คุณเป็นลูกแกะ หรือโจรสลัด ?

“Why join the navy if you can be a pirate” – Steve Jobs

เมื่อเห็นคำพูดนี้ คุณรู้สึกอย่างไร

สำหรับผม มันทิ่มแทงเข้ามาที่กลางหัวใจ เพราะ สตีฟ จ๊อบส์ ได้แฝงนัยยะที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการเลือก “เลือกที่จะใช้ชีวิต”

ผมนั้นเป็นทหารเรือ มาตลอด 19 ปี และใช้เวลาคิดเป็นสิบปี กว่าที่จะตัดสินใจถอดเครื่องแบบ ทิ้งความมั่นคง ออกมาเผชิญโลก ด้วยไลฟ์สไตล์อิสระแบบโจรสลัด เมื่อไม่นานมานี้…

ทุกคนที่รู้ข่าว ก็ต้องถาม ว่าคิดอะไร ถึงได้ตัดสินใจแบบนี้

ก่อนที่ผมจะตอบ ผมอยากให้คุณได้รู้จักการใช้ชีวิตของคน 2 กลุ่มที่ต่างกัน กลุ่มแรกคือ ลูกแกะ กลุ่มที่สองคือ โจรสลัด

ทั้ง 2 กลุ่ม ไม่มีอันไหน ผิดหรือถูก ดีหรือแย่กว่ากัน เพียงแต่เป็น “วิถีการใช้ชีวิต” เท่านั้น

เรื่องราวต่อไปนี้ อาจทำให้หัวใจของบางคนสั่นไหว และบางข้อความอาจจะทิ่มเข้าไปที่กลางใจคุณ ให้ได้ทบทวนชีวิตว่า ที่ผ่านมาคุณเป็นใคร ?
=============================

ชีวิตของลูกแกะ

ชีวิตของลูกแกะ คือชีวิตที่ “ถูกเลือก” ให้ทำบางสิ่ง ไม่ให้ทำบางสิ่ง ถูกเลี้ยงให้เชื่อง ป้อนหญ้าป้อนน้ำ ถูกสอนให้คิด เชื่อในทางเดียว เพื่ออยู่ร่วมกันเป็นฝูง

โดยที่ไม่รู้ตัว ลูกแกจะถูกปลูกฝังนิสัยอยู่ 5 ประการ

1.ไม่ตั้งคำถาม เป็นผู้ตามที่ดี

ลูกแกะจะไม่ตั้งคำถามต่อทิศทางที่กำลังเดินไป (หรือถูกต้อนไป) เพราะเชื่อว่า ทำแบบคนส่วนใหญ่นั้นดีอยู่แล้ว จะปฏิเสธและโกรธเคือง คนที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่

แม้ลูกแกะรู้สึกว่า สิ่งที่ผู้นำหรือคนส่วนใหญ่ทำ ไม่น่าจะถูก แต่ก็ไม่คิดจะพูดหรือแสดงออก เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับปัญหาที่จะตามมา ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา จึงเป็นผู้ตามที่ดี ลอยตามน้ำต่อไป

2.สนใจว่าคนอื่นคิดยังไง

ไม่ว่าจะทำอะไร โดยเฉพาะเรื่องใหม่ๆ ลูกแกะจะกังวลกับสายตาของคนอื่น เค้าจะคิดยังไงกับเรา จะมีใครว่าอะไรเรามั้ย สิ่งที่เราทำนั้นสมควรรึเปล่า

ลูกแกะยกเลิกความตั้งใจ หยุดยั้งสิ่งที่อยากทำ เพียงเพราะคำพูดของคนๆเดียว ที่ไม่เห็นด้วย โดยไม่ถามใจตัวเองเลย ว่าคิดอย่างไร และมักจะมาเสียดายทีหลัง

3.ใฝ่หาการยอมรับ

ลูกแกะจะรู้สึกอยู่ลึกๆว่าตัวเองยังไม่ดีพอ ไม่เก่งพอ จึงทำหลายสิ่งเพื่อชดเชยความรู้สึกนั้น ไม่ว่าจะเป็น การซื้อของแบรนด์เนม ใส่เสื้อผ้าราคาแพง ใช้จ่ายเกินตัว ทำหลายๆสิ่งเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของกลุ่ม

ลูกแกะทำทุกอย่างเพื่อคำชื่นชม แม้ว่าสิ่งนั้นตัวเองไม่อยากทำก็ไม่กล้าปฏิเสธ เป็นเพราะกลัวอีกฝ่ายจะไม่รัก ไม่ยอมรับในตนเอง และมักจะบ่นว่า ตัวเองถูกเอาเปรียบอยู่เป็นประจำ

4.คุ้นชินกับความมั่นคง

ลูกแกะอยู่มานานก็เริ่มชินกับความมั่นคงปลอดภัย ในระบบที่คนเลี้ยงสร้างมา เมื่อมีหญ้ากินอิ่มทุกมื้อ จึงไม่คิดจะเดินออกนอกคอกที่ล้อมไว้ แม้หญ้าที่กินอยู่จะเริ่มมีน้อยและแห้งกรอบก็ตาม

แม้ลูกแกะได้ยินว่า มีทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มอยู่นอกคอกนี้ แต่ไม่มีใครสามารถการันตีความปลอดภัย และไม่แน่ใจด้วยว่าจะหาเจอ จึงบอกกับตัวเองว่า อยู่ที่เดิมนั่นแหละก็ดีแล้ว มีกินก็ดีกว่าไม่มี จะดิ้นรนไปทำไม

5.ใช้ชีวิตตามความต้องการคนอื่น

ลูกแกะไม่คิดว่า ชีวิตต้องมีเป้าหมายอะไร ใช้ชีวิตไปให้รอด มีกินมีใช้ก็ดีแล้ว จึงใช้ชีวิตแต่ละวัน ไปตามความต้องการของคนอื่น มากกว่าจะถามตัวเองว่า ชีวิตนี้ต้องการอะไร

หลายครั้งลูกแกะคิดเสียดายเวลาที่ผ่านไปแต่ละเดือน แต่ละปี รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไร้คุณค่า ไร้ความหมาย แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรให้ดีไปกว่านี้
====================

ชีวิตที่ผ่านมาของผม ก็คล้ายๆกับลูกแกะตัวนี้

ผมเกิดมาในตระกูลของข้าราชการ และถูกปลูกฝังว่า การทำงานราชการนั้นดีที่สุด มั่นคง ปลอดภัย มีสวัสดิการดี แม้จะไม่รวย แต่ก็มีเกียรติและศักดิ์ศรี

มีเรื่องหนึ่งที่จำฝังใจ ตอนวันเกิดอายุ 10 ขวบ อยากได้เครื่องวีดีโอเกม ตอนนั้นราคา 1,500 บาท แต่พ่อแม่ไม่ซื้อให้ บอกว่ามันแพงเกินไป

บังเอิญวันนั้น มีเพื่อนพ่อไปทานข้าวด้วยกัน เค้าได้ยินเข้า เลยจูงมือผมพาเดินไปซื้อ ให้เป็นของขวัญวันเกิด

ผมรับมาอย่างงงๆ ว่าทำไมคนไม่รู้จัก มาซื้อของให้เราง่ายๆ

แล้วก็มารู้ทีหลังว่า ลุงเค้าเป็นนักธุรกิจ มีเงินมากมาย

ตั้งแต่วันนั้น ผมตั้งใจกับตัวเองว่า เมื่อโตขึ้นจะเป็นนักธุรกิจให้ได้ เพราะผมอยากจะมีเงินเยอะๆ จะได้ทำแบบลุง

เนื่องจากผมเป็นลูกคนโต หลานคนโตในตระกูล จึงเป็นที่คาดหวังมาก แม้ตัวผมเองรู้ว่าตัวเองชอบอะไรมาตั้งแต่เด็ก พยายามบอกว่าผมอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทัดทานกับความต้องการผู้ใหญ่

บังเอิญผมเรียนดี จึงสอบติดโรงเรียนเตรียมทหารได้ตั้งแต่อายุ 16 ปี

แม้ว่าผมต้องเจอปัญหา เผชิญความยากลำบาก พบสิ่งท้าทายมากมาย ระหว่างที่ผมกำลังศึกษา แต่ผมไม่เคยบ่นให้ใครฟัง เพราะผมไม่อยากให้พวกเค้าผิดหวังในตัวผม

ผมตั้งใจศึกษาเล่าเรียน จนจบออกมารับราชการในระบบ เป็นที่ชื่นชมจากทุกคนในบ้าน ผมภูมิใจในตัวเอง และคิดว่าจะตั้งใจทำงานให้เต็มที่ ให้ดีที่สุด

ผมลืมเลือนความฝันในวัยเด็กไป ใช้ชีวิตเป็นลูกแกะในกรอบระเบียบที่วางไว้ โดยที่ไม่เคยฟังความรู้สึกลึกๆของตัวเองอีกเลย

==========================

ชีวิตของโจรสลัด

1.ตั้งคำถามกับสิ่งเดิมๆ มองหาสิ่งที่ดีกว่า

โจรสลัดจะไม่พอใจอะไรง่ายๆ มักจะถามว่ามีหนทาง หรือวิธีอื่น ที่จะทำให้ดีกว่านี้ได้อีกไหม เค้าไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ เมื่อมีความรู้สึกว่า น่าจะทำได้ดีกว่าก็จะทำ เค้ากล้าคิด กล้าแตกแถว และกล้าแตกต่าง

ไม่เพียงตั้งคำถาม แต่เค้าลงมือลงแรง เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยากหรือผลตอบแทน แค่รู้สึกว่า อยากสร้างทางที่ดีกว่า ด้วยสองมือของตัวเอง

2.เป็นตัวของตัวเอง

โจรสลัด ทำสิ่งต่างๆจากความต้องการของตัวเอง ไม่ต้องถามความคิดคนรอบข้าง เค้ารู้ชัดเจนว่าตัวเองต้องการอะไร และไม่ต้องการอะไร

แม้รู้ว่ามีหลายคนไม่เห็นด้วย มีสายตาฝูงแกะที่จับจ้องอยู่ แต่เค้าก็รู้ดีว่า ความคิดของคนเหล่านั้นไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตของเค้า แต่การกระทำที่ทำลงไปต่างหาก ที่จะส่งผลต่อชีวิตของเค้า

3.เชื่อมั่นและรักตัวเอง

โจรสลัด กล้าปฏิเสธ และยืนยันในความต้องการของตัวเอง เพราะเค้ารัก และให้ความสำคัญกับตัวเอง ใครจะว่าเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่เค้ามองว่า หากเราไม่ดูแลตัวเองให้ดี จะไปช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร

ความเชื่อมั่นลึกๆที่มีมาก อาจดูเหมือนมีอีโก้สูง แต่โจรสลัดก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือต่อต้านกับคนที่ไม่เห็นด้วยกับเค้า เค้าให้ความเท่าเทียมและยอมรับในความแตกต่าง

4.กล้าเสี่ยง ไม่กลัวผิดพลาด

โจรสลัดรู้สึกว่า ความมั่นคงปลอดภัย และอะไรที่คาดการณ์ได้ มั่นน่าเบื่อสุดๆ ไม่เหลือความท้าทายอะไรอีก เค้ากล้าเสี่ยง ไม่กลัวผิดพลาด ไม่ใช่บ้าบิ่น แต่รู้ว่า ตัวเองรับความเสี่ยงได้แค่ไหน

สิ่งที่โจรสลัดกลัว คือ กลัวเสียใจทีหลัง ที่ไม่ได้ทำ มากกว่ากลัวล้มเหลว เมื่อได้ลองทำแล้วพลาดก็ถือเป็นการเรียนรู้ และมันจะนำไปต่อยอดสู่สิ่งใหม่ๆที่ดีกว่าในที่สุด

5.ใช้ชีวิตตามเส้นทางของตัวเอง

โจรสลัดรู้เป้าหมายในชีวิตของตนเองอย่างชัดเจน เค้าจะเป็นผู้สร้างตำนาน ค้นหาเส้นทางใหม่ๆ มีความเป็นกบฎ ไม่อยากเดินตามทางใคร เค้าตัดสินใจที่จะเลือกใช้ชีวิตด้วยตนเอง

ไม่มีอะไรในชีวิต ที่มั่นคงแน่นอน ดังนั้นเมื่อยังหายใจอยู่ เค้ามั่นใจว่าสามารถเรียนรู้ ทำให้ดีกว่า และพัฒนาเปลี่ยนแปลงได้ตลอด 
====================

เงื่อนงำที่ทำให้ผม ค้นพบวิถีแห่งโจรสลัด

ตลอด 19 ปีที่ผ่านมา ผมสังเกตตัวเองเสมอ จนพบว่าผมไม่ใช่ลูกแกะ เพียงแต่เป็นโจรสลัด ที่ยังไม่ค้นพบตัวเอง สิ่งที่ผมสังเกตนิสัยตัวเองก็คือ

ผมมักจะคิดต่างจากเพื่อนคนอื่นๆในชั้นเรียน และถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ

ไม่ว่าจะไปร่วมกิจกรรมกับกลุ่มไหน ผมมักจะอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีกว่า

ผมเถียงรุ่นพี่และครู อยู่ในใจทุกครั้ง ด้วยระเบียบทำให้ผมพูดอะไรออกมาไม่ได้

ผมมักจะทำอะไรตามใจ โดยไม่ปรึกษาใคร และทำให้โดนต่อต้าน โดนต่อว่าบ่อยๆ

ผมมีเพื่อนน้อยมาก เพราะไม่ค่อยชอบทำตามใคร

ผมแอบมีกิจการเล็กๆตั้งแต่เรียนปี 1 และเปิดพอร์ตหุ้นตั้งแต่ปี 2

เพื่อนส่วนใหญ่ จบมาก็กู้เงินซื้อรถ แต่ผมกู้เงินเรียนด้านบริหารธุรกิจ ซื้อหนังสือ ไปเข้าสัมมนา ค่าเรียนทั้งหมด ก็ราวๆราคารถป้ายแดง

ไม่นานมานี้ ผมตัดสินใจลาออกแบบฉับพลัน โดยไม่บอกคนที่บ้านก่อน

แต่มาบอกทีหลังว่า ผมมาเป็นนักธุรกิจ เป็นวิทยากร เป็นโค้ชด้านการเขียน มีรายได้แต่ละเดือนไม่แน่นอน ส่วนใหญ่จะมากกว่าเงินเดือนเดิมประมาณ 5-8 เท่า

ผมใช้ผลลัพธ์ พิสูจน์ว่าผมไม่ได้ตัดสินใจแค่ตามอารมณ์ความรู้สึก อย่างไรก็ตามกว่าผมจะตัดสินใจลาออก ก็ใช้เวลาวางแผนและเตรียมตัวกว่า 10 ปี

ไม่มีอะไรการันตีว่าหลังจากนี้ ชีวิตผมจะร่ำรวยรุ่งโรจน์ ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และผมก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นเลย

เหตุผลเดียวที่ผมลาออก เพราะผมรู้ตัวแล้ว ว่าผมเป็นโจรสลัด ที่อยากเดินทางออกไปสู่โลกกว้าง ไปในที่ๆผมจะใช้ศักยภาพตัวเองได้อย่างสูงสุด
===================

ไม่สำคัญว่าที่ผ่านมาคุณเป็นใคร หรือทำอาชีพอะไรอยู่

สิ่งที่สำคัญคือ คุณเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างไร ระหว่างลูกแกะ กับโจรสลัด ?

หากคุณเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบโจรสลัด ช่วยฝากคอมเม้นท์ไว้ใต้บทความนี้ 
ถ้ามีเยอะ ผมจะเขียนบทความต่อไป ว่าทำอย่างไร คุณจะมีวิถีชีวิตแบบโจรสลัด

ผมอยากหาเพื่อน ที่จะออกไปลุยในโลกกว้างด้วยกันครับ

13339503_1098701643524708_887953190810839057_n

บทความโดย เรือรบ โค้ชนักเขียนมือโปร

ติดตามบทความย้อนหลังได้ที่เพจ เรือรบ โค้ชนักเขียนมือโปร

https://www.facebook.com/ruarob/posts/1169766423084896:0

วิถีแห่งโจรสลัด (PIRATE MODEL)

หากคุณต้องการเป็นโจรสลัด พลาดไม่ได้

บทความตอนที่แล้ว คุณได้รู้ความแตกต่างระหว่างชีวิตของคน 2 แบบนั่นก็คือ ลูกแกะ กับโจรสลัด

ชีวิตของลูกแกะ คือชีวิตที่ “ถูกเลือก” อยู่ในกรอบระบบที่ใครบางคนวางไว้ 
ต้องใช้ชีวิตตามความต้องการของคนอื่น แลกกับการที่ได้อยู่ในคอกที่มั่นคงปลอดภัย

ต่างจากชีวิตของโจรสลัด ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่ตัวเองเป็น “ผู้เลือก” 
มีอิสระในการออกแบบชีวิตของตัวเอง ตั้งแต่งานที่ทำ ไปจนถึงไลฟ์สไตล์ที่อิสระ ไม่มีเพดานขีดจำกัดใดๆ
=========================

ถึงตอนนี้ ผมเชื่อว่าหลายคน คงได้กลับไปย้อนมอง ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา และเริ่มอยากรู้ต่อว่า ถ้าอยากจะใช้ชีวิตแบบโจรสลัด จะต้องทำอย่างไรต่อไป

ต้องบอกเลยว่า คนที่เป็นลูกแกะอยู่ แล้วอยากจะมาเป็นโจรสลัด อยากสัมผัสอิสรภาพ จริงๆนั้นไม่ง่าย ต้องมีเป้าหมายและแผนการที่ชัดเจน

บทความในวันนี้ ผมจะให้แนวทางการเป็นโจรสลัด และวิธีการฝึกตัวคุณให้เป็นโจรสลัด

คำว่า โจรสลัด ในภาษาอังกฤษคือ P-I-R-A-T-E ซึ่งตัวอักษระแต่ละตัว มีความหมายแฝงความนัยอยู่

ผมได้ทำการค้นคว้าข้อมูล ผนวกประสบการณ์ตัวเอง ตกผลึกออกมาได้เป็น PIRATE MODEL เป็นครั้งแรก

คุณสามารถใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ให้เข้าสู่วิถีแห่งโจรสลัดได้ ไปดูกันเลย
=========================

P – Passion Driven

โจรสลัดจะขับเคลื่อนการกระทำของตัวเองจาก “ความหลงใหลและแรงบันดาลใจ”

เพราะ Passion นั้น จะทำให้เกิด พลังจากภายใน ทำได้ไม่มีเหน็ดเหนื่อย ยิ่งทำยิ่งสนุก

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้นเป็น Passion แล้วหรือยัง ?
ผมให้คุณลองจินตนาการว่า หากสิ่งที่คุณทำนั้น ไม่ได้เงินเลย คุณจะยังทำมันอย่างเต็มใจอยู่ไหม

ถ้าคำตอบคือใช่ นั่นแหละคือ Passion

อย่างไรก็ตาม การทำตาม Passion ไม่ได้การันตีว่าจะ “ทำเงิน” นะครับ

แต่เมื่อเจอ Passion แล้ว วิธีการทำเงินจะตามมาทีหลัง ด้วยการนำ Passion ที่เรามี ไปช่วยแก้ปัญหา หรือสร้างประโยชน์ให้ผู้คน แหละนั่นจึงเกิด “ธุรกิจ”

โจรสลัด ไม่ใช่คนเอาแต่ใจ ทำเอาตามอารมณ์อย่างเดียว บางครั้งสิ่งที่ทำมาจากหน้าที่และสถานการณ์บังคับ แต่นั่นก็เป็นเพราะสิ่งที่ต้องทำนั้น อยู่ภายใต้สิ่งที่เค้าตั้งเป้าหมายไว้แต่แรกแล้ว

เค้ารู้และตอบตัวเองได้เสมอว่า อดทนทำสิ่งนี้ไปทำไม และทำไปแล้วมันจะได้ผลลัพธ์อะไร

นอกจากจะรู้ว่าทำอะไรแล้ว เค้ารู้ด้วยว่า จะไม่ทำอะไร อะไรที่เกินขอบเขต เค้าจะปฏิเสธได้ทันที

Passion ไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ แบบเปลี่ยนแปลงโลก หรือต้องใช้ทั้งชีวิตในการได้มันมา

ถ้าเจอก็ยิ่งดีแต่หากยังไม่เจอสิ่งนั้น ก็ไม่ผิด เราสามารถดำเนินตามแรงบันดาลใจ ที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน หรือแต่ละสัปดาห์ และพร้อมจะค้นพบ ปรับเปลี่ยน Passion ของเราได้ เพราะชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง
==========================

มาดูตัวอย่าง Passion และแนวทางการสร้างธุรกิจของผม

1. ผมต้องการจะรู้สึกสงบและอิ่มเอิบใจ ทุกครั้งก่อนหลับตาลงนอนในแต่ละวัน ว่าวันนี้ได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้คนแล้ว ถ้าพรุ่งนี้ผมไม่ตื่นขึ้นมา ไม่มีอะไรที่ผมต้องเสียดายหรือเสียใจอีก

2. ผมเป็นคนชอบพัฒนาตนเอง หาความรู้ใหม่ๆ และชอบแบ่งปันให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ด้วยการพูด การเขียน

3. ผมจึงเริ่มจากเป็นนักเขียนก่อน พัฒนาเป็นโค้ชนักเขียน ต่อยอดเป็นธุรกิจสำนักพิมพ์ และอีกด้าน เริ่มจากลองจัดสัมมนาเล็กๆ พัฒนาตัวเองจนได้เป็นวิทยากร ไปอบรมในองค์กร และต่อยอดเปิดธุรกิจฝึกอบรม

อ่านมาถึงตรงนี้ ลองใช้เวลาสั้นๆ ลิสต์ Passion ของคุณออกมา อะไรที่สำคัญกับคุณ อะไรที่คุณถนัด อะไรที่คุณสนุกและอยากทำ แม้จะไม่ได้เงิน แล้วค่อยมาต่อยอดว่า จะสร้างเป็นธุรกิจได้อย่างไร
============================

I – Independent

โจรสลัด พึ่งพาตัวเองได้เสมอ ไม่คิดจะไปพึ่งพิงคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต หรือการตัดสินใจใดๆ

ไม่ใช่เค้าหัวรั้น ไม่คบใคร ไม่ฟังเสียงคนอื่น ในทางตรงกันข้าม เค้าหาข้อมูล วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียทั้งหมดแล้ว

เมื่อต้องตัดสินใจ เค้าจะใช้สมาธิ โฟกัสในสิ่งที่ต้องการ และฟังเสียงในหัวใจของตัวเอง โดยไม่ให้คนอื่นมามีอิทธิพล 
เพราะเค้ารู้ว่า ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร เค้าต้อง “รับผิดชอบ” ชีวิตนี้ ด้วยตัวเอง

โจรสลัดไม่ต้องการการยอมรับ หรือคำสรรเสริญเยินยอ นั่นทำให้การตัดสินใจของเค้า มาจากข้างในจริงๆ

หากคุณยังมัวกังวลว่า ใครจะคิดกับคุณยังไง แบบนี้คุณคงไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำจริงๆซะที

ถ้าอยากฝึก Independent เป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด ลองฝึกถามตัวเองบ่อยๆ 3 ข้อว่า

1. สิ่งที่จะทำนี้สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตใช่ไหม
2. มันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนใช่ไหม
3. คุณรับผิดชอบผลของมันต้วยตัวเองได้ใช่ไหม
ถ้าตอบใช่ทั้ง 3 ข้อ ลุย!
=============================

R – Responsive

โจรสลัด เป็นคนตอบสนองได้ไวต่อสถานการณ์ มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนแนวทาง และการกระทำให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ไม่เหมือนลูกแกะที่ต้องคอยรับคำสั่ง และกลัวการเปลี่ยนแปลง

หลายครั้งโจรสลัด สร้างแนวทางใหม่ๆที่ไม่เคยมีใครเดินมาก่อน และฝ่าฟันเดินทางนั้นด้วยตัวเอง เพราะมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองมองเห็น

แต่ถ้าพบว่ามันไม่เป็นไปอย่างที่คิด ก็พร้อมจะเบนเข็มเรือได้ในทันที โดยไม่เสียดายสิ่งที่ทำมา เพราะรู้ว่าในชีวิตนี้ไม่มีคำว่าล้มเหลว

คำว่าล้มเหลว คือคำที่คนอื่นบอกกับเรา แต่หากเรายังไม่ล้มเลิก ไม่มีทางที่จะล้มเหลวได้

ความผิดพลาด ลูกแกะมองเป็นความล้มเหลว แต่โจรสลัดมองเป็น การเรียนรู้ 
ลูกแกะล้มแล้วเลิก แต่โจรสลัดล้มแล้วลุก แล้วล้มไปข้างหน้าอีกเรื่อยๆ

การเรียนรู้ที่ดี รวมกับการตอบสนองที่ไว นั่นทำให้โจรสลัด สามารถนำเรือฝ่าคลื่นฝืนลมอันรุนแรงได้เสมอ และไม่เกรงกลัวต่อพายุข้างหน้าที่รออยู่ เพราะเมื่อเค้าผ่านพ้นมันมาได้ มันจะยิ่งทำให้เค้าแกร่งขึ้น และเก่งขึ้น
==================

กรณีศึกษาของผม

ผมเป็นคนทำผิดมากกว่าถูก เพราะทำมาก จึงผิดมาก สุดท้ายพอทำถูกแล้วได้ดี ผมมักจะมองอนาคต และเริ่มเปลี่ยนก่อน ที่สถานการณ์จะบังคับให้เปลี่ยน

ผมเป็นวิทยากร ออกแบบสัมมนาไว้อย่างดี บางครั้งลูกค้าองค์กรขอให้ปรับ ตอนแรกผมไม่คิดว่าจะปรับได้ แต่พอปรับแล้ว ปรากฎว่าผู้เข้าอบรมชอบมาก ผมเลยได้คอร์สใหม่อีกคอร์สเพิ่มขึ้นมา และยังขายแพงกว่าเดิมได้อีก

ปีที่แล้วผมจัดสัมมนา Public เดือนละครั้ง พอปีนี้มีคนมาจัดสัมมนาเยอะ ผมรีบเปลี่ยนเป็นทำคอร์สออนไลน์ และลดการจัดสัมมนาลง ปรากฎว่ารายได้คอร์สออนไลน์ดีมาก การจัดสัมมนาที่ลดลง ก็ทำให้คนที่มาต่อครั้งเยอะขึ้น

ผมเคยทำ DVD คอร์สสัมมนาขาย แล้วพบว่า การส่งของ เหนื่อยมาก ใช้ทุนสูง จึงตัดสินใจทิ้งสต็อคราคา 50,000 บาท แล้วเปลี่ยนมาให้คนดูออนไลน์อย่างเดียว พอเปลี่ยนรูปแบบแค่เดือนเดียว ก็มีรายได้มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

ผมเคยจ้างออกแบบโลโก้และอาร์ตเวิร์คเพื่อทำสัมมนาอันหนึ่ง ค่าจ้างหลักหมื่น แล้วเอาไปทำโฆษณา ครั้งต่อไปผมเรียนรู้ที่จะทำเองบ้าง ปรากฎว่าได้ผลดีกว่าที่จ้าง ต่อจากนั้นผมทำเอง ไม่ต้องเสียเงินอีกเลย

หากคุณอยากฝึก Responsive อย่าพอใจอะไรง่ายๆ ลองถามตัวเองว่า สิ่งที่ทำอยู่ ดีจริงรึยัง ดีได้อีกไหม อะไรที่คุณจะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ได้ อย่ารอให้คนอื่นเปลี่ยนก่อน แล้วคุณต้องเป็นผู้ตาม
===========================

A – Authentic

โจรสลัด มีความจริงใจ และเป็นตัวของตัวเองสูง นั่นทำให้เค้าแตกต่างจากคนทั่วไป

ลูกแกะ มองยังไงก็เหมือนๆกัน แต่ถ้ามองโจรสลัด จะเห็นเลยว่าพวกเค้ามีอัตลักษณ์ของตัวเอง

นั่นเป็นเพราะโจรสลัด มีความชัดเจนในตัวเอง การสื่อสาร แสดงออก เป็นคาแรคเตอร์ที่สอดคล้องกับนิสัย ความเชื่อข้างใน มันจึงทำให้เค้าเป็นคนที่มีพลัง และถูกจดจำได้ง่าย

เมื่อมีความจริงใจในคำพูดและการกระทำ เค้าจึงไม่ต้องเกร็งและวางฟอร์มอะไร แค่เป็นตัวของตัวเอง และสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา

โจรสลัดไม่ได้ต้องการให้ทุกคนชอบ จึงไม่ปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อเอาใจใคร

เค้าต้องการแค่คนที่รับความเป็นตัวตนของเค้าได้อย่างแท้จริง มิตรภาพ และความสบายใจในการคบกัน

โจรสลัดรู้ว่า คนแบบไหนที่เป็นลูกค้า คนแบบไหนที่ไม่ใช่ เค้าจะสื่อสารกับคนที่เป็นเผ่าพันธ์ของเค้าเท่านั้น

ผมมีความอยากในใจมานานเรื่องนึง คือไว้ผมสั้นมาตั้งแต่เด็ก อยากรู้ว่าการไว้ผมยาวมัดรวบจะเป็นยังไง พอลาออกมาจากราชการแล้ว เลยตัดสินใจไว้ผมยาว ทั้งๆที่รู้ว่าขัดกับภาพลักษณ์วิทยากร ผมอาจต้องเสียลูกค้าไปหลายรายก็ตาม

เสียงสะท้อนก็คือ ลูกค้าหลายรายก็ชอบ เพราะมันเป็นภาพลักษณ์ที่แปลกใหม่ อีกทั้งเมื่อลูกค้าโอเค กับสิ่งที่เราเป็นจริงๆ เราก็ลุยได้เต็มที่ มีพลังในการทำงานมากขึ้นไปอีก

ถ้าคุณอยากฝึก Authentic ให้คุณแสดงความเป็นตัวตนออกมาอย่างแท้จริง ลดกำแพงลง เปิดเผยความรู้สึกของตัวเองเต็มที่ ยืนยันในสิ่งที่คุณต้องการและไม่ต้องการ โดยที่ไม่ต้องถามความเห็นของใคร
=============================

T – Take Action

มีไอเดียอะไรที่เข้าท่า โจรสลัด จะลงมือทำทันที โดยที่ไม่รอพร้อม

ลูกแกะ จะรอให้พร้อมก่อน แล้วค่อยลงมือทำ (ซึ่งจะพบว่า ในที่สุด ก็ไม่ได้ทำ)

ทำทันที โดยไม่รอพร้อม เป็นนิสัยของโจรสลัด เพราะรู้ว่า ทุกๆอย่างไม่ได้มีวิธีที่ดีที่สุดวิธีเดียว แต่จะมีวิธีที่ใช้ได้ หลายๆวิธี

และวิธีที่ดีๆเหล่านั้น ไม่สามารถรู้ได้เลย ถ้าไม่ลงมือทำไปก่อน

เป้าหมายของโจรสลัด ไม่ใช่ต้องการทำให้สมบูรณ์แบบ แต่ต้องการประสบการณ์ของการได้ทำ

ไม่ว่าจะผิดพลาด หรือเจ็บตัว โจรสลัดจะเรียนรู้ไปพร้อมๆกับการลงมือทำ เค้าจะทำครั้งต่อไปได้ดีขึ้น และดีขึ้น

สุดท้ายเค้าจะประยุกต์หาวิธีและหลักการในแบบของตัวเอง มากกว่าจะทำตามไปทั้งดุ้นแบบไม่รู้ที่มาที่ไป

เมื่อมีไอเดียใหม่ๆ ลูกแกะจะรู้สึกดีมีพลัง แล้วจะเริ่มสงสัย ไม่มั่นใจ แล้วก็กลับไปเหมือนเดิม

ส่วนโจรสลัดจะรู้สึกดีมีพลัง แล้วจะเริ่มสงสัย แต่จะทดสอบข้อสงสัยนั้น ด้วยการลงมือทำ

ถ้าจะฝึกในการ Take Action ก็คือ เมื่ออ่านหนังสือ เข้าสัมมนา หรือไปอบรมเรื่องอะไรมา

ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ได้ประโยชน์ 10 เท่า จากสัมมนาที่ไปเข้าเสมอ เพราะ
1. ผมจะเลือกสัมมนา ที่ตรงความต้องการขณะนั้นที่สุด ไม่ใช่ไปเพราะเพื่อนชวน
2. ผมจะเปิดใจเรียนรู้เต็มที่ และจะเลือกสิ่งที่สนใจที่สุด ไปต่อยอดลงมือทำทันที
3. เมื่อได้เรียนรู้จากการลงมือทำแล้ว ผมจะเขียนบทความแชร์ เพื่อให้ความรู้นั้น ยิ่งฝังแน่นในตัวผม

สุดท้ายมันจะเปลี่ยนจากความรู้มือสอง กลายเป็นประสบการณ์มือหนึ่ง ซึ่งพอประเมินผลลัพธ์ที่ได้เป็นมูลค่าจะมากเป็น 10 เท่าของค่าเล่าเรียนที่จ่ายไปนั่นเอง
==========================

E – Exploration

โจรสลัด ไม่หยุดสำรวจค้นหา เพื่อเรียนรู้ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

โลกใบนี้ สวยงามและกว้างใหญ่ น่าค้นหา น่าตื่นต้น มากไปกว่าแค่อยู่ในคอกสี่เหลี่ยมที่ปลอดภัยและสุขสบาย

นี่เป็นเหตุผลที่โจรสลัด ตื่นเต้นที่จะแล่นเรือออกไปในทะเลใหญ่อันแสนกว้าง รู้ว่าจะต้องเจอพายุและฝ่าภยันตราย แต่ก็ยินดีที่จะแลก เพราะรู้ว่า จะได้เจอหีบสมบัติ ได้เจอผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ และสวยงามแปลกตา

แต่ถึงจะเจอสิ่งที่ต้องการแล้ว โจรสลัดก็จะไม่หยุด เค้าจะออกเรืออีกครั้ง เดินทางครั้งต่อไป

ต้นไม้ที่หยุดโต เป็นเพราะมันใกล้จะตาย ชีวิตที่หยุดเติบโต ก็คือชีวิตที่ตายแล้ว

สำหรับโจรสลัด “เป้าหมาย ไม่ใช่ปลายทาง แต่การเดินทางต่างหาก คือเป้าหมาย”

แม้เรืออาจต้องอัปปางไปก่อนที่จะถึงฝั่งฝัน โจรสลัดจะไม่รู้สึกผิดหวังและเสียดาย เพราะมองเห็นการเดินทางอันมีความหมายที่ผ่านมา สิ่งที่ได้ทำไป เค้าก็จะรู้สึกภูมิใจแล้ว

ดังนั้น โจรสลัดจึงไม่กลัวภยันตราย แต่กลัวเสียดาย ที่ไม่ได้ทำ

จุดมุ่งหมายของชีวิต คือต้องการที่จะใช้ศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่ อยากรู้ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้เครียดไปกับการเดินทาง เฮฮาปาร์ตี้ไปตลอดทาง

ชีวิตนั้นแสนสั้น และน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก 
จะทำอะไร ก็รีบทำ อยากได้อะไร ก็ลุยไปเอา
นี่แหละ วิถีโจรสลัด

คุณจะฝึก Exploration ได้ด้วยการอ่านหนังสือ พบปะผู้คนใหม่ๆ เข้าสัมมนา ท่องเที่ยว เข้าชมรม เข้าทีมกีฬา ทำงานจิตอาสา อะไรก็ได้ ที่ทำให้วันนี้ของคุณ เป็นการเรียนรู้ และค้นพบสิ่งใหม่ 
===============================

“People who are crazy enough to think they can change the world are the ones who do” – Steve Jobs-

พวกโจรสลัด ที่มีความเชื่อบ้าๆ ว่าเค้าจะเปลี่ยนแปลงโลกได้ ก็พวกเค้านั่นแหละ ที่เป็นคนทำได้

ไม่สำคัญว่าตอนนี้คุณเป็นใคร ทำอะไรอยู่

หากคุณมีความเชื่อบ้าๆ ว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองได้ ให้เป็นอย่างที่ต้องการ

ด้วยวิถีโจรสลัด 6 ข้อที่แนะนำไป คุณจะทำมันได้อย่างแน่นอน

ยินดีต้อนรับสู่โลกกว้างของโจรสลัด ไปแล่นเรือกันให้สนุกเถอะ

อ่านจบแล้ว อยากจะทำอะไรบ้าๆกันบ้าง มาแชร์กันที่คอมเม้นท์ข้างล่างนะครับ

ส่วนใครที่คิดจะแหกคอกออกจากกรง ในตอนหน้าผมมีวิธีเตรียมตัว วางแผนแหกคอกให้ครับ

13339503_1098701643524708_887953190810839057_n

บทความโดย เรือรบ โค้ชนักเขียนมือโปร

ติดตามบทความย้อนหลังได้ที่เพจ เรือรบ โค้ชนักเขียนมือโปร

https://www.facebook.com/ruarob/posts/1169766423084896:0

ความสวย…ช่วยไม่ได้

เรามักตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาในเรื่อง “ความสวย” ฉันยังเชื่อเสมอว่า…ผู้หญิงทุกคนอยากสวย เพราะแม้แต่ตัวฉันเอง ก็ยังอยากสวย แต่ในเมื่อหน้าตาไม่เอื้ออำนวย (จงมองอย่างไม่เข้าข้างตัวเอง และอย่าเชื่อคำที่ว่า “ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง…สวยทุกคน” เอาจริงๆ นะ บางคนก็ไม่สวย

ยกเว้นคำกล่าวที่ว่า “ความสวย…สวยมาจากข้างใน” แต่กว่าจะไปถึงข้างใน เราก็โดนประเมินจากข้างนอกก่อนอยู่ดี เพราะฉะนั้น ดูดีไว้ก่อน เท่าที่สามารถทำได้ แต่ไม่ถึงกับต้องแปลงร่าง เพื่อเป็นประตูบานแรกที่เชิญชวนใครต่อใครให้เข้าไปดูใจ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เรียกแขก”)

ผู้หญิงเราก็เลยต้องคิดค้นหาองค์ประกอบอื่นมาช่วยเสริมให้ที่คิดว่าแย่ ดูดีขึ้น พอไปวัดไปวาได้มากขึ้น สะอาดขึ้น ถ้าจะให้ดี ทำให้น่ามองขึ้นก็จะดีมาก (อันนี้บอกทั้งตัวเอง และบอกหมอประจำคลินิกเสริมความงาม รวมถึงพนักงานขายเครื่องสำอาง)

ไอ้คนที่สวยอยู่แล้ว ก็อยากที่จะสวยยิ่งๆ ขึ้นไปอีก สวย…เพื่อให้คนอย่างเราแอบนินทาในใจว่า “มึงจะสวยไปไหนอีก?” “กูตามไม่ทันแล้วนะ”

ฉันจึงมั่นใจว่า การแต่งเติมเสริมความงาม เป็นความจำเป็นหนึ่งในชีวิตของลูกผู้หญิงทุกคน ผัวไม่มี แฟนไม่มาไม่เป็นไร ขอวุ่นวายเรื่องร่างกายและหน้าตาเอาไว้ก่อน เพราะถ้าดีได้ แฟนๆ ผัวๆ ก็จะตามๆ กันมาเอง  

โอเค! ถ้ามองกระจกแล้วก็สรุปได้ว่า “เราไม่สวย” แต่กำลังพยายามทำให้สวย แล้วก็ตัดพ้อต่อว่าชะตาชีวิตตัวเอง ลุกลามไปถึงบรรพบุรุษ ว่าอุปสรรคในชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมา เพราะเหตุผลเดียวคือ “ไม่สวย” ไม่มีแฟน…เพราะไม่สวย สมัครงานไม่ได้…เพราะไม่สวย หางานดีๆ ทำไม่ได้…เพราะไม่สวย 

ผู้ชายไม่มอง…เพราะไม่สวย หน้าอย่างนี้ไม่มีใครเอา หรือบางรายแฟนทิ้งไปมีคนใหม่ ที่เขาสวยกว่า แซบกว่า เลยพาลเจ็บแค้น หดหู่ ทุกข์ใจ จะหาเงินไปทำศัลยกรรมก็ไม่มีเงินพอ

ฉันอยากให้เราลองมองผ่านโมเมนต์นี้ไปก่อน แล้วลองถามคนสวยดูซิว่า…เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีไหมที่เกิดมาสวย? 

เคยได้ยินใครบ่นให้ฟังไหมว่า…รู้สึกเหมือนตัวเองดีอยู่อย่างเดียวคือ “สวย”? 

ฟังแล้วน่าสงสารหรือน่าหมั่นไส้ดี? 

หลายเรื่อง หลายปัญหาในชีวิต เกิดขึ้นเพราะอะไร? 
เพราะสวย…ที่ยังไงๆ ก็ต้องมีคนสวยกว่า 
เพราะสวย…ที่สุดท้ายก็รักษามันไว้ไม่ได้ตลอดชีวิต 
เพราะสวย…ชีวิตรักถึงวุ่นวายไม่รู้จักจบ 
เพราะสวย…บางครั้งก็ทำให้ยึดติด มั่นใจ ไร้สติ 
เพราะสวย…ทำให้หลายปัญหามาจากความประมาท ทระนงตน และสร้างความเดือดร้อน 

อย่าลงโทษ ก่นด่าโชคชะตา เพียงเพราะตัวเราเอง “ไม่สวย” ความสวย…อาจทำให้ใครหลายคนประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างง่ายดายก็จริง สวยสร้างความสำเร็จได้ แต่…สวยไม่ได้สร้างสุขที่ยั่งยืน 
สวย…ไม่ช่วยเรื่องความรัก คนสวย…ไม่ได้สุขกันทุกคน บางครั้งอาจมีเรื่องให้ทุกข์มากกว่าเราด้วยซ้ำ เพราะเมื่อผ่านวันเวลาที่เราเลิกแคร์หน้าตามาแล้ว เราจะรู้คำตอบเองว่า…ชีวิตนี้แท้จริงแล้วเราต้องการอะไร?

เราใช้ชีวิตร่วมกับใคร เป็นเรื่องข้างในล้วนๆ การดำเนินชีวิตแต่ละวันของเรา ผ่านความขัดแย้ง ชิงชัง ซาบซึ้ง ผูกพัน รักใคร่ ริษยา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของพฤติกรรม นิสัย สันดานส่วนตัว ที่ไม่เกี่ยวกับหน้าตาเลย ความสุขที่แท้จริงในชีวิต ความสวย…กลับช่วยไม่ได้  

เลิกตัดพ้อต่อว่าตัวเองหน้ากระจก จงวัดความสวยจากความพึงพอใจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือการแต่งตัว เติม เสริมให้พอดี พอเหมาะกับตัวเอง ใครจะไปศัลยกรรม ใครจะไปเหลาหน้า

ก็แล้วแต่วิจารณญาณและความพึงพอใจ แต่จงจำไว้ว่า นี่แค่เพียงองค์ประกอบหนึ่งของชีวิต หลังกระจกบานนั้นต่างหาก ที่น่าสนใจ จงมองตัวเองเข้าไปข้างใน ปิดตาแล้วลองมองหาความงามข้างใน คิดซะว่าเราโชคดีแค่ไหนแล้วที่ “ไม่สวย”

อ้าว! ก็เพราะไม่สวย เราเลยเหลือความดีเพียวๆ เลยทีนี้ อันนี้แก้ได้ ปรับได้ ไม่ต้องไปโบ ไปฉีด ไม่เสริม ก็ทำให้เต็มที่ไปเลย ปรับแต่งชีวิตให้ดี ดีได้เต็มเหนี่ยว โฟกัสไปเลย ณ จุดๆ นี้ ดีซะอีก ไม่ต้องแชร์กับความสวย 555″ 

แล้ววันหนึ่งเวลาเรามองเข้าไปในกระจกอีกครั้ง ต่อให้หัวหูกระเซอะกระเซิง หน้ามันเหมือนเพิ่งไปทอดไก่มา ฟันหน้าติดพริก เขียนคิ้วเบี้ยว หัวสิวกำลังจะแตก เราก็ยังยิ้มได้ บางที…การที่เรายิ้ม เราไม่ได้ยิ้มให้กับภาพตรงหน้าหรอกนะ เรายิ้มให้กับชีวิตที่ผ่านมาของเราต่างหาก! 

แล้วเชื่อเถอะว่า…ผู้ชายดีๆ วัดใจกันตอนที่หน้ามันนี่แหละ! 

%e0%b8%9e%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b9%81%e0%b8%ab%e0%b8%a7%e0%b8%99

บทความโดย  ว.แหวน

นักเขียนผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมากว่า 20 ปี เจ้าของผลงานหนังสือที่ตีพิมพ์กว่า 30 ครั้ง ยอดขายกว่า 200,000 เล่ม

เข้าไปพูดคุยทำความรู้จักกันได้ที่ www.facebook.com/Worwaenfanpage

 

ทำไม เปลี่ยนความคิด แต่… ชีวิตไม่เปลี่ยน

1

โลกสอนให้เราเปลี่ยนความคิดบอกว่า เปลี่ยนความคิดแล้วชีวิตจะเปลี่ยน

แต่ในความเป็นจริงพบว่าหลายครั้งที่เราเปลี่ยนความคิดแล้วแต่ชีวิตของเราก็ยังย่ำอยู่กับที่เหมือนเดิม

เรารู้แล้วว่าเราควรทำอะไร แต่..เราก็ยังควบคุมตัวเองให้ทำสิ่งที่ควรทำไม่ได้ เหมือนคนคิดดีแต่ทำดีไม่ได้พูดง่ายๆ ว่า “คิดอย่างทำอีกอย่าง”

คล้ายๆ เวลาที่เราอ่านหนังสือ แล้วเข้าใจว่าต้องทำอย่างไรก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำได้ตามที่หนังสือบอก
เช่นเรารู้ว่าโกรธไม่ดี แต่เราก็ยังโกรธ  เรารู้ว่าควรจะเงียบแต่เราก็ยังพูด
รู้ว่าไม่ควรรักแต่ก็ยังรัก รู้ว่าไม่ควรเสียใจแต่ก็ยังเสียใจ
รู้ว่าควรปล่อยวางแต่ก็ยังยึดติดอย่างนี้เป็นต้น

เห็นได้ว่า กระบวนการของความคิด มีอย่างอื่นแทรกแซงอยู่เสมอ ความคิดไม่ได้เป็นอิสระ ไม่ได้มีอานุภาพอยู่เหนือทุกสิ่งเหมือนที่หลายคนเข้าใจกัน

เมื่อเปลี่ยนความคิดชีวิตไม่เปลี่ยน  แล้วเราต้องเปลี่ยนที่อะไร…

โลกสอนให้เราเปลี่ยนความคิด แต่พระพุทธเจ้าสอนให้เราเปลี่ยนที่จิต  เปลี่ยนโดยอาศัยกระบวนการของจิตที่เข้าไปรู้ทันความคิด การรู้ทันความคิดในที่นี้หมายถึง รู้ตัวอยู่เสมอว่าเรากำลังคิดอะไร
ชอบก็รู้ว่าชอบ

ไม่ชอบก็รู้ว่าไม่ชอบ   ความคิดไหลไปก็รู้    ความคิดสงบนิ่งก็รู้  รู้ไปตามสภาพความเป็นจริงของความคิดโดยไม่มีการบังคับ
นี่เรียกว่า รู้ความคิด

แน่นอนว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธอำนาจของความคิด เพียงแต่พระองค์ตระหนักดีว่าการเปลี่ยนความคิดนั้นเป็นทางอ้อม ทำได้ช้า
แต่การเปลี่ยนเข้าไปที่จิตนั้นเป็นทางตรง และทำได้เร็วกว่า

ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงย้ำอยู่เสมอว่า ความรู้ของพระองค์จะอาศัยความคิดเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้
ทุกสิ่งจำเป็นต้องฝึกฝนลงไปในขั้นจิต ไม่สามารถใช้สุตมยปัญญา หรือปัญญาเกิดจากการฟัง 

ไม่สามารถใช้จินตามยปัญญา หรือปัญญาเกิดจากการคิด แต่ต้องใช้ภาวนามยปัญญา หรือปัญญาเกิดจากฝึกฝนทางจิต จึงสามารถเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ได้

จิตเป็นนาย ความคิดเป็นบ่าว ส่วนร่างกายเป็นทาส ถ้าเราควบคุมเจ้านายใหญ่ได้
ถึงตอนนั้นเราจะเป็นผู้ใช้ความคิดโดยไม่ถูกความคิดเล่นงาน

“ใช้ความคิด แต่ไม่ถูกความคิดใช้” คือ เคล็ดลับของความสำเร็จ

และยังเป็นคำตอบของคำถามที่ว่าทำไมเราจึงสมควรพาตนเองเข้าสู่วิถีแห่งการพัฒนาจิต

“เปลี่ยนที่ความคิดเหมือนขี่เต่า  แต่เปลี่ยนที่จิตเราเหมือนขี่มังกร”

บทความโดย พศิน อินทรวงค์

ติดตามอ่านบทความดีๆ ได้ที่
เพจ พศิน อินทรวงค์
https://www.facebook.com/talktopasin2013

วิธีไล่ความขี้เกียจ ที่ได้ผลเร็วและดีที่สุดในโลก

Copy of ภาพบทความ

มีคำถามผู้อ่านจากผู้อ่านทางบ้านส่งมาถาม ผมว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจมากครับ เลยขอนำมาบอกกล่าวกันครับ
คำถาม : ผมพยายามดึงตัวเองขึ้นจากตัวตนที่เกียจคร้าน ขาดกะจิตกะใจ แต่ยังมองไม่เห็นความสำเร็จเลย ตัวอย่างเช่น มีงานชิ้นหนึ่งที่ใช้เวลาทำประมาณ 5 วัน ผมรู้ล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์

พยายามเริ่มต้นทำทีไรมันเหมือนไม่มีแรงบันดาลใจที่จะทำ ก็อืดเอื่อยไปเรื่อย จนสุดท้ายมันพอกหางหมู ผมต้องปั่นงานเป็นบ้าเป็นหลัง บางคืนไม่ได้นอนตลอด 24ชั่วโมง ร่างกายก็แย่ รู้สึกตัวเลยว่าสุขภาพเสีย

ประเด็นสำคัญที่สุดคือผมจมอยู่กับความทุกข์ทรมานใจอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จะจัดการตัวเองอย่างไรดี

เคยปรึกษานักจิตวิทยาคำตอบที่ได้จากคนเหล่านั้นก็ดูจะเป็นคำตอบกลาง ๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้ผมก็รู้อยู่แล้ว เกิดความรู้สึกว่ายังไม่น่าจะช่วยอะไรได้ ทุกวันนี้ความทุกข์ทรมานใจส่งผลถึงร่างกาย บางครั้งกินอะไรไม่ลง รู้สึกว่าตัวเองท้องไส้ปั่นป่วน หงุดหงิดง่าย จมอยู่ในกองทุกข์จนยกจิตขึ้นจากมันไม่ได้ คิดได้แต่ทำไม่ได้

พยายามหาที่พึ่งไปเรื่อย ใครพูดถึงหมอดูว่าที่ไหนแม่นยำ ก็คิดอยากจะลองซักหน่อยว่าจะเจ๋งจริงไหม จะสามารถแก้ปัญหาของเราได้หรือเปล่า ที่ร่ายมาซะยาวก็เพื่อจะบอกว่าตอนนี้ผมก็เห็นคุณเป็นเหมือนหลักเกาะอีกอันหนึ่ง หรือจะพูดให้ดูเว่อร์ต้องบอกว่าเหมือนฟางอีกเส้นที่ลอยน้ำมา

และผมก็ไม่มีอะไรจะคว้าไว้อีกแล้ว ผมอยากขอคำปรึกษาว่า ผมต้องทำไงดีเพื่อจะออกจะสภาวะชีวิตแบบนี้ครับ…

ตอบโดย พศิน อินทรวงค์…

1. วงจรชีวิต คุณเคยสังเกตไหมครับว่า ชีวิตคนแต่ละคนนั้นจะมีวงจรเป็นของตนเอง คำว่าวงจรนี้ คือกิจกรรมที่ทำซ้ำๆกันในแต่ละวัน เช่นคุณตื่นกี่โมง ตื่นมาแล้วทำอะไร เดินทางด้วยอะไรรถยนต์ เรือ หรือมอเตอร์ไซค์

ชอบรับประทานอะไรแบบไหน คุยกันใครบ่อยๆ กลับมาบ้านแล้วทำอะไร อาบน้ำเมื่อไหร่ ก่อนนอนทำอะไร และนอนกี่โมง ทั้งหมดนี้คือความหมายของคำว่าวงจรชีวิต

2. วงจรชีวิตนั้น ส่งผลต่อชีวิตทั้งทางตรง รวมถึงในแง่จิตวิทยากับคนเรามาก ถ้าคนออกแบบวงจรชีวิตผิด ชีวิตก็จะกลายเป็นชีวิตที่ไร้ประสิทธิ์ภาพไปอย่างน่าเสียดาย

3. ตอนนี้คุณยังไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องงานมากนัก เพียงแค่รักษาสมดุลของงานไว้อย่าให้เสียหายไปมากกว่านี้ พักเรื่องความกังวลเรื่องงานไว้ก่อน แล้วกลับมาสนใจสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตประจำวัน เพราะคุณต้องสร้างรากฐานให้ดีก่อน

ผมอยากให้คุณออกแบบวงจรชีวิตซะใหม่ โดยเฉพาะ เวลาตื่น และเวลานอน คุณต้องลองปรับเวลาตื่น และนอนเสียใหม่ แล้วใส่กิจกรรมบางอย่างลงไปในชีวิตเพื่อเพิ่มความสนุก สดชื่น ท้าทาย เช่น ออกกำลังกาย พยายามนอนให้เร็ว(ไม่เกินสี่ทุ่ม) และตื่นให้เช้าขึ้น (ตีห้าเป็นอย่างน้อย) แล้วออกวิ่งสักครึ่งชั่วโมง

จากนั้นกลับมาอาบน้ำ แล้วลงมือทำหน้าที่ต่างๆ ในชีวิตประจำวันต่อไป

4. การออกแบบวงจรชีวิตใหม่ แบบกระทันหัน ตรงนี้เป็นการทำลายวงจรร้ายๆ ที่มันกัดกินชีวิตของคุณให้ปั่นป่วน เพราะความขี้เกียจของคุณมันจะงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน มันจะช็อค สะดุดและไม่มีที่เกาะชั่วคราว

คุณต้องทำซ้ำๆๆๆๆ ในสิ่งที่ต่างออกไป รูปแบบชีวิตจะถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดด้วยการทำเช่นนี้ ถ้าคุณทำแบบนี้ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ชัดมาก

5. ในเรื่องของอาหาร คุณมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนใหม่ กินแต่พอสมควร ไม่มาก ไม่น้อย อย่ารับประทานอาหารพวกแป้ง และไขมัน การกินที่มีระเบียบ จะส่งผลต่อความกระตือรือล้นของร่างกาย ร่างกายจะตื่นตัวขึ้น และยังส่งผลเชิงจิตวิทยาต่อการนับถือตนเองของคุณอีกด้วย

6. ความขี้เกียจ นี่มีสิ่งที่มันกลัวอยู่ ขอให้คุณสร้างความประหลาดใจให้ตัวเองให้ตัวเอง รู้สึกว่า “ฉันก็ทำได้” โดยการฝืนทำงานให้เสร็จในทันที

ในครั้งแรกนี้ ขอให้คุณทำงานแบบสายฟ้าฟาด คือทำทันทีทั้งๆที่ขี้เกียจ ให้ความขี้เกียจมันเกิดอาการช็อคว่า “เฮ้ย!! นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ถ้าคุณทำได้ คุณจะเกิดความฮึกเฮิมว่าคุณเอาชนะมันได้

7. มีอีกอย่างที่คุณควรทำทุกวัน ขอให้คุณนั่งสมาธิอย่างน้อยก่อนนอนวันละ 15 นาที ตรงนี้จะส่งผลต่อคุณอย่างมหาศาล ทั้งในแง่จิตวิทยา และการสร้างพลังจิตใจของคุณ

ขอให้ทำแม้ว่าจะนั่งแล้วไม่สงบ ทำแม้ว่าจะเบื่อ ทำแม้ว่าจะขี้เกียจ ไม่ต้องสนใจว่าคุณจะได้อะไรจากการนั่งสมาธิ ขอให้คุณรู้ว่า นี่คือการส่งสัญญาณบางประการต่อจิตวิญญาณของคุณ

และจิตวิญญาณเบื้องลึกของคุณจะรับรู้ได้ และเกิดแสงสว่างขึ้นมาจากภายใน เป็นการอัดฉีดกำลังใจเข้าไปในจิตวิญญาณของคุณ

8. ความร้ายกาจที่สุดของคนเราก็คือการหมดหวัง คุณต้องไม่หมดหวังที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง ขอให้ทำทุกข้อตามที่ผมบอกอย่างเคร่งครัดติดต่อ กันไปเรื่อยๆ อย่างน้อย 15 วัน และทำอย่างต่อเนื่องจนเป็นนิสัย เริ่มจากทำลายวงจรชีวิตเดิมๆ ให้กระเจิง

พยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันให้ต่างออกไปในทุกมิติ ทำแบบกระทันหัน ทำแบบสายฟ้าฟาด ให้ความขี้เกียจมันเกิดอาการช็อคจนจำบ้านตัวเองไม่ได้!!! ทำชีวิตประจำวันให้มันต่างจากเดิมให้เร็วที่สุด ยิ่งต่างยิ่งดี

จากนั้นคุณต้องเริ่มดูแลตนเองเรื่องการกิน เปลี่ยนเวลาตื่น นอน แล้วเริ่มทำสมาธิวันละ 15 นาที จากนั้นให้คุณกลับมาที่เรื่องงานซึ่งเป็นปัญหา ในครั้งแรกขอให้คุณจงทำงานของคุณทันที ทำงานให้เสร็จในระยะเวลาที่เร็วที่สุด

เพราะคุณต้องสร้างความประหลาดใจให้ตนเอง เพื่อให้จิตวิญญาณของคุณมีภาวะเชื่อมต่อกับความสำเร็จ จนจิตวิญญาณของคุณสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า “เฮ้ย เรานี่มันก็สุดยอดเหมือนกัน เรานี่มันไม่ธรรมดา สุดยอดๆๆๆ”

9. กิเลสหรือความขี้เกียจคือหนู วิธีไล่หนูมีอยู่สองแบบ วิธีที่หนึ่ง คือการจับหนู จับไปจับมา หนูมันก็จะมาอีก ถ้าบ้านคุณรก วิธีที่สอง คุณไม่ต้องไปสนใจจับหนู แต่คุณไปจัดบ้านของคุณให้สะอาด ให้เป็นระเบียบ

ทิ้งของบางอย่างที่รกๆ แล้วเพิ่มของบางอย่างที่ง่ายและสวยงามเข้าไป บ้านในที่นี้ก็คือวงจรชีวิตของคุณ ซึ่งคุณจะต้องจัดใหม่โดยเร็ว เพื่อที่ว่า หนูมันจะได้ย้ายออกไป ไม่สนใจมาอยู่ในบ้านของคุณอีก

ที่ผ่านมาคุณพุ่งเป้าไปที่เรื่องของการไล่หนู คือไล่ความขี้เกียจ แต่คุณไม่ได้สนใจที่จะเปลี่ยนวงจรชีวิต ซึ่งมันง่ายและได้ผลมากกว่า ผมพูดแบบนี้คิดว่าคุณคงเห็นภาพ และเข้าใจได้ไม่ยากนัก

ผมดีใจที่ได้ตอบคำถามนี้ และขอเป็นกำลังใจให้คุณสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ได้ในเร็ววัน
คุณทำมันได้แน่นอนขอให้เชื่อมั่น และแน่วแน่

สู้นะครับ อย่าไปยอมแพ้มันเด็ดขาด!!!

ป.ล. คุณจะรู้สึกเบื่อ และไม่อยากทำมันเมื่อต้องทำ เช่น การตื่น การนอน การกิน แต่คุณต้องงัดตัวเองออกมาจากเตียงให้ได้  

ตรงนี้ต้องฝืนใจ ทำให้สำเร็จแล้วสิ่งดีๆ จะถาโถมเข้ามาสู่ชีวิตของคุณอย่างไม่ขาดสาย

บทความโดย พศิน อินทรวงค์ 
ติดตามผลงานหนังสือ
หรือติดตามอ่านบทความดีๆ ก็สามารถเข้ามาได้ที่
เพจ พศิน อินทรวงค์ (กรุณาพิมพ์เป็นภาษาไทยนะครับ)
https://www.facebook.com/talktopasin2013

คุณสมบัติ 5 ข้อ ของคนที่มีพลังใจอย่างต่อเนื่อง

1

ทำอย่างไร ถึงจะทำให้ตัวเองมีพลังใจได้ตลอดเวลา? เป็นคำถามที่ผมมักจะถูกถามอยู่เป็นประจำ

และวันนี้ ผมจะสรุปบทเรียนและประสบการณ์ จากการโค้ชผู้คนเป็นเวลาร่วมกว่า 100 ชั่วโมง และการทำเทรนนิ่งมากกว่า 10 ปี ซึ่งทำให้ผมได้พบว่าคนที่จะมีพลังใจได้อย่างต่อเนื่องนั้น

ต้องมีคุณลักษณะสำคัญ 5 ข้อด้วยกัน.. นั้นก็คือ…

1.ความหวัง

คนที่ใช้ชีวิตแบบไร้ความหวัง ก็ไม่มีวันมีแรงบันดาลใจ และความหวังจะเกิดขึ้นเมื่อเรามองเห็นโอกาส มองเห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต

ซึ่งคนๆ เดียวที่จะมอบความหวังให้กับเราได้ก็คือ ตัวเราเอง เมื่อเราเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต เปิดรับโอกาส ออกไปพบเจอกับผู้คนใหม่ๆ อ่านหนังสือใหม่ๆ ทำสิ่งใหม่ๆ ชีวิตของเราก็จะมีความหวังมากยิ่งขึ้น

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำให้เข้าใจตรงกันก่อน…..

“สิ่งที่สำคัญกว่าการเปิดตัวออกไปทำสิ่งใหม่ๆ ก็คือ…. การเปิดใจต้อนรับสิ่งใหม่ๆ !!!”

คนหลายๆ คนมักจะพูดว่า งานที่เขาทำอยู่ ไม่มีความก้าวหน้าเลย เติบโตได้ยาก โอกาสก็น้อยเต็มที……… ชีวิตมันจะไปมีความหวังอะไร ต้องออกไปทำงานใหม่ซะ ลาออกมาเป็นนายตัวเองจะได้มีความหวัง

แต่พอลาออกมา เจอกับภาระความรับผิดชอบที่มากขึ้น พอเจอการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ก็บอกว่าโลกนี้มันเต็มไปด้วยการแข่งขัน
ทำเริ่มต้นทำอะไรก็ยาก ลงทุนอะไรก็มีแต่ความเสี่ยง…. ชีวิตหมดหวังเหมือนเดิม!

ผมจะถามคนที่มาโค้ชชิ่ง หรือข้อคำปรึกษากับผมเสมอว่า… สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้ มันมีโอกาสอะไรซ่อนอยู่บ้าง?

ในตอนแรกๆ พวกเขาจะไม่ชินกับคำถามแบบนี้สักเท่าไหร่

เพราะคนทั่วไปมักจะแนะนำให้เขาเปลี่ยนงาน หรือเปลี่ยนสิ่งที่ทำไปเลย

แต่สิ่งที่ผมต้องการช่วยคนเหล่านั้นจริงๆ ก็คือ ให้เขาเริ่มต้นจากพื้นฐานที่สำคัญที่สุดเสียก่อน…………….. พื้นฐานทางความคิด!

เมื่อเขาได้ยกระดับความคิดในการมองโอกาสให้เพิ่มขึ้นได้แล้ว ไม่ว่าเขาจะไปพบเจอเรื่องอะไร หรือตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน
เขาก็จะสามารถมองเห็นโอกาส และมีความหวังได้ ในสิ่งที่คุณกำลังทำ อาจมีโอกาสที่คุณไม่เคยมองเห็นซ่อนอยู่

บางครั้งการทำงานไกลบ้าน และต้องเดินทางบ่อยๆ กลับบ้านสัปดาห์ละครั้ง….อาจเป็นโอกาสที่ทำให้คุณรู้จักคุณค่าของการให้เวลากับครอบครัวมากยิ่งขึ้น

บางครั้งการทำงานที่คุณไม่ชอบเลย อาจมีโอกาสที่จะทำให้คุณได้ไปพบเจอผู้คนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ ที่จะพาคุณไปสู่งานที่คุณรักก็ได้ แค่เพียงคุณเลือกที่จะเปิดใจ เปิดรับโอกาสใหม่ๆ เปิดมุมมองใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตของคุณมีความหวังมากยิ่งขึ้น

2.ความชัดเจน

ความชัดเจน คือ พลัง

คนส่วนมากมีชีวิตที่ขาดพลัง ก็เพราะว่าเขาไม่มีความชัดเจนกับชีวิตของตัวเองเลย เขาไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วเขาต้องการอะไร จริงๆ แล้วเขาต้องการมีชีวิตแบบไหน

แม้ในบางครั้ง อาจดูเหมือนว่าพวกเขารู้ว่าเขาต้องการอะไร เพราะเขาบอกว่า เขาต้องการมีความสุข เขาต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้น เขาต้องการประสบความสำเร็จ……

แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว เขาไม่สามารถตอบได้ว่า………ความสุข ความสำเร็จ และชีวิตที่ดีขึ้นที่พวกเขาพูดถึง…. คืออะไร?

พอมันไม่ชัดเจน ก็ถูกกระแสสังคมหรือคนรอบข้าง พัดพาไปเรื่อยๆเห็นใครทำอะไรแล้วดูดีก็เฮตามกันไป เห็นใครทำแล้วน่าสนุกก็เฮกันไปโดยที่ไม่ได้มาทบทวนเลยว่าจริงๆ แล้วเราทำไปเพื่ออะไร?

ดังนั้น จงหาคำตอบของตัวเองให้ชัดเจนครับว่า “คุณเกิดมาทำไม และต้องการจะสร้างอะไรให้โลกใบนี้?”

3.ทำเต็มที่

การลงมือทำสิ่งต่างๆ อย่างเต็มที่สุดความสามารถ คือเครื่องมือชั้นดีที่จะช่วยสร้างพลัง และแรงบันดาลใจให้กับตัวคุณเอง

ความหวัง และความชัดเจน จะช่วยจุดพลังให้ตัวคุณให้ลุกโชนขึ้นมาในตอนแรก

แต่การลงมือทำให้เต็มที่ จะเป็นเชื้อเพลิงในการสร้างแรงบันดาลใจของคุณให้ร้อนแรงมากยิ่งขึ้น

ผมมีเทคนิคง่ายๆ ที่ผมมักใช้กับตัวเองเวลาที่ผมต้องลงมือทำงานหรือใช้ชีวิต และคาดหวังว่าจะทำมันให้ได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม ก็คือ

ผมจะถามตัวเองว่า….

ถ้าฉันคือคนที่ยอดเยี่ยมสุดๆ และเก่งขึ้นกว่าปัจจุบันนี้ ฉันจะตัดสินใจ และเลือกทำเรื่องนี้อย่างไร?

คำถามนี้ ช่วยกระตุ้นให้ผม ลงมือทำสิ่งที่ผมเลือกทำ อย่างเต็มที่ ทำให้ผมมีพลัง และแรงบันดาลใจอยู่อย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา

4.การเรียนรู้

มีคำคมกล่าวไว้ว่า….

“เมื่อคุณเรียนรู้จากความล้มเหลวที่เกิดได้ คุณก็จะไม่มีวันพ่ายแพ้อีกเลย” ผมได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง และจากประสบการณ์ของผู้รับการโค้ชของผมมาแล้วว่า… เป็นจริงตามนั้น!

เมื่อเรามีความหวัง เรามีความชัดเจน และลงมือทำมันอย่างเต็มที่แล้ว อีกองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ก็คือ “การเรียนรู้”

ทั้งการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และการเรียนรู้จากทุกๆ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น คือกุญแจสำคัญอีก 1 ดอกที่จะทำให้คุณมีแรงบันดาลใจได้อย่างต่อเนื่อง

โทมัส เอดิสัน ทดลองหลอดไฟแล้วล้มเหลวนับพันครั้ง แต่เขาเลือกที่จะเรียนรู้จากมัน เขาเรียนรู้ว่าตรงไหนที่มันได้ผล
และตรงไหนที่มันไม่ได้ผล และเขาก็นำมาคิดหาวิธีการใหม่ๆ

ซึ่งผมเชื่อว่านี่คือกุญแจสำคัญที่ทำให้เขามีแรงบันดาลใจ ที่จะผลิตหลอดไฟให้สำเร็จ แม้จะล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน

5.การขอบคุณ

คุณลักษณะสุดท้ายของการเป็นคนที่มีแรงบันดาลใจได้อย่างต่อเนื่องก็คือ เขาต้องรู้บุญคุณของสิ่งที่เขามี และรู้จักขอบคุณสิ่งเหล่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ประสบการณ์ หรือแม้แต่สิ่งของที่คุณมีอยู่ในปัจจุบัน เมื่อคุณเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น และเลือกที่จะขอบคุณมัน แรงบันดาลใจของคุณก็จะลุกโชนได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ในตอนนี้ที่คุณยังมีลมหายใจอยู่ คุณได้กล่าวขอบคุณหรือยัง? ในขณะที่คุณยังที่ให้นอน มีข้าวให้กิน มีเสื้อผ้าให้ใส่

คุณเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น และกล่าวขอบคุณบ้างหรือเปล่า?

ในขณะที่คุณยังมีครอบครัว มีพี่น้อง มีเพื่อน มีสังคมดีๆ อยู่ใกล้ๆ มีคนที่คอยหวงใยคุณ คุณเคยขอบคุณพวกเขาเหล่านั้นไหม?

มองให้เห็นคุณค่าของเรื่องเหล่านั้น และจงกล่าวขอบคุณ

ไม่ต้องเชื่อผม……………….. ลองทำดู แล้วจะรู้เอง!

คุณลักษณะทั้ง 5 ข้อนี้ ถือเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี
ที่จะการสร้างแรงบันดาลใจของคุณให้คงอยู่อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ขอให้คุณฝึกฝนให้ตัวเองเป็นคนที่มีคุณลักษณะทั้ง 5 ข้อนี้อย่างต่อเนื่อง
แล้วคุณจะลืมตัวคุณ ที่ห่อเหี่ยวหมดพลังในวันนี้ไปตลอดกาล

กิตติ ไตรรัตน์  

ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง National Director ของ The Passion Test ประจำประเทศไทย 

ผู้มีความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสนับสนุนให้ผู้คน มีอิสรภาพจากภายในใจ 

www.KittiTrirat.com 

5 ข้อคิด สำหรับผู้ต้องการชนะใจตนเอง

5

เรื่องของใจ หลายคนคงคิดว่าควบคุมยาก ทั้งๆ ที่มันไม่มีรูปร่าง ตัวตน มองไม่เห็น แต่ทำไมถึงมีอิทธิพลกับชีวิตเรามากขนาดนี้ 

และอีกเรื่องที่ทุกคนต้องประสบนั่นคือ ทำอย่างไร จึงจะเอาชนะใจตนเองได้ สิ่งนี้คือหนึ่งในตัวชี้ว้ดความสำเร็จในชีวิตของคนเราเลยนะครับ  หลายคนมีปัญหาเรื่องนี้กันมาก วันนี้ผมเลยเตรียม 5 ข้อคิดสำหรับผู้ที่ต้องการเอาชนะใจตนเองมาฝากครับ

1.ทำดีกับผู้ที่เกลียดชังเรา

ห้องสุขาควรได้รับการชำระล้าง โดยเฉพาะของผู้ที่เกลียดชังเรา
คงดีไม่น้อย ถ้าเราจะเป็นผู้ทำความสะอาดห้องสุขาให้เขา เพื่อให้ผู้ที่เกลียดชังเรา ได้มีชีวิตถูกสุขลักษณะ เพื่อเขาจะได้เกลียดชังเราต่อไปอย่างสบายกายที่สุด

2.ไม่ยึดติดในรสอาหาร

กินอาหารเลิศรสคงสุขใจพิลึก แต่ถ้ายกอาหารจานนั้นให้ผู้ยากจนได้ชิมบ้าง อาจสุขใจกว่า
ส่วนเรา ควรเลือกเอาแต่ของหาง่าย ปรุงง่าย ราคาถูก เพื่อจะกินกันตาย เพื่อมีชีวิตอยู่อย่างคนตายเป็น

3.หาความรื่นรมณ์จากความสงบ

บทเพลงไพเราะ ชวนฝัน ก็น่าฟังดี แต่บางครั้ง ปิดไว้ เพื่อฟังเสียงความเงียบก็ดีนะ
ธรรมชาติขับกล่อมความเงียบช่างน่าฟังนัก เสียงใดจะไพเราะเท่าความเงียบเป็นไม่มีอีกแล้ว

4.สู่ความเรียบง่ายของชีวิต

คนมากมาย ใฝ่ฝันจะเป็นคนพิเศษ คนพิเศษจึงมีมากมาย จนเดินชนกันตาย
ความพิเศษจึงกลายเป็นความธรรมดาน่าใจหาย นานๆ จะมีสักคนที่อยากเป็นคนธรรมดา
คนที่อยากเป็นคนธรรมดา จึงกลายเป็นคนพิเศษ แท้จริงแล้ว เมื่อไหร่ที่อยากเป็นคนธรรมดา เมื่อนั้นย่อมเป็นคนมีปัญญาแท้จริง

5.อย่าร้องขอ แต่จงเติมเต็มทุกสิ่งด้วยตนเอง

ถ้ามีคนให้ความรักมันก็ดี แต่ความรักที่แท้ เกิดจากการผลิบานของปัญญา
ผู้คนอยากได้ความรัก แต่ไม่ได้อยากให้ความรัก ความรักจึงขาดแคลน เพราะมีแต่ผู้ต้องการ แต่ไม่มีใครผลิต
เราจะเป็นผู้ผลิตความรักโดยไม่บริโภคความรักจากใครได้ไหม ผลิตเอง ใช้เอง และแบ่งปันความรักที่ผลิตได้แก่เพื่อนมนุษย์

พศิน อินทรวงค์
ติดตามอ่านบทความดีๆ ก็สามารถเข้ามาได้ที่
เพจ พศิน อินทรวงค์ (กรุณาพิมพ์เป็นภาษาไทยนะครับ)
https://www.facebook.com/talktopasin2013

4 ขั้นตอน ตั้งเป้าหมายให้มีพลัง ดึงดูดความสำเร็จ

สำหรับบทความนี้ ผมจะแบ่งปันเทคนิคในการตั้งเป้าหมาย ที่ผมใช้จริงกับตัวเองในช่วงปี 2558 ซึ่งถือเป็นปีที่ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไปแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว เพราะเป้าหมายที่ผมได้เขียน มันได้กำหนดทิศทาง ที่ทำให้ผมได้ไปร่วมงานกับบุคคลระดับโลก เจ้าของผลงาน New York Time Bestseller ผู้เป็นอาจารย์ของ รอนด้า เบิร์น ผู้สร้าง The Secret อีกด้วย!! 

ทำไมเป้าหมายถึงสำคัญนัก?

เพราะเป้าหมายจะช่วยให้คุณมองเห็น ในสิ่งที่คุณต้องการยังไงล่ะครับ และในขนะเดียวกัน การมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ก็จะช่วยตัดสิ่งที่คุณไม่ต้องการออกไปจากสายตาคุณอีกด้วย…

เจ๋งไปเลยจริงไหมล่ะครับ?

เอาล่ะครับ เมื่อคุณรู้แล้วว่าการตั้งเป้าหมายมันเจ๋ง ทีนี้เรามาดูวิธีการในการตั้งเป้ากันเลยดีกว่าครับ

วิธีการในการตั้งเป้าหมายนี้ เป็นเทคนิคที่ผมได้เรียนรู้จาก Brendon Burchard
ซึ่งได้พูดเอาไว้ใน VDO ที่มีชื่อว่า How NOT to Set Goals (Why S.M.A.R.T. goals are lame)

ซึ่ง Brendon ได้สอนเทคนิคในการตั้งเป้าหมายแบบ DUMB Goals หรือ เป้าหมายโง่ๆ เอาไว้
ซึ่ง D.U.M.B. Goal Setting ถูกแบ่งเป็น 4 ขั้นตอนดังนี้…

ขั้นที่ 1  Dreams เขียนความฝันของคุณลงไป

ชีวิตในฝันของคุณ มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร?
ชีวิตแบบไหนที่เมื่อคุณจะรู้สึกตื่นเต้น และกระตือรือร้นที่จะคว้ามันมาครอง?

เขียนความฝันที่ใช่ของคุณ ลงไปในกระดาษครับ นี่คือจุดเริ่มต้นแรก ของการดึงดูดความสำเร็จ

เริ่มต้นจากความฝัน ฝันคุณคืออะไร ทำไมฝันนี้ถึงสำคัญกับคุณแล้ววิธีการที่คุณยังมองไม่เห็นมันจะปรากฏขึ้นมาเอง!!

ให้ความฝัน… ขับเคลื่อนและเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของคุณ

TIPS: เขียนความฝันของคุณให้อยู่ในรูปของประโยคปัจจุบัน
คุณอาจเขียนเป็นลักษณะของการบรรยาย ซึ่งจะทำให้คุณ รู้สึกเหมือนไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว และได้สัมผัสมันแล้วจริงๆ

ที่สำคัญ อย่าตีกรอบความฝันของตัวเอง!!! ตอนที่ผมเขียนภาพฝันของผม ผมยังไม่รู้เลยครับ
ว่ามันจะเป็นจริงไปได้ยังไง…. แต่ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นเร็วกว่าที่ผมคิดซะอีก

ขั้นที่ 2  Uplifting ยกระดับชีวิต

คุณจะยกระดับชีวิตไปในทิศทางไหน?  

คุณต้องการให้อะไรเกิดขึ้นกับชีวิตคุณ?

หลังจากที่คุณได้เขียนความฝันของคุณไปแล้ว คราวนี้ถึงเวลาเขียนถึงสิ่งที่คุณต้องการให้ชัดเจนลงไปอีก

เขียนถึงสิ่งที่คุณเชื่อว่า “มันจะเป็นเส้นทางไปสู่ชีวิตในฝันของคุณ!” คล้ายๆ กับการทำฝันของคุณให้มันชัดเจนขึ้นนั้นแหละครับ

ตัวอย่างเช่นของผมเอง หลังจากเขียนความฝันแล้ว
Uplifting บางส่วนของผมก็คือ…..

* ผมได้ร่วมงานกับกูรูระดับโลก
* ผมสอนและแบ่งปันความรู้ ให้กับคนนับล้านทั่วโลก
* ผมจะมีความสุข และสงบ กับทุกๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสมอ
* ผมได้เป็น นักเขียน Bestseller ระดับโลก
* ผมมีรายได้หลายช่องทาง มีรายได้จากการทำสิ่งที่รัก
ฯลฯ

TIPS: เขียนถึงสิ่งที่คุณต้องการเท่านั้น ใช้ข้อความที่เวลาคุณอ่าน แล้วมีไฟ มีพลัง
และอย่าลืมเขียนให้มันเชื่อมโยง กับความฝันของคุณด้วยนะครับ

ขั้นที่ 3  Method เลือกวิธีการ

เมื่อคุณรู้ชัดเจนว่าความฝัน คืออะไรและก็ได้กำหนดทิศทางแล้วว่าจะยกระดับชีวิตไปทางไหน

ขั้นที่ 3 คือการเลือกวิธีการ และทักษะที่คุณจะต้องฝึกฝนจนชำนาญ เพราะความสำเร็จ คือผลลัพธ์สำหรับคนที่มีของเจ๋งๆ เท่านั้น

ทักษะอะไรบาง ที่คุณจะต้องฝึกฝน เพื่อจะทำให้ฝันคุณเป็นจริง

ตัวอย่างเช่น ผมจะฝึกเขียน Copywriting ทุกเดือน เดือนละอย่างน้อย 1 ครั้ง
* ผมจะเลือกเรียนรู้กับกูรูเจ๋งๆ ที่ผมเลือกแล้วเท่านั้น และตัดคนที่ไม่ใช่ออกไปก่อน
* ในทุกๆ เดือนผมจะเขียนสรุปบทเรียนชีวิตของผม เพื่อติดตามความก้าวหน้า
* ผมจะเขียนบทความให้โดนๆ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 บทความ
* ผมจะนำความรู้ด้าน Internet Marketing มาใช้ในงานเทรนนิ่งของผม
ฯลฯ

TIPS: เขียนสิ่งที่คุณจะฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝนเป้าหมายของการเขียน

“วิธีการ” ก็คือ “การเพิ่มทักษะที่จำเป็นให้ตัวคุณเอง”

ขั้นที่ 4  Behavior ฝึกนิสัยใหม่

ขั้นตอนที่ 4 นี้ ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของการตั้งเป้าหมายแบบ DUMB เลยนะครับ

เพราะว่า “นิสัย” คือ รากฐานของทุกๆ ผลลัพธ์ในชีวิตยังไงละครับ ในขั้นนี้ให้คุณเขียนถึง นิสัยที่คุณต้องการฝึกฝนนิสัย ที่มันจะสนับสนุนให้คุณบรรลุทุกๆ เป้าหมายของคุณ!!

เช่น… ผมต้องฝึกนิสัยโฟกัส ถึงความฝันที่ชัดเจนอยู่เสมอ
ผมต้องฝึกนิสัยการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ผมจะฝึกนิสัยของการเป็นคนใจเย็น และนิ่งสงบ

แต่แน่นอนว่าในการฝึกนิสัยใหม่ๆ ตอนแรกๆ นั้นมันจะอึดอัด
เพราะว่า สมองของเรามันยังไม่คุ้นชินกับทางเลือกใหม่ๆ ดังนั้น Brendon จึงแนะนำให้ เขียนถึงนิสัยที่เราจะฝึกนี้ให้เชื่อมโยงกับกิจกรรมประจำวันที่เราทำเป็นปกติอยู่แล้ว

เช่น ทุกเช้าที่ตื่นนอน ฉันจะกล่าวขอบคุณ และนั่งสมาธิรักษาใจเป็นอันดับแรก
* เมื่อฉันยืนอยู่หน้ากล้อง VDO หรือตอนอัดเสียง ฉันจะตอกย้ำกับตัวเองในใจว่า..
“ฉันมุ่งมั่นที่จะทำผลงานให้ออกมาอย่างดีที่สุด เต็มที่ที่สุด เพื่อผู้ชมทุกคน”
* เมื่อฉันนั่งลงหน้า Computer ฉันจะถามตัวเองว่า.. สิ่งสำคัญที่ฉันต้องทำให้เสร็จคืออะไร?
* ทุกครั้งที่ฉันได้พบ หรือคุยกับพ่อแม่ ฉันจะบอกรัก และกอดท่านเสมอ
* เมื่อฉันมีเงินเข้า ฉันจะแบ่งเงิน 10% เพื่อออมทันที
ฯลฯ

การฝึกฝนเชื่อมโยงนิสัยใหม่ กับกิจกรรมเดิมๆ มันจะช่วยทำให้คุณเปลี่ยนกิจกรรมเดิมๆ นั้น ให้เป็นตัวกระตุ้นหรือตัวตอกย้ำให้คุณฝึกนิสัยใหม่ได้เร็วๆ ยังไงล่ะคร๊าบบบ

TIPS: ระบุนิสัยที่จะเป็นประโยชน์ต่อการบรรลุเป้าหมายของคุณ

และมองหาวิธีการที่จะเชื่อมโยงนิสัยใหม่ กับกิจกรรมที่คุณทำเป็นปกติ 

สรุป 4 ขั้นตอนอีกครั้ง

D.U.M.B. Goal Setting

1. Dream เริ่มต้นจากความฝัน
2. Uplifting กำหนดสิ่งที่ยกระดับชีวิต
3. Method เลือกวิธีการที่เหมาะสม
4. Behavior ฝึกฝนนิสัยที่ดี เพื่อรากฐานที่มั่นคง

หัวใจสำคัญของการดึงดูดความสำเร็จ

ท้ายที่สุดไม่มีความสำเร็จใด เกิดขึ้นได้โดยปราศจากการลงมือทำ ถ้าเขียนแล้วก็เก็บลืมเอาไว้ในสมุด หรือกองกระดาษ ไม่เคยเอามาใช้
วิธีการเขียนเป้าหมายที่โคตรเจ๋งขนาดไหน ก็ไม่มีวันทำให้คุณประสบความสำเร็จหรอกครับ

อ่านจบแล้ว > เอาไปเขียน > ลงมือทำ > และเอาผลลัพธ์มาสร้างแรงบันดาลใจกันนะครับ

แม้ว่าผลลัพธ์ที่ดูยิ่งใหญ่ อาจดูไกลเกินเอื้อมของคนทั่วไป แต่สำหรับคนที่มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่มีฝันไหน ที่จะใหญ่เกินกว่าจะคว้ามาครอบครอง

 

โค้ชกิตติ

กิตติ ไตรรัตน์  

ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง National Director ของ The Passion Test ประจำประเทศไทย 

ผู้มีความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสนับสนุนให้ผู้คน มีอิสรภาพจากภายในใจ 

www.KittiTrirat.com 

เคล็ดลับ สะสางปัญหาชีวิต ใน 4 ขั้นตอนง่าย ๆ

1

บางคนมีคำถามว่า หาตัวเองไม่เจอ รู้สึกสับสนกับชีวิต ปัญหาต่างๆ รุมเร้า จะแก้ไขชีวิตยังไงดี ทั้งเรื่องงาน การเงิน ครอบครัววิกฤต มากตอนนี้

คำตอบ
คุณควรหาเวลาอยู่กับตนเอง แล้วลองทบทวนชีวิตของคุณที่ผ่านมาว่ามันผิดพลาดตรงไหน ลองหยิบสมุดเปล่าติดมือออกไปนอกบ้านเปลี่ยนบรรยากาศ หามุมดีๆ นั่งตามสวนสาธารณะ หรือร้านกาแฟ

แล้วลองเขียนปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่ตอนนี้ออกมาเป็นข้อๆ ว่าอะไรควรจัดการก่อน อะไรควรทำทีหลัง

โดยผมแนะนำให้แบ่งเป็นดังนี้ วิธีสะสางปัญหาชีวิต!!! แบ่งเรื่องที่ต้องทำในชีวิตเป็น 4 หมวด…

1. เรื่องสำคัญและเร่งด่วน

ข้อนี้คืองานที่ต้องส่ง เงินที่ต้องหา รถที่เสียต้องซ่อมทันที คดีความที่ต้องจัดการทันที การอ่านหนังสือเตรียมสอบที่จะสอบในวันพรุ่งนี้

หรืออะไรก็ตามที่เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องรีบทำให้เสร็จโดยเร็ว (ข้อนี้ต้องทำทันที เพราะถ้าไม่ทำความเดือดร้อนจะเกิดขึ้นแน่นอน)

2. เรื่องเร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ

ข้อนี้เป็นเรื่องไร้สาระที่นิ่งดูดายไว้นาน จนกลายเป็นปัญหา เช่นมีของเสียๆ ที่คุณต้องใช้แล้วยังไม่ได้ซ่อม ต่อทะเบียนรถ ต่ออายุบัตรประชาชน การบำรุงรักษาบ้าน และอื่นๆ

(ข้อนี้ส่วนมาก เราจะมองเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญนัก จึงผลัดผ่อนไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็กลับมาส่งผลให้ชีวิตยุ่งยากในภายหลัง คนจำนวนมากก็พลาดท่าเพราะเรื่องง่ายๆ พวกนี้)

3. เรื่องสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน

ข้อนี้เช่นเรื่องของการพัฒนาจิต เพิ่มความรู้ต่างๆ ดูแลพ่อแม่ สุขภาพ การออมเงิน การมองหางานเสริม การทำความเข้าใจตนเอง การปรับความเข้าใจกับคนในครอบครัว

ซึ่งที่จริงเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญมาก แต่เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ ทำไปทีละเล็กละน้อย ซึ่งคนเกือบทั้งหมดก็มองข้ามเช่นกัน สังเกตได้ว่า

ผู้ที่ประสบความสำเร็จทุกคนจะให้ความสำคัญในข้อนี้มาก (ข้อนี้ ต้องทำนะครับ ถ้าต้องการชีวิตที่ดีในภายหน้า)

4. เรื่องไม่เร่งด่วนและไม่สำคัญ

ข้อนี้เช่นการดูโทรทัศน์ ฟังเพลง เล่นอินเตอร์เน็ต ท่องเที่ยว หาร้านกินข้าว ความบันเทิงต่างๆที่ไม่จำเป็น เห็นได้ว่าคนจำนวนมากหมดเปลืองเวลาไปกับกิจกรรมในข้อนี้มาที่สุด

ชีวิตก็เลยไม่ดีเท่าที่ควร (ข้อนี้ แนะนำให้ทำให้น้อยที่สุด หรือไม่ทำเลย ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเรามีปัญหาอะไร เป็นข้อที่หมดเปลื้องเวลาชีวิตมาก

แต่หลายคนก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปกับข้อนี้มากเช่นกัน)

ในการสะสางปัญหาชีวิตนั้น ขอให้คุณจัดการปัญหาแบบแรกก่อน แล้วไล่เรียงไปเป็นลำดับ
เรื่องราวในชีวิตของคุณก็จะค่อยๆ ดีขึ้น นอกจากนี้ ผมแนะนำให้คุณเร่งหาวิธีฝึกฝนจิตใจของตนเองไปพร้อมกัน เช่นการทำสมาธิ ทำวิปัสสนา

สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณมีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น ควบคุมตนเองได้มากขึ้น การปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการทำงานระยะยาว
เป็นการแก้ที่ต้นเหตุ

ในขณะที่เรากำลังสะสางปัญหาที่กำลังรุมเร้า เราก็ต้องเร่งเสริมสร้างจิตใจของเราให้มีความพร้อมอยู่เสมอ เพราะชีวิตและปัญหาเป็นสิ่งที่มาคู่กัน ใครก็ตามที่วางใจตนให้อยู่เหนือปัญหาได้ คนผู้นั้นก็จะเป็นผู้มีความทุกข์ใจน้อยที่สุด

อ่านปัญหาของคุณแล้วรู้สึกเป็นห่วง ขอส่งกำลังใจให้คุณมีความเข้มแข็ง ผ่านพ้นทุกเรื่องราวเลวร้ายไปได้อย่างดีที่สุดและเร็วที่สุด

บทความโดย พศิน อินทรวงค์
ติดตามอ่านบทความดีๆ ได้ที่
เพจ พศิน อินทรวงค์
https://www.facebook.com/talktopasin2013

15 นิสัย ที่เพิ่มอีกนิด แล้วชีวิตจะติดปีก

4

คนเราจะมีชีวิตในวันข้างหน้าเป็นเช่นไร ย่อมขึ้นอยู่กับพฤติกรรม หรือนิสัยที่เราเป็นในวันนี้ และถ้าคุณคิดว่านิสัยที่คุณเป็นอยู่ยังไม่ช่วยให้ชีวิตคุณก้าวหน้าไปได้ดั่งใจคุณคิด

วันนี้ผมมี นิสัย 15  ข้อ ที่ถ้าคุณได้ลองเอาไปทำเพิ่มอย่างสม่ำเสมอแล้วรับรองว่าชีวิตคุณจะก้าวหน้า อย่างแน่นอนครับ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1.พูดความจริงดีแล้ว

แต่ขอให้เพิ่มอีกนิด เป็นพูดแต่ความจริงให้ถูกกาลเทศะด้วย

2.ทำงานเพื่อความสำเร็จในอนาคตดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิด เป็นทำงานเพื่ออยู่กับปัจจุบันขณะด้วย

3.คิดแง่บวกดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิด ให้เห็นความคิดของตนอย่างเป็นกลางด้วย

4.ทำดีเพื่อผู้อื่นดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิด ให้ทำดีเพื่อละอัตตาตัวตนด้วย

5. รู้ข้อเสียของตนเองดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิด ให้เร่งกำจัดข้อเสียของตนนั้นเสียด้วย

6. ทำงานเพื่อทำลายความยากจนดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิด ให้ทำงานเพื่อทำลายกิเลสของตนเองด้วย

7.กินอาหารเพื่อให้ความสุขเพิ่มพูนก็ดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิด ให้กินอย่างมีสติเพื่อให้ปัญญาเพิ่มพูนด้วย

8.ไปเที่ยวทะเล ภูเขา ต่างประเทศเพื่อเห็นโลกกว้างก็ดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิด ให้มองย้อนเข้ามาเพื่อเห็นโลกภายในของตนด้วย

9.ช่วยเหลือผู้อื่นในฐานะผู้ให้ก็ดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิด ให้ลองช่วยเหลือผู้อื่นในฐานะที่เราคือผู้รับใช้ด้วย

10. รู้จุดเด่นของตนดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิด ให้ลองคิดว่า จะใช้จุดเด่นของตนเพื่อรับใช้โลกได้อย่างไรด้วย

11. ตัดสินด้วยความยุติธรรมดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิด ให้ลองยุติการตัดสินเพื่อความสันติสุขด้วย

12. มีเป้าหมายชีวิต 5 ปี 10 ปีก็ดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิด ให้มีเป้าหมายสำหรับชาติหน้า และนิพพานด้วย

13. สนใจธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะก็ดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิด ให้หมั่นฝึกสมาธิ วิปัสสนาด้วย

14. อยากประสบความสำเร็จก็ดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิดว่า ให้ปราถนาจิตใจที่อยู่เหนือลาภ ยศ สรรเสริญด้วย

15. ทำอะไรๆ เพื่อให้ได้อะไรๆ ก็ดีแล้ว

แต่ขอเพิ่มอีกนิด ให้ลองทำอะไรๆ เพื่อไม่เอาอะไรๆ ด้วย!!!

อยากให้ทุกท่านนำบทความนี้ไปคิดดู เพราะศักยภาพของมนุษย์สามารถพัฒนาได้จนถึงขีดสุด เรามีสติ เพื่อให้เราทำในสิ่งที่ดียิ่งกว่า

นี่คือความต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์โลกชนิดอื่น จากความเป็นคนชั่ว ไปสู่การเป็นคนดี จากความเป็นคนดี ไปสู่การอยู่เหนือทั้งชั่วดี
ไปสู่ความเป็นผู้ไร้กิเลส หมดสิ้นความทุกข์ใดๆ

มองไปที่ตนเอง ที่ภายใน มองข้ามความปราถนาหยาบๆ ไปสู่ความไม่ปราถนาในส่วนที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า

จงมีความเบิกบานกับชีวิต และเพิ่มบางสิ่งที่เป็นอีกนิดลงในชีวิตของท่าน เป็นกำลังใจให้ทุกท่านใช้ชีวิตให้มีความดีงามยิ่งๆขึ้นไปครับ…

บทความโดย  พศิน อินทรวงค์
ติดตามอ่านบทความดีๆ ได้ที่
เพจ พศิน อินทรวงค์
https://www.facebook.com/talktopasin2013

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save