5 เคล็ดลับ เปลี่ยนวันจันทร์ ให้เป็นวันสุข

หากถามว่าในหนึ่งสัปดาห์…

                        วันใดเป็นวันที่ยากลำบากที่สุด ?

                        วันใดเป็นวันที่ไม่อยากให้เวียนมาถึงมากที่สุด ?

                        วันใดเป็นวันที่อยากลบออกจากปฎิทินที่สุด ?

            ถ้าคำตอบของคุณ คือ “วันจันทร์ วันจันทร์ และวันจันทร์”

            ขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณคือ มนุษย์เงินเดือนโดยสมบูรณ์แบบ 100%

=====

            จะดีแค่ไหนหากเราสามารถเปลี่ยนวันจันทร์ให้กลายเป็นวันที่สุขใจ

             เคล็ดลับทั้ง 5 ต่อไปนี้ จะช่วยเปลี่ยนวันจันทร์ที่แสนยากลำบาก และเคยเป็นวันที่คุณเกลียดสุดๆ ให้กลายเป็นวันดีๆ ในแบบที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อนได้อย่างแน่นอน 

=====

1.ทำ To Do List

                 การเขียนสิ่งที่ต้องทำลงในกระดาษแผ่นเดียวโดยเรียงลำดับไปทีละเรื่องๆ หรือ การทำ To Do List ในคืนวันอาทิตย์ถือเป็นการวางแผนและตีกรอบให้สมองทำงานจัดการปัญหาทีละเรื่องๆ อย่างเป็นระบบ

วิธีการง่าย ๆ นี้จะช่วยปิดประตูความวุ่นวายสับสนที่อาจจะแวะเข้ามาทักทายคุณได้ในตอนที่คุณล้มตัวลงนอนต่อเนื่องไปจนถึงตลอดทั้งวันที่คุณตื่นขึ้นมา 

=====

2.เลือกทำงานที่ยากที่สุด(หรือไม่อยากทำที่สุด)ก่อนเสมอ

                 ในบรรดางานที่ต้องจัดการที่คุณเขียนไว้ใน To Do List อาจมีทั้งงานชิ้นใหญ่ที่ซับซ้อนในการสะสางและงานชิ้นเล็กที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเท่าไหร่

ให้คุณเลือกหยิบงานชิ้นใหญ่ที่สุด งานที่ยากที่สุด งานที่มีปัญหามากที่สุดหรืองานที่คุณรู้สึกไม่อยากทำที่สุดขึ้นมาทำก่อนเป็นลำดับแรกเสมอ

                เพราะสมองที่เพิ่งตื่นจากการพักผ่อนในช่วงวันหยุดจะมีพลังเต็มเปี่ยมเหมือนแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนที่เพิ่งชาร์ตมาจนเต็ม มันจะสามารถจัดการงานที่ยุ่งยากซับซ้อนได้ดีกว่าการเก็บงานชิ้นดังกล่าวเอาไว้ทำทีหลังนั่นเอง

=====

3.ลงมือทำงานที่ยากที่สุดโดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด(การแบ่งงานออกเป็นส่วนเล็กๆ )

             ในงานชิ้นที่ยากที่สุดที่คุณหยิบมาทำเป็นลำดับแรกนั้น อาจประกอบไปด้วยสิ่งที่ต้องทำมากมาย  ให้คุณแจกแจงสิ่งที่ต้องทำต่างๆ ออกมาให้มากที่สุด

  เช่น ภารกิจในการจัดประชุมบอร์ดบริหาร ประกอบไปด้วยสิ่งที่ต้องทำ ดังนี้

  • การจัดทำวาระการประชุม
  • การสรุปผลประกอบการในรอบไตรมาส
  • การโทรศัพท์นัดกรรมการ
  • การประสานงานแม่บ้านเพื่อจัดหาอาหาร
  • การเตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในห้องประชุม 
  • ฯลฯ

             คุณอาจจะเลือกลงมือในสิ่งที่คุณสามารถทำได้คนเดียวและใช้เวลาสั้นที่สุด เช่น เตรียมอุปกรณ์ฯ เป็นลำดับแรกแล้วค่อยทำงานที่ต้องติดต่อสื่อสารกับคนอื่น เช่น ประสานงานแม่บ้าน โทรศัพท์นัดกรรมการ 

จากนั้นค่อยทำงานที่ต้องใช้สมองวิเคราะห์เยอะๆ เช่น สรุปผลประกอบการฯ และจัดทำวาระการประชุม ตามลำดับ

วิธีการนี้เป็นการหลอกสมองให้ค่อยๆ สะสมความสำเร็จที่ละเล็กทีละน้อยเพื่อสร้างความสำเร็จที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับการค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดที่ละก้าวจนถึงจุดสูงสุดนั่นเอง

=====

4.ให้รางวัลกับทุกความสำเร็จเล็กๆ

                 ในทุกๆ ขั้นตอนของการทำงานแต่ละชิ้น เมื่อทำแต่ละขั้นตอนเสร็จให้คุณให้รางวัลกับความสำเร็จเล็กๆ เหล่านั้นแทนที่จะรอจนงานชิ้นใหญ่เสร็จแล้วค่อยให้รางวัลกับความสำเร็จครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว

โดยรางวัลอาจเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การพักจิบชาอุ่นๆ 15 นาที การแวะช๊อปปิ้งที่ตลาดนัดในช่วงพักกลางวัน 

            หรือแม้กระทั่งการผ่อนปรนให้ตัวเองทานเค้กชิ้นเล็กๆ ในช่วง On Diet  วิธีการนี้เป็นการสร้างแรงจูงใจให้สมองวิ่งไล่ความสำเร็จที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่หมดพลังไปเสียก่อนนั่นเอง

สิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้เป้าหมายของคุณสำเร็จได้จริงก็คือการทำสิ่งที่คุณผลัดวันประกันพรุ่งมาตลอด เรียนรู้วิธีเพิ่มพลังให้ตัวเองทำงานที่รู้สึกไม่อยากทำ คลิกที่นี่

=====

5.ใช้ Social Media ให้น้อยที่สุด

                  นี่อาจจะเป็นข้อที่ทำได้ยากที่สุดสำหรับหนุ่มสาวคนทำงานในยุคปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงแล้วสาเหตุหลักๆ ของอารมณ์หงุดหงิดหัวเสีย ไม่มีสมาธิในการทำงาน ไปจนถึงการบ่นมักจะมาจากข่าว หรือ เรื่องราวที่ได้รับรู้ผ่าน Facebook Line Twitter IG และ Website ต่างๆ นั่นเอง 

                ส่วนใหญ่แล้วเรื่องราวเหล่านั้นคือเรื่องของคนอื่น และมักจะไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นสำหรับตัวคุณเลย

การงดใช้ Social Media ที่ไม่จำเป็นในวันจันทร์จึงเป็นการป้องกันเรื่องราวหรือข้อมูลที่จะเข้ามาปั่นทอนศักยภาพของสมองซึ่งต้องทำงานรับใช้นายของมันอย่างขยันขันแข็ง

=====

                 เคล็ดลับทั้ง 5 ข้อนี้ จะช่วยปลดล็อคให้วันจันทร์กลายเป็นวันที่แสนสุขใจ

และขอเพียงแค่คุณได้เริ่มต้นสร้างวันจันทร์ให้เป็นวันสุข วันอื่นๆ ในสัปดาห์ก็จะกลายเป็นวันสุขตามไปได้ไม่ยาก 

และหลังจากนั้นใน 1 ปี ถ้าคุณใช้เคล็ดลับทั้ง 5 ข้อในทุกๆ วันจันทร์ แค่เพียง 48 วัน คุณจะทำให้อีก 317 วัน ที่เหลือ กลายเป็นวันดีๆ ได้

และท้ายที่สุดตลอดทั้งปีก็จะกลายเป็นปีที่แสนมีความสุขสำหรับคุณ 

ลองทำดูครับ แล้วคุณจะประหลาดใจว่า… ในทุกๆ วันจันทร์ก็สุขได้ไม่แพ้เย็นวันศุกร์เลยทีเดียว

หนึ่งในทักษะสำคัญที่ช่วยให้คุณทำงานได้เยอะและมีประสิทธิภาพคือทักษะการบริหารเวลา ขอแนะนำหลักสูตร Effective Time Management ดูรายละเอียดที่นี่

=====

เรียบเรียงโดย

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กรฟรี  ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962

วิธีทำชีวิตช้าลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

คุณเคยเป็นไหมครับ ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบเพื่อให้ทำอะไรเสร็จเร็วๆ แต่หลายครั้งกลับผิดพลาด หรือหลงลืมอย่างไม่น่าให้อภัย

เรามักบอกตัวเองว่าไม่มีเวลา จึงดูเหมือนว่าการเริ่มทำอะไรใหม่ๆก็ยากไปเสียหมด แต่เรากลับมีเวลาผลาญเล่นไปกับเกม ยูทูป และโซเชียลมีเดีย

====

เชื่อหรือไม่ว่าหากเราช้าลงกว่าเดิมสักนิด เรากลับทำสิ่งต่างๆได้เร็วขึ้น เพราะมีความผิดพลาดน้อยลง ไม่ต้องเสียเวลาในการแก้ไข หรือกลับมาทำใหม่เพราะหลงลืม

หากเราช้าลงอีกสักหน่อย เราจะเห็นว่า เราจัดสรรเวลาได้ เวลามีเหลือเฟือสำหรับสิ่งที่สำคัญกับเรา

====

การใช้ชีวิตให้ช้าลง ไม่ได้หมายถึง เรื่อยเปื่อยเนิบนาบเป็นเต่าคลาน แต่หมายถึง สภาวะที่เราช้าพอที่จะสามารถผ่อนคลายและดื่มด่ำกับชีวิตได้

หากวันนี้เราคิดว่าความเร็วเป็นสิ่งที่จำเป็น มันอาจทำให้เรารีบจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

จริงๆแล้วเราสามารถทำหลายสิ่งให้ช้าลงได้ในจังหวะที่ตัวเองรู้สึกโอเค และทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่เรียกว่า ช้าเพื่อเร็ว นั่นเอง

====

5 สัญญาณบ่งบอกว่า เราใช้ชีวิตเร็วเกินไป

  1. คุณพบว่า มันยากขึ้น ที่จะโฟกัสกับกิจกรรมตรงหน้าในปัจจุบันขณะ และคุณต้องคอยหาอะไรทำตลอดเวลา

  2. คุณใช้ชีวิตเหมือนเดิม เรื่อยๆ “อย่างเป็นอัตโนมัติ” โดยไม่ได้ตระหนักว่า คุณกำลังทำมันอยู่ด้วยซ้ำ

  3. คุณรีบเร่งไปกับกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน โดยไม่ได้ใส่ใจกับมันนัก รีบทำให้เสร็จเพื่อไปทำอย่างอื่นต่อ

  4. คุณกำลังมุ่งมั่นกับเป้าหมายบางอย่างอยู่ จนไม่ได้ใส่ใจว่าตอนนี้ตัวเองและคนรอบข้างกำลังทำอะไรอยู่บ้าง

  5. คุณพบว่าในสมอง เต็มไปด้วยความคิดหวาดกลัว กังวลเกี่ยวกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หรือความเศร้า โกรธแค้นเพราะคำนึงอยู่กับอดีตที่ผ่านมาแล้ว

====


 

ชีวิตที่ช้า คือชีวิตที่ยืนยาว

คนเรายอมเสียเงินนับแสน เพื่อซื้อยาต้านความแก่ วิตามินชะลอความชรา ทำทุกอย่างเพื่อยืดอายุตัวเองออกไป ให้ได้อีกสัก 1-2 ปีก็ยังดี

พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเป็นอัตโนมัติและหลับใหล ทำตามระบบไปอย่างไม่รู้วันคืน แต่พวกเขากลับไม่พยายาม “ตื่นขึ้นมา” เพื่อใช้ชีวิตของตัวเอง

ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องอายุยืนจนแก่หง่อม จึงจะเรียกว่า “ใช้ชีวิตคุ้ม”

คุณสามารถใช้ชีวิตที่มีคุณภาพและยืนยาวได้ โดยเพิ่มเวลาการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ ขึ้นสัก 2 เท่าในทุกๆวัน นั่นเท่ากับว่าคุณมีอายุยืนขึ้นในด้านคุณภาพ เหมือนคุณอายุ 60 ปี แต่ได้ใช้ชีวิตเท่ากับคนที่มีอายุยืนยาว 120 ปี

แล้วถ้าคุณเพิ่มเวลาได้ถึง 3-4 เท่าล่ะ ? มันจะดีแค่ไหน

====

ในเรื่องการใช้ชีวิต ปริมาณของเวลาไม่มีความหมายเท่ากับคุณภาพ

หากแม้คุณอายุยืนขึ้นเพราะเทคโนโลยีการแพทย์ แต่ไม่มีความสุข

ไม่ได้ใช้ชีวิตที่ตนเองรัก เพราะถูกบังคับ มีแต่ข้อจำกัด นั่นอาจเป็นความทรมานอย่างร้ายแรง

ดังนั้นสิ่งที่ต้องกลับมาคิดใคร่ครวญก็คือ จะปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตได้อย่างไร ?

====

ต่อไปนี้เป็น 5 วิธีง่ายๆที่จะยืดชีวิตให้ยาว ปลุกเราให้ตื่นจากความหลับใหล ด้วยการทำชีวิตให้ “ช้าลง”

5 วิธี ที่ทำให้ชีวิต “ช้าลง”

 1. กลับมาอยู่กับลมหายใจ

เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกเหนื่อยล้า ท้อแท้ หงุดหงิด เครียดหรือกังวล ลองใช้เวลาสัก 3 นาที นำจิตที่ว้าวุ่น กลับมาอยู่กับลมหายใจ

สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ให้ลึกยาว จนรู้สึกว่าท้องพองออก ผ่อนลมหายใจออกเบาๆผ่อนคลาย จนรู้สึกว่าท้องยุบลง

ทำแบบนี้ต่อเนื่องกัน โดยนำจิตรับรู้ อยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น มันจะเป็นสะพานเชื่อมร่างกาย อารมณ์ และจิตใจเข้าด้วยกัน เพียงเท่านี้คุณก็จะเกิดสมดุลทางอารมณ์ขึ้นมา การกลับมาสู่ปัจจุบันขณะจะทำให้สติของคุณเต็มเปี่ยม

 การกลับมาอยู่กับลมหายใจสักครู่หนึ่ง จะช่วยให้คุณจะพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

====

2. ออกไปเดินเล่น

นี่เป็นวิธีออกกำลังที่ง่ายที่สุด ช่วยปลดปล่อยความเครียด และช่วยผ่อนคลายอารมณ์

การเดินจะช่วยให้คุณกลับมาอยู่กับปัจจุบัน สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆรอบตัว สัมผัสกับธรรมชาติและกิจกรรมต่างๆของผู้คน

คุณอาจเปลี่ยนจากการขึ้นรถเมล์ ขึ้นมอเตอร์ไซด์ ขึ้นลิฟท์ เป็นการเดินแทน แถมยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย แต่ถ้าอยากสดชื่นกว่านั้น ออกไปเดินตอนฝนตกปรอยๆ หรือเดินในสวนตอนเช้าๆอย่างไม่รีบเร่ง

 แค่ได้อยู่กับการเดิน เชื่อมั้ยว่าคุณจะรู้สึกดีสุดๆไปเลย

====

 3. ดื่มด่ำไปกับกิจกรรมต่างๆ

ความสุข คือการมองเห็นสิ่งๆเดิม ในมุมมองที่เปลี่ยนไป ในเมื่อชีวิตนั้นเกิดขึ้นที่นี่และเดี๋ยวนี้ วันวานและวันพรุ่งนี้มีอยู่เพียงแต่ในความคิด

ฉะนั้นจะไม่เป็นการดีกว่าหรือ ที่เราจะสัมผัสรับรู้กับปัจจุบันขณะที่กำลังเป็นอยู่ ฝึกที่จะสังเกตและรับรู้สิ่งดีๆรอบๆตัว และใช้เวลามากขึ้นที่จะอยู่กับชั่วขณะนั้น มันจะทำให้ประสบการณ์ของความพึงพอใจนั้นยาวนานขึ้นอีก

ไม่ว่าจะเป็นการเข้าครัวเตรียมมื้ออาหาร การนั่งเล่นชื่นชมดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า การพูดคุยสนุกๆกับครอบครัว ในทุกๆกิจกรรม เราก็แค่ “อยู่ตรงนั้นอย่างเต็มเปี่ยม และดื่มด่ำกับมัน”

 แค่รู้จักดื่มด่ำกับสิ่งรอบตัว  เราจะสัมผัสความสุขได้ง่ายๆและบ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ

==== 

4. อยู่กับความเงียบ

หลายคนคิดว่าความสุข คือความสนุกสนานร่าเริง และมีกิจกรรมต่างๆทำให้เพลิดเพลินใน

แต่เราหารู้ไม่ว่า ชีวิตที่ถูกครอบครองด้วยกิจกรรมตลอดเวลา ลึกๆแล้วจะเรียกร้องหา “เวลาสำหรับตัวเอง”

แม้แต่คอมพิวเตอร์ยังต้องการ Defragment และ มี Sleeping Mode มนุษย์เราก็ต้องการ “ชั่วขณะแห่งความเงียบ” ให้ตัวเองเหมือนกัน

ในทุกๆวัน เราสามารถกำหนดเวลาสัก 5-10 นาที เพื่ออยู่กับตัวเองลำพังในความเงียบ

คุณอาจจะลองใช้คำถามเหล่านี้กับตนเอง และอาจจะเขียนมันลงไปเพื่อให้หลายๆสิ่งชัดเจนขึ้น

ร่างกายเรากำลังรู้สึกสัมผัสกับอะไรบ้างในขณะนี้ ?

จิตใจและอารมณ์ในขณะนี้ของเราเป็นอย่างไร ?

เรากำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ มีความกังวลหรือไม่สบายใจอะไรบ้าง ?

เมื่อทบทวนชีวิตในวันนี้ มีอะไรที่เราได้เรียนรู้ มีอะไรที่เราจะทำได้ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ?

เมื่อเรากลับมาสนใจ รับรู้ ความรู้สึกและอารมณ์ของตนเองได้สักพัก เราจะพบกับความสงบใจอย่างน่าประหลาด

 ท่ามกลางที่ว่างนี้ ดูเหมือนจะเกิดความสุขได้ง่ายขึ้น เราจะตอบคำถามบางอย่างในใจตนเองได้ และรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป

====

5. ไม่ด่วนตัดสิน

ความน่ากลัวอย่างหนึ่งที่คนเรามักมองข้ามไปก็คือ “เราจะได้ยิน เฉพาะสิ่งที่เราอยากฟังเท่านั้น” ปรากฏการณ์เช่นนี้สืบเนื่องมาจากการ ‘ด่วนตัดสิน’ 

เมื่อใดก็ตามที่เรา “ด่วนตัดสิน” กับคนบางคน กับเรื่องบางเรื่องไปแล้ว แม้เค้าพูดไม่ทันจบประโยค เราจะปิดการฟังไป เปลี่ยนเป็นการแทรกสอด คำถาม หรือไม่สนใจ นั่นทำให้เกิดการเข้าใจผิด เกิดความขัดแย้งขึ้นในความสัมพันธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  ฝึกที่จะรับฟังผู้คนจนจบ โดยยังไม่ด่วนตัดสิน ตีความไปก่อน นั่นทำให้การสื่อสารนั้นเข้าถึงเราได้อย่างเต็มเปี่ยม เราจะได้ยินในสิ่งที่เค้าไม่ได้พูดออกมา ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการ แล้วจะประหลาดใจว่า เราสามารถเข้าใจเค้าได้ง่ายขึ้น

หนึ่งในวิธีที่จะทำให้เราใช้ชีวิตช้าลงได้และไม่ด่วนตัดสิน ได้แก่ “การฝึกไดอะล็อค” พัฒนาทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง เรียนรู้และฝึกฝน  Active Listening ทักษะการฟังที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้คนในทีมคลิกที่นี่

 

 

การช้าลง ไม่ด่วนตัดสิน จะทำให้การสนทนาที่ดูจะยากลำบากครั้งนั้น กลับราบรื่นไปได้ด้วยดี

 

เป็นอย่างไรบ้างครับ กับ 5 วิธีการทำให้ชีวิตช้าลง หากเรานำวิธีเหล่านี้ไปใช้ เชื่อว่าจะมีความสุขขึ้นมากๆและบ่อยครั้งด้วยครับ

====

ถ้าคุณสนใจเรียนรู้และฝึกฝนพัฒนา Mindset และทักษะของผู้นำยุคใหม่ที่ผสมผสานความช้าเข้ากับการทำงานในโลกที่เร่งรีบได้อย่างลงตัว  ผมมีหลักสูตร The New Leadership Skillsเพื่อพัฒนาให้คุณเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพสูง คลิกดูรายละเอียดที่นี่

บทความโดย อ.เรือรบ CEO และผู้ก่อตั้ง Learning Hub Thailand

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962



5 เทคนิคทำให้คุณเป็นที่รักของทุกคนในทีม

ตั้งใจอ่านบทความนี้ให้ดีๆ นะครับ! เพราะนี่คือวิธีที่จะทำให้คุณ กลายเป็นที่รักของคนรอบข้างได้อย่างง่ายดาย

 และที่สำคัญมันทำจะให้ตัวคุณเอง ได้ค้นพบด้วยว่า… ภาษารักของคุณคืออะไร

====

คุณเคยมีคำถามแบบนี้กับตัวเองหรือเปล่า?

“ทั้งๆ ที่คุณก็แสดงออกถึงความใส่ใจต่อคนที่คุณรักแล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความรักจากคุณเลย!” 

ถ้าเคย… บทความนี้จะทำให้คุณรู้ว่า… มันเกิดจากอะไร และคุณควรจะทำอย่างไร

ถ้าไม่เคย… บทความนี้ จะช่วยให้คุณรู้เทคนิค ที่จะทำให้คุณ มัดใจผู้คนได้ง่ายมากๆ

====

ผมมีคำถามง่ายๆ 1 ข้อมาถามคุณครับ

ระหว่างคน 2 คน คนที่ 1 เขาจะให้ในสิ่งที่ “คุณต้องการ” เสมอ
กับคนที่ 2 ที่ มักจะให้ ในสิ่งที่เขา “คิดว่ามันน่าจะดี” กับคุณเสมอ

คุณรู้สึกดี และชอบคนไหนมากกว่ากัน?

ผมเชื่อว่าคำตอบของคุณก็ต้องเป็น  “คนที่ 1” ใช่ไหม

ถ้าคุณตอบว่า “ใช่” เรามาเรียนรู้กันเลยครับว่า 5 เทคนิคที่จะช่วยให้คุณ เป็นที่รัก และเอาชนะใจของผู้คนในทีมคืออะไร

====

1. พูดชื่นชม และยกย่อง

หมั่นพูดเพราะๆ คอยหยอดคำหวาน แค่นี้ก็ทำให้คนบางคนใจละลายได้แล้ว

“ตัวเองน่ารักจังเลย” “ขอบคุณมากๆ เลยนะ… น่ารักที่สุด” “ถ้าไม่ได้คุณช่วยเอาไว้… ฉันคงแย่แน่ๆ” “วันนี้คุณดูสวย/หล่อ มากๆ เลยนะครับ”

“ผม/ฉัน รู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของคุณจากใจจริง” ฯลฯ
ใช้ปิยวาจา ในเวลาที่เหมาะสม ด้วยถ้อยคำที่กลั่นมาจากใจ ใครๆ ก็จะชื่นชอบในตัวคุณครับ

====

2. คอยช่วยเหลือ และสนับสนุนเขา

การหยิบยื่นการสนับสนุน เป็นสะพานเชื่อมหัวใจของผู้คนได้เป็นอย่างดีครับ เมื่อคุณเห็นเขากำลังทำงาน หรือทำภารกิจอะไรอยู่ สอบถามเขาสักนิด หยิบยื่นน้ำใจ และความช่วยเหลือไปให้

ที่สำคัญคือ การสนับสนุนนี้ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ๆ ก็ได้ เพราะแม้การสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ ก็ล้วนมีคุณค่าทางจิตใจทั้งสิ้น

และการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ อย่างต่อเนื่อง…. ก็อาจมีผลต่อใจเขามากกว่า การหยิบยื่นของใหญ่ๆ เพียง 1 ครั้งนะครับ

====

3. มอบของขวัญ พิเศษให้กับเขา

แอบมีของขวัญเล็กๆ ไปเซอร์ไพรส์เขา ไปไหนมาไหน มีของฝากติดไม้ติดมือมาบ้าง ทำให้รู้ว่าคุณยังคิดถึงเขาอยู่

และทุกๆ ครั้งที่เขาหยิบเอาของขวัญของคุณขึ้นมา เขาจะคิดถึงคุณครับ ฝากเยอะๆ ฝากบ่อยๆ คุณจะไปอยู่ในใจเขาอย่างรวดเร็ว 

====

4. มอบช่วงเวลาที่มีคุณภาพให้แก่เขา

แบ่งเวลาคุณภาพให้กับเขา มอบเวลาของคุณเพื่ออยู่กับเขาอย่างเต็มที่เต็ม 100

ใช้ช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน อาจเป็นการทำกิจกรรมเพื่อสังคม ใช้เวลาเพื่อดูหนังกันอย่างอิ่มเอม หรือการนั่งลงและพูดคุยกันแบบเปิดอก พูดคุยกันอย่างเป็นกันเองและสนุกสนาน ทำให้ช่วงเวลาที่ได้ใช้ไปด้วยกันนี้ เป็นช่วงเวลาที่มีคุณภาพ เป็นช่วงเวลาที่ดี และน่าจดจำ

====

5. สัมผัส โอบกอด ทำให้เขารู้ว่าคุณอยู่ข้างๆ เขา

การสัมผัส และการโอบกอด เป็นอีก 1 วิธีการการแสดงออกถึงความรักที่น่าทึ่งนะครับ

บางคนพูดอะไรมากมายเป็นร้อยเป็นพันคำ กลับทำทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอบอุ่นได้ไม่เท่าการโอบกอดเพียงไม่กี่นาที

คุณอาจสวมบทบาทเป็นหมอนวดแผนไทยชั่วคราวทำการบีบนวดผ่อนคลายให้เขา หลังจากที่เขาต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาทั้งวัน…. แค่นี้คนถูกนวดก็ฟิน และรักคุณจะตายแล้ว(ควรทำกับคนเพศเดียวกันเท่านั้นนะครับ) 

====

และนี่ครับ คือ 5 เทคนิคง่ายๆ ที่จะทำให้คุณเป็นที่รัก และชนะใจผู้อื่นได้ทันที

แต่!!!.. ผมยังมีข่าวดี มากกว่านี้อีก!

ข่าวดีก็คือ…. เพื่อที่จะเป็นที่รัก และเอาชนะใจผู้คน
คุณไม่จำเป็นต้องทำ ครบทั้ง 5 ข้อที่ผมแบ่งปันนี้ก็ได้!

เพียงคุณรู้ว่า เขาคนนั้น เป็นคนที่มีภาษารักแบบไหน จากภาษารักทั้ง 5 ภาษา
(จากหนังสือ The 5 Love Languages โดย Gary Chapman)

ภาษารักแบบที่ 1 – Words of Affirmation การใช้คำพูดชื่นชม
ภาษารักแบบที่ 2 – Acts of Service การแสดงออกถึงการบริการ
ภาษารักแบบที่ 3 – Receiving Gifts การได้รับของขวัญ
ภาษารักแบบที่ 4 – Quality Time การได้ใช้เวลาคุณภาพ
ภาษารักแบบที่ 5 – Physical Touch การสัมผัส

ซึ่งแต่ละคน จะมีภาษารักที่รู้สึกสำคัญของตัวเอง 1 หรือ 2 ภาษา และมีภาษารักที่ไม่สำคัญอยู่ด้วย

====

ตัวอย่างเช่น ตัวผมเอง เป็นคนที่มีภาษารักในแบบที่ 2 (Acts of Service) เยอะมากๆ และ ภาษารักแบบที่ 3 (Receiving Gifts) เป็นรูปแบบที่ผมให้ความสำคัญน้อยที่สุด

ดังนั้น หากใครที่มาช่วยงานผม หรืออาสามาสนับสนุนในภารกิจ หรืองานที่ผมทำอยู่ ผมจะรักคนเหล่านี้มากๆ มากกว่าคนเอาของขวัญมาให้ แต่ไม่ได้ช่วยเหลือหรือสนับสนุนอะไรเลย

และในขณะเดียวกัน ผมก็จะเป็นคนที่ชอบอาสาไปช่วยงานผู้อื่นอยู่เป็นประจำ เพราะมันคือภาษารักที่ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1

เมื่อเราทำให้คนในทีมรักเราได้แล้ว มาลองฝึกฝนวิธีทำให้ลูกน้องร่วมมือกับเราอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน คลิกอ่านที่นี่

====

ภาษารักของคุณคืออะไร?

คุณจะลองสังเกตตัวเองดูก็ได้นะครับ ว่าตัวคุณ มีภาษารักแบบไหน?
และคนที่คุณรักเขาให้ความสำคัญกับภาษารักแบบไหน?

เพราะเมื่อคุณได้ให้ในสิ่งที่ตรงกับภาษารักของเขามากที่สุด เขาจะรักคุณอย่างง่ายดายครับ

ขอให้คุณมีความสุข และสมหวังในความรักนะครับ 

หนึ่งทักษะสำคัญที่ทำให้คนรักและเคารพคุณก็คือ ทักาะการบริหารอารมณ์ ผมขอแนะนำหลักสูตรสำึัญสำหรับผู้นำยุคใหม่ Emotion Intelligence คลิกดูรายละเอียดที่นี่

บทความโดย อ.กิตติ ไตรรัตน์ 

Self – Leadership Coach


Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962

 

5 ขั้นตอนเปลี่ยน Mindset เพื่อเปลี่ยนชีวิตก่อนอายุ 30

Mindset หรือ ทัศนคติ เป็นสิ่งที่กำหนดรูปแบบการดำเนินชีวิตของเรา

การเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาตนเอง เพื่อให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดี ย่อมต้องเริ่มมาจาก “การมี Mindset ที่ถูกต้อง” เสียก่อน

ซึ่งการเปลี่ยน Mindset นั้น เราควรทำให้ได้ก่อนอายุ 30 ซึ่งผมขอแชร์จากประสบการณ์ตรง ที่สามารถเปลี่ยน Mindset ของตัวเองได้ ซึ่งส่งผลให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นไปในทางที่ต้องการ 

และต่อไปนี้เป็น 5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่ผมใช้จริงซ่งคุณสามารถนำไปปรับใช้ได้กับตัวเองได้เช่นกัน 

====

1. มองให้เห็นว่าปัญหาเป็นโอกาส

“การมองเห็นปัญหาที่แท้จริง เป็นจุดเริ่มต้นของทุกการเปลี่ยนแปลง”

การมองเห็นตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย  คนเรามักมองไม่เห็นตัวเอง ถึงมองเห็นก็มักไม่ยอมรับ หรือยอมรับแล้ว ก็ไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา ดังนั้นการมองเห็นปัญหา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในชีวิต

ในช่วงก่อนอายุ 30 มีหลายคนสะท้อนว่า แรกๆ ที่พบผม ผมเป็นคนดูหยิ่ง หน้าดุ ไม่ค่อยยิ้ม ซึ่งผมฟังแล้วก็เฉยๆ ไม่คิดอะไร เพราะคิดว่าเกิดมาหน้าตาเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร

====

เมื่อใช้ชีวิตมานานขึ้น ก็ได้ยินเสียงสะท้อนมากขึ้น จากคนที่หวังดีอีกหลายๆ คน ทำให้ผมเริ่มเอะใจขึ้นมา

เห็นได้ชัดว่า การเห็นปัญหาของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยจริงๆ แต่ในทุกปัญหา ย่อมมีโอกาส ผมลองย้อนคิดดูว่า ขนาดหน้าไม่รับแขก ทุกวันนี้ก็มีเพื่อนหลายคนนะ ถ้าผมยิ้มเก่ง ยิ้มง่ายขึ้น ดูน่าเข้าหา จะมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตมากขึ้นแค่ไหน  

====

2. อย่าปลอบใจตัวเอง

“ปัญหาเล็กๆ มักส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ โดยที่เราไม่เคยรู้ตัวเลย”

ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยมองเห็นปัญหา เพราะมองแค่ที่ตัวเอง ไม่ได้มองลึกลงไปถึง “ปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่” เพราะแน่นอนว่าปัญหาใหญ่ มันจะไม่ได้อยู่ตื้นๆ ที่พื้นผิวให้เรามองเห็นง่ายๆ

สำหรับเรื่องการยิ้ม ถ้ามองแค่ตัวเอง ผมย่อมไม่เดือดร้อน เพราะผมไม่ได้เห็นหน้าตัวเองนี่นา แต่ปัญหาที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ก็คือ คนจะไม่ค่อยกล้าเข้าหาผม หรือไม่อยากเข้ามาพูดคุยกับผม ทำให้ผมมีเพื่อนน้อย จะมีเพื่อนใหม่ยิ่งยาก แต่ผมก็มักจะปลอบใจตัวเองว่า ไม่เห็นเป็นไร การมีเพื่อนน้อยก็ดี เรื่องไม่เยอะ การอยู่คนเดียวก็ดี สงบดี

การปลอบใจตัวเอง เป็นแนวโน้มให้เรา “ยึดติด” ในนิสัยเดิมๆ และไม่ได้ช่วยให้เรา “แก้ปัญหา” นั้นได้เลย

====

ฉะนั้นเมื่อเจอปัญหาเราจำเป็นต้องนำมาพิจารณาตรงๆ อย่างเป็นกลาง ด้วยการตั้งคำถามใหม่ว่า ภายใต้ปัญหาเล็กๆ ในเรื่องนั้น “อะไรคือปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่บ้าง”

สำหรับกรณีของผม ถ้ามองอย่างเป็นกลางแล้ว การที่เพื่อนน้อย หากไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่การที่คนใหม่ๆไม่อยากจะมาทำความรู้จักกับผม เป็นปัญหาใหญ่แน่นอน เพราะนั่นหมายถึง โอกาสดีๆ และคอนเนคชั่นดีๆ ในชีวิตจะหายไป

นอกจากนั้นผมก็คงไม่สามารถแบ่งปันสิ่งดีดีในชีวิตกับใครได้มาก เพราะไม่มีใครอยากเข้าหาผมนั่นเอง

====

3. ทำให้เป็นเรื่องเร่งด่วน

“ชีวิตไม่เคยเร่งด่วน แต่ปัญหาของชีวิตต้องทำให้เป็นเรื่องเร่งด่วน”

เราสามารถนอนทับปัญหา หรือจมอยู่กับมันได้นานเท่านาน ถ้าเรายังมองว่าชีวิตโอเคอยู่ นอกจากชีวิตจะเจอกับวิกฤต ที่จะบังคับให้เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง การเปลี่ยนเพราะวิกฤตเป็นเรื่องเจ็บปวดมาก การจะรอให้ชีวิตเจอวิกฤตแล้วค่อยเปลี่ยนแปลง จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ควรทำนัก

ความเร่งด่วนจะไม่เกิดขึ้นเอง มันจะต้องมาจากการเห็นความสำคัญของปัญหา โดยการจินตนาการจากคำถามว่า “หากเรายังนอนทับปัญหานี้ต่อไป สิ่งที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับเราจะเป็นอย่างไร”

การที่ผมเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม แต่เมื่อใช้ชีวิตมาสักระยะหนึ่ง พบว่า บุคคลิกของคนที่ประสบความสำเร็จและคนรวย มักจะเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูน่าคบหา ผมก็ชอบคนเช่นนั้น แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจำเป็นจะต้องทำ

====

การเห็นปัญหาจึงเป็นแค่จุดเริ่มต้น และอาจจะยังไม่พอให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ความเร่งด่วนจึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำให้เกิดขึ้น ผมต้องลองพิจารณาว่าสิ่งที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นถ้าผมยังไม่ยิ้ม มันจะเป็นอย่างไรได้บ้าง 

มีคำกล่าวว่า “ผลลัพธ์ในชีวิตของเรา สะท้อนตัวตนที่เราเป็น” ดังนั้นผมเลยย้อนมาดูผลลัพธ์ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ “เงินในกระเป๋า” จึงเห็นได้ชัดเลยว่า มีน้อยกว่าที่ควร ผมเองยังไม่พอใจกับรายได้ของตัวเอง นั่นแสดงว่า “ตัวตนที่ผมเป็น” ในตอนนี้ยังไม่โอเคความเร่งด่วนจึงเกิดขี้นทันที

เมื่อผมคิดว่า ถ้ายังไม่ยิ้มแบบนี้ ชีวิตคงจะถังแตกไปเรื่อยๆ แล้วมันจริงซะด้วย เห็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เค้ายิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน ว่าแต่ คิดได้แล้ว จะเปลี่ยนยังไงดีล่ะ

====

4. ออกเดินทาง เพื่อแก้ปัญหา

“การแก้ปัญหา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แค่นั่งคิด
แม้ว่าจริงๆ แล้วการแก้ปัญหา ก็คือการพลิกความคิดนั่นเอง”

ฟังแล้วงงมั้ยครับ สิ่งที่ผมอยากสื่อก็คือ การแก้ปัญหานั้นจะง่ายดาย แบบพลิกความคิดเลย ถ้าเรารู้วิธี แต่ขั้นตอนกว่าที่จะรู้วิธี เราจำเป็นต้องออกแรงเดินทางไปค้นคว้า ไปหาผู้รู้ หรือหาวิธีการมาครับ นั่งคิดเองไม่ได้ เพราะหากมันเป็นปัญหาได้ มันต้องใหญ่เกินกรอบความคิดของเราในปัจจุบันแน่นอน

คนที่ “ฝึกเจริญสติ” มาอย่างดีแล้วเท่านั้น ที่จะมีปัญญาที่สามารถทะลุทะลวงเข้าไปพิจารณาอดีตของตัวเอง จนเจอที่มาของนิสัยของตัวเองได้

หากเรายังไม่แก่กล้าถึงเพียงนั้น แนะนำให้หา “โค้ช” ไปปรึกษาในเรื่องที่เราติดขัด หรือไปเข้า “อบรมสัมมนา” ในคอร์สที่จะพลิกมุมมองพลิกชีวิตของตัวเองได้ หรืออย่างน้อยที่สุด “อ่านหนังสือ” ด้านการพัฒนาตัวเอง ให้ได้ข้อมูลใหม่ๆมาพัฒนาชีวิต

====

ส่วนตัวผม ในช่วงวัย 25-30 ก็ได้ไปเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองจากหลากหลายที่ ไม่ว่าจะไปคอร์สปฏิบัติธรรม เข้าสัมมนา ฝึกเจริญสติ เรียนศาสตร์โค้ชชิ่ง อ่านหนังสือหลายสิบเล่ม เพราะผมเชื่อว่ายังมีปัญหาหรือจุดบอดอีกมาก ที่ผมยังไม่รู้ว่ามี

และสิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่จะมาช่วยผมได้ในอนาคต และข้อดีของการออกเดินทางก็คือ ระหว่างทางที่เราจะเดินไปแก้ปัญหานึงนั้น โดยรู้ตัวและบางครั้งก็ไม่รู้ตัว เราได้แก้ปัญหาเรื่องอื่นๆในชีวิตไปได้อีกมากเลยทีเดียว

แม้ว่าผมจะยังยิ้มไม่เก่งอยู่ แต่ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น รู้จักคนมากขึ้น ยอมรับความแตกต่างของคนได้มากขึ้น โดยไม่รู้ตัว ผมเริ่มเป็นคนรับฟังคนเก่ง มนุษย์สัมพันธ์ดี และมีแฟนที่น่ารัก อันหลังไม่เกี่ยวกับนิสัย แต่เป็นผลพลอยได้ครับ

====

5. นิสัยใหม่ ทำให้ยั่งยืน

“ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำครั้งเดียวแล้วได้ผล นอกจากเราจะเป็นคนสร้างนิสัยใหม่ขึ้นมา”

ในเมื่อนิสัยเก่าๆเค้าใช้เวลาสะสมมาหลายปี ทำให้เรากลายเป็นคนแบบนี้ได้ การสร้างนิสัยใหม่ ก็ต้องใช้เวลา หากเราคาดหวังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ย่อมจะผิดหวัง

ดังนั้นต้องเผื่อใจ และค่อยๆทำมันทีละนิด แต่บ่อยๆ ซึ่งในตอนแรกๆมักจะรู้สึกฝืน นั่นก็แปลว่ามาถูกทางแล้วครับ

ผมจึงต้องเริ่มฝึกที่จะยิ้มกับกระจกทุกเช้า เจอใครก็เตือนตัวเองว่าให้ยิ้ม ทั้งๆ ที่ในใจก็วิพากษ์วิจารณ์ตัวเองอยู่ด้วย แต่ผมรู้ว่า นิสัยใหม่ ก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ไอ้ความคิดเดิมๆ มันจะยังไม่ทิ้งผมไปไหนหรอก

แต่หากเราทำนิสัยใหม่ มากเข้า บ่อยเข้า นานพอ ความคิดใหม่ก็จะเสียงดังความความคิดเดิมได้เอง อีกครั้ง สิ่งสำคัญคือ เราต้องมีสติ ในการใช้ชีวิตทุกวัน อย่าปล่อยให้อารมณ์ ความขี้เกียจ และความคุ้นชินเดิมๆ มันลากเรากลับไปได้ เพราะนั่นเท่ากับเรายอมแพ้กับชีวิตและอนาคตของตัวเอง

====

ไม่จำเป็นว่าเราต้องอายุน้อยกว่า 30 ที่จะทำตามเทคนิคเหล่านี้ได้ ขอแค่หัวใจเราอายุน้อยกว่า 30 ที่ยังมองว่าอนาคตยังมีความหวัง ยังอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้วันนี้ดีที่สุด และเพื่อวันพรุ่งนี้ที่จะดีกว่า

เทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้ ก็จะช่วยคุณได้มากๆเลยละครับ แม้ผมไม่รู้สาเหตุในอดีตว่าทำไมตัวเองไม่ชอบยิ้ม แต่ด้วยการเปลี่ยน Mindset และการฝึกทุกวัน ตอนนี้เมื่ออายุ 40 กว่าปี ผมเริ่มยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว เสียงในหัวของผมเงียบลงไป และจะทำให้ผมยิ้มเก่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเจอกับผมก็แวะเข้ามาหามาชวนคุยได้ครับ ผมไม่ดุ รับรอง ^__^

เมื่อปรับ Mindset ของตัวเองได้แล้ว ผมเชิญชวนทุกท่านให้มาทบทวน 4 คุณสมบัติของผู้นำยุคใหม่ ว่าคุณพร้อมหรือยังที่จะเป็นผู้นำในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความผันผวนเช่นนี้ คลิกอ่านที่นี่

====

บทความโดย CEO เรือรบ – ผู้ก่อตั้ง Learning Hub Thailand / ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาภาวะผู้นำ

ถ้าคุณสนใจเรียนรู้และฝึกฝนพัฒนา Mindset และทักษะของผู้นำยุคใหม่ ผมมีหลักสูตร The New Leadership Skills เพื่อพัฒนาให้คุณเป็นผู้นำที่พร้อมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่ คลิกดูรายละเอียดที่นี่

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962

5 เคล็ดลับ อัพเกรดสมองให้ฉลาดเหมือนไอน์สไตน์

งานวิจัยบอกว่า คนทั่วไปใช้สมอง เพียงแค่ 3% จากที่ตัวเองมีอยู่ คุณคิดว่าจริงไหม?

นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดของตัวเอง แถมยังสงสัยอีกว่า ทำไมบางคนถึงฉลาด มีไหวพริบมากกว่าคนอื่นจนทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ

‘สมอง’ อวัยวะพิเศษที่มีกลไกอัจฉริยะซึ่งคุณสามารถฝึกฝน ให้มันทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ แค่คุณรู้วิธี แต่ถ้าคุณไม่รู้ ก็เปรียบเสมือนคุณซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ สเปคสูงมา แล้วไปลงซอฟแวร์รุ่นเก่าทำให้มันทำงานได้เพียง 3% เท่านั้น รู้เช่นนี้แล้วคุณรู้สึกอย่างไร?

====

‘Ron White’ เป็นแชมป์ความจำจากสหรัฐอเมริกา เขามีสมองดั่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์จนได้รับการบันทึกลงกินเนสส์บุ๊กหลายสถิติ  เช่น การจำเลขจำนวน 28 หลัก ภายในเวลา 1.15 นาที การจำชื่อจำนวน 150 ชื่อ ภายในเวลา 20 นาที และการจดจำบทกลอนจำนวน 250 บรรทัดได้ภายในพริบตาเดียว

เขาฝึกฝนเทคนิคการเพิ่มความสามารถของสมองผ่านการจินตนาการแบบไอน์สไตน์ โดยมีเคล็ดลับในการเพิ่มความจำของสมองคนให้ทำหน้างานได้ดั่งสมองกล ด้วยการฝึกฝน 5 ขั้นตอนง่ายๆที่ใครๆ ก็ฝึกได้  ดังนี้ 

1. มุ่งประเด็นให้เด่นชัด (Focus)

ขั้นแรก คือ การโฟกัสสิ่งที่ต้องการจดจำให้ชัดเจนว่ามันคืออะไร?  มีความโดดเด่นหรือสำคัญตรงไหน ขั้นตอนนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำให้พลังของการจดจำมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนกับการที่เราบันทึกข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ เราต้องรู้ชัดเจนว่าเรากำลังต้องการบันทึกอะไรภาพ ตัวอักษร หรือ พรีเซนเทชั่น การมีเป้าหมายเจาะจงชัดเจนเป็นขั้นแรกในการเพิ่มความจำให้มีประสิทธิภาพ

====

2. จัดทำแฟ้มบันทึก (File)

หากคุณต้องการเรียกคืนไฟล์ต่างๆ จากคอมพิวเตอร์กลับมาใช้ คุณจะต้องบันทึกโฟลเดอร์หรือไฟล์งานนั้นไว้เพื่อจะเรียกใช้ในภายหลัง ความจำต่างๆ ของคุณก็มีกลไกการทำงานแบบเดียวกับคอมพิวเตอร์นี่แหล่ะ 

ฉะนั้นเพื่อให้คุณสามารถเรียกข้อมูลกลับมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว คุณจำเป็นต้องบริหารจัดการความทรงจำ ด้วยการจัดเก็บข้อมูลไว้เป็นไฟล์แห่งความทรงจำ (Memory files) อย่างมีระบบและมีระเบียบ เพื่อจะได้เรียกใช้ได้ง่ายขึ้น

====

3. ฝึกจำเป็นภาพ (Picture)

ขั้นตอนนี้ เป็นการสร้างภาพต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เนื่องจากสมองของเรามักจำภาพได้มากกว่าข้อมูลแบบอื่น เราจึงจำเป็นต้องจินตนาการถึงสิ่งที่ต้องการจำเป็นภาพที่คุ้นเคย หรือภาพที่สะดุดตา

เช่น อยากจำคำว่า การทำงานเป็นทีม (Teamwork) ก็ให้นึกเป็นภาพผู้คนกำลังร่วมมือกันทำงานอยู่ เป็นต้น 

พูดง่ายๆ ก็คือ อะไรก็ตามที่เราต้องการจำจะต้องแปลงให้อยู่ในรูปแบบของภาพเสมอเพื่อให้สมองมองเห็นและจดจำได้ หรือกล่าวได้ว่า เมื่อรู้ว่าสมองเราชอบจำเป็นภาพ  เราก็ถอดรหัสสิ่งต่างๆ ให้เป็นภาษาของสมอง เพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆ ลงไปได้ง่ายและมากขึ้นนั่นเอง

====

4. ตรึงให้มั่น (Glue)

ขั้นตอนนี้เป็นการเชื่อมข้อมูลที่เราต้องการจำ ให้ได้รับการบันทึกอยู่ในสมองได้นาน  Ron พบเคล็ดลับว่า การที่เราจะจำบางสิ่งบางอย่าง สิ่งนั้นต้องมีความโดดเด่นเพียงพอที่จะติดตรึงอยู่ในความทรงจำ มันต้องกระทบกับความรู้สึก (Feeling) ของเราอย่างรุนแรง

หากคุณลองสังเกตช่วงชีวิตที่ผ่านมา คุณจะเห็นว่าความจำจะติดตรึงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อภาพนั้นมีความ เคลื่อนไหว มีความรู้สึก หรือมีสิ่งพิเศษบางอย่างมาเชื่อมโยงกับเรา

และนี่เป็นคำตอบว่าทำไมคุณจึงสามารถนึกถึงรายละเอียดของเรื่องเศร้าที่ทำให้คุณเสียใจมากๆ หรือเรื่องที่ประทับใจสุดๆ เมื่อ 20 ปีก่อนได้อย่างแม่นยำ

เทคนิคของรอนคือ ภาษาภาพที่คุณสร้างขึ้นมาเพื่อจะจดจำ นั้นจะต้องเป็นภาพที่ติดตรึงในความทรงจำได้ดี มีความเคลื่อนไหว มีความรู้สึกร่วมอยู่ในนั้นด้วย

และหากเป็นภาพที่มีความพิเศษมากก็จะยิ่งช่วยให้จำได้ดีขึ้น ทำได้ง่ายๆ ด้วยการติดตรึงความจำเอาไว้ ด้วยการจินตนาการถึงความรู้สึกและการเคลื่อนไหวต่างๆ ลงไปในเนื้อหาของสิ่งที่จะจำนั่นเอง

====

5. หมั่นทบทวน (Review)

การทบทวนสิ่งที่บันทึกไว้ในความทรงจำ เป็นอีกขั้นตอนที่ทำให้เราสามารถจำสิ่งต่างๆ ได้ในระยะยาว เปรียบเทียบกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีการรีเฟรช (Refresh) หรือ อัพเกรด (Upgrade) โปรแกรมอยู่เสมอ

Ron ได้แนะนำเทคนิคง่ายๆ สำหรับขั้นตอนนี้ไว้ว่า ถ้าคุณต้องการจดจำชื่อผู้คนที่ได้พบมา เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่  ให้ถามตัวเองว่า เมื่อวานนี้เราได้พบใครบ้าง เพื่อจะทบทวนรายชื่อของคนที่เราได้พบ แล้วดูว่ามีกี่คนที่คุณสามารถจำได้ ตรงนี้ถือเป็นแบบฝึกหัดที่ช่วยเพิ่มเติมข้อมูลลงไปในระบบบันทึกข้อมูลส่วนตัว คล้ายการ Upload ข้อมูลใหม่ใส่สมองนั่นเอง 

นักวิจัยได้นำสมองของไอน์สไตน์ มาวิเคราะห์ พบว่าไม่ได้มีขนาดใหญ่ไปกว่าคนทั่วไป เลย

ดังนั้นเราทุกคนมีสมองที่สุดอัจฉริยะอยู่แล้ว เพียงแต่ยังใช้ไม่เป็นเท่านั้น หากเราสามารถใช้ศักยภาพสมองได้เต็มที่แบบนี้ เราจะบรรลุถึงเป้าหมายและความสำเร็จในชีวิต ทั้งในด้านการงาน และชีวิตส่วนตัว ได้อย่างแน่นอน

ฝึกสมองแล้ว อย่าลืมฝึกฝนจิตใจควบคู่กันไปด้วย อ่าน ผู้นำยุคใหม่ฝึกจิตใจเพื่อสร้างทีม คลิกที่นี่

====

ผู้บริหาร ผู้จัดการ และเจ้าของธุรกิจที่ต้องพัฒนาการทำงานของสมอง ต่อยอดสู่การพัฒนา Mindset และทักษะในการทำงานเป็นผู้นำในโลกยุคใหม่ เราขอแนะนำหลักสูตร The New Leadership Skill ดูรายละเอียดคลิกที่นี่

บทความโดย

อ. เรือรบ จิณณ์ณัฏฐ์ พรหมนุรักษ์

CEO และผู้ก่อตั้ง Learning Hub Thailand

ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาภาวะผู้นำ 

Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข 

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 0939254962

 

5 เคล็ดลับ สร้างสมาธิให้คุณโฟกัสงาน ได้ตลอดวัน

LHT template update 26 12 2016

คุณเคยพบว่าทำงานในแต่ละวันได้น้อยลงหรือไม่? บางวันคุณอาจรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหมือนติดปีก แต่ขณะที่วันอื่นๆ แม้ว่าจะใช้เวลานานมากแค่ไหน งานตรงหน้าก็ไม่สำเร็จสักที

เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันว่าการใช้เวลานานๆ และทำตัวให้ยุ่งตลอดทั้งวันจะช่วยให้งานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น จากการศึกษาเมื่อปี 2008 ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์แสดงให้เห็นว่าการถูกผูกติดอยู่กับโต๊ะเป็นเวลานานจะลดประสิทธิภาพในการทำงานลง ขณะที่การพักเบรกช่วงสั้นๆ นั้นช่วยให้คุณมีสมาธิและมีพลังงานมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยจำนวนมากที่บ่งบอกว่าการนั่งอยู่ที่โต๊ะนานๆ นั้นเป็นการทำลายสุขภาพ และเรายังรู้กันมานานแล้วว่าการนั่งนานๆ เป็นสาเหตุของโรคอ้วน โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน และความเสี่ยงโรคร้ายแรงอื่นๆ กระทั่งไม่นานมานี้ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าสามารถลดความเสี่ยงเหล่านี้ลงได้ด้วยการออกกำลังกาย

อย่างไรก็ตามงานวิจัยโดยนักวิจัยชาวสวีเดน Dr. Elin Ekblom-Bak ที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อปี 2010 แสดงให้เห็นว่าไม่เพียงแค่การออกกำลังกายเท่านั้นที่ทำให้สุขภาพเราดีขึ้น การพักเบรกเป็นช่วงและลุกจากโต๊ะบ้างก็ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเหล่านี้เช่นกัน

บทความวันนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ “โพโมโดโร เทคนิค” วิธีการง่ายๆ ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและปกป้องสุขภาพของคุณโดยการสร้างกำลังใจในการทำงานแต่ละวันด้วยการพักเบรกช่วงสั้นๆ

โพโมโดโร เทคนิคถูกคิดค้นขึ้นโดย Francesco Cirillo ในปี 1980 ในหนังสือขายดีที่ใช้ชื่อเดียวกันซึ่งได้รับการปรับปรุงและพิมพ์ซ้ำเมื่อปี 2013 

“โพโมโดโร” แปลว่ามะเขือเทศในภาษาอิตาเลียน Cirillo ได้แนวคิดชื่อนี้มาจากตัวจับเวลาในห้องครัวรูปมะเขือเทศที่เขาใช้เพื่อบริหารเวลาในช่วงที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย  

เทคนิคนี้แนะนำว่าให้คุณแบ่งการทำงานออกเป็นช่วงละ 25 นาที แต่ละช่วงคั่นด้วยเวลาเบรกสั้นๆ

วิธีนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ความเรียบง่าย ช่วงเวลา 25 นาที คือมะเขือเทศหนึ่งผล เมื่อคุณทำงานใช้ช่วงที่หนึ่งเสร็จ ให้ใช้เวลาพักประมาณ 5 นาทีก่อนจะเริ่มงานช่วงถัดไป เมื่อคุณทำงานทั้ง 4 ช่วงเสร็จ ให้พักยาวเพื่อเติมพลังและเรียกความสดชื่นให้แก่ร่างกาย

ในครั้งแรกที่คุณเริ่มทำความรู้จักกับเทคนิคนี้ มันอาจดูขัดแย้งเมื่อได้รู้ว่ามีเวลาพักเป็นช่วงๆ ตลอดทั้งวัน แต่จากงานวิจัยแสดงให้เราเห็นแล้วว่ามันสามารถเพิ่มพลังสมาธิเมื่อคุณกลับมาทำงานหลังการพักเบรกได้

5 ขั้นตอนการใช้เทคนิคโพโมโดโร

ขั้นที่ 1: ตรวจสอบตารางเวลา

ในขั้นแรกนี้คุณต้องตรวจสอบตารางเวลาของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นลิสต์รายการสิ่งที่ต้องทำหรือโครงการต่างๆ ที่วางแผนไว้ และเริ่มคิดว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องทำในวันนี้

ประมาณการเวลาที่คุณต้องใช้ในการทำงานแต่ละชิ้น โดยจำกัดส่วนของงานที่คุณต้องการทำให้สำเร็จให้อยู่ในช่วงโพโมโดโร (ช่วงละ 25 นาที) และตอนนี้ตารางเวลาของคุณก็จะเหมาะสมกับภาระหน้าที่ในแต่ละวันพอดี

นอกจากนี้อย่าลืมเวลาพักเบรกในตารางเวลาของคุณด้วย 5 นาทีในแต่ละช่วง และเพิ่มเวลาพักเป็น 20-30 นาที เพื่อให้ร่างกายได้พักช่วงจากงานอย่างเป็นธรรมชาติ (ตัวอย่างเช่น หลังทำงานครบทั้ง 4 โพโมโดโร ให้พักช่วงยาวหนึ่งช่วง)

หมายเหตุ:

Cirillo แนะนำให้ทำงานในช่วง 25 นาที แต่คุณอาจต้องการช่วงระยะเวลาอื่นๆ ที่เหมาะกับตัวเอง เช่น งานวิจัยเกี่ยวกับนาฬิกาชีวภาพของร่างกายเรา กล่าวว่าเราจะโฟกัสสิ่งที่กำลังทำได้เต็มที่ 90-120 นาทีก่อนที่ร่างกายจะต้องการพัก

อย่างไรก็ตามเพื่อสุขภาพของเรา ควรพักช่วงจากการทำงานและเคลื่อนไหวร่างกายบ้างทุกๆ 45 นาที

ขั้นที่ 2: ตั้งกำหนดการ

ก่อนจะเริ่ม คุณต้องมั่นใจก่อนว่าคุณมีอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็นในการทำงานเตรียมพร้อมไว้ใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นปากกาหรือกระดาษโน้ต (และอื่นๆ) ตั้งนาฬิกาจับเวลาสำหรับช่วงนาทีที่คุณตั้งใจจะทำงาน เช่น เราตั้งใจจะทำตามโพโมโดโรเทคนิคก็ตั้งไว้ที่ 25 นาที

คุณสามารถใช้ตัวจับเวลาประเภทใดก็ได้ที่ชอบ นาฬิกาจับเวลาสำหรับการทำอาหารก็ใช้ได้ถ้าหากคุณทำงานอยู่ที่บ้าน แต่หากคุณทำงานที่ออฟฟิศ ก็ต้องพยายามนึกถึงเพื่อนร่วมงานที่อาจทำเสียงดังรบกวนด้วย

ไม่ว่าจะเป็นตัวจับเวลาแบบไหนก็สามารถใช้งานได้ทั้งสิ้น กระทั้งแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนอย่าง Iphone หรือในระบบปฏิบัติการ Android ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน

เมื่อคุณเริ่มจับเวลา ให้สนใจแต่งานตรงหน้าเท่านั้น จำไว้ว่าคุณมีข้อจำกัดด้านเวลาที่ต้องโฟกัสในการทำงานอย่างเต็มที่ จากนั้นเมื่อถึงช่วงพัก คุณก็สามารถโทรกลับสายที่โทรเข้ามาระหว่างทำงานหรือไปพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานได้

หรืออาจจะเลือกทางเลือกอื่นเพื่อลดเหตุการณ์ที่อาจเข้ามารบกวนระหว่างคุณทำงาน โดยก่อนเริ่มจับเวลา คุณลองปิดประตูห้องทำงาน ปิดโทรศัพท์และแจ้งเตือนข้อความหรืออีเมล์ รวมถึงทำให้เพื่อนร่วมงานรู้ว่าคุณไม่ต้องการถูกรบกวน

ขั้นที่ 3: ทำงานของคุณและตั้งใจทำเฉพาะงานนั้น

มุ่งความสนใจอย่างเต็มที่ไปยังงานที่เราตั้งใจจะทำในช่วงเวลานั้นๆ

อย่าปล่อยให้สมาธิของคุณไขว้เขวไปกับไอเดียของงานชิ้นอื่นที่อาจผุดขึ้นมาในหัว โดยเขียนไอเดียเหล่านั้นไว้ในกระดาษโน้ตแล้วปล่อยมันไว้เพื่อกลับมาดูภายหลัง

และถ้ามันเป็นเรื่องสำคัญคุณอาจจัดตารางเวลาสำหรับไอเดียเหล่านั้นในช่วงต่อไป แต่ตอนนี้จงตั้งใจทำงานตรงหน้าซะก่อน

หากคุณทำงานเสร็จทั้งหมดก่อนเวลาจะหมด ให้ใช้เวลาที่เหลือเพื่อทำกิจวัตรเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำเป็นประจำหรือทำงานชิ้นเล็กๆ อย่างอื่น เป็นไอเดียที่ดีหากคุณคิดจะเขียนโน้ตเพื่อตรวจดูว่าเทคนิคนี้ทำให้คุณทำงานสำเร็จไปกี่ชิ้น เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการทำงานในอนาคตได้ หรือเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานแต่ละวันให้มากกว่าเดิม

ขั้นที่ 4: พักเบรกสักครู่

เมื่อเวลาหมด ให้คุณพักเบรก 5 นาทีถึงแม้ว่าคุณกำลังอยู่ใน ‘ภาวะลื่นไหล’ ก็ตาม เพราะการพักจะช่วยเติมพลังในการทำงานให้เรานั่นเอง

คุณอาจกังวลว่าการพักเบรกจะทำให้เสียเวลา แต่การพักตามปกตินั้นจะช่วยให้คุณได้เติมพลังงานกลับมาใหม่และเพิ่มประสิทธิภาพเมื่อกลับมาทำงานอีกครั้งมากกว่าจะเป็นการเสียเวลา Cirillo ให้เหตุผลว่าพลังงานนั้นสำคัญยิ่งกว่าเวลา แนวคิดโพโมโดโรนี้ก็เป็นการบริหารจัดการพลังงานของคุณ เพราะฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เพื่อทำงานเวลาที่ระดับสมาธิของคุณลดต่ำลง

เพื่อประโยชน์สูงสุด ใช้ช่วงเวลาพักโดยอยู่ให้ห่างโต๊ะของคุณ อาจเดินไปรอบๆ หรือยืดเส้นยืดสาย แม้กระทั่งเดินไปชงกาแฟ หยิบแก้วน้ำ หรือไปถ่ายเอกสารจากเครื่องที่ตั้งอยู่ห้องข้างๆ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้คุณเลี่ยงจากความเสี่ยงในการเกิดอาการเจ็บป่วยและภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้

ระหว่างที่คุณอยู่ในช่วงพัก ให้หลีกเลี่ยงการคิดถึงความคืบหน้าของงานที่ทำไป นี่คือช่วงเวลาที่สมองจะได้ผ่อนคลายหลังจากต้องเรียนรู้อย่างหนักมาตลอด เพราะฉะนั้นอย่าคิดอะไรมากเกินความจำเป็น!

นอกจากนี้ พยายามอย่าใช้ช่วงเวลาพักไปกับการตอบแชทโซเชียลมีเดีย อีเมล์ หรือท่องเว็บต่างๆ เพราะมีผลสำรวจพบว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันสายตาเสียจากการจ้องจอคอมหรือหน้าจอมือถือนานเกินไป

ให้ใช้เวลาเพื่อทำกิจกรรมอื่นที่อยู่ห่างจากโต๊ะทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเอกสารเก่าๆ หรือเดินไปพูดคุยกับเพื่อนในทีม หากคุณทำงานที่บ้านก็อาจทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เช่น นำผ้าลงเครื่องซัก เป็นต้น

ขั้นที่ 5: กลับเข้าสู่การทำงานให้ครบทุกช่วงและเข้าช่วงพักยาว

เมื่อเวลาพักสิ้นสุดลง ตั้งนาฬิกาจับเวลาเข้าสู่ช่วงการทำงานช่วงต่อไป เมื่อทำงานครบสี่ช่วงให้คุณใช้เวลาพักยาวประมาณ 20-30 นาที ไม่ว่าจะเป็นออกไปเดินเล่น กินอาหารว่างแบบเฮลท์ตี้ ทานอาหารกลางวัน อ่านหนังสือ อะไรก็ได้ที่คุณต้องการตราบใดที่กิจกรรมนั้นอยู่ห่างจากโต๊ะทำงานเพื่อให้คุณได้ทำจิตใจให้ปลอดโปร่งจากงานที่เพิ่งทำมาก่อนหน้านี้

จำไว้ว่าสิ่งสำคัญคือการเติมพลังงาน เพียงเพราะแนวทางของเราบอกไว้ว่าต้องทำงานให้เสร็จในช่วงเวลาหรือทำงานครบทั้งสี่ช่วงก่อนจะพักยาว ก็ไม่ได้หมายความว่ากฎเหล่านี้เป็นกฎตายตัว

การฟังความต้องการของร่างกายตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ หากจิตใจของเราเริ่มวอกแวกหรือคุณอาจเริ่มรู้สึกเหนื่อย อย่าฝืนตัวเองเพื่อทำงานให้ครบตามกำหนดช่วงเวลา ให้นึกถึงจังหวะของร่างกายที่เรากล่าวถึงก่อนหน้านี้ ที่ว่าตัวเรามีรอบการทำงานอยู่ที่ 90-120 นาที และมันก็ยากที่จะบอกได้ว่าร่างกายของคุณอยู่ในช่วงใดเมื่อเริ่มการทำงาน

บางทีคุณอาจต้องพิสูจน์เรื่องนี้ บางครั้งการทำงาน 20 นาที และแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลาก่อนจะพักยาว 30 นาทีอาจเหมาะสมกับคุณมากกว่าก็เป็นได้

หรือบางทีคุณอาจมีสมาธิดีในช่วงเช้าและต้องการพักบ่อยขึ้นในช่วงบ่าย เมื่อคุณค้นพบรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเอง คุณจะต้องรู้สึกอัศจรรย์กับความสำเร็จของงานที่คุณทำได้ในแต่ละวัน

ข้อดีและข้อเสียของโพโมโดโร เทคนิค

การใช้โพโมโดโร เทคนิคมีประโยชน์ต่อการบริหารเวลาในการทำงานหลากหลายข้อ

การหั่นเวลาทำงานให้สั้นลงช่วยให้ระดับการโฟกัสในงานแต่ละช่วงเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมันสามารถช่วยบริหารเวลาในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังสามารถทำให้โปรเจคใหญ่ๆ ดูทำสำเร็จได้ง่ายขึ้นด้วย

นอกจากนี้ยังช่วยลดการถูกรบกวนในการทำงานหลายๆ อย่าง ลดความรู้สึกท้อหรือการผัดวันประกันพรุ่งซึ่งอาจทำให้คุณเสียสมาธิและประสิทธิภาพในการทำงานเพราะคุณมีเวลาทำงานแต่ละชิ้นอย่างจำกัด

งานวิจัยยืนยันว่าการพักเบรกนั้นดีต่อสุขภาพและช่วยเพิ่มระดับสมาธิ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มระดับประสิทธิภาพการทำงานได้ Cirillo ระบุอีกว่าวิธีการนี้ยังเหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Disorder หรือ ADD) อีกด้วย  

นอกจากนี้การพักเบรกช่วงสั้นๆ จะช่วยให้สมองของคุณได้ปรับตัวรับข้อมูลต่างๆ ได้ดี เพิ่มโอกาสในการคิดไอเดียบรรเจิดใหม่ๆ ออกมาอย่างที่คุณนึกไม่ถึง

การใช้เวลาเพื่อพักผ่อนและเติมพลังงานในระหว่างวันยังช่วยให้คุณได้พักร่างกายเมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยล้าในยามบ่ายอีกด้วย

อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ไม่ได้เหมาะสมกับทุกคน บางคนอาจรู้สึกว่าการพักช่วงสั้นๆ นั้นน่ารำคาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อช่วงพักนั้นอยู่ในระหว่างที่พวกเขากำลังมีแรงบันดาลใจทำงานอย่างลื่นไหล

นอกจากนี้การโฟกัสงานเป็นช่วงๆ ยังทำได้ยากหากคุณมีหน้าที่การงานหรือทำงานอยู่ในออฟฟิศที่อาจถูกรบกวนได้บ่อยจากเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้า

ความไม่ยืดหยุ่นของการกำหนดเวลาทำงานในแต่ละช่วงเป็นเวลาเท่าๆ กันอาจส่งผลด้านลบให้เกิดขึ้นได้ เช่น หากคุณมีประชุมและเวลาประชุมมาซ้อนทับกับช่วงเวลา 4 ช่วงที่คุณกำหนดไว้พอดี เป็นต้น

โดยสรุป โพโมโดโร เทคนิคนั้นเรียบง่ายและมีการดำเนินการไม่ยุ่งยาก มันต้องการแค่ตัวจับเวลาและทัศนคติที่ว่า “ฉันทำได้” และยังสามารถสร้างสุขภาพที่ดีไปจนถึงทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น ลองดูสิว่ามันจะเหมาะกับคุณหรือไม่!

เคล็ดลับ

โพโมโดโร เทคนิคถูกคิดค้นขึ้นโดย Francesco Cirillo ในปี 1980 และตีพิมพ์ในหนังสือขายดีที่ใช้ชื่อเดียวกัน

เทคนิคนี้ใช้ตัวจับเวลาเพื่อแบ่งงานของคุณออกเป็นช่วงละ 25 นาที แต่ละช่วงเรียงว่า “โพโมโดรริ (Pomodori) หลังจากเสร็จงานในแต่ละช่วง คุณจะได้เวลาพัก 5 นาที และเมื่อคุณทำงานครบสี่ช่วง ให้พักยาว 20-30 นาที

มันเป็นเทคนิคที่เรียบง่าย ใช้งานง่ายและสามารถสร้างประโยชน์มากมายทั้งในด้านประสิทธิภาพการทำงานและด้านสุขภาพ การพักบ่อยๆ ช่วยเพิ่มระดับความสามารถในการตั้งสมาธิกับงานที่ทำซึ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้มันยังช่วยลดภาวะด้านลบต่างๆ ที่อาจเกิดกับร่างกายเมื่อนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะนานๆ อีกด้วย

แปลและเรียบเรียงโดย

Learning Hub Team

ที่มาบทความ: https://www.mindtools.com/pages/article/pomodoro-technique.htm

 

5 ขั้นตอน ตั้งเป้าให้สุข ทะลุกรอบเงินเดือน

ประชากรโลกกว่า 7,300 ล้านคน คุณผู้อ่านเชื่อไหมครับว่าเราสามารถแบ่งออกได้แค่ 2 กลุ่ม

กลุ่มแรก คือ กลุ่มคนที่ขาดเป้าหมายในการใช้ชีวิต

กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มคนที่มีเป้าหมายในการใช้ชีวิต

แน่นอนว่าคนกลุ่มที่สอง จะมีแนวโน้มประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าคนกลุ่มแรก แต่หากคุณเป็นส่วนหนึ่งในคนกลุ่มที่สองเชื่อเหลือเกินว่าคุณอาจจะต้องพบกับคำถามที่ว่า

“ทำไมฉันมีเป้าหมายแล้ว แต่ชีวิตกลับไม่มีความสุข”

ที่แย่กว่านั้น คือ หลายคนเป้าหมายกลายเป็นความจริงแล้ว แต่ก็ยังคงไร้ซึ่งความสุขในชีวิต

วันนี้ Learning Hub Thailand มี 5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะช่วยคุณสร้างเป้าหมายให้กลายเป็นจริง โดยไม่ทิ้งความสุขในชีวิต

1.คุยกับตัวเอง

ผู้คนมากมายตั้งเป้าหมายในชีวิตโดยใช้ความคิดเป็นหลัก ความคิดที่คาดหวังจะได้รับความสุขที่จะได้รับหลังเป้าหมายสำเร็จและหลายคนตั้งเป้าหมายในชีวิตตัวเองจากเป้าหมายของผู้อื่น

เป้าหมายที่เกิดจากความคิดแบบนี้จะไม่สามารถสร้างสุขให้ตัวเราในทุกขณะตั้งแต่ตั้งเป้า ระหว่างลงมือทำ ไปจนถึงวันที่เป้าหมายกลายเป็นจริง

 ณ จุดนี้อยากให้คุณลองหลับตาแล้วย้อนอดีตไปในวันที่เริ่มต้นตั้งเป้าหมายในชีวิตครั้งแรก แล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่า

เราตั้งเป้าหมายนี้จากเหตุผลอะไร

ทำไมถึงอยากให้เป้าหมายนี้สำเร็จ

ชีวิตเราต้องการสิ่งใดกันแน่

เคล็ดลับง่ายๆ ในการค้นหาเป้าหมายที่ใช่และทำให้ใจเป็นสุข คือ การใช้ความสุขเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง อย่าลืมว่า

          “เป้าหมายจะมีชีวิตถ้าสร้างจากความสุข มิใช่สร้างจากความคิด”

2.ค้นหาแรงบันดาลใจ

การสร้างเป้าหมายจากแรงบันดาลใจก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ลงในดิน ต้นไม้ไม่มีทางอยู่ได้โดยไม่มีดินและยิ่งดินมีคุณภาพมากเท่าไร

ต้นไม้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง งดงาม และสร้างคุณค่าได้มากเท่านั้น

การตั้งเป้าหมายในชีวิตก็เช่นเดียวกัน ควรตอบให้ได้ว่าในชีวิตของเรา ใครบ้างที่เราอยากให้พวกเขามีความสุข

เราต้องการความสุขจากพวกเขา และพวกเขาก็ต้องการความสุขจากเรา ตัวอย่างเช่น ถ้าความสุขของคุณคือการได้ดูแลภรรยาและลูกๆ ที่อยู่ในวัยกำลังซน

การตั้งเป้าหมายอยากเป็นนักธุรกิจข้ามชาติที่ต้องเดินทางแทบจะ 365 วัน ก็คงไม่สร้างพลังแห่งความสุขได้เท่ากับการตั้งเป้าหมายที่จะมีธุรกิจออนไลน์ที่สามารถสร้างรายได้หลักล้านแถมมีเวลาอยู่กับครอบครัว   อย่าลืมว่า

         “เป้าหมายเป็นเพียงเส้นชัย แต่แรงบันดาลใจจะทำให้คุณพิชิตเส้นชัย”

3.พร้อมที่จะให้

จุดผิดพลาดของคนที่มีเป้าหมาย คือ การตั้งเป้าหมายแบบคนที่ขาดเป้าหมาย หลายคนตั้งเป้าหมายเพียงให้ได้รับโบนัสสิ้นปีที่มากขึ้น

ได้ไปชอปปิ้งต่างประเทศบ่อยขึ้น

ต้องการให้พ่อแม่ซื้อของที่ตนเองต้องการให้มากขึ้น ฯลฯ เป้าหมายที่ทำให้ตัวเองอยู่ในฐานะ “ผู้รับ”

แบบนี้ถึงแม้จะกลายเป็นจริง ก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ตั้งแตกต่างอะไรกับกลุ่มคนที่ขาดเป้าหมายและใช้ชีวิตไปวันๆ เลย

ในทางกลับกันการตั้งเป้าหมายเพื่อสร้างความสุขให้ชีวิตจึงควรเปลี่ยนฐานะจากการเป็นผู้รับเป็น “ผู้ให้”

เช่น ตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้เสริมเทียบเท่าโบนัสสิ้นปี เป็นเจ้าของกิจการส่งออกสินค้า เป็นเสาหลักของครอบครัว ฯลฯ อย่าลืมว่า

      “มือของผู้ให้อยู่สูงกว่ามือของผู้รับเสมอ ความสุขจากการให้ก็เช่นเดียวกัน”

4. เขียนลงในกระดาษ

ในเมื่อความสุขเป็นนามธรรม การตั้งเป้าหมายที่จะมีความสุขจึงต้องเขียนลงในกระดาษให้เป็นรูปธรรมจับต้องได้ เช่น ต้องการมีรายได้เดือนละเท่าไร

ต้องการใช้เวลากับครอบครัววันละกี่ชั่วโมง

วันหยุดยาวอยากพาเจ้าตัวน้อยไปเที่ยวที่ไหนบ้าง

อยากทำสิ่งใดทดแทนบุญคุณพ่อและแม่ ฯลฯ

ยิ่งคุณกล้าเขียนเป้าหมายลงในกระดาษให้ชัดเจนมากขึ้นเท่าไร ขนาดความสุขก็จะยิ่งขยาย และเป้าหมายก็จะยิ่งกลายเป็นความจริงได้ไวขึ้นเท่านั้น  อย่าลืมว่า

     “การเขียนเป้าหมายลงในกระดาษ คือ การอนุญาตให้เป้าหมายมีชีวิต”

5. ระบุวันหมดอายุ

ความสุขในชีวิตไม่ใช่วัชพืชที่จู่ๆ จะงอกเงยขึ้นมาเองจากดิน แต่ความสุขเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่คุณต้องตัดสินใจให้มันเกิดขึ้นมาโดยการปลูกและรดน้ำ พรวนดิน อย่างสม่ำเสมอ

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การตั้งเป้าหมาย คือ การมีวินัยทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ดังนั้น ในแต่ละวันคุณจึงควรกำหนดรายละเอียดสิ่งที่ต้องทำให้ชัดเจน และอย่าลืมระบุวัน เวลา ที่คาดว่าจะทำสิ่งนั้นๆ

ให้แล้วเสร็จลงไปด้วย เพื่อป้องกันอาการผัดวันประกันพรุ่งจนทำให้เป้าหมายสลายไปในอากาศ  อย่าลืมว่า

      “เป้าหมายจะหมดอายุ ถ้าเราลืมระบุวันหมดอายุลงไป”

            ถ้าคุณผู้อ่านทำตามขั้นตอนครับทั้ง 5 ขั้นตอนแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อสุภาษิตไทยโบราณที่กล่าวว่า “ได้อย่างมักเสียอย่าง” อีกต่อไป เพราะคุณจะได้ชื่อว่าเป็นทั้ง “ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต” และเป็นทั้ง “ผู้ที่มีความสุขในชีวิต”

 เขียนโดย จิตเกษม น้อยไร่ภูมิ (โค้ชแมงปอ)

เคล็ดลับรับมือ หัวหน้า ไม่ได้ดั่งใจ

3

ผลวิจัยของ World Economic Forum ระบุว่า ความเครียดของพนักงานที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เกิดจากสัมพันธภาพที่ไม่ดีกับหัวหน้างาน ถ้าเจอหัวหน้างานแย่ๆ เป็นใครก็อยากลาออกทั้งนั้นครับ

แต่ภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ เจอหัวหน้าแย่ก็ย่อมดีกว่าตกงาน ฉะนั้นการทำงานร่วมกับหัวหน้างานจึงน่าจะเหมาะสมกว่านะครับ

Learning Hub จึงขอนำเสนอ 7 เคล็ดลับ เพื่อการรับมือกับหัวหน้างานที่ไม่ได้ดั่งใจ เพราะความเข้าใจคือหัวใจของการอยู่ร่วมกัน  


  1.หัวหน้างานจุกจิก   

อย่าให้อารมณ์บั่นทอนความสามารถ   

น่าปวดหัวไม่น้อยนะครับเมื่อเราต้องทำงานกับหัวหน้างานจู้จี้ทุกเรื่องราว คมชัดทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปเสียหมดในสายตาหัวหน้า

เมื่อเจอหัวหน้างานเช่นนี้ การปรับตัวเข้าหาเขาจะเหมาะสมมากที่สุด สิ่งแรกเลยคือการทำงานของเราต้องมีวินัยครับ ทำงานให้เสร็จก่อนกำหนดส่ง

เพื่อให้หัวหน้างานได้ตรวจดูรายละเอียดก่อน และมีเวลาปรับแก้งานก่อนส่งจริง อย่าทำเวอร์ชันเดียวแล้วส่งในวันสุดท้ายนะครับ เพราะหัวหน้างานเช่นนี้ถูกต้องไม่สำคัญเท่ากับถูกใจ

การรายงานความก้าวหน้าและส่งงานก่อนกำหนด  จึงเป็นทางออกหนึ่งที่จะช่วยให้สัมพันธภาพระหว่างคุณกับหัวหน้าราบรื่นขึ้นนะครับ  


2.หัวหน้าอัตตาสูง   

ให้หัวหน้าคิดว่าผลงานที่เกิดขึ้น เป็นเพราะเขา   

มีบ่อยเหมือนกันครับกับหัวหน้างานอีโก้สูง คิดว่าความคิดของตัวเองถูกเสมอ และมองลูกน้องที่คิดเห็นแตกต่างหรือขัดแย้งเป็นฝ่ายตรงข้าม ทำให้คนที่ทำงานเอาหน้าประจบประแจงได้รับความไว้ใจ

แต่คนทำงานอยู่เบื้องหลังกลับเหนื่อยฟรี ดังนั้น เราควรเสนอความคิดเห็นในบริบทที่หัวหน้างานจะได้หน้าไปด้วย หรือพูดง่ายๆคือให้เขามีส่วนได้หน้าจากผลงานของเรานั่นเองครับ

แม้ว่าจะเป็นวิธีการที่เจ็บปวดหน่อย ที่ต้องให้คนอื่นชุบมือเปิบ แต่ก็ป่วยการครับที่จะเป็นปรปักษ์ต่อหัวหน้างานโดยไม่จำเป็น

สำคัญอยู่ที่ตัวเราครับที่ต้องรู้จักตนเองและควบคุมอารมณ์ เลือกปะทะในสมรภูมิที่ได้เปรียบเท่านั้นครับ  


3.หัวหน้าที่ไม่เป็นงาน  

ทีมงานที่แข็งแกร่งและพร้อมเจรจา  

ระบบอุปถัมภ์ทำให้การแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งสูงอยู่ที่คนของใครมากกว่าความสามารถ   จึงทำให้มนุษย์เงินเดือนอย่างเราต้องพลอยลำบาก  คอยแก้งานของหัวหน้าที่ไม่เป็นงาน

หัวหน้าประเภทนี้มักจะเข้าหาลูกน้องก็ต่อเมื่อเจอปัญหา ปล่อยให้ลูกน้องแก้ปัญหาแต่เพียงลำพัง ในขณะที่ตนเองไม่คิดหาข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการตัดสินใจที่ถูกต้อง

ทำให้การทำงานในหลายๆครั้งสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา หัวหน้างานเช่นนี้หากจะรับมือยากสักหน่อยครับ เพราะต้องอาศัยความร่วมมือจากเพื่อนร่วมงาน

รวมกลุ่มกันเพื่อพูดคุยกับหัวหน้า เพื่อปรับวิธีการทำงานและหาแนวทางที่เหมาะสมในการทำงาน  ลดปัญหาในการทำงาน  

แต่ไม่ใช่การรวมกลุ่มกันเพื่อประท้วงหรือตำหนิหัวหน้างานนะครับ การบอกกล่าวพูดคุยกันด้วยเหตุผล        

มุ่งเน้นที่การทำงานเป็นหลักไม่ใช่เน้นที่ตัวบุคคล คือ แนวทางการเตือนหัวหน้ากับสิ่งที่เขาไม่รู้ตัวครับ  


4.หัวหน้าอ่อนประสบการณ์  

แชร์ไอเดีย แต่ไม่ทำให้เขาเสียหน้า 

เป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าครับที่ไม่ได้รู้เสียทุกเรื่อง เพราะเขาอาจจะย้ายมาจากแผนกอื่น 

หรือทำงานที่เขาไม่คุ้นเคย  ซึ่งเราในฐานะลูกน้องที่ผ่านงานมามากกว่า ควรแลกเปลี่ยนแชร์ประสบการณ์กับเขาครับ

การเสนอแนะไอเดียที่เป็นประโยชน์ ย่อมทำให้หัวหน้ารู้สึกมิตรกับเรายิ่ง เช่น หัวหน้างานรุ่นเก่าอาจจะไม่คุ้นกับการทำ Power Point หน้าที่ของเราคือแชร์ความรู้กับเขา

หรือใช้ความสามารถของเราเติมเต็มส่วนที่หัวหน้าขาด ไม่ดูถูกหรือทำให้เขารู้สึกอับอาย คิดอีกแง่เราเองก็มีเรื่องมากมายที่หัวหน้ารู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ก็ได้ครับ  


5.หัวหน้าที่ชอบตัวเลข  

ตัวเลขเป็นศาสตร์ แต่การตลาดเป็นศิลป์  

บ่อยครั้งเรามักจะพบความขัดแย้งกันระหว่างนักการตลาดและนักบัญชี สาเหตุของความขัดแย้งเกิดจากการมองต่างมุม

นักบัญชีหรือนักการเงินถูกสอนให้ตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและอ้างอิงตัวเลขเป็นสำคัญ จึงมักตั้งคำถามกับนักการตลาดว่า กลยุทธ์ที่เสนอมาสร้างกำไรกี่บาท กี่เปอร์เซ็นต์                      

เป็นคำถามที่นักการตลาดไม่สามารถตอบได้ครับ  เพราะไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นกี่คน ซื้อคนละกี่ชิ้น เพราะฉะนั้นหากเผชิญหน้ากับหัวหน้าที่มีพื้นฐานทางบัญชีหรือการเงิน การจะทำงานร่วมกับเขาได้นั้นต้องมีตัวเลขเสมอครับ

แผนการที่เสนอไปอย่างน้อยก็ต้องมีการประมาณการณ์งบประมาณ     เป้าหมายทางการเงิน ยอดขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เป็นต้น

การตัดสินใจบนพื้นฐานของตัวเลข ไม่ได้อยู่ที่ถูกหรือผิดหรอกครับ แต่อยู่ที่สมมติฐานของใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน   


6.หัวหน้าครีเอทีฟ   

โฟกัสที่ไอเดีย มองให้เป็นรูปธรรม  

หัวหน้าที่มีความคิดสร้างสรรค์นับเป็นเรื่องดีครับ แต่ถ้ามีมากไปก็เป็นโทษเหมือนกัน เพราะแต่ละวันมีไอเดียผุดขึ้นมากมาย เดี๋ยวก็ให้ทำนั่น เดี๋ยวก็ให้ทำนี่

ทั้งๆที่สิ่งที่กำลังทำอยู่ยังไม่แล้วเสร็จ การรับมือกับหัวหน้าเช่นนี้ เราต้องโฟกัสความคิดของหัวหน้าครับว่า หัวหน้าต้องการอะไรในขั้นสุดท้าย                        

เพราะหัวหน้าช่างครีเอทีฟมีความคิดกว้างครับ แต่ไม่สามารถลงลึกถึงการปฏิบัติจริงๆ การโน้มน้าวเขาจึงต้องตั้งคำถามที่โฟกัสมากๆว่า ต้องการอะไรที่เป็นรูปธรรม และชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคที่เป็นไปได้หากทำเช่นนั้น              

แต่อย่าวิพากษ์หรือปฏิเสธไอเดียเขานะครับ คล้อยตามความคิดเขา แต่ชี้ให้หัวหน้าเห็นว่าหากทำตามนี้จะเกิดอะไรขึ้นตามมา


7.สิ่งที่ไม่ควรทำ  

หัวหน้าไม่ใช่ศัตรู 

ไม่ว่าหัวหน้าจะเป็นคนเช่นไรก็แล้วแต่ แต่อย่ามองว่าเขาเป็นศัตรูเด็ดขาดครับ ไม่เช่นนั้นคงหาความสุขยากในที่ทำงาน

World Economic Forum จึงแนะนำว่า เราไม่ควรเผชิญหน้ากับหัวหน้าโดยตรง ไม่เช่นนั้นความขัดแย้งจะยิ่งร้าวลึก และอย่าแกล้งทำเป็นหูทวนลม

หรือโฟกัสที่งานอย่างเดียว ไม่เห็นหัวหน้างานอยู่ในสายตา เช่นนี้แล้วหัวหน้าจะคิดว่าเราไม่ให้ความเคารพ และเขาก็จะไม่เคารพเราเช่นกัน       

นอกจากนั้นการแกล้งป่วยแกล้งลา ก็ไม่ใช่ทางออกเช่นกันครับ เพราะนั่นคือการหนีปัญหา การลาป่วยในวันที่หัวหน้าต้องการเรา จะยิ่งสร้างความบาดหมางครับ  

และสิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรทำคือการประจานหัวหน้าให้คนภายนอกรับรู้ ความในไม่ควรนำออก ความนอกก็ไม่ควรนำเข้าครับ  


หากทำตาม 7 เคล็ดลับนี้แล้วบรรยากาศในการทำงานยังไม่ดีขึ้น ก็คงต้องทิ้งไพ่ใบสุดท้าย คือ การลาออกครับ แต่ก่อนจะลาออกคุณต้อง Stay on career path นะครับว่า เป้าหมายในการทำงานคืออะไร

แล้วการทำงานที่นี่ตอบโจทย์อะไรหรือไม่ หากลาออกแล้วกระทบต่อสายงานอาชีพอย่างไร ลาออกควรใช้เหตุผลไม่ใช้อารมณ์ครับ  

เรียบเรียงโดย วิญญู – Learning Hub Team 

ที่มา : https://www.weforum.org/agenda/2015/03/how-to-cope-with-a-toxic-boss/  

http://www.forbes.com/sites/travisbradberry/2015/06/17/how-successful-people-overcome-toxic-bosses/3/#2c5696034f75  

5 ผู้นำทางความคิด ที่มีคนติดตามมากที่สุดบนโลกโซเชียล

5-leader-the-most-follower

“เราจะเป็นอะไรในอนาคต ขึ้นอยู่กับเพื่อนที่เราคบ หนังสือที่เราอ่าน” วลีนี้มีมานานแล้วครับ และยังคงเป็นจริงต่อไปทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าเราจะเป็นใคร สังคมที่เราอยู่ สื่อที่เรารับ มีผลต่อชีวิตเราอย่างชัดเจน

ดังนั้นถ้าอยากทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น เราก็ต้องรับสื่อดีๆ ติดตามความคิดของคนสำเร็จในแบบที่เราต้องการจะเป็น แต่เพื่อนๆ คงมีคำถามว่า แล้วถ้าอยากจะเริ่มติดตามความคิดดีๆ จะหาได้จากที่ไหนกันล่ะ

วันนี้ Learning Hub เลยขอเสนอ “5 นักคิด ที่มีคนติดตามมากที่สุดบนโลกโซเชียล” เผื่อว่าคุณจะมีพลังฮึดอยากลุกมาเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเปลี่ยนโลกเหมือนนักคิด 5 ท่านนี้ มาเริ่มกันเลยครับ

1. Mark Zuckerberg – มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก

“Some people dream of success… while others wake up and work hard at it.”

“คนบางคนได้แต่ฝันที่จะประสบความสำเร็จ ขณะที่คนอื่นลุกขึ้นมาทำงานหนักเพื่อความฝันนั้น”

ชื่อนี้ในยุคนี้คงยากที่จะมีคนไม่รู้จัก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ facebook เว็บไซต์เครือข่ายสังคม (Social Network) ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก  สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นคือ เขาเป็นมหาเศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดคนหนึ่งของโลก (ปัจจุบันอายุ 31 ปี) และทำให้การใช้ Social Network แพร่กระจายไปทั่วโลก

ส่งผลให้วิถีชีวิตของคนในยุคนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงครับ แค่นี้ ก็รู้สึกถึงความโดดเด่นของผู้ชายคนนี้แล้วใช่ไหมครับ แต่ยังไม่พอครับ… สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มผู้นี้มีคนติดตามทั่วโลก คือ ปณิธานอันแรงกล้าที่จะทำให้โลกนี้เชื่อมโยงกันและเปิดเผยกันมากที่สุด

มาร์ค มีวิสัยทัศน์เพื่อสร้างผลกระทบที่ดีต่อโลก โดยไม่ได้สนใจความมั่งคั่งของตัวเองเลย (เงินเป็นเพียงของแถมในชีวิตเขา) ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่มาร์คทำจริงครับ ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตที่พอเพียง น้อยครั้งนักที่เราจะเห็นชีวิตหรูหราของชายผู้นี้ ทั้งที่ติดอันดับต้นๆ ของมหาเศรษฐีโลก

เขาพูดเสมอว่า “ผมไม่ได้ทำ Facebook เพื่อเงิน แต่เงินเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้น”

นอกจากความคิดดีๆ แบบนี้ หนุ่มคนนี้ยังเป็นคนใจบุญเอามากๆ เพราะมาร์คตัดสินใจบริจาคหุ้น 99% ของหุ้นที่เขามีอยู่ใน facebook ให้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่เขาก่อตั้งขึ้นร่วมกับภรรยาครับ องค์กรที่ว่านี้จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือและพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ในด้านต่างๆ

เช่น สุขภาพ การศึกษา งานวิจัยและพลังงาน ทั้งหมดที่เขาทำก็เพื่อทำให้โลกนี้ดีขึ้น เราจึงไม่แปลกใจเลยที่ มาร์ค จะถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกโดยเขามีผู้ติดตามเขาผ่าน facebook กว่า 53 ล้านคน

ซึ่งนอกเหนือจากข่าว และบทความต่างๆ เกี่ยวกับเขา เราสามารถติดตามความคิดของมาร์คได้ใน facebook ส่วนตัวของเขาได้เลยที่ https://www.facebook.com/zuck ลองติดตามกันดูนะครับ

2. Oprah Winfrey – โอปราห์ วินฟรีย์

“Be thankful for what you have; you’ll end up having more. If you concentrate on what you don’t have, you will never, ever have enough.”

“จงมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่คุณมี แล้วคุณจะได้รับสิ่งนั้นเพิ่มมากขึ้น  แต่ถ้าคุณหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่คุณไม่มี คุณจะไม่มีวันได้รับสิ่งไหนพอเลย”

หากพูดถึงหญิงเก่งระดับโลก เชื่อว่าหลายคนต้องนึกถึง โอปราห์ วินฟรีย์ ด้วยแน่นอนครับ เธอเป็นพิธีกรชื่อดัง ของรายการ “The Oprah Winfrey Show” ซึ่งเป็นทอล์คโชว์ที่มีเรทติ้งการชมสูงสุดในประวัติศาสตร์   และเป็นหญิงแอฟริกันอเมริกัน ที่รวยที่สุดในศตวรรษที่ 20   

มีผู้ติดตามเธอผ่าน twitter กว่า 31 ล้านคนและผ่าน facebook page กว่า 11 ล้านคน แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้มีคนติดตามเธอทั่วโลกขนาดนี้ ส่วนหนึ่งคือความเป็นเซเลปของเธอ แต่ปัจจัยที่สำคัญกว่า นั่นคือความคิดและชีวิตของเธอครับ

ผู้หญิงคนนี้เติบโตมาด้วยวัยเด็กที่โหดร้าย เธอถูกเหยียดผิว โดนคำดูหมิ่นดูแคลนจากคนอื่นและยังถูกข่มขืนถึง 2 ครั้งมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แต่เธอก็สามารถเปลี่ยนความเจ็บปวดในอดีต ให้กลายเป็นการเห็นคุณค่าในตัวเองอย่างแรงกล้า ลุกขึ้นมาทำชีวิตตัวเองให้ดีที่สุด

จนกลายเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลก ทั้งหมดนี้ก็ด้วยจิตใจที่แกร่ง ทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ จนตกผลึกมาเป็นความคิดดีๆ ให้ผู้คนทั่วโลกได้เรียนรู้ครับ  เช่น

“ไม่ว่าใครจะทำอะไรคุณไว้ในอดีต มันไม่มีอำนาจในปัจจุบันเลย คุณนั่นแหละ ที่ให้อำนาจมัน”

“รักตนเอง และเรียนรู้ที่จะเผยแผ่ความรักนั้น ไปยังคนอื่นๆ”

ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้รายการของเธอเน้นให้กำลังใจผู้คนและชักจูงให้ผู้ชมดำเนินชีวิตในแง่บวก ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคง่ายๆ และยังใช้อำนาจของความเป็นสื่อมวลชนผลักดันสิ่งดีๆสู่สังคมอีกด้วย

นอกจากนี้ เธอยังทำการกุศลมากมาย ตั้งมูลนิธิเพื่อเด็กและสตรีทั่วโลก มูลนิธิช่วยเหลือผู้ประสบภัยและแก้ปัญหาสังคม จนนิตยสารฟอร์บส์ ยกย่องให้เธอเป็น 1 ใน 3 คนบันเทิง ที่บริจาคเงินเพื่อการกุศลมากที่สุดในโลก

ใครอยากติดตามความคิดของเธอ นอกเหนือจากติดตามรายการของเธอ ซึ่งแทรกแนวคิดดีๆ อยู่ตลอดแล้ว เราก็สามารถติดตามเธอ ผ่านข่าว บทความต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไป หรือโซเชียลมีเดียที่เธอใช้อยู่คือ Facebook page: https://www.facebook.com/oprahwinfrey หรือ Twitter: https://www.facebook.com/oprahwinfrey  ครับ

3. Tenzin Gyatso – องค์ทะไลลามะ (The 14th Dalai Lama)

“Happiness is not something ready made.  It comes from your own actions.”

“ความสุข ไม่ใช่ของสำเร็จรูป แต่มันเกิดจากการกระทำของคุณเอง” 

ท่านผู้นี้ คือ องค์ทะไลลามะ องค์ที่ 14 แห่งทิเบต ซึ่งถือเป็นตำแหน่งผู้นำสูงสุดของชาวทิเบต ถ้าใครชอบอ่านแง่คิด คำคมหรือปรัชญาชีวิต เชื่อว่าคำพูดของท่าน ต้องเคยผ่านตาเราอย่างแน่นอนครับ เพราะในโลกโซเชียลมีการยกคำพูดหรือข้อเขียนของท่าน มาแชร์ต่อกันมากมาย 

ท่านมีผู้ติดตามผ่านทาง twitter กว่า 12 ล้านคน และผ่าน Facebook page กว่า 13 ล้านคน แค่นั้นเอง !!! และสิ่งที่ทำให้ท่านเป็นที่ติดตามขนาดนี้ เพราะแนวคิดและปรัชญาที่ท่านได้เผยแพร่ออกไปนั้น เป็นประโยชน์ต่อคนทุกคนบนโลก โดยท่านมักกล่าวเสมอว่า “คนเราอยากได้ความสุข แต่กลับให้คุณค่ามันเป็นสิ่งสุดท้าย เพราะมัวแต่หาเงินจนลืมดูแล ลืมใส่ใจตัวเอง ไม่เคยคิดว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่คนเราต้องการจริงๆ คืออะไร สุดท้ายก็เลยไม่มีความสุข”

นอกจากนี้งานของท่าน ยังช่วยสร้างประโยชน์ต่อโลกนี้มากมาย จนทำให้ท่านได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ในปี ค.ศ. 1989 และได้รับการยกย่องเชิดชู ว่าเป็น “ผู้นำทางจิตวิญญาณคนสำคัญของโลก” อีกด้วยครับ

ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ประกอบอาชีพไหน ก็สามารถนำแนวคิดของท่านไปใช้ในชีวิตได้อย่างแน่นอน โดยถ้าใครอยากได้ปรัชญาชีวิตแบบถึงแก่น ตรงไปตรงมา นำไปใช้ได้ทันที สามารถติดตามแนวคิดของท่านผ่านทาง Twitter: https://twitter.com/dalailama หรือ Facebook page: https://www.facebook.com/DalaiLama ได้เลยครับ

4. Warren Buffet  – วอร์เรน บัฟเฟตต์

“If you buy things you do not need, soon you will have to sell things you need.”

“ถ้าคุณซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็น สักวันหนึ่งคุณจะต้องขายสิ่งที่จำเป็น”

หากพูดถึงนักลงทุนที่ได้ชื่อว่า ประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลก ต้องมีชื่อของคนคนนี้อยู่แน่ๆ ครับ

วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ ปู่บัฟเฟตต์ ที่วงการนักลงทุนชอบเรียกกัน คือชายอายุ 85 ปี ผู้ได้รับฉายาว่า “เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา” และเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐี ที่ได้ชื่อว่า “รวยที่สุดในโลก”

สิ่งที่น่าสนใจคือ บัฟเฟตต์ เป็นคนไม่ค่อยออกสื่อ ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ ไม่มี facebook page ของตัวเอง และเพิ่งจะเปิดบัญชี twitter ของตัวเองเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เอง แต่กลับมีผู้ติดตามทั่วโลกโซเชียล โดยคำพูดทุกคำพูดของเขา ไม่ว่าจะพูดอะไรออกมา คนทั่วโลกจะสนใจและนำไปตีความอย่างลึกซึ้งอยู่เสมอครับ

แน่นอนว่าที่เขามีคนติดตามขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เพราะความร่ำรวยอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เพราะเป็นคนยึดมั่นในปรัชญาการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ที่ต้องใช้ความอดทนสูงมากและยังมีปรัชญาชีวิตที่น่าสนใจ เช่น

“เราใช้เวลาสร้างชื่อเสียงถึง 20 ปี แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีก็ทำลายมันได้”

“ชีวิตเรา ต้องการแค่การทำเรื่องไม่กี่เรื่องให้ถูกต้อง”

เห็นไหมครับ ว่าไม่ใช่แค่เรื่องลงทุนนะ เราสามารถติดตามแนวคิดอื่นของเขา เพื่อนำไปใช้ในชีวิตตัวเองได้มากมาย โดยเฉพาะความเป็นอยู่อย่างประหยัด พอเพียง

ที่แม้เขาจะรวยล้นฟ้า แต่กลับใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะแบบสุดๆครับ เขายังขับรถเก่าๆ และอยู่บ้านหลังเดิมมานาน ไม่ยึดติดความหรูหรา มีชีวิตที่เรียบง่าย แต่ไร้กังวล และมีความสุขมาก นอกจากนี้เขายังบริจาคทรัพย์สินเกิน 85% และบริจาคมากขึ้นเรื่อยๆ ในมูลนิธิของบิล เกตส์ เพื่อช่วยเหลือโลกใบนี้อีกต่างหาก

เห็นแบบนี้แล้ว หลายคนคงอยากติดตามความคิดของบัฟเฟตต์ เราแนะนำว่าให้ติดตามผ่านข่าว หรือบทความต่างประเทศเอาครับ เพราะ Twitter ของเขา (https://twitter.com/warrenbuffett) ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ ลองหาอ่านกันดูนะครับ

5. Jack Ma – แจ๊ค หม่า

“Don’t Complain. You can find opportunities.”

“จงอย่าบ่น โอกาสมีอยู่เสมอถ้าคุณมองหา”

วินาทีนี้ โลกธุรกิจออนไลน์ต้องพูดถึงชายคนหนึ่ง เขาคือ แจ๊ค หม่า มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของจีนนั่นเอง ผู้ก่อตั้ง Alibaba Group กลุ่มเว็บไซต์ e-commerce ที่ใหญ่ที่สุดของจีน

ชายผู้นี้มีคนติดตามความคิดทั่วโลก ด้วยเรื่องราวชีวิตที่พลิกสุดขั้ว จากครูสอนภาษาอังกฤษ กลายเป็นนักธุรกิจผู้ครองอาณาจักร e-commerce ระดับโลก ทำให้ความคิด ปรัชญาความสำเร็จของเขา คือสิ่งที่ตกผลึกมาจากประสบการณ์จริงๆ มีความตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม

ทุกครั้งที่พูด จึงมีคนทั่วโลกฟังเขาเสมอ และสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจนะครับ แต่เป็นปรัชญาชีวิตแบบถึงลูกถึงคนเลยทีเดียว สไตล์ของเขาคือ คมคาย ไม่ต้องตีความ เอาไปใช้ได้ทันที โดยตัวอย่างแนวคิดดีๆจากแจ๊ค หม่า เช่น

“คุณไม่สามารถที่จะทำให้คนทุกคนนั้นคิดเหมือนกันได้หรอก 

แต่คุณสามารถที่จะทำให้ทุกคนก้าวไปทางเดียวกันได้ด้วยเป้าหมายเดียวกัน”

“โลกนี้จำไม่ได้หรอก ว่าคุณพูดอะไรไปบ้าง แต่จะไม่ลืมสิ่งที่คุณทำ”

หากใครจะติดตามความคิดของมหาเศรษฐี e-commerce ท่านนี้เห็นทีต้องหาอ่านตามบทความและหนังสือที่พูดถึงเขาครับ เพราะเขาไม่มีบัญชี twitter และ facebook อย่างเป็นทางการเลย (มีแต่ที่คนอื่นพูดถึง) ลองติดตามกันดูนะครับ

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวและความน่าสนใจของเหล่านักคิด ที่แม้จะมาจากต่างสาขาอาชีพ มีเรื่องราวชีวิตที่ไม่เหมือนกัน แต่เราทุกคนสามารถเรียนรู้จากนักคิดเหล่านี้ได้ครับ เพียงเปลี่ยนมุมมองความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนแล้วครับ

เรียบเรียงโดย Pump – Learning Hub Team

4 วิถี สู่ความร่ำรวยที่แท้จริง

“ความรวย”  เป็นความใฝ่ฝันของผู้คนทั่วไป ซึ่งเริ่มจาก การได้ทำงานดีๆ มีเงินเดือนสูงๆ หรือมีธุรกิจของตนเอง จะได้มีเงินเยอะๆ เมื่อรวยแล้ว ชีวิตจะได้สบาย

แต่ว่า “คนรวยที่แท้จริง” ต้องมีเงินเท่าไหร่กัน ?

ในยุคปัจจุบัน “ความร่ำรวยที่แท้จริง” ไม่ได้วัดจาก “จำนวนเงินที่มี” แต่วัดจาก “อิสรภาพ” ที่ได้รับต่างหาก

ความรวย ที่คุณเข้าใจ “ยิ่งมีเงินมาก ก็จะยิ่งมีความสุขมาก” ใช่มั้ย ?

ในอดีต ความร่ำรวยอาจหมายถึง ผู้ที่ครอบครองเงิน หรือวัตถุที่มีค่าเป็นจำนวนมาก ความร่ำรวยของแต่ละคนวัดได้จาก การมีรถราคาแพงหรือไม่ มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน ได้ไปเที่ยวทริปหรูได้บ่อยเท่าใด การได้ครอบครองแบรนด์ชั้นนำและวัตถุหายาก มันสะท้อนถึงความร่ำรวยของคุณ แนวคิดแบบนี้ทำให้ผู้คนพยายาม ดิ้นรนไขว่คว้า สะสมครอบครอง เพื่อให้มีมากที่สุด

จนบางคนอาจไม่คำนึงถึง “วิธีการที่ได้มา”

มองเพียงแค่ “มูลค่าของสิ่งที่ครอบครอง”

แต่มันจะสร้างความสุขให้กับพวกเขาจริงๆหรือ ?

แน่นอนว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญและขาดไม่ได้ในโลกปัจจุบัน แต่หากลองพิจารณาดู เงินเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการมีชีวิตรอดของคนกลุ่มแรงงานที่มีรายได้น้อยเท่านั้น

ส่วนคนที่ “พอมีอันจะกิน” ซึ่งเป็นประชากรที่มีการศึกษา เงินถูกใช้เพื่อสร้างความสนุกสนาน ความสะดวกสบาย ที่อาจเกินความจำเป็น เช่น การแสดงความหรูหราเพื่อเข้าสังคมและเรียกร้องการยอมรับจากผู้อื่น ใช่หรือไม่

เปรียบเทียบให้ภาพเห็นตัวอย่างง่ายๆ หากในวัยเริ่มทำงาน คุณสามารถเก็บเงินจนซื้อรถคันแรกได้ นั่นย่อมสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมากให้กับชีวิต เพราะคุณไม่ต้องไปยืนเบียดร้อนบนรถเมล์ ไม่ต้องดมควันกลางถนนบนมอเตอร์ไซด์ และสามารถขับรถของคุณเองไปได้ในทุกที่ๆต้องการ  ไปทำงาน ไปเจอเพื่อน ไปปาร์ตี้ยามค่ำคืนโดยไม่ต้องกลัวอันตราย แบบนี้ย่อมสร้างความสุขให้คุณอย่างมาก

เมื่อได้เลื่อนตำแหน่ง คุณจึงซื้อ รถคันที่ 2 ที่หรูกว่าเดิม ลองเปรียบเทียบความสุขตอนที่ได้รถคันใหม่นี้ เทียบกับตอนมีรถคันแรก อย่างไหนมีมากกว่ากัน

และหากซื้อ รถคันที่ 3 ตอนมีลูก ก็คงแทบไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรแล้ว

รถคันที่ 4 ที่ซื้อมา คงต้องเริ่มคิดว่าจะหาที่จอดที่ไหน

ส่วนรถคันที่ 5  อาจทำให้ต้องจ้างคนมาล้างรถเพิ่มอีกคน

 

ลองพิจารณาว่าที่ผ่านมา คุณมีที่สิ่งที่ซื้อมาได้ใช้เพียงแค่หนเดียวแล้วก็เก็บ มากแค่ไหน ?

คุณมีสิ่งที่ซื้อมาเป็นปีแล้ว ยังไม่เคยแกะห่อออกมาใช้เลย บ้างหรือไม่ ?

คุณได้ออกไปหาซื้อของ แล้วมาพบทีหลังว่าคุณมีสิ่งนั้นอยู่แล้ว บ่อยแค่ไหน ?

คุณต้องทิ้งของกินดีๆที่หมดอายุ เพราะคุณซื้อไว้แล้วหลงลืมหรือกินไม่หมด ไปเยอะมั้ย ?

ทุกครั้งที่ซื้อของชิ้นใหม่ คุณมีความสุขอยู่กับมันได้นานเพียงใด ?

หากทุกคนใช้ชีวิตแบบนี้ ยิ่งผลิตมากทรัพยากรธรรมชาติจะยิ่งร่อยหรอ สิ่งของจะกองทับถม มลพิษจะเกินควบคุม ขยะจะล้นโลกดังนั้นการมีสิ่งของมากๆก็อาจลดความสุขของเราไปได้

จะเห็นได้ว่า หากเราอยู่ในกลุ่มคนที่พอมีอันจะกิน เงินและสิ่งของที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่ปัจจัยที่จะ “เพิ่มความสุข” ได้มากเท่าไหร่เลย

แล้วความสุขจริงๆอยู่ที่ไหนล่ะ

 


ความร่ำรวยที่แท้จริง “4 วิถี สู่อิสรภาพ”

คงถึงเวลาทบทวนแล้วว่า โลกนี้กำลังต้องการแนวคิดของ “ความร่ำรวย” ในรูปแบบใหม่หรือเปล่า คนที่มี “ความร่ำรวยที่แท้จริง” อาจดูได้จาก 4 วิถีการใช้ชีวิต ดังนี้

 

1. ความร่ำรวย ทางอารมณ์

คนรวยที่แท้จริง คือคนที่ “ไร้ความกังวลในเรื่องเงิน” เขาสามารถควบคุมอารมณ์ภายในให้สดใสเบิกบานได้ การที่เขามีอารมณ์ดีเป็นประจำ ก็จะทำให้พบแต่ประสบการณ์ดีๆในชีวิต

ไม่จำเป็นต้องรวยร้อยล้านพันล้าน ถึงจะปราศจากความกังวลในเรื่องเงิน ขอเพียงรู้จักบริหารเงินให้มีเหลือใช้ในทุกเดือน ไม่ยึดติดกับวัตถุภายนอกที่อาจสูญเสียไปเมื่อไหร่ก็ได้ รู้จักพึ่งพาตัวเองมากกว่าพึ่งพาคนอื่น

เมื่อมี “ความร่ำรวยทางอารมณ์” ก็จะไม่ขี้กลัว ไม่หงุดหงิดจิตตก ไม่ห่อเหี่ยวนานๆ จะมีความชัดเจนในชีวิต มีแรงบันดาลใจ มีความคิดสร้างสรรค์ มีพลังข้างในที่ผลักดันในตัวเองอยู่เสมอ และมีประสิทธิภาพในการทำงานให้สำเร็จได้อย่างสูง

 

2. ความร่ำรวย ด้านเวลา

เวลาคือสิ่งที่มี “ราคา” มากที่สุด เพราะชีวิตมีวันหมดอายุ จึงไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับเวลาที่หมดไปแต่ละปีๆ หากเราไม่ใช้ชีวิตที่เราเลือก เราก็กำลังผลาญเวลาในชีวิตของตัวเองลงไปเปล่าๆ

คนที่ร่ำรวยอย่างแท้จริง สามารถเลือกวิถีชีวิตที่สามารถเป็นผู้กำหนดตารางเวลาของตัวเองได้ ว่าจะตื่นกี่โมง ทำงานกี่โมง พักผ่อนเมื่อไหร่

ไม่ต้องให้คนอื่นเป็นผู้กำหนด ไม่ต้องตื่นเช้าฝ่ารถติดบนถนน ไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนเพื่อไปพักผ่อนในวันหยุดยาว

เมื่อมี “ความร่ำรวยด้านเวลา” ทำให้เค้าใช้เวลาอย่างคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นได้มากที่สุด

 

3. ความร่ำรวย ไม่จำกัดด้วยสถานที่

คนรวยที่แท้จริง สามารถจะอาศัยอยู่ที่ใดก็ได้ หรือเดินทางเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ ไม่จำเป็นจะต้องมีเงินมากมายที่จะใช้ในการเดินทางท่องเที่ยว แต่เป็นเพราะพวกเค้ามีเวลา มีพลังเหลือเฟือ จึงสามารถเลือกที่จะเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆได้

พวกเค้าเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง จึงสามารถทำงาน ใช้ชีวิตและพักผ่อนได้ทุกที่ และทุกเวลา

เมื่อมี “ความร่ำรวย ที่ไม่จำกัดด้วยสถานที่” ทำให้เค้าได้รู้จักออกไปใช้ชีวิต พบปะผู้คน ไม่ต้องทนอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ ได้มีโอกาสพบเห็นสิ่งแปลกใหม่ๆ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตอันหลากหลายในโลก เป็นอิสรภาพที่เค้ากำหนดได้ด้วยตัวเอง

 

4. ความร่ำรวย ในการให้

สุดยอดตัวชี้วัดของการเป็นคนรวยที่แท้จริงคือ “ความสามารถในการให้และแบ่งปัน” ไม่ว่าจะเป็นการให้เวลา ให้แรงงาน ให้เงิน หรือแบ่งปันความสุขที่มีแผ่กระจายไปสู่ผู้คนรอบๆตัว คนที่มั่งคั่งนั้นเป็นผู้เหลือเฟือที่จะให้ ไม่จำเป็นว่าเค้าต้องมีเงินมากมาย เพียงแต่ว่ามันมากพอที่จะแบ่งปันออกไปได้ แม้บางคนมีมากมายก็ยังไม่สามารถให้คนอื่นรได้ เพราะลึกๆแล้วในจิตใจ เค้ายังรู้สึกว่ามีไม่พอนั่นเอง

เมื่อมีความมั่งคั่งในการให้ ย่อมจะเติมเต็มคุณค่าและความหมายในชีวิต เค้าจะรู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งของตัวเองอย่างแท้จริง โดยที่ไม่ได้วัดจากจำนวนเงินที่มีหรือมูลค่าสิ่งของที่ครอบครองอย่างใดเลย

 

คนที่ร่ำรวยไม่ว่าจะมีเงินกี่ร้อยล้านพันล้าน ทั้งชีวิตของเขา อาจเข้าไม่ถึงความรู้สึกมั่งคั่งร่ำรวยเลยก็เป็นได้

เพราะความร่ำรวยที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องมีเงินมากมาย ก็สามารถเข้าถึงวิถีชีวิตทั้ง 4 มิตินี้ได้

เพียงแต่ต้องอาศัยการรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้

มีไลฟ์สไตล์ที่พอเพียง

มีทักษะที่หลากหลาย

และมีความกล้าคิด กล้าทำ นอกกรอบ

สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณเข้าถึงคำว่า “ความร่ำรวยที่แท้จริง”

และมันจะนำพามาซึ่งความสุข และความร่ำรวยเงินทองไปพร้อมๆกัน อย่างที่คุณนึกไม่ถึงทีเดียว

 แม้วันนี้เราอาจยังทำได้ไม่ครบทั้ง 4 ด้าน แต่ขอให้กำลังใจว่า

หากทำได้สักหนึ่งข้อ ส่วนที่เหลือจะทยอยเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เพราะการเดินไปถูกทิศและไม่หลงทาง ไม่ช้าไม่นานเราจะถึงปลายทางได้อย่างแน่นอน

แนวคิดจากหนังสือ  The New Meaning of Rich: Four Principles of Wealth That Will Change Your Life by Evan Tarver

เรียบเรียงโดย เรือรบ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save