7 วิธี เพิ่มความมั่นใจ ทำอะไรก็สำเร็จ

6

           ความมั่นใจเป็นสิ่งที่สำคัญมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการทำงาน ด้านการศึกษา หรือเรื่องการดำเนินชีวิต หากเรามีความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตัวเองแล้วล่ะก็ความสำเร็จอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ความมั่นใจนั้นไม่ใช่ว่าทุกคนจะมี บางคนขาดความมั่นใจในตัวเองจนพลาดอะไรไปหลายอย่าง แต่อย่าเพิ่งเครียดไปค่ะเพราะความมั่นใจสร้างได้ 

          วันนี้ Learning Hub Thailand  มีวิธีการเสริมสร้างความมั่นใจเพื่อคว้าความสำเร็จที่ตัวคุณหมายปองมาได้อย่างไม่ยากมาฝากกันค่ะ เรามาลองดูกันเลย 

 1.เชื่อมั่นและทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง

          แน่นอนค่ะเราทุกคนย่อมมีความคิดเป็นของตัวเองแต่ประเด็นก็คือเราจะเชื่อมั่นได้ตลอดรอดฝั่งไหมว่าความคิดที่เรามีนั้นถูกต้อง 

          นี่คือประเด็นที่ยากที่สุดในข้อนี้ค่ะ บางทีเราอาจจะโดนคนรอบข้างขัดแย้งความคิดของเราจนเราไขว้เขวไป แต่คุณต้องลองดูก่อนนะคะว่าความคิดเห็นนั้นมีเหตุผลไหมและเหตุผลของเราแข็งเพียงใด  

          หากมีเหตุผลที่แข็งและแน่นพอ รับรองว่าทุกคนจะต้องรับความคิดเห็นของคุณไปพิจารณาแน่ๆ ค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพอเรามีเหตุผลแล้วก็เถียงหัวชนฝาเลยนะคะ เรียกว่ายอมประนีประนอมโดยใส่ความคิดเห็นของตัวเองเข้าไปด้วยโดยคิดว่าเป็นการเสริมความคิดของเราให้ไร้ที่ติมากขึ้นไปอีกก็ได้ค่ะ 

 2.ยอมรับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้

          มนุษย์ทุกคนย่อมเคยทำผิดพลาดค่ะ แต่ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะสามารถรับข้อผิดพลาดของตัวเองได้ เราขอแนะนำว่าคุณต้องเข้าใจว่าคุณสามารถทำผิดพลาดได้ คุณสามารถตัดสินใจผิดพลาดในชีวิตได้แต่ว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเสียความมั่นใจไม่ได้ 

          คุณอาจจะรู้สึกเสียความมั่นใจไปเลยเมื่อรู้ตัวว่าตัดสินใจพลาดและอาจจะทำให้ตัวเองหรือคนอื่นเดือดร้อนและโดนต่อว่า นั่นอาจทำให้คุณไม่กล้าตัดสินใจอะไรอีก มันไม่ผิดหรอกค่ะที่คุณจะรู้สึกแบบนั้น 

          แต่ท้ายที่สุด คุณต้องทำใจยอมรับและดึงความมั่นใจของตัวเองกลับคืนมา โดยโยนคำวิจารณ์ทิ้งไปซะเพราะว่าอย่างที่บอกไปว่ามนุษย์ทุกคนย่อมเคยทำพลาดแต่ก็ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนพลาดแล้วจะต้องผิดพลาดไปตลอดนะคะ  

 3.เรียนรู้จากข้อผิดพลาด

         ข้อนี้ขอแยกจากข้อที่แล้วเพราะไม่อยากจะจำกัดว่าข้อผิดพลาดที่คุณจะต้องเรียนรู้และนำไปพัฒนาปรับปรุงในอนาคตมีเพียงแค่ความผิดพลาดที่ตัวคุณก่อขึ้น แต่อยากจะให้คุณนำข้อผิดพลาดของคนอื่นมาปรับปรุงตัวเองเช่นกันค่ะ 

         ข้อนี้เกี่ยวข้องกับความมั่นใจอย่างไร แน่นอนว่าหากเรียนรู้ข้อผิดพลาดนั้นและนำมาเป็นบทเรียนแล้ว เมื่อเราจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่งเราก็สามารถนำข้อมูลนั้นมาประกอบเหตุผลในการตัดสินใจของเราได้ ทำให้เรามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นค่ะ 

         โดยการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ของเราทั้งนั้น คุณควรมองทุกอย่างอย่างเป็นเหตุเป็นผลและมั่นใจในความเป็นจริงที่คุณสามารถรับรู้และสัมผัสได้ 

 4.รู้จักจุดแข็งของตนเองและเสริมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

          ข้อนี้มีชื่อเรียกแสนจะไฮโซว่า SWOT Analysis หรือการวิเคราะห์จุดแข็งของตัวเอง เมื่อก่อนเคยมีคนบอกว่าเราควรจะวิเคราะห์จุดอ่อนของเราและลองแก้ไขมันให้ได้ แต่จริงๆ แล้วตอนนี้เรื่องจุดอ่อนไม่ใช่เรื่องที่ต้องโฟกัสอีกต่อไปแล้วค่ะ 

         ก่อนอื่นต้องมาดูกันว่าคุณมีจุดแข็ง (หรือจะเรียกว่าจุดขายก็ได้นะคะ) คืออะไรและเสริมจุดแข็งนั้นให้แกร่งยิ่งขึ้น  ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจมีจุดอ่อนเรื่องการคำนวณแต่เก่งภาษา คุณก็ฝึกภาษาให้แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก เอาให้ฝรั่งยังต้องร้องขอชีวิต หรือไม่ก็ฝึกภาษาที่สามไปเลยค่ะเก๋ๆ สิ่งนี้จะช่วยในการเสริมความมั่นใจให้แก่คุณได้มากขึ้นค่ะ 

 5.ลองดูว่าคุณประสบความสำเร็จอะไรในชีวิตไปแล้วบ้าง

        หัวข้อนี้คุณอาจต้องใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์สักหน่อย แต่รับรองค่ะว่าคุณจะได้ความมั่นใจกลับมาอีกเต็มๆ เพราะว่าสาเหตุของความไม่มั่นใจนั้นอาจเกิดจากคุณไม่รู้ว่าคุณเองมีความสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือคุณสร้างประโยชน์อะไรได้บ้าง 

        คุณอาจเคยสอบได้ที่สามของห้องหรืออาจเคยเสนอไอเดียเพื่อทำโปรเจคจนสำเร็จอย่างสวยงาม สิ่งดีๆ ที่คุณอาจเคยมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยนี้แหละค่ะ เมื่อมารวมกันแล้วมันกลายเป็นความมั่นใจที่ยิ่งใหญ่ได้นะคะ 

        การโฟกัสความสำเร็จของตัวเองไม่ว่าเล็กหรือใหญ่เป็นกิจกรรมเสริมความมั่นใจทางจิตวิทยาโดยการเพิ่มความเคารพตัวเองอย่างหนึ่งค่ะ  

 6.ตั้งจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนขึ้นมาในชีวิตซะเลย

         หากคุณยังมองว่าความสำเร็จที่คุณทำมามันยังไม่ค่อยโอเค คุณก็ลองตั้งเป้าหมายใหม่ขึ้นมาซะเลยซิ โดยไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเป้าหมายใหญ่เสมอไป คุณอาจจะเริ่มจากเป้าหมายเล็กๆ ก่อนก็ได้ค่ะ 

         คุณอาจมีเรื่องที่อยากทำมาตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ยังไม่มีเวลาหรือยังไม่สบโอกาสที่จะทำเสียที ตอนนี้ถึงเวลาที่คุณต้องตั้งเป้าหมายและทำมันอย่างจริงๆ จังๆ ยกตัวอย่างเช่นคุณอาจจะอยากลดน้ำหนักเพื่อร่างกายที่แข็งแรงและฟิตแอนด์เฟิร์ม ลองตั้งเป้าหมายเป็นด่านๆ ไป ลดน้ำหนักลงอย่างน้อย 1 กก. ใน 1 เดือนหรืออะไรประมาณนั้นโดยไม่ต้องกดดันตัวเองมากจนเกินไปก็ได้ค่ะ เรื่องทั่วไปแบบนี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้คุณ แล้วคุณจะสังเกตได้เลยว่าหากคุณตั้งใจทำอะไรแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่สำเร็จหรอก เชื่อสิ 

 7.ลองทำอะไรเองคนเดียวบ้าง

         หลายคนพอไม่ค่อยมีความมั่นใจก็ไม่กล้าทำอะไรคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการไปเข้าคอร์สงานฝีมือที่มีแต่คนแปลกหน้าเต็มไปหมดหรือเข้าสัมมนาในที่ที่ไม่มีมีคนรู้จักเลย 

         แต่รู้ไหมว่าหากคุณสามารถทำอะไรบางอย่างสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียวจะช่วยเสริมความมั่นใจของคุณได้ล้นหลาม รับรองว่าคุณจะรู้สึกพึงพอใจในตัวเองเป็นอย่างมากและจะเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเลยละค่ะ  

         คุณต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับคนอื่นตลอดเวลา  คุณสามารถทำงานเป็น Teamwork ได้และต้องดีพอๆ กับการฉายเดี่ยว เราเชื่อว่าคุณเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่งแต่ความสามารถเหล่านั้นจะไม่มีวันฉายแสงเลยหากคุณไม่มีความมั่นใจในความสามารถของคุณเอง 

         ไม่ว่าจะเป็นคนดังและประสบความสำเร็จมามากมายขนาดไหนล้วนผ่านช่วงเวลาที่ไม่มั่นใจมาก่อนทั้งนั้น เราอาจจะเห็น Naomi Campbell เดินอย่างมาดมั่นด้วยท่วงท่าที่แสนจะ Strong หรือจะเป็นพิธีกรสาวที่กลายเป็นตำนาน Talk show อย่าง Oprah Winfrey  พวกเธอก็ล้วนเคยผ่านความไม่มั่นใจในตัวเองอันเนื่องมาจากอดีตอันแสนโหดร้ายและคำวิจารณ์ที่รุนแรงมาแล้วทั้งนั้น  

แต่พวกเธอก็สู้ต่อไปจนได้มาเป็นผู้มีอิทธิพลในสายอาชีพของเธอเอง Learning Hub Thailand ขอส่งกำลังใจให้คุณเพื่อเสริมความเชื่อมั่นและคว้าความสำเร็จมาไว้ในมือให้ได้ค่ะ  

 เรียบเรียงโดย ไพรินทร์ – Learning Hub Team 

 

Categories EQ

4 ขั้นตอนใช้จัดการ เมื่อมีใครทำให้คุณโกรธ

ภ เทคนิคจัดการ เมื่อใครทำให้คุณโกรธ

ในแว่บแรกเมื่อมีใครสักคนทำให้คุณไม่พอใจ โกรธ เจ็บปวด คุณคงคิดที่จะตอบโต้ หรือหาทางแก้แค้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อม ผมเองก็เป็นเช่นนั้น

มันเป็นปฏิกริยาโต้ตอบที่เป็นอัตโนมัติของมนุษย์ ถ้าสู้ได้ก็ลุย ถ้าดูแล้วสู้ไม่ได้หรือไม่เหมาะสม ก็ค่อยหาทางแก้แค้นวันหลัง สัญชาตญาณนี้มันถูกฝังอยู่ส่วนลึกสุดของสมองของเรา คงยากที่จะปฏิเสธได้

แต่ทุกๆครั้งที่ผมคิดแก้แค้น ตอบโต้ หรืออยากทำสิ่งร้ายๆกับใครสักคน ผมพบว่า ความโกรธแค้น เหล่านั้น ไม่ได้ลดลงไป แต่มันกลับกัดกินในใจหนักกว่าเดิม ผมจึงค่อยเริ่มเข้าใจว่า…

“ศัตรูที่ต้องจัดการไม่ใช่คนที่ทำให้เราเจ็บ แต่เป็นความโกรธเกลียดในใจของเราต่างหาก”

ต่อไปนี้เป็น 4 ขั้นตอนที่ผมใช้จัดการอารมณ์ และจิตใจของตัวเองเวลาโกรธ ซึ่งผมเรียกมันว่า Inner Listening หรือ การรับฟังเสียงภายใน

1.รับรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น

เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่พอใจ เรามักกระโจนไปสู่วิธีการจัดการ สมองคิดจากอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน นั่นทำให้เราคิดไปสารพัด ถึงสิ่งไม่ดีของอีกฝ่าย ที่เราได้รับรู้มาตลอด เรียกว่า ยิ่งคิดยิ่งแค้น

“เมื่อไม่พอใจ ให้รับรู้อารมณ์ อย่าจมอยู่กับความคิด”

สิ่งแรกที่เราควรทำ จึงควรเป็นการกลับมารับรู้อารมณ์ของเรา ว่ากำลัง หงุดหงิด โกรธ ไม่พอใจ มากแค่ไหน มองดูตัวเองเหมือนว่าเราดูหนังบู๊สักเรื่องหนึ่งอยู่ ว่าพระเอกกำลังฉุนได้ที่เลย

การรับรู้อารมณ์อาจจะไม่ง่ายนักในช่วงแรก อาจฝึกจากการรับรู้ร่างกายก่อน เช่น สังเกตเห็นความร้อนผ่าวของเลือดที่สูบฉีดขึ้นหน้า รับรู้ถึงลมหายใจฟืดฟาดที่รุนแรง อาการเกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย นั่นทำให้เรารับรู้ตัวเองได้มากขึ้น


2. ยอมรับอารมณ์นั้น

หลายครั้งเมื่ออารมณ์ขึ้น เราจะไม่ยอมให้มันอยู่ในตัวเรา เราจะระบายอารมณ์ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ระบายออกด้วยการขว้างปาข้าวของ ปิดประตูเสียงดัง บีบแตรเสียงดัง ตะโกนดังๆ แต่นั่นไม่ใช่วิธีทำให้อารมณ์ลดลง

บางคนทำตรงข้าม พยายามควบคุมอารมณ์ ระงับมันด้วยการเก็บกดเอาไว้ แต่คนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นคนขี้บ่น ขี้ฟ้อง ขี้น้อยใจ เจ้าคิดเจ้าแค้น หรือไปออกอาการโวยวายกับคนใกล้ตัวแทน

เราไม่ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ เพราะอารมณ์นั้น ควบคุมไม่ได้

“ยิ่งใช้อารมณ์ มันจะยิ่งบานปลาย เราแค่ยอมรับมันให้ได้ก็พอ”

เริ่มจากขั้นที่ 1 คือ รับรู้ว่าเรามีอารมณ์ จากนั้นก็ยอมรับให้อารมณ์เหล่านั้นแสดงตัว แล้วค่อยๆเห็นมันเปลี่ยนแปลงไปเอง ตามธรรมชาติ

โอบอุ้มอารมณ์ ให้เหมือนเราอุ้มทารกน้อย ให้อยู่ในอ้อมกอดของมารดา เมื่อเวลาผ่านไป อารมณ์โกรธนั้นจะค่อยๆลดลงเอง โดยที่เราไม่ต้องไปจัดการใดๆเลย


3. สำรวจความต้องการ

แม้ว่าอารมณ์ลดลงแล้ว แต่ปัญหาและคู่กรณีที่ค้างคา ยังแก้ไขไม่ได้ หลายคนพยายามแก้ปัญหา ด้วยการคิดบวก มองในด้านดีของคนๆนั้น หรือหาข้อดดีอื่นๆมาชดเชย

บางทีก็พยายามหาวิธีคิดใดๆ มาปลอบใจตัวเอง บอกกับตัวเองว่า มันคงเป็นกรรมเก่าละมั้ง เจ้ากรรมนายเวรเก่าละสิ ดวงตกมั้ง ฟาดเคราะห์ไปละกันเรา

การคิดบวก มันช่วยเราได้แค่เพียงชั่วคราว เพราะในส่วนลึก เราก็ยังไม่โอเค เราอาจหลอกคนอื่น ฝืนยิ้มได้ ทำว่าตอนนี้ชีวิตดี๊ดี แต่เราหลอกข้างในของตัวเองไม่ได้แน่นอน

บางคนพยายามหาทางที่จะลืม ด้วยการไปหาของกินอร่อยๆ ไปช้อปปิ้งของสวยๆ หรือไปกินเหล้าย้อมใจให้ลืมเธอ นั่นก็ไม่ใช่วิธีทำให้ปัญหาหมดไป (ส่วนใหญ่จะเพิ่มปัญหาใหม่ๆเข้ามา)

“สิ่งที่แย่กว่าในการพยายามลืม คือมันจะยิ่งจำฝังแน่นขึ้นอีก”

วิธีการแก้ปัญหาขั้นที่ 3 คือ เมื่ออารมณ์ลดลงแล้ว คือการกลับมาคุยกับตัวเอง ด้วยการ “สำรวจความต้องการ” ที่อยู่ลึกๆในใจเรา

ลองหากระดาษว่างๆ นั่งเขียนทบทวนตัวเองว่า สาเหตุที่เราโกรธ ไม่พอใจ คนๆนั้นเค้าทำอะไรที่ขัดกับ “คุณค่า” ที่เรายึดถือ หรือสวนทางกับ “ความต้องการ” ในขณะนั้นของเรา

เขียนมาให้ชัด ว่าลึกๆแล้ว เราต้องการอะไร และถ้าเป็นไปได้ ลองพิจารณาด้วยว่า อีกฝ่ายกำลังต้องการอะไร จากเหตุการณ์นั้นๆด้วย


4. สื่อสารด้วย I Statement

หลายครั้งเมื่อเราได้กลับมาทบทวน จะพบว่า ความขัดแย้งต่างๆเกิดขึ้นเพียง การยึดถือคุณค่าที่ต่างกัน หรือมีความต้องการที่กันเท่านั้นเอง

หากเรารู้ความต้องการที่ชัดเจนของเราแล้ว อย่างน้อยก็จะเจอทางออกจากปัญหาได้ง่ายขึ้น

นี่แหละที่มีคำกล่าวว่า “เมื่อเจอปัญหา แล้วหาทางออกไม่ได้ ให้ไปออกที่ทางเข้า” ก็คือการกลับไปย้อนดูว่าทางเข้า หรือจุดเริ่มของปัญหาคือ ความต้องการ หรือคุณค่าใด ที่ไม่ตรงกันนั่นเอง

เมื่อเรารับรู้อารมณ์ ดูแลมันได้แล้ว เราสามารถมองเห็นความต้องการของตัวเองชัดเจน ก็ถึงเวลาสำคัญ คือขั้นตอนในการสื่อสารกับอีกฝ่าย

หลายๆคนคงเคยเรียนเรื่อง เทคนิคการพูดเจรจาต่อรอง การใช้วาทะศิลป์ในแบบต่างๆ แต่ผมพบว่าเทคนิคเหล่านั้น มันจะไม่ได้ผลเลย ถ้าหากคุณไม่สามารถพูดมันออกมาจากใจที่แท้จริง

การพูดจากใจที่แท้จริง คือ “การสื่อสารที่ความรู้สึก และความต้องการของเราตรงๆ”

ผมจะเรียกว่า เทคนิค I Statement คือ พูดจากตัวเรา ไม่ใช่กล่าวโทษอีกฝ่าย ไม่ใช่การสื่อสารด้วยความคาดหวัง หรือบอกวิธีการที่เราต้องการให้อีกฝ่ายทำ มาดูตัวอย่างต่อไปนี้

เหตุการณ์ที่ 1: เจ้านาย ต้องการจะตักเตือนลูกน้องที่ทำงานบกพร่อง

คุณเคยคิดบ้างมั้ยกับสิ่งที่ทำลงไป ผมหวังว่าคราวหลังคุณควรจะคิดให้ถี่ถ้วนกว่านี้ (กล่าวโทษ)

ผมรู้สึกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมต้องการหาวิธีที่เราจะแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน  (I Statement)

เหตุการณ์ที่ 2: อยากจะบอกตรงๆว่า ไม่ชอบนิสัยบางอย่างของเพื่อนร่วมงาน

อย่ามาทำนิสัยแบบนี้กับฉันได้มั้ย เป็นใครก็ไม่ชอบ ทำไมไม่คิดถึงใจคนอื่นซะบ้าง (กล่าวโทษ)

ฉันรู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจ ฉันต้องการความเคารพเท่าเทียม ในฐานะเพื่อนร่วมงาน (I Statement)

เหตุการณ์ที่ 3: ภรรยา รู้สึกน้อยใจ กับบางพฤติกรรมของสามี

ทำไมต้องบ่นต้องว่าฉันตลอด ใช่สิ ฉันมันไม่ได้เป็นที่คุณหวังไว้ ฉันคงไม่ดีพอสำหรับคุณ (กล่าวโทษ)

ฉันรู้สึกเสียใจและน้อยใจ ฉันต้องการการยอมรับ และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรา (I Statement)

สรุปจากกรณีตัวอย่าง

การใช้ I Statement ต้องอาศัยการฝึกฝน เพราะเป็นสิ่งที่ฝืนกับนิสัยตอบโต้ ซึ่งเป็นอัตโนมัติของเรา แม้ว่าการใช้ I Statement อาจจะยังไม่รู้ว่า หลังจากนั้นอีกฝ่ายจะตอบกลับมาอย่างไร จะออกหัวหรือออกก้อย แต่อย่างน้อยมันก็เปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยที่ลงลึกมากขึ้น

มันจะไม่ทำให้อีกฝ่าย “ปกป้องตัวเอง” หรือ “การโต้ตอบที่รุนแรง” เพราะเราเป็นฝ่ายลดกำแพงลงและเปิดใจตัวเองออกไปแล้วนั่นเอง


คุณคงเคยตอบโต้กับเหตุการณ์ หรือผู้คนด้วยอารมณ์ ด้วยความรวดเร็ว คุณจะพบว่าหลายๆครั้งแล้ว แทนที่มันจะดีขึ้น มันกลับยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม นั่นเป็นเพราะอะไร

“คนขาดสติ ย่อมไม่อาจคิดอ่าน ที่จะจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม”

การฟังเสียงในใจ หรือ Inner Listening ก็คือการกลับมามีสติ รู้สึกตัวและใช้ปัญญาในการใคร่ครวญตัวเอง ก่อนที่จะสื่อสารออกไป

การแก้ปัญหาได้ที่ต้นเหตุ ก็คือ เริ่มจัดการกับตัวเอง ก่อนที่จะจัดการกับคนอื่น

4 ขั้นตอนนี้ ไม่ได้ใช้เวลานาน ถ้าได้รับการฝึกฝนมาบ้าง ก็จะทำได้อย่างง่ายขึ้น

หากเพียงอ่านบทความนี้จบ อาจจะยังทำทั้ง 4 ขั้นตอนไม่ได้ทันที แต่อย่างน้อย เตือนตัวเองสักนิด ในครั้งหน้าเมื่อเราเริ่มอารมณ์ขึ้น ขอให้เราฝึกที่จะรับรู้อารมณ์ตัวเองให้ทัน

หยุดยั้งตัวเองแล้ว “ขอเวลานอก” ออกมาก่อนจะเหตุการณ์มันจะบานปลายรุนแรง

เมื่อเรามีเวลาได้อยู่กับตัวเอง การใช้เทคนิค “ฟังเสียงภายใน” ก็จะช่วยให้เราคลี่คลายสถานการณ์ในใจได้ดีขึ้นเอง และการสื่อสารหลังจากนั้น ก็จะเป็นเรื่องง่ายขึ้นอย่างมาก

บทความโดย อ.เรือรบ ผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาการสื่อสาร และโค้ชนักเขียนมือโปร


สำหรับคนที่อยากแก้ปัญหาความขัดแย้งในความสัมพันธ์ ปัญหาการสื่อสารในการทำงาน โดยใช้เทคนิคการ “ฟังเสียงภายในตนเอง Inner Listening” ผมกำลังจะมีคอร์สที่ลงลึกในเรื่องนี้

วันที่ 9 ก.ค.นี้ หลักสูตร “ทักษะการสื่อสาร สำหรับผู้บริหารยุค AEC” โดย เรือรบ คลิกดูรายละเอียดได้ที่นี่ 

 

 

หลักคิด เพื่อมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน

7

       คนเรามักใช้จินตนาการกันอย่างฟุ่มเฟือย จนหลายครั้งจินตนาการก็กลายเป็นความฟุ้งซ่านที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ถ้าสังเกตให้ดี เราจะพบความสัมพันธ์ระหว่างจินตนาการกับเวลาเพราะขณะที่เรากำลังจินตนาการ จิตใจของเราจะอยู่กับอดีต

      หรือไม่ก็อนาคตแต่ถ้าอยู่กับปัจจุบัน จินตนาการจะไม่สามารถแทรกตัวเข้ามาได้ เพราะจิตไม่มีช่องว่างใดๆให้คิดปรุงแต่งนัก และนี่คือหลักการง่ายๆ ของการทำสมาธิ หรือการเจริญสติ

         สมาธิ คือ การอยู่กับปัจจุบัน กำหนดลมหายใจอยู่กับสิ่งที่ทำ ให้รู้ถึงความเคลื่อนไหวของมัน ไม่ว่าจะขยับมือ รับประทานอาหาร ยืน เดิน หรือกระทำสิ่งใดๆ คนที่อยู่กับปัจจุบัน จะพูดว่า ทำงาน เพื่อ ทำงานแต่คนที่อยู่กับอดีตและอนาคตจะบอกว่า ทำงาน เพื่อ…ความสุขบ้าง

เพื่อ…ความสำเร็จบ้าง

เพื่อ…ความก้าวหน้าบ้าง 

เพื่อ…ความฝันบ้าง

เพื่อ…ความรักบ้าง

       การอยู่กับสิ่งใดที่ไม่ใช่ปัจจุบัน คือ การเปิดพื้นที่ให้กับความคาดหวัง กิเลส และความต้องการเข้ามาแทรก และนั่นก็เป็นที่มาของความฟุ้งซ่านนั่นเอง

       “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด”  เราคงเคยได้ยินประโยคนี้บ่อยๆ ระยะหลังๆ มักมีผู้ต่อเติมให้สมบูรณ์ขึ้นว่า… “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วอนาคตจะดูแลตัวมันเอง” เพราะอดีต เป็นเพียงภาพสะท้อนจากความทรงจำ ที่อาจมีการปรุงแต่งเพิ่มเติม ส่วนอนาคตยังไม่เกิดขึ้น เป็นเพียงเงาจากจินตนาการ ที่ไม่เคยมีอยู่ ดังนั้น สิ่งที่ควรให้ความสำคัญที่สุด  ก็คือ เวลา ณ ขณะนี้”

“กิน เพื่อ กิน”

“ทำ เพื่อ ทำ”

“ดู เพื่อ ดู” ทำสิ่งใด เพื่อสิ่งนั้น

เพื่อปัจจุบันอย่างแท้จริง!!!

บทความโดย

พศิน อินทรวงค์

ติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/talktopasin2013

 

5 วิธี เพิ่มพลังทวี เรียกโชคดีให้ชีวิต

8

         เป็นที่รู้กันว่าเรื่องโชคชะตาดีร้ายดีมักไม่เข้าใครออกใคร แต่รู้หรือไม่ค่ะว่า “ตัวเราเอง” ก็เป็นศูนย์กลางเพื่อเรียก “ความโชคดี” เหล่านั้นได้  

         ในเรื่องของความโชคดี แต่ละศาสตร์ก็จะมีความเชื่อต่างกันไป เช่น ลัทธิเต๋า มีความเชื่อเรื่องหยิน-หยาง เป็นพื้นฐานศาสตร์แห่งความสมดุล มีอิทธิพลต่อสุขภาพ รวมถึงความสมดุลของชีวิตของคนเราด้วย หากใครมีหยิน – หยางไม่สมดุลอาจทำให้ป่วยได้หรือความเชื่อของคนไทย ก็มีวิธีสะเดาะห์เคราะห์ ปัดโชคร้ายปัดรังควานสิ่งไม่ดีออกไป เพื่อให้ชีวิตมีพื้นที่ว่าง รอต้อนรับสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเข้ามา

        และถ้าคุณกำลังหดหู่ ไม่สดใส รู้สึกช่วงนี้ดวงซวยแบบไร้สาเหตุ Learning Hub Thailand  มี 5 วิธีเพิ่มพลังและเรียกโชคมาฝากค่ะ อยากรู้ว่าจะได้ผลมั้ย ชีวิตจะโชคดีขึ้นแค่ไหน คุณเท่านั้นที่จะสัมผัสผลลัพธ์นั้นเอง

1.หมั่นสร้างอารมณ์บวกให้กับตัวเอง

               คนโชคดี สร้างชะตากรรมของพวกเขาขึ้นมาเอง

                                                          ศาสตราจารย์ริชาร์ด ไวส์แมน นักจิตวิทยา

            ศาสตราจารย์ริชาร์ด ไวส์แมน ใช้เวลาในช่วงสิบปีศึกษาเรื่องความโชคดี แม้กลุ่มทดลองไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเกี่ยวกับโชคสักนิด แต่เชื่อมั้ยคะ ผลลัพธ์จากการทดลอง

พบว่า วิธีคิดและพฤติกรรมของคนเรา มีความสัมพันธ์อย่างมากกับความโชคดีหรืออับโชค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการได้รับโอกาส

            ผลวิจัยยังพบอีกว่า “คนโชคดี มีลักษณะนิสัยที่ผ่อนคลายและเปิดกว้างมากกว่า เห็นวิกฤตเป็นโอกาสมากกว่า ตรงข้ามกับคนอับโชค ที่มีนิสัยตึงเครียดอยู่บ่อยครั้ง  ซึ่งอารมณ์ลบๆ แบบนี้ล่ะ เป็นตัวขัดขวางไม่ให้พบเจอเรื่องดีๆ เพราะมัวแต่ไปเพ่งเล็งเรื่องแย่ๆ อยู่นั่นเองค่ะ

            แล้วคุณล่ะคะ? กำลังอยู่ในกลุ่มคนโชคดีหรืออับโชค?

2.เลือกใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส

ปี 2016 เป็นปีพลังธาตุไฟแรง

            ถ้าคุณ คือ หนุ่มเพลย์บอยหรือเหล่าแฟชั่นนิสต้าตัวยง คงเข้าใจเรื่องอิทธิพลของสี ที่มีต่ออารมณ์ของคนเราได้เป็นอย่างดี และปีนี้ก็เช่นกันค่ะ ซึ่งเป็นปีที่พลังธาตุไฟแรง ถ้าคุณอยากเพิ่มความมงคลโชคดีให้กับชีวิต แค่ลองเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส เช่น ส้ม แดง ซึ่งเป็นตัวแทนของธาตุไฟ ช่วยเสริมโชคด้านการเงิน หรือเน้นเครื่องประดับที่มีความแวววาวสักนิด เช่น แหวนเงิน แหวนทอง พลังของโลหะจะช่วยสลายพลังไม่ดีออกไปได้

3.พาตัวเองเข้าใกล้ “คนโชคดี”

      คนโชคดี มักมีมุมมองที่แตกต่างจากคนโชคร้ายเสมอ

            เคยมั้ยคะ? เห็นคนรอบข้าง หรือคนไกลตัวโชคดีอยู่บ่อยๆ แล้วคุณกลับมาหดหู่กับตัวเอง ขั้นตอนนี้อยากให้คุณมองข้ามตัวเองไปสักพัก แล้วเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตด้วยการพาตัวเองไปอยู่ใกล้คนโชคดีเหล่านั้น ไม่ใช่เพื่อให้ความโชคดีแผ่ออร่ามาถึง แต่เพื่อให้คุณได้ซึมซับทัศนคติ วิธีคิด มุมมองอื่นๆจากคนเหล่านั้น

           เมื่อคุณได้มุมมองใหม่ คุณจะเห็นโอกาสดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในแต่ละสถานการณืแบบที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อนก็เป็นได้ค่ะ

4.ติดอาวุธให้ตัวเอง

                                                         มีดยิ่งลับยิ่งคบ โชคดีเกิดจากการฝึกฝน

           บางคนอาจงงว่าอาวุธอะไรเหรอ อาวุธที่ว่า คือ ความรู้ค่ะ  หมั่นหาความรู้ พัฒนาทักษะที่คุณอยากฝึกหรือแนวที่คุณถนัดอยู่แล้ว ต่อยอดความรู้ไปอีก อย่าพอใจกับตัวเองในวันนี้ ใครอยากให้ตัวเองเชี่ยวชาญด้านไหนหรือถ้าเป็นเรื่องนี้เขาต้องนึกถึงเราก่อน

           ลองหาต้นแบบคนสำเร็จแบบนั้นดู ฝึกฝนวิทยายุทธตัวเองให้เก่ง เชี่ยวชาญมากขึ้น วันหนึ่งเมื่อคุณมีความสามารถ ประสบการณ์มากพอ เมื่อโอกาสมาเยือนคุณก็พร้อมจะยื่นมือออกไปคว้ามันไว้ แล้ววันนั้นคุณจะคิดว่า โชคดีนะที่เราเตรียมความพร้อม ฝึกทักษะตัวเองก่อน เพราะถ้ามีโอกาสดีดีมา แต่คุณเองที่ความสามารถยังไม่เข้าขั้น มันก็จบค่ะ เพราะโชคดีมาพร้อมกับคนที่เตรียมพร้อมค่ะ

5.คิดเสมอว่าคุณเป็นคนโชคดี

            กฎแรงดึงดูด เป็นกฎธรรมชาติ เหมือนกฎแรงโน้มถ่วง ฉะนั้น มันมีจริงแน่นอน

                                                                                                                         บัณฑิต อึ้งรังษี

            หากความโชคดี คือเรื่องธรรมชาติ การคิดเสมอว่าเราคือคนโชคดี ก็คือการคิดแบบ ธรรมชาตินั่นเองค่ะ แน่นอนว่าถ้าคุณมัวแต่เพ่งเล็งว่าตัวเองโชคร้าย  คุณก็จะพบเจอว่าตัวเองโชคร้ายอยู่ร่ำไป จนละเลยความโชคดีรอบๆ ตัว

            หลายครั้งเราเห็นนักธุรกิจที่บริษัทเจ๊งไม่เป็นท่า แต่สุดท้ายเค้ายังพลิกวิกฤติ ให้เป็นโอกาสได้ ไม่ใช่เพียงความไม่ยอมแพ้ของเค้า แต่นั่นแสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ของคนเรา ส่วนหนึ่งได้มาจากวิธีคิดของเราด้วย ดังนั้นให้เชื่อมั่นในใจเสมอว่า “ใครเจอเรา คนนั้นโชคดี”

โชคดีที่เขามีเพื่อนแบบเรา

โชคดีที่เขามีแฟนแบบเรา

โชคดีที่เขามีน้องแบบเรา

โชคดีที่เขามีพี่แบบเรา

เมื่อคุณเชื่อคุณจะลงมือทำตามสิ่งที่คุณเชื่อ

           คุณ คือ ผู้สร้างโชคดีให้เกิดขึ้น อย่ารอให้ใครหรืออะไรมีอิทธิพลกำหนดชีวิต หากคุณอยากเปลี่ยนแปลงโชคชะตา อย่าลืมคิดว่า “โชคนั้น” เป็นของคุณ และคุณสร้างมันขึ้นมาเองได้ ทุกที่ ทุกเวลา และทุกสถานการณ์ค่ะ …ขอให้โชคดีนะคะ

เรียบเรียงโดย Aris – Learning Hub Team

ที่มาข้อมูล

http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=2710&read=true&count=true

http://www.praew.com/26215/lifestyle/horoscope/fix-tips-2016/

http://home.sanook.com/8469/

3 สิ่งดีดี ที่ยิ่งทำให้คุณห่างไกล ความสำเร็จ

อะไรคือ 3 สิ่งดีๆ ที่ทำให้คุณยิ่งห่างไกลความสำเร็จ !

ต่อไปนี้คือ 3 สูตรแห่งความสำเร็จในยุคนี้ ที่ใครๆก็บอกกัน

ไปสัมมนาไหน ก็บอกให้หา Passion 
ลงเรียนคอร์สอะไร ก็บอกให้ ตั้งเป้าหมาย 
อยากสำเร็จใช่มั้ย กูรูบอกให้ มุ่งมั่นอดทน

ไม่มีอะไรผิดหรอก แต่บังเอิญผมใช้แล้วมันไม่ work ผมเริ่มธุรกิจอย่างตั้งใจและใช้เวลา 3 ปี พิสูจน์ว่า 3 สิ่งดีๆนี้ มันใช้ไม่ได้ผล ธุรกิจเกือบเจ๊ง

แต่พอมาตกผลึกตัวเองได้ ก็พลิกกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็ว บทความนี้ไม่อิงหลักการใดๆ ไม่รับประกันความถูกต้อง เพราะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ ผมแค่อยากแชร์ในอีกมุมมอง ว่าอะไรเป็นสูตรความสำเร็จ “ฉบับเรือรบ”

เรามาคุยถึงนิยามคำว่า “ความสำเร็จ” กันก่อน เพราะหลายๆคนอาจคิดไม่เหมือนกัน สำหรับผม ความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ทำได้ดีกว่าใคร ไม่ใช่แค่ ทำแล้วพออยู่ได้ ไม่ใช่แค่ ทำแล้วรวย แต่ต้องทั้งรวยและมีความสุขด้วย ถึงเรียกว่า “สำเร็จ” อย่างแท้จริง

ถ้าเห็นด้วยตามนี้ อ่านต่อครับ ว่าทำไม 3 สิ่งดีๆนี้ จึงทำให้คุณห่างไกลความสำเร็จ


1.ทำไม Passion ถึงไม่ช่วยให้คุณสำเร็จ?

Passion คือ การที่คุณรักและยังทำสิ่งนั้นอยู่ตลอด แม้ว่าคุณจะมีเงินล้นเหลืออยู่แล้ว หรือว่าคุณจะไม่ได้เงินจากมันเลยก็ตาม

จะเห็นได้ว่า การทำสิ่งที่รัก กับการทำเงิน มันคนละเรื่องกัน การหา Passion เจอ จึงไม่ได้ช่วยให้เราทำเงินได้เสมอไป

ดังนั้น สำหรับคนที่ต้องการความสำเร็จ แล้วยังค้นหา Passion อยู่ อยากให้เลิกกังวล เมื่อไม่รู้ว่าตัวเองรัก หรือถนัดอะไรกันแน่ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาค้นหานาน
         

แต่ให้เริ่ม “ลงมือทำ” อะไรก็ได้ เพื่อ “ล้มเหลว” ให้เร็วที่สุด

ผมตกผลึกได้ว่า “ต้องกล้าล้มเหลว” เพื่อจะได้ “เรียนรู้และปรับปรุง” เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ

ยิ่งเราทำมาก โอกาสเจอ Passion และสิ่งที่ถนัด (ที่ทำเงินได้) จะมากขึ้นเอง แต่ถ้าไม่เจอ เราก็จะเก่งขึ้น แล้วเอาทักษะนั้น ไปต่อยอดกับคนอื่นได้ต่อไป

หยุดเรียนเพื่อรู้ แล้วกระโดดลงไปเปื้อนโคลน เพื่อเรียนรู้ชีวิตจริง กันดีกว่าแนวคิดนี้ ทำให้ผมเป็นคนกล้า กล้าลองอะไรใหม่ๆ ที่คนอื่นลังเล

          ผมไม่สน Passion จึงกล้าทำสิ่งที่ไม่คุ้นชิน ไม่รัก ไม่ถนัดในตอนแรก เมื่อโอกาสเข้ามา ผม Say Yes ก่อน แล้วค่อยหาคนที่รักมัน มาทำต่อทีหลัง นั่นทำให้ธุรกิจผมขยายไปสู่ทิศทางใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว


2.ทำไม การตั้งเป้าหมาย ถึงไม่ช่วยให้คุณสำเร็จ?

จงฝันใหญ่ จงใช้จินตนาการ เห็นภาพความสำเร็จของตัวเอง ให้ชัดเจนที่สุด ผมทำมาหมดแล้วครับ ยิ่งทำยิ่งจิตตก เพราะจิตใต้สำนึกเราคิดว่า เป็นไปไม่ได้ เว่อร์เกิน

การตั้งเป้าของคนเริ่มธุรกิจใหม่ๆ มักจะทำไปด้วยกิเลส จิตฮึกเหิม อยากมี อยากเป็น อยากได้ ตั้งเป้าร้อยล้าน แต่เงินล้านเดียวยังไม่เคยจับ แล้วจะเอาวิธีการที่ไหนไปทำ

          การตั้งเป้า ต้องมี “Action Plan” ประกอบเสมอ ไม่งั้นเรียกว่า “ฝันกลางวัน” 

หากคุณ “ล้มเหลวในการวางแผน” แปลว่าคุณ “วางแผนไปล้มเหลว” ตั้งแต่แรก

ผมตกผลึกได้ว่า “อย่ายึดติดกับเป้า” เมื่อเวลาผ่าน เป้าหมายจะเปลี่ยนแปลงเสมอ แค่เราตั้งเป้า 5 ปีก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ปัจจุบันโลกหมุนเร็วมาก เปลี่ยนได้ทุกเดือนทีเดียว

ผมจึงเน้น ทำทีละเป้าเล็กๆ ที่วัดผลได้ชัดเจน จะได้รู้ว่าอะไร work อะไรไม่ work ให้ความสำเร็จเล็กๆ นำพาเราไปสู่ความสำเร็จขั้นต่อไป

ที่สำคัญ พร้อมจะ “ทิ้งเป้าใหญ่” ที่ตั้งใจไว้ได้เสมอ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง

ก็จะรอความสำเร็จอีก 10 ปีข้างหน้าทำไม สู้ฉลองความสำเร็จของเดือนนี้ ไม่ดีกว่าหรอ

         แนวคิดนี้ ทำให้ผมทำงานอย่างสนุก ไม่เครียด ทำเต็มที่ด้วยจิตว่าง ไม่ยึดติดผลลัพธ์ ให้อภัยกับความผิดพลาดของตัวเอง และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้เร็ว 

ผมยังตัดสินใจผิดบ่อย พอๆกับที่ตัดสินใจถูก แต่บังเอิญสิ่งที่ตัดสินใจถูกมักจะทำเงินกลับมาได้มากกว่าส่วนที่เสียไปเสมอ  นั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ ?


3.ทำไม การมุ่งมั่นอดทน ถึงไม่ช่วยให้คุณสำเร็จ?

ถ้าเราทำสิ่งที่ทำอยู่ ด้วยความมุ่งมั่นอดทน สักวันมันจะสำเร็จได้เอง คุณเชื่อเช่นนั้นใช่ไหม? 

หากคุณเลือกได้ จะเสียเวลา 10 ปี เพื่อทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ หรือใช้เวลา 1 ปี ทำสิ่งที่ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน แต่ไม่ใช่สิ่งที่ตั้งใจไว้ตอนแรก ?

        ไม่มีอะไรถูกผิด มันก็ขึ้นอยู่กับคุณเลือก แต่สำหรับผม “เวลา” มีค่ามากกว่า “เงิน”

เพราะเวลามันเพิ่มไม่ได้ มีแต่ลดลงไปทุกวัน    

ดังนั้น แทนที่จะมุ่งมั่นอดทน เพื่อหมกมุ่นปลุกปั้นกับสิ่งหนึ่งนานๆ ผมจะพิจารณาเสมอว่า

1. มีคนทำสิ่งนี้ ได้ดีกว่าผมมั้ย
2. จะให้เค้ามาช่วยทำแทน เพื่อให้ผมมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้มั้ย
3. เราจะแบ่งกำไรกันอย่างไร ให้ win win

โดยพื้นฐานนิสัย ผมเป็นคนขี้เกียจ ขี้เบื่อ และไม่อดทน นั่นทำให้ผมคิดเสมอว่า จะทำสิ่งหนึ่งให้ง่ายที่สุด สำเร็จได้เร็วที่สุด โดยเหนื่อยน้อยที่สุดได้อย่างไร

แนวคิดนี้ ทำให้ผมแตกไลน์ธุรกิจได้เร็วมากในช่วงหลังๆ ด้วยวิธีหา Partner ทางธุรกิจ ทำแต่สิ่งที่ถนัด ไม่ต้องจ้าง ต้นทุนต่ำ และแชร์ส่วนแบ่งกำไรกัน ใครถนัดอะไร อยากทำอะไร มาหาผม ผมจับชนกันได้หมด เกิดธุรกิจข้ามคืน


สรุปอีกครั้ง Passion การตั้งเป้าหมาย และความมุ่งมั่นอดทน ไม่ใช่สูตรความสำเร็จของผม  

3 สิ่งนี้อาจจะเหมาะกับหลายๆคน แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน  

ชีวิต อาจไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว แต่คนสำเร็จ ทิ้งร่องรอยไว้เสมอ

ถ้าคุณรัก และศรัทธาใคร ก็ติดตามร่องรอยคนนั้น คุณก็อาจจะสำเร็จในแบบเขาได้ แต่คุณต้องฝึก “แกะรอยความสำเร็จ” เพราะคงไม่มีใครบอกคุณได้ตรงๆทั้งหมด 

ดังนั้น “ทักษะการตกผลึกชีวิต และการเขียน” จึงเป็นทักษะสำคัญ ที่อยากฝากไว้ 

สำหรับพวกอินดี้อย่างผมจะนิยามความสำเร็จ ในแบบของตนเอง ผมชอบสร้างทางของตัวเอง โดยไม่ติดตามหรือเปรียบเทียบกับใคร 

ผมไม่มีคู่แข่ง มีแต่เพื่อนร่วมธุรกิจ ผมพร้อมจะปรับเปลี่ยนและเดินหน้ากับเพื่อนใหม่ๆเสมอ

แล้วคุณล่ะ มีนิยาม และสูตรความสำเร็จของตัวเองอย่างไร?
แชร์ที่คอมเม้นท์ข้างล่างกันหน่อยสิครับ

ด้วยมิตรภาพ

13339503_1098701643524708_887953190810839057_n

บทความโดย เรือรบ โค้ชนักเขียนมือโปร 
ติดตามได้ที่เพจ ‪https://www.facebook.com/ruarob

Categories EQ

7 บุคคลที่มีความสุขที่สุด บนโลกออนไลน์

4

สื่อออนไลน์ในขณะนี้ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่มีอิทธิพลที่สุด เราสามารถใช้สื่อออนไลน์ในการทำโฆษณา ติดต่อสื่อสาร หรือ ติดตาม

ข่าวสารบ้านเมืองต่างๆ พูดได้เลยว่าสื่อออนไลน์นั้นมีคุณประโยชน์มากมายเหลือเกินหากเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมในเชิงสร้างสรรค์

วันนี้ Learning Hub Thailand จึงอยากจะนำเสนอ 7 บุคคลทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางในการทำสิ่ง

ที่ตัวเองรัก สร้างความสุขให้ตัวเองและผู้อื่น บางท่านถึงขั้นพัฒนาไปเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้งามๆ ได้อีกเรามาดูกันเลยค่ะว่ามีท่านใดบ้าง  


 1.Michelle Phan 

เริ่มต้นกันด้วยสาวน้อยชาวเวียดนามคนนี้ เธอเกิดและโตที่อเมริกา ความดังของเธอมาจากการอัพคลิปแต่งหน้าที่เธออัดและตัดต่อ

ด้วยตัวเองลง Youtube จนสาวๆ ทุกคนต้องร้องเป็นเสียงเดียวกันว่านี่มันคือเวทมนต์ชัดๆ ! เพราะนอกจาก Michelle Phan จะมา

แต่งหน้าแนวธรรมชาติไปจนถึงแฟนตาซีโดยการนำวิชาศิลปะที่เธอร่ำเรียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เธอก็มีเคล็ดลับดูแลความสวย

ความงามในราคายอมเยาว์ให้สาวๆที่ติดตามเธอแถมให้อีก เรียกได้ว่าไม่ต้องรวยก็สวยได้นะคะ  

เพื่อเป็นการตอกย้ำความฮอตอย่างฉุดไม่อยู่ นอกจากเธอจะได้เป็นช่างแต่งหน้าประจำคอลัมม์ของเครื่องสำอางระดับ High End

อย่าง Lancome แล้ว เธอยังสร้างแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองที่มีชื่อว่า Em Michelle Phan  โดยรังสรรค์สีที่เป็นตัวเธอออกมา

ให้สาวๆ ได้เลือกใช้ (หากใครสนใจตอนนี้ยังไม่มีขายนะคะ ต้องสั่งทาง Website  อย่างเดียวค่ะ) ติดตามผลงานของเธอต่อได้ที่

https://www.youtube.com/user/MichellePhan 


2.คุณโมเม นภัสสร บุรณศิริ 

ถัดจาก Makeup Artist คนดังระดับโลกอย่าง Michelle Phan แล้ว เรามาต่อกันที่ช่างแต่งหน้ามือฉมังอย่างคุณโมเม

นภัสสร บุรณศิริ หรือฉายาโมเมพาเพลิน เธอเป็นที่นิยมอย่างไม่เสื่อมคลายในหมู่สาวไทย ที่ไม่ใช่แค่ต้องการเคล็ดลับเนรมิตความ

สวยที่เหมาะกับสาวโซนเอเชีย แต่ยังนำเอา Item เครื่องสำอางค์มารีวิวให้ดูกันจะๆ ฉะกันไปเลยว่าตัวไหนดีตัวไหนด้อยโดยไม่สน

ว่าแบรนด์นั้นจะ High end หรือจะ Drug Store  เรียกได้ว่าช่วยชีวิตสาวๆ ในการเลือกซื้อเครื่องสำอางค์ผิดชีวิตเปลี่ยนได้มากจริงๆ 

เริ่มแรกคุณโมเมเป็นคนชอบเครื่องสำอาง รักการแต่งหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอทำไปเรื่อยๆ จากความชอบกลายเป็นความรักจึง

เกิดประกายความคิดกับกรรรมการผู้จัดการและครีเอทีฟไดเร็คเตอร์คนเก่งของรายการ Spokedark ทำรายการสอนแต่งหน้าขึ้นมา

ซึ่งกว่าจะเป็นที่รู้จักได้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร และคงจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลยถ้าปราศจากความรักในสิ่งที่เธอทำอยู่  

สาวคนไหนอยากสวยเด้งหรืออยากรู้เทคนิกของคุณโมเมเผื่ออยากเป็นกูรูเข้าไปชมคุณโมเมเม้าท์เพลินๆ เรื่องความสวยความงาม

กันได้ที่ http://momay.spokedark.tv/ 


3.คุณบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ 

คุณบิณฑ์ ในฐานะที่คนทั่วไปรู้จักคือนักแสดงรุ่นเก๋าที่มากความสามารถ และเคยสมัครลงเล่นการเมืองด้วยนะคะ แต่บทบาทที่ยิ่ง

ใหญ่ตอนนี้ก็คือพ่อพระนักบุญ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ก่อนหน้านี้คุณบิณฑ์ ได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้คนที่ประสบภัยพิบัติ

กับมูลนิธิอย่างปอเต็กตึ๊งแต่เกิดความรู้สึกอิ่มบุญ มีความสุขขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงตั้ง Facebook fanpage ของตัวเองเพื่อแจ้งข่าวสารคนที่กำลังเดือดร้อนขึ้นมา

โดยเฉพาะตอนนี้มีลูกเพจของเขาแชร์เรื่องราวกันมาอย่างไม่ขาดสาย ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากๆ ที่คนไทยยังไม่ขาดแคลนน้ำใจ 

คุณบิณฑ์ที่ลงทั้งแรงเงินและแรงกายเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไม่มีเงื่อนไข

หากใครอยากติดตามคุณบิณฑ์ก็สามารถ ติดตามได้ที่ https://th-th.facebook.com/Bhin.fanclub/ 


4.คุณบัณฑิต อึ้งรังษี

คุณบัณทิต คือบุลที่ไต่เต้าจากคนธรรมดาไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร จนเป็นนักวาทยกรที่มีชื่อเสียงระดับโลก อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ได้รับ

การยอมรับว่าเป็น  “ผู้ชายที่ใช้ชีวิตคุ้มและน่าจะมีความสุขที่สุด”

นอกจากเขาจับธุรกิจวงการเพลงแล้ว เขายังมีประสบการณ์ชีวิตมากพอที่จะออกหนังสือ อัดคลิปวีดีโอและจัดสัมมนาแนวให้กำลังใจ

เพื่อชี้ทางสว่างให้คนมากมายที่อาจจะกำลังท้อถอยกับชีวิตอีกด้วยค่ะ เปรียบเทียบได้กับเป็นวอเรน บัฟเฟตของเมืองไทยเลยทีเดียว 

นอกจากเรื่องให้กำลังใจและแนะแนวทางธุรกิจแล้ว เขายังมาจับหนังสือแนวหาคู่เนื่องจากเขาได้แต่งงานมีครอบครัวที่สมบูรณ์

พร้อมแฟนสาวชาวต่างชาติที่ตรงตามสเปคของทุกประการ ดังนั้นเขาจึงอยากจะแบ่งปันเทคนิคนี้ให้กับคนอื่นบ้าง สุดยอดจริงๆ !

หากใครสนใจจะติดตามเรื่องราวดีๆ จากคุณบัณฑิต สามารถติดตามได้ที่ http://bundit.org/  


5.คุณพิมฐา ฐานิดา มานะเลิศเรืองกุล 

สาวน้อยที่นำภาพถ่ายตัวเองลงสื่อออนไลน์อย่าง Instagram จนความน่ารักสดใสไปเข้าตาชาวเน็ตอย่างจังดังเป็นพลุแตก แต่จะให้

เครดิตแค่น้องพิมฐาอย่างเดียวไม่ได้ค่ะ ต้องยกให้คุณบูม แฟนหนุ่มหล่อของเธอด้วยที่เป็นผู้ถ่ายภาพเกือบทั้งหมดของเธอด้วย

ความรัก ทำให้ภาพออกมาละมุนมากๆ บวกกับวิวของประเทศญี่ปุ่นที่ทั้งคู่ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อ ขอบอกว่างานเขาดีเหมือนซีรี่ย์ญี่ปุ่นเลยนะคะ 

ความโด่งดังของพิมฐาไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้นนะคะ แต่ดังไปถึงระดับต่างประเทศอีกด้วย  ตอนนี้เธอออก Photo book มาเอาใจแฟนคลับให้ฟินยาวๆ กันไป

หากใครรักและติดตามเธอก็อุดหนุนได้ รับรองว่าน้องเค้าพกความสดใสมาแจกให้โลกยิ้มตามเป็นลังๆ เลยค่ะ   

สามารถติดตาม Instagram ของน้องพิมฐาได้ที่ https://www.instagram.com/pimtha/


6.คุณรุ้ง LoveExpert 

คุณรุ้ง LoveExpert  หรือคุณพิมพ์ภัทรา พิมพ์รัตนากุล เป็นศิษย์เอกสาวสวย ของคุณบัณฑิต อึ้งรังสี เธอจะเน้นการอธิบายและให้

คำปรึกษาเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ เผยแพร่กลเม็ดเคล็ดลับต่างๆ เพื่อเสริมสร้างพลังในตัวเอง พัฒนาความคิดแง่บวกโดยมี

การนำหลักจิตวิทยามาอ้างอิง   

เธอได้แบ่งปันเรื่องราวดีๆ บนเวบไซด์ของตัวเองและ Facebook เพื่อช่วยเหลือคนอื่นอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น กฎแรงดึงดูดของ

ความรัก  เคล็ดลับในการเปลี่ยนแปลงคนรักให้เป็นแบบที่เราต้องการ และ 5 เคล็ดลับดีๆ ที่ทำให้มีแต่คนรักคุณ

นี่แค่น้ำจิ้มเท่านั้นนะคะ เรียกได้ว่าหากคุณได้ชมคลิปของเธอแล้ว รับประกันได้เลยว่าโลกของคุณและคนรอบข้างจะต้องสดใส

มีความสุขขึ้นแน่นอนค่ะ มารับแนวความคิดเสริมพลังใจของตัวเองและคนรอบข้างกับคุณรุ้งได้ที่ https://www.facebook.com/RainbowLoveExpert/  


7.คุณ Linna Li 

คุณ Linna Li หรือ นลินนา ลี สาวน้อยผู้เป็นนางฟ้าในวงการ D.I.Y หรือย่อมาจาก Do It by Yourself นอกจากหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก

แล้ว ความสามารถของเธอก็ไม่ได้จิ้มลิ้มตามหน้าตาเลยค่ะ เธอมีความสามารถในการหยิบนั้นหยิบนี้มาประกอบกันเป็นของที่น่ารัก

ถูกใจวัยรุ่นเป็นที่สุด แถมยังออกหนังสือพ็อกสอนตัดเย็บออกมาด้วยค่ะ โอ้ย แม่สีเรือนสุดๆ  

เธอไม่ได้พกมาแค่ความคิดสร้างสรรค์อันบรรเจิด เธอยังออกอัลบั้มเพลงเป็นของตัวเองอีกด้วย โชว์เสียงหวานใสน่ารักให้แฟนๆ

ละลายกันเป็นแถว ทั้งน่ารักแล้วยังใจบุญแบ่งบันเทคนิคดีๆ บนสื่อออนไลน์แบบนี้ กดเลิฟเลยแหละสามารถติดตามผลงานของเธอ

ได้ที่ https://www.facebook.com/the.forest.wanderer 


แน่นอนว่าการได้ทำงานที่ตัวเองรักถือเป็นความฝันสูงสุดของทุกคน บุคคลทั้ง 7 ท่านที่เราได้นำมาเสนอในวันนี้ ไม่เพียงแต่จะใช้ความพากเพียรในการทำสิ่งที่ตัวเองรักให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาโดยไม่สนใจคำพูดด้านลบของคนอื่น

แต่กลับเอาคำพูดเหล่านั้นมาเป็นแรงฮึดสู้ จนกระทั่งประสบความสำเร็จกลับมาสอนคนรอบตัวและสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมอีกด้วย Learning Hub Thailand หวังว่าผู้อ่านจะนำข้อคิดอันมีค่าจากบุคคลเหล่านี้มาประยุกต์ใช้และกลายเป็นบุคคลที่มีความสุขที่สุดคนต่อไปค่ะ  

เรียบเรียงโดย ไพรินทร์- Learning Hub Team 

3 ความเชื่อผิดๆ ในการค้นหาตัวเอง

12

            ทำไมคุณถึงยังค้นหาตัวเองไม่เจอสักที?

   รู้ไหมครับว่าสาเหตุที่ทำให้คุณ “หาตัวเองไม่เจอ” มาจากการที่คุณมีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการ “รู้จักตัวเอง” อยู่ในหัว

ถ้าวันนี้คุณต้องการค้นหาตัวเองให้พบจริงๆ ล่ะก็ คุณจะต้องขจัด 3 ความเชื่อผิดๆ ของการค้นหาตัวเองออกไปซะก่อน

มาดูกันครับว่า ไอ้ความเชื่อผิดๆ เหล่านั้นมีอะไรกันบ้าง?

1.เชื่อว่า… ถ้าฉันรู้จักตัวเอง ฉันจะสำเร็จเหมือนคนสำเร็จคนอื่นทันที

          ผมมักจะได้ยินคนพูดว่า..สาเหตุที่พวกเขายังไม่สำเร็จเหมือนคนอื่นๆก็เพราะพวกเขากำลังทำสิ่งที่ไม่เหมาะกับเขา  แล้วเริ่มตั้งขอสันนิฐานกับตัวเองว่า…   “สิ่งที่เขากำลังทำนั่น ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับฉัน”

“ฉันคงยังไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับอะไร?”

          รู้หรือเปล่าครับ?…. ไอ้ความคิดที่ว่า…. “ถ้าฉันรู้จักตัวเองแล้วฉันก็จะต้องมีผลลัพธ์ เหมือนคนที่รู้จักตัวเองคนอื่นๆ ได้ทันที” ถือเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของคนที่กำลังค้นหาตัวเองเลย!!

       คุณจะไม่มีวันรู้จักตัวเอง ตราบใดที่สายตาของคุณ ยังจับจ้องไปที่คนอื่นและคอยเอาแต่เปรียบเทียบสิ่งที่คุณมีกับสิ่งที่คนอื่นมี

        การรู้จักตัวเอง คือการตระหนักรู้ว่า “คุณคือใคร”   คุณทำอะไรได้ดี แรงบันดาลใจของคุณคืออะไร  และรู้ว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ตรงไหน และต้องการจะไปไหน

        ส่วนความสำเร็จนั้น จะเกิดขึ้นจากการที่คุณมีความชัดเจนว่า คุณคือใครและ “ลงมือทำ” จนประสบความสำเร็จ

ตัวอย่าง: คนที่วันๆ ชอบคลุกอยู่กับการทำขนมเค้ก เชื่อว่าตัวเองชอบทำขนมเค้กและสนุกกับมันมากๆ แต่พอหันไปมองคนอื่นที่เขาขายของออนไลน์เห็นเขาได้เงินเยอะและประสบความสำเร็จมีรายได้ที่ดีก็กลับมาทำร้ายตัวเองด้วยความคิดที่ว่า…สงสัยการทำขนมเค้กจะไม่ใช่ตัวตนของฉันเพราะมันไม่เห็นทำเงินเหมือนคนที่เขาชอบขายของเลย

วิธีการแก้ไขความเชื่อผิดๆ  :   แยกแยะให้ออกว่าการรู้จักตัวเอง คือการกลับมาถามตัวเองว่า “เราคือใคร?”

“เราต้องการผลลัพธ์อะไรในชีวิตจริงๆ กันแน่?”   ส่วนความสำเร็จ เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการ “ลงมือทำ” นะจ๊ะ

2.เชื่อว่า… ฉันต้องรู้จักตัวเอง 100% ก่อน แล้วค่อยลงมือทำ จะได้ไม่พลาด

        คนที่คิดแบบนี้มักมีความเชื่อที่ว่าการรู้จักตัวเอง คือสิ่งที่ทำครั้งเดียวจบเหมือนการเรียนจบชั้นประถมแล้ว ก็ไม่ต้องกลับไปเรียนอีก  แต่การค้นหาและรู้จักตัวเองนั้นมันเป็นงานศิลปะครับมันไม่ใช่ศาสตร์ที่จะมานั่งเรียนรู้ และก็จบไปในทีเดียว  แต่คุณจะต้องสร้างประสบการณ์และรับฟังเสียงหัวใจตัวเองอยู่เสมอเพื่อที่จะรู้จักตัวเอง… มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

       ทุกๆ ก้าวที่คุณก้าวและทุกๆ ประสบการณ์ คือการสำรวจทุกพื้นที่ของชีวิต  ทุกๆ การพิจารณาและการรับฟังเสียงหัวใจ คือการเข้าใจและทำความรู้จักกับตัวเอง

       การไม่ทำอะไรเลย ไม่ช่วยให้คุณชัดเจนกับตัวเองหรอกนะครับ คุณต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะรู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่าง: คนที่ไม่กล้าลงมือทำสิ่งใหม่ๆ เพราะกลัวว่าถ้าทำไปแล้วจะเสียเวลา พอได้เรียนรู้อะไรมาแล้ว เกิดไอเดีย

แต่ก็ไม่กล้าลงมือทำสักที กลัวเสียเวลาเปล่า กลัวทำแล้วผิดหวัง กลัวทำแล้วไม่สำเร็จอย่างที่คาดหวังเอาไว้  ชีวิตก็เลยติดอยู่กับวังวนของไอเดียดีๆ ที่ไม่เคยถูกนำมาลงมือทำจริงๆสักที

       วิธีการแก้ไขความเชื่อผิดๆ:   ออกไปทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำ  พบปะ พูดคุยกับผู้คนใหม่ๆ ที่คุณไม่เคยพบหรือเข้างานสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องการค้นหาตัวเองที่เน้นในเรื่องการสร้างประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่ให้ความรู้!

จงออกไปลงมือทำในสนามชีวิต แล้วคุณจะ “ชัดเจน” มากขึ้นครับ

3.เชื่อว่า… การไม่รู้จักตัวเองเป็น “ปัญหา”

          ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิด ความคิดที่ว่า..“การไม่รู้จักตัวเอง เป็นปัญหา”  คือความเชื่อที่ผิดพลาดของคนที่กำลังค้นหาตัวเองครับ  ถ้าวันนี้คุณใช้ชีวิตอยู่กับใครสักคนและเขาคนนั้น บอกคุณทุกเรื่องที่เขาคิด

ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เขาจะบอกคุณก่อนเสมอ

ไม่ว่าเขารู้สึกอย่างไร เขาจะเล่าให้คุณฟัง

ไม่ว่าเขาชอบ/ไม่ชอบอะไร คุณคือคนที่จะรู้เป็นคนแรก   และคนๆ นั้นอยู่กับคนตลอดเวลา  ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า จนเข้านอน คุณใช้ชีวิตกับเขาคนนี้มาตลอด…. 1 ปีเต็ม!!!  คุณคิดว่า…. “คุณจะรู้จักเขาดีขนาดไหน?”

         แน่นอนคุณต้องบอกว่า โคตรรู้ไส้รู้พุงเลยจริงไหมครับ  ถ้าอย่างนั้นคุณสงสัยไหมว่าทำไม ทั้งๆ ที่คุณ “อยู่กับตัวเอง” แบบนี้มากี่สิบปีแล้วล่ะครับ?

          ทำไมคุณถึงบอกว่า… คุณยังค้นหาตัวเองไม่เจอ!!

ผมขอแบ่งปันแบบนี้ครับ….

         จริงๆ การไม่รู้จักตัวเองมัน “ไม่ใช่ปัญหา” เลยแต่การไม่รู้จักตัวเอง คือ “ผลลัพธ์” ต่างหาก   การไม่รู้จักตัวเองเป็น ผลลัพธ์ ที่เกิดขึ้นจากการที่คุณลืมที่จะรัก และศรัทธาในตัวเอง  เกิดจากการที่คุณไม่เคยฟังเสียงของหัวใจตัวเองเลย!!

          คุณเฝ้ามองสิ่งที่คนอื่นทำได้มากเกินไปและลืมให้เวลาสนใจและใส่ใจในสิ่งที่ตัวคุณมี  ความรู้สึกสนุกและชื่นชมกับชีวิตที่เคยมีอยู่เต็มเปี่ยมในวัยเด็กถูกทำให้ลดน้อยถอยลงไปตามกาลเวลาและประสบการณ์แย่ๆ เพราะคุณดูถูกชีวิตคุณเอง เพราะคุณไม่เห็นคุณค่าในชีวิตตัวเอง   เพราะคุณไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่คุณมีหรือความสำเร็จที่คุณทำ

คุณจึง…. “ไม่รู้จักตัวเองสักที”

ตัวอย่าง: ผมมีลูกศิษย์ที่เก่งเรื่องการขายมากๆ เป็น Top Sale ของบริษัท ทำยอดขายได้เกิน 7 หลัก

แต่เขากลับไม่เคยเชื่อมั่นและคิดว่าตัวเองเจ๋งเลย พอคิดว่าตัวเองไม่ดีพอก็ได้แต่ไปติดตามคนอื่น เข้าเรียนรู้กับคนอื่น ชื่นชมคนอื่น

          แต่เขาพึ่งมาตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วเขามีของดีในตัวเพียบ เขามีจุดเด่นที่เจ๋งมากๆและบางสิ่งที่เขามี… แม่มเจ๋งกว่าคนที่เขาไปติดตามด้วยซ้ำ!!

วิธีการแก้ไขความเชื่อผิดๆ:  ถ้าคุณอยากรู้จักตัวเอง ต้องการที่จะทำในสิ่งที่มันเต็มเต็มคุณค่าในชีวิตเริ่มต้นจากการดึงพลังความรัก และความศรัทธาในตัวเอง กลับมาก่อนนะครับ

ผมแนะนำให้คุณเขียนรายการความสำเร็จในอดีต เขียนบันทึกเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เพื่อฝึกให้ใจของคุณ กลับมารักและศรัทธาในชีวิตเสียก่อนครับ

และข้อสุดท้าย ผมแถมให้

4.(แถม)เชื่อว่า… “วิธีการสู่ความสำเร็จ” สำคัญกว่า “การใช้เวลาค้นหา และรู้จักตัวเอง”

         โลกปัจจุบันนี้ เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลอะไรๆ ก็หาได้ เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วมือเท่านั้น  คนจำนวนมากที่ยังไม่รู้จักตัวเองจึงพยายามค้นหาวิธีการสู่ความสำเร็จ  โดยที่เขาหวังว่า เมื่อเขามีวิธีการที่ดี เมื่อเขาประสบความสำเร็จแล้ว

เขาจะรู้จักตัวเองได้ง่ายขึ้น!!

       แต่คุณลองมองไปในโลกของความเป็นจริงนะครับ คนที่ประสบความสำเร็จ และมีชีวิตที่มีความสุข สดใสนั้น

พวกเขาล้วนเริ่มต้นจากการรู้จักตัวเอง รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญในชีวิตเขาก่อนที่เขาจะหาวิธีการสู่ความสำเร็จทั้งสิ้น

       หนังสือ Success Build To Last หรือ “ความสำเร็จที่ยั่งยืน” ได้สัมภาษณ์บุคคลผู้ประสบความสำเร็จ อย่างต่อเนื่อง นานกว่า 20 ปี จากการสัมภาษณ์คนกลุ่มนี้กว่า 200 คน ตั้งแต่ เศรษฐีพันล้าน CEO ประธานาธิบดี ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ  พวกเขาอาจมีวิธีการสู่ความสำเร็จที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือ… “พวกเขาตัดสินใจ เลือกแต่สิ่งที่สำคัญต่อชีวิตเขาเท่านั้น”  พวกเขารู้จักตัวเองว่าตัวเองต้องการอะไร ตัวเองเป็นใคร และใช้ชีวิตบนพื้นฐานความเชื่อมั่นนั้นตลอดเวลา

       จากนั้นพวกเขาค่อยค้นหา “วิธีการ” ที่จะช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในภายหลัง

ตัวอย่าง:

       ลูกศิษย์ผมคนหนึ่ง เป็นคนบ้าความสำเร็จมากๆ เขาพร้อมที่จะศึกษาความรู้ เกี่ยวกับเครื่องมือ และเทคนิคใหม่ๆ เสมอ

ตอนที่มาเข้า Workshop เพื่อค้นหากับตัวเองกับผมใหม่ๆ เขาก็ยังแอบเถียงผมในใจว่า… “มันไม่เห็นจะสำคัญอะไรเลย” (ไม่รู้หลงมาเข้าคอร์สผมได้ยังไง)  แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมาขอบคุณและสารภาพกับผมว่า…. ที่ผ่านมาเขาเลือกทางผิดมาตลอด!

       เขาเคยคิดเสมอว่า เขาจะใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อมาเติมเต็มความสำเร็จ และความสุขในชีวิตของเขา แต่พอได้ทำความรู้จักตัวเองจริงๆ  เขากลับพบว่า… ความพยายามที่จะสำเร็จ พยายามหาเครื่องมือใหม่ๆ เทคนิคเจ๋งๆ นั่นไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตของเขาจริงๆ เลย  เขาพยายามทำสิ่งนั้นเพื่อให้คนอื่นยอมรับ  พยายามทำสิ่งนั้นเพื่อให้ดูดีในสายตาคนอื่นและบางครั้งก็ดันไปพยายามพิสูจน์ตัวเองกับคนที่ไม่ได้สำคัญอะไรในชีวิตเลยด้วยซ้ำ!!

วิธีการแก้ไขความเชื่อผิดๆ:  ถ้าคุณคือคนที่ต้องการรู้จักตัวเอง ต้องการประสบความสำเร็จในแบบที่โดดเด่นและแตกต่างในแบบฉบับของคุณเอง

ลองถามตัวเองดูครับว่า..

“คุณให้ความสำคัญกับการรู้จักตัวเองมากพอหรือยัง?”

 

กิตติ ไตรรัตน์

ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง National Director ของ The Passion Test ประจำประเทศไทย

ผู้มีความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสนับสนุนให้ผู้คน มีอิสรภาพจากภายในใจ

www.KittiTrirat.com

7 เทคนิคทรงพลัง ที่ไม่ว่าใครก็ต้องหลงรักคุณ

16

        ในโลกใบนี้มีอะไรที่เราคาดไม่ถึงอีกเยอะ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าถ้าคนเราต้องการอะไรสักอย่างอย่างแรงกล้าแล้วล่ะก็ มันจะมีพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ออกจากตัวเราไปดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาหา เหมือนได้เปิดวาร์ป1 (warp) พุ่งตรงไปสู่สิ่งนั้นทันที  

       ถ้าเราอยากให้ตัวเองเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น ส่งสัญญาณออกไปสิคะ ทริคมีอยู่ในมือคุณแล้ว มาดูพร้อมกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้าง   

1.ฉันชอบตัวเองจังเลย

ทำตัวเองให้เป็นคนที่ใช่

        อยากให้คนอื่นมาชอบ แล้วเราเป็นคนที่ใช่หรือยัง? เรื่องนี้เหมือน “เส้นผมบังภูเขา” ที่เราไม่ค่อยจะคิดกันเท่าไหร่ ในเมื่อเราตั้งโจทย์ว่า อยากให้ใครๆ มาชอบเรา แต่ถ้าตัวเราเองยังไม่ชอบตัวเองแล้วเราจะปล่อยพลังดึงให้ใครมาชอบเราได้ยังไง 

        วิธีชอบตัวเองทำง่ายๆ อยู่ที่การคิดบวก เพราะแท้ที่จริงแล้วทุกคนมีดีเป็นของตัวเอง คุณค่าอยู่ที่มุมมอง ถ้าเราเห็นจุดดีของตัวเอง ภูมิใจสิคะรออะไรอยู่ แล้วจุดดีจุดแรกที่เราภูมิใจจะเป็นเหมือนสะพานที่นำเราไปพบจุดที่น่าภูมิใจต่อไป

        เมื่อเราชอบตัวเองสารแห่งความพึงพอใจนั้นจะแผ่ออกจากตัวเราออกไปให้คนอื่นสัมผัสได้ คนรอบข้างจะรู้สึกได้ถึงความมั่นใจของเรา ความมั่นใจจะนำไปสู่ความผ่อนคลายทำอะไรก็ไม่กังวลแล้วเราจะเป็นคนที่ใช่–ที่คนอื่นใฝ่หาค่ะ 

2. ฉันเป็นศูนย์รวมแห่งความสุข 

ความสุขเหลือเฟือ พร้อมแบ่งปัน

          ต้นแหล่งของไฟฟ้า สามารถปล่อยกระแสไฟไปรอบบริเวณได้ยังไง ต้นแหล่งของความสุขก็แผ่กระจายไปสู่คนรอบข้างได้อย่างนั้น คนที่เขาแสวงหาความสุขจะวิ่งเข้าหาต้นทางแห่งความสุข ถ้าต้นทางนั้นคือคุณเขาก็จะมาหาคุณ  

          สัญลักษณ์แห่งความสุขง่ายๆ คือ รอยยิ้ม หากคุณคือเทพเจ้าแห่งรอยยิ้ม คนที่ได้เห็นย่อมยิ้มตอบ รอยยิ้มเป็นเหมือนใบเบิกทางสร้างไมตรี  พร้อมกับการเป็นคนอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่หงุดหงิด ไม่เจ้าอารมณ์ ไม่เหวี่ยง เป็นคนมีอีคิวสูง ก็เท่ากับคุณได้ตั้งเสาส่งสัญญาณความสุขไปรอบตัว ดึงดูดให้ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ อย่างน้อยๆ ก็มั่นใจได้ว่า

          ถึงแม้ว่าจะยังจูนคลื่นรับกระแสความสุขจากคุณได้ไม่เต็มหน่วย ก็ไม่โดนคุณเหวี่ยงใส่ให้อารมณ์เสียนั่นแหละ แบบนี้ ไม่ชอบคุณก็ไม่รู้จะชอบใครใช่มั้ยล่ะ 

3. ฉันเป็นมิตรกับคนทั่วโลก 

มีสัญญาณตอบรับจากสายที่ท่านเรียก

         บางทีเสาสัญญาณแห่งความสุขของคุณที่แผ่ไปรอบทิศทาง คนอยากวิ่งเข้ามาหา แต่ติดกำแพงของตัวเองก็มี เพราะความกลัวเป็นธรรมชาติที่ฝังอยู่ใน DNA ของคน คุณต้องส่งสัญญาณออกไปก่อนว่าพร้อมที่จะต้อนรับหากเขาก้าวเข้ามาหา นอกจากยิ้มแย้มแล้วต้องรู้จักทักทายก่อน

        ยิ่งถ้าเคยรู้จักเขาหรือเธอเหล่านั้นจากคนอื่นมาบ้างแล้ว ทักทายก่อนเลยค่ะ ชื่อนั้นสำคัญฉะนี้ คนที่จำชื่อคนได้แม่น จะสร้างเฟิร์สอิมเพรสชั่น ความประทับใจว่าเขาคือคนที่คุณสนใจอยากรู้จักอยู่แล้ว สัญญาณตอบรับจากสายที่เรียกมาเต็มขนาดนี้ ไม่ชอบคุณก็ให้มันรู้ไปนะคะ   

4. ฉันอยากสร้างเราให้เหมือนกัน 

ชมอย่างที่เขาเป็น และเขาเห็นด้วย

         ทุกคนชอบที่จะเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่คนอื่นเห็นความดี ยกย่องสรรเสริญ เพราะเท่ากับช่วยเติมความมั่นใจให้เขา การรู้จักชื่นชม ยกย่องสรรเสริญคนอื่น เห็นข้อดี ความเก่งของคนอื่น แสดงความยินดีในความสำเร็จของคนอื่น เป็นการให้ก่อนแล้วสิ่งดีๆ เหล่านั้นจะย้อนกลับมาหาคุณ มันคือพลังอันศักดิ์สิทธิ์

         แต่มีทริกอยู่นิดหนึ่งว่า คำชื่นชมที่ออกจากปากของคุณ ต้องเป็นความจริง ชมในสิ่งที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขามีดีในจุดนั้น เท่ากับเป็นการย้ำว่า เขาคือคนสำคัญ คือคนเก่ง คนดีที่ใครๆ ก็มองเห็น อย่าชมในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น เพราะเขาจะมองว่าคุณยกยอปอปั้น ไม่จริงใจ  

         คนในโลกนี้ต้องการคำชมก็จริงแต่จะแสลงใจมากถ้ารู้ว่า คำชมเหล่านั้นคือของปลอม คุณไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ ความดีความเด่นเขารู้อยู่แก่ใจว่ายังไงก็เหมือนเดิม แต่ที่อยากได้เพิ่มเติม คือ คำยืนยัน 

5. ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ 

คนธรรมดาที่สำเร็จและล้มเหลว

          ต่อให้คุณมีความภาคภูมิใจในตัวเอง เป็นศูนย์รวมของความสุขที่พร้อมจะแบ่งจ่ายให้คนอื่น แต่ควรระวังนิดนึงนะคะ เหมือนภาษิตที่ว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน อย่านะ อย่ายกตนข่มคนอื่น ทั้งวาจาและท่าทาง

         ไม่มีใครอยากเป็นคนที่ด้อยกว่าคนอื่นหรอก ต่อให้มันเป็นจริงก็เถอะ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นที่รักของคนอื่นต้องรู้จักสงวนท่าทีให้ถูกจังหวะ คำชื่นชมควรออกจากปากคนอื่น แต่ความที่เคยล้มเหลวมาบ้างต้องออกจากปากเรา เพื่อให้คนรอบตัวรู้สึกว่า เราก็คนธรรมดาที่ครั้งหนึ่งอาจไม่เป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน เหมือนเขาตอนนี้นั่นแหละ

         นอกจากถ่อมตนแล้วยังได้เติมกำลังใจให้คนที่มาเข้าใกล้ด้วยว่า เขาเองก็มีสิทธิ์เป็นได้อย่างเราในวันหน้าเช่นกัน 

6.ฉันชอบที่จะเหลือที่ยืนให้คนอื่น

ถอยไปยืนข้างหลัง ยามคนอื่นแสดงนำ

         คนที่จะเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น ต้องเป็นคนที่รู้จักอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ อย่าขโมยซีนเป็นนางเอกตลอดเวลา เพราะใครล่ะที่อยากเป็นตัวประกอบตลอดชีวิต แน่ล่ะ คนโดดเด่นอย่างคุณ ออร่าย่อมเปล่งประกายตลอดเวลาเป็นที่สนใจของคนอื่น

         แต่ถ้ารู้จักเปิดทางให้คนรอบตัวได้แสดงนำบ้าง หนุนสุดฤทธิ์เพื่อให้คนอื่นได้เด่น แล้วถอยออกมายืนข้างหลัง ในสายตาคนส่วนมากอาจเห็นคุณเป็นองค์ประกอบ แต่เชื่อเถอะว่า คุณน่ะ นางเอกในดวงใจของคนที่คุณผลักเขาออกมายืนข้างหน้าแน่นอน 

7.ฉันเป็นตัวของตัวเอง ไม่เฟค

ไม่มีใครหลอกใครได้ตลอดเวลา

         จงเป็นทุกอย่างข้างต้นตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 6 อย่างเป็นตัวของคุณจริงๆ อย่าทำให้คนอื่นชอบด้วยการเสแสร้งแกล้งเป็น โปรดจำไว้ว่าเราไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกชอบเราได้ แต่คนที่ชอบเราเขาคือคนของเราและชอบในความเป็นเรา จึงไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งเพื่อเป็นคนที่คนอื่นชอบ ไม่มีใครหลอกใครได้ตลอดเวลา ถ้าเขาจะชอบขอให้ชอบที่คุณเป็นคุณ อย่าเฟค 

นี่คือ 7 เทคนิกทรงพลังให้คุณพร้อมส่งต่อให้คนรอบข้างตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่วันข้างหน้า ใครๆ ก็ต้องชอบคุณอย่างแน่นอนค่ะ 

เรียบเรียงโดย คะนิ้ง – Learning Hub Team 

 

 

5 ขั้นตอน detoxใจ ให้กลับมาฮึดสู้อีกครั้ง

11

           ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป แต่บางทีอะไรหลายๆ อย่างมันก็ช่างรัดตัวเสียจริงจนแทบจะดิ้นไปไหนแทบไม่รอด ทุกๆ คนย่อมเคยเจอจุดที่เหมือนว่าทุกอย่างถึงทางตันและมองไม่เห็นอนาคตกันทั้งนั้นค่ะ  

           หากคุณเป็นคนหนึ่งซึ่งกำลังรู้สึกอึดอัดและเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่ต้องพบเจอในชีวิตทุกวัน  Learning Hub Thailand ขอนำเสนอ 5 ขั้นตอนดีท๊อกใจให้มีพลังฮึดสู้ต่อกันอีกครั้ง ลุยกันอีกซักยกค่ะ  

 1.หากไม่ไหว ก็ร้องไห้ระบายออกมาบ้าง 

          มันก็เหมือนกับเวลาที่เราโดนงูพิษกัด เราก็ต้องถอนพิษนั้นออกมา โดยการถอนมันออกมานั้นอาจจะมีฟกช้ำดำเขียวให้เจ็บปวดกันบ้าง แต่เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องทำค่ะ 

         หากคุณกำลังรู้สึกท้อแท้ในชีวิต สิ่งแรกที่คุณควรจะทำเลยคือการระบายมันออกมาให้หมด คุณอาจจะเลือกวิธีร้องไห้ให้หายอัดอั้นตันใจ หรือเลือกคนที่เราไว้ใจได้สักคนเช่นคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทในการระบายเรื่องทุกข์ใจที่เกิดขึ้นกับคุณให้เขารับรู้ บางทีเขาอาจจะมีทางออกดีๆ เพื่อช่วยคุณก็ได้ค่ะ 

          เราเข้าใจว่ามันอาจจะเจ็บปวดไปซักหน่อยหากคุณจะต้องมานั่งนึกถึงเรื่องราวที่ทำให้คุณไม่สบายใจอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ลบล้างเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่ได้อยู่ดี ซึ่งการระบายนี้จะช่วยผ่อนปรนความอัดอั้นนี้ได้ค่ะ  

 2.วางทุกสิ่งทุกอย่างและใช้เวลากับตัวเองในสิ่งที่คุณชอบทำ 

          เมื่อคุณระบายมันไปแล้ว สิ่งต่อมาที่คุณควรจะทำก็คือการวางทุกสิ่งทุกอย่างลงและลองใช้เวลาอยู่กับตัวเองดูค่ะ ลองอยู่ในห้องเงียบๆ ปิดมือถือและหยุดงานสักวัน หาหนังสือที่ตัวเองชอบและอ่านมันไปเรื่อยๆ พร้อมกับฟังเพลงสบายๆ ให้จิตใจผ่อนคลาย  

          หรือหากคุณมีกำลังทรัพย์ บางทีคุณอาจจะเลือกไปเที่ยวที่ไหนซักที่ จัดทริปเล็กๆ ซักทริปที่คุณสามารถไปเที่ยวคนเดียวได้ การออกไปเจอโลกข้างนอกและได้ลองผจญภัยเล็กๆ ด้วยขาของคุณเองจะทำให้คุณลืมเรื่องที่ทำให้คุณทุกข์ใจไปได้และได้ลองเห็นวิถีชีวิตที่ต่างออกไปซึ่งอาจจะเปิดมุมมองของคุณได้มากขึ้น 

          หรือไม่หากคุณยังคิดไม่ออกว่าจะไปไหนดี ลองคิดดูก็ได้ค่ะว่าตัวเองชอบทำอะไรเป็นพิเศษ เช่นหากคุณชอบงานปัก ก็ลองออกไปหางานปักเล็กๆ มาทำดู หรือชอบวิ่ง โยคะ หรือว่ายน้ำ ก็เอาเลยค่ะทำให้เต็มที่ ขออย่างเดียวคืออย่าปล่อยให้ตัวเองว่างและหวนนึกถึงเรื่องที่ทำให้เครียด 

 3.ตระหนักถึงปัญหาที่ตัวเองเผชิญ 

         พอคุณปล่อยใจให้สงบ เลิกคิดถึงปัญหาและอาจจะได้มุมมองใหม่ๆ จากการออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างแล้ว คราวนี้กลับมาโฟกัสที่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับคุณได้แล้วค่ะ ถึงแม้คุณจะสบายใจขึ้นแล้วแต่ปัญหามันยังอยู่และบางทีอาจจะกำลังเกาะกินคุณเหมือนโรคร้ายก็ได้ และการตระหนักถึงปัญหาก็คือการวิเคราะห์วิธีการรักษาโรคร้ายของคุณนั้นเอง 

         ลองดูซิว่าปัญหาของคุณคืออะไรและเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่ ? 

         คุณลองเอาตัวเองเป็นคนนอก เหมือนเป็นคนยืนมองดูเหตุการณ์นั้นๆ การทำแบบนี้จะช่วยให้คุณเปลี่ยนมุมมองความคิดหรือการตีความกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ค่ะ 

          หรือไม่บางครั้งทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการปล่อยวางนิ่งเฉยและทำเรื่องของเราให้ดีที่สุดโดยไม่ต้องสนใจผู้อื่นหากคุณทำได้รับรองว่าคุณจะมีความสุขในชีวิตขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ 

4.ลงมือแก้ไขปัญหา 

          หากคุณตระหนักรับรู้แล้วถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวคุณ ขั้นต่อไปคือลงมือทำค่ะ การลงมือแก้ไขปัญหานั้นเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก อันนี้เราเข้าใจดีแถมเรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่สามารถจัดการได้เสร็จในวันเดียวเสียด้วยสิ 

          การลงมือแก้ไขปัญหานั้นสำคัญที่ว่าเราต้องทุ่มเทอย่างจริงจังนะคะ ขั้นตอนนี้คือขั้นตอนปฏิบัติการรักษาโรคหลังจากที่เราได้วินิจฉัยโรคไปแล้ว ตอนนี้คุณอาจจะทำแล้วดีขึ้น หรือทำแล้วเหนื่อยใจเหนื่อยกายกว่าเดิมก็ได้ เราขอเป็นกำลังใจให้คุณอย่าท้อถอยค่ะ  

          บางทีคุณอาจจะลองวางแผนการแก้ไขปัญหาเอาไว้เป็นขั้นตอน ทำอย่างนี้เสร็จแล้วค่อยไปทำอย่างนั้นต่อ เป็นต้น วิธีนี้จะทำให้การแก้ไขปัญหาของคุณมีแนวทางและเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถมองเห็นการพัฒนาได้อย่างง่ายดาย  

 5.หากปัญหานั้นเกินกว่าจะเยียวยา ก็ต้องปล่อยมันไป 

          แต่ถ้าหากคุณพยายามแก้ไขปัญหาอย่างไรปัญหานั้นก็ยังไม่หมดซะทีเดียว ขั้นตอนสุดท้ายที่เราอยากแนะนำคุณก็คือการปล่อยวางค่ะ ปล่อยวางเรื่องทุกเรื่องเอาไว้ ไม่ต้องไปดันทุรังให้คุณเหนื่อยเปล่า 

          ขั้นตอนนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณพยายามแก้ไขปัญหามาสักพักแต่เมื่อคุณลองประเมินดูแล้วมันกลับไม่มีอะไรดีขึ้นเลยทางออกเดียวก็คือต้องเลิกดันทุรังให้ตัวเองเหนื่อยเปล่าๆ  

          เรื่องบางเรื่องคุณเองคงรู้ดีว่าไม่มีอะไรไปแก้ไขได้นอกจากจะใช้เวลารักษามันไปเรื่อยๆ ซึ่งมันอาจจะดีขึ้นหรือไม่ก็ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือใจของคุณเองว่าคุณสามารถวางมันลงได้ไหม แล้วกลับมามีพลังเพื่อสู้กับเรื่องอื่นต่อไปเพราะเราทุกคนเกิดมาเพื่อเป็น Fighter ค่ะ 

          ในชีวิตมีเรื่องมากมายให้คุณต้องเผชิญหน้ากับมันและเวลาในชีวิตคุณกำลังหมดไปทุกวัน และเวลาก็มีค่ามากกว่าจะมานั่งหมดอาลัยตายอยากกับเรื่องในอดีตที่เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ ก็ทำได้แค่ Shake It Off มันไปเลยค่ะ Learning Hub Thailand ขอให้คุณล้างปัญหาดีท๊อกซ์หัวใจของคุณด้วยใจของคุณเพื่อมีพลังในการสู้ต่อไปเพื่อนคนที่คุณรักและเพื่อตัวคุณเองค่ะ  

 เรียบเรียงโดย ไพรินทร์ – Learning Hub Team 

10 วิธีเพิ่มสุขให้ตัวเองด้วยการกระทำเล็กๆ

9

1.จงยิ้มอยู่เสมอ

        รอยยิ้มเป็นสิ่งที่ไม่เสียเงิน จงยิ้มเล็กๆ กับตัวเองทุกวัน ดังเช่นพระพุทธรูปที่ยิ้มให้เราอยู่เสมอ ยิ้มให้ผู้อื่น ให้คนแปลกหน้า ให้ดินฟ้าอากาศ

2.จงจัดห้องของคุณให้น่าอยู่เท่าที่จะเป็นไปได้

        สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้ชีวิตของคุณมีความสุขง่ายขึ้น เมื่อคุณอยู่ในที่ที่น่าอยู่ จิตใจของคุณจะสบาย เป็นระเบียบ ไม่เศร้าหมอง คุณจะสามารถใช้ความสร้างสรรค์ที่คุณมีได้ง่ายขึ้น จินตนาการของคุณจะมีความสวยงามมากขึ้น

3.จงเดินไปตามท้องถนนเพื่อมองดูความจริง

       ขอให้คุณมองผู้คนที่อยู่รอบๆ ตัว แล้วให้คิดว่า ทุกคนที่คุณเห็น ล้วนเป็นคนสำคัญ เป็นคนรักของใครสักคนที่อยู่บนโลก เมื่อคุณรู้ว่า เขาเหล่านั้น ก็มีคนที่รักเขาเหมือนกัน คุณก็จะมองเขาอย่างมีคุณค่ามากขึ้น เห็นใจและให้อภัยเขามากขึ้น

4.จงคิดว่าคุณมีหน้าที่ทำใจของตัวเองให้มีความสวยงาม

      คุณต้องสร้างช่องว่างเล็กๆ ที่ทำให้ใจของคนมีความสุขเล็กๆ โดยไม่ยึดโยงกับสิ่งภายนอก คุณต้องคิดเสมอว่า คุณมีหน้าที่ขัดเกลาจิตใจของตนเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นทุกวัน อะไรที่เสียสละได้ก็ให้ทำ อะไรที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นได้บ้าง ถ้าไม่ลำบากเกินไปก็ให้ทำ ทำอย่างมีความสุข และตระหนักอยู่เสมอว่า คุณกำลังขัดเกลาจิตใจของตนเองอยู่

5.จงเก็บขยะทุกชิ้นที่พบเห็น

       ขอให้คุณเริ่มเก็บขยะตามริมทางที่คุณเดินผ่าน เท่าที่คุณจะทำได้อย่างมีความสุข การเก็บขยะที่คุณไม่รู้ว่าใครเป็นผู้นำมาทิ้งนั้น เป็นการเก็บขยะในใจของคุณด้วย ถ้าคุณทำบ่อยๆ คุณก็จะรู้สึกถึงแสงสว่างภายในใจของคุณได้

6.จงปลุกคนดีในตัวของคุณขึ้นมา

       ลึกๆ แล้วทุกคนเป็นคนดี ไม่มีใครอยากเป็นคนเลว หรือคนไม่ดี ดังนั้นขอให้คุณปลุกคนดีที่ฝังอยู่ในใจของคุณขึ้นมา ทำให้คนๆ นั้นมีความเข้มแข็ง สนับสนุนให้คนดีในใจของคนเป็นผู้นำทางชีวิตของคุณ

7.จงดีใจกับความสำเร็จของผู้อื่น

       คุณไม่จำเป็นต้องรู้จักเขา แต่คุณก็สามารถดีใจ และมีความสุขไปกับเขาได้ จงยิ้มเมื่อเขายิ้ม จงรับรู้ถึงความสุขผ่านข่าวสารที่คุณเสพ เห็นเขาเป็นเพื่อนของคุณ ถ้าชีวิตของเขาดี ชีวิตของคุณก็ดีไปด้วยเพราะเขาคือเพื่อนของคุณ

8.จงแบ่งปันเงินของคุณเพื่อสังคม

       คุณควรสละสิ่งของมีค่าของคุณให้ผู้อื่นบ้าง เริ่มจะทีละเล็กละน้อยเท่าที่คุณให้ได้บนพื้นฐานของความสบายใจ จงทำสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ เปิดโอกาสให้ตนเองได้เป็นผู้ให้ การแบ่งปัน จะทำให้ชีวิตของคนสงบเย็น คุณจะใช้ชีวิตบนโลกที่น่าอยู่มากขึ้นเมื่อโลกภายในของคุณเปลี่ยนไป

9.จงพูดแต่สิ่งดี

       ถ้าเป็นไปได้อย่าพูดอะไรที่ไม่ดี เพราะการพูดไม่ดีคือการทำลายความสุขของตนเองในระยะสั้น กลาง และระยะยาว มันเป็นการบ่มเพราะเชื้อโรคร้ายให้เติบโตขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว คนที่พูดอะไรดีๆ จะมีความรู้สึกที่ดีๆ ได้ง่ายกว่าคนที่พูดอะไรร้ายๆ

10.จงตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต

        ในทุกๆ วันขอให้คุณคิดว่า คุณโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดมา มองดูแขนของคุณ มือของคุณ เนื้อตัวของคุณ และรู้สึกถึงความรักในร่างกายของคุณ ความรักตัวเองคือสิ่งสำคัญ แต่คุณต้องไม่เห็นแก่ตัว ขอให้คุณรู้สึกเบิกบานกับชีวิต นึกถึงสิ่งดีงามที่ผ่านมา และพยายามทำให้มันเกิดขึ้นเสมอๆ ทำสิ่งเล็กๆ ที่ดีๆ ให้เกิดขึ้นบ่อยๆ แล้วสิ่งเล็กๆ เหล่านั้นก็จะรวมเป็นความดีงามในภาพใหญ่ของชีวิต

         อย่าดูถูกความดีเล็กๆ และอย่าประมาทกับความไม่ดีเล็กๆ เพราะกำแพงที่ยิ่งใหญ่ก็เกิดจากอิฐก้อนเล็กๆ มารวมตัวกัน จงรักตัวเองบนพื้นฐานของความเมตตาเพื่อนมนุษย์ ขยับขยายจิตใจที่คิดถึงผู้อื่นให้มากขึ้น จงหาความสนุกจากการทำให้คนอื่นมีความสุข แล้วคุณก็จะเป็นอีกคนที่มีความสุขที่สุดในโลก

ผู้เขียน พศิน อินทรวงค์

ที่มาเพจ พศิน อินทรวงค์

https://web.facebook.com/talktopasin2013

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save