอื่นสัมผัสได้ คนรอบข้างจะรู้สึกได้ถึงความมั่นใจของเรา ความมั่นใจจะนำไปสู่ความผ่อนคลายทำอะไรก็ไม่กังวลแล้วเราจะเป็นคนที่ใช่–ที่คนอื่นใฝ่หาค่ะ 

2. ฉันเป็นศูนย์รวมแห่งความสุข 

ความสุขเหลือเฟือ พร้อมแบ่งปัน

          ต้นแหล่งของไฟฟ้า สามารถปล่อยกระแสไฟไปรอบบริเวณได้ยังไง ต้นแหล่งของความสุขก็แผ่กระจายไปสู่คนรอบข้างได้อย่างนั้น คนที่เขาแสวงหาความสุขจะวิ่งเข้าหาต้นทางแห่งความสุข ถ้าต้นทางนั้นคือคุณเขาก็จะมาหาคุณ  

          สัญลักษณ์แห่งความสุขง่ายๆ คือ รอยยิ้ม หากคุณคือเทพเจ้าแห่งรอยยิ้ม คนที่ได้เห็นย่อมยิ้มตอบ รอยยิ้มเป็นเหมือนใบเบิกทางสร้างไมตรี  พร้อมกับการเป็นคนอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่หงุดหงิด ไม่เจ้าอารมณ์ ไม่เหวี่ยง เป็นคนมีอีคิวสูง ก็เท่ากับคุณได้ตั้งเสาส่งสัญญาณความสุขไปรอบตัว ดึงดูดให้ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ อย่างน้อยๆ ก็มั่นใจได้ว่า

          ถึงแม้ว่าจะยังจูนคลื่นรับกระแสความสุขจากคุณได้ไม่เต็มหน่วย ก็ไม่โดนคุณเหวี่ยงใส่ให้อารมณ์เสียนั่นแหละ แบบนี้ ไม่ชอบคุณก็ไม่รู้จะชอบใครใช่มั้ยล่ะ 

3. ฉันเป็นมิตรกับคนทั่วโลก 

มีสัญญาณตอบรับจากสายที่ท่านเรียก

         บางทีเสาสัญญาณแห่งความสุขของคุณที่แผ่ไปรอบทิศทาง คนอยากวิ่งเข้ามาหา แต่ติดกำแพงของตัวเองก็มี เพราะความกลัวเป็นธรรมชาติที่ฝังอยู่ใน DNA ของคน คุณต้องส่งสัญญาณออกไปก่อนว่าพร้อมที่จะต้อนรับหากเขาก้าวเข้ามาหา นอกจากยิ้มแย้มแล้วต้องรู้จักทักทายก่อน

        ยิ่งถ้าเคยรู้จักเขาหรือเธอเหล่านั้นจากคนอื่นมาบ้างแล้ว ทักทายก่อนเลยค่ะ ชื่อนั้นสำคัญฉะนี้ คนที่จำชื่อคนได้แม่น จะสร้างเฟิร์สอิมเพรสชั่น ความประทับใจว่าเขาคือคนที่คุณสนใจอยากรู้จักอยู่แล้ว สัญญาณตอบรับจากสายที่เรียกมาเต็มขนาดนี้ ไม่ชอบคุณก็ให้มันรู้ไปนะคะ   

4. ฉันอยากสร้างเราให้เหมือนกัน 

ชมอย่างที่เขาเป็น และเขาเห็นด้วย

         ทุกคนชอบที่จะเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่คนอื่นเห็นความดี ยกย่องสรรเสริญ เพราะเท่ากับช่วยเติมความมั่นใจให้เขา การรู้จักชื่นชม ยกย่องสรรเสริญคนอื่น เห็นข้อดี ความเก่งของคนอื่น แสดงความยินดีในความสำเร็จของคนอื่น เป็นการให้ก่อนแล้วสิ่งดีๆ เหล่านั้นจะย้อนกลับมาหาคุณ มันคือพลังอันศักดิ์สิทธิ์

         แต่มีทริกอยู่นิดหนึ่งว่า คำชื่นชมที่ออกจากปากของคุณ ต้องเป็นความจริง ชมในสิ่งที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขามีดีในจุดนั้น เท่ากับเป็นการย้ำว่า เขาคือคนสำคัญ คือคนเก่ง คนดีที่ใครๆ ก็มองเห็น อย่าชมในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น เพราะเขาจะมองว่าคุณยกยอปอปั้น ไม่จริงใจ  

         คนในโลกนี้ต้องการคำชมก็จริงแต่จะแสลงใจมากถ้ารู้ว่า คำชมเหล่านั้นคือของปลอม คุณไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ ความดีความเด่นเขารู้อยู่แก่ใจว่ายังไงก็เหมือนเดิม แต่ที่อยากได้เพิ่มเติม คือ คำยืนยัน 

5. ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ 

คนธรรมดาที่สำเร็จและล้มเหลว

          ต่อให้คุณมีความภาคภูมิใจในตัวเอง เป็นศูนย์รวมของความสุขที่พร้อมจะแบ่งจ่ายให้คนอื่น แต่ควรระวังนิดนึงนะคะ เหมือนภาษิตที่ว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน อย่านะ อย่ายกตนข่มคนอื่น ทั้งวาจาและท่าทาง

         ไม่มีใครอยากเป็นคนที่ด้อยกว่าคนอื่นหรอก ต่อให้มันเป็นจริงก็เถอะ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นที่รักของคนอื่นต้องรู้จักสงวนท่าทีให้ถูกจังหวะ คำชื่นชมควรออกจากปากคนอื่น แต่ความที่เคยล้มเหลวมาบ้างต้องออกจากปากเรา เพื่อให้คนรอบตัวรู้สึกว่า เราก็คนธรรมดาที่ครั้งหนึ่งอาจไม่เป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน เหมือนเขาตอนนี้นั่นแหละ

         นอกจากถ่อมตนแล้วยังได้เติมกำลังใจให้คนที่มาเข้าใกล้ด้วยว่า เขาเองก็มีสิทธิ์เป็นได้อย่างเราในวันหน้าเช่นกัน 

6.ฉันชอบที่จะเหลือที่ยืนให้คนอื่น

ถอยไปยืนข้างหลัง ยามคนอื่นแสดงนำ

         คนที่จะเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น ต้องเป็นคนที่รู้จักอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ อย่าขโมยซีนเป็นนางเอกตลอดเวลา เพราะใครล่ะที่อยากเป็นตัวประกอบตลอดชีวิต แน่ล่ะ คนโดดเด่นอย่างคุณ ออร่าย่อมเปล่งประกายตลอดเวลาเป็นที่สนใจของคนอื่น

         แต่ถ้ารู้จักเปิดทางให้คนรอบตัวได้แสดงนำบ้าง หนุนสุดฤทธิ์เพื่อให้คนอื่นได้เด่น แล้วถอยออกมายืนข้างหลัง ในสายตาคนส่วนมากอาจเห็นคุณเป็นองค์ประกอบ แต่เชื่อเถอะว่า คุณน่ะ นางเอกในดวงใจของคนที่คุณผลักเขาออกมายืนข้างหน้าแน่นอน 

7.ฉันเป็นตัวของตัวเอง ไม่เฟค

ไม่มีใครหลอกใครได้ตลอดเวลา

         จงเป็นทุกอย่างข้างต้นตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 6 อย่างเป็นตัวของคุณจริงๆ อย่าทำให้คนอื่นชอบด้วยการเสแสร้งแกล้งเป็น โปรดจำไว้ว่าเราไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกชอบเราได้ แต่คนที่ชอบเราเขาคือคนของเราและชอบในความเป็นเรา จึงไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งเพื่อเป็นคนที่คนอื่นชอบ ไม่มีใครหลอกใครได้ตลอดเวลา ถ้าเขาจะชอบขอให้ชอบที่คุณเป็นคุณ อย่าเฟค 

นี่คือ 7 เทคนิกทรงพลังให้คุณพร้อมส่งต่อให้คนรอบข้างตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่วันข้างหน้า ใครๆ ก็ต้องชอบคุณอย่างแน่นอนค่ะ 

เรียบเรียงโดย คะนิ้ง – Learning Hub Team 

 

 

7 เทคนิค เลือกลูกน้องอย่างไรไม่ให้เปลี่ยนงานบ่อย

15

         สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผู้บริหารคือการคัดสรรคนให้เหมาะกับงาน  ผลประกอบการจะออกมาดีหรือไม่ย่อมขึ้นกับคน Learning Hub จึงขอนำเสนอ 7 เคล็ดลับในการเลือกคนให้เข้ากับงาน หรือ “Put the right man on the right job” ฝากให้บรรดาผู้บริหารได้ลองนำไปเป็นไอเดียในการเลือกลูกน้องกันครับ 

1.พิจารณาจากงานที่เคยทำ  

งานที่แตกต่างจึงต้องการคนที่แตกต่างกัน  

         Peter  Drucker ปรมาจารย์ด้านการจัดการยุคใหม่ กล่าวว่าหากพนักงานทำงานไม่ดีย่อมเป็นความผิดของผู้บริหาร ไม่ใช่พนักงาน เพราะผู้บริหารเป็นคนเลือกเขามาทำงานเอง ดังนั้นเพื่อป้องกันความผิดพลาด ผู้บริหารจึงต้องใส่ใจกับการเลือกคนให้เหมาะสมกับงาน เขาจึงแนะนำว่าการเลือกคนต้องพิจารณาจากงานที่คนผู้นั้นเคยรับผิดชอบมาก่อน อย่างน้อยก็จากประสบการณ์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 

         ยกตัวอย่างเช่น การจะหาผู้จัดการฝ่ายการตลาดสักคน ต้องคิดก่อนว่า หน้าที่ของผู้จัดการคนนี้คืออะไร เพิ่มยอดขาย คิดค้นสินค้าใหม่ หรือเจาะตลาดใหม่ ซึ่งงานแต่ละอย่างมีความแตกต่างกัน    จึงต้องการคนที่มีประสบการณ์แตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรเลือกพนักงานที่เคยผ่านงานหรือมีประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งนั้นมากที่สุด หากคุณสนใจแนวคิดดีๆของ Drucker ผมแนะนำหนังสือชื่อ The Essential Drucker ครับ 

 2.อย่ามอบงานใหญ่ให้คนไม่ใหญ่   

 

กระจายอำนาจการตัดสินใจให้พนักงาน  

         Alfred Sloan อดีตผู้บริหารบริษัท General Motors ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับบริษัท    หนึ่งในนั้นคือการปรับวิธีการทำงาน โดยการกระจายอำนาจให้พนักงาน ส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและสามารถแสดงความคิดเห็นได้ 

         ซึ่งเป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในองค์กร  แต่ไม่ได้หมายความว่าพนักงานทุกคนจะมีอำนาจในการตัดสินใจเท่ากันนะครับ เพราะสำหรับพนักงานใหม่แล้ว   เขาจะยังไม่มอบหมายภาระงานสำคัญให้ เนื่องจากยังอ่อนประสบการณ์ ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความผิดพลาดได้    

        เขาจึงมอบหมายให้พนักงานใหม่ทำงานที่มีความชัดเจนสูง คาดการณ์ได้ ส่วนพนักงานที่มีประสบการณ์แล้วเขาจึงเพิ่มอำนาจในการตัดสินใจครับ  คุณสามารถติดตามแนวคิดของเขาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.economist.com/node/13047099  

3.ถามไถ่คนใกล้ชิด  

 

ผู้บริหารต้องฟังสิ่งที่คนอื่นคิด  

        Hermann Abs อดีตผู้บริหาร Deutsche Bank มีมุมมองว่า การเลือกใช้คนของผู้บริหารโดยมากตั้งอยู่บนอคติส่วนตัว ทำให้ใช้คนผิดประเภท หรือเลือกแต่งตั้งคนที่ใกล้ชิดมากกว่าคนที่มีความสามารถ  

        เพื่อให้การเลือกคนมีความถูกต้องและผิดพลาดน้อยที่สุด เขาจึงมองว่านอกจากการสอบประวัติของบุคคลที่ต้องการแต่งตั้งแล้ว ผู้บริหารควรจะสอบถามจากเจ้านายเก่า ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน อย่างน้อย 3 – 5 คน เพื่อให้ได้ข้อมูลรอบด้านเพื่อประกอบการเลือกคนที่เหมาะสม

        ดังนั้น “ We need to listen ผู้บริหารจึงต้องรับฟัง” ครับ คุณสามารถอ่านแนวคิดของเขาเพิ่มเติมที่ http://www.independent.co.uk/news/people/obituary-hermann-abs-1392727.html  

4.เลือกคนที่เข้าใจงาน  

 

วิถีของ Apple คือสร้างเอกลักษณ์ให้กับสินค้า  

        Tim Cook ซีอีโอบริษัท Apple ผู้มุ่งมั่นสร้างสรรค์สินค้าเทคโนโลยีขั้นเทพให้กับลูกค้า ดังนั้นหัวใจสำคัญของ Apple จึงอยู่ที่แผนกฮาร์ดแวร์เทคโนโลยี เพราะแผนกนี้จะทำหน้าที่ผลิตชิป ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสมองของสินค้า ดังนั้นคนที่จะรับบทหนักเช่นนี้ Tim Cook จึงเลือก  Johny Srouji  ทำไมต้องเป็นเขา ? 

        Srouji เคยผ่านงานจากบริษัท Intel และ IBM มาก่อน เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการวางระบบชิปเป็นอย่างดี เมื่อเขาเข้าร่วมงานกับ Apple  Srouji มีส่วนอย่างมากในการออกแบบระบบการทำงานของ iPhone และแท็บเล็ตใหม่   ทำให้ระบบการทำงานมีเสถียรภาพและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น   

        จึงทำให้  Apple สามารถยืนหยัดแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างมั่นคง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ Tim Cook เลือกคนที่เข้าใจงานทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำความรู้จัก Johny Srouji ได้ที่นี่ครับ https://www.linkedin.com/in/johny-srouji-1b7a944  

 5.เข้าใจคนก่อนใช้คน   

 

 อย่าให้จุดด่างดำมาบดบังหยกขาว  

         Bob Burg วิทยากรชื่อดังของสหรัฐอเมริกา และเจ้าของหนังสือชื่อ The Go-Giver Leader เป็นกูรูอีกคนหนึ่งด้านการใช้คนครับ แน่นอนครับว่า ทุกคนย่อมมีดีมีเสียแตกต่างกันไป เขาจึงแนะนำครับว่า ควรมองคนจากจุดแข็งก่อนครับ เพราะมูลค่าของงานจะสร้างสรรค์ขึ้นได้จากจุดแข็งของคน  

        จากนั้นจึงพิจารณาจากจุดอ่อนครับ แต่ไม่ใช่คือมีจุดอ่อนแล้วคัดออกนะครับ เพราะเขาแบ่งจุดอ่อนออกเป็น 3 ประเภท คือ     จุดอ่อนที่ไม่เป็นปัญหา จุดอ่อนที่แก้ไขได้ และจุดอ่อนที่เป็นปัญหา  พูดง่ายๆก็คือ หากพนักงานมีจุดอ่อน 2 ประเภทแรก ไม่ถือเป็นปัญหาครับ แต่หากเป็นจุดอ่อนประเภทที่สาม แม้ว่ามีจุดแข็งที่ดีแค่ไหนคงต้องคัดออกครับ  

         เขาได้ยกตัวอย่างวิศวกรที่ทำงานเก่งคนหนึ่ง ซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าแผนก แต่วิศวกรรายนี้ทำหน้าที่ประสานงานได้ไม่ดี แต่งานในตำแหน่งหัวหน้าต้องมีทักษะการประสานงาน

         ดังนั้นจุดอ่อนของเขาถือเป็นประเภทที่สาม เพราะถ้าเขาไม่สามารถประสานงานได้  ก็ไม่อาจแบกรับความรับผิดชอบได้ครับ ติดตามแนวคิดของ Bog Burg ได้ที่ https://www.facebook.com/burgbob/  

 6.เลือกคนจากลักษณะนิสัย   

 

Judging เหมาะกับงานบัญชี แต่ Perceiving เหมาะกับงานการตลาด  

         โดยทั่วไปลักษณะนิสัยของแต่ละคนมีส่วนอย่างมากต่อผลลัพธ์ของการทำงาน   คนที่ชอบทำงานเป็นขั้นเป็นตอน วางแผนล่วงหน้า ไม่ค่อยครีเอทีฟ เรียกว่า Judging ครับ เหมาะกับการทำงานบัญชีหรือการเงิน          เพราะเป็นคนละเอียด 

          แต่คนที่ชอบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ชอบงานเอกสาร เรียกว่า Perceiving เหมาะกับงานการออกแบบหรือการตลาดครับ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Target ถูกโจรกรรมข้อมูล บริษัทสูญเสียความเชื่อมั่น ผู้ถือหุ้นจึงเลือก John Mulligan ดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการ CEO แทน CEO คนเก่าที่ขาดความน่าเชื่อถือไปแล้ว

          เหตุที่เลือกเขาเพราะเขาเป็นรองประธานฝ่ายการเงินหลายปี ทำงานละเอียด หรือก็คือเป็นคนประเภท Judging ซึ่งเหมาะที่จะเข้ามาประเมินความเสียหายและฟื้นฟูสถานะทางการเงินภายหลังถูกโจรกรรมข้อมูล  

คนละเอียดและรอบคอบจึงเหมาะกับสถานการณ์นี้มากกว่าคนครีเอทีฟครับ คุณสามารถศึกษาประวัติของ John Mulligan ได้ที่  https://www.linkedin.com/in/john-mulligan-2664812 

 7.ต้องเป็นที่ยอมรับ 

 

เลือกคนที่เป็นที่ยอมรับ ย่อมทำงานได้ราบรื่น  

         เทคนิคนี้ผมได้บทเรียนจากประธานาธิบดีโอบามาครับ   เมื่อครั้งโอบามารับตำแหน่งประธานาธิบดีใหม่ๆ เสียงวิพากษ์ดังขรมว่า โอบามาขาดประสบการณ์ด้านการต่างประเทศ เมื่อเป็นเช่นนี้การประสานงานกับรัฐสภาจะเป็นไปได้ด้วยความยากลำบากมาก  

         คงไม่มีใครให้ความร่วมมือกับเด็กอ่อนอย่างโอบามาแน่  ดังนั้นโอบามาจึงดึง โจเซฟ ไบเดน เข้ามาเป็นรองประธานาธิบดี ซึ่งจะเขาเคยเป็นกรรมาธิการด้านต่างประเทศถึง 9 สมัย

         ด้วยประสบการณ์ชั้นเซียนเช่นนี้ ย่อมกลบจุดอ่อนของโอบามาได้เป็นอย่างดี และความน่าเชื่อถือและการยอมรับย่อมเพิ่มขึ้น  หากคุณสนใจสามารถติดตามโอบามาได้ที่ https://www.barackobama.com/  

         แม้ว่าคุณจะเรียนรู้เทคนิคการใช้คนทั้ง 7 ข้อไปแล้วก็ตาม แต่ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ แต่หากเราใช้คนผิดพลาด เราก็ควรยอมรับความจริง และเปลี่ยนคนใหม่ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นอาจจะสร้างความเสี่ยงให้กับองค์กรได้   เพราะ Misfit is cruel to an organization.    

รียบเรียงโดย วิญญู – Learning Hub Team 

ที่มา  The Eessential Drucker: Peter Drucker author  

http://www.bloomberg.com/features/2016-johny-srouji-apple-chief-chipmaker/  

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save