9 นิสัยเสียที่คุณควรหยุดทำเพื่อเป็นคนที่สุดยอด

9 spoiled you should stop doing

ผ่านปีใหม่มาแล้ว หลายคนอาจอยากจะสลัดนิสัยเดิม ๆ เพื่อจะได้พัฒนาและปรับปรุงให้ชีวิตตัวเองก้าวหน้ามากขึ้น บางคนทำงานหนักมาทั้งปี ได้นอนน้อย เที่ยวน้อย ได้โปรโมท มีหน้าที่การทำงานรับผิดชอบมากขึ้น นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนเก่ง แต่มันหมายความว่าคุณเป็นคนที่บริหารจัดการชีวิตไม่เป็นต่างหาก

คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ทว่าประสิทธิภาพในการทำงานนั้นต่างกันและถ้าคุณลองปรับนิสัยบางอย่างตามเช็คลิสข้างล่างนี้ไม่แน่ว่าอาจทำให้ชีวิตคุณดีและมีอะไรหลายๆอย่างลงตัวมากขึ้น

1. เลิกเปิดคอมเพื่อหาไอเดียใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ

คุณควรคิดหัวข้อที่ต้องการหาก่อน และพุ่งประเด็นไปที่คำตอบที่อยากได้ เช่น วิธีผูกสูตร Excel ถ้าคุณไม่แน่วแน่กับคำตอบที่ต้องการหาคุณอาจเจอโฆษณาของสายการบินที่ให้โปรโมชั่นต่ำสุดนำไปสู่การนอกเรื่อง และอาจทำให้คุณลืมจุดประสงค์และภารกิจที่แท้จริงในการเปิดอินเตอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลการทำงานให้ตัวเอง ทางที่ดีคุณควรจดออกมาเป็นข้อๆ ใส่กระดาษโน๊ตข้างๆว่าคุณต้องเปิดคอมหาข้อมูลเรื่องอะไรบ้าง วิธีนี้จะทำให้คุณไม่เสียสมาธิกับสิ่งล่อตาล่อใจได้ง่ายๆ

2. เลิกทำหลายๆอย่างในเวลาพร้อมๆกัน

บางคนคิดว่าการที่สามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้พร้อมกันคือเรื่องที่เจ๋ง แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องผิดมาก จากงานวิจัยพบว่ามีประชากรเพียง 2 % เท่านั้นที่สามารถทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะยาวการทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันเป็นนิสัยที่แย่ จะทำให้สมาธิเราสั้นลงแถมยังทำให้เรามีประสิทธิภาพน้อยลงอีกด้วย

3. เลิกเช็คอีเมล์ตลอดวัน

ทุก ๆ ครั้งที่คุณเช็คอีเมล์นั้น ทำให้คุณเสียเวลาไปอย่างน้อย 25 นาที กว่าจะกลับมาสู่โหมดปกติได้ และการหมั่นเช็คอีเมล์ยังทำให้งานของคุณจริง ๆ ไม่เดินอีกด้วย เพราะมัวแต่นั่งกังวลและนั่งตอบอีเมล์มากกว่า ที่ปรึกษาระดับสูงในบริษัทดัง แนะนำว่าให้คุณปิดมือถือ ปิดอีเมล์ ประมาณ 30 นาทีเพื่อที่จะทำให้คุณมีสมาธิแน่วแน่กับงานมากขึ้น

4. เลิกเอางานที่สำคัญและยากไว้ทีหลังสุด

คนเรามักเข้าใจผิดว่าควรทำงานที่ง่าย ๆ ก่อนในตอนเช้า เพื่อที่จะเคลียร์งานให้เสร็จไปเร็ว ๆ และค่อยจัดการกับงานยาก ๆ ทีหลัง นี่จัดว่าเป็นไอเดียที่แย่มากและจะทำให้เกิดโอกาสสูงมากที่งานจะไม่เสร็จสักงาน นักวิจัยค้นพบว่าคนเรามีขีดความตั้งใจจำกัดในแต่ละวัน ความตั้งใจแน่วแน่จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ เมื่อร่างกายคุณล้า เพราะฉะนั้นงานที่สำคัญที่สุดและยากที่สุดควรถูกจัดไว้ในอันดับต้น ๆ ของวัน

5. เลิกเข้าประชุมที่ไม่สำคัญ

การเข้าประชุมบ่อยครั้ง ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนเจ๋งหรือคนสำคัญในที่ประชุมและการประชุมทำให้คุณเสียเวลาอย่างมาก แนะนำว่าคุณควรเข้าประชุมที่มีหัวข้อการประชุมชัดเจน และคุณได้อะไรจากที่ประชุมนั้น ไม่ว่าจะได้งานที่ต้องการหรือได้แบ่งเบาภาระงานของคุณ

6. เลิกนั่งแช่ทั้งวัน

การนั่งทำงานแช่ทั้งวันกับเครื่องคอมพิวเตอร์และออฟฟิศสี่เหลี่ยมทำให้ประสิทธิภาพการทำงานน้อยลงเรื่อย ๆ คุณลองเปลี่ยนที่การทำงานโดยการเดินไปคุยไป หรือจิบกาแฟพร้อมนั่งคุยงานกับเพื่อนร่วมงานที่ชั้นล่างของตึก อาจทำให้ไอเดียใหม่ ๆ เกิดขึ้น และเมื่อคุณกลับมานั่งโต๊ะคุณจะรู้สึกตื่นตัวและกระปรี้กระเปร่ากับการทำงานมากขึ้น

7. เลิกกดเลื่อนนาฬิกาปลุก

คุณอาจคิดว่าขอเวลาอีกนิดหนึ่ง ห้านาที นอนต่ออีกสักพัก จะได้มีแรงขึ้นอีกหน่อย นั่นคือความคิดที่ผิดมหันต์เพราะมันส่งผลเสียมากกว่าผลดี เพราะครั้งแรกของการตื่นนอนในตอนเช้า ระบบร่างกายของคุณจะเริ่มปล่อยฮอร์โมนที่ทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเตรียมตัวรับวันใหม่

การที่คุณนอนต่อนั่นทำให้ร่างกายของคุณไม่ตื่นตัว และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานกระบวนการคิดต่าง ๆ ช้าลง และคุณไม่ควรนอนน้อยกว่าที่ควร การนอนอย่างเพียงพอทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในทุก ๆ ด้าน ทั้งความสุข การตัดสินใจที่ดีขึ้น ปลดล็อกไอเดียที่ดีขึ้น

8. เลิกเอามือถือไว้หัวเตียง

แสงไฟ LED จากมือถือ แท็บเล็ตและแล็ปท็อปจะส่งแสงบลูไลท์ออกมาทำลายสายตาและกดฮอร์โมนของเรา ทำให้รอบการนอนหลับและการตื่นของเราไม่เป็นไปอย่างราบรื่น หรือทำให้เรานอนหลับไม่สนิทนั่นเอง ผลจากงานวิจับพบว่าคนที่นอนหลับไม่สนิทจะมีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้ามากยิ่งขึ้น

9. เลิกเป็นเพอร์เฟคชั่นนิส

เรากังวลว่าสิ่งที่ทำนั้นจะไม่สมบูรณ์แบบ มัวแต่กลัวโน่นนี่นั่น ใช้เวลาคิดมากในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และสิ่งไม่จำเป็น จนทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ เหมือนกับว่าเรารอมีเวลาจริง ๆ ค่อยตั้งใจทำมันอย่างละเมียดละไม และก็เลื่อนงานนั้นออกไปเรื่อย ๆ โดยใช้เหตุผลอ้างว่าไม่มีเวลาทำอยากทำให้ออกมาดี ออกมาเพอร์เฟคก็ต้องใช้เวลา

ซึ่งจริง ๆ แล้วการเลื่อนงานนั้นออกไปทำให้คุณไม่ได้เริ่ม และการที่มัวแต่คิดเล็กคิดน้อยก็ทำให้งานของคุณไม่เดินและประสิทธิภาพต่าง ๆ ในการทำงานก็ลดลงมากกว่าที่คุณคิด

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

10 ข้อคิดเกี่ยวกับความพยายามและความสำเร็จ

10 commentaries about the effort a success

1. ความพยายาม คือหัวใจของความสำเร็จ

คือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้มนุษย์แต่ละคน มีชีวิตที่แตกต่างกัน

2. ความพยายาม คือความจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด

ถ้าจดจ่อได้เป็นระยะเวลานาน เป็นเดือน เป็นปี นั่นเรียกว่าความพยายาม ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ทำแล้วกัดไม่ปล่อย ไม่มีถอยไม่มีเลิก ดังนั้น อีกชื่อหนึ่งของความพยายามก็คือ “สมาธิ” ความพยายามและสมาธิคือสิ่งเดียวกัน โดยสมาธิคือเหตุที่ทำให้เกิดความพยายาม

3. ถ้าสมาธิดี ความพยายามจะสูง ถ้าสมาธิต่ำ ความพยายามจะน้อย

โอกาสที่เราจะบรรลุเป้าหมายความสำเร็จในชีวิต ขึ้นอยู่กับปริมาณของความพยายามหรือสมาธิ

4. เมื่อความพยายามคือสมาธิ

นั่นย่อมหมายความว่า ความพยายามนั้นเป็นนามธรรมที่สร้างได้วิธีสร้างความพยายามมีสองวิธี หนึ่ง รวบรวมกำลังใจแล้วลงมือทำ วิธีนี้มักได้ผลกับคนที่มีสมาธิดีเป็นพื้นฐาน แต่ไม่ค่อยได้ผลกับคนที่พื้นฐานสมาธิต่ำ อีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีความพยายามได้คือ ลงมือฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิจะช่วยให้คนเกียจคร้านเป็นคนมีความพยายามขึ้นมาได้

5. ความพยายามไม่ใช่สิ่งคงที่

บางวันเพิ่ม บางวันลด หมายความว่าในคน ๆ หนึ่ง ย่อมมีทั้งช่วงเวลาที่มีความพยายามสูง และช่วงเวลาที่มีความพยายามต่ำ วิธีรักษาความพยายามเอาไว้ คือฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เพราะสมาธิคือเหตุที่ทำให้จิตใจตั้งมั่น และจิตใจตั้งมั่น ทำให้เกิดความพยายาม

6. ถ้าคุณมีความพยายามแล้ว ความเฉลียวฉลาดย่อมตามมา

ไม่รู้สิ่งใด ก็จะรู้ได้ ทำสิ่งใดไม่ได้ ก็จะทำได้ ความพยายามจึงมีคุณค่ากว่าความเฉลียวฉลาด เพราะผู้ที่มีความพยายามแม้เป็นคนโง่เขล่าในช่วงแรก ก็จะโง่อยู่ไม่นาน ความพยายามจะผลักดันให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นผู้รอบรู้ได้อยู่ดีดังนั้น คนโง่จึงไม่มีจริง แต่คนไม่พยายามนั่นมีอยู่จริง!!!

7. ความพยายามมีข้อดีเป็นส่วนใหญ่ แต่ความพยายามก็มีข้อเสียอยู่

เมื่อใครคนหนึ่งพยายามกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาก ๆ จิตจะเกิดการยึดติด ทำให้เกิดความทุกข์เพราะสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้ ความพยายามจึงควรมีสติกำกับ สตินี้เองจะเป็นตัวปรับให้ความพยายามกลับมาสู่จุดสมดุล

8. ผู้มีความพยายามสูง แต่สติต่ำ

จะพัฒนาตนเองไปเป็นทาสกิเลส คือยิ่งพยายามเท่าไหร่ สำเร็จเท่าไหร่ ยึดเป็นคนยึดในอัตตาตัวตนมากเท่านั้น และอัตตาตัวตนนี้เองที่เป็นบ่อเกิดและความชั่ว และการเบียดเบียนผู้อื่น ตรงนี้แก้ได้ด้วยการพัฒนาสติขึ้นมากำกับ ให้สติอยู่เหนือความพยายาม อย่าให้ความพยายามอยู่เหนือสติ ถ้าทำได้อย่างนั้น ก็จะกลายเป็นผู้มีทั้งความสำเร็จทางโลก และทางธรรมไปพร้อมกัน

9. ความเมตตา ความพยายาม และสติ สามสิ่งนี้ต้องมาพร้อมกันเสมอ

จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้เด็ดขาด เมตตาทำให้เรามีความเป็นมนุษย์ผู้มีความดี ความพยายามทำให้เราสำเร็จ สติทำให้เราดำรงไว้ซึ่งความดีและความสำเร็จ เมื่อเรามีทั้งความดีและความสำเร็จ เราย่อมกลายเป็นผู้มีความสุขไปโดยปริยาย

10. ทุกความพยายาม อาจไม่ได้นำมาซึ่งความสำเร็จ

แต่ทุกความสำเร็จจะต้องมีความพยายามเป็นส่วนประกอบอย่าถามหาความสำเร็จใดๆ ในอนาคต แต่จงถามหาความพยายาม และทำให้มันปรากฏในทันที ความเพียรนี่เองที่จะทำให้เราทั้งหลายอยู่กับปัจจุบันได้ เป็นฉันทะ มิใช่ตัณหา เป็นความจริง มิใช่ความฝัน ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ที่นั่น เพราะความพยายามคือตัวตนของความสำเร็จ “จงพยายามให้เกิดความพยายาม” แล้วความพยายามจะทำให้ท่านสมปรารถนาทุกประการ

ที่มาเพจ พศิน อินทรวงค์ (https://www.facebook.com/talktopasin2013)

สติ 3 ระดับ สู่สูงสุดของชีวิต

3rd class consciousness

สติมีด้วยกัน 3 ระดับ

1. สติระดับควบคุมความคิด

สติระดับนี้เป็นสติขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ต้องใช้เพื่อดำรงชีวิตประจำวัน เป็นสติที่มีอยู่แล้วในสัตว์โลกตั้งแต่มนุษย์ขึ้นไป เป็นสติที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงาน ความสัมพันธ์ และการแสดงออกให้เหมาะสมกับกาลเทศะ เช่น นึกว่า “ขณะนี้เรากำลังทำงานอยู่ ก็ต้องตั้งใจทำงาน” หรือนึกว่า “เราไม่ควรไปโกรธเขาเลย ให้อภัยเขาจะดีกว่า จะได้ไม่มีเรื่องติดใจต่อกัน” การฉุกคิดในลักษณะนี้ ล้วนเกิดจากการใช้สติในการควบคุมความคิดทั้งสิ้น สติระดับที่หนึ่งเป็นสติที่ทำให้เรากลายเป็นผู้มองโลกในแง่ดี ถ้าใช้สติระดับที่หนึ่งบ่อยๆ ชีวิตในโลกภายนอกก็จะพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ

2. สติระดับเห็นความคิด

สติระดับนี้เป็นสติที่พระพุทธเจ้าทรงคิดขึ้นมาเป็นคนแรก เป็นการกำหนดสมาธิ วางใจให้เป็นกลาง แล้วจึงใช้สติดึงจิตให้หลุดจากความคิดมาเป็นผู้สังเกต การฝึกสติเช่นนี้บ่อยๆ จะทำให้กลายเป็นผู้เท่าทันความคิด สามารถเห็นการเกิดขึ้นและดับไปของความคิด ทำให้อยู่เหนืออารมณ์ของตนเองได้ ความทุกข์ต่างๆ จะน้อยลง ความสุขจะเพิ่มขึ้น อัตตาตัวตนจะทุเลาเบา ถ้าฝึกสติในระดับนี้เป็นประจำ สติในระดับแรกก็จะเกิดง่ายขึ้น สติระดับที่สองนี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการฝึกจิตอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่การฝึกวิปัสสนากรรมฐานเป็นต้น

3. สติระดับเหนือความคิด (มหาสติมหาปัญญา)

สติระดับที่สามนี้ เป็นสติที่ก่อให้เกิดปัญญาทะลุโลก เป็นสติที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนสติในระดับที่สองจนเกิดความชำนาญ สติระดับมหาสติมหาปัญญานี้ ไม่จำเป็นต้องใช้การฉุกคิด เพราะเป็นสติที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานเหมือนสายน้ำไหล ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันลืม ไม่มีวันเผลอ ไม่มีคำว่าขาดช่วงขาดตอน กล่าวคือเป็นสติที่มีความเร็ว จนสามารถเห็นว่าความคิดและความรู้สึกมีกระบวนการทำงานอย่างไร ทำให้กลายเป็นผู้หมดสิ้นความชั่ว หมดสิ้นในอัตตาตัวตน เป็นผู้พ้นไปจากอำนาจของมายาสมมุติ และสามารถควบคุมสติในสองระดับแรกได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม พูดง่ายๆ ว่า เป็นภาวะที่บุคคลผู้นั้นเข้าถึงภาวะบรมสุข ไม่สามารถมีความทุกข์ได้อีกต่อไป สติระดับที่สามนี้ เป็นสติที่ทำให้มนุษย์พ้นสภาพจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนโดยสมบูรณ์!!!

ที่มา: เพจ พศิน อินทรวงค์
(https://www.facebook.com/talktopasin2013)

10 นิสัยที่ทำให้คุณเป็นคนมีประสิทธิภาพและมีความสุขได้ทุกวัน

10 habits that make you a more effective and happy every day-2

สิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณต่างจากคนอื่นแบบก้าวกระโดดนั้นไม่ใช่เพียงแต่สภาพแวดล้อมการทำงานที่คุณเจอ แต่ยังมาจากพลังภายใน ความคิดและทัศนคติที่ทำให้ชีวิตคุณก้าวหน้ามากกว่าใคร และส่วนหลักที่สำคัญที่สุดคือนิสัยและกิจวัตรประจำวันในแต่ละวันของคุณตั้งแต่ตื่นตอนเช้าจนถึงเย็น 

คุณกำลังทำอะไรอยู่ในแต่ละวัน คุณยุ่งกับมันมากแค่ไหน และสิ่งที่คุณทำเหล่านั้นได้เพิ่มทักษะหรือทำให้ชีวิตคุณก้าวหน้าหรือไม่  กิจวัตรประจำวันของคุณจะปรับและเปลี่ยนนิสัยของคุณในแต่ละวันให้กลายเป็นคนแบบที่คุณเป็น 

1. ตื่นเช้า

ถ้าคุณมีสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันมากมาย การตื่นเช้ากว่าปกติจะทำให้คุณได้ทำอะไรในแต่ละวันมากขึ้น คุณจะมีเวลานั่งคิดและตัดสินใจมากขึ้นในตอนเช้า คุณสามารถที่จะอิ่มเอมกับอาหารเช้าและมีเวลาคัดสรรบรรจงเลือกเสื้อผ้าที่คุณอยากใส่ มีเวลาฟังข่าวและดนตรีซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คุณสดชื่นและเติมพลังอย่างดีในตอนเช้าของทุกๆวัน

2. จดลิสสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกประทับใจ

การจดบันทึกทุกๆวันในสิ่งที่คุณชอบหรือประทับใจ จะทำให้คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีขึ้น และมันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คุณเห็นโอกาสในวิกฤติต่างๆ การที่คุณมีความสุขและขอบคุณสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิตจะทำให้คุณเป็นคนที่มีความสุขออกมาจากพลังภายในซึ่งจะดึงดูดสิ่งดีๆให้เข้ามาในชีวิตคุณในอนาคต

3. ทบทวนเป้าหมายของตัวเองทุกๆวัน

ถ้าคุณอยากจะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ มีสาระ และจัดการชีวิตได้ดีขึ้น คุณควรเขียน เป้าหมายประจำวันว่าคุณต้องทำอะไรบ้าง และเมื่อจบวันคุณควรทบทวนว่าเป้าหมายของคุณได้ทำสำเร็จแล้วหรือไม่และไม่สำเร็จเพราะอะไร จงซื่อสัตย์กับตัวเองและอย่าตั้งเป้าหมายเยอะเกินไปจนทำให้คุณรู้สึกท้อแท้ ค่อยๆเริ่มจากเป้าหมายที่ทำได้ง่ายๆในแต่ละวัน

หลังจากนั้นค่อยดูความสามารถและการจัดการเวลาของคุณก่อน แล้วจึงค่อยๆเพิ่มเป้าหมายเข้าไปในแต่ละวันให้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ไม่ควรมีเป้าหมายเกินสามอย่างต่อวัน

4. อย่าลืมของว่างที่มีประโยชน์

ด้วยชั่วโมงที่เร่งรีบ ภาวะรถติด และการใช้ชีวิตทำงานที่เร่งด่วน คุณควรเตรียม Snack กล่องเล็กๆเพื่อเติมพลังให้ร่างกายระหว่างวัน อาจจะเป็นผลไม้ หรือ วิตามิน ขนมปังที่ Healthy เพื่อทำให้คุณไม่เพลียและผ่อนคลายระหว่างวันการทำงาน อย่าลืมว่าร่างกายที่แข็งแรงจะนำไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

5. ออกจากโลก Social Network

เพื่อการทำงานและชีวิตที่มีประสิทธิภาพ คุณควรปิดแชทและออกจากโซเชียลมีเดียในเวลางาน จงมีสติกับงานที่อยู่ตรงหน้าและปัจจุบัน คุณอาจตั้งเป้าว่าต้องเสร็จงานชิ้นนี้ก่อนถึงจะกลับไปเปิดแชท เช็คอีเมล์หรือเล่น Social media การนั่งตอบแชททั้งวันจะทำให้คุณไม่มีสมาธิและงานไม่เสร็จ คุณอาจให้รางวัลตัวเองที่เป็นการพักผ่อนซัก 5-10 นาที หลังจากคุณเสร็จงานหนึ่งชึ้นก็เป็นได้

6. เดินเล่นสั้นๆ

การได้เดินเล่นสั้นๆ ระหว่างวันจะเป็นการกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารความสุข ทำให้คุณมีความจำที่ดีขึ้น และผ่อนคลายมากขึ้น และยังเป็นการชารต์พลังงานทำให้สมองคุณกลับมาพร้อมทำงานหรือเรียนได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย

7. อ่านหนังสือ 2-3 หน้า

ไม่จำเป็นที่คุณต้องอ่านหนังสือทั้งเล่มจบภายในครั้งเดียว การอ่านหนังสือสองสามหน้าต่อวันก็เป็นการเพิ่มความรู้ และเปิดมุมมองทัศนคติในการใช้ชีวิตของคุณได้ และไม่จำเป็นต้องเป็นหัวข้อเดียว คุณอาจอ่านบทความสั้นๆ เรื่องสุขภาพ ความรัก การพัฒนาตัวเอง และอื่นๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการดำรงชีวิต ทำให้คุณมีไฟในการทำงานและเรื่องอื่นๆ

8. เขียนเป้าหมายสำหรับวันพรุ่งนี้

เป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่แต่ละวันก่อนนอนคุณควรเขียนแพลนสั้นๆ ว่าคุณจะทำอะไรในวันพรุ่งนี้บ้าง เพื่อเป็นการลดความกังวลของคุณก่อนนอนว่าคุณจะไม่ลืมทำสิ่งนี้ในวันพรุ่งนี้ และยังทำให้คุณไม่หลุดเป้าหมายในการทำงานหรือการพัฒนาตัวเอง

9. เตรียมอาหารกลางวันล่วงหน้า

การเตรียมอาหารกลางวันล่วงหน้า หรือการคิดว่าพรุ่งนี้ตอนกลางวันจะกินอะไรดี จะทำให้คุณกลายเป็นคนใส่ใจในสุขภาพของตัวเองอัติโนมัติ และจะกลายเป็นนิสัยดีๆ ที่ทำให้คุณหันมารักตัวเองมากขึ้น ไม่มัวแต่ยุ่งเรื่องงานจนกระทั่งลืมดูแลตัวเอง ถ้าคุณพึงพอใจและมีความสุขกายสุขใจจากภายใน คุณก็จะพบกับสิ่งดีๆ ในชีวิตมากขึ้น

10. เข้านอนด้วยความรู้สึกเชิงบวก

คุณควรคิดว่าวันนี้คุณตื่นเต้นกับเรื่องอะไร สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันมีอะไรบ้าง การที่คุณเข้านอนด้วยทัศนคติเชิงบวกกับความรู้สึกดีๆ ก่อนนอนจะทำให้คุณนอนหลับได้สนิทขึ้น และสบายใจขึ้น คุณอาจเปิดดนตรีเบาๆ หรือจดไดอารี่ไว้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เกินขึ้นกับคุณในวันนี้ ขอบคุณตัวเองและพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องใหม่ๆ ในวันพรุ่งนี้เสมอ

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

10 ประโยชน์ของการท่องเที่ยวที่คุณคาดไม่ถึง

10-reasons-why-traveling-the-best-form-education

แม้ว่าหลายคนอาจมองว่าการท่องเที่ยวเป็นการใช้เวลาว่างโดยเปล่าประโยชน์ ไร้ค่า และไม่ทำให้เกิดการพัฒนาใด ๆ แต่แท้จริงแล้ว หนึ่งในวิธีที่จะทำให้เราเรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งขึ้นก็คือ “การท่องเที่ยว” บทความนี้เปิดเผยประโยชน์ 10 ข้อของการท่องเที่ยวที่คุณอาจคิดไม่ถึง

1) คุณได้เรียนรู้ภาษา

แม้ว่าตอนนี้คุณอาจลงเรียนพิเศษภาษาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สเปน หรือเยอรมัน แต่คุณก็ได้เรียนจากตำรา สื่อการสอน เกม หรือผ่านครูสอนภาษาเท่านั้น แต่หากคุณต้องการเรียนรู้ภาษาในโลกแห่งความเป็นจริง “การท่องเที่ยว” สามารถตอบโจทย์ และช่วยให้คุณฝึกฝนทักษะการพูดและการฟัง หรือเรียนรู้ภาษาได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เพราะการท่องเที่ยวเปิดโอกาสให้คุณพบเจอกับคนท้องถิ่น เจอกับความหลากหลายทางภาษา เช่น สำเนียงที่แตกต่างกัน การใช้ศัพท์แสลง หรือศัพท์เฉพาะกลุ่ม เป็นต้น กล่าวคือ การท่องเที่ยวช่วยให้คุณใช้ภาษาเพื่อเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารอย่างแท้จริง

2) คุณได้เรียนรู้วัฒนธรรม

เมื่อคุณออกเดินทางท่องเที่ยว คุณจะพบเจอกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย และคุณจะเข้าใจถึงความเหมือนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม กล่าวคือ แต่ละชาติมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น อาหารการกิน กริยามารยาท การทักทาย การแต่งกาย วิถีการดำเนินชีวิต เป็นต้น

เช่น วัฒนธรรมในการพบปะของไทยใช้การไหว้และกล่าวสวัสดี ชาวตะวันตกใช้การจับมือ ชาวทิเบตใช้การแลบลิ้น ชาวมุสลิมกล่าวว่า “สลาม” เป็นต้น ความหลากหลายทางวัฒนธรรมเหล่านี้ ทำให้คุณยอมรับความแตกต่าง และมีความเข้าใจเพื่อนมนุษย์มากยิ่งขึ้น

3) คุณได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์

ไม่แปลกถ้าคุณรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในห้องเรียน เพราะคุณไม่เคยเห็น และไม่เคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยตนเอง คุณจึงรู้สึกไม่มีส่วนร่วมหรือไม่สามารถจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ได้ แต่หากคุณเปิดโลกกว้างให้กับตนเองด้วยการท่องเที่ยว คุณจะมีโอกาสไปเที่ยวชมโบราณสถาน พระราชวัง พิพิธภัณฑ์ อนุสาวรีย์ หรือแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของแต่ละประเทศ

นอกจากนี้ หากคุณมีโอกาสพูดคุยกับคนท้องถิ่น พวกเขาอาจบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงให้คุณฟัง เช่น สาเหตุความขัดแย้ง การเปลี่ยนแปลง สงคราม หรือข้อมูลเบื้องลึกต่าง ๆ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้น อาจไม่เหมือนกับสิ่งที่คุณร่ำเรียนมาก็ได้

4) คุณได้เรียนรู้โลกปัจจุบัน

การท่องเที่ยวไม่เพียงแต่สอนคุณเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ยังสอนคุณถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอีกด้วย กล่าวคือ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมผ่านการท่องเที่ยว อีกทั้ง ในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก การท่องเที่ยวยังช่วยให้คุณเข้าใจ และได้รับข้อมูลที่เป็นจริงผ่านสายตาของตัวคุณเอง ไม่ใช่ผ่านการตัดสินโดยกระแสสังคม หรือสื่อออนไลน์เท่านั้น

5) คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ

เมื่อใดก็ตามที่คุณก้าวออกมาจากป่าคอนกรีต และเริ่มผจญภัยในโลกธรรมชาติ คุณก็จะพบกับความมหัศจรรย์และความสวยงามที่แท้จริง คุณจะเพลิดเพลินไปกับขุนเขา เมฆหมอก ท้องทะเล ต้นไม้ใบหญ้า ป่าเขาลำเนาไพร และคุณจะรู้ว่าธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญที่มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนบนโลกใบนี้

และเมื่อคุณหลงรักความสวยงามของธรรมชาติที่โอบอุ้มโลกใบนี้ คุณจะเกิดความคิดที่จะปกป้องและรักษามันไว้ เพื่อที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น ปัญหาโลกร้อน น้ำท่วม หรือมลภาวะทางอากาศ จะได้เบาบางลง

6) คุณเรียนรู้ที่จะทำสิ่งใหม่

ในระหว่างการท่องเที่ยว คุณจะมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่คุณไม่เคยทำมาก่อน เช่น การให้อาหารช้างในกัมพูชา การเล่นสกีหิมะที่เนปาล การเต้นแซมบ้าในบราซิล การทำกิมจิที่เกาหลี เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์แปลกใหม่และทำให้คุณรู้สึกท้าทาย ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวบ่อย ๆ จึงรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ตนพบเจอ มีความยืดหยุ่น และเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์

7) คุณได้เรียนรู้ทักษะทางสังคม

หากคุณรู้สึกประหม่าหรือเขินอายเมื่อต้องเข้าร่วมกิจกรรมกับคนหมู่มาก เช่น การนำเสนองานในที่ประชุม การพูดต่อหน้าสาธารณะ หรือแม้แต่บทสนทนาทั่วไปในชีวิตประจำวัน การเข้าคอร์สฝึกพูด หรือคอร์สสอนการแสดงออก อาจเป็นตัวเลือกของคุณ

แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกวิธีที่สามารถเปลี่ยนคุณให้กลายเป็นคนใหม่ได้ นั่นก็คือ การท่องเที่ยว เพราะระหว่างการเดินทาง คุณต้องสอบถามเส้นทาง หรือขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า มิฉะนั้นคุณก็จะไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ และนั่นเป็นแบบทดสอบที่ช่วยฝึกฝนความกล้า และพัฒนาทักษะด้านปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างด้วย

8) คุณได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเอง

การท่องเที่ยวสอนให้คุณเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเอง เพราะคุณต้องวางแผนการเดินทาง เลือกที่พัก ยานพาหนะ จุดหมายปลายทาง และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตนเอง ดังนั้น คุณจะได้พัฒนาทักษะการเอาตัวรอด และการช่วยเหลือตนเอง

อีกทั้ง คุณจะกล้าทำสิ่งที่คุณไม่เคยทำมาก่อน เช่น การขึ้นรถเมล์ การรับประทานอาหารแปลกใหม่ และการทำกิจกรรมโลดโผนต่าง ๆ สิ่งนี้จะช่วยเปลี่ยนคนที่ใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อย และปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรม ให้เป็นคนที่สามารถกำหนดโชคชะตาชีวิตได้ด้วยตัวเอง

9) คุณได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์

เมื่อคุณท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ คุณจะพบเจอกับผู้คนที่หลากหลาย ทั้งเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว อาชีพการงาน ฐานะความเป็นอยู่ นิสัยใจคอ เป็นต้น ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้คุณมองเห็นสัจธรรมของความเป็นมนุษย์ว่าไม่มีใครเป็นคนดี หรือเป็นคนเลวไปทั้งหมดเพราะการที่คนคนหนึ่งตัดสินใจกระทำสิ่งใดล้วนมาจากเหตุและปัจจัยที่หล่อหลอมให้เกิดขึ้น

ดังนั้น คุณจะไม่ตัดสินคนจากภายนอกเหมือนที่ผ่านมา คุณจะให้เวลาช่วยพิสูจน์การกระทำ สิ่งนี้ทำให้คุณเปิดใจ ไม่ยึดติด และมองโลกอย่างเข้าใจมากขึ้น

10) คุณได้รู้จักตัวเองมากขึ้น

หากคุณไม่เคยทำอะไรนอกกรอบ หรือไม่เคยท่องเที่ยวเลย คุณก็จะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองชอบอะไรบ้าง หรือคุณก็จะไม่รู้ว่าตนเองสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิดหรือไม่ การท่องเที่ยวทำให้คุณรู้จักตนเองมากขึ้น เช่น คุณได้รู้ว่าตนเองชอบงานศิลปะระหว่างที่คุณชื่นชมภาพวาดในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง

หรือคุณได้รู้ว่าตนเองมีความสามารถในการสื่อสารกับคนแปลกหน้าขณะที่คุณเดินทางท่องเที่ยวโดยลำพัง เป็นต้น การท่องเที่ยวทำให้คุณก้าวออกมาจากสิ่งที่คุณคุ้นเคย ช่วยให้คุณค้นพบศักยภาพที่แท้จริง และนั่นจะทำให้คุณเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตรงจุดมากขึ้น

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://www.lifehack.org/359773/10-reasons-why-traveling-the-best-form-education)

5 เคล็ดลับ อัพเกรดสมองคุณ ให้เหมือนไอน์สไตน์

มีผลวิจัยว่า คนทั่วไปสามารถใช้สมอง เพียงแค่ 3% ของที่ตัวเองมี คุณว่าจริงไหม?

นี่เป็นสาเหตุให้เราไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดของตัวเองได้ และยังสงสัยว่า ทำไมบางคนถึงฉลาด มีไหวพริบ และทำให้เค้าประสบความสำเร็จได้ง่ายดายกว่าคนอื่นๆ

สมอง เป็นกลไกอัจฉริยะระดับโลก ที่คุณสามารถฝึกฝน ให้มันทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ หากเรารู้วิธี แต่ถ้าเราไม่รู้ ก็เหมือนซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่มา แล้วปรากฎว่าไปลงซอฟแวร์รุ่นเก่า ทำให้มันทำงานได้เพียง 3% คุณจะรู้สึกอย่างไร?

“รอน ไวท์” เป็นแชมป์ความจำเป็นเลิศ จากสหรัฐอเมริกา มีสมองเป็นดั่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ได้รับการบันทึกลงกินเนสส์บุ๊ก เช่น การจำเลขจำนวน 28 หลัก ภายในเวลา 1.15 นาที การจำชื่อจำนวน 150 ชื่อ ภายในเวลา 20 นาที และการจดจำบทกลอนจำนวน 250 บรรทัดได้ภายในพริบตาเดียว

เขาฝึกฝนเทคนิคการเพิ่มความสามารถของสมองผ่านการจินตนาการแบบไอน์สไตน์ โดยมีเคล็ดลับในการเพิ่มความจำของสมองคน ให้ทำหน้าที่ได้ดั่งสมองกล ด้วยการฝึกฝนตาม 5 ขั้นตอนง่ายๆที่ใครๆ ก็ฝึกได้ คือ

1. มุ่งประเด็นให้เด่นชัด (Focus)

ขั้นแรก คือ ต้องโฟกัสสิ่งที่ต้องการจดจำให้ชัดเจนว่าคืออะไร?  มีความโดดเด่นตรงไหน สิ่งนี้ถือเป็นจุดที่สำคัญที่สุดในการทำให้พลังของการจดจำมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนกับเวลาที่เราต้องบันทึกอะไรลงในคอมพิวเตอร์ เราต้องรู้ชัดเจนว่าเรากำลังต้องการบันทึกอะไรบันทึกภาพ บันทึกชื่อ หรือ บันทึกอักษร การมีเป้าหมายเจาะจงชัดเจนนี่เอง ที่เป็นขั้นแรกในการเพิ่มความจำ

2. จัดทำแฟ้มบันทึก (File)

หากคุณต้องการเรียกคืนไฟล์ต่างๆ จากคอมพิวเตอร์กลับมาใช้อีก คุณจะต้องบันทึกโฟลเดอร์หรือไฟล์งานนั้นไว้เพื่อจะเรียกใช้ในภายหลัง ความจำต่างๆ ของคุณก็มีกลไกการทำงานแบบเดียวกับคอมพิวเตอร์

ดังนั้นเพื่อให้สามารถเรียกข้อมูลกลับมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว เราทุกคนจำเป็นต้องบริหารจัดการความทรงจำ ด้วยการจัดเก็บข้อมูลไว้เป็นไฟล์แห่งความทรงจำ (Memory files) อย่างมีระบบและมีระเบียบ เพื่อเวลาเรียกใช้จะได้ง่ายขึ้น

3. ฝึกจำเป็นภาพ (Picture)

ในขั้นตอนนี้  เป็นการสร้างภาพต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เนื่องจากสมองของคนเรามักจำภาพได้มากกว่าเนื้อหา ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มความจำ เราจำเป็นต้องจินตนาการถึงสิ่งที่ต้องการจำให้เป็นภาพที่คุ้นเคย หรือภาพที่สะดุดตา

เช่น อยากจำคำว่า การทำงานเป็นทีม (Teamwork) ก็ให้นึกเป็นภาพ ผู้คนกำลังร่วมมือกันทำงานอยู่ 

พูดง่ายๆ ก็คือ อะไรก็ตามที่เราต้องการจดจำจะต้องแปลงให้อยู่ในรูปแบบของภาษาภาพเสมอเพื่อให้สมองมองเห็นและจดจำได้ หรือกล่าวได้ว่า เมื่อรู้ว่าสมองเราชอบจำเป็นภาพ  เราก็ถอดรหัสสิ่งต่างๆ ให้เป็นภาษาของสมอง เพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆ ลงไปได้ง่ายและมากขึ้นนั่นเอง

4. ตรึงให้มั่น (Glue)

ขั้นตอนนี้ คือการเชื่อมข้อมูลที่เราต้องการจำ ให้ได้รับการบันทึกอยู่ได้นานในสมอง  โดยรอนพบเคล็ดลับว่า  การที่เราจะจดจำบางสิ่งบางอย่าง สิ่งนั้นต้องมีความโดดเด่นเพียงพอที่จะติดตรึงอยู่ในความทรงจำ กระทบกับความรู้สึก (Feeling) ของตัวเองอย่างแรง

หากสังเกตช่วงชีวิตที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดว่าความจำจะติดตรึงอยู่ในความทรงจำได้ก็ต่อเมื่อภาพนั้นมีความ เคลื่อนไหว มีความรู้สึก หรือมีสิ่งพิเศษบางอย่างมาเชื่อมโยงกับตัวเรา และนี่เป็นคำตอบว่าทำไมคุณจึงสามารถนึกถึงรายละเอียดของเรื่องเศร้าที่ทำให้คุณเสียใจมากๆ หรือเรื่องที่ประทับใจสุดๆ เมื่อ 20 ปีก่อนได้อย่างแม่นยำ

ดังนั้น เทคนิคของรอนคือ การใช้ภาษาภาพที่คุณสร้างขึ้นมาเพื่อจะจดจำ จะต้องเป็นภาพที่ติดตรึงในความทรงจำได้ดี มีความเคลื่อนไหว หรือความรู้สึกร่วมด้วย และหากเป็นภาพที่มีความพิเศษมากก็จะยิ่งช่วยให้จำได้ดีขึ้น ทำได้ง่ายๆ ด้วยการติดตรึงความจำเอาไว้ ด้วยการจินตนาการถึงความรู้สึกและการเคลื่อนไหวต่างๆ ลงไปในเนื้อหาของสิ่งที่จะจำนั่นเอง

5. หมั่นทบทวน (Review)

การทบทวนสิ่งที่บันทึกไว้ในความทรงจำ เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ทำให้สามารถจำสิ่งต่างๆ ได้ในระยะยาว เปรียบเทียบกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีการรีเฟรช (Refresh) หรือ อัพเกรด (Upgrade) โปรแกรมคอมพิวเตอร์อยู่เสมอๆ

รอน ไวท์ได้แนะนำเทคนิคง่ายๆ สำหรับขั้นตอนนี้ เช่น ถ้าคุณต้องการจดจำชื่อผู้คนที่ได้พบมา เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่  ให้ถามตัวเองว่า เมื่อวานนี้เราได้พบใครบ้าง เพื่อจะทบทวนรายชื่อของคนที่เราได้พบ แล้วดูว่ามีกี่คนที่คุณสามารถจำได้ ตรงนี้ถือเป็นแบบฝึกหัดที่ดี เป็นการช่วยเพิ่มเติมข้อมูลลงไปในระบบบันทึกข้อมูลส่วนตัว คล้ายการ Upload ข้อมูลใหม่ใส่สมองด้วย

นักวิจัยได้นำสมองของไอน์สไตน์ มาวิเคราะห์ พบว่าไม่ได้มีขนาดใหญ่ไปกว่าคนทั่วไป ดังนั้นมนุษย์เราทุกคนมีสมองที่สุดอัจฉริยะอยู่แล้ว เพียงแต่ยังใช้ไม่เป็นเท่านั้น หากเราสามารถใช้ศักยภาพสมองได้เต็มที่แบบนี้ เชื่อว่าเราจะบรรลุถึงเป้าหมายและความสำเร็จในชีวิต ทั้งในด้านการงาน และชีวิตส่วนตัว ได้อย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน

ข่าวดี สำหรับคนที่อยากพัฒนาศักยภาพสมองระดับสูงสุด!

รอน ไวท์ ผู้เชี่ยวชาญและวิทยากรด้านความจำระดับโลก จะมาแบ่งปันเทคนิคการเพิ่มพลังสมองคนให้เป็นดั่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ได้ ในวันที่ 18 มี.ค.59 ณ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ สุขุมวิท 22 กรุงเทพฯ ในหลักสูตร “Bring the Mind of Einstein to Your Organization” (มีหูฟังและล่ามแปลไทย) และใครอยากเป็นวิทยากรสอนในเรื่องนี้ มีหลักสูตร Train the Trainer ในวันที่ 19-20 มี.ค.59 ด้วยค่ะ

แฟนเพจของ Learning Hub Thailand ได้โปรโมชั่น ลดราคา 10%
เมื่อแจ้งตอนลงทะเบียน ภายใน 16 มี.ค.นี้

ดูรายละเอียดหลักสูตร คลิกที่นี่

Learn_More

7 สิ่งดีๆ ที่ควรบอกตัวเองในทุกวัน

7-things-you-should-tell-yourself-every-day

คุณเป็นคนสำคัญ และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่คุณคิด พูด หรือปฏิบัติต่อตนเองล้วนมีความสำคัญ และส่งผลต่อชีวิตทั้งนั้น กล่าวคือ หากคุณทำดีต่อตนเอง คุณก็จะได้รับผลดีเป็นการตอบแทน แต่หากคุณทำสิ่งแย่ๆ คุณก็จะได้รับผลที่เลวร้ายเช่นกัน

บางครั้งคุณอาจรู้สึกผิดหวัง เสียใจกับคำพูด หรือการกระทำ ซึ่งเกิดจากตัดสินใจที่ผิดพลาดของตนเอง คุณอาจรู้สึกแย่จนถึงขั้นต่อว่า กล่าวโทษ และดูถูกตนเอง ความคิดเช่นนี้ทำให้ตัวคุณเองไม่มีความสุข มิหนำซ้ำยังฉุดให้ชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ วิธีแก้ไขคือให้คุณมองโลกในแง่บวก คิดแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอ

เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณมีพลังในการก้าวเดินไปข้างหน้า และทำให้ชีวิตคุณมีแต่ความสุข บทความนี้แนะนำแนวคิด 7 สิ่งดีๆ ที่คุณควรยึดถือ และบอกตัวเองในทุกวัน

1. ฉันเชื่อในความฝัน

          ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากความฝัน ตอนเด็กๆ เราฝันอยากจะเป็นคนนั้นคนนี้ อยากมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เมื่อเราโตขึ้น ความฝันเหล่านั้นค่อยๆ หายไป เพราะเรากลัว และไม่กล้าฝันต่อ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ความฝันไม่กลายเป็นจริงสักที ดังนั้น จงเชื่อมั่นและศรัทธาในความฝันของตนเอง

คุณมีความฝันอะไรบ้าง ลองหลับตา และปลดปล่อยจินตนาการไปตามความปรารถนา คุณอาจพบว่าตนเองฝันอยากเป็นนักร้อง อยากเป็นเจ้าของกิจการ อยากมีบ้านหลังใหญ่ อยากไปเที่ยวรอบโลก อยากมีเงินมากมาย เป็นต้น เมื่อคุณฝันแล้ว อย่าปล่อยให้มันสูญเปล่า เพราะความฝันนั้นมีพลังและสามารถเป็นจริงได้

จงเชื่อมั่นและพร่ำบอกกับตนเองว่า ความฝันนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม เมื่อคุณทำเช่นนี้แล้ว ความฝันของคุณจะชัดเจนขึ้น อีกทั้ง คุณจะกลายเป็นคนที่มั่นใจ สามารถสร้างสรรค์และผลักดันสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้

2. ฉันทำทุกวันให้ดีที่สุด

          ไม่ว่าวันนี้คุณจะทำสิ่งเล็กๆ หรือยิ่งใหญ่ ให้คุณคิดเสมอว่าคุณต้องทำให้ดีที่สุด เพราะความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่มันค่อยๆ สะสมทีละเล็กทีละน้อย และในที่สุดมันจะกลายเป็นความสำเร็จอันสวยงาม ดังสุภาษิตที่ว่า “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว”

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม จงเตือนตัวเองให้ทำอย่างดีที่สุด ทำให้เต็มที่อย่างสุดกำลังความสามารถ และหากคุณผิดพลาด จงเรียนรู้จากประสบการณ์ ใช้ความผิดพลาดนั้นเป็นบทเรียน รู้จักปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

3. ฉันรักในสิ่งที่ฉันเป็น

          คุณรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อเห็นตัวเองในกระจก หากคุณยิ้มให้กับตนเอง แสดงว่าคุณรักในสิ่งที่คุณเป็น และนั่นเป็นบันไดก้าวแรกที่ทำให้คุณสามารถก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง สิ่งที่คุณเป็นไม่ว่าจะดีหรือร้าย เช่น ผิวขาว ผิวคล้ำ หน้าใส มีสิว ผมตรง ผมหยิก ตัวสูง ตัวเตี้ย หรืออุปนิสัยใจคอต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่งบอกความเป็นตัวคุณ และทำให้คุณมีเอกลักษณ์

เพราะฉะนั้น จงยอมรับและพอใจในสิ่งที่เป็น หากคุณไม่รักตัวเอง คุณก็ไม่สามารถรักคนอื่นได้เช่นกัน ในทางตรงกันข้าม เมื่อคุณรักตัวเองแล้ว คุณจะสามารถส่งต่อความรักและความปรารถนาดีให้กับคนรอบข้างได้ 

4. ฉันเลือกที่จะมีความสุขได้

          หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นั่นหมายถึง ความคิดและจิตใจมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นที่ใจ เราสามารถกำหนดได้ว่าในแต่ละวันตนเองจะมีความสุขหรือความทุกข์เช่นหากคุณตั้งเป้าหมายที่จะทำอะไรแล้วคุณสมหวัง แน่นอนว่าคุณจะรู้สึกมีความสุข

แต่หากคุณไม่สามารถทำมันได้สำเร็จเหมือนที่ตั้งใจไว้ คุณจะเครียด ผิดหวัง และเสียใจทั้งนี้ หากคุณรู้เท่าทันธรรมชาติของความคิดและจิตใจ เข้าใจถึงกลไกดังกล่าว คุณก็จะสามารถกำหนดความสุขได้ด้วยตัวคุณเอง นอกจากนี้ หากคุณพบกับความผิดหวัง คุณก็จะสามารถทำใจ และปล่อยวางได้เร็วกว่าคนอื่น

5. ฉันกำหนดชีวิตตนเองได้

          สิ่งนี้คล้ายๆ กับการกำหนดความสุขได้ด้วยความคิดและจิตใจของตนเอง แต่เปลี่ยนเป็นเรื่องของการกระทำ กล่าวคือ คุณสามารถกำหนดชีวิตของตนเองได้โดยรับผิดชอบ และยอมรับในทุกๆ การกระทำของตนเอง หากคุณทำสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ ชีวิตก็จะเป็นไปในทางที่ดี ในทางตรงกันข้าม หากคุณประพฤติตัวแย่ คุณก็จะได้รับผลของการกระทำนั้น

จงจำไว้ว่าไม่มีใครมีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ คุณเท่านั้นที่สามารถขีดเส้นทางเดินชีวิตของตนเองได้

6. พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้

          การคิดเช่นนี้ทำให้คุณมีพลัง และเกิดแรงบันดาลใจ จงเชื่อว่าวันพรุ่งนี้จะสดใสกว่าเดิม คุณควรเปิดโอกาสให้ตนเองพบเจอกับสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทาย ทำให้ตนเองเรียนรู้ และเพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิต เพราะนั่นจะทำให้คุณไม่หยุดพัฒนาตนเอง เมื่อคุณฝึกคิดเช่นนี้บ่อยๆ คุณจะพยายามทำสิ่งต่างๆ อย่างเต็มที่ และสามารถสานฝันให้กลายเป็นจริง

7. ขอบคุณสิ่งต่างๆ ในชีวิต

          แม้ว่าคุณไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ได้ แต่สิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้คือ ทัศนคติของตัวเอง คุณควรมองโลกในแง่ดี โดยหัดขอบคุณสิ่งดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บางทีสิ่งนั้นอาจเป็นเพียงแค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่มันก็ทำให้คุณมีความสุขได้

เช่น ขอบคุณลมหายใจที่ทำให้คุณได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพื่อทำในสิ่งที่คุณรัก ขอบคุณมิตรภาพดีๆ จากครอบครัว เพื่อนฝูง รวมทั้งคนแปลกหน้า ขอบคุณสิ่งเลวร้ายที่เป็นบทเรียนให้คุณได้เรียนรู้ และเติบโตขึ้น เป็นต้น หากคุณคิดบวก คุณจะพบว่าชีวิตมีเรื่องดีๆ มากมาย

เรียบเรียงโดย Nadda – Learning Hub Team

(ที่มา: http://www.lifehack.org/363049/7-positive-affirmations-tell-yourself-every-day)

7 เหตุผล ทำไมคนเที่ยวบ่อยถึงประสบความสำเร็จมากกว่า

people-who-travel-succeed-work

หากทุกวันนี้ชีวิตของคุณเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย และความเครียดจากการทำงาน บ่อยครั้งที่คุณรู้สึกเหนื่อยล้า และหมดแรงที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณต้องการหยุดพักหรือต้องการพักผ่อนแล้ว ดังนั้น หากคุณทำงานหนักมาตลอดทั้งปี คุณควรจะหาเวลาให้ตนเองได้ท่องเที่ยวบ้าง อย่างน้อยปีละครั้งก็ยังดี และไม่ว่าคุณจะตัดสินใจไปท่องเที่ยวในหรือนอกประเทศก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้นค่ะ 

การท่องเที่ยวจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และมีชีวิตชีวา นอกจากนี้มันยังส่งผลดีต่อชีวิตการทำงานของคุณอีกด้วย แต่หากคุณยังนึกไม่ออกว่าการท่องเที่ยวมีประโยชน์ต่อชีวิตการทำงานอย่างไรบ้าง บทความนี้จะเปิดเผยเหตุผล 7 ข้อ ที่การท่องเที่ยวจะช่วยสนับสนุน ให้คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มากกว่าตอนที่คุณไม่ออกไปเที่ยวไหนเลย

1. คุณจะมีทัศนคติเปิดกว้าง และมองโลกในแง่ดียิ่งขึ้น

การท่องเที่ยวในโลกกว้างช่วยให้คุณเปิดใจ และมีทัศนคติที่กว้างยิ่งขึ้น เพราะระหว่างการเดินทางคุณจะได้พบเจอกับสิ่งแปลกใหม่ และความแตกต่างหลากหลาย และนั่นทำให้คุณรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีอะไรให้คุณเรียนรู้อีกมาก ประสบการณ์เหล่านี้จะทำให้ทัศนคติและมุมมองของคุณเปลี่ยนไป คุณจะรู้จักยืดหยุ่น และเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นซึ่งสิ่งนี้ส่งผลต่อพฤติกรรมการทำงานของคุณ

จากผลวิจัย ผู้ที่ทำงานออฟฟิศจำนวนหนึ่งระบุว่า หลังจากที่พวกเขากลับมาจากการเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ พวกเขามีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น มีจิตใจที่สดใส และมีพลังมากขึ้น แต่ที่เห็นได้ชัดก็คือ พวกเขามองโลกในแง่ดี และพร้อมรับมือกับปัญหาต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. คุณจะมีเพื่อนมากขึ้น (หรือได้แฟนใหม่)

แน่นอนว่าเมื่อคุณออกเดินทางท่องเที่ยว คุณจะมีโอกาสรู้จักเพื่อนใหม่ ๆ มากมาย เพื่อนเหล่านี้เป็นเครือข่ายที่ดีของคุณในอนาคต หากคุณเดินทางไปประชุม หรือทำธุรกิจในประเทศที่เพื่อนคุณอยู่ คุณก็จะได้รับความช่วยเหลือ การทำงานของคุณก็จะราบรื่นและสะดวกสบายยิ่งขึ้น พวกเขาสามารถช่วยคุณได้หลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน การเดินทาง ที่อยู่อาศัย หรือเรื่องจิปาถะอื่นๆ

จะเห็นได้ว่า การท่องเที่ยวช่วยให้คุณได้รู้จักผู้คนใหม่ ๆ สร้างมิตรภาพและความสัมพันธ์อันดี ซึ่งสิ่งนี้เป็นพื้นฐานที่ดีและมีประโยชน์ต่อการทำงานของคุณ ยังไม่นับรวมว่า หลายคนได้เจอคนรู้ใจในระหว่างทริป จนถึงขั้นคบหาเป็นแฟนกันด้วยก็มี

3. คุณจะบริหารจัดการสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น

ในการทำงานคุณจำเป็นต้องใช้ทักษะในการบริหารจัดการ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการท่องเที่ยวช่วยให้คุณเพิ่มพูนทักษะดังกล่าวได้ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณวางแผนที่จะไปท่องเที่ยงยังประเทศหนึ่ง คุณต้องเตรียมตัวและคาดการณ์ถึงสิ่งต่างๆที่อาจเกิดขึ้นก่อน ระหว่าง และหลังการเดินทาง คุณต้องจัดการแผนเดินทาง สัมภาระ ที่พัก อาหาร สกุลเงิน กิจกรรมที่ต้องทำ รวมไปถึงดูแล ผู้ร่วมทริป เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อจบการเดินทางในแต่ละครั้ง จึงไม่น่าแปลกใจว่าคุณจะบริหารจัดการสิ่งต่างๆในชีวิต รวมถึงการทำงานได้ดีขึ้นหากคุณยังไม่เชื่อ ให้คุณลองจัดการเดินทางสักครั้ง แล้วคุณจะพบว่าคุณมีความสามารถมากกว่าที่ตนเองคิด นอกจากนี้ คุณยังจะได้เรียนรู้ที่จะวางแผน เตรียมการ จัดสรรและบริหารทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าอีกด้วย

4. คุณจะยอมรับความแตกต่างได้มากขึ้น

ในที่ทำงานของคุณมีคนมากมายหลายประเภท บางคนพูดมาก บางคนพูดน้อย บางคนอู้งาน บางคนเอาจริงเอาจัง เป็นต้น การเดินทางท่องเที่ยวจะช่วยให้คุณมองเห็นโลกแห่งความเป็นจริงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะขณะที่คุณเดินทาง คุณจะได้พบเจอกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน

ประสบการณ์เหล่านี้จะช่วยหล่อหลอมให้คุณเข้าใจว่าคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน พวกเขามีวิธีจัดการหรือรับมือกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านภูมิหลัง ประสบการณ์ และข้อจำกัดในชีวิต ด้วยเหตุนี้ คุณจะเข้าใจเพื่อนมนุษย์ รวมถึงเพื่อนร่วมงานของคุณมากขึ้น และคุณจะไม่ตัดสินพวกเขาโดยยึดเอาความคิดของตนเองเป็นที่ตั้งอีกต่อไป

5. คุณจะมีไหวพริบ และปรับตัวเก่งขึ้น

เมื่อคุณจะเดินทางไปยังประเทศอื่น คุณจะพบว่าตนเองพยายามที่จะเรียนรู้ภาษา วัฒนธรรม วิถีชีวิต และอาหารการกินของคนในประเทศนั้นๆ สิ่งนี้ทำให้คุณมีทักษะในการปรับตัว ในชีวิตการทำงานก็เช่นกัน เมื่อคุณทำงานกับผู้คนจำนวนมาก คุณก็จะพยายามปรับตัว เรียนรู้สิ่งที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ หรือแนวทางที่คนอื่นๆทำกัน

นอกจากนี้ การท่องเที่ยว แม้ว่าจะวางแผนมาดีแล้ว แต่ก็มักจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งคุณต้องใช้ไหวพริบ และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีการตัดสินใจที่เด็ดขาดรวดเร็ว หากคุณได้ฝึกฝนทักษะเหล่านี้จากการท่องเที่ยวมาแล้ว คุณก็จะสามารถประยุกต์ใช้กับการทำงานได้ไม่ยาก

6. คุณจะมีพลัง และแรงบันดาลใจทำสิ่งต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น

อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อคุณใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก คำตอบก็คือเครื่องจะค้าง และคุณก็ต้องทำการปิดเปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง สิ่งนี้ก็เหมือนกับสมองของคุณ ดังนั้น หากคุณทำงานอย่างหนักโดยไม่หยุดพักเลย สมองของคุณจะเบลอ และไม่สามารถประมวลผลหรือทำงานได้อย่างเต็มที่

เพราะฉะนั้น คุณต้องมีเวลาให้สมองได้หยุดพักผ่อนบ้าง กล่าวคือ คุณควรหาเวลาท่องเที่ยว และหยุดคิดถึงเรื่องราวที่วุ่นวาย หรือเรื่องเครียดๆจากการทำงานบ้าง และเชื่อแน่ว่า หลังจากการเดินทางพักผ่อนของคุณ สมองของคุณก็จะปลอดโปร่งขึ้น สดชื่น มีพลังในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆมากมาย และรับรองว่าคุณจะได้ไอเดียเจ๋ง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน

7. คุณจะได้ไอเดียสดใหม่ และทำงานได้อย่างแตกต่าง

แน่นอนว่า การไปเห็นสิ่งต่างๆที่แตกต่างจากความคุ้นชินเดิมๆ มันจะจุดประกายความคิดหรือได้ไอเดียดีๆ ระหว่างการเดินทาง หลายๆคนจะเห็นวิธีที่แต่ละท้องถิ่นใช้แก้ปัญหาของตน แล้วก็จะหวนนึกว่า เราก็น่าจะนำมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ปัญหาของเราได้ เราจะเห็นว่า นักธุรกิจ มักจะท่องเที่ยวอยู่เสมอ เพราะเค้าจะได้ไปเห็นสินค้าแปลกใหม่ หรือบริการที่หลากหลาย และเกิดไอเดียมาพัฒนาต่อยอดให้บริษัทของเค้าได้

ความน่าแปลกใจก็คือ ของธรรมดาๆในท้องถิ่น แค่ย้ายสถานที่จำหน่าย ก็น่าสนใจแล้ว เช่น เราเอาขนมยอดฮิตของชาติอื่น มาทำขายในไทย ก็จะขายดี เพราะเป็นสิ่งแปลกใหม่ คนทั่วไปไม่เคยเห็น

ถ้ารู้แบบนี้แล้ว วันหยุดยาวครั้งหน้า ก็อย่าลังเลใจที่จะออกไปท่องเที่ยวนะคะ เชื่อว่า ถ้าเราเที่ยว อย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่แค่ไปช้อป แต่ไปดูวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ และดื่มด่ำกับธรรมชาติ เงินที่เสียไป จะตอบแทนมาเป็นประสบการณ์ที่มีค่า ทำให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิตในอนาคตข้างหน้า เหมือนที่บทความนี้บอกอย่างแน่นอนค่ะ

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://www.lifehack.org/343631/people-who-travel-often-are-more-likely-succeed-work)

10 พฤติกรรมปรับนิสัยเพื่อ “เปลี่ยนชีวิต”

10-habit-to-change-your-life-to-better

นิสัยของคนเราอาจเปลี่ยนแปลงได้ยากแต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ จากงานวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า ถ้าคุณลองเปลี่ยนพฤติกรรมแบบเดิมโดยการทำสิ่งใหม่ๆติดต่อกันเป็นเวลา 21 วัน  พฤติกรรมเหล่านั้นจะก่อเป็นนิสัยและทำให้คุณเป็นคนใหม่โดยไม่รู้ตัว และการการลองเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆใส่ใจในรายละเอียดของชีวิตมากขึ้น อาจทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างสิ้นเชิง

1) มั่นใจในคุณค่าของตัวเอง

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ทั้งเรื่องของการสัมภาษณ์ การเดทครั้งแรก และอื่นๆ ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองมีของ มีดี ทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยดีและสถานการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้น คุณไม่ควรที่จะเสียเวลานั่งกังวลแต่จงมั่นใจในตัวเองและเผชิญหน้ากับทุกๆสถานการณ์

2) อ่านฉลากสินค้าด้านหลัง

ถ้าคุณต้องซื้อของกินของใช้เป็นประจำ สิ่งที่คุณไม่ควรลืมคือการอ่านฉลากสินค้าด้านหลังก่อนเสมอ ถึงแม้ว่าตัวหนังสือจะเล็กและเยอะแค่ไหน แต่คุณควรใส่ใจว่าสิ่งที่คุณซื้อมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหนกับร่างกายของคุณเอง ที่สำคัญการคำนวณปริมาณกับราคาต่อหน่วยเป็นสิ่งที่ทำให้คุณไม่ถูกหลอกง่ายๆด้วยโปรโมชั่น และทำให้คุณเป็นคนที่มีนิสัยละเอียดมากขึ้น

3) เดินให้มากขึ้น

การเดินคือการออกกำลังกายที่ทำให้คุณลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคอ้วน กระดูกพรุน มะเร็งบางชนิด และอื่นๆ คุณจะรู้สึกว่าคุณไม่ได้ออกกำลังกายแม้ว่าคุณกำลังทำมันอยู่ก็ตาม แต่เดินประมาณ 30 นาทีต่อวันแค่นี่ก็ทำให้คุณสุขภาพแข็งแรงโดยไม่ต้องเสียเงินซักบาทเดียว เป็นการปลูกนิสัยการรักสุขภาพอีกด้วย

4) เก็บเตียงนอนตอนเช้า

การเก็บเตียงตัวเองตอนเช้าเป็นนิสัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมอื่นๆในชีวิตและทำให้คุณเป็นคนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มันไม่ได้อยู่ที่แค่เตียงและห้องนอนของคุณจะสะอาดขึ้นเพียงเท่านั้น แต่การเก็บห้องและเตียงให้เป็นระเบียบทำให้คุณหาของง่ายขึ้น และชีวิตมีวินัยมากขึ้น และอาจส่งผลให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างคุณดีขึ้นอีกด้วย

5) บ่นให้น้อยลงแต่หัวเราะให้มากขึ้น

การที่คุณบ่นน้อยลง ทำให้คนอยากเข้าใกล้คุณมากขึ้น คุณจะรู้สึกได้ว่าคุณมีปัญหาน้อยลงเพียงเพราะคุณบ่นน้อยกว่าเดิม คุณจะมองทุกอย่างในแง่ดีขึ้น และจะรู้สึกถึงพลังบวกโดยรอบ การหัวเราะมากขึ้นทำให้คุณเป็นคนอารมณ์ดีและทำให้ทัศนคติคุณเปลี่ยนไป แม้ว่าในสถานการณ์ที่คับขัน คุณก็จะเห็นทางออกได้เร็วกว่าคนอื่น เพราะว่าคุณไม่ได้หมกมุ่นกังวลอยู่กับปัญหา

6) แบ่งปันและรู้จักการให้

การที่คุณเสียเวลาซักเล็กน้อยในการใส่ใจคนอื่น เช่น ให้เงินขอทาน แบ่งขนมให้ยาม ช่วยป้าริมถนนซื้อของ หรือ ช่วยคนอื่นเข็นเลื่อนรถในที่จอดรถ มันอาจไม่ใช่ตัวเงินที่คุณได้กลับมา แต่คุณจะได้ความอิ่มใจ สุขใจ และท้ายที่สุดคุณจะกลายเป็นคนที่นิสัยดีคิดถึงและใส่ใจผู้อื่นซึ่งทำให้คุณมีกัลยามิตรดีๆเพิ่มขึ้นอีกหลายคน

7) จดบันทึก

การจดบันทึกเล็กๆน้อยในแต่ละวันก่อนนอน ทำให้คุณได้มีเวลาทบทวนตัวเองในแต่ละวัน ว่าวันนี้คุณทำผิดพลาดอะไร ให้อภัยตัวเอง วันนี้ใครคือคนที่มีพระคุณกับคุณ วันนี้คุณเจอเรื่องดีเรื่องร้ายอะไรมาบ้าง นอกจากเป็นการระบายความในใจของคุณแล้ว ยังทำให้คุณไม่เก็บมาคิดมาก นอนได้ออย่างสบายใจ และพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องราวในวันรุ่งขึ้นได้เป็นอย่างดี การกลั่นความรู้สึกเขียนมันออกมาทำให้คุณกลายเป็นคนไม่จับจด และพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น

8) ท่องเที่ยวให้มากขึ้น

ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบอุดอู้อยู่ในบ้าน มันอาจจะเป็นการดีกว่าที่คุณไปในที่ไม่เคยไป ไปหาประสบการณ์แปลกใหม่ในการเดินทาง ทำให้เรื่องราวการเดินทางเหล่านั้นเป็นที่น่าประทับใจและจดจำ แน่นอนว่าอาจจะเสียเงินมากกว่าอยู่ในบ้าน แต่การเดินทางท่องเที่ยวทำให้คุณสกิลการดำเนินชีวิตเพิ่มไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นด้านการวางแผนการเดินทาง การรู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า มิตรภาพใหม่ๆ มุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไป และอาจได้ไอเดียใหม่ๆในการมทำธุรกิจที่ทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยน

9) ดื่มน้ำตอนตื่นนอนและก่อนนอน

แน่นอนว่าการดื่มน้ำเป็นเรื่องดีสำหรับร่างกายอยู่แล้ว แต่การดื่มน้ำก่อนเข้านอนจะทำให้เลือดของคุณไหลเวียนได้ดีขึ้น ช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายของคุณ และถ้าคุณดื่มน้ำในตอนเช้าจะทำให้ระบบการขับถ่ายของคุณดีขึ้น นอกจากนี้การดื่มน้ำยังทำให้ผิวพรรณคุณเปล่งปลั่งและชุ่มชื้นอีกด้วย เป็นพฤติกรรมง่ายๆที่คุณทำได้ที่บ้านและทำให้คุณหันมารักและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

10) เลิกกังวลว่าคนอื่นคิดกับคุณอย่างไร

คุณไม่สามารถทำให้ทุกคนในโลกนี้ชอบคุณได้ และสิ่งต่างๆทีเกิดขึ้นก็เป็นปัจจัยภายนอกที่คุณไม่สามารถควบคุมได้เลย การใช้เวลาและพลังงานมานั่งคิดถึงภาพลักษณ์และคิดแต่ว่าคนอื่นมองคุณยังไง คิดกับคุณแบบไหน ทำให้คุณเสียพลังชีวิตโดยใช่เหตุ ทำให้ชีวิตคุณไม่มีความสุขกลายเป็นคนไม่มั่นใจ การที่เป็นตัวของตัวเองและเลิกคิดแทนคนอื่นจะทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น และอาจเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของคุณเลยทีเดียว

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

15 สิ่งที่คนเข้มแข็งมักคิดและทำกัน

คนเราเมื่อเจอเรื่องราวที่ทำให้เกิดการสะเทือนใจไม่ว่าจะเป็นการโดนบอกเลิก การโดนไล่ออก ล้มเหลวทางธุรกิจ สุขภาพแย่ สอบตก หมุนเงินไม่ทัน ทะเลาะกับเจ้านาย มีปัญหากับเพื่อนหรือครอบครัวหรืออื่น ๆ คือ สิ่งที่มนุษย์เราต้องเจอในชีวิตอยู่แล้ว แต่เรื่องเล็กๆของคนๆหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ของอีกคนก็ได้

การล้มลงเมื่อเจอปัญหาไม่ใช่เรื่องผิด

แต่ที่ผิดคือการหนีปัญหาและไม่ยอมลุกขึ้นมาแก้ปัญหาต่างหาก

หากคุณคือหนึ่งในคนที่เจอแต่ปัญหา และรู้สึกอ่อนแอเหลือเกิน บทความนี้จะทำให้คุณเรียนรู้วิธีการคิดและการปฎิบัติจากคนที่เข้มแข็ง  ไม่ใช่ว่าพวกเขาเจอปัญหามากกว่าคุณ พวกเขาถึงเข้มแข้งกว่าคุณ และไม่จำเป็นที่ต้องเจอปัญหาเยอะถึงจะกลายเป็นคนเข้มแข็ง เพียงแค่คุณเปลี่ยนวิธีคิด มุมมอง และการจัดการปัญหาดังนี้

1. ก้าวไปข้างหน้า

พวกเขาไม่เสียเวลาแม้แต่น้อยมานั่งคิดวกไปวนมากับสิ่งที่เกิด ทำไมต้องเกิดกับเรา หรือรู้สึกผิดเสียใจมากจนไม่เป็นอันทำอะไร พวกเขาแค่เผชิญความจริงและกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า

2. พวกเขายอมรับความเปลี่ยนแปลง

พวกเขาไม่ยอมให้สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ชีวิตเขาแย่ลง พวกเขายอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ รวมถึงยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขามีความคิดใหม่ๆว่านี่คือโอกาสและโจทย์ใหม่ของชีวิตที่พวกเขาต้องผ่านมันไปให้ได้

3. พวกเขายังคงมีความสุขในทุกๆสถานการณ์

ไม่ว่าอะไรจะเกิดกับพวกเขา พวกเขายังคงยิ้มได้ พวกเขาไม่ยอมสูญเสียเวลาหรือพลังไปกับเรื่องที่พวกเขาควบคุมไม่ได้

4. พวกเขาพร้อมเสี่ยง

พวกเขาพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่และยินดีที่จะแบกรับความเสี่ยงกับเรื่องใหม่ๆ โดยที่พวกเขาคิดทุกครั้งก่อนที่ลงมือทำ ถึงแม้ว่าพรอ้มที่จะเสี่ยงแต่ไม่ใช่ใช้ความมุทะลุในการตัดสินใจ ในแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นต้องไตร่ตรองอย่างดีก่อนที่จะตัดสินใจทำ

5. พวกเขาอยู่กับปัจจุบัน

พวกเขาไม่จมปลักอยู่กับอดีต ไม่โทษคนอื่น ไม่โทษตัวเอง และพร้อมที่จะให้อภัยตัวเองในการเริ่มต้มใหม่อีกครั้ง พวกเขาใช้พลังงานทั้งหมดอยู่กับปัจจุบันและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด โดยไม่แคร์อดีตและไม่ต้องพะวงมากถึงอนาคต เมื่อทำปัจจุบันให้เต็มที่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างในอนาคตย่อมดีเสมอ

6. พวกเขายอมรับอดีต

พวกเขายอมรับความผิดพลาดในอดีตเป็นบทเรียน ตั้งสติ และจดจำมัน พวกเขาจะแก้ไขมันและทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ไม่ทำอะไรที่ซ้ำรอยเดิม พวกเขากล้าตัดสิ่งที่ทำให้ชีวิตพวกเขาแย่ลง แม้แต่ความสัมพันธ์ที่ผูกพันมานาน

7. พวกเขาเป็นคนตรงไปตรงมา

พวกเขารู้จักความยุติกรรม เป็นคนแฟร์ๆในทุกเรื่องของชีวิต ถ้ามีอะไรไม่สบายใจพวกเขาก็พูดออกมาตรงๆ ไม่ใช่อมพะนำหรือไปตัดพ้อทีหลัง

8. พวกเขายินดีกับผู้อื่น

บ่อยครั้งที่พวกเขายินดีกับการประสบความสำเร็จของคนอื่นๆ พวกเขาไม่คิดอิจฉาริษยาหรือทำลายชื่อเสียงคนอื่น การยินดีจากใจด้วยความจริงใจจะทำให้ได้กัลยามิตรและพารท์เนอร์ดีๆเพิ่มขึ้นในอนาคต

9. พวกเขารู้จักรอ

ทุกครั้งไม่ว่าทำอะไร พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ทันทีทันใดในสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขารู้จักการอดทนรอและปล่อยให้มันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ

10. พวกเขาคิดบวก

ความคิดของพวกเขาทรงพลัง และมีประสิทธิภาพ การเชื่อมั่นว่าสิ่งดีๆจะเกิดขึ้น สิ่งดีๆกำลังจะมา ทำให้พวกเขาเห็นทางออกในทุกๆสถานการณ์ ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน

11. พวกเขาคิดทบทวน

ในทุกๆวันก่อนนอน พวกเขาเหล่านั้นจะคิดว่าวันนี้ได้ทำอะไรมาบ้าง วันนี้ทำอะไรสำเร็จบ้าง และอะไรที่เป็นอุปสรรค หรือปัญหา แล้วจะสามารถแก้ไขได้อย่างไร

12. พวกเขายอมรับในความล้มเหลว

พวกเขาไม่ยอมแพ้ในโชคชะตา หลังจากที่พวกเขาแพ้และล้มลง พวกเขาพร้อมที่จะลุกขึ้นในวันรุ่งขึ้น พวกเขารู้ว่าอะไรคือบทเรียน อะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาล้มลงและพวกเขาจะแก้ไขมันอย่างไร

13. พวกเขามีความสุขกับการอยู่คนเดียว

การอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องแย่ และคุณไม่จำเป็นต้องกลัวการอยู่คนเดียวเลย มันเป็นการดีด้วยซ้ำที่คุณจะมีเวลารู้จักตัวเองมากขึ้น และนี่คือวิถีที่คนเข้มแข็งมักปฎิบัติ

14. พวกเขารู้จักการจัดการความคิดของตัวเอง

พวกเขาจะเสียเวลากับความคิดแย่ การคิดลบ ความคิดที่ไม่สร้างสรรค์ บ่อนทำลายความรู้สึกตัวเอง และคนรอบข้าง พวกเขารู้วิธีการยับยั้งไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในหลุมพรางนั้น ถ้าพวกเขากำลังรู้สึกแย่พวกเขาจะมีสติรู้ตัวและหาอย่างอื่นทำ

15. พวกเขาเชื่อมั่น

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขามีความหวังและเชื่อมั่นในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง พวกเขาท้อได้แต่ไม่เคยหมดหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น พวกเขาเชื่อใน Core Value ของตัวเอง  เมื่อความเชื่อเป็นตัวกำหนดทัศนคติ การกระทำและพฤติกรรมทุกอย่างจึงเป็นไปตามความคิดของเรา และเปลี่ยนแปลงให้เราเป็นคนที่เข้มแข็ง พร้อมที่จะเผชิญกับทุกๆปัญหาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่

เรียบเรียงโดย Bella – Learning Hub Thailand

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save