10 เหตุผลที่คุณควรมองโลกในแง่ดี

10 reasons why you should be optimistic

ทุกคนล้วนประสบปัญหาในชีวิต โดยมีช่วงที่ชีวิตถึงจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด แต่เมื่อเราประสบพบเจอกับปัญหาเหล่านั้น สิ่งที่ทำให้เรามีสติ และแก้ไขปัญหาได้อย่างชาญฉลาด มองภาพใหญ่ออก คือ การคิดบวก และมองโลกแง่ดี ความคิดของคุณ คือ กุญแจสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรม การกระทำ รวมถึงสุขภาพของคุณ และนี่คือเหตุผลดีๆสิบข้อที่คุณควรหันมาคิดบวก และมองโลกในแง่ดี

1.ทำให้คุณรู้สึกดี

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมองโลกในแง่ดี คุณจะรู้สึกว่าชีวิตของคุณดีขึ้น คุณไม่สามารถที่จะรู้สึกดีและรู้สึกแย่ในเวลาเดียวกันได้ และการที่คุณมองโลกในแง่ดี คุณจะรู้สึกสงบ มีความสุข และอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก

2.มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

เวลาที่คุณเลือกที่จะคิดในสิ่งดีๆ คุณจะนึกถึงข้อดีของคนรอบข้างคุณ ขณะเดียวกันคุณก็จะมองข้ามข้อเสีย ของพวกเขาโดยอัตโนมัติ และมันส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาและคุณ มิตรภาพและความสัมพันธ์ของพวกคุณจะแน่นแฟ้นขึ้น และทัศนคติแบบนี้จะสร้างบรรยากาศเป็นมิตร ครื้นเครง และหลายๆคนก็อยากที่จะอยู่ใกล้คุณ เพราะพวกเขารู้สึกสบายใจ และมีความสุขที่ได้คบคุณ

3.จัดการปัญหาได้ดีขึ้น

ในช่วงเวลาที่ชีวิตคุณเจอปัญหา มรสุมต่างๆ การคิดบวกจะทำให้คุณก้าวข้ามผ่านอุปสรรค และปัญหาเหล่านั้นไปได้ง่ายกว่า การคิดบวกของคุณคือการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส และทำให้คุณมีมุมมองใหม่ และเห็นวิธีการแก้ปัญหาได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้การคิดบวกยังทำให้คุณผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้อย่างรวดเร็ว

4.มีพลังชีวิตมากขึ้น

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกว่าคุณไม่มีความกังวล หรือ เครียดน้อยลง คุณจะมีเรี่ยวแรงในการทำกิจกรรมต่างๆที่คุณรักได้ บางครั้งเวลาที่จิตใจเราห่อเหี่ยว เราก็อยากอยู่เฉยๆ ไม่อยากทำอะไร โดยเฉพาะความเครียด เป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้พลังงานชีวิตเราหายไป ความเครียดทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง กระปรี้กระเปร่า หรืออยากทำอะไร เพียงแค่คุณเปลี่ยนวิธีการมองโลก ก็สามารถเพิ่มพลังชีวิตของคุณให้มากขึ้นแล้ว

5.สร้างความประทับใจแรกพบ

ถ้าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี คุณจะสร้างความประทับใจแรกพบให้กับคนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัว โดยทั่วไปแล้ว การมองโลกในแง่ดีจะทำให้คุณเป็นคนเฟรนลี่ มีเพื่อนเยอะ และส่งผลถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ในอนาคต ไม่ว่าความสัมพันธ์จะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงาน

6.มีสุขภาพที่ดีกว่า

การคิดบวกคือ เคล็ดลับการรักษาสุขภาพที่ดีอย่างหนึ่ง มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า การมองโลกในแง่ดีทำให้เราไม่เครียด ลดแรงกดดันต่างๆ ซึ่งมีผลต่อระบบการไหวเวียนของเลือด ทำให้ความดันเลือดต่ำลง หัวใจเต้นช้าลง และทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น เพียงแค่คุณเปลี่ยนความคิด คุณก็เปลี่ยนสุขภาพได้

7.สร้างแรงบันดาลใจ


การคิดบวกเป็นแรงผลักดันชั้นดีในการกระตุ้นความคิดคุณให้ไปถึงเป้าหมายที่คุณตั้งไว้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น ถ้าคุณมัวแต่จมปลักกับความคิดลบๆ ความกังวลในผลที่ตามมา มันจะเป็นตัวฉุด ให้คุณหยุดอยู่กับที่ และทำให้คุณไปถึงเป้าหมายได้ช้าขึ้น หรือ อาจไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ

8.ส่งเสริมความกล้า

การคิดบวกทำให้คุณขจัดความกลัว ความกังวลต่างๆโดยอัตโนมัติ เพราะการที่คุณมองโลกในแง่ดีนั้น เมื่อเวลาที่คุณเจอปัญหา คุณจะคิดว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิตสามารถแก้ไขได้ คุณมั่นใจที่จะจัดการมันได้และสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่คุณมองต่างมุม ก็ปลดล็อกปัญหาได้อย่างทันท่วงที

9.มีความภูมิใจในตัวเอง

การคิดบวกถือว่าเป็นการเคารพตัวเองอย่างหนึ่ง คุณเชื่อว่ามีสิ่งดีๆกำลังเกิดขึ้นในชีวิตคุณ คุณให้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ คนที่มองโลกในแง่ดีจะมีทัศนคติ ว่า “ฉันสามารถทำได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ ” และนี่คือสิ่งที่เพิ่มความมั่นใจและเป็นส่วนหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จ

10.ดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

การคิดถึงแต่ในสิ่งดีๆ จะส่งผลทำให้คุณมีอารมณ์ดี และอารมณ์ดีๆจะสร้างบรรยากาศแห่งความสุข รวมถึงวิถีชีวิตที่มีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้น คุณคงไม่อยากรู้สึกโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลา และมีอารมณ์ฉุนเฉียวตลอดทั้งวัน คนที่คิดดี พูดดี ทำดี จะนำพาให้คุณไปเจอคนดีๆ เป็นกฎของแรงดึงดูดที่ทำให้เกิดสิ่งดีๆขึ้นในชีวิต

ปฎิเสธไม่ได้ว่าการคิดลบ หรือ มองโลกในแง่ร้ายทำได้ง่ายกว่าการมองโลกในแง่ดี แต่คุณสามารถเลือกได้วันนี้ว่าคุณจะมองโลกในแบบไหน เพื่อที่ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

Credit: listdose , health fitness revolution

5 สัญญานเตือนที่บ่งบอกว่าคุณกำลังไม่มีความสุขในชีวิต

5 warning signs that indicate that you are not happy in life

ในวันหนึ่งคุณอาจมีอารมณ์ขึ้นและลงมีทั้งความสุข ความทุกข์ เครียด กังวล ดีใจ โล่งใจ หิว เหวี่ยง และอารมณ์อื่นๆ ซึ่งปัญหาหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนหรือคนรอบข้างคุณ คุณอาจมองว่าเป็นปัญหาเล็กนิดเดียว แต่ในทางกลับกันพวกเขาอาจรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา อย่าตัดสินปัญหาของคนเราด้วยการเปรียบเทียบกัน เพราะแต่ละคนมีต้นทุนชีวิต และปัจจัยไม่เหมือนกัน ในทางตรงข้ามคุณก็ไม่ควรตัดพ้อกับชีวิต หรือ โทษโชคชะตาในปัญหาที่คุณเจอแต่เพื่อนคุณไม่เจอ

สิ่งที่ทำให้คุณมองปัญหาออกและแก้ไขมันอย่างทันท่วงทีคือ สติ และปัญญา ถ้าคุณปรารถนาจะมีชีวิตที่มีความสุข ได้ทำตามความฝันของตัวเอง คุณจะต้องรู้ตัวเองก่อนว่าคุณชอบทำอะไร ทำอะไรได้ดี ทำอะไรแล้วมีความสุข และที่สำคัญ สิ่งที่คุณชอบทำนั้นก่อให้เกิดรายได้ที่เลี้ยงตนเองได้หรือไม่ แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น คุณต้องยอมรับความจริงก่อนว่าสิ่งไหนคือตัวถ่วงและเป็นสิ่งที่คุณทำแล้วไม่มีความสุขเอาซะเลย

1.คุณไม่ยอมลาออกจากงานประจำที่คุณเกลียด

เริ่มจากงานที่คุณกำลังทำอยู่ คนเราใช้เวลาทำงานอย่างน้อย 40 ชั่วโมง ต่อ สัปดาห์ ในการทำงาน นั่นหมายถึงว่าครึ่งชีวิตของคุณอยู่กับที่ทำงาน ถ้าคุณไม่มีความสุขกับที่ทำงานแล้วละก็ นั่นหมายถึงว่าชีวิตคุณก็กำลังไม่มีความสุขด้วย ถึงแม้ว่างานในสมัยนี้จะหายาก แต่ถ้าคุณไม่คิดจะเริ่มหางาน หรือ เริ่มพัฒนาตัวเอง เพื่อให้ได้งานใหม่ที่ดีกว่า คุณก็ต้องจมปลักอยู่กับชีวิตเดิมๆแบบนี้ และเป็นชีวิตที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลง วนเวียนกับความทุกข์ซ้ำซาก

2.คุณมีความสัมพันธ์ที่มึนอึน

ความรักเป็นสิ่งสวยงามที่สร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับชีวิตคุณ เมื่อไหร่ก็ตามที่ความรักของคุณเริ่มทำร้ายคุณ ทำให้ชีวิตคุณแย่ลง ทำให้คุณเหนื่อยขึ้น ทำให้คุณเสียใจบ่อยๆครั้ง คุณควรที่จะหันมารักตัวเอง และให้คุณค่ากับตัวคุณเอง มากกว่าคนที่ไม่สนใจและทำร้ายความรู้สึกคุณ อย่าเสียดายความผูกพันหรือเวลาที่เสียไป แต่จงเสียดายเวลาในอนาคตที่คุณต้องทนอยู่อย่างไม่มีความสุข ยอมตัดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อชีวิตที่ดีในอนาคต

3.คุณไม่ยอมตัดสิ่งไม่ดีออกจากชีวิต

สิ่งไม่ดีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของพฤติกรรมที่แย่ เพื่อนที่แย่ สิ่งแวดล้อมที่แย่ ทุกอย่างคือปัจจัยที่ทำให้ชีวิตคุณไม่มีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแย่ๆที่ชอบยืมเงินและไม่คืนคุณ บ้านหรือที่อยู่อาศัยคุณที่อยู่ในแหล่งซ่องสุมของโจร พฤติกรรมการตื่นสายที่แก้ไม่ได้ หรือ พฤติกรรมการติดเหล้าติดบุหรี่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกระตุ้นและสิ่งเร้าที่ทำให้ชีวิตคุณแย่ลงเรื่อยๆ คุณอาจเคยคิดที่จะตัดมันออกไปจากชีวิต แต่ถ้าคุณแค่คิด แต่ทำไม่ได้ ท้ายสุดคุณก็ไม่มีความสุขที่แท้จริงอยู่ดี

4.คุณเต็มไปด้วยความสงสัยและความกลัว


คุณอาจเคยผิดหวังมามาก คุณอาจกลัวในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มีคำถามสงสัยเต็มหัวไปหมด ว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างไร ซึ่งบางทีเรื่องราวเหล่านั้นยังไม่เกิด และอาจไม่เกิดเลยก็ได้ การที่คุณคิดไปเองก่อน ทำให้คุณเป็นทุกข์และกังวลเปล่าๆ ถ้าคุณรู้ตัวว่าคุณกำลังมีความคิดวนเวียนซ้ำๆซากๆ มีความสงสัย ความกังวลในเรื่องเดิมๆ นั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกแล้วว่าคุณกำลังไม่มีความสุขเอาเสียเลย

5.คุณผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ


การที่คุณบอกตัวเองว่าเดี๋ยวค่อยทำ และผลัดมันไปเรื่อยๆ คือปัญหาสะสมเรื้อรัง และดูเหมือนว่าสิ่งที่คุณเลื่อนไปเรื่อยๆจะไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้ ไม่มีใครอยู่ได้ไปตลอดกาล ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้หรือชาติหน้าอะไรจะมาก่อน คุณควรทำในสิ่งที่คุณอยากทำตอนนี้ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป การผลัดผ่อนสิ่งต่างๆในชีวิตออกไปเรื่อยๆ เป็นอีกสัญญานที่บ่งบอกว่าคุณยังไม่พร้อม หรือ ติดค้างปัญหาอื่นๆอยู่

การเปลี่ยนแปลงคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง คุณต้องมีความเชื่อก่อนว่าคุณสามารถทำได้ และสามารถทำได้ด้วยดี คุณต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง และมีความสุข ไม่มีสิ่งไหนในชีวิตได้มาง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความพยายาม ชีวิตคุณลิขิตได้ เพียงแค่คุณเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเปลี่ยนมุมมองความคิดเพื่อทำให้ชีวิตคุณมีความสุขขึ้น

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

เครดิต : Huffington post

http://www.huffingtonpost.com/kimanzi-constable/5-signs-youre-not-happy-with-your-life-and-what-you-can-do-about-it_b_8166980.html?utm_hp_ref=gps-for-the-soul&ir=GPS+for+the+Soul

4 นิสัยสร้างสุขที่คุณทำได้ ง่ายกว่าที่คิด

“ความสุขไม่ใช่สิ่งสำเร็จรูป แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากการกระทำของเราเอง” – องค์ดาไล ลามะ

คุณไม่สามารถมีความสุขได้ตลอดเวลา แต่คุณสามารถที่จะเรียนรู้การมีความสุขผ่านช่วงเวลาที่ดีและร้ายในชีวิต มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณไม่มีความสุขเพราะเจ้านายคุณงี่เง่า แฟนคุณไม่ได้ดั่งใจ หรือเพื่อนคุณพูดอะไรขัดหู แต่ทั้งหมดนั้นมันมาจากตัวคุณเอง คุณไม่มีความสุขกับงาน คุณไม่มีความสุขกับเรื่องต่างๆ เพราะตัวคุณ และใจคุณเองเป็นคนกำหนด

ความสุขของคุณอาจไม่ใช่ความสุขของคนอื่น หรือความสุขของคนอื่นอาจเป็นความทุกข์ของคุณ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่ต้องมีปฎิสัมพันธ์กัน คุณไม่สามารอยู่คนเดียวได้โดยไม่พึ่งพาคนอื่น ด้วยสังคม อาชีพ หน้าที่การงาน และความรับผิดชอบ อาจทำให้คุณและคนรอบตัวคุณเกิดผิดใจกัน หรือ ทำให้เกิดความสุขน้อยลง จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง และจุดแตกหักภายหลัง เราไม่สามารถควบคุมความสุขจากสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ แต่เราสามารถควบคุมตัวเราเอง โดยการสร้างพฤติกรรมที่ทำให้เรามีความสุขจำภายในได้

พฤติกรรมที่ทำให้คุณมีความสุข

คุณสามารถมีความสุขจากสิ่งเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันของคุณได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณมองข้าม และคุณไม่จำเป็นต้องใช้เงินฟุ่มเฟือย หรือ ใช้แรงกายมากมายในการสร้างความสุขเหล่านั้นให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคุณ

1.เขียน 3 สิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขในแต่ละวัน

คุณอาจเริ่มการจดบันทึก หรือ เขียนสิ่งที่ทำให้คุณยิ้ม หัวเราะ หรือมีความสุขในวันนี้ คุณแค่ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง และทบทวนว่าวันนี้คุณทำอะไรบ้าง สิ่งไหนที่ทำให้คุณรู้สึกดี และสิ่งไหนที่คุณไม่ชอบ ทำให้คุณอึดอัด กังวล หรือคิดมาก คุณจะค้นพบตัวเองว่าคุณชอบทำอะไร และอะไรคือสิ่งที่สร้างความสุขให้คุณในแต่ละวัน มันไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้คุณยิ้มได้ มันอาจเป็นอะไรเล็กๆน้อยๆ ระหว่างวันก็ได้ ขอเพียงแค่คุณรู้สึกดีกับมันก็พอ

2.ช่วยเหลือผู้อื่น

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณนึกถึงแต่ตัวเอง ทำทุกอย่างทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง หรือเอาความต้องการของตัวเองเป็นหลัก เมื่อนั้นคือคุณกำลังเป็นคนที่ไม่มีความสุข เพราะคุณมองแค่มุมเดียวจากตัวเอง อะไรที่ไม่ได้ดังใจ หรือขัดใจ จะทำให้คุณมีอารมณ์ขุ่นมัว และรู้สึกหงุดหงิด แต่ถ้าคุณลองเปิดใจ ลองมองโลกในมุมของคนอื่น คุณจะเห็นความทุกข์ของคนอื่น และรู้ดีว่าคุณโชคดีกว่าพวกเขามากแค่ไหน คุณสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้ เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น การให้โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน และเห็นคนที่คุณช่วยเหลือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากการช่วยเหลือของคุณ คุณจะรู้สึกอิ่มเอม ตื้นตัน และมันเป็นความสุขที่ไม่สามารถซื้อได้

3.ทำสมาธิ

การทำสมาธิ คือพื้นฐานที่จำเป็นของชีวิต และคุณควรฝึกเป็นนิสัย การทำสมาธินอกจากทำให้จิตใจคุณสงบ รู้สึกผ่อนคลาย มันยังเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คุณได้อยู่กับความคิด และอยู่กับตัวเองจริงๆ ทำให้คุณมีสติรับรู้ ตกผลึกทางความคิดมากขึ้น การทำสมาธิทำให้คุณใช้ชีวิตและให้ความสำคัญกับคำว่าปัจจุบัน เพราะความทุกข์ที่เกิดส่วนใหญ่ในใจคุณมักมาจากการที่ไม่สามารถลืมอดีตอันเจ็บปวด หรือการกังวลไปกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง การทำสมาธิจะทำให้คุณลดความกังวลและอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น การทำสมาธิสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา และไม่มีค่าใช้จ่ายต้นทุนใดๆ นอกจากต้นทุนเวลา คุณสามารถฝึกสมาธิแค่เพียง 2 นาทีต่อวัน เพียงแค่คุณสังเกตและพิจารณาลมหายใจเข้าออก คุณก็จะรับรู้ถึงความสงบสุขในใจได้

4.ออกกำลังกาย

ทุกคนรู้ว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งดี แต่การออกกำลังกายไม่ได้ทำให้ร่างกายคุณกระปรี้กระเปร่าเท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจคุณปลอดโปร่งอีกด้วย การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายของคุณหลั่งฮอร์โมนซึ่งเป็นสารความสุข ทำให้คุณรู้สึกมีความสุขมากขึ้น ถ้าคุณไม่ได้ออกกำลังกายเป็นนิสัย คุณสามารถเริ่มจากการออกกำลังกายเบาๆก่อนก็ได้ เพื่อให้ร่างกายคุณเริ่มชินและให้เวลากับคุณในการปรับตัว ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องออกกำลังกายเป็นชั่วโมง คุณสามารถแบ่งเวลาการออกกำลังกายได้แค่ 5-10 นาที ที่บ้าน ถึงแม้ว่าคุณจะยุ่งมากแค่ไหน แต่คุณก็ควรจัดตารางเพื่อการออกกำลังกายนี้ เพียงแค่ไม่กี่นาทีต่อวัน กับกิจกรรมที่ทำให้คุณแข็งแรงขึ้นและมีความสุขขึ้น

มีกิจกรรมอีกหลายอย่างที่เพิ่มพูนความสุขของคุณในแต่ละวัน เช่น การกินอาหารที่อร่อย การดื่มชา การเล่นโยคะ การพบปะสังสรรค์กับเพื่อนเก่า อะไรที่ทำให้คุณมีความสุขและสนุกกับสิ่งนั้น จงทำมันบ่อยๆ แต่ถ้าอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกกังวล จงถอยออกห่าง

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือ การเพิ่มความสุขให้กับชีวิตเล็กๆน้อยๆ มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ใช้เงินมหาศาล ใช้เวลามาก หรือทำให้คุณเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิต คุณสามารถเริ่มได้จากสิ่งเล็กๆ แต่ทำมันอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเต็มใจ และคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิต

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

http://zenhabits.net/brighten/

10 วิธี ที่ทำให้คุณเลิกนิสัยแย่ๆ

10 ways to make quitting a bad habit

คุณอาจเคยหงุดหงิดกับนิสัยแย่ๆของตัวเอง  ที่บางครั้งคุณก็รู้อยู่แกใจว่านิสัยเหล่านี้ไม่มีใครชอบ และคุณก็ไม่อยากที่จะมีนิสัยแย่ๆแบบนี้หรอก แต่ว่าคุณก็เลิกทำไม่ได้ซักที   คุณสามารถที่จะค่อยๆลด และเลิกนิสัยแย่ๆของคุณได้ โดยการลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตาม 10 ข้อ ที่แนะนำนี้  คุณไม่จำเป็นที่จะต้องทำทุกข้อ แต่ถ้ายิ่งทำได้หลายข้อ มันก็จะยิ่งเป็นประโยชน์กับตัวคุณเอง

1.สร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่

ถ้าคุณตั้งใจจะเลิกสูบบุหรี่แบบจริงจัง มันไม่ใช่แค่ว่า ถ้าหยุดสูบแล้วจะดีกับสุขภาพคุณเอง แต่คุณต้องมีทัศนคติ และความเชื่อมที่ยิ่งใหญ่ก่วานั้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีในการเลิกสูบบุหรี่ เช่น ทุกครั้งที่ฉันสูบบุหรี่ ฉันกำลังตายผ่อนส่งอยู่ หรือ คนที่ฉันรู้จักตายเพราะมะเร็งปอด ถ้าไม่อยากตายแบบทรมาน ฉันต้องเลิกพฤติกรรมแย่ๆนั้นเดี๋ยวนี้

 

2.สัญญากับตัวเอง

คุณสัญญากับตัวเอง ว่าคุณจะไม่ทำสิ่งแย่ๆอีก แต่นั่นอาจไม่พอ เพราพอถึงเวลาจริงๆ คุณอาจใจอ่อนกับตัวเอง เทคนิคก็คือ คุณต้องบอกเพื่อนรอบข้าง บอกคนใกล้ชิด บอกให้โลกรู้ ว่าคุณมีแผนจะลด ละ เลิกสิ่งที่ไม่ดี และเมื่อคุณมีความคิด หรือ อยากจะไปทำพฤติกรรมแย่ๆอีก  พวกเขาเหล่านั้น คือคนที่จะมาเตือนสติคุณ ให้กำลังใจคุณ และอยู่เคียงข้างคุณ ไม่ให้คุณกลับไปใช้ชีวิตแย่ๆแบบเดิมอีก

 

3.ระวังสิ่งกระตุ้น

อะไรคือสิ่งหลักที่กระตุ้นให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆเหล่านั้น คุณต้องหามันให้เจอ และคอยระวังมัน ไม่ให้คุณไปถึงจุดนั้น เช่น คุณสูบบุหรี่ก็ต่อเมื่อมีคนชวน  เห็นคนสูบบุหรี่ หรือได้กลิ่นบุหรี่ สิ่งเหล่านี้สามารถกระตุ้นสัญชาติญาณดิบของคุณ โดยที่คุณไม่สามารถหักหามใจได้  คุณจะรู้สึกหงุดหงิด และห้ามตัวเองไมได้ จงสังเกตตัวเองให้ดีว่าอะไรคือสิ่งเร้า หรือสิ่งกระตุ้น ให้คุณเลิกนิสัยแย่ๆแบบนี้ไม่ได้ซักที

 

4.รู้ที่มาของพฤติกรรมแย่ๆ

อะไรคือปัจจัยหรือสาเหตุที่ทำให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุ คุณต้องหาสาเหตุนั้นให้เจอ โดยการพิจารณาตัวเอง และซื่อสัตย์กับตัวเอง เช่น ถ้าคุณเป็นคนอ้วน เพราะชอบกินของหวาน และคุณอยากที่จะเลิกกินของหวาน เพราะรู้ว่ามันไม่ได้ดีกับสุขภาพ และทำให้คุณยิ่งอ้วน คุณต้องหาสาเหตุให้เจอว่าทำไมคุณถึงอยากกินของหวาน ชอบกินของหวานตอนไหน  ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากกินของหวานตอนที่คุณรู้สึกเครียด รู้สึกเศร้า หรือรู้สึกหดหู่ ของหวานจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น

 

5.หากิจกรรมอื่นทดแทน

คุณอาจชอบสูบบุหรี่ ชอบใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น หรือ ชอบกินอาหารที่ทำลายสุขภาพ เมื่อคุณเครียด หรือ ท้อแท้  คุณสามารถแก้พฤติกรรมแย่ๆเหล่านี้ได้ โดยการหากิจกรรมอื่นมาทดแทน เพื่อบำบัด ความเครียด หรือระบายความรู้สึกของคุณ เช่น สมัครคอรส์เรียนชกมวย  ดูหนัง ร้องคาราโอเกะ  แต่กิจกรรมใหม่ๆที่หามาทดแทน ควรจะมีเพื่อนหรือคนรัก คอยให้กำลังใจคุณด้วย

 

6.มีสติกับสิ่งกระตุ้นรอบตัว

หลังจากที่คุณรู้แล้วว่าสิ่งไหนเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆ คุณควรที่จะระวัง และอยู่ห่างปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดสิ่งกระตุ้นเหล่านั้น  เช่น ถ้าคุณได้ยินเสียงน้ำแข็งกระทบแก้ว แล้วทำให้คุณอยากเหล้า หรือ ได้กลิ่นควันจางๆแล้วทำให้คุณอยากสูบบุหรี่ จงมีสติ ดื่มน้ำ และหายใจเข้าออกช้าๆ คุณสามารถให้เพื่อนคุณช่วย และคุณควรเดินออกจากสิ่งแวดล้อมตรงนั้นให้เร็วที่สุด

 

7.สร้างนิสัยใหม่ๆหลังจากเจอสิ่งกระตุ้น

มันยากมากที่จะเปลี่ยนนิสัย หรือสัญชาตญานหลังจากที่คุณทำมันมานานแสนนาน แต่คุณสามารถเริ่มนิสัยใหม่ได้ ด้วยการมีสติ และความเชื่อ คุณต้องพึงระลึกอยู่เสมอ และแข็งใจกับสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นต่างๆรอบข้าง เช่น ทุกครั้งที่คุณได้กลิ่นบุหรี่ แล้วอยากสูบบุหรี่ ให้คุณเปลี่ยนไปเคี้ยวหมากฝรั่งแทน ทำมันทุกครั้งจนติดเป็นนิสัยใหม่ แต่ถ้ามันเกิดข้อผิดพลาดที่คุณไม่สามารถหักห้ามใจ หรือเผลอที่จะมีหรือแสดงพฤติกรรมแย่ๆออกมา คุณควรให้อภัยตัวเอง และเริ่มใหม่ให้เร็วที่สุด

 

8.ระวังความคิดของคุณ

เพราะความคิด และความเชื่อมีผลต่อพฤติกรรม และการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆในชีวิตคุณ คุณต้องระวังความคิดคุณให้มาก  ถ้าจะมีเหตุผลหรือข้อแก้ตัวสำหรับพฤติกรรมแย่ๆ เช่น วันนี้วันเกิดฉัน ขอเว้นวรรคสักวัน หรือ ฉันเพิ่งปิดจ็อบงานนี้สำเร็จขอให้รางวัลตัวเองหน่อย  คุณควรหยุดความคิดแบบนี้ ในการเข้าข้างตัวเอง ถ้าคุณอยากจะเลิกนิสัย หรือ พฤติกรรมแย่ๆของตัวเอง

9.ค่อยๆเลิก

มันไม่จำเป็นที่จะต้องหักดิบ เลิกทันที เลิกเลย คุณสามารถค่อยๆลด และละ จนเลิกได้ เช่นถ้าคุณอยากเป็นคนตื่นเช้า แต่ปกติคุณตื่นเที่ยงตลอด คุณอาจเริ่มด้วยการตื่นตอน 11 โมง  และวันต่อไปๆ คุณอาจเริ่มนอนให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมง และตื่นให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมง  การที่ตั้งเป้าทีละเล็กละน้อย ในแต่ละวัน มันเป็นเป้าหมายที่ทำได้ง่าย และคุณจะรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณทำมันสำเร็จในแต่ละวัน มันเป็นกำลังใจที่ดีที่ทำให้คุณไปถึงเป้าหมายของคุณได้ง่ายขึ้น และทำให้คุณเป็นคนใหม่

 

10.เรียนรู้จากข้อผิดพลาด

บางครั้งเราก็พลาดได้ ให้อภัยตัวเอง ล้มแล้วลุกขั้นใหม่ให้เร็วที่สุด พิจารณาสิ่งที่เกิดตามความเป็นจริง ไม่เข้าข้างใคร ยอมรับมัน และหาแผนสำรองเพื่อกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก และทุกครั้งที่มันเกิดขึ้นซ้ำ คุณจะต้องรับมือมันได้ดีกว่าเดิม คุณต้องมีพัฒนาและเข้มแข็งขึ้น การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดคือสิ่งที่ทำให้คุณใกล้เป้าหมายมากยิ่งขึ้น

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลายคนล้มเลิกความตั้งใจกลางครันเพราะมองข้ามสิบข้อเหล่านี้ จงอย่าเป็นไอ้ขี้แพ้  ทุกคนสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ เพียงแค่คุณใช้ความตั้งใจ ความพยายาม และแรงบันดาลใจ

 

 

 

 

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

http://zenhabits.net/bad/

 

 

เผย 5 เคล็ดลับ สร้างความสุข ตั้งแต่อายุน้อย

happyyouth

คนเรา ยิ่งอายุมาก ทั้งความรับผิดชอบ ตำแหน่งฐานะ การงาน อาจทำให้การเข้าถึง “ความสุข” เป็นเรื่องยาก เพราะกฎเกณฑ์และมาตรฐานในชีวิตสูง

ความสุข คือ “ทักษะของจิตใจ” ที่ควรฝึกฝนตั้งแต่อายุน้อย นั่นจะทำให้คนๆนั้นเป็นคนที่มีความสุขได้ง่าย และบ่อยครั้ง

เหล่าบรรดา Gen Y, Gen Z อาจจะสงสัยว่า แล้วทำไมผู้ใหญ่ทั้งหลาย ต้องสร้างกรอบมาตรฐานเยอะแยะให้กับตัวเองด้วย แทนที่จะเลือกให้ตัวเอง พบเจอแต่ความสุขได้เลยตั้งแต่อายุน้อยๆ แต่ก็ไม่ทำกัน หรือคนที่เป็นผู้ใหญ่เหล่านั้น อาจจะยังไม่ได้รู้ถึงเคล็ดลับ  5 ข้อนี้ ก็เป็นได้

1.ความเด่นดัง ไม่ใช่หนทางสู่ความสุข

คนในยุคนี้ไม่ว่าใคร ก็อยากที่จะมีชื่อเสียง เด่นดังด้วยกันทั้งนั้น เพราะมันจะนำมาซึ่งความสุข เงินทอง และการนับหน้าถือตา อำนาจ อภิสิทธิ์ต่างๆที่คนอื่น มอบให้กับเรา ตอนที่อายุยังน้อยๆอาจจะไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ต่อมาเมื่อไปชอบดารา นักร้อง หรือไอเดอลต่างๆ ก็อยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง จึงพยายามทำหลายๆวิธีให้มุ่งไปสู่จุดนั้น ทั้งๆที่อาจไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบและรักที่จะทำจริงๆ แต่ทำไปเพราะอยากดัง

คุณรู้หรือไม่ว่า ความดังและชื่อเสียงที่ได้รับมานั้น มันเป็นสิ่งของปลอม เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมาทั้งหมด เพราะในวันหนึ่งมันก็ต้องเสื่อมไป ถ้าคนที่คิดได้ ก็จะไม่หลงไปกับสิ่งเหล่านั้น แต่ส่วนใหญ่จะคิดกันไม่ได้ และจะทำให้กลายเป็นคนหลงอำนาจ ใช้สิ่งที่มีไปในทางที่ผิด เมื่อวันหนึ่งที่อำนาจเหล่านั้นได้หมดลงไป คนพวกนี้จะทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส เพราะไม่เหลือใคร ที่จะสนใจ หรือให้การยอมรับเหมือนวันก่อน

Tips: ทำสิ่งในที่รัก และทำให้เต็มที่ ตั้งเป้าในการพัฒนาตัวเอง สร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับผู้คน ระวังในอำนาจวาสนาที่ได้มาอย่างรวดเร็ว ไม่หลงไปกับความฟุ้งเฟ้อที่จอมปลอม ส่วนความเด่นดัง ถ้ามี ก็เป็นเพียงผลพลอยได้ ไม่ใช่เป้าหมายในชีวิต

2. หมั่นสังเกต สิ่งเล็กน้อย รอบๆตัว

ตอนเราอายุน้อย ผู้ใหญ่ในครอบครัว มักจะปลูกฝังว่า ความสุขไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ง่ายๆ แต่ต้องผ่านความยากลำบากในชีวิตเสียก่อน ที่คิดว่าสร้างยากนั้น อาจเพราะเค้าเห็นว่า บางคนต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และเสียสละชีวิตส่วนตัวไป เพื่อที่จะแลกกับความสุขกลับมา ก็เลยคิดว่า ถ้าอยากได้ความสุขแล้ว ต้องทำแบบคนๆนั้น ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่จำเป็นเลย ความสุขอยู่รอบๆตัวเราเต็มไปหมด ถ้าเราฉลาดพอ ที่จะคิดให้เป็น เราก็จะสามารถสะสมความสุขเหล่านั้น ให้มาอยู่กับเราได้ โดยที่ไม่ต้องลำบากเลย

Tips: ความสุขที่แท้จริง อาจจะอยู่รอบๆตัวคุณอยู่แล้วก็ได้ ลองดูเด็กตัวเล็กๆ เค้าจะมีความสุขง่ายๆ กับสิ่งเล็กๆน้อยๆ หัวเราะดังๆ ยิ้มได้กว้างๆ ดังนั้น ในทุกวัน หมั่นลองสังเกตสิ่งรอบๆตัวคุณดู ว่าอะไรที่หากขาดมันไป อาจส่งผลกระทบกับคุณได้ เช่น คุณมีรถมอเตอร์ไซค์ ที่ไม่เคยเห็นความสำคัญ แต่วันไหนถ้ามันพังขึ้นมา คุณก็ต้องลำบากไปขึ้นรถเมล์ สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้คุณอาจจะหลงลืมไปในชีวิตไปก็ได้ เพราะอาจจะคิดว่า มันไม่มีความสำคัญต่อคุณสักเท่าไหร่ในตอนนี้ เลยทำให้มองข้ามมันไป

3.อย่ามัวสนใจ แต่เรื่องของตัวเอง

การสนใจตัวเอง เป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้เราเข้าใจ และรู้จักพัฒนาข้อบกพร่องต่างๆ เกี่ยวกับตัวเราให้ดีขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้เรา เป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด คนหนึ่งได้เลยทีเดียว แต่ทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ ถ้าเราใช้มันไม่เป็น การสนใจแต่เรื่องของตัวเอง จนมองข้ามเรื่องของคนอื่นไป ในสายตาคนอื่น เราอาจจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวได้ง่ายๆ

ตอนอายุน้อยเราอาจจะไม่รู้สึกตัว เพราะเรายังคงหมกมุ่นอยู่แต่ความสุขของตัวเอง แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ต้องการขอความช่วยเหลือ ทีนี้ เราก็จะเริ่มเห็นแล้วว่า ไม่มีใคร อยากที่จะยื่นมือมาช่วยเหลือเราเลย เพราะเรา ไม่เคยที่จะสนใจช่วยเหลือคนอื่นมาก่อนนั่นเอง

Tips: ลองเปิดโลกของตัวเอง ออกจากแค่ที่ทำงาน แนะนำให้ลองไปทำกิจกรรมอาสา หรือทำค่ายพัฒนาต่างๆ เราจะพบว่า โลกนี้มีมิติที่หลากหลาย สังคมและผู้คนยังขาดโอกาสและแตกต่างจากเรามาก และการแบ่งปันให้กับผู้คนที่ด้อยโอกาสกว่า เราจะพบคุณค่าและความสามารถในตัวเอง ที่เราอาจไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน

4. สร้างสังคมที่ดี เริ่มที่ตัวเรา

ตอนอายุน้อย หลายคนไม่เคยสนใจเรื่องปัญหาสังคม การเมือง หรือสิ่งแวดล้อม เพราะดูเป็นเรื่องไกลตัว และด้วยเราเป็นเด็ก ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่เชื่อไหม แม้คนเป็นผู้ใหญ่อายุมาก ก็คิดเช่นเดียวกัน ว่าเป็นแค่คนๆหนึ่ง คงไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ จึงเมินเฉยต่อเรื่องราวในสังคม อย่างมากก็แค่บ่น แต่ไม่ทำอะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือนักการเมือง ที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้ว ปัญหาใดๆก็ตาม ไม่อาจแก้ได้ด้วยใครคนใดคนหนึ่ง แต่มาจากคนเล็กๆหลายๆคนเข้ามาช่วยกัน

Tips: แม้จะอายุน้อย เราเองก็เป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัวได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปยืนประท้วงหรือทำอะไรที่เบียดเบียนตัวเอง เริ่มด้วยการเป็นคนอารมณ์ดีแจ่มใสอยู่เสมอ จริงใจ พร้อมจะเอื้อเฟื้อช่วยเหลือคนอื่น เท่าที่มีกำลังความสามารถ เราก็สามารถสร้างสังคมเล็กๆแห่งการแบ่งปัน สร้างความเป็นกันเองให้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าสังคมนั้นจะเป็นระดับครอบครัว เพื่อนฝูงที่ทำงาน ชมรมต่างๆ ขอแค่เราเป็นคนที่พึ่งให้ตัวเองได้ เป็นที่พึ่งให้คนอื่นด้วยการทำประโยชน์ให้ผู้คนรอบตัว  แล้วเราก็จะพบว่าการสร้างสังคมที่ดี ก็เริ่มได้แค่นี้เอง

5. ฝึกเจริญสติ

ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ สิ่งผิดพลาดต่างๆ ในชีวิต ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการที่เราขาดสติ ในการทำสิ่งนั้นๆไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านรุนแรง ผลออกมา กลายเป็นความผิดพลาดที่เราต้องมาเสียใจภายหลัง การฝึกสมาธิหรือเจริญสติ จึงเป็นสิ่งที่ดี เพราะเหมือนเป็นเกราะป้องกันภัย ให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด การฝึกสตินั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้เราประสบกับปัญหาชีวิตหนักๆก่อน ถึงจะเริ่มสนใจ แต่เรื่องการเจริญสตินั้น ทุกคนควรหมั่นฝึกทำให้เป็นนิสัย เพราะมันง่ายมากๆ ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ทำตอนนี้เลยก็ยังได้

Tips: การเจริญสติไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตานานๆ แต่แค่ฝึกรับรู้ลมหายใจเข้าออก และรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง ทำกิจวัตรอะไรก็ให้ระลึกรู้อยู่เนืองๆ เริ่มจาก 5 นาที 10 นาที แล้วค่อยเพิ่มเวลาให้มากยิ่งขึ้น พอมีสติยาวนาน ก็จะกลายเป็นสมาธิที่มั่นคง เมื่อสมาธิเราดีแล้ว ปัญญาก็จะเกิดโดยง่าย เราก็จะคิดได้ด้วยตัวเองว่า สิ่งไหนที่ทำแล้วมีความสุข สิ่งไหนที่ทำแล้วจะทุกข์ ก็จะไม่เกิดความผิดพลาด ขึ้นเพราะอารมณ์พาไปเหมือนแต่ก่อน

ถึงตรงนี้ คุณผู้อ่าน Gen Y Gen Z ก็รู้แล้วว่า ความสุขที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการที่เรามีสิ่งของ มีเงินทอง  อำนาจชื่อเสียง มากมายเสมอไป อย่าไปติดหลุมพรางกับดักเหมือนผู้ใหญ่เค้า หากได้ฝึกปฏิบัติกับเคล็ดลับสร้างสุข ทั้ง 5 วิธีที่แนะนำไป ก็จะทำให้เรามีความสุขได้เลย ไม่ต้องรอให้ประสบความสำเร็จหรือรวยก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้ คุณมีความสุขแล้ว ก็จงภูมิใจได้เลยว่า คุณเป็นคนส่วนน้อยในสังคม ที่เดินมาถูกทาง

เผย 5 เทคนิค ปรับความคิด ชีวิตเป็นสุข

happymindset

มนุษย์เรานั้น จะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิด คิดดี ก็จะมีความสุข คิดไม่ดี จิตใจก็จะเป็นทุกข์ เชื่อไหมว่า แม้สถานการณ์ภายนอกจะไม่เปลี่ยนเลย แต่หากเราสามารถปรับความคิดได้ ความสุขก็จะเกิดขึ้นในทันที

ฉะนั้นแล้ว จะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถฝึกความคิดตัวเอง ให้โฟกัสหรือจดจ่อในสิ่งที่ดีๆได้ เพราะมันจะทำให้เราพบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ ในขณะที่คนคิดแง่ลบ ก็จะเจอแต่เรื่องแย่ๆในชีวิตทุกวัน

ต่อไปนี้เป็น “5 เทคนิค ปรับความคิด ชีวิตเป็นสุข” ที่เรารวบรวมมาให้ท่านได้ลองใช้กัน

1.รู้เท่าทันความคิด

ไม่ปล่อยให้ความคิด ล่องลอยไปมาบ่อยๆ คนเรา ถ้าไม่เคยสังเกตดูความคิดของตัวเองแล้ว ก็จะไม่รู้ได้เลยว่า วันหนึ่งๆนั้น ความคิดเรา เกิดขึ้นมา และดับไป มากมายขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็น คิดเรื่องงาน เรื่องแฟน เรื่องเงิน หรือเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกมากมายสารพัด เชื่อหรือไม่ ความคิดกว่า 90% ในแต่ละวัน ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้เราเลย บางครั้งกลับจะทำร้ายเราเสียด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเรารู้เท่าทันความคิดได้แล้ว จะทำให้เรามีสติอยู่กับตัวเองมากขึ้น และเราจะรู้ตัวตลอด ว่าตอนนี้เรากำลังคิดอะไรอยู่ หรือกำลังจะทำอะไรต่อไป ไม่เชื่อ ท่านก็ลองสังเกตความคิดของตัวเองดูสิครับ แล้วท่านจะรู้เลยว่า ที่ท่านทุกข์ หรือหาความสุขไม่ได้อยู่นั้น ที่แท้ก็มาจากสิ่งที่ท่าน เป็นคนคิดมันขึ้นมา ทั้งนั้นเอง

Tips: ลองนั่งเงียบๆสักวันละ 5-10 นาที โดยไม่ต้องทำอะไร เพียงแต่ใช้ฝึก “รู้สึกตัว” เพื่อสังเกตความคิดของตัวเอง ความคิดเกิดขึ้นอย่างเป็นอัตโนมัติ มันจะแปรเปลี่ยนไปอยู่แล้วตามธรรมชาติ ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องไปบังคับมัน เพียงแต่ให้เรา “รู้เท่าทัน” ก็พอ

2.อย่าประมาทความคิด

ก็แค่คิดเฉยๆ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ผิดหรอก นี่เป็นสิ่งที่หลายๆท่านเคยทำ หรือกำลังทำอยู่ แต่ขอให้ท่านระวังเรื่องนี้ ไว้สักหน่อยก็ดีนะครับ เพราะเมื่อคนเรา คิดเรื่องใดซ้ำๆในทุกๆวัน บางที่ อาจจะเผลอทำสิ่งที่คิดลงไป โดยที่เราไม่ทันระวังตัวก็เป็นได้ ถ้าเป็นเรื่องที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงแล้ว ท่านจะพบกับความเสียใจอย่างแน่นอนที่สุด เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าประมาทกับความคิดกันนะครับ แม้มันจะเป็นแค่เพียง ความคิดเฉยๆก็ตาม

Tips: หากเมื่อไหร่รู้สึกตัวว่ามีความคิดที่ไม่ดีต่อคนอื่น ขอให้มองเข้าไปให้ลึกว่า เรารู้สึกอย่างไร และต้องการอะไรจากเรื่องนี้กันแน่ ทำความเข้าใจตัวเองด้วยเหตุผล และปรับความคิดให้เป็นกลาง ก่อนที่มันจะกลายเป็นการกระทำที่เราอาจต้องมาเสียใจทีหลังนะครับ

3.อยากเป็นคนแบบไหน ให้คิดเหมือนคนแบบนั้น

พลังของความคิดนั้น มีมากจนบางทีเราก็คาดไม่ถึงเลยทีเดียวนะครับ ยกตัวอย่างเช่น ผมเคยอยากลดน้ำหนัก แต่ทำอย่างไรก็ลดไม่ได้สักที ใช้หลายวิธี แม้จะลดลงไปบ้าง แต่ในที่สุดน้ำหนักก็จะกลับมาเท่าเดิม ผมก็เลยลองมาสังเกตตัวเอง ว่ามีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่อง “การกิน”

ผมพบว่า แนวความคิดในการกิน คือ “กินอย่าให้เหลือ เพราะเสียดายของ” ซึ่งคนที่คิดแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็น “คนอ้วน” ครับ นิสัยของผม เมื่อไปกินข้าวกับใคร ถ้าเห็นอาหารเหลือในจานกลาง ผมก็จะเก็บกวาดจนเกลี้ยงจาน เมื่อมีวิธีคิดแบบคนอ้วน จึงไม่แปลกเลยที่ผมอ้วน พอรู้แบบนี้ ผมเลยลองไปคุยกับคนผอม คนใกล้ตัวในบ้านที่ผอมก็คือ คุณยาย ซึ่งแนวคิดในการกินของคุณยายคือ “กินแค่พออิ่ม เหลือก็เก็บไว้มื้อต่อไป” พอผมเปลี่ยนแนวคิดเป็นแบบคุณยาย กินแค่พออิ่ม ไม่ได้กินให้อิ่มจนจุก ไม่นานนัก น้ำหนักผมก็ค่อยๆลดลงอย่างมาก แถมประหยัดเงินด้วย

Tips: หากเรายังมีนิสัยไม่ดีที่ยังแก้ไม่ได้ เป็นไปได้ว่าเรามีแนวคิดที่ไม่โอเค ขอให้สำรวจแนวคิดนั้นว่ามันทำลายตัวเราอย่างไร ตั้งเป้าหมายที่เราต้องการ แล้วไปค้นหาแนวคิดที่ส่งเสริมเป้าหมายนั้นจากคนอื่นๆมา จำไว้ว่า “อยากเป็นคนแบบไหน ต้องรู้จักคิดให้เหมือนกับคนแบบนั้น”

4.อยู่ในสังคมแบบไหน ก็เป็นคนแบบนั้น

สังคม สถานที่ หรือสภาพแวดล้อมต่างๆ เป็นสิ่งหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างสูง ต่อคนที่อยู่ในสถานที่ หรือสภาพแวดล้อมนั้นๆ มันจะหล่อหลอมเข้าไปอยู่ในตัวคนๆนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว เพราะต้องใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นทุกวันๆ จนกลายเป็นนิสัยหนึ่งของชีวิตเขาไปแล้ว

คนเราจะถูกดึงดูดให้ไปเจอกันคนประเภทเดียวกันเสมอ แม้ว่าตอนแรกเราจะไม่ได้เป็นคนแบบนั้น แต่ถ้าหากคลุกคลีกับคนแบบใดแบบหนึ่งนานๆ ก็มีแนวโน้มที่เราจะเอนเอียง ไปคิด ชอบ ทำ ในรูปแบบนั้นเช่นกัน ถ้าใครอยากมีความสุข แต่กลับไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนที่ชอบนั่งเม้าท์นินทา หรือตามดูเพจดราม่าเป็นประจำ แบบนี้จะหาความสุขได้จริงหรือ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเราอยากมีความคิดที่ดี ก็ต้องหาจุดเริ่มต้นที่ดี ให้กับตัวเราเอง เริ่มจากพาตัวเอง ไปอยู่ในสถานที่ หรือสภาพแวดล้อมที่ดีๆก่อนเลย

Tips: เคล็ดลับในการเปลี่ยนนิสัย ก็คือการเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ผู้คนที่คบ หรือการหาสังคมใหม่ๆ เช่น การไปเข้าสัมมนา เราจะเจอเพื่อนที่มีพลังงานดีๆ และแน่นอน เค้ามักจะนำพาโอกาสดีๆมาให้เราด้วย

5. มองปัญหา ให้เห็นเป็นโอกาส

คนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น เขาจะไม่มองปัญหาที่เกิดขึ้น ว่ามันเป็นปัญหาแบบที่เรามองกัน แต่เขาเหล่านั้นจะมองมันเป็นโอกาส ให้ได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ที่เขาคิดได้แบบนั้น เพราะว่าเขารู้จักที่จะคิด และได้แง่คิดเพราะผ่านล้มเหลวมาก่อนแล้ว คนเราถ้าไม่เคยได้ฝึกคิด หรือ ผ่านการคิดแบบนี้มาก่อนแล้วนั้น จะไม่สามารถคิดในแบบนี้ได้เลย ถ้าอยากประสบผลสำเร็จ จงหมั่นฝึกฝนความคิดของตัวเองทุกวันๆนะครับ “ฝึกมองปัญหา ให้เห็นเป็นโอกาส” แล้วท่านจะไม่กลัวปัญหา ที่จะเข้ามาในชีวิตของท่านอีกเลย เพราะทุกปัญหาที่ผ่านเข้ามานั้น มันจะกลายเป็นโอกาส ให้ท่านได้ก้าวข้ามไป เพื่อพบกับความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น ในอนาคตของท่านนั่นเอง

Tips: เมื่อเจอปัญหา หรือเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ให้เตือนตัวเองว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดีเสมอ” ในระยะสั้นอาจดูไม่โอเค แต่ในระยะยาว เรื่องนี้จะทำให้เราได้เรียนรู้ เติบโต และมีชีวิตที่ดีกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน

สุดท้าย ความสุขที่ได้จากการปรับความคิดที่ดีที่สุด ก็คือ การหยุดคิด เหมือนที่พุทธศาสนาสอนไว้เรื่องการปล่อยวาง การปล่อยวางก็คือ วางเฉย กับสิ่งต่างๆ หรือความคิด ที่เกิดขึ้นมา ณ ขณะนั้นๆ การรู้จักปล่อยวาง จะทำให้ใจเรา ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ท่านก็จะไม่เป็นทุกข์กับเรื่องอะไรเลย เพราะท่านจะไม่ยึดติดกับอะไร

การยึดติดนั้น คือ อยากให้ได้ อยากจะมี อยากให้เป็นดังใจเรา ยิ่งยึดมาก ยิ่งทุกข์มาก ซึ่งสิ่งที่ว่านี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด หากท่านทำได้แค่เพียงเล็กน้อย ท่านก็จะรับรู้ได้ทันทีเลยว่า ใจของท่านนั้น มีความสงบเพียงใด

ขอให้ทุกท่าน ได้ลองกลับไปพิจารณาฝึกจิต ฝึกความคิด ของตัวท่านดู ได้ผลดีประการใด อย่าลืมแชร์เทคนิคดีๆนี้ ให้กับเพื่อนๆ หรือคนที่ท่านรัก ด้วยนะครับ

บทความโดย Learning Hub Team

เผย 5 เคล็ดลับการปล่อยวางที่ทำได้จริง

สังคมปัจจุบันนี้ ต่างคนต่างแก่งแย่งแข่งขันเพื่อที่จะให้ตัวเองสำเร็จและเหนือกว่าคนอื่น จนบางครั้งก็ลืมนึกถึงความสุขและใช้ชีวิตในแบบยึดติดกับความสำเร็จมากจนเกินไป

บางคนเมื่อเจอกับความล้มเหลว และความผิดพลาดต่างๆแล้ว ก็ทำใจให้ปล่อยวางกับเรื่องนั้น ไม่ได้ บางคนถึงขั้นคิดสั้น ฆ่าตัวตายไปเลยทีเดียว 

=====

สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ฝึกทำใจวางเฉยกับเรื่องต่างๆ รอบตัวซึ่งก็คือการปล่อยวางกับความยึดมั่นถือมั่น

ถ้าทำได้ คุณจะเห็นอีกมุมมองของชีวิต ที่อาจจะไม่เคยได้เห็นมาก่อนเลยก็ได้

เมื่อพูดถึงคำว่าปล่อยวาง เราได้ยินกันบ่อยตั้งแต่เด็กจนโต  ดูเหมือนเป็นคำที่พูดง่ายแต่ทำทำได้ยาก Learning Hub จึงขอเสนอ 5 เคล็ดลับการปล่อยวางที่ทำได้จริงซึ่งคุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันทีที่อ่านจบ

=====

1.ให้อภัยอดีต

หลายคนมีอดีตที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่และเรื่องต่างๆ มักจะคอยตามหลอกหลอนอยู่เสมอ  ไมว่าจะดำเนินชีวิตไปทางไหน อดีตก็จะมาทักทายให้ได้เจ็บปวดอยู่เรื่อยๆ จนดูเหมือนว่าไม่สามารถพบความสุขได้เลย

สำหรับอดีตนั้น ลึกๆแล้ว มันเกิดขึ้นมาจากใจของเราที่ไม่ยอมปล่อยวางจากเรื่องนั้นๆ ทำให้ความคิดยังคงสร้างอดีตที่แสนเจ็บปวดมาคอยทิ่มแทงตัวเองอยู่ตลอดเวลา

Tips: เทคนิคในการปล่อยวางอดีต ก็คือ การให้อภัย ทั้งคนอื่น และตัวเราเอง

หากเรามองเห็นได้ว่า เหตุการณ์นั้นเป็นสิ่งที่ผ่านเลยไปแล้วไม่อาจหวนกลับมาแก้ไขได้อีก การให้อภัยคือการปลดปล่อยตัวเราจากความทุกข์ที่เกาะกินใจอยู่

และนั่นจะทำให้เรามีโอกาสได้ เริ่มต้นใหม่และทำให้เราสัมผัสกับความสุขในปัจจุบันได้อย่างเต็มเปี่ยมมากขึ้น

=====

2. หยุดกังวลเรื่องอนาคต

หลายคนมีชีวิตที่ดี แต่ไม่อาจมีความสุขได้เต็มที่ เพราะมีความกังวลกับอนาคตของตัวเอง  เช่น ถ้ามีมีลูก ก็กังวลกับอนาตคของลูกจนไม่อาจสงบจิตใจได้เลย

ในความเป็นจริง เราเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปยาวนานแค่ไหน เราอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ การทำวันนี้ให้ดีที่สุด และกลับมามีความสุขอยู่กับปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า

หลายคนยอมแลกความสุขในปัจจุบันเพื่อรอคอยความสุขที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต น่าเศร้าที่หลายคนนั้นจากโลกนี้ไป โดยที่ยังไม่ได้พบกับความสุขนั้นเลย

Tips: หากต้องการปล่อยวางอนาคต ให้ระลึกถึงความตายบ่อยๆ

เมื่อมองเห็นว่า ชีวิตของเราไม่แน่นอน ปัจจุบันคือสิ่งที่แน่นอนและจริงแท้มากกว่า และเราสามารถทำให้ปัจจุบันเกิดขึ้นได้จริง

การมีความสุขตั้งแต่วันนี้ ทำทุกอย่างให้เหมือนสิ่งสุดท้ายที่เราจะได้ทำมันจะทำให้เรา ทำทุกสิ่งออกมาอย่างดีที่สุด

ทำอย่างไรถ้ายังมีความคิดกังวลกับอนาคต การตระหนักรู้เท่าทันตัวเอง (Self – Awareness) ช่วยคุณได้ นี่คือแนวทางการฝึกตระหนักรู้ในตัวเองที่เป็นรูปธรรมและเป็นขั้นตอนที่สุด

=====

3.ฝึกการบริจาค

เป็นธรรมชาติของคนเราที่ต้องการความสะดวกสบาย เราจึงใช้ชีวิตเพื่อสะสมสิ่งของ ซื้อ เก็บ สะสมไว้เป็นปริมาณมาก จนบางครั้งก็มีเยอะเกินพอดี เยอะจนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองควรต้องมีอะไรบ้าง

ในความเป็นจริงทุกอย่างสิ่งต่าง ๆ ที่สะสมคือของที่เราไม่สามารถเอาไปได้เมื่อตายไปแล้ว แต่มนุษย์กลับยึดติดวัตถุเหล่านั้นเป็นอย่างมาก 

ทั้ง ๆ ที่วันหนึ่งถ้าเราตายไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นของไร้ค่าในทันที หลายคนแม้ป่วยหนัก ก็ยังหวงแหนสิ่งของ จนไม่ยอมปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ลงไป

Tips: หาเวลาประมาณสัปดาห์ละครั้ง ในการพิจารณาตู้เสื้อผ้า ห้องเก็บของ ลิ้นชักตู้

ดูว่ามีอะไรบ้างที่เราไม่เคยหยิบใช้เลยมากกว่า 1 ปี  จากนั้นให้ทยอยบริจาคสิ่งเหล่านั้นโดยไม่จำเป็นต้องเสียดาย

เพราะที่ผ่านมาเราเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีของชิ้นนั้นอยู่ ถ้าหากเราบริจาค มันจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นมากกว่า

ถ้าเราสามารถสละสิ่งเล็กๆน้อยๆ ได้อยู่เรื่อยๆได้จะทำให้เราสามารถปล่อยวางเรื่องใหญ่ต่างๆ ได้มากขึ้น

=====

4.มองเห็นทุกสิ่งเป็นสิ่งชั่วคราว

สถานะต่างๆในสังคมไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ลูกน้องหัวหน้า หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาทั้งนั้น มันจึงเป็นเพียงแค่สิ่งชั่วคราว

ที่บอกอย่างนี้เพราะไม่มีใครที่จะรักษาตำแหน่ง หรือบทบาทเหล่านี้ไปจนตายได้ เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้วเราก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีหน้าที่อะไร

ร่างกายเราจะกลับคืนสู่ธรรมชาติทั้งหมด ไม่มีอะไรติดตัวเราไปได้เลย นอกจากความดี ความชั่ว และเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เราจะไปยึดติด กับสิ่งที่คนอื่นสมมติให้เราทำไม ปล่อยวางแล้วหันมาสร้างสิ่งดี เพื่อให้คนรุ่นหลังได้จดจำเรา ในแบบที่น่าจดจำจะดีกว่า

Tips: หากเรารู้สึกว่าใจไปยึดติดกับอะไร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หน้าที่ ตำแหน่ง สถานะทางสังคม ให้ลองจินตนาการว่า อีกร้อยปีข้างหน้า สิ่งที่เรายึดถืออยู่นี้จะเป็นอย่างไร

เราจะพบว่า เรามองเห็นจุดจบของสิ่งต่างๆมองเห็นความเป็นสถานะชั่วคราว และไม่จีรังของสรรพสิ่ง

เมื่อระลึกรู้ เตือนใจตัวเองเนืองๆแบบนี้ เราจะสามารถปล่อยวางทุกสิ่งได้ง่ายยิ่งขึ้น

=====

5. ปล่อยให้มันเป็นไป

ที่สุดของการปล่อยวาง คือหยุดคาดการณ์และบังคับควบคุมอนาคต เพราะไม่มีใครที่จะสามารถหยั่งรู้ หรือจัดการกับอนาคตได้

สิ่งเดียวที่ทำได้ คือทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่มีวิธีอื่นใดอีก ที่จะทำให้อนาคตเราให้ดีได้ เมื่อทำวันนี้อย่างดีและเต็มที่แล้ว ก็จงปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยกฎของเหตุและผล

ไม่ว่าเราจะเจอสิ่งดีหรือไม่ดี ให้คิดว่า เราได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว ก็จะไม่ทำให้เราเสียใจภายหลัง

หลายๆ คนเคยคิดหรือไม่ว่า ที่เราเสียใจมากๆ กับเรื่องต่างๆ ที่เราผิดหวังนั้น จริงๆแล้ว เราเสียใจจากเรื่องอะไร เสียใจเพราะการเกิดขึ้นของเรื่องนั้นหรือเสียใจที่เราไม่ได้พยายามทำเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นอย่างเต็มที่กันแน่

Tips: เราสามารถวางแผน และสร้างเป้าหมายได้ แต่ไม่ต้องยึดติดว่าทุกสิ่งจะต้องดำเนินไปตามแผนที่วางไว้เสมอไป

แผนมีเพื่อเป็นแผนที่บอกทาง แต่การเดินทางจะบอกถึงการใช้ชีวิตที่แท้จริง

ฉะนั้นเมื่อวางแผนแล้วก็จงทำให้เต็มที่ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป โดยไม่ต้องกังวลหรือคาดหวังผลลัพธ์ วิธีนี้จะทำให้เรามีความสุขในทุกย่างก้าวของชีวิตอย่างแน่นอน 

=====

ปล่อยวาง เป็นคำที่ใครก็สามารถเขียนหรือพูดให้ดูดีได้ แต่คนที่ทำได้จริงมีน้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเสียเลยทีเดียวสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน

ถ้าในขณะนี้คุณกำลังมีความทุกข์ ขอให้ถามตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่า เรากำลังฝึกที่จะปล่อยวางบ้างหรือยัง

หวังว่าทั้ง 5 วิธีนี้ จะทำให้ท่านสามารถปล่อยวางเรื่องราวต่างๆในชีวิตได้มากขึ้น และหากคุณมีวิธีอื่นๆที่ใช้ได้ผล ก็ช่วยแบ่งปันในคอมเม้นท์ให้เราได้เรียนรู้ไปด้วยกันมากขึ้นนะครับ

และถ้าคุณอยากติดอาวุธให้กับการปล่อยวาง กรอบคิดแบบยืดหยุ่น หรือ Growth Mindset ช่วยคุณได้ ดูรายละเอียดหลักสูตร Growth Mindset for Effective work ที่นี่

=====

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 093 925 4962

10 สิ่ง ที่คนมีความสุขทำ ก่อนนอนทุกคืน

happysleep

เมื่อคืนคุณหลับสบายมั้ยคะ ปัญหาหนึ่งของคนเมืองก็คือ หลับไม่สนิท นอนไม่เต็มอิ่ม นั่นมาจากสาเหตุอะไร

เราทุกคนเข้าใจและรู้ดีว่า “การนอนหลับ” เป็นสิ่งสำคัญ แต่ทว่า กิจกรรมที่เราทำก่อนนอนก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน บางคนดูรายการโทรทัศน์ก่อนเข้านอน บางคนดื่มเบียร์กระป๋องพร้อมกับทานกับแกล้ม บางคนติดตามข่าวสารของเพื่อนๆผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นต้น กิจกรรมที่เราทำก่อนนอนเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อคุณภาพการนอน รวมทั้งสภาพอารมณ์ จิตใจ และความรู้สึกของเราในวันถัดไปด้วย

งานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่า คนที่มีความสุขมักทำกิจกรรมก่อนนอนที่ทำให้ตนเองพึงพอใจ และรู้สึกผ่อนคลาย พวกเขาจะทำสิ่งที่มีความสุขและก่อให้เกิดประโยชน์ ซึ่งตัวอย่างกิจกรรมก่อนนอนของพวกเขา คือ กิจกรรม 10 อย่าง ดังนี้

1. นั่งสมาธิ

ประโยชน์ของการนั่งสมาธิได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ การนั่งสมาธิเป็นประจำก่อให้เกิดผลดีมากมาย เช่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ช่วยรับมือกับปัญหาความเครียดและภาวะซึมเศร้า ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น

คนที่มีความสุขมักใช้เวลาก่อนนอนเพื่อนั่งสมาธิ วิธีการนี้ช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อน ผ่อนคลาย และเป็นการทำให้จิตใจนิ่งและสงบก่อนนอน การนั่งสมาธิเป็นเหมือนการขจัดสิ่งไม่ดีที่ได้เจอมาทั้งวัน และเป็นการเตรียมความพร้อมในการเริ่มต้นวันใหม่อย่างมีความสุข

2. อ่านหนังสือ

คนที่มีความสุขมักอ่านหนังสือก่อนนอน พวกเขาไม่ได้อ่านหนังสือการ์ตูน นิตยสาร เฟสบุค หรือทวิตเตอร์ แต่พวกเขาอ่านหนังสือหรือบทความที่สร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดเพื่อช่วยเป็นเชื้อเพลิงเติมไฟให้กับความคิดสร้างสรรค์และพลังของพวกเขาในวันรุ่งขึ้น สิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาเกิดจินตนาการเชิงบวก มองโลกในแง่ดี และช่วยผลักดันชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้น

การอ่านหนังสือที่ดีและมีประโยชน์จะทำให้คุณหลับไปพร้อมกับความคิดดีๆ คุณจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และตื่นขึ้นมาพร้อมความปรารถนาที่จะบรรลุเป้าหมายอย่างเต็มเปี่ยม

3. วางแผนสิ่งที่จะทำในวันพรุ่งนี้

ก่อนเข้านอน คนที่มีความสุขมักจัดตารางและวางแผนสิ่งต่างๆที่เขาจะทำในวันรุ่งขึ้น กล่าวคือ เขาจะเอาความกังวลที่วนเวียนอยู่ในหัวออกมาเป็นรายการที่ต้องทำไว้ การรู้สิ่งที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ทำให้เขารู้สึกสงบ ผ่อนคลาย จิตใจและสมองปลอดโปร่ง ดังนั้น เขาก็จะตื่นขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่น และมีเป้าหมายในการทำสิ่งต่างๆอย่างชัดเจน

4. คิดถึงสิ่งที่ได้ทำสำเร็จในแต่ละวัน

เบนจามิน แฟรงคลิน กล่าวไว้ว่า “เวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด เราจึงจำเป็นต้องใช้มันให้เหมาะสมและคุ้มค่า” ก่อนที่เขาจะนอนในแต่ละวัน เขาถามตัวเองว่าวันนี้เขาได้ทำอะไรดีๆหรือไม่ วิธีการนี้ช่วยให้เขาทราบถึงสิ่งที่ตัวเองทำสำเร็จแล้ว และสิ่งที่ต้องพยายามทำต่อไป

คนที่มีความสุขมักใช้เวลาก่อนเข้านอนในการคิดพิจารณา และไตร่ตรองเหตุการณ์ในแต่ละวัน พวกเขาจะนึกถึงช่วงเวลาดีๆ และมองถึงความสำเร็จที่ผ่านมาในวันนั้นๆ สิ่งนี้เปรียบเสมือนแรงกระตุ้นให้พวกเขามีไฟ และคิดบวกตลอดเวลา

5.รู้สึกซาบซึ้งใจและขอบคุณสิ่งดีๆ

คนที่มีความสุขมักจะรู้สึกซาบซึ้งใจและขอบคุณในสิ่งที่ตนเองมี ก่อนเข้านอนพวกเขาจะหลับตาและคิดถึงสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบคุณในแต่ละวัน เช่น เรื่องที่เพื่อนร่วมงานขับรถมาส่งที่บ้าน เรื่องพนักงานที่บริการอาหารให้อย่างรวดเร็ว เรื่องสามีหรือภรรยาที่คอยอยู่เคียงข้างและสนับสนุนกันตลอดมา เป็นต้น การขอบคุณเป็น

ความรู้สึกดีๆที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ ทำให้คุณคิดบวก และเมื่อคุณนอนหลับไปพร้อมๆกับความรู้สึกดีๆ ก็จะทำให้คุณตื่นขึ้นมาพร้อมๆกับความรู้สึกดีๆเช่นกัน

6. พักผ่อนหย่อนใจ

คนที่มีความสุขแต่ละคนมีวิธีการพักผ่อน และผ่อนคลายตนเองที่แตกต่างกัน เช่น บางคนชอบอาบน้ำและตีฟองนุ่มๆ บางคนชอบดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆก่อนนอน บางคนทำงานอดิเรกที่ตนเองชอบ เช่น วาดรูป หรือถัก นิตติ้ง เป็นต้น วิธีการพักผ่อนหย่อนใจเหล่านี้ ทำให้พวกเขารู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น

7. ดื่มหรือทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

คนที่มีความสุขจะรู้สึกดีทั้งร่างกายและจิตใจ ก่อนเข้านอนคุณไม่ควรรับประทานอาหารบางอย่างที่ส่งผลเสียต่อการนอนของคุณ เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีรสจัด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ คุณควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว ทำให้นอนหลับได้ยาก ในทางกลับกัน คุณควรรับประทานอาหารจำพวกกล้วย เผือก ขนมปังโฮลวีต และนม เพราะอาหารเหล่านี้ย่อยง่าย และช่วยให้คุณผ่อนคลาย และนอนหลับสบายขึ้น

8. ออกกำลังเบาๆ

การวิ่ง หรือการยกน้ำหนักก่อนนอนไม่ใช่วิธีการออกกำลังกายที่ดีนัก เพราะมันทำให้อุณหภูมิในร่างกายคุณสูงขึ้น ทำให้รู้สึกตื่นตัว และนอนหลับได้ยาก หากคุณต้องการออกกำลังกายก่อนนอน ลองเปลี่ยนมาออกกำลังกายเบาๆ อย่างเช่น การยืดกล้ามเนื้อ หรือการเล่นโยคะแทน

9. ตัดเทคโนโลยีก่อนนอน

บางครั้งเราทำหลายสิ่งที่ไม่จำเป็นก่อนเข้านอน เช่น เช็คอีเมลล์ อ่านข่าว ติดตามสิ่งที่เพื่อนๆโพสต์ลงในอินสตราแกรมหรือเฟสบุค หรือแม้แต่การประกาศให้โลกรู้ว่าเรากำลังจะเข้านอนผ่านทางทวิตเตอร์ สิ่งเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด และทำให้เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น ก่อนเข้านอนเราจึงควรตัดเทคโนโลยีออกไป และทำสิ่งที่มีประโยชน์อื่นๆแทน

10. สร้างบรรยากาศในห้องนอน

บรรยากาศในห้องนอนเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะสามารถส่งผลต่อการนอนของคุณได้ คุณควรสร้างบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะแก่การนอนหลับ เช่น คุณอาจฟังเพลงช้าๆ หรือคุณอาจใช้น้ำมันหอมระเหยในห้องนอน เพื่อช่วยให้คุณผ่อนคลาย และรู้สึกอยากพักผ่อน นอกจากนี้ ห้องนอนควรจะเงียบ ไม่มีเสียงรบกวน อุณหภูมิในห้องต้องเย็นพอดี และควรปิดไฟให้มืด

แม้วันนั้นในตอนเริ่มต้น จะไม่ใช่วันที่ดีของคุณ แต่รับประกันได้ว่า ในตอนสิ้นวัน หากคุณลองใช้ 10 วิธีนี้ ก่อนเวลานอน จะทำให้คุณนอนหลับได้อย่างสุขใจอย่างแน่นอน หากมีวิธีอื่นๆที่ทำให้คุณมีความสุขก่อนนอน มาช่วยกันแชร์ต่อในคอมเม้นท์ข้างล่างนะคะ

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.lifehack.org/293117/10-things-happy-people-before-lying-bed-every-night

คุณกำลังติดกับความสุขจอมปลอมหรือไม่ อะไรคือความสุขที่แท้จริง

truehappiness

เชื่อว่าทุกวันนี้ หลายคนคงติดตามเรื่องราวชีวิตของเพื่อนๆและคนรู้จักผ่านทางรูปถ่ายที่พวกเขาลงไว้ในอินสตราแกรม หรือเฟสบุคส่วนตัว พวกเขามักซื้อของใหม่ๆ ทานอาหารในร้านหรู นั่งรถราคาแพง ท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง และทำสิ่งแปลกใหม่เสมอ ชีวิตของพวกเขาช่างดูสวยงาม และมีความสุข จนทำให้เรารู้สึกอิจฉาและอยากที่จะมีชีวิตแบบนั้นบ้าง และเมื่อเราพยายามไขว่คว้าหาสิ่งที่ต้องการมาได้ หรือสามารถตอบสนองความต้องการของตนเองได้ เราก็จะรู้สึกมีความสุข

หลายคนให้นิยามความสุขไว้เช่นนี้ ความสุข คือ การทำสิ่งที่ตนเองต้องการได้สำเร็จ

“เมื่อฉันเห็นคนอื่นมี… คนอื่นได้… คนอื่นเป็น… ฉันก็เกิดความรู้สึกอยากมี…อยากได้…และอยากเป็น…เช่นกัน และเมื่อฉันมี…ฉันได้…และฉันเป็น…ตามที่ฉันต้องการ ฉันก็จะมีความสุข”

แต่แท้จริงแล้ว ความสุขที่เกิดจากการครอบครองเป็นเพียงความสุขระยะสั้น อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของวงจรแห่งความทุกข์ที่ไม่รู้จบ เพราะเมื่อคุณอยากได้ อยากมี คุณจะเปรียบเทียบชีวิตของตนเองกับคนอื่นตลอดเวลา คุณจะพยายามไขว่คว้า และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ เนื่องจากคุณรู้สึกว่าตนเองมีบางสิ่งที่ขาดหายไป และหากคุณสามารถทำได้สำเร็จ คุณก็จะมีความสุข แต่นั่นเป็นต้นตอที่ทำให้คุณวิ่งไล่ตามหาความสุขอื่นๆอย่างไม่จบสิ้น

บทความนี้จะทำให้คุณสามารถแยกแยะความสุข 2 ประเภท คือ ความสุขจอมปลอม และความสุขสงบที่แท้จริง แล้วหลังจากนั้น ก็อยู่ที่คุณเอง ว่าจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน

 คุณกำลังติดอยู่กับความสุขจอมปลอมหรือไม่

  • คุณปรารถนาที่จะทำสิ่งต่างๆเหมือนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การใช้ชีวิต การเข้าสังคม หรือการท่องเที่ยวหากคุณมีความคิดเช่นนี้ คุณกำลังหลงอยู่ในวังวนของความสุขจอมปลอม จะมีสิ่งใหม่ๆที่คนอื่นทำและคุณคิดว่ามันดีกว่าสิ่งที่คุณทำอยู่เสมอ คุณจึงต้องพยายามไขว่คว้าหาสิ่งต่างๆไม่รู้จบ
  • คุณคิดอยากจะปรับปรุงตัวเอง เช่น อยากผอมลง อยากมีผิวขาวขึ้น อยากฉลาดขึ้น อยากใจเย็นมากขึ้น สิ่งนี้หมายความว่า คุณรู้สึกไม่พอใจในตัวเอง คุณจึงพยายามทำให้ตัวคุณดูดีขึ้น ทว่า ความเป็นจริงแล้ว คุณก็ยังคงไม่สมบูรณ์แบบ เพราะคุณจะรู้สึกว่ายังมีสิ่งที่ตัวเองต้องปรับปรุงอีก และนั่นจะทำให้คุณเหนื่อยและมีความทุกข์อย่างต่อเนื่อง
  • คุณรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ คุณอาจจะอยากหาเงินเพิ่มขึ้น อยากทำงานมากขึ้น อยากออกกำลังกายมากขึ้น อยากไปเที่ยวมากขึ้น และผลก็คือ คุณต้องแก่งแย่งชิงดีกับคนอื่นๆ รวมถึงแข่งขันกับตัวเองมากขึ้น และไม่มีวันที่คุณจะพอใจกับสิ่งที่คุณทำอยู่ เพราะสำหรับคุณ มันไม่มีจุดสูงสุด คุณจะต้องเสาะแสวงหาสิ่งใหม่ๆเสมอ
  • คุณตำหนิคนอื่นๆในสิ่งที่พวกเขาทำ คุณมักจะต่อว่าลูกๆ สามี ครอบครัว หรือเพื่อน เพราะคุณคิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่ถูกต้อง หรือบางทีพวกเขาไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ แต่นั่นเป็นความคิดของคุณเพียงคนเดียว คุณตำหนิผู้อื่นเพราะคุณไม่ถูกใจ และสาเหตุที่แท้จริงนั้น เกิดจากความรู้สึกไม่พอใจในชีวิตของคุณเอง คุณจึงบ่นและวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น

หากคุณมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับตัวอย่างในข้างต้น คุณกำลังอยู่กับความสุขที่จอมปลอม คุณหลงใหลในรูปลักษณ์ภายนอกจนลืมสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของชีวิต และนั่นจะทำให้คุณเป็นทุกข์ ดังนั้น จงปรับเปลี่ยนความคิดและการกระทำของคุณตามขั้นตอนต่อไปนี้ เพื่อนำชีวิตไปสู่หนทางแห่งความสุขสงบที่แท้จริง

อะไรคือ ความสุขที่แท้จริง

 1. หยุดไขว่คว้า หาความสุขภายนอก

ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณมี สิ่งที่คุณเป็น สถานที่ที่คุณไป หรือสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ แต่ความสุขสามารถเกิดขึ้นได้จากใจหรือความคิดของตัวคุณเอง โลกวัตถุนิยมนั้นสร้างภาพลวงตาให้เราเข้าใจว่าความสุขสามารถหาได้จากการครอบครอง หรือการเป็นเจ้าของ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นความสุขระดับหนึ่งเท่านั้น

เพราะแม้ว่าเราจะมี… เราจะได้… หรือเราจะเป็น….อย่างที่ใจเราต้องการแล้ว เราก็ยังไม่มีความสุขที่สมบูรณ์หรือแท้จริง เพราะใจเรายังไม่หยุดนิ่ง เรายังต้องวิ่งตามหาความสุขที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในทางกลับกัน หากว่าเราขาดแคลนวัตถุในการปรนเปรอความสุขให้กับเรา แต่เรามีใจที่สงบ พอเพียง และพอใจกับสิ่งที่เรามี เพียงเท่านี้ เราก็จะมีความสุขในจิตใจ

2. ฝึกทำ “สมาธิ” อย่างสม่ำเสมอ

การฝึกสมาธิ สามารถช่วยให้คุณพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้ สมาธิ คือ สภาวะของจิตที่ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว คือนิ่งอยู่กับตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งอื่น คุณสามารถทำสมาธิได้ทุกที่ ทุกเวลา หรือไม่ว่าคุณจะทำอะไร หรืออยู่กับใคร โดยเริ่มจากการทำจิตใจของคุณให้สงบ ตัดความฟุ้งซ่านออกไป กำหนดความคิดและจิตให้นิ่ง จดจ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

คุณจะรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของร่างกาย ลมหายใจ และประสาทสัมผัสของคุณ ซึ่งปราศจากปัจจัยภายนอกรบกวน และหากคุณแน่วแน่และมีสมาธิมากพอ คุณจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่นิ่งและสงบ และคุณจะอิ่มเอมไปกับช่วงเวลาแห่งการรับรู้ตัวตนที่แท้จริง ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่พิเศษและมีความสุข

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.dailygood.org/story/988/the-contentment-habit-leo-babauta/

 

เผย 3 การค้นพบจากผลวิจัย ที่ทำให้ความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม

happyinreach

หลายคนคงเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันต้องการมีความสุขมากกว่านี้ แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร” บทความนี้จะเปิดเผยความลับที่จะทำให้ทุกคนรู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ปัจจุบันคนเรามีชีวิตที่ซับซ้อน เคร่งเครียด และมักถูกตัดขาด บ่อยครั้งเราถูกสื่อประโคมข้อมูลมากมายและถูกทำให้เชื่อว่าการซื้อสิ่งของต่างๆนั้นจะทำให้เรามีความสุข  มีชีวิตที่สวยงาม ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง และแม้แต่กลายเป็นคนที่น่ารักมากขึ้น แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการแสวงหาความสุขอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงความสุขชั่วครู่

ผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่า คนที่มีความสุขในชีวิตนั้น แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งวัดได้จากคุณภาพของ “ความสุข” หากคุณต้องการทราบว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขกลุ่มใดบ้าง ให้คุณใช้เวลาสักเล็กน้อยนึกถึงชีวิตตัวเองว่า “อะไรทำให้คุณมีความสุขบ้าง” จดลงในลิสต์ แล้วคุณจะพบคำตอบ

1.คุณเป็นพวกเพลิดเพลินกับความสุขในช่วงสั้นๆ

ความสุขทางประสาทสัมผัสเป็นสิ่งที่ดี เช่น อาหารและไวน์มื้อพิเศษ เซ็กส์ที่ยอดเยี่ยม กีฬา และความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ ทว่าความสุขแบบนี้กำลังหายไป เนื่องจากคนเรามีความต้องการมากขึ้น มีความปรารถนามากยิ่งขึ้น ทั้งยังถูกแวดล้อมไปด้วยสื่อที่กระตุ้นให้เราละทิ้งความสุขที่แท้จริง และไขว่คว้าหาความสุข “เพิ่มเติม”

โลกวัตถุนิยมทำให้เราไล่ตามความต้องการอันฉาบฉวยมากขึ้น และหากวันใดที่เรามีความทุกข์ เราก็จะพยายามหาทางหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจเหล่านั้นและแสวงหาสิ่งที่เราพึงพอใจไม่รู้จบ ไม่ว่าความสุขอันฉาบฉวยนั้นจะหาได้จากอาหารหรือยาเสพติด เงินทองหรือชื่อเสียง การพนันหรืองานหนัก และนั่นเป็นวงจรผิดๆซึ่งนำเราไปสู่ความไม่พึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ การเปรียบเทียบทางสังคม ความกระวนกระวายใจ ความหดหู่ซึมเศร้า และแม้กระทั่งสิ่งเสพติด

ดังนั้น ขอโทษที่ต้องบอกคุณว่า การเพลิดเพลินกับความสุขในช่วงสั้นๆนี้ไม่สามารถสร้างความสุขและความพึงพอใจที่ยั่งยืนให้กับคุณได้

2. คุณชอบท้าทายสิ่งใหม่ เรียนรู้จากความล้มเหลว และพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น

หากความสุขของคุณเป็นการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ เช่น คุณสามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ หรือมีความชำนาญในการสื่อสาร หรือถนัดด้านการซ่อมแซมเครื่องยนต์ แสดงว่าความสุขของคุณคือ “การพัฒนา” คนที่มีความสุขจะแสวงหาเรื่องที่ท้าทายและชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ พวกเขากล้าเสี่ยงและมักจะทดลองทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เพราะสิ่งนั้นทำให้พวกเขาเกิดความสนใจใคร่รู้ มีพลัง และก้าวไปข้างหน้า

แต่ความลับก็คือ คนที่มีความสุขเหล่านั้น คือ คนที่รู้จักความล้มเหลว คนที่มีความสุขจะเข้าใจว่าการพัฒนาตนเองไปอีกระดับนั้นต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย ซึ่งพวกเขาต้องใช้ความยืดหยุ่นในการปรับตัว การพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และมีความสุขกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เนลสัน แมนเดลา กล่าวคำพูดหนึ่งที่กินใจไว้ว่า “ความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น หาใช่การที่เราไม่เคยล้ม หากแต่เป็นการที่เราลุกขึ้นมาได้ในทุกครั้งที่เราล้มลง” สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ และนำมาซึ่งความสุขที่ลึกซึ้งของชีวิต

3. คุณมีทัศนคติที่ดี และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

ในลิสต์ของคุณมีความสุขที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ การเห็นอกเห็นใจ ความมีเมตตากรุณาบ้างหรือไม่ ทัศนคติที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่มีความสุข พวกเขารู้จักที่จะสังเกตและชื่นชมสิ่งดีๆรอบตัว ลองคิดดูว่า หากคุณตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย เช่น การข่มขู่คุกคาม หรือความตึงเครียด คุณอาจจะวิพากษ์วิจารณ์สิ่งต่างๆได้ตลอดเวลา

แต่ในทางกลับกัน คนที่มีความสุขจะเลือกมองหาด้านดีๆในสถานการณ์นั้นๆ นั่นเป็นเพราะทัศนคติที่ดี พวกเขามีเคล็ดลับก็คือ การคิดว่าชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การต่อสู้และเผชิญกับความผิดหวังหรือเคราะห์ร้ายเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาเข้าใจว่าความเจ็บปวดก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเช่นกัน

วิคเตอร์ ฟรังเคิล ผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กล่าวไว้ว่า “คุณสามารถเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากมนุษย์ได้ ยกเว้นเสรีภาพสุดท้ายของมนุษย์ที่จะเลือกมีทัศนคติต่อสถานการณ์ต่างๆซึ่งก็คือ การเลือกทางเดินของตนเอง” คำพูดนี้ไม่ใช่แค่นามธรรม หรือหลักการทั่วๆไป แต่มันเป็นสิ่งที่ละเอียดและชัดเจนซึ่งสามารถเปลี่ยนปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆให้กลายเป็นความคิดและการกระทำแง่บวกที่แน่วแน่และตรงตามเป้าหมาย

สุดท้าย ไม่มีสิ่งใดมีความหมายและสำคัญมากไปกว่าการที่เราให้ความสุขกับผู้อื่น และปฏิบัติต่อผู้อื่นและต่อตัวเราเองด้วยความรัก ความเมตตา เมื่อเราหยิบยื่นความรัก ความปรารถนาดี และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่น เราก็จะได้รับความสุขกลับมาเช่นกัน ดังที่ องค์ดาไล ลามะ กล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณอยากให้คนอื่นมีความสุข จงฝึกเห็นใจผู้อื่น ถ้าคุณอยากมีความสุข จงฝึกเห็นใจผู้อื่น”

หากคุณกำลังแสวงหาความสุขที่แท้จริงอยู่ กุญแจไขความลับนั้นอยู่ในบทความนี้แล้ว   “จงเพลิดเพลินกับความสุขในชีวิตของคุณ กล้าท้าทายตนเองเพื่อการพัฒนา เรียนรู้ไปกับทักษะและความสำเร็จใหม่ๆ นอกจากนี้ การมองโลกในแง่ดี และเผื่อแผ่ความเมตตาให้กับผู้คนรอบข้างจะช่วยให้ชีวิตของคุณมีความหมายและมีความสุขเพิ่มขึ้น” หากคุณลองทำตามคำแนะนำข้างต้น ความสุขก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

 เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.projecthappiness.org/happiness-within-reach-the-open-secret/

 

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save