5 เคล็ดลับ เปลี่ยนคนเบื่องาน ทะยานสู่ TOP 5 ในออฟฟิศ

ยอมรับมาซะดีๆ เคยแอบอิจฉา คนในที่ทำงานที่ได้ดิบได้ดี เป็นลูกรักของ Boss แถมโบนัสเงินเดือนก็ยังเกินหน้าเกินตาเพื่อนร่วมงานกันไหม

หลายต่อหลายครั้งที่เราต้องยอมรับในความสามารถของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นพนักงานระดับ Top 5 ในออฟฟิศ

ความสามารถที่เขาเหล่านั้นไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ไม่ได้มาจากการประจบสอพลอ

หลายต่อหลายคนคิดว่าความสามารถของคนระดับ Top 5 ได้มาเพราะ “เขามีพรสวรรค์”

ความเชื่อแบบนี้ทำให้หลายต่อหลายคนหยุดพัฒนาการทำงานของตัวเอง ซึ่งตามมาด้วยอาการหมดหวังต่อความก้าวหน้าในงานที่ทำอยู่ จนอาจกลายเป็นอาการเบื่องานในไม่ช้า

ทั้งที่ ในความเป็นจริงแล้วพนักงานระดับ Top 5 ก็ไม่ได้มีสิ่งใดเหนือกว่าพนักงานระดับธรรมดาๆ ส่วนใหญ่เลย ต่างกันเพียงแค่พรสวรรค์ข้อเดียวเท่านั้น

คือ “พรสวรรค์ในการเรียนรู้เร็ว”

โชคดีที่พรสวรรค์นี้เป็นสิ่งที่สามารถสร้างได้ง่ายๆ และ ต่อไปนี้ คือ 5 เคล็ดลับ ที่จะทำให้คุณมีศักยภาพในการเรียนรู้เร็ว

1.สร้างสภาพแวดล้อมที่สงบ

ขั้นตอนแรกของการเรียนรู้  มิใช่การฟังหรือการอ่าน แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้

สภาพแวดล้อมที่เงียบ สงบ และปราศจากสิ่งรบกวนที่จะมาดึงความสนใจของคุณจากสิ่งที่กำลังเรียนรู้ จะช่วยให้จิตใจเกิดสมาธิ 

TIP : ควรให้ความสำคัญกับการจัดโต๊ะทำงานและบริเวณโดยรอบให้อยู่ในบรรยากาศเงียบ สงบ ปราศจากสิ่งรบกวน ควรปิดเสียงเครื่องมือสื่อสาร และไม่ควรตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน ควรเก็บไว้ในลิ้นชักเพราะจะได้ไม่รบกวนสายตาซึ่งจะส่งผลดีต่อการสร้างสมาธิในการทำงานมากกว่า

2.ใช้จิตนาการช่วยในการเรียนรู้

ทฤษฎีทางจิตวิทยา สรุปได้ว่า มนุษย์เรียนรู้และจดจำเป็นภาพ มิใช่คลื่นเสียงหรือตัวอักษร  ดังนั้น ก่อนจะเรียนรู้งานเรื่องใดให้คุณลองจินตนาการว่า

เมื่อคุณได้รับความรู้นั้นแล้ว จะนำไปทำอะไรบ้าง ในขณะฟังหรืออ่านให้ค่อย ๆ ลำดับความคิดเป็นภาพ

วิธีการนี้เป็นการเปิดจิตใต้สำนึกให้ค่อย ๆ ดูดซับความรู้ใหม่เข้าไปไว้ในความทรงจำ นอกจากนี้การทบทวนความรู้ใหม่ในตอนกลางคืน โดยเฉพาะ 30 นาที ก่อนนอน ยังช่วยให้จิตใต้สำนึกจดจำภาพต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน และสามารถประมวลผล

เพื่อดึงกลับมาใช้ได้อย่างแม่นยำในวันหน้า

TIP : ทุกครั้งที่ได้รับมอบหมายงานที่ไม่เคยทำ ก่อนที่จะบ่นว่ายากให้เปลี่ยนเป็นการฝึกตั้งคำถามกับตัวเองว่า งานชิ้นนี้องค์กรจะนำไปใช้ประโยชน์ด้านใดได้บ้าง ? เราจะได้เรียนรู้สิ่งใดจากงานชิ้นนี้ ? เราจะทำงานชิ้นนี้ให้ดีที่สุดได้อย่างไร ?

 

3.  จดบันทึกสั้น ๆ

รูปแบบการเรียนรู้หลัก ๆ ที่มนุษย์มีติดตัวมาตั้งแต่เป็นทารก คือ เรียนรู้จากการฟัง (AUDITORY) และเรียนรู้จากการมองเห็น (VISUAL) ซึ่งการเรียนรู้จากการมองเห็นจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการฟัง

เนื่องจากเส้นประสาทที่เชื่อมระหว่างตากับสมองมีจำนวนมากกว่าเส้นประสาทที่เชื่อมระหว่างหูกับสมองถึง 22 เท่า แต่การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุด กลับเป็นการเรียนรู้จากการใช้มือเขียนบันทึกข้อมูลหรือการโน้ตย่อ

เพราะช่วยให้เส้นประสาทที่เชื่อมระหว่างสมองกับตา และสมองกับหูสามารถทำงานไปพร้อม ๆ กัน

กล่าวคือในระหว่างคุณจดบันทึกข้อความ สมองของคุณจะเห็นภาพและได้ยินเสียงเกี่ยวกับข้อมูลที่กำลังจดบันทึกในเวลาเดียวกัน

วิธีการจดบันทึกจึงเป็นเสมือนทางลัดที่ใช้ในการส่งข้อมูลความรู้เข้าไปจัดเก็บไว้ในคลังสมอง

Tip : ฝึกจดบันทึกประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากงานชิ้นใหม่ๆ ที่เพิ่งเคยทำ หรือ งานชิ้นเดิมๆ ที่เคยทำผิดพลาด รายละเอียดของงานในแต่ละขั้นแต่ละตอน หมั่นนำมาอ่านทบทวนสัปดาห์ละครั้ง เพื่อสะสมความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ตรงไว้ในคลังสมอง

 

4.  แบ่งปันความรู้ใหม่กับผู้อื่น

สิ่งที่น่าตกใจ คือ ความรู้ใหม่ที่เพิ่งได้เรียนรู้ กว่า 90 % ไม่ว่าจะมาจากการฟัง การอ่าน หรือการเขียนก็ตาม จะคงอยู่ในสมองได้ไม่นานนัก

หากคุณไม่รีบนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน สมองจะสั่งการว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันของคุณ และจะค่อยๆ โละความรู้นั้นทิ้งในเวลาต่อมาเพื่อไม่ให้เป็นภาระสมอง 

ดังนั้น วิธีการที่ง่ายที่สุดในการเก็บความรู้ใหม่ให้คงอยู่ในคลังสมองตลอดไป คือ การพูดคุยเพื่อแบ่งปัน แลกเปลี่ยนสิ่งที่เพิ่งได้เรียนรู้ให้แก่คนในชีวิตประจำวันของคุณ เช่น เพื่อน คนรัก พี่น้อง

ซึ่งถือเป็นการย้ำเตือนกับสมองว่าเรื่องที่แบ่งปันเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันห้ามลบทิ้งโดยเด็ดขาด

Tip : หาเวลาว่างสักวันละ 5 นาที พูดคุยเรื่องราวดีๆ ที่ได้เรียนรู้มาจากการทำงาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ให้คำแนะนำซึ่งกันและกัน แทนการสุมหัว ตั้งวง บ่น นินทา เม้ามอย ฯลฯ

 

5.  ดื่มน้ำและออกกำลังกายสม่ำเสมอ

เป็นวิธีที่สำคัญที่สุดวิธีหนึ่ง เนื่องจากสมองส่วนหน้าของมนุษย์มีไว้เพื่อทำหน้าที่ในการเรียนรู้และจดจำ ดังนั้น สมองส่วนหน้าจึงมีความต้องการใช้ออกซิเจนในเลือดในปริมาณที่เพียงพอเพื่อเพิ่มเซลสมองให้ส่วนนี้

การดื่มน้ำและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีการที่ใช้ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้อย่างทั่วถึง จึงถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการสร้างสมองอัจฉริยะ

Tip : บนโต๊ะทำงานของคุณควรมีกระติกน้ำ หรือ ขวดน้ำที่มีความจุประมาณ 1 ลิตร ตั้งไว้ เพื่อเป็นการเตือนความจำให้คุณค่อยๆ หยิบมาจิบไปเรื่อยๆ ระหว่างนั่งทำงาน 8 – 10 ชั่วโมง และหลังเลิกงานควรแบ่งเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 15 – 30 นาที

 

เคล็ดลับง่ายๆ ทั้ง 5 ข้อ คงเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าพรสวรรค์ ไม่ใช่สิ่งที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด

อันที่จริงแล้ว “พรสวรรค์เป็นสิ่งที่เราต้องลงทุน”  การลงทุนที่ดีที่สุด ก็คือการลงทุนกับการเรียนรู้

อย่าลืมใส่ใจดูแลสมองและร่างกายให้พร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ เพื่อสร้างความสำเร็จในการทำงานให้ทะลุอันดับ Top 5 Top 3 ไปจนถึง Number 1 กันน่ะครับ

 

307090

บทความโดย จิตเกษม น้อยไร่ภูมิ (แมงปอ) โค้ชทะลุกรอบเงินเดือน

ติดตามได้ที่ https://m.facebook.com/OfficeMan-StandUp-1065263756901407/

3 ขั้นตอน ปลดล็อคข้อจำกัด ในตัวคุณ

“ก็มึงมันโชคดี!!”

รู้ไหมครับว่า… สำหรับคนทั่วไป “ความโชคดี” คือ เคล็ดลับความของความสำเร็จ! ในเดือน พฤศจิกายน 1987 รูเบ็น กอนซาเลซ และพาโบล การ์เซีย ได้เปลี่ยนตัวเองจาก นักแข่งเลื่อนไร้ชื่อเสียง เป็นนักแข่งเลื่อน ลำดับที่ 14 ของโลก!!

นักแข่งเลื่อนคนอื่นๆ ต่างบอกว่า… ก็พวกมึงมันโชคดีนี่!!

แต่ความจริงแล้ว “ความโชคดี” คือเคล็ดลับของความสำเร็จของทั้งคู่จริงรึเปล่า?

โอกาสซ่อนอยู่รอบๆ ตัวเสมอ

ในเดือนพฤศจิกายน 1987 หลังจากที่ รูเบ็นได้เตรียมตัวฝึกซ้อมเพื่อเตรียมลงแข่งเลื่อน

เขาได้เดินทางมาถึงสนามแข่งซึ่งมีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาร่วมรายการนี้ ท่ามกลางผู้เข้าแข่งขันมากมาย
และโอกาสอันริบหรี่ รูเบ็นได้พบโอกาส ที่คนอื่นมองไม่เห็น!!

นั้นก็คือ…. ในการแข่งเลื่อนประเภทคู่นั้น มีผู้ร่วมแข่งขันเพียง 3 คันเท่านั้น!

จะคว้าโอกาสอาจมีอุปสรรค และอุปสรรคนี่แหละ ที่สร้างโอกาส! แต่การแข่งเลื่อนประเภทคู่นั้น เป็นการแข่งที่โหดมาก

เพราะผู้แข่งขัน จะต้องยืนอยู่บนเลื่อนคันเดียวกัน คนข้างหน้าจะสามารถมองเห็นได้ เพียงคนเดียว ในขณะที่คนข้างหลังจะมองไม่เห็น แต่ต้องควบคุมทิศทาง

หากไม่ได้ผ่านการซ้อมกันมาอย่างยาวนาน และผู้ร่วมแข่งขัน ไม่ได้เข้าขากันเป็นอย่างดี อาจมีบาดเจ็บ หรือถึงขั้นสาหัสได้เลยทีเดียว!

ใครๆ รู้แบบนี้ ต่างก็ไม่กล้าเข้าร่วมแข่ง แต่รูเบ็นกลับคิดต่าง และไปชวน พาโบล เพื่อนสนิทของเขาเข้าร่วมแข่งในประเภทคู่

รูเบ็น พูดสั้นๆ ว่า…

“นี่คือโอกาสของเรา ที่จะได้เหรียญ World Cup”

พาโบล ตัดสินใจ ลงแข่งกับรูเบ็น แต่เขาต้องไปขออนุญาตโค้ชเสียก่อน และต้องมีเลื่อนที่จะใช้ลงแข่งประเภทคู่ด้วย!

โค้ชของเขา อนุญาตให้เขาลงแข่งได้ แต่ความท้าทายสำคัญ ก็คือ “เขาไม่มีเลื่อน สำหรับลงแข่ง”

การแข่งครั้งนั้น จัดขึ้นที่ เมืองเซนต์ มอริตซ์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งผู้คนในเมืองนี้ ไม่ได้ใช้เลื่อนแบบที่ต้องใช้แข่งกันเลย

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คนที่นี่ พูดคุยกันด้วยภาษาเยอรมัน  ซึ่งทั้งรูเบน และพาโบล พูดเยอรมันไม่เป็น.. ทั้งคู่!!!

มีแต่ความคิดเท่านั้นแหละ ที่เป็นข้อจำกัดของชีวิต

แม้จะดูมืดมน และไร้หนทาง แต่รูเบ็นก็ไม่ยอมแพ้ เขา และพาโบล ตระเวนเคาะประตูบ้านของคนระแวกนั้น

เขาพูดคำว่า “คุณมีเลื่อนคู่สำหรับการแข่งเวิร์ดคัพไหม?” เป็นภาษาเยอรมันได้แบบตะกุกตะกัก และนั้นเป็นประโยคเดียวที่เขาพูดได้

เขาต้องเจอคำปฎิเสธ และบางคนก็ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เขาพูดด้วยซ้ำ!!

เป็นเวลา 2 วัน กว่าที่พวกเขา จะพบชายคนหนึ่ง ซึ่งมีเลื่อนเก่าอายุ 20 ปี ที่เต็มไปด้วยสนิม ในโรงเก็บของ

พวกเขายืมเลื่อนมาจากชายคนนั้น และใช้เวลาอีก 2 วัน ในการทำให้มันพร้อมสำหรับการแข่ง

พอถึงวันแข่ง…

นักแข่งคนอื่นๆ พากันมาดู รูเบ็น และพาโบล เอาชีวิตไปเสี่ยงในการแข่งประเภทคู่

พวกเขาชนลู่ เกือบตลอดระยะทางการแข่งขัน และเข้าเส้นชัยไปแบบทุลักทุเลและลงเอยที่อันดับ 4 ของการแข่ง!

แต่ผลจากการแข่งในครั้งนั้น ทำให้พวกเขาติดอันดับ 14 ของโลก ในการแข่งเลื่อนประเภทคู่ หลังจบฤดูการแข่งขัน

ผู้คนบอกว่า พวกเขาโชคดี ที่ตัดสินใจร่วมการแข่งขัน พวกเขาโชคดี ที่มีชีวิตรอด และได้ติดอันดับ 14 ของโลก

แต่ความจริงคือ… มันไม่ได้เกี่ยวกับโชคเลย!!

รูเบ็นบอกว่า…

“เราเพียงแค่เห็นโอกาส และเราก็ตัดสินใจลงมือทำ”
“เราสร้างโชคขึ้นมา!!”

พวกเขาแค่มุ่งมั่นไปยังสิ่งที่เขาฝัน เชื่อมั่น และไม่ปล่อยให้ความคิด มาจำกัดชีวิตของเขา

ถ้าคุณเองก็มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังมีความคิดที่จำกัดชีวิตอยู่ล่ะก็ นี่คือวิธีการ ที่คุณจะเป็นอิสระจากมัน!!

3 ขั้นตอน ปลดล็อคความคิด

 1 .ความคิดไหนที่จำกัดชีวิตคุณ?

คุณจะปลดล็อคความคิดของคุณไม่ได้หรอกครับ ถ้าคุณยังไม่ตระหนักเลยว่า ความคิดไหน มันฉุดรั้งคุณเอาไว้

จัดสรรเวลาเลยครับ ลิสต์มาเลยว่า ความคิดไหนบ้างที่มันฉุดคุณไว้

ความคิดลบๆ ทั้งหลาย เช่น…

– ฉันเป็นคนที่ตัดสินใจผิดพลาดตลอด
– ฉันมันห่วย และไม่เอาไหน
– ฉันกลัวว่ามันจะผิดพลาด และล้มเหลว เพราะฉันเก่งไม่พอ
– มันยากมากเลยนะ ที่จะทำสิ่งที่รักไปด้วย ในตอนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว
– ฉันคงมีความสุขไม่ได้แน่ๆ ถ้าจะเริ่มทำตาม Passion
– ฉันยังรู้ไม่พอ ซึ่งนั้นทำให้ฉันไม่กล้าลงมือทำอะไรจริงๆ สักที

ลิสต์ออกมาให้มากที่สุด เท่าที่จะนึกได้เลยครับ

ถึงเวลาปลดปล่อยมันออกไปแล้ว!!

 2. ยอมรับ และเลือกใหม่

หลังจากที่คุณได้ลิสต์ความคิดลบๆ ออกมาแล้ว ยอมรับว่า นั่นคือความคิดลบๆ ของคุณเอง

หลังจากนั้นให้คุณลิสต์รายการความคิด หรือความเชื่อใหม่ที่มันจะสนับสนุนให้คุณ มีชีวิตในแบบที่คุณฝันได้ง่ายมากขึ้น ไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องกังวล

แค่เลือกความเชื่อที่มันสนับสนุนคุณ แล้วเขียนลงไป

ตัวอย่างเช่น..

– เมื่อฉันตั้งใจจริงในเรื่องไหน ฉันก็จะสำเร็จในสิ่งนั้น
– ฉันคือคนที่เหมาะสม และคู่ควรกับผลลัพธ์
– ฉันตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ให้ตัวเองเสมอ
– ฉันมีความรู้ มีความสามารถมากพอ ที่จะเริ่มต้นลงมือทำ และประสบความสำเร็จ
– ถ้าฉันเลือกเดินตาม Passion ฉันจะมีชีวิตที่สนุกสนาน และมีความสุข
– ฉันสามารถสร้างชีวิต ด้วยการทำสิ่งที่ฉันรักได้
– ฉันเป็นคนที่ยอดเยี่ยม และฉันมีศักยภาพที่เต็มเปี่ยมอยู่ภายใน

มาถึงขั้นนี้ คุณจะมีทั้ง ลิสต์ของความคิดลบๆ
และลิสต์ของความเชื่อใหม่ในมือแล้ว

ก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายที่จะทำให้คุณปลดล็อคความคิดลบๆ ออกไปซะ

3 .เข้าใจ – ขอบคุณ – และลงมือทำ

หยิบลิสต์รายการความคิดลบๆ ของคุณขึ้นมาอีกครั้ง ทำความเข้าใจว่าทำไมความคิดนี้ถึงเกิดขึ้น
ขอบคุณในความหวังดีของมัน และฉีกมันทิ้งซะ!! วิธีการคือแบบนี้ครับ

ให้คุณเลือกความคิดลบๆ ที่เขียนไว้ มาทีละ 1 ข้อ

เช่น….

ความคิดลบๆ: “ฉันเป็นคนที่ตัดสินใจผิดพลาดตลอด”

หลังจากนั้นให้คุณทำความเข้าใจว่า ทำไมความคิดลบๆ นี้ เกิดขึ้นจากความหวังดี ที่จะทำให้เราเป็นอย่างไร

เช่น….

ความหวังดีของมัน: “มันต้องการให้ฉันได้ใช้ชีวิตที่สุขสบาย แบบชิลๆ” หลังจากนั้นให้คุณ กล่าวขอบคุณความคิดนั้น

แล้วขีดฆ่ามันทิ้งไปซะ!!

ทำจนครบทุกรายการที่คุณลิสต์ออกมา เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความคิดลบๆ เหล่านั้น

หลังจากนั้น ให้คุณหยิบลิสต์ความเชื่อใหม่ขึ้นมา ตั้งใจอ่านช้าๆ แล้วลงมือสร้างชีวิตที่ใช่ สักที

คุณคือคน 95% หรือเปล่า?

คุณรู้ไหมครับว่า 95% ของคนที่อ่านบทความนี้ 

จะเลือกให้ชีวิตมีแต่ข้อจำกัดเหมือนเดิมต่อไป!!

นั่นก็เพราะ พวกเขาคิดว่า… เขาคงไม่มีเวลาที่จะทำตาม 3 ขั้นตอนนี้

และสาเหตุของการ “ไม่มีเวลา” ก็คือ ชีวิตเขามันยังเจ็บมาไม่พอ!!

ถ้าคุณไม่ต้องการปล่อยให้ชีวิตที่มีค่าของคุณ ต้องเต็มไปด้วยข้อจำกัดแบบเดิมต่อไปอีกแล้ว

ผมจะบอกว่า…

คุณแค่เริ่มต้น ปลดล็อค 1 ความคิดลบในทันที คุณก็ได้ก้าวมาเป็นคน 5% ที่จะประสบความสำเร็จแล้ว

ถ้าคุณคือ คน 5% นั้น ผมขอท้าทายให้คุณ…

เขียน 1 ความคิดที่ฉุดรั้งคุณเอาไว้
เลือกความเชื่อใหม่ มา 1 ข้อ
กล่าวขอบคุณ และเลือก 1 Action
ที่คุณจะลงมือทำ เพื่อสร้างชีวิตที่ใช่

และแบ่งปัน ความคิดลบ และความคิดใหม่ ที่คุณได้จากทำตาม 3 ขั้นตอนลงในกล่อง Comment ทันที

ตัวอย่างเช่น….

ความคิดลบ: “ฉันไม่เก่ง และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้”
ความคิดใหม่: “ฉันมีความสามารถ และพัฒนาตัวเองได้แบบก้าวกระโดด”

เพราะความแตกต่าง ระหว่างคนล้มเหลว และคนสำเร็จ ก็คือ….

คนล้มเหลว แค่อยากรู้ แต่ไม่คิดที่จะลงมือทำ แต่คนสำเร็จ เขาจะเอาสิ่งที่เขารู้ มาลงมือทำ และเริ่มต้นสร้างผลลัพธ์ทันที!!

โค้ชกิตติ

กิตติ ไตรรัตน์  

ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง National Director ของ The Passion Test ประจำประเทศไทย 

ผู้มีความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสนับสนุนให้ผู้คน มีอิสรภาพจากภายในใจ 

www.KittiTrirat.com 

5 ทักษะ ที่ช่วยให้คุณมีความสุข เพิ่มขึ้นทุกวัน

ชีวิตที่จะมีความสุขอย่างแท้จริงนั้น ต้องมีองค์ประกอบของความสุขครับ ความสุขเป็นหนึ่งในความรู้สึกที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา แต่จะทำอย่างไรให้ คุณมีความสุขเพิ่มขึ้นในทุกวัน

วันนี้ผมมี 5 ทักษะง่ายๆ ที่ทำได้ทันทีเพื่อให้คุณมีความสุขมากขึ้น มาฝากกันครับ

1.การดื่มด่ำ

คือทักษะในการทำให้ร่างกายและจิตใจ ดื่มด่ำไปกับเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้น ทำตัวของเราให้แช่อิ่มอยู่ในห้วงเวลาแห่งความสุข

…. เวลาที่คุณทำอะไรสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ลองฝึกปล่อยใจให้ดื่มด่ำไปกับอารมณ์ดีๆ นั้นให้นานขึ้นดูสิครับ

2.การขอบคุณ

หมั่นขอบคุณเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต ปรับมุมมองและทัศนคติให้เป็นด้านบวก แม้วันนี้จะพบเจอกับความล้มเหลว

ก็ลองขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ทำให้เราได้มีประสบการณ์ชีวิต ที่จะช่วยให้เราภาคภูมิใจกับความสำเร็จได้มากขึ้นกว่าเดิม

3.มีความหวัง

ใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง โอกาสดีๆ รอปรากฏให้คนที่มีหวังได้มีโอกาสพบเจออยู่เสมอ การมีความหวังทำให้เราก้าวเดินต่อไป

แม้จะเจอกับสิ่งกีดขวางระหว่างทาง…. ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่… ขอจงเชื่อเถอะว่า… ความหวังยังมี

4.การให้

การให้ทำให้มนุษย์มีความสุข และมีความสุขทั้งผู้ให้ และผู้รับเลยทีเดียว ซึ่งการให้ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย

… เพราะมันทำได้ตั้งแต่การให้รอยยิ้มกับคนใกล้ๆ ตัว ก็ถือเป็นการให้ ที่สร้างความสุขได้แล้ว

5.ความเอาใจใส่

การรู้จักเอาใจเข้ามาใส่ใจเรา รู้จักแสดงความรัก และความห่วงใยต่อผู้อื่น นอกจากจะช่วยให้เรามีความสุขมากยิ่งขึ้นแล้ว

ยังเป็นการฝึกให้เราเป็นคนไม่ตัดสินคนอื่น ความเครียด ความโกรธ ที่มีต่อคนอื่นก็จะลดลงตามไปด้วย

มาฝึกทักษะเหล่านี้ เพื่อเพิ่มความสุขในชีวิตกันนะครับ ^^

โค้ชกิตติ

กิตติ ไตรรัตน์  

ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง National Director ของ The Passion Test ประจำประเทศไทย 

ผู้มีความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสนับสนุนให้ผู้คน มีอิสรภาพจากภายในใจ 

www.KittiTrirat.com 

<

p class=”paragraph” style=”margin: 0cm; margin-bottom: .0001pt; vertical-align: baseline;”>

7 วิธี เพิ่มความมั่นใจ ทำอะไรก็สำเร็จ

6

           ความมั่นใจเป็นสิ่งที่สำคัญมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการทำงาน ด้านการศึกษา หรือเรื่องการดำเนินชีวิต หากเรามีความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตัวเองแล้วล่ะก็ความสำเร็จอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ความมั่นใจนั้นไม่ใช่ว่าทุกคนจะมี บางคนขาดความมั่นใจในตัวเองจนพลาดอะไรไปหลายอย่าง แต่อย่าเพิ่งเครียดไปค่ะเพราะความมั่นใจสร้างได้ 

          วันนี้ Learning Hub Thailand  มีวิธีการเสริมสร้างความมั่นใจเพื่อคว้าความสำเร็จที่ตัวคุณหมายปองมาได้อย่างไม่ยากมาฝากกันค่ะ เรามาลองดูกันเลย 

 1.เชื่อมั่นและทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง

          แน่นอนค่ะเราทุกคนย่อมมีความคิดเป็นของตัวเองแต่ประเด็นก็คือเราจะเชื่อมั่นได้ตลอดรอดฝั่งไหมว่าความคิดที่เรามีนั้นถูกต้อง 

          นี่คือประเด็นที่ยากที่สุดในข้อนี้ค่ะ บางทีเราอาจจะโดนคนรอบข้างขัดแย้งความคิดของเราจนเราไขว้เขวไป แต่คุณต้องลองดูก่อนนะคะว่าความคิดเห็นนั้นมีเหตุผลไหมและเหตุผลของเราแข็งเพียงใด  

          หากมีเหตุผลที่แข็งและแน่นพอ รับรองว่าทุกคนจะต้องรับความคิดเห็นของคุณไปพิจารณาแน่ๆ ค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพอเรามีเหตุผลแล้วก็เถียงหัวชนฝาเลยนะคะ เรียกว่ายอมประนีประนอมโดยใส่ความคิดเห็นของตัวเองเข้าไปด้วยโดยคิดว่าเป็นการเสริมความคิดของเราให้ไร้ที่ติมากขึ้นไปอีกก็ได้ค่ะ 

 2.ยอมรับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้

          มนุษย์ทุกคนย่อมเคยทำผิดพลาดค่ะ แต่ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะสามารถรับข้อผิดพลาดของตัวเองได้ เราขอแนะนำว่าคุณต้องเข้าใจว่าคุณสามารถทำผิดพลาดได้ คุณสามารถตัดสินใจผิดพลาดในชีวิตได้แต่ว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเสียความมั่นใจไม่ได้ 

          คุณอาจจะรู้สึกเสียความมั่นใจไปเลยเมื่อรู้ตัวว่าตัดสินใจพลาดและอาจจะทำให้ตัวเองหรือคนอื่นเดือดร้อนและโดนต่อว่า นั่นอาจทำให้คุณไม่กล้าตัดสินใจอะไรอีก มันไม่ผิดหรอกค่ะที่คุณจะรู้สึกแบบนั้น 

          แต่ท้ายที่สุด คุณต้องทำใจยอมรับและดึงความมั่นใจของตัวเองกลับคืนมา โดยโยนคำวิจารณ์ทิ้งไปซะเพราะว่าอย่างที่บอกไปว่ามนุษย์ทุกคนย่อมเคยทำพลาดแต่ก็ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนพลาดแล้วจะต้องผิดพลาดไปตลอดนะคะ  

 3.เรียนรู้จากข้อผิดพลาด

         ข้อนี้ขอแยกจากข้อที่แล้วเพราะไม่อยากจะจำกัดว่าข้อผิดพลาดที่คุณจะต้องเรียนรู้และนำไปพัฒนาปรับปรุงในอนาคตมีเพียงแค่ความผิดพลาดที่ตัวคุณก่อขึ้น แต่อยากจะให้คุณนำข้อผิดพลาดของคนอื่นมาปรับปรุงตัวเองเช่นกันค่ะ 

         ข้อนี้เกี่ยวข้องกับความมั่นใจอย่างไร แน่นอนว่าหากเรียนรู้ข้อผิดพลาดนั้นและนำมาเป็นบทเรียนแล้ว เมื่อเราจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่งเราก็สามารถนำข้อมูลนั้นมาประกอบเหตุผลในการตัดสินใจของเราได้ ทำให้เรามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นค่ะ 

         โดยการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ของเราทั้งนั้น คุณควรมองทุกอย่างอย่างเป็นเหตุเป็นผลและมั่นใจในความเป็นจริงที่คุณสามารถรับรู้และสัมผัสได้ 

 4.รู้จักจุดแข็งของตนเองและเสริมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

          ข้อนี้มีชื่อเรียกแสนจะไฮโซว่า SWOT Analysis หรือการวิเคราะห์จุดแข็งของตัวเอง เมื่อก่อนเคยมีคนบอกว่าเราควรจะวิเคราะห์จุดอ่อนของเราและลองแก้ไขมันให้ได้ แต่จริงๆ แล้วตอนนี้เรื่องจุดอ่อนไม่ใช่เรื่องที่ต้องโฟกัสอีกต่อไปแล้วค่ะ 

         ก่อนอื่นต้องมาดูกันว่าคุณมีจุดแข็ง (หรือจะเรียกว่าจุดขายก็ได้นะคะ) คืออะไรและเสริมจุดแข็งนั้นให้แกร่งยิ่งขึ้น  ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจมีจุดอ่อนเรื่องการคำนวณแต่เก่งภาษา คุณก็ฝึกภาษาให้แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก เอาให้ฝรั่งยังต้องร้องขอชีวิต หรือไม่ก็ฝึกภาษาที่สามไปเลยค่ะเก๋ๆ สิ่งนี้จะช่วยในการเสริมความมั่นใจให้แก่คุณได้มากขึ้นค่ะ 

 5.ลองดูว่าคุณประสบความสำเร็จอะไรในชีวิตไปแล้วบ้าง

        หัวข้อนี้คุณอาจต้องใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์สักหน่อย แต่รับรองค่ะว่าคุณจะได้ความมั่นใจกลับมาอีกเต็มๆ เพราะว่าสาเหตุของความไม่มั่นใจนั้นอาจเกิดจากคุณไม่รู้ว่าคุณเองมีความสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือคุณสร้างประโยชน์อะไรได้บ้าง 

        คุณอาจเคยสอบได้ที่สามของห้องหรืออาจเคยเสนอไอเดียเพื่อทำโปรเจคจนสำเร็จอย่างสวยงาม สิ่งดีๆ ที่คุณอาจเคยมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยนี้แหละค่ะ เมื่อมารวมกันแล้วมันกลายเป็นความมั่นใจที่ยิ่งใหญ่ได้นะคะ 

        การโฟกัสความสำเร็จของตัวเองไม่ว่าเล็กหรือใหญ่เป็นกิจกรรมเสริมความมั่นใจทางจิตวิทยาโดยการเพิ่มความเคารพตัวเองอย่างหนึ่งค่ะ  

 6.ตั้งจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนขึ้นมาในชีวิตซะเลย

         หากคุณยังมองว่าความสำเร็จที่คุณทำมามันยังไม่ค่อยโอเค คุณก็ลองตั้งเป้าหมายใหม่ขึ้นมาซะเลยซิ โดยไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเป้าหมายใหญ่เสมอไป คุณอาจจะเริ่มจากเป้าหมายเล็กๆ ก่อนก็ได้ค่ะ 

         คุณอาจมีเรื่องที่อยากทำมาตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ยังไม่มีเวลาหรือยังไม่สบโอกาสที่จะทำเสียที ตอนนี้ถึงเวลาที่คุณต้องตั้งเป้าหมายและทำมันอย่างจริงๆ จังๆ ยกตัวอย่างเช่นคุณอาจจะอยากลดน้ำหนักเพื่อร่างกายที่แข็งแรงและฟิตแอนด์เฟิร์ม ลองตั้งเป้าหมายเป็นด่านๆ ไป ลดน้ำหนักลงอย่างน้อย 1 กก. ใน 1 เดือนหรืออะไรประมาณนั้นโดยไม่ต้องกดดันตัวเองมากจนเกินไปก็ได้ค่ะ เรื่องทั่วไปแบบนี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้คุณ แล้วคุณจะสังเกตได้เลยว่าหากคุณตั้งใจทำอะไรแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่สำเร็จหรอก เชื่อสิ 

 7.ลองทำอะไรเองคนเดียวบ้าง

         หลายคนพอไม่ค่อยมีความมั่นใจก็ไม่กล้าทำอะไรคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการไปเข้าคอร์สงานฝีมือที่มีแต่คนแปลกหน้าเต็มไปหมดหรือเข้าสัมมนาในที่ที่ไม่มีมีคนรู้จักเลย 

         แต่รู้ไหมว่าหากคุณสามารถทำอะไรบางอย่างสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียวจะช่วยเสริมความมั่นใจของคุณได้ล้นหลาม รับรองว่าคุณจะรู้สึกพึงพอใจในตัวเองเป็นอย่างมากและจะเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเลยละค่ะ  

         คุณต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับคนอื่นตลอดเวลา  คุณสามารถทำงานเป็น Teamwork ได้และต้องดีพอๆ กับการฉายเดี่ยว เราเชื่อว่าคุณเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่งแต่ความสามารถเหล่านั้นจะไม่มีวันฉายแสงเลยหากคุณไม่มีความมั่นใจในความสามารถของคุณเอง 

         ไม่ว่าจะเป็นคนดังและประสบความสำเร็จมามากมายขนาดไหนล้วนผ่านช่วงเวลาที่ไม่มั่นใจมาก่อนทั้งนั้น เราอาจจะเห็น Naomi Campbell เดินอย่างมาดมั่นด้วยท่วงท่าที่แสนจะ Strong หรือจะเป็นพิธีกรสาวที่กลายเป็นตำนาน Talk show อย่าง Oprah Winfrey  พวกเธอก็ล้วนเคยผ่านความไม่มั่นใจในตัวเองอันเนื่องมาจากอดีตอันแสนโหดร้ายและคำวิจารณ์ที่รุนแรงมาแล้วทั้งนั้น  

แต่พวกเธอก็สู้ต่อไปจนได้มาเป็นผู้มีอิทธิพลในสายอาชีพของเธอเอง Learning Hub Thailand ขอส่งกำลังใจให้คุณเพื่อเสริมความเชื่อมั่นและคว้าความสำเร็จมาไว้ในมือให้ได้ค่ะ  

 เรียบเรียงโดย ไพรินทร์ – Learning Hub Team 

 

Categories EQ

4 ขั้นตอนใช้จัดการ เมื่อมีใครทำให้คุณโกรธ

ภ เทคนิคจัดการ เมื่อใครทำให้คุณโกรธ

ในแว่บแรกเมื่อมีใครสักคนทำให้คุณไม่พอใจ โกรธ เจ็บปวด คุณคงคิดที่จะตอบโต้ หรือหาทางแก้แค้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อม ผมเองก็เป็นเช่นนั้น

มันเป็นปฏิกริยาโต้ตอบที่เป็นอัตโนมัติของมนุษย์ ถ้าสู้ได้ก็ลุย ถ้าดูแล้วสู้ไม่ได้หรือไม่เหมาะสม ก็ค่อยหาทางแก้แค้นวันหลัง สัญชาตญาณนี้มันถูกฝังอยู่ส่วนลึกสุดของสมองของเรา คงยากที่จะปฏิเสธได้

แต่ทุกๆครั้งที่ผมคิดแก้แค้น ตอบโต้ หรืออยากทำสิ่งร้ายๆกับใครสักคน ผมพบว่า ความโกรธแค้น เหล่านั้น ไม่ได้ลดลงไป แต่มันกลับกัดกินในใจหนักกว่าเดิม ผมจึงค่อยเริ่มเข้าใจว่า…

“ศัตรูที่ต้องจัดการไม่ใช่คนที่ทำให้เราเจ็บ แต่เป็นความโกรธเกลียดในใจของเราต่างหาก”

ต่อไปนี้เป็น 4 ขั้นตอนที่ผมใช้จัดการอารมณ์ และจิตใจของตัวเองเวลาโกรธ ซึ่งผมเรียกมันว่า Inner Listening หรือ การรับฟังเสียงภายใน

1.รับรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น

เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่พอใจ เรามักกระโจนไปสู่วิธีการจัดการ สมองคิดจากอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน นั่นทำให้เราคิดไปสารพัด ถึงสิ่งไม่ดีของอีกฝ่าย ที่เราได้รับรู้มาตลอด เรียกว่า ยิ่งคิดยิ่งแค้น

“เมื่อไม่พอใจ ให้รับรู้อารมณ์ อย่าจมอยู่กับความคิด”

สิ่งแรกที่เราควรทำ จึงควรเป็นการกลับมารับรู้อารมณ์ของเรา ว่ากำลัง หงุดหงิด โกรธ ไม่พอใจ มากแค่ไหน มองดูตัวเองเหมือนว่าเราดูหนังบู๊สักเรื่องหนึ่งอยู่ ว่าพระเอกกำลังฉุนได้ที่เลย

การรับรู้อารมณ์อาจจะไม่ง่ายนักในช่วงแรก อาจฝึกจากการรับรู้ร่างกายก่อน เช่น สังเกตเห็นความร้อนผ่าวของเลือดที่สูบฉีดขึ้นหน้า รับรู้ถึงลมหายใจฟืดฟาดที่รุนแรง อาการเกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย นั่นทำให้เรารับรู้ตัวเองได้มากขึ้น


2. ยอมรับอารมณ์นั้น

หลายครั้งเมื่ออารมณ์ขึ้น เราจะไม่ยอมให้มันอยู่ในตัวเรา เราจะระบายอารมณ์ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ระบายออกด้วยการขว้างปาข้าวของ ปิดประตูเสียงดัง บีบแตรเสียงดัง ตะโกนดังๆ แต่นั่นไม่ใช่วิธีทำให้อารมณ์ลดลง

บางคนทำตรงข้าม พยายามควบคุมอารมณ์ ระงับมันด้วยการเก็บกดเอาไว้ แต่คนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นคนขี้บ่น ขี้ฟ้อง ขี้น้อยใจ เจ้าคิดเจ้าแค้น หรือไปออกอาการโวยวายกับคนใกล้ตัวแทน

เราไม่ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ เพราะอารมณ์นั้น ควบคุมไม่ได้

“ยิ่งใช้อารมณ์ มันจะยิ่งบานปลาย เราแค่ยอมรับมันให้ได้ก็พอ”

เริ่มจากขั้นที่ 1 คือ รับรู้ว่าเรามีอารมณ์ จากนั้นก็ยอมรับให้อารมณ์เหล่านั้นแสดงตัว แล้วค่อยๆเห็นมันเปลี่ยนแปลงไปเอง ตามธรรมชาติ

โอบอุ้มอารมณ์ ให้เหมือนเราอุ้มทารกน้อย ให้อยู่ในอ้อมกอดของมารดา เมื่อเวลาผ่านไป อารมณ์โกรธนั้นจะค่อยๆลดลงเอง โดยที่เราไม่ต้องไปจัดการใดๆเลย


3. สำรวจความต้องการ

แม้ว่าอารมณ์ลดลงแล้ว แต่ปัญหาและคู่กรณีที่ค้างคา ยังแก้ไขไม่ได้ หลายคนพยายามแก้ปัญหา ด้วยการคิดบวก มองในด้านดีของคนๆนั้น หรือหาข้อดดีอื่นๆมาชดเชย

บางทีก็พยายามหาวิธีคิดใดๆ มาปลอบใจตัวเอง บอกกับตัวเองว่า มันคงเป็นกรรมเก่าละมั้ง เจ้ากรรมนายเวรเก่าละสิ ดวงตกมั้ง ฟาดเคราะห์ไปละกันเรา

การคิดบวก มันช่วยเราได้แค่เพียงชั่วคราว เพราะในส่วนลึก เราก็ยังไม่โอเค เราอาจหลอกคนอื่น ฝืนยิ้มได้ ทำว่าตอนนี้ชีวิตดี๊ดี แต่เราหลอกข้างในของตัวเองไม่ได้แน่นอน

บางคนพยายามหาทางที่จะลืม ด้วยการไปหาของกินอร่อยๆ ไปช้อปปิ้งของสวยๆ หรือไปกินเหล้าย้อมใจให้ลืมเธอ นั่นก็ไม่ใช่วิธีทำให้ปัญหาหมดไป (ส่วนใหญ่จะเพิ่มปัญหาใหม่ๆเข้ามา)

“สิ่งที่แย่กว่าในการพยายามลืม คือมันจะยิ่งจำฝังแน่นขึ้นอีก”

วิธีการแก้ปัญหาขั้นที่ 3 คือ เมื่ออารมณ์ลดลงแล้ว คือการกลับมาคุยกับตัวเอง ด้วยการ “สำรวจความต้องการ” ที่อยู่ลึกๆในใจเรา

ลองหากระดาษว่างๆ นั่งเขียนทบทวนตัวเองว่า สาเหตุที่เราโกรธ ไม่พอใจ คนๆนั้นเค้าทำอะไรที่ขัดกับ “คุณค่า” ที่เรายึดถือ หรือสวนทางกับ “ความต้องการ” ในขณะนั้นของเรา

เขียนมาให้ชัด ว่าลึกๆแล้ว เราต้องการอะไร และถ้าเป็นไปได้ ลองพิจารณาด้วยว่า อีกฝ่ายกำลังต้องการอะไร จากเหตุการณ์นั้นๆด้วย


4. สื่อสารด้วย I Statement

หลายครั้งเมื่อเราได้กลับมาทบทวน จะพบว่า ความขัดแย้งต่างๆเกิดขึ้นเพียง การยึดถือคุณค่าที่ต่างกัน หรือมีความต้องการที่กันเท่านั้นเอง

หากเรารู้ความต้องการที่ชัดเจนของเราแล้ว อย่างน้อยก็จะเจอทางออกจากปัญหาได้ง่ายขึ้น

นี่แหละที่มีคำกล่าวว่า “เมื่อเจอปัญหา แล้วหาทางออกไม่ได้ ให้ไปออกที่ทางเข้า” ก็คือการกลับไปย้อนดูว่าทางเข้า หรือจุดเริ่มของปัญหาคือ ความต้องการ หรือคุณค่าใด ที่ไม่ตรงกันนั่นเอง

เมื่อเรารับรู้อารมณ์ ดูแลมันได้แล้ว เราสามารถมองเห็นความต้องการของตัวเองชัดเจน ก็ถึงเวลาสำคัญ คือขั้นตอนในการสื่อสารกับอีกฝ่าย

หลายๆคนคงเคยเรียนเรื่อง เทคนิคการพูดเจรจาต่อรอง การใช้วาทะศิลป์ในแบบต่างๆ แต่ผมพบว่าเทคนิคเหล่านั้น มันจะไม่ได้ผลเลย ถ้าหากคุณไม่สามารถพูดมันออกมาจากใจที่แท้จริง

การพูดจากใจที่แท้จริง คือ “การสื่อสารที่ความรู้สึก และความต้องการของเราตรงๆ”

ผมจะเรียกว่า เทคนิค I Statement คือ พูดจากตัวเรา ไม่ใช่กล่าวโทษอีกฝ่าย ไม่ใช่การสื่อสารด้วยความคาดหวัง หรือบอกวิธีการที่เราต้องการให้อีกฝ่ายทำ มาดูตัวอย่างต่อไปนี้

เหตุการณ์ที่ 1: เจ้านาย ต้องการจะตักเตือนลูกน้องที่ทำงานบกพร่อง

คุณเคยคิดบ้างมั้ยกับสิ่งที่ทำลงไป ผมหวังว่าคราวหลังคุณควรจะคิดให้ถี่ถ้วนกว่านี้ (กล่าวโทษ)

ผมรู้สึกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมต้องการหาวิธีที่เราจะแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน  (I Statement)

เหตุการณ์ที่ 2: อยากจะบอกตรงๆว่า ไม่ชอบนิสัยบางอย่างของเพื่อนร่วมงาน

อย่ามาทำนิสัยแบบนี้กับฉันได้มั้ย เป็นใครก็ไม่ชอบ ทำไมไม่คิดถึงใจคนอื่นซะบ้าง (กล่าวโทษ)

ฉันรู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจ ฉันต้องการความเคารพเท่าเทียม ในฐานะเพื่อนร่วมงาน (I Statement)

เหตุการณ์ที่ 3: ภรรยา รู้สึกน้อยใจ กับบางพฤติกรรมของสามี

ทำไมต้องบ่นต้องว่าฉันตลอด ใช่สิ ฉันมันไม่ได้เป็นที่คุณหวังไว้ ฉันคงไม่ดีพอสำหรับคุณ (กล่าวโทษ)

ฉันรู้สึกเสียใจและน้อยใจ ฉันต้องการการยอมรับ และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรา (I Statement)

สรุปจากกรณีตัวอย่าง

การใช้ I Statement ต้องอาศัยการฝึกฝน เพราะเป็นสิ่งที่ฝืนกับนิสัยตอบโต้ ซึ่งเป็นอัตโนมัติของเรา แม้ว่าการใช้ I Statement อาจจะยังไม่รู้ว่า หลังจากนั้นอีกฝ่ายจะตอบกลับมาอย่างไร จะออกหัวหรือออกก้อย แต่อย่างน้อยมันก็เปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยที่ลงลึกมากขึ้น

มันจะไม่ทำให้อีกฝ่าย “ปกป้องตัวเอง” หรือ “การโต้ตอบที่รุนแรง” เพราะเราเป็นฝ่ายลดกำแพงลงและเปิดใจตัวเองออกไปแล้วนั่นเอง


คุณคงเคยตอบโต้กับเหตุการณ์ หรือผู้คนด้วยอารมณ์ ด้วยความรวดเร็ว คุณจะพบว่าหลายๆครั้งแล้ว แทนที่มันจะดีขึ้น มันกลับยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม นั่นเป็นเพราะอะไร

“คนขาดสติ ย่อมไม่อาจคิดอ่าน ที่จะจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม”

การฟังเสียงในใจ หรือ Inner Listening ก็คือการกลับมามีสติ รู้สึกตัวและใช้ปัญญาในการใคร่ครวญตัวเอง ก่อนที่จะสื่อสารออกไป

การแก้ปัญหาได้ที่ต้นเหตุ ก็คือ เริ่มจัดการกับตัวเอง ก่อนที่จะจัดการกับคนอื่น

4 ขั้นตอนนี้ ไม่ได้ใช้เวลานาน ถ้าได้รับการฝึกฝนมาบ้าง ก็จะทำได้อย่างง่ายขึ้น

หากเพียงอ่านบทความนี้จบ อาจจะยังทำทั้ง 4 ขั้นตอนไม่ได้ทันที แต่อย่างน้อย เตือนตัวเองสักนิด ในครั้งหน้าเมื่อเราเริ่มอารมณ์ขึ้น ขอให้เราฝึกที่จะรับรู้อารมณ์ตัวเองให้ทัน

หยุดยั้งตัวเองแล้ว “ขอเวลานอก” ออกมาก่อนจะเหตุการณ์มันจะบานปลายรุนแรง

เมื่อเรามีเวลาได้อยู่กับตัวเอง การใช้เทคนิค “ฟังเสียงภายใน” ก็จะช่วยให้เราคลี่คลายสถานการณ์ในใจได้ดีขึ้นเอง และการสื่อสารหลังจากนั้น ก็จะเป็นเรื่องง่ายขึ้นอย่างมาก

บทความโดย อ.เรือรบ ผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาการสื่อสาร และโค้ชนักเขียนมือโปร


สำหรับคนที่อยากแก้ปัญหาความขัดแย้งในความสัมพันธ์ ปัญหาการสื่อสารในการทำงาน โดยใช้เทคนิคการ “ฟังเสียงภายในตนเอง Inner Listening” ผมกำลังจะมีคอร์สที่ลงลึกในเรื่องนี้

วันที่ 9 ก.ค.นี้ หลักสูตร “ทักษะการสื่อสาร สำหรับผู้บริหารยุค AEC” โดย เรือรบ คลิกดูรายละเอียดได้ที่นี่ 

 

 

หลักคิด เพื่อมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน

7

       คนเรามักใช้จินตนาการกันอย่างฟุ่มเฟือย จนหลายครั้งจินตนาการก็กลายเป็นความฟุ้งซ่านที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ถ้าสังเกตให้ดี เราจะพบความสัมพันธ์ระหว่างจินตนาการกับเวลาเพราะขณะที่เรากำลังจินตนาการ จิตใจของเราจะอยู่กับอดีต

      หรือไม่ก็อนาคตแต่ถ้าอยู่กับปัจจุบัน จินตนาการจะไม่สามารถแทรกตัวเข้ามาได้ เพราะจิตไม่มีช่องว่างใดๆให้คิดปรุงแต่งนัก และนี่คือหลักการง่ายๆ ของการทำสมาธิ หรือการเจริญสติ

         สมาธิ คือ การอยู่กับปัจจุบัน กำหนดลมหายใจอยู่กับสิ่งที่ทำ ให้รู้ถึงความเคลื่อนไหวของมัน ไม่ว่าจะขยับมือ รับประทานอาหาร ยืน เดิน หรือกระทำสิ่งใดๆ คนที่อยู่กับปัจจุบัน จะพูดว่า ทำงาน เพื่อ ทำงานแต่คนที่อยู่กับอดีตและอนาคตจะบอกว่า ทำงาน เพื่อ…ความสุขบ้าง

เพื่อ…ความสำเร็จบ้าง

เพื่อ…ความก้าวหน้าบ้าง 

เพื่อ…ความฝันบ้าง

เพื่อ…ความรักบ้าง

       การอยู่กับสิ่งใดที่ไม่ใช่ปัจจุบัน คือ การเปิดพื้นที่ให้กับความคาดหวัง กิเลส และความต้องการเข้ามาแทรก และนั่นก็เป็นที่มาของความฟุ้งซ่านนั่นเอง

       “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด”  เราคงเคยได้ยินประโยคนี้บ่อยๆ ระยะหลังๆ มักมีผู้ต่อเติมให้สมบูรณ์ขึ้นว่า… “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วอนาคตจะดูแลตัวมันเอง” เพราะอดีต เป็นเพียงภาพสะท้อนจากความทรงจำ ที่อาจมีการปรุงแต่งเพิ่มเติม ส่วนอนาคตยังไม่เกิดขึ้น เป็นเพียงเงาจากจินตนาการ ที่ไม่เคยมีอยู่ ดังนั้น สิ่งที่ควรให้ความสำคัญที่สุด  ก็คือ เวลา ณ ขณะนี้”

“กิน เพื่อ กิน”

“ทำ เพื่อ ทำ”

“ดู เพื่อ ดู” ทำสิ่งใด เพื่อสิ่งนั้น

เพื่อปัจจุบันอย่างแท้จริง!!!

บทความโดย

พศิน อินทรวงค์

ติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/talktopasin2013

 

5 วิธี เพิ่มพลังทวี เรียกโชคดีให้ชีวิต

8

         เป็นที่รู้กันว่าเรื่องโชคชะตาดีร้ายดีมักไม่เข้าใครออกใคร แต่รู้หรือไม่ค่ะว่า “ตัวเราเอง” ก็เป็นศูนย์กลางเพื่อเรียก “ความโชคดี” เหล่านั้นได้  

         ในเรื่องของความโชคดี แต่ละศาสตร์ก็จะมีความเชื่อต่างกันไป เช่น ลัทธิเต๋า มีความเชื่อเรื่องหยิน-หยาง เป็นพื้นฐานศาสตร์แห่งความสมดุล มีอิทธิพลต่อสุขภาพ รวมถึงความสมดุลของชีวิตของคนเราด้วย หากใครมีหยิน – หยางไม่สมดุลอาจทำให้ป่วยได้หรือความเชื่อของคนไทย ก็มีวิธีสะเดาะห์เคราะห์ ปัดโชคร้ายปัดรังควานสิ่งไม่ดีออกไป เพื่อให้ชีวิตมีพื้นที่ว่าง รอต้อนรับสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเข้ามา

        และถ้าคุณกำลังหดหู่ ไม่สดใส รู้สึกช่วงนี้ดวงซวยแบบไร้สาเหตุ Learning Hub Thailand  มี 5 วิธีเพิ่มพลังและเรียกโชคมาฝากค่ะ อยากรู้ว่าจะได้ผลมั้ย ชีวิตจะโชคดีขึ้นแค่ไหน คุณเท่านั้นที่จะสัมผัสผลลัพธ์นั้นเอง

1.หมั่นสร้างอารมณ์บวกให้กับตัวเอง

               คนโชคดี สร้างชะตากรรมของพวกเขาขึ้นมาเอง

                                                          ศาสตราจารย์ริชาร์ด ไวส์แมน นักจิตวิทยา

            ศาสตราจารย์ริชาร์ด ไวส์แมน ใช้เวลาในช่วงสิบปีศึกษาเรื่องความโชคดี แม้กลุ่มทดลองไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเกี่ยวกับโชคสักนิด แต่เชื่อมั้ยคะ ผลลัพธ์จากการทดลอง

พบว่า วิธีคิดและพฤติกรรมของคนเรา มีความสัมพันธ์อย่างมากกับความโชคดีหรืออับโชค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการได้รับโอกาส

            ผลวิจัยยังพบอีกว่า “คนโชคดี มีลักษณะนิสัยที่ผ่อนคลายและเปิดกว้างมากกว่า เห็นวิกฤตเป็นโอกาสมากกว่า ตรงข้ามกับคนอับโชค ที่มีนิสัยตึงเครียดอยู่บ่อยครั้ง  ซึ่งอารมณ์ลบๆ แบบนี้ล่ะ เป็นตัวขัดขวางไม่ให้พบเจอเรื่องดีๆ เพราะมัวแต่ไปเพ่งเล็งเรื่องแย่ๆ อยู่นั่นเองค่ะ

            แล้วคุณล่ะคะ? กำลังอยู่ในกลุ่มคนโชคดีหรืออับโชค?

2.เลือกใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส

ปี 2016 เป็นปีพลังธาตุไฟแรง

            ถ้าคุณ คือ หนุ่มเพลย์บอยหรือเหล่าแฟชั่นนิสต้าตัวยง คงเข้าใจเรื่องอิทธิพลของสี ที่มีต่ออารมณ์ของคนเราได้เป็นอย่างดี และปีนี้ก็เช่นกันค่ะ ซึ่งเป็นปีที่พลังธาตุไฟแรง ถ้าคุณอยากเพิ่มความมงคลโชคดีให้กับชีวิต แค่ลองเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส เช่น ส้ม แดง ซึ่งเป็นตัวแทนของธาตุไฟ ช่วยเสริมโชคด้านการเงิน หรือเน้นเครื่องประดับที่มีความแวววาวสักนิด เช่น แหวนเงิน แหวนทอง พลังของโลหะจะช่วยสลายพลังไม่ดีออกไปได้

3.พาตัวเองเข้าใกล้ “คนโชคดี”

      คนโชคดี มักมีมุมมองที่แตกต่างจากคนโชคร้ายเสมอ

            เคยมั้ยคะ? เห็นคนรอบข้าง หรือคนไกลตัวโชคดีอยู่บ่อยๆ แล้วคุณกลับมาหดหู่กับตัวเอง ขั้นตอนนี้อยากให้คุณมองข้ามตัวเองไปสักพัก แล้วเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตด้วยการพาตัวเองไปอยู่ใกล้คนโชคดีเหล่านั้น ไม่ใช่เพื่อให้ความโชคดีแผ่ออร่ามาถึง แต่เพื่อให้คุณได้ซึมซับทัศนคติ วิธีคิด มุมมองอื่นๆจากคนเหล่านั้น

           เมื่อคุณได้มุมมองใหม่ คุณจะเห็นโอกาสดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในแต่ละสถานการณืแบบที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อนก็เป็นได้ค่ะ

4.ติดอาวุธให้ตัวเอง

                                                         มีดยิ่งลับยิ่งคบ โชคดีเกิดจากการฝึกฝน

           บางคนอาจงงว่าอาวุธอะไรเหรอ อาวุธที่ว่า คือ ความรู้ค่ะ  หมั่นหาความรู้ พัฒนาทักษะที่คุณอยากฝึกหรือแนวที่คุณถนัดอยู่แล้ว ต่อยอดความรู้ไปอีก อย่าพอใจกับตัวเองในวันนี้ ใครอยากให้ตัวเองเชี่ยวชาญด้านไหนหรือถ้าเป็นเรื่องนี้เขาต้องนึกถึงเราก่อน

           ลองหาต้นแบบคนสำเร็จแบบนั้นดู ฝึกฝนวิทยายุทธตัวเองให้เก่ง เชี่ยวชาญมากขึ้น วันหนึ่งเมื่อคุณมีความสามารถ ประสบการณ์มากพอ เมื่อโอกาสมาเยือนคุณก็พร้อมจะยื่นมือออกไปคว้ามันไว้ แล้ววันนั้นคุณจะคิดว่า โชคดีนะที่เราเตรียมความพร้อม ฝึกทักษะตัวเองก่อน เพราะถ้ามีโอกาสดีดีมา แต่คุณเองที่ความสามารถยังไม่เข้าขั้น มันก็จบค่ะ เพราะโชคดีมาพร้อมกับคนที่เตรียมพร้อมค่ะ

5.คิดเสมอว่าคุณเป็นคนโชคดี

            กฎแรงดึงดูด เป็นกฎธรรมชาติ เหมือนกฎแรงโน้มถ่วง ฉะนั้น มันมีจริงแน่นอน

                                                                                                                         บัณฑิต อึ้งรังษี

            หากความโชคดี คือเรื่องธรรมชาติ การคิดเสมอว่าเราคือคนโชคดี ก็คือการคิดแบบ ธรรมชาตินั่นเองค่ะ แน่นอนว่าถ้าคุณมัวแต่เพ่งเล็งว่าตัวเองโชคร้าย  คุณก็จะพบเจอว่าตัวเองโชคร้ายอยู่ร่ำไป จนละเลยความโชคดีรอบๆ ตัว

            หลายครั้งเราเห็นนักธุรกิจที่บริษัทเจ๊งไม่เป็นท่า แต่สุดท้ายเค้ายังพลิกวิกฤติ ให้เป็นโอกาสได้ ไม่ใช่เพียงความไม่ยอมแพ้ของเค้า แต่นั่นแสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ของคนเรา ส่วนหนึ่งได้มาจากวิธีคิดของเราด้วย ดังนั้นให้เชื่อมั่นในใจเสมอว่า “ใครเจอเรา คนนั้นโชคดี”

โชคดีที่เขามีเพื่อนแบบเรา

โชคดีที่เขามีแฟนแบบเรา

โชคดีที่เขามีน้องแบบเรา

โชคดีที่เขามีพี่แบบเรา

เมื่อคุณเชื่อคุณจะลงมือทำตามสิ่งที่คุณเชื่อ

           คุณ คือ ผู้สร้างโชคดีให้เกิดขึ้น อย่ารอให้ใครหรืออะไรมีอิทธิพลกำหนดชีวิต หากคุณอยากเปลี่ยนแปลงโชคชะตา อย่าลืมคิดว่า “โชคนั้น” เป็นของคุณ และคุณสร้างมันขึ้นมาเองได้ ทุกที่ ทุกเวลา และทุกสถานการณ์ค่ะ …ขอให้โชคดีนะคะ

เรียบเรียงโดย Aris – Learning Hub Team

ที่มาข้อมูล

http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=2710&read=true&count=true

http://www.praew.com/26215/lifestyle/horoscope/fix-tips-2016/

http://home.sanook.com/8469/

3 สิ่งดีดี ที่ยิ่งทำให้คุณห่างไกล ความสำเร็จ

อะไรคือ 3 สิ่งดีๆ ที่ทำให้คุณยิ่งห่างไกลความสำเร็จ !

ต่อไปนี้คือ 3 สูตรแห่งความสำเร็จในยุคนี้ ที่ใครๆก็บอกกัน

ไปสัมมนาไหน ก็บอกให้หา Passion 
ลงเรียนคอร์สอะไร ก็บอกให้ ตั้งเป้าหมาย 
อยากสำเร็จใช่มั้ย กูรูบอกให้ มุ่งมั่นอดทน

ไม่มีอะไรผิดหรอก แต่บังเอิญผมใช้แล้วมันไม่ work ผมเริ่มธุรกิจอย่างตั้งใจและใช้เวลา 3 ปี พิสูจน์ว่า 3 สิ่งดีๆนี้ มันใช้ไม่ได้ผล ธุรกิจเกือบเจ๊ง

แต่พอมาตกผลึกตัวเองได้ ก็พลิกกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็ว บทความนี้ไม่อิงหลักการใดๆ ไม่รับประกันความถูกต้อง เพราะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ ผมแค่อยากแชร์ในอีกมุมมอง ว่าอะไรเป็นสูตรความสำเร็จ “ฉบับเรือรบ”

เรามาคุยถึงนิยามคำว่า “ความสำเร็จ” กันก่อน เพราะหลายๆคนอาจคิดไม่เหมือนกัน สำหรับผม ความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ทำได้ดีกว่าใคร ไม่ใช่แค่ ทำแล้วพออยู่ได้ ไม่ใช่แค่ ทำแล้วรวย แต่ต้องทั้งรวยและมีความสุขด้วย ถึงเรียกว่า “สำเร็จ” อย่างแท้จริง

ถ้าเห็นด้วยตามนี้ อ่านต่อครับ ว่าทำไม 3 สิ่งดีๆนี้ จึงทำให้คุณห่างไกลความสำเร็จ


1.ทำไม Passion ถึงไม่ช่วยให้คุณสำเร็จ?

Passion คือ การที่คุณรักและยังทำสิ่งนั้นอยู่ตลอด แม้ว่าคุณจะมีเงินล้นเหลืออยู่แล้ว หรือว่าคุณจะไม่ได้เงินจากมันเลยก็ตาม

จะเห็นได้ว่า การทำสิ่งที่รัก กับการทำเงิน มันคนละเรื่องกัน การหา Passion เจอ จึงไม่ได้ช่วยให้เราทำเงินได้เสมอไป

ดังนั้น สำหรับคนที่ต้องการความสำเร็จ แล้วยังค้นหา Passion อยู่ อยากให้เลิกกังวล เมื่อไม่รู้ว่าตัวเองรัก หรือถนัดอะไรกันแน่ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาค้นหานาน
         

แต่ให้เริ่ม “ลงมือทำ” อะไรก็ได้ เพื่อ “ล้มเหลว” ให้เร็วที่สุด

ผมตกผลึกได้ว่า “ต้องกล้าล้มเหลว” เพื่อจะได้ “เรียนรู้และปรับปรุง” เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ

ยิ่งเราทำมาก โอกาสเจอ Passion และสิ่งที่ถนัด (ที่ทำเงินได้) จะมากขึ้นเอง แต่ถ้าไม่เจอ เราก็จะเก่งขึ้น แล้วเอาทักษะนั้น ไปต่อยอดกับคนอื่นได้ต่อไป

หยุดเรียนเพื่อรู้ แล้วกระโดดลงไปเปื้อนโคลน เพื่อเรียนรู้ชีวิตจริง กันดีกว่าแนวคิดนี้ ทำให้ผมเป็นคนกล้า กล้าลองอะไรใหม่ๆ ที่คนอื่นลังเล

          ผมไม่สน Passion จึงกล้าทำสิ่งที่ไม่คุ้นชิน ไม่รัก ไม่ถนัดในตอนแรก เมื่อโอกาสเข้ามา ผม Say Yes ก่อน แล้วค่อยหาคนที่รักมัน มาทำต่อทีหลัง นั่นทำให้ธุรกิจผมขยายไปสู่ทิศทางใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว


2.ทำไม การตั้งเป้าหมาย ถึงไม่ช่วยให้คุณสำเร็จ?

จงฝันใหญ่ จงใช้จินตนาการ เห็นภาพความสำเร็จของตัวเอง ให้ชัดเจนที่สุด ผมทำมาหมดแล้วครับ ยิ่งทำยิ่งจิตตก เพราะจิตใต้สำนึกเราคิดว่า เป็นไปไม่ได้ เว่อร์เกิน

การตั้งเป้าของคนเริ่มธุรกิจใหม่ๆ มักจะทำไปด้วยกิเลส จิตฮึกเหิม อยากมี อยากเป็น อยากได้ ตั้งเป้าร้อยล้าน แต่เงินล้านเดียวยังไม่เคยจับ แล้วจะเอาวิธีการที่ไหนไปทำ

          การตั้งเป้า ต้องมี “Action Plan” ประกอบเสมอ ไม่งั้นเรียกว่า “ฝันกลางวัน” 

หากคุณ “ล้มเหลวในการวางแผน” แปลว่าคุณ “วางแผนไปล้มเหลว” ตั้งแต่แรก

ผมตกผลึกได้ว่า “อย่ายึดติดกับเป้า” เมื่อเวลาผ่าน เป้าหมายจะเปลี่ยนแปลงเสมอ แค่เราตั้งเป้า 5 ปีก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ปัจจุบันโลกหมุนเร็วมาก เปลี่ยนได้ทุกเดือนทีเดียว

ผมจึงเน้น ทำทีละเป้าเล็กๆ ที่วัดผลได้ชัดเจน จะได้รู้ว่าอะไร work อะไรไม่ work ให้ความสำเร็จเล็กๆ นำพาเราไปสู่ความสำเร็จขั้นต่อไป

ที่สำคัญ พร้อมจะ “ทิ้งเป้าใหญ่” ที่ตั้งใจไว้ได้เสมอ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง

ก็จะรอความสำเร็จอีก 10 ปีข้างหน้าทำไม สู้ฉลองความสำเร็จของเดือนนี้ ไม่ดีกว่าหรอ

         แนวคิดนี้ ทำให้ผมทำงานอย่างสนุก ไม่เครียด ทำเต็มที่ด้วยจิตว่าง ไม่ยึดติดผลลัพธ์ ให้อภัยกับความผิดพลาดของตัวเอง และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้เร็ว 

ผมยังตัดสินใจผิดบ่อย พอๆกับที่ตัดสินใจถูก แต่บังเอิญสิ่งที่ตัดสินใจถูกมักจะทำเงินกลับมาได้มากกว่าส่วนที่เสียไปเสมอ  นั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ ?


3.ทำไม การมุ่งมั่นอดทน ถึงไม่ช่วยให้คุณสำเร็จ?

ถ้าเราทำสิ่งที่ทำอยู่ ด้วยความมุ่งมั่นอดทน สักวันมันจะสำเร็จได้เอง คุณเชื่อเช่นนั้นใช่ไหม? 

หากคุณเลือกได้ จะเสียเวลา 10 ปี เพื่อทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ หรือใช้เวลา 1 ปี ทำสิ่งที่ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน แต่ไม่ใช่สิ่งที่ตั้งใจไว้ตอนแรก ?

        ไม่มีอะไรถูกผิด มันก็ขึ้นอยู่กับคุณเลือก แต่สำหรับผม “เวลา” มีค่ามากกว่า “เงิน”

เพราะเวลามันเพิ่มไม่ได้ มีแต่ลดลงไปทุกวัน    

ดังนั้น แทนที่จะมุ่งมั่นอดทน เพื่อหมกมุ่นปลุกปั้นกับสิ่งหนึ่งนานๆ ผมจะพิจารณาเสมอว่า

1. มีคนทำสิ่งนี้ ได้ดีกว่าผมมั้ย
2. จะให้เค้ามาช่วยทำแทน เพื่อให้ผมมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้มั้ย
3. เราจะแบ่งกำไรกันอย่างไร ให้ win win

โดยพื้นฐานนิสัย ผมเป็นคนขี้เกียจ ขี้เบื่อ และไม่อดทน นั่นทำให้ผมคิดเสมอว่า จะทำสิ่งหนึ่งให้ง่ายที่สุด สำเร็จได้เร็วที่สุด โดยเหนื่อยน้อยที่สุดได้อย่างไร

แนวคิดนี้ ทำให้ผมแตกไลน์ธุรกิจได้เร็วมากในช่วงหลังๆ ด้วยวิธีหา Partner ทางธุรกิจ ทำแต่สิ่งที่ถนัด ไม่ต้องจ้าง ต้นทุนต่ำ และแชร์ส่วนแบ่งกำไรกัน ใครถนัดอะไร อยากทำอะไร มาหาผม ผมจับชนกันได้หมด เกิดธุรกิจข้ามคืน


สรุปอีกครั้ง Passion การตั้งเป้าหมาย และความมุ่งมั่นอดทน ไม่ใช่สูตรความสำเร็จของผม  

3 สิ่งนี้อาจจะเหมาะกับหลายๆคน แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน  

ชีวิต อาจไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว แต่คนสำเร็จ ทิ้งร่องรอยไว้เสมอ

ถ้าคุณรัก และศรัทธาใคร ก็ติดตามร่องรอยคนนั้น คุณก็อาจจะสำเร็จในแบบเขาได้ แต่คุณต้องฝึก “แกะรอยความสำเร็จ” เพราะคงไม่มีใครบอกคุณได้ตรงๆทั้งหมด 

ดังนั้น “ทักษะการตกผลึกชีวิต และการเขียน” จึงเป็นทักษะสำคัญ ที่อยากฝากไว้ 

สำหรับพวกอินดี้อย่างผมจะนิยามความสำเร็จ ในแบบของตนเอง ผมชอบสร้างทางของตัวเอง โดยไม่ติดตามหรือเปรียบเทียบกับใคร 

ผมไม่มีคู่แข่ง มีแต่เพื่อนร่วมธุรกิจ ผมพร้อมจะปรับเปลี่ยนและเดินหน้ากับเพื่อนใหม่ๆเสมอ

แล้วคุณล่ะ มีนิยาม และสูตรความสำเร็จของตัวเองอย่างไร?
แชร์ที่คอมเม้นท์ข้างล่างกันหน่อยสิครับ

ด้วยมิตรภาพ

13339503_1098701643524708_887953190810839057_n

บทความโดย เรือรบ โค้ชนักเขียนมือโปร 
ติดตามได้ที่เพจ ‪https://www.facebook.com/ruarob

Categories EQ

7 บุคคลที่มีความสุขที่สุด บนโลกออนไลน์

4

สื่อออนไลน์ในขณะนี้ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่มีอิทธิพลที่สุด เราสามารถใช้สื่อออนไลน์ในการทำโฆษณา ติดต่อสื่อสาร หรือ ติดตาม

ข่าวสารบ้านเมืองต่างๆ พูดได้เลยว่าสื่อออนไลน์นั้นมีคุณประโยชน์มากมายเหลือเกินหากเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมในเชิงสร้างสรรค์

วันนี้ Learning Hub Thailand จึงอยากจะนำเสนอ 7 บุคคลทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางในการทำสิ่ง

ที่ตัวเองรัก สร้างความสุขให้ตัวเองและผู้อื่น บางท่านถึงขั้นพัฒนาไปเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้งามๆ ได้อีกเรามาดูกันเลยค่ะว่ามีท่านใดบ้าง  


 1.Michelle Phan 

เริ่มต้นกันด้วยสาวน้อยชาวเวียดนามคนนี้ เธอเกิดและโตที่อเมริกา ความดังของเธอมาจากการอัพคลิปแต่งหน้าที่เธออัดและตัดต่อ

ด้วยตัวเองลง Youtube จนสาวๆ ทุกคนต้องร้องเป็นเสียงเดียวกันว่านี่มันคือเวทมนต์ชัดๆ ! เพราะนอกจาก Michelle Phan จะมา

แต่งหน้าแนวธรรมชาติไปจนถึงแฟนตาซีโดยการนำวิชาศิลปะที่เธอร่ำเรียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เธอก็มีเคล็ดลับดูแลความสวย

ความงามในราคายอมเยาว์ให้สาวๆที่ติดตามเธอแถมให้อีก เรียกได้ว่าไม่ต้องรวยก็สวยได้นะคะ  

เพื่อเป็นการตอกย้ำความฮอตอย่างฉุดไม่อยู่ นอกจากเธอจะได้เป็นช่างแต่งหน้าประจำคอลัมม์ของเครื่องสำอางระดับ High End

อย่าง Lancome แล้ว เธอยังสร้างแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองที่มีชื่อว่า Em Michelle Phan  โดยรังสรรค์สีที่เป็นตัวเธอออกมา

ให้สาวๆ ได้เลือกใช้ (หากใครสนใจตอนนี้ยังไม่มีขายนะคะ ต้องสั่งทาง Website  อย่างเดียวค่ะ) ติดตามผลงานของเธอต่อได้ที่

https://www.youtube.com/user/MichellePhan 


2.คุณโมเม นภัสสร บุรณศิริ 

ถัดจาก Makeup Artist คนดังระดับโลกอย่าง Michelle Phan แล้ว เรามาต่อกันที่ช่างแต่งหน้ามือฉมังอย่างคุณโมเม

นภัสสร บุรณศิริ หรือฉายาโมเมพาเพลิน เธอเป็นที่นิยมอย่างไม่เสื่อมคลายในหมู่สาวไทย ที่ไม่ใช่แค่ต้องการเคล็ดลับเนรมิตความ

สวยที่เหมาะกับสาวโซนเอเชีย แต่ยังนำเอา Item เครื่องสำอางค์มารีวิวให้ดูกันจะๆ ฉะกันไปเลยว่าตัวไหนดีตัวไหนด้อยโดยไม่สน

ว่าแบรนด์นั้นจะ High end หรือจะ Drug Store  เรียกได้ว่าช่วยชีวิตสาวๆ ในการเลือกซื้อเครื่องสำอางค์ผิดชีวิตเปลี่ยนได้มากจริงๆ 

เริ่มแรกคุณโมเมเป็นคนชอบเครื่องสำอาง รักการแต่งหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอทำไปเรื่อยๆ จากความชอบกลายเป็นความรักจึง

เกิดประกายความคิดกับกรรรมการผู้จัดการและครีเอทีฟไดเร็คเตอร์คนเก่งของรายการ Spokedark ทำรายการสอนแต่งหน้าขึ้นมา

ซึ่งกว่าจะเป็นที่รู้จักได้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร และคงจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลยถ้าปราศจากความรักในสิ่งที่เธอทำอยู่  

สาวคนไหนอยากสวยเด้งหรืออยากรู้เทคนิกของคุณโมเมเผื่ออยากเป็นกูรูเข้าไปชมคุณโมเมเม้าท์เพลินๆ เรื่องความสวยความงาม

กันได้ที่ http://momay.spokedark.tv/ 


3.คุณบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ 

คุณบิณฑ์ ในฐานะที่คนทั่วไปรู้จักคือนักแสดงรุ่นเก๋าที่มากความสามารถ และเคยสมัครลงเล่นการเมืองด้วยนะคะ แต่บทบาทที่ยิ่ง

ใหญ่ตอนนี้ก็คือพ่อพระนักบุญ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ก่อนหน้านี้คุณบิณฑ์ ได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้คนที่ประสบภัยพิบัติ

กับมูลนิธิอย่างปอเต็กตึ๊งแต่เกิดความรู้สึกอิ่มบุญ มีความสุขขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงตั้ง Facebook fanpage ของตัวเองเพื่อแจ้งข่าวสารคนที่กำลังเดือดร้อนขึ้นมา

โดยเฉพาะตอนนี้มีลูกเพจของเขาแชร์เรื่องราวกันมาอย่างไม่ขาดสาย ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากๆ ที่คนไทยยังไม่ขาดแคลนน้ำใจ 

คุณบิณฑ์ที่ลงทั้งแรงเงินและแรงกายเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไม่มีเงื่อนไข

หากใครอยากติดตามคุณบิณฑ์ก็สามารถ ติดตามได้ที่ https://th-th.facebook.com/Bhin.fanclub/ 


4.คุณบัณฑิต อึ้งรังษี

คุณบัณทิต คือบุลที่ไต่เต้าจากคนธรรมดาไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร จนเป็นนักวาทยกรที่มีชื่อเสียงระดับโลก อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ได้รับ

การยอมรับว่าเป็น  “ผู้ชายที่ใช้ชีวิตคุ้มและน่าจะมีความสุขที่สุด”

นอกจากเขาจับธุรกิจวงการเพลงแล้ว เขายังมีประสบการณ์ชีวิตมากพอที่จะออกหนังสือ อัดคลิปวีดีโอและจัดสัมมนาแนวให้กำลังใจ

เพื่อชี้ทางสว่างให้คนมากมายที่อาจจะกำลังท้อถอยกับชีวิตอีกด้วยค่ะ เปรียบเทียบได้กับเป็นวอเรน บัฟเฟตของเมืองไทยเลยทีเดียว 

นอกจากเรื่องให้กำลังใจและแนะแนวทางธุรกิจแล้ว เขายังมาจับหนังสือแนวหาคู่เนื่องจากเขาได้แต่งงานมีครอบครัวที่สมบูรณ์

พร้อมแฟนสาวชาวต่างชาติที่ตรงตามสเปคของทุกประการ ดังนั้นเขาจึงอยากจะแบ่งปันเทคนิคนี้ให้กับคนอื่นบ้าง สุดยอดจริงๆ !

หากใครสนใจจะติดตามเรื่องราวดีๆ จากคุณบัณฑิต สามารถติดตามได้ที่ http://bundit.org/  


5.คุณพิมฐา ฐานิดา มานะเลิศเรืองกุล 

สาวน้อยที่นำภาพถ่ายตัวเองลงสื่อออนไลน์อย่าง Instagram จนความน่ารักสดใสไปเข้าตาชาวเน็ตอย่างจังดังเป็นพลุแตก แต่จะให้

เครดิตแค่น้องพิมฐาอย่างเดียวไม่ได้ค่ะ ต้องยกให้คุณบูม แฟนหนุ่มหล่อของเธอด้วยที่เป็นผู้ถ่ายภาพเกือบทั้งหมดของเธอด้วย

ความรัก ทำให้ภาพออกมาละมุนมากๆ บวกกับวิวของประเทศญี่ปุ่นที่ทั้งคู่ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อ ขอบอกว่างานเขาดีเหมือนซีรี่ย์ญี่ปุ่นเลยนะคะ 

ความโด่งดังของพิมฐาไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้นนะคะ แต่ดังไปถึงระดับต่างประเทศอีกด้วย  ตอนนี้เธอออก Photo book มาเอาใจแฟนคลับให้ฟินยาวๆ กันไป

หากใครรักและติดตามเธอก็อุดหนุนได้ รับรองว่าน้องเค้าพกความสดใสมาแจกให้โลกยิ้มตามเป็นลังๆ เลยค่ะ   

สามารถติดตาม Instagram ของน้องพิมฐาได้ที่ https://www.instagram.com/pimtha/


6.คุณรุ้ง LoveExpert 

คุณรุ้ง LoveExpert  หรือคุณพิมพ์ภัทรา พิมพ์รัตนากุล เป็นศิษย์เอกสาวสวย ของคุณบัณฑิต อึ้งรังสี เธอจะเน้นการอธิบายและให้

คำปรึกษาเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ เผยแพร่กลเม็ดเคล็ดลับต่างๆ เพื่อเสริมสร้างพลังในตัวเอง พัฒนาความคิดแง่บวกโดยมี

การนำหลักจิตวิทยามาอ้างอิง   

เธอได้แบ่งปันเรื่องราวดีๆ บนเวบไซด์ของตัวเองและ Facebook เพื่อช่วยเหลือคนอื่นอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น กฎแรงดึงดูดของ

ความรัก  เคล็ดลับในการเปลี่ยนแปลงคนรักให้เป็นแบบที่เราต้องการ และ 5 เคล็ดลับดีๆ ที่ทำให้มีแต่คนรักคุณ

นี่แค่น้ำจิ้มเท่านั้นนะคะ เรียกได้ว่าหากคุณได้ชมคลิปของเธอแล้ว รับประกันได้เลยว่าโลกของคุณและคนรอบข้างจะต้องสดใส

มีความสุขขึ้นแน่นอนค่ะ มารับแนวความคิดเสริมพลังใจของตัวเองและคนรอบข้างกับคุณรุ้งได้ที่ https://www.facebook.com/RainbowLoveExpert/  


7.คุณ Linna Li 

คุณ Linna Li หรือ นลินนา ลี สาวน้อยผู้เป็นนางฟ้าในวงการ D.I.Y หรือย่อมาจาก Do It by Yourself นอกจากหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก

แล้ว ความสามารถของเธอก็ไม่ได้จิ้มลิ้มตามหน้าตาเลยค่ะ เธอมีความสามารถในการหยิบนั้นหยิบนี้มาประกอบกันเป็นของที่น่ารัก

ถูกใจวัยรุ่นเป็นที่สุด แถมยังออกหนังสือพ็อกสอนตัดเย็บออกมาด้วยค่ะ โอ้ย แม่สีเรือนสุดๆ  

เธอไม่ได้พกมาแค่ความคิดสร้างสรรค์อันบรรเจิด เธอยังออกอัลบั้มเพลงเป็นของตัวเองอีกด้วย โชว์เสียงหวานใสน่ารักให้แฟนๆ

ละลายกันเป็นแถว ทั้งน่ารักแล้วยังใจบุญแบ่งบันเทคนิคดีๆ บนสื่อออนไลน์แบบนี้ กดเลิฟเลยแหละสามารถติดตามผลงานของเธอ

ได้ที่ https://www.facebook.com/the.forest.wanderer 


แน่นอนว่าการได้ทำงานที่ตัวเองรักถือเป็นความฝันสูงสุดของทุกคน บุคคลทั้ง 7 ท่านที่เราได้นำมาเสนอในวันนี้ ไม่เพียงแต่จะใช้ความพากเพียรในการทำสิ่งที่ตัวเองรักให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาโดยไม่สนใจคำพูดด้านลบของคนอื่น

แต่กลับเอาคำพูดเหล่านั้นมาเป็นแรงฮึดสู้ จนกระทั่งประสบความสำเร็จกลับมาสอนคนรอบตัวและสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมอีกด้วย Learning Hub Thailand หวังว่าผู้อ่านจะนำข้อคิดอันมีค่าจากบุคคลเหล่านี้มาประยุกต์ใช้และกลายเป็นบุคคลที่มีความสุขที่สุดคนต่อไปค่ะ  

เรียบเรียงโดย ไพรินทร์- Learning Hub Team 

บันได 5 ขั้น สู่การปลดล็อคความคิด

11

         ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จในแบบฉบับของตนเอง  ทุกคนเกิดมาแต่แรกก็ยังลืมตาไม่ได้ นั่งไม่ได้ เดินไม่ได้ พูดไม่ได้ วิ่งก็ไม่ได้ และอีกสารพัดที่ยังทำไม่ได้ แต่ต่อมาเราพัฒนาจนเราสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้หลายอย่าง เดินก็ได้ พูดก็ได้ อ่านก็ได้ เขียนก็ได้ ขับรถก็ได้ ว่ายน้ำได้

         และผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายอย่างที่เราสามารถทำได้ เพราะมนุษย์สามารถพัฒนาได้และเป็นได้ทุกอย่างตามที่มนุษย์ต้องการจะเป็นมนุษย์สามารถสื่อสารกันได้ทั้งโลกด้วยอินเตอร์เน็ต

มนุษย์เราสามารถเดินทางข้ามโลกไปหากันได้ด้วยเครื่องบิน

มนุษย์เราสามารถออกนอกโลกไปเหยียบดวงจันทร์ได้ และอีกมากมายที่มนุษย์ทำได้ ฯลฯ
       

         หากย้อนหลังไปสัก 500 ปี ใครจะเชื่อว่าจะเกิดเรื่องดังกล่าวนี้ขึ้น บางคนมองว่าคนที่ประสบความสำเร็จดังกล่าวเป็นอัจฉริยะเขาเป็นได้ เขาทำได้ แต่ฉันคงทำแบบเขาไม่ได้หรอก ถูกของคุณครับ คุณคิดแบบไหนมันก็จะเป็นจริงแบบนั้น
         แล้วทำไมเราถึงคิดว่าเราทำไมได้ละ อะไรคือสิ่งที่กดเราไว้ทำให้เรากังวล กลัว ลังเล ขาดอิสรภาพ
มีอยู่เพียงสิ่งเดียว สิ่งนั้นคือ “ความคิด” ของเรานั่นเอง ถ้าเรายังปลดล็อคความคิด หรือมีอิสระทางความคิดไม่ได้เรื่องอื่นๆ ก็ยากที่จะสำเร็จ ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน รับรองว่าคุณก็จะไม่มีความสุขแบบเต็มที่แน่นอน และผมมีเทคนิคสำหรับปลดล็อคความคิด ให้ลองนำไปทำดูนะครับ

1. หาความต้องการที่แท้จริงของตัวเองให้เจอ 

          โดยการหยุดฟังเสียงรอบตัว แล้วให้ฟังเสียงหัวใจตัวเอง ลองถามตัวเองว่าชีวิตเรา เราต้องการอะไรจริงๆกันแน่ไม่ใช่ต้องการในสิ่งที่คนอื่นคาดหวัง หรือเป็นไปตามกระแสสังคม จากนั้นเขียนเป็นเป้าหมายให้ชัดเจน

2. รับผิดชอบชีวิตของตัวเอง

          ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ให้เรายิ้มและพูดว่าโชคดีจังที่…..ให้เราหากเหตุผลมาอธิบายความโชคดีนั้นให้ได้ เช่น 
บ้านไฟไหม้ ก็ยิ้มและพูดว่าโชคดีจัง ที่ไม่มีใครเป็นอะไร   ตกงานก็ยิ้มและโชคดีจังที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำสักทีหรือโชคดีจัง  จะได้มีเวลาเป็นของตัวเองสักที

            มันอาจจะทำยากสักหน่อย เราจึงต้องมั่นฝึกทำบ่อยๆ ครับใช้สติจับความรู้สึก และหาความโชคดีให้เจอครับ

3. อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ และพัฒนาตัวเอง

           ความรู้จะทำให้เรามั่นใจ ถ้าไม่รู้เราจะไม่มั่นใจ จงเป็นคนที่เรียนรู้ตลอดชีวิตครับแต่เนื่องจากเวลาของเรามีน้อยครับ ดังนั้นให้เลือกเรียนรู้ในสิ่งที่จะพัฒนาเราไปสู่เป้าหมายครับ

4. ขอให้เรามีความกล้าหาญ กล้าที่จะลงมือทำสิ่งใหม่ๆ

          กล้าที่จะออกไปเผชิญในสิ่งที่ไม่เคยทำด้วยความรู้และสติปัญญา เพื่อให้เราได้เรียนรู้และเติบโตเต็มตามศักยภาพ ความกล้ามันตรงข้ามกับความกลัวครับ

          เมื่อไหร่ที่เราไม่กล้าคือเรากลัวให้เราลงมือทำกับเรื่องที่กลัว เผชิญหน้ากับมันครับทำไปทำมาความกลัวมันจะหายไป กลายเป็นความกล้าหาญ แต่ถ้ากล้าแบบขาดสติ ขาดปัญญา กล้าบ้าบิ่นก็อาจจะเป็นการฆ่าตัวตายดีๆนี่เอง ดังนั้นจงกล้าแบบมีความรู้และสติปัญญาครับ

5. สร้างนิสัยใหม่ โดยใช้วินัยเป็นตัวกำกับ

           ผู้ที่มีวินัย ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ

ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้นะครับ

เรียบเรียงโดย คติพจน์ จินดาวงศ์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save