5 สัญญานเตือนที่บ่งบอกว่าคุณกำลังไม่มีความสุขในชีวิต

5 warning signs that indicate that you are not happy in life

ในวันหนึ่งคุณอาจมีอารมณ์ขึ้นและลงมีทั้งความสุข ความทุกข์ เครียด กังวล ดีใจ โล่งใจ หิว เหวี่ยง และอารมณ์อื่นๆ ซึ่งปัญหาหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนหรือคนรอบข้างคุณ คุณอาจมองว่าเป็นปัญหาเล็กนิดเดียว แต่ในทางกลับกันพวกเขาอาจรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา อย่าตัดสินปัญหาของคนเราด้วยการเปรียบเทียบกัน เพราะแต่ละคนมีต้นทุนชีวิต และปัจจัยไม่เหมือนกัน ในทางตรงข้ามคุณก็ไม่ควรตัดพ้อกับชีวิต หรือ โทษโชคชะตาในปัญหาที่คุณเจอแต่เพื่อนคุณไม่เจอ

สิ่งที่ทำให้คุณมองปัญหาออกและแก้ไขมันอย่างทันท่วงทีคือ สติ และปัญญา ถ้าคุณปรารถนาจะมีชีวิตที่มีความสุข ได้ทำตามความฝันของตัวเอง คุณจะต้องรู้ตัวเองก่อนว่าคุณชอบทำอะไร ทำอะไรได้ดี ทำอะไรแล้วมีความสุข และที่สำคัญ สิ่งที่คุณชอบทำนั้นก่อให้เกิดรายได้ที่เลี้ยงตนเองได้หรือไม่ แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น คุณต้องยอมรับความจริงก่อนว่าสิ่งไหนคือตัวถ่วงและเป็นสิ่งที่คุณทำแล้วไม่มีความสุขเอาซะเลย

1.คุณไม่ยอมลาออกจากงานประจำที่คุณเกลียด

เริ่มจากงานที่คุณกำลังทำอยู่ คนเราใช้เวลาทำงานอย่างน้อย 40 ชั่วโมง ต่อ สัปดาห์ ในการทำงาน นั่นหมายถึงว่าครึ่งชีวิตของคุณอยู่กับที่ทำงาน ถ้าคุณไม่มีความสุขกับที่ทำงานแล้วละก็ นั่นหมายถึงว่าชีวิตคุณก็กำลังไม่มีความสุขด้วย ถึงแม้ว่างานในสมัยนี้จะหายาก แต่ถ้าคุณไม่คิดจะเริ่มหางาน หรือ เริ่มพัฒนาตัวเอง เพื่อให้ได้งานใหม่ที่ดีกว่า คุณก็ต้องจมปลักอยู่กับชีวิตเดิมๆแบบนี้ และเป็นชีวิตที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลง วนเวียนกับความทุกข์ซ้ำซาก

2.คุณมีความสัมพันธ์ที่มึนอึน

ความรักเป็นสิ่งสวยงามที่สร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับชีวิตคุณ เมื่อไหร่ก็ตามที่ความรักของคุณเริ่มทำร้ายคุณ ทำให้ชีวิตคุณแย่ลง ทำให้คุณเหนื่อยขึ้น ทำให้คุณเสียใจบ่อยๆครั้ง คุณควรที่จะหันมารักตัวเอง และให้คุณค่ากับตัวคุณเอง มากกว่าคนที่ไม่สนใจและทำร้ายความรู้สึกคุณ อย่าเสียดายความผูกพันหรือเวลาที่เสียไป แต่จงเสียดายเวลาในอนาคตที่คุณต้องทนอยู่อย่างไม่มีความสุข ยอมตัดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อชีวิตที่ดีในอนาคต

3.คุณไม่ยอมตัดสิ่งไม่ดีออกจากชีวิต

สิ่งไม่ดีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของพฤติกรรมที่แย่ เพื่อนที่แย่ สิ่งแวดล้อมที่แย่ ทุกอย่างคือปัจจัยที่ทำให้ชีวิตคุณไม่มีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแย่ๆที่ชอบยืมเงินและไม่คืนคุณ บ้านหรือที่อยู่อาศัยคุณที่อยู่ในแหล่งซ่องสุมของโจร พฤติกรรมการตื่นสายที่แก้ไม่ได้ หรือ พฤติกรรมการติดเหล้าติดบุหรี่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกระตุ้นและสิ่งเร้าที่ทำให้ชีวิตคุณแย่ลงเรื่อยๆ คุณอาจเคยคิดที่จะตัดมันออกไปจากชีวิต แต่ถ้าคุณแค่คิด แต่ทำไม่ได้ ท้ายสุดคุณก็ไม่มีความสุขที่แท้จริงอยู่ดี

4.คุณเต็มไปด้วยความสงสัยและความกลัว


คุณอาจเคยผิดหวังมามาก คุณอาจกลัวในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มีคำถามสงสัยเต็มหัวไปหมด ว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างไร ซึ่งบางทีเรื่องราวเหล่านั้นยังไม่เกิด และอาจไม่เกิดเลยก็ได้ การที่คุณคิดไปเองก่อน ทำให้คุณเป็นทุกข์และกังวลเปล่าๆ ถ้าคุณรู้ตัวว่าคุณกำลังมีความคิดวนเวียนซ้ำๆซากๆ มีความสงสัย ความกังวลในเรื่องเดิมๆ นั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกแล้วว่าคุณกำลังไม่มีความสุขเอาเสียเลย

5.คุณผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ


การที่คุณบอกตัวเองว่าเดี๋ยวค่อยทำ และผลัดมันไปเรื่อยๆ คือปัญหาสะสมเรื้อรัง และดูเหมือนว่าสิ่งที่คุณเลื่อนไปเรื่อยๆจะไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้ ไม่มีใครอยู่ได้ไปตลอดกาล ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้หรือชาติหน้าอะไรจะมาก่อน คุณควรทำในสิ่งที่คุณอยากทำตอนนี้ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป การผลัดผ่อนสิ่งต่างๆในชีวิตออกไปเรื่อยๆ เป็นอีกสัญญานที่บ่งบอกว่าคุณยังไม่พร้อม หรือ ติดค้างปัญหาอื่นๆอยู่

การเปลี่ยนแปลงคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง คุณต้องมีความเชื่อก่อนว่าคุณสามารถทำได้ และสามารถทำได้ด้วยดี คุณต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง และมีความสุข ไม่มีสิ่งไหนในชีวิตได้มาง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความพยายาม ชีวิตคุณลิขิตได้ เพียงแค่คุณเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเปลี่ยนมุมมองความคิดเพื่อทำให้ชีวิตคุณมีความสุขขึ้น

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

เครดิต : Huffington post

http://www.huffingtonpost.com/kimanzi-constable/5-signs-youre-not-happy-with-your-life-and-what-you-can-do-about-it_b_8166980.html?utm_hp_ref=gps-for-the-soul&ir=GPS+for+the+Soul

เผย 5 เคล็ดลับการปล่อยวางที่ทำได้จริง

สังคมปัจจุบันนี้ ต่างคนต่างแก่งแย่งแข่งขันเพื่อที่จะให้ตัวเองสำเร็จและเหนือกว่าคนอื่น จนบางครั้งก็ลืมนึกถึงความสุขและใช้ชีวิตในแบบยึดติดกับความสำเร็จมากจนเกินไป

บางคนเมื่อเจอกับความล้มเหลว และความผิดพลาดต่างๆแล้ว ก็ทำใจให้ปล่อยวางกับเรื่องนั้น ไม่ได้ บางคนถึงขั้นคิดสั้น ฆ่าตัวตายไปเลยทีเดียว 

=====

สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ฝึกทำใจวางเฉยกับเรื่องต่างๆ รอบตัวซึ่งก็คือการปล่อยวางกับความยึดมั่นถือมั่น

ถ้าทำได้ คุณจะเห็นอีกมุมมองของชีวิต ที่อาจจะไม่เคยได้เห็นมาก่อนเลยก็ได้

เมื่อพูดถึงคำว่าปล่อยวาง เราได้ยินกันบ่อยตั้งแต่เด็กจนโต  ดูเหมือนเป็นคำที่พูดง่ายแต่ทำทำได้ยาก Learning Hub จึงขอเสนอ 5 เคล็ดลับการปล่อยวางที่ทำได้จริงซึ่งคุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันทีที่อ่านจบ

=====

1.ให้อภัยอดีต

หลายคนมีอดีตที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่และเรื่องต่างๆ มักจะคอยตามหลอกหลอนอยู่เสมอ  ไมว่าจะดำเนินชีวิตไปทางไหน อดีตก็จะมาทักทายให้ได้เจ็บปวดอยู่เรื่อยๆ จนดูเหมือนว่าไม่สามารถพบความสุขได้เลย

สำหรับอดีตนั้น ลึกๆแล้ว มันเกิดขึ้นมาจากใจของเราที่ไม่ยอมปล่อยวางจากเรื่องนั้นๆ ทำให้ความคิดยังคงสร้างอดีตที่แสนเจ็บปวดมาคอยทิ่มแทงตัวเองอยู่ตลอดเวลา

Tips: เทคนิคในการปล่อยวางอดีต ก็คือ การให้อภัย ทั้งคนอื่น และตัวเราเอง

หากเรามองเห็นได้ว่า เหตุการณ์นั้นเป็นสิ่งที่ผ่านเลยไปแล้วไม่อาจหวนกลับมาแก้ไขได้อีก การให้อภัยคือการปลดปล่อยตัวเราจากความทุกข์ที่เกาะกินใจอยู่

และนั่นจะทำให้เรามีโอกาสได้ เริ่มต้นใหม่และทำให้เราสัมผัสกับความสุขในปัจจุบันได้อย่างเต็มเปี่ยมมากขึ้น

=====

2. หยุดกังวลเรื่องอนาคต

หลายคนมีชีวิตที่ดี แต่ไม่อาจมีความสุขได้เต็มที่ เพราะมีความกังวลกับอนาคตของตัวเอง  เช่น ถ้ามีมีลูก ก็กังวลกับอนาตคของลูกจนไม่อาจสงบจิตใจได้เลย

ในความเป็นจริง เราเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปยาวนานแค่ไหน เราอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ การทำวันนี้ให้ดีที่สุด และกลับมามีความสุขอยู่กับปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า

หลายคนยอมแลกความสุขในปัจจุบันเพื่อรอคอยความสุขที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต น่าเศร้าที่หลายคนนั้นจากโลกนี้ไป โดยที่ยังไม่ได้พบกับความสุขนั้นเลย

Tips: หากต้องการปล่อยวางอนาคต ให้ระลึกถึงความตายบ่อยๆ

เมื่อมองเห็นว่า ชีวิตของเราไม่แน่นอน ปัจจุบันคือสิ่งที่แน่นอนและจริงแท้มากกว่า และเราสามารถทำให้ปัจจุบันเกิดขึ้นได้จริง

การมีความสุขตั้งแต่วันนี้ ทำทุกอย่างให้เหมือนสิ่งสุดท้ายที่เราจะได้ทำมันจะทำให้เรา ทำทุกสิ่งออกมาอย่างดีที่สุด

ทำอย่างไรถ้ายังมีความคิดกังวลกับอนาคต การตระหนักรู้เท่าทันตัวเอง (Self – Awareness) ช่วยคุณได้ นี่คือแนวทางการฝึกตระหนักรู้ในตัวเองที่เป็นรูปธรรมและเป็นขั้นตอนที่สุด

=====

3.ฝึกการบริจาค

เป็นธรรมชาติของคนเราที่ต้องการความสะดวกสบาย เราจึงใช้ชีวิตเพื่อสะสมสิ่งของ ซื้อ เก็บ สะสมไว้เป็นปริมาณมาก จนบางครั้งก็มีเยอะเกินพอดี เยอะจนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองควรต้องมีอะไรบ้าง

ในความเป็นจริงทุกอย่างสิ่งต่าง ๆ ที่สะสมคือของที่เราไม่สามารถเอาไปได้เมื่อตายไปแล้ว แต่มนุษย์กลับยึดติดวัตถุเหล่านั้นเป็นอย่างมาก 

ทั้ง ๆ ที่วันหนึ่งถ้าเราตายไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นของไร้ค่าในทันที หลายคนแม้ป่วยหนัก ก็ยังหวงแหนสิ่งของ จนไม่ยอมปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ลงไป

Tips: หาเวลาประมาณสัปดาห์ละครั้ง ในการพิจารณาตู้เสื้อผ้า ห้องเก็บของ ลิ้นชักตู้

ดูว่ามีอะไรบ้างที่เราไม่เคยหยิบใช้เลยมากกว่า 1 ปี  จากนั้นให้ทยอยบริจาคสิ่งเหล่านั้นโดยไม่จำเป็นต้องเสียดาย

เพราะที่ผ่านมาเราเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีของชิ้นนั้นอยู่ ถ้าหากเราบริจาค มันจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นมากกว่า

ถ้าเราสามารถสละสิ่งเล็กๆน้อยๆ ได้อยู่เรื่อยๆได้จะทำให้เราสามารถปล่อยวางเรื่องใหญ่ต่างๆ ได้มากขึ้น

=====

4.มองเห็นทุกสิ่งเป็นสิ่งชั่วคราว

สถานะต่างๆในสังคมไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ลูกน้องหัวหน้า หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาทั้งนั้น มันจึงเป็นเพียงแค่สิ่งชั่วคราว

ที่บอกอย่างนี้เพราะไม่มีใครที่จะรักษาตำแหน่ง หรือบทบาทเหล่านี้ไปจนตายได้ เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้วเราก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีหน้าที่อะไร

ร่างกายเราจะกลับคืนสู่ธรรมชาติทั้งหมด ไม่มีอะไรติดตัวเราไปได้เลย นอกจากความดี ความชั่ว และเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เราจะไปยึดติด กับสิ่งที่คนอื่นสมมติให้เราทำไม ปล่อยวางแล้วหันมาสร้างสิ่งดี เพื่อให้คนรุ่นหลังได้จดจำเรา ในแบบที่น่าจดจำจะดีกว่า

Tips: หากเรารู้สึกว่าใจไปยึดติดกับอะไร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หน้าที่ ตำแหน่ง สถานะทางสังคม ให้ลองจินตนาการว่า อีกร้อยปีข้างหน้า สิ่งที่เรายึดถืออยู่นี้จะเป็นอย่างไร

เราจะพบว่า เรามองเห็นจุดจบของสิ่งต่างๆมองเห็นความเป็นสถานะชั่วคราว และไม่จีรังของสรรพสิ่ง

เมื่อระลึกรู้ เตือนใจตัวเองเนืองๆแบบนี้ เราจะสามารถปล่อยวางทุกสิ่งได้ง่ายยิ่งขึ้น

=====

5. ปล่อยให้มันเป็นไป

ที่สุดของการปล่อยวาง คือหยุดคาดการณ์และบังคับควบคุมอนาคต เพราะไม่มีใครที่จะสามารถหยั่งรู้ หรือจัดการกับอนาคตได้

สิ่งเดียวที่ทำได้ คือทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่มีวิธีอื่นใดอีก ที่จะทำให้อนาคตเราให้ดีได้ เมื่อทำวันนี้อย่างดีและเต็มที่แล้ว ก็จงปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยกฎของเหตุและผล

ไม่ว่าเราจะเจอสิ่งดีหรือไม่ดี ให้คิดว่า เราได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว ก็จะไม่ทำให้เราเสียใจภายหลัง

หลายๆ คนเคยคิดหรือไม่ว่า ที่เราเสียใจมากๆ กับเรื่องต่างๆ ที่เราผิดหวังนั้น จริงๆแล้ว เราเสียใจจากเรื่องอะไร เสียใจเพราะการเกิดขึ้นของเรื่องนั้นหรือเสียใจที่เราไม่ได้พยายามทำเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นอย่างเต็มที่กันแน่

Tips: เราสามารถวางแผน และสร้างเป้าหมายได้ แต่ไม่ต้องยึดติดว่าทุกสิ่งจะต้องดำเนินไปตามแผนที่วางไว้เสมอไป

แผนมีเพื่อเป็นแผนที่บอกทาง แต่การเดินทางจะบอกถึงการใช้ชีวิตที่แท้จริง

ฉะนั้นเมื่อวางแผนแล้วก็จงทำให้เต็มที่ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป โดยไม่ต้องกังวลหรือคาดหวังผลลัพธ์ วิธีนี้จะทำให้เรามีความสุขในทุกย่างก้าวของชีวิตอย่างแน่นอน 

=====

ปล่อยวาง เป็นคำที่ใครก็สามารถเขียนหรือพูดให้ดูดีได้ แต่คนที่ทำได้จริงมีน้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเสียเลยทีเดียวสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน

ถ้าในขณะนี้คุณกำลังมีความทุกข์ ขอให้ถามตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่า เรากำลังฝึกที่จะปล่อยวางบ้างหรือยัง

หวังว่าทั้ง 5 วิธีนี้ จะทำให้ท่านสามารถปล่อยวางเรื่องราวต่างๆในชีวิตได้มากขึ้น และหากคุณมีวิธีอื่นๆที่ใช้ได้ผล ก็ช่วยแบ่งปันในคอมเม้นท์ให้เราได้เรียนรู้ไปด้วยกันมากขึ้นนะครับ

และถ้าคุณอยากติดอาวุธให้กับการปล่อยวาง กรอบคิดแบบยืดหยุ่น หรือ Growth Mindset ช่วยคุณได้ ดูรายละเอียดหลักสูตร Growth Mindset for Effective work ที่นี่

=====

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 093 925 4962

คุณกำลังติดกับความสุขจอมปลอมหรือไม่ อะไรคือความสุขที่แท้จริง

truehappiness

เชื่อว่าทุกวันนี้ หลายคนคงติดตามเรื่องราวชีวิตของเพื่อนๆและคนรู้จักผ่านทางรูปถ่ายที่พวกเขาลงไว้ในอินสตราแกรม หรือเฟสบุคส่วนตัว พวกเขามักซื้อของใหม่ๆ ทานอาหารในร้านหรู นั่งรถราคาแพง ท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง และทำสิ่งแปลกใหม่เสมอ ชีวิตของพวกเขาช่างดูสวยงาม และมีความสุข จนทำให้เรารู้สึกอิจฉาและอยากที่จะมีชีวิตแบบนั้นบ้าง และเมื่อเราพยายามไขว่คว้าหาสิ่งที่ต้องการมาได้ หรือสามารถตอบสนองความต้องการของตนเองได้ เราก็จะรู้สึกมีความสุข

หลายคนให้นิยามความสุขไว้เช่นนี้ ความสุข คือ การทำสิ่งที่ตนเองต้องการได้สำเร็จ

“เมื่อฉันเห็นคนอื่นมี… คนอื่นได้… คนอื่นเป็น… ฉันก็เกิดความรู้สึกอยากมี…อยากได้…และอยากเป็น…เช่นกัน และเมื่อฉันมี…ฉันได้…และฉันเป็น…ตามที่ฉันต้องการ ฉันก็จะมีความสุข”

แต่แท้จริงแล้ว ความสุขที่เกิดจากการครอบครองเป็นเพียงความสุขระยะสั้น อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของวงจรแห่งความทุกข์ที่ไม่รู้จบ เพราะเมื่อคุณอยากได้ อยากมี คุณจะเปรียบเทียบชีวิตของตนเองกับคนอื่นตลอดเวลา คุณจะพยายามไขว่คว้า และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ เนื่องจากคุณรู้สึกว่าตนเองมีบางสิ่งที่ขาดหายไป และหากคุณสามารถทำได้สำเร็จ คุณก็จะมีความสุข แต่นั่นเป็นต้นตอที่ทำให้คุณวิ่งไล่ตามหาความสุขอื่นๆอย่างไม่จบสิ้น

บทความนี้จะทำให้คุณสามารถแยกแยะความสุข 2 ประเภท คือ ความสุขจอมปลอม และความสุขสงบที่แท้จริง แล้วหลังจากนั้น ก็อยู่ที่คุณเอง ว่าจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน

 คุณกำลังติดอยู่กับความสุขจอมปลอมหรือไม่

  • คุณปรารถนาที่จะทำสิ่งต่างๆเหมือนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การใช้ชีวิต การเข้าสังคม หรือการท่องเที่ยวหากคุณมีความคิดเช่นนี้ คุณกำลังหลงอยู่ในวังวนของความสุขจอมปลอม จะมีสิ่งใหม่ๆที่คนอื่นทำและคุณคิดว่ามันดีกว่าสิ่งที่คุณทำอยู่เสมอ คุณจึงต้องพยายามไขว่คว้าหาสิ่งต่างๆไม่รู้จบ
  • คุณคิดอยากจะปรับปรุงตัวเอง เช่น อยากผอมลง อยากมีผิวขาวขึ้น อยากฉลาดขึ้น อยากใจเย็นมากขึ้น สิ่งนี้หมายความว่า คุณรู้สึกไม่พอใจในตัวเอง คุณจึงพยายามทำให้ตัวคุณดูดีขึ้น ทว่า ความเป็นจริงแล้ว คุณก็ยังคงไม่สมบูรณ์แบบ เพราะคุณจะรู้สึกว่ายังมีสิ่งที่ตัวเองต้องปรับปรุงอีก และนั่นจะทำให้คุณเหนื่อยและมีความทุกข์อย่างต่อเนื่อง
  • คุณรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ คุณอาจจะอยากหาเงินเพิ่มขึ้น อยากทำงานมากขึ้น อยากออกกำลังกายมากขึ้น อยากไปเที่ยวมากขึ้น และผลก็คือ คุณต้องแก่งแย่งชิงดีกับคนอื่นๆ รวมถึงแข่งขันกับตัวเองมากขึ้น และไม่มีวันที่คุณจะพอใจกับสิ่งที่คุณทำอยู่ เพราะสำหรับคุณ มันไม่มีจุดสูงสุด คุณจะต้องเสาะแสวงหาสิ่งใหม่ๆเสมอ
  • คุณตำหนิคนอื่นๆในสิ่งที่พวกเขาทำ คุณมักจะต่อว่าลูกๆ สามี ครอบครัว หรือเพื่อน เพราะคุณคิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่ถูกต้อง หรือบางทีพวกเขาไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ แต่นั่นเป็นความคิดของคุณเพียงคนเดียว คุณตำหนิผู้อื่นเพราะคุณไม่ถูกใจ และสาเหตุที่แท้จริงนั้น เกิดจากความรู้สึกไม่พอใจในชีวิตของคุณเอง คุณจึงบ่นและวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น

หากคุณมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับตัวอย่างในข้างต้น คุณกำลังอยู่กับความสุขที่จอมปลอม คุณหลงใหลในรูปลักษณ์ภายนอกจนลืมสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของชีวิต และนั่นจะทำให้คุณเป็นทุกข์ ดังนั้น จงปรับเปลี่ยนความคิดและการกระทำของคุณตามขั้นตอนต่อไปนี้ เพื่อนำชีวิตไปสู่หนทางแห่งความสุขสงบที่แท้จริง

อะไรคือ ความสุขที่แท้จริง

 1. หยุดไขว่คว้า หาความสุขภายนอก

ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณมี สิ่งที่คุณเป็น สถานที่ที่คุณไป หรือสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ แต่ความสุขสามารถเกิดขึ้นได้จากใจหรือความคิดของตัวคุณเอง โลกวัตถุนิยมนั้นสร้างภาพลวงตาให้เราเข้าใจว่าความสุขสามารถหาได้จากการครอบครอง หรือการเป็นเจ้าของ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นความสุขระดับหนึ่งเท่านั้น

เพราะแม้ว่าเราจะมี… เราจะได้… หรือเราจะเป็น….อย่างที่ใจเราต้องการแล้ว เราก็ยังไม่มีความสุขที่สมบูรณ์หรือแท้จริง เพราะใจเรายังไม่หยุดนิ่ง เรายังต้องวิ่งตามหาความสุขที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในทางกลับกัน หากว่าเราขาดแคลนวัตถุในการปรนเปรอความสุขให้กับเรา แต่เรามีใจที่สงบ พอเพียง และพอใจกับสิ่งที่เรามี เพียงเท่านี้ เราก็จะมีความสุขในจิตใจ

2. ฝึกทำ “สมาธิ” อย่างสม่ำเสมอ

การฝึกสมาธิ สามารถช่วยให้คุณพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้ สมาธิ คือ สภาวะของจิตที่ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว คือนิ่งอยู่กับตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งอื่น คุณสามารถทำสมาธิได้ทุกที่ ทุกเวลา หรือไม่ว่าคุณจะทำอะไร หรืออยู่กับใคร โดยเริ่มจากการทำจิตใจของคุณให้สงบ ตัดความฟุ้งซ่านออกไป กำหนดความคิดและจิตให้นิ่ง จดจ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

คุณจะรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของร่างกาย ลมหายใจ และประสาทสัมผัสของคุณ ซึ่งปราศจากปัจจัยภายนอกรบกวน และหากคุณแน่วแน่และมีสมาธิมากพอ คุณจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่นิ่งและสงบ และคุณจะอิ่มเอมไปกับช่วงเวลาแห่งการรับรู้ตัวตนที่แท้จริง ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่พิเศษและมีความสุข

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.dailygood.org/story/988/the-contentment-habit-leo-babauta/

 

เผย 3 การค้นพบจากผลวิจัย ที่ทำให้ความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม

happyinreach

หลายคนคงเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันต้องการมีความสุขมากกว่านี้ แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร” บทความนี้จะเปิดเผยความลับที่จะทำให้ทุกคนรู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ปัจจุบันคนเรามีชีวิตที่ซับซ้อน เคร่งเครียด และมักถูกตัดขาด บ่อยครั้งเราถูกสื่อประโคมข้อมูลมากมายและถูกทำให้เชื่อว่าการซื้อสิ่งของต่างๆนั้นจะทำให้เรามีความสุข  มีชีวิตที่สวยงาม ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง และแม้แต่กลายเป็นคนที่น่ารักมากขึ้น แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการแสวงหาความสุขอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงความสุขชั่วครู่

ผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่า คนที่มีความสุขในชีวิตนั้น แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งวัดได้จากคุณภาพของ “ความสุข” หากคุณต้องการทราบว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขกลุ่มใดบ้าง ให้คุณใช้เวลาสักเล็กน้อยนึกถึงชีวิตตัวเองว่า “อะไรทำให้คุณมีความสุขบ้าง” จดลงในลิสต์ แล้วคุณจะพบคำตอบ

1.คุณเป็นพวกเพลิดเพลินกับความสุขในช่วงสั้นๆ

ความสุขทางประสาทสัมผัสเป็นสิ่งที่ดี เช่น อาหารและไวน์มื้อพิเศษ เซ็กส์ที่ยอดเยี่ยม กีฬา และความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ ทว่าความสุขแบบนี้กำลังหายไป เนื่องจากคนเรามีความต้องการมากขึ้น มีความปรารถนามากยิ่งขึ้น ทั้งยังถูกแวดล้อมไปด้วยสื่อที่กระตุ้นให้เราละทิ้งความสุขที่แท้จริง และไขว่คว้าหาความสุข “เพิ่มเติม”

โลกวัตถุนิยมทำให้เราไล่ตามความต้องการอันฉาบฉวยมากขึ้น และหากวันใดที่เรามีความทุกข์ เราก็จะพยายามหาทางหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจเหล่านั้นและแสวงหาสิ่งที่เราพึงพอใจไม่รู้จบ ไม่ว่าความสุขอันฉาบฉวยนั้นจะหาได้จากอาหารหรือยาเสพติด เงินทองหรือชื่อเสียง การพนันหรืองานหนัก และนั่นเป็นวงจรผิดๆซึ่งนำเราไปสู่ความไม่พึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ การเปรียบเทียบทางสังคม ความกระวนกระวายใจ ความหดหู่ซึมเศร้า และแม้กระทั่งสิ่งเสพติด

ดังนั้น ขอโทษที่ต้องบอกคุณว่า การเพลิดเพลินกับความสุขในช่วงสั้นๆนี้ไม่สามารถสร้างความสุขและความพึงพอใจที่ยั่งยืนให้กับคุณได้

2. คุณชอบท้าทายสิ่งใหม่ เรียนรู้จากความล้มเหลว และพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น

หากความสุขของคุณเป็นการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ เช่น คุณสามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ หรือมีความชำนาญในการสื่อสาร หรือถนัดด้านการซ่อมแซมเครื่องยนต์ แสดงว่าความสุขของคุณคือ “การพัฒนา” คนที่มีความสุขจะแสวงหาเรื่องที่ท้าทายและชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ พวกเขากล้าเสี่ยงและมักจะทดลองทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เพราะสิ่งนั้นทำให้พวกเขาเกิดความสนใจใคร่รู้ มีพลัง และก้าวไปข้างหน้า

แต่ความลับก็คือ คนที่มีความสุขเหล่านั้น คือ คนที่รู้จักความล้มเหลว คนที่มีความสุขจะเข้าใจว่าการพัฒนาตนเองไปอีกระดับนั้นต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย ซึ่งพวกเขาต้องใช้ความยืดหยุ่นในการปรับตัว การพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และมีความสุขกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เนลสัน แมนเดลา กล่าวคำพูดหนึ่งที่กินใจไว้ว่า “ความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น หาใช่การที่เราไม่เคยล้ม หากแต่เป็นการที่เราลุกขึ้นมาได้ในทุกครั้งที่เราล้มลง” สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ และนำมาซึ่งความสุขที่ลึกซึ้งของชีวิต

3. คุณมีทัศนคติที่ดี และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

ในลิสต์ของคุณมีความสุขที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ การเห็นอกเห็นใจ ความมีเมตตากรุณาบ้างหรือไม่ ทัศนคติที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่มีความสุข พวกเขารู้จักที่จะสังเกตและชื่นชมสิ่งดีๆรอบตัว ลองคิดดูว่า หากคุณตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย เช่น การข่มขู่คุกคาม หรือความตึงเครียด คุณอาจจะวิพากษ์วิจารณ์สิ่งต่างๆได้ตลอดเวลา

แต่ในทางกลับกัน คนที่มีความสุขจะเลือกมองหาด้านดีๆในสถานการณ์นั้นๆ นั่นเป็นเพราะทัศนคติที่ดี พวกเขามีเคล็ดลับก็คือ การคิดว่าชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การต่อสู้และเผชิญกับความผิดหวังหรือเคราะห์ร้ายเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาเข้าใจว่าความเจ็บปวดก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเช่นกัน

วิคเตอร์ ฟรังเคิล ผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กล่าวไว้ว่า “คุณสามารถเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากมนุษย์ได้ ยกเว้นเสรีภาพสุดท้ายของมนุษย์ที่จะเลือกมีทัศนคติต่อสถานการณ์ต่างๆซึ่งก็คือ การเลือกทางเดินของตนเอง” คำพูดนี้ไม่ใช่แค่นามธรรม หรือหลักการทั่วๆไป แต่มันเป็นสิ่งที่ละเอียดและชัดเจนซึ่งสามารถเปลี่ยนปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆให้กลายเป็นความคิดและการกระทำแง่บวกที่แน่วแน่และตรงตามเป้าหมาย

สุดท้าย ไม่มีสิ่งใดมีความหมายและสำคัญมากไปกว่าการที่เราให้ความสุขกับผู้อื่น และปฏิบัติต่อผู้อื่นและต่อตัวเราเองด้วยความรัก ความเมตตา เมื่อเราหยิบยื่นความรัก ความปรารถนาดี และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่น เราก็จะได้รับความสุขกลับมาเช่นกัน ดังที่ องค์ดาไล ลามะ กล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณอยากให้คนอื่นมีความสุข จงฝึกเห็นใจผู้อื่น ถ้าคุณอยากมีความสุข จงฝึกเห็นใจผู้อื่น”

หากคุณกำลังแสวงหาความสุขที่แท้จริงอยู่ กุญแจไขความลับนั้นอยู่ในบทความนี้แล้ว   “จงเพลิดเพลินกับความสุขในชีวิตของคุณ กล้าท้าทายตนเองเพื่อการพัฒนา เรียนรู้ไปกับทักษะและความสำเร็จใหม่ๆ นอกจากนี้ การมองโลกในแง่ดี และเผื่อแผ่ความเมตตาให้กับผู้คนรอบข้างจะช่วยให้ชีวิตของคุณมีความหมายและมีความสุขเพิ่มขึ้น” หากคุณลองทำตามคำแนะนำข้างต้น ความสุขก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

 เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.projecthappiness.org/happiness-within-reach-the-open-secret/

 

 

3 เหตุผล ที่เราควรเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก่อนอายุ 30

changebefore30

เคยสงสัยไหม ทำไมการ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ของหลายๆคนจึงเป็นสิ่งที่ยาก โดยเฉพาะคนที่อายุมากกว่า 30 บทความนี้จะบอกว่า ทำไมการเปลี่ยนแปลงตัวเองจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราฝึกที่จะทำตอนที่อายุยังไม่มาก ใครที่อายุไม่ถึง 30 อยากให้อ่าน ส่วนคนที่เกินแล้วลองดูว่าจริงไหม

1.เรามองไม่เห็นตัวเอง

มีใครมองเห็นตัวเองครบบ้างมั้ย อย่างน้อยก็แผ่นหลังและก้น ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้เอง ถ้าจะมอง ก็ต้องอาศัย “แสงสะท้อน” จากกระจก สิ่งที่เรามองไม่เห็นก็คือ “จุดบอด” ของดวงตาเรา

ในเรื่องนิสัยเอง ก็มีจุดบอดก็เช่นกัน เรามักจะมองไม่เห็นตัวเอง เพราะเรา “เป็นคนแบบนี้” มาตั้งแต่จำความได้ มันจึงเป็นเรื่องปกติของเรา แต่กระจกที่จะทำให้เราเห็นนิสัยของตัวเองได้ก็คือ “เสียงสะท้อน”จากคนใกล้ชิดนั่นเอง

โดยปกติคงไม่มีใครหวังดีกับเรา ขนาดที่เดินเข้ามาสะท้อนเราตรงๆ ว่าเรามีนิสัยที่ไม่ดีอย่างไร ดังนั้นส่วนใหญ่แล้ว เราจะไม่รู้เลยว่าคนอื่นนั้นจะรำคาญนิสัยของเราหรือไม่ เพราะคนทั่วไปคงไม่อยากเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของตนอื่น ยกเว้นว่า คนๆนั้นจะหวังดีกับเราจริงๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ หากเรารู้สึกว่าเพื่อนที่ทำงานมีกลิ่นปากแรง เราจะเตือนหรือบอกเค้าไหม หากเค้าเป็นคนที่นานๆเจอกันที เราคงไม่อยากก้าวก่ายบอกเค้า กลัวจะทำให้เค้ารู้สึกไม่ดี แต่ถ้าเกิดเราต้องเจอเค้าบ่อยๆหรือสนิทกัน แน่นอนว่า การบอกของเราก็คือการช่วยเหลือทั้งตัวเค้า (และตัวเราเอง)

ประเด็นของข้อนี้ก็คือ ถ้าเป็นเรื่องของนิสัย คนจะกล้าเดินมาฟีดแบ็คเรา เมื่อเรายังอายุน้อยๆ เพราะคิดว่าเราจะเปลี่ยนได้ และมันคงดีกับเรา หากเราอายุเกิน 30 ไปแล้ว โอกาสยากมากที่เราจะได้ยินใครมาเตือนเรา เพราะเค้าก็จะคิดว่า “โตๆกันแล้ว ให้มันรู้เอง” หรือไม่ก็ “บอกไปก็ไม่ช่วยหรอก อายุปูนนี้แล้ว”

ดังนั้น หากได้ยินใครเข้ามาฟีดแบ็ก หรือสะท้อนกับเราตรงๆ ว่าเค้าไม่พอใจอะไรเรา หรือเราทำให้เค้าเดือดร้อนรำคาญในเรื่องไหน นั่นคือ “ขุมทรัพย์” เลยทีเดียว แทนที่เราจะไม่พอใจเค้า เราต้องรู้สึกขอบคุณเค้าเป็นอย่างมาก เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าใครคิดยังไงกับเรา มองเรายังไง ถ้าเค้าไม่เดินเข้ามาบอก


 

2. ถึงมองเห็น ก็ไม่ยอมรับ

เมื่อเรามองไม่เห็นตัวเอง การยอมรับสิ่งที่คนอื่นมองเห็น จึงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เรามองเห็นอยู่แล้ว บางทีเรายังไม่อยากยอมรับเลย

สิ่งที่ต้องระวังก็คือ เมื่อได้ยินเสียงสะท้อนจากคนใกล้ตัว ถึงเรื่องที่ฟังดูไม่ดี ปฏิกิริยาแรก เรามักจะไม่เชื่อ ไม่ยอมรับ ไม่โอเค ขอให้พยายามอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ให้ขอบคุณ และนำสิ่งนั้นกับมาพิจารณาก่อน เพราะถ้าเราปกป้องตัวเอง และแสดงความไม่พอใจ เราอาจไม่ได้รับการเอื้อเฟื้อเช่นนั้นอีกเลย

ยกตัวอย่างตัวผมเอง ย้อนกลับไปเมื่อตอนอายุยังไม่ถึง 30 จะมีเรื่องหนึ่งที่คนรอบๆตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือคนเพิ่งรู้จักกันบอกก็คือ “ตอนที่เจอผมตอนแรกๆ ดูเหมือนเป็นคนหยิ่ง” บางคนก็บอกว่าผม “หน้าดุ”  ซึ่งเมื่อได้ยินผมก็จะงงๆว่าจริงหรือ แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

หากอายุยังไม่ถึง 30 เราควรจะฝึกสำรวจตัวเองด้วยใจเป็นกลางอยู่เสมอ  หรืออย่างน้อยก็ขอฟังฟีดแบ็กจากคนที่เราใกล้ชิดและไว้ใจ ซึ่งจะได้ข้อมูลที่ตรงที่สุด ถ้าเราไม่ทำในตอนนี้ เมื่อเราโตขึ้นนิสัยนั้นๆก็จะกลายเป็นเราอย่างแยกไม่ออก และสุดท้าย เราก็จะไม่คิดแม้แต่จะตรวจสอบและสงสัยตัวเองเลย


 

3. ถึงยอมรับ ก็ไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหา

แน่นอนว่า เรามีชีวิตเหมือนที่เป็นได้ในทุกวันนี้ เพราะนิสัยที่เราเป็น ดังนั้นเมื่อเราได้ยินบางเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง ที่เราเองจะรู้ตัวหรือไม่เคยรู้ตัวก็ตามที ความรู้สึกแรกก็คือ “ไม่เห็นจะเป็นปัญหาตรงไหน” เพราะเราก็ใช้ชีวิตโอเคดี มาจนอายุเท่านี้แล้ว บางคนถึงกับพูดว่า “ไม่หนักหัวใคร”

แต่การที่มีคนเข้ามาสะท้อนกับเราตรงๆ อาจจะบอกเป็นนัยได้ว่านิสัยไม่ดีของเรานั้น เริ่มเพิ่มขึ้นตามเวลา แล้วมันทำให้หลายคนถึงกับอึดอัด รำคาญ จนถึงขั้นเดือดร้อน เค้าถึงเข้ามาสะท้อนด้วยความหวังดี

ก่อนหน้านี้เราอาจจะได้ยินมันลอยๆผ่านหูเข้ามา ซึ่งเราก็อาจได้ฟังบ้าง หรือไม่ได้ฟังบ้าง แต่มันจะเริ่มเอะใจก็เพราะว่า มีคนพูดเรื่องนี้กับเราบ่อยแค่ไหน และมีหลายคนมั้ย ที่เข้ามาพูดคล้ายๆกัน แสดงว่า มันอาจไม่เป็นปัญหากับตัวเรา แต่มันส่งผลกระทบต่อคนอื่น หรืออย่างน้อย หากเราสามารถปรับปรุงเรื่องนี้ได้ มันอาจช่วยให้หลายๆสิ่งดีขึ้น เค้าจึงเข้ามาบอกเราตรงๆ

ในกรณีที่มีคนสะท้อนว่า ผมหน้าดุ และหยิ่งนั้น แรกๆผมก็รับไม่ได้และไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา แต่พอใช้ชีวิตไป ก็ได้ยินเรื่องนี้จากปากหลายๆคนตรงกัน ซึ่งเชื่อว่ามีอีกหลายคนมากๆที่คงรู้สึกเช่นนี้แล้วไม่ได้พูด ดังนั้นผมจึงนำเรื่องนี้มาพิจารณาแล้วพบว่า ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่ แต่หากผมปรับปรุงตัวเองให้หน้าตายิ้มและเป็นมิตรได้มากขึ้น ก็อาจจะช่วยให้ผมมีเพื่อนมากขึ้น ช่วยให้มีโอกาสดีๆในชีวิตมากขึ้น และเรื่องนี้มันก็ไม่ได้ยากอะไร


 

หากอายุเกิน 30 จะสายเกินไปมั้ย

หากเราไม่คิดเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนถึงอายุ 30 เราก็จะมองข้ามมันไปเลย เพราะยังไงถ้าอายุมาก เปลี่ยนแปลงอะไรไปก็คงไม่มีผลแล้ว ดังนั้นก็มีแนวโน้มที่เราจะไม่สนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาตัวเอง

การเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อายุน้อย จะทำให้เรามี “ทักษะในการเปลี่ยนแปลง” ที่จะสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาตัวเองได้เรื่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้นนั่นเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอายุเกิน 30 แล้วจะทำไม่ได้ หรือสายเกินไป ขึ้นอยู่กับว่า เรารู้จักประเมินตนเองอย่างสม่ำเสมอหรือไม่

สุดท้าย สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็นหลุมพรางของการเปลี่ยนแปลงก็คือ เราจะมองว่าสิ่งที่คนสะท้อนมา “ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน” เราจึงมักผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะชีวิต มักมีอย่างอื่นที่สำคัญกว่าเข้ามาแทรก ก็เลยลืมเลือนไป แต่ผมอยากจะบอกคุณว่า “สิ่งที่เราทำอย่างหนึ่ง มีผลสัมพันธ์กับทุกสิ่งในชีวิต”

ไม่มีเรื่องไหนเป็นเรื่องเล็ก ถ้ามันเกี่ยวกับนิสัย การเปลี่ยนนิสัยเพียงเรื่องเล็กๆจะส่งผลดีมหาศาลกับชีวิตข้างหน้าได้ และเรื่องนิสัยเล็กๆนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนได้ง่ายซะด้วย มันเปลี่ยนยากอย่างไร และมีวิธีการก้าวข้ามยังไงนั้น ผมจะขอเล่าต่อในตอนหน้าครับ

บทความโดย เรือรบ

5 ขั้นตอนเปลี่ยน Mindset ชีวิตเปลี่ยน ก่อนอายุ 30

5steps-mindset-3

Mindset หรือ กรอบความคิด เป็นสิ่งที่กำหนดรูปแบบการดำเนินชีวิตของเรา

การเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาตนเอง เพื่อให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดี

ย่อมต้องเริ่มมาจาก “การมี Mindset ที่ถูกต้อง”

ซึ่งการเปลี่ยน Mindset นั้น เราควรฝึกทำให้ได้ก่อนอายุ 30 โดยผมขอแชร์จากประสบการณ์ตรง ที่สามารถเปลี่ยน Mindset ของตัวเองได้และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตหลังจากนั้น และต่อไปนี้เป็น 5 ขั้นตอนง่ายๆที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้กับตัวเอง

1. มองให้เห็นปัญหา ว่ามันเป็นโอกาส

“การมองเห็นปัญหา เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง”

การมองเห็นตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย ต่อเนื่องจากที่ผมเคยเล่าไว้แล้วในบทความ 3 เหตุผล ทำไมเราควรเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก่อนอายุ 30”  ได้แก่ เรามักมองไม่เห็นตัวเอง ถึงมองเห็นก็มักไม่ยอมรับ หรือยอมรับแล้ว ก็ไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา ดังนั้นการมองเห็นปัญหา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในชีวิต

ในช่วงก่อนอายุ 30 มีคนหลายคนสะท้อนว่า แรกๆ ที่เจอ ผมเป็นคนดูหยิ่ง หน้าดุ ไม่ค่อยยิ้ม ซึ่งผมฟังแล้วก็เฉยๆ ไม่คิดอะไร เพราะคิดว่าคงเกิดมาหน้าตาเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เมื่อใช้ชีวิตมานานขึ้น ก็ได้ยินเสียงสะท้อนมากขึ้น จากคนที่หวังดีอีกหลายๆ คน ทำให้ผมเริ่มเอะใจขึ้นมาบ้าง

เห็นได้ชัดว่า การเห็นปัญหาของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยจริงๆ แต่ในทุกปัญหา ย่อมมีโอกาส ผมลองย้อนคิดดูว่า ขนาดหน้าไม่รับแขก ทุกวันนี้ก็มีเพื่อนหลายคนนะ ถ้าผมยิ้มเก่ง ยิ้มง่ายขึ้น ดูน่าเข้าหา จะมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตมากขึ้นแค่ไหน  

2. อย่าปลอบใจตัวเอง

“ปัญหาเล็กๆ มักจะส่งผลกระทบใหญ่โต โดยที่เราไม่เคยรู้ตัว”

ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยมองเห็นปัญหา เพราะมองแค่ที่ตัวเอง ไม่ได้มองลึกลงไปถึง “ปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่” เพราะแน่นอนว่าปัญหาใหญ่ มันจะไม่ได้อยู่ตื้นๆ ที่พื้นผิวให้เราเห็นง่ายๆ

สำหรับในเรื่องยิ้ม ถ้ามองแค่ที่ตัวเอง ผมย่อมไม่เดือดร้อน เพราะผมไม่ได้เห็นหน้าตัวเองนี่ แต่ปัญหาที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ก็คือ คนจะไม่ค่อยกล้าเข้าหาผม หรือไม่อยากเข้ามาพูดคุยกับผม ทำให้ผมมีเพื่อนน้อย เพื่อนใหม่ยิ่งยากที่จะมี แต่ผมก็มักจะปลอบใจตัวเองว่า ไม่เห็นเป็นไร การมีเพื่อนน้อยก็ดี เรื่องไม่เยอะ การอยู่คนเดียวก็ดี สงบสบายดี

การปลอบใจตัวเอง เป็นแนวโน้มให้เรา “ยึดติด” ในนิสัยเดิมๆ ไม่ได้ช่วยให้เรา “แก้ปัญหา” นั้นๆได้เลย

ดังนั้นเมื่อเจอกับปัญหาเราจำเป็นต้องนำมาพิจารณาตรงๆ อย่างเป็นกลาง ด้วยการตั้งคำถามใหม่ว่า ภายใต้ปัญหาเล็กๆ ในเรื่องนั้น “อะไรคือปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่”

สำหรับกรณีของผม ถ้ามองอย่างเป็นกลางแล้ว การที่เพื่อนน้อย หากไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่การที่คนใหม่ๆไม่อยากจะมาทำความรู้จักกับผม เป็นปัญหาใหญ่แน่นอน เพราะนั่นหมายถึง โอกาสดีๆ และคอนเนคชั่นดีๆ ในชีวิตหลายๆ อย่าง จะหายไป นอกจากนั้น สิ่งดีๆ ในตัวผม ก็คงไม่สามารถแบ่งปันกับใครได้มาก เพราะไม่มีใครอยากจะเข้าหาผมนั่นเอง

3. ทำให้เป็นเรื่องเร่งด่วน

“ชีวิตไม่เคยเร่งด่วน แต่ปัญหาของชีวิตต้องให้เป็นเรื่องเร่งด่วน”

เราสามารถนอนทับปัญหา หรือจมอยู่กับมันได้นานเท่านาน ถ้าเรายังมองว่าชีวิตโอเคอยู่ นอกจากชีวิตจะเจอกับวิกฤต ที่จะบังคับให้เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง การเปลี่ยนด้วยวิกฤตจึงเป็นเรื่องเจ็บปวดมาก การจะรอให้ชีวิตเจอวิกฤตแล้วค่อยเปลี่ยนแปลง จึงไม่น่าใช่ทางเลือกที่ควรทำนัก

ความเร่งด่วนจะไม่เกิดขึ้นเอง มันจะต้องมาจากการเห็นความสำคัญของปัญหา โดยการจินตนาการจากคำถามว่า “หากเรายังนอนทับปัญหานี้ต่อไป สิ่งที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับเราจะเป็นอย่างไร”

การที่ผมเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม แต่เมื่อใช้ชีวิตมาสักระยะหนึ่ง พบว่า บุคคลิกของคนที่ประสบความสำเร็จและคนรวย มักจะเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูน่าคบหา ผมก็ชอบคนเช่นนั้น แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจำเป็นจะต้องทำ

ดังนั้นการเห็นปัญหา จึงเป็นแค่จุดเริ่มต้น อาจยังไม่พอให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ความเร่งด่วนจึงเป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น ผมจึงต้องลองพิจารณาตัวเองว่าสิ่งที่จะแย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้น ถ้าผมยังไม่ยิ้ม มันจะเป็นอย่างไรนะ

เคยได้ยินคำกล่าวว่า “ผลลัพธ์ในชีวิตของเรา สะท้อนตัวตนที่เราเป็น” ดังนั้นผมเลยย้อนมาดูผลลัพธ์ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ “เงินในกระเป๋า” จึงเห็นได้ชัดเลยว่า มีน้อยกว่าที่ควร ผมเองยังไม่พอใจกับเรื่องรายได้ของตัวเอง นั่นแสดงว่า “ตัวตนที่ผมเป็น” ในตอนนี้ยังไม่โอเคนะ ความเร่งด่วนเกิดขี้นทันที

เมื่อผมคิดว่า ถ้ายังไม่ยิ้มแบบนี้ ชีวิตคงจะถังแตกไปเรื่อยๆ แล้วมันจริงซะด้วย เห็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เค้ายิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน ว่าแต่ คิดได้แล้ว จะเปลี่ยนยังไงดีล่ะ

4. ออกเดินทาง เพื่อแก้ปัญหา

“การแก้ปัญหา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แค่นั่งคิด
แม้ว่าจริงๆ แล้วการแก้ปัญหา ก็คือการพลิกความคิดนั่นเอง”

ฟังแล้วงงมั้ยครับ สิ่งที่ผมอยากสื่อก็คือ การแก้ปัญหานั้นจะง่ายดาย แบบพลิกความคิดเลย ถ้าเรารู้วิธี แต่ขั้นตอนกว่าที่จะรู้วิธี เราจำเป็นต้องออกแรงเดินทางไปค้นคว้า ไปหาผู้รู้ หรือหาวิธีการมาครับ นั่งคิดเองไม่ได้ เพราะหากมันเป็นปัญหาได้ มันต้องใหญ่เกินกรอบความคิดของเราในปัจจุบันแน่นอน

คนที่ “ฝึกเจริญสติ” มาอย่างดีแล้วเท่านั้น ที่จะมีปัญญาที่สามารถทะลุทะลวงเข้าไปพิจารณาอดีตของตัวเอง จนเจอที่มาของนิสัยของตัวเองได้

หากเรายังไม่แก่กล้าถึงเพียงนั้น แนะนำให้หา “โค้ช” ไปปรึกษาในเรื่องที่เราติดขัด หรือไปเข้า “อบรมสัมมนา” ในคอร์สที่จะพลิกมุมมองพลิกชีวิตของตัวเองได้ หรืออย่างน้อยที่สุด “อ่านหนังสือ” ด้านการพัฒนาตัวเอง ให้ได้ข้อมูลใหม่ๆมาพัฒนาชีวิต

ส่วนตัวผม ในช่วงวัย 25-30 ก็ได้ไปเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองจากหลากหลายที่ ไม่ว่าจะไปคอร์สปฏิบัติธรรม เข้าสัมมนา ฝึกเจริญสติ เรียนศาสตร์โค้ชชิ่ง อ่านหนังสือหลายสิบเล่ม เพราะผมเชื่อว่ายังมีปัญหาหรือจุดบอดอีกมาก ที่ผมยังไม่รู้ว่ามี

และสิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่จะมาช่วยผมได้ในอนาคต และข้อดีของการออกเดินทางก็คือ ระหว่างทางที่เราจะเดินไปแก้ปัญหานึงนั้น โดยรู้ตัวและบางครั้งก็ไม่รู้ตัว เราได้แก้ปัญหาเรื่องอื่นๆในชีวิตไปได้อีกมากเลยทีเดียว

แม้ว่าผมจะยังยิ้มไม่เก่งอยู่ แต่ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น รู้จักคนมากขึ้น ยอมรับความแตกต่างของคนได้มากขึ้น โดยไม่รู้ตัว ผมเริ่มเป็นคนรับฟังคนเก่ง มนุษย์สัมพันธ์ดี และมีแฟนที่น่ารัก อันหลังไม่เกี่ยวกับนิสัย แต่เป็นผลพลอยได้ครับ

5. นิสัยใหม่ ทำให้ยั่งยืน

“ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำครั้งเดียวแล้วได้ผล นอกจากเราจะเป็นคนสร้างนิสัยใหม่ขึ้นมา”

ในเมื่อนิสัยเก่าๆเค้าใช้เวลาสะสมมาหลายปี ทำให้เรากลายเป็นคนแบบนี้ได้ การสร้างนิสัยใหม่ ก็ต้องใช้เวลา หากเราคาดหวังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ย่อมจะผิดหวัง

ดังนั้นต้องเผื่อใจ และค่อยๆทำมันทีละนิด แต่บ่อยๆ ซึ่งในตอนแรกๆมักจะรู้สึกฝืน นั่นก็แปลว่ามาถูกทางแล้วครับ ผมจึงต้องเริ่มฝึกที่จะยิ้มกับกระจกทุกเช้า เจอใครก็เตือนตัวเองว่าให้ยิ้ม ทั้งๆ ที่ในใจก็วิพากษ์วิจารณ์ตัวเองอยู่ด้วย แต่ผมรู้ว่า นิสัยใหม่ ก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ไอ้ความคิดเดิมๆ มันจะยังไม่ทิ้งผมไปไหนหรอก

แต่หากเราทำนิสัยใหม่ มากเข้า บ่อยเข้า นานพอ ความคิดใหม่ก็จะเสียงดังความความคิดเดิมได้เอง อีกครั้ง สิ่งสำคัญคือ เราต้องมีสติ ในการใช้ชีวิตทุกวัน อย่าปล่อยให้อารมณ์ ความขี้เกียจ และความคุ้นชินเดิมๆ มันลากเรากลับไปได้ เพราะนั่นเท่ากับเรายอมแพ้กับชีวิตและอนาคตของตัวเอง

ไม่จำเป็นว่าเราต้องอายุน้อยกว่า 30 ที่จะทำตามเทคนิคเหล่านี้ได้ ขอแค่หัวใจเราอายุน้อยกว่า 30 ที่ยังมองว่าอนาคตยังมีความหวัง ยังอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้วันนี้ดีที่สุด และเพื่อวันพรุ่งนี้ที่จะดีกว่า

เทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้ ก็จะช่วยคุณได้มากๆเลยละครับ แม้ผมไม่รู้สาเหตุในอดีตว่าทำไมตัวเองไม่ชอบยิ้ม แต่ด้วยการเปลี่ยน Mindset และการฝึกทุกวัน ตอนนี้เมื่ออายุ 30 กว่าปี ผมเริ่มยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว เสียงในหัวของผมเงียบลงไป และจะทำให้ผมยิ้มเก่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเจอกับผมก็แวะเข้ามาหามาชวนคุยได้ครับ ผมไม่ดุ รับรอง ^__^

บทความโดย เรือรบ Learning Hub Thailand

เผย 5 เคล็ดลับ สร้างความสุข ตั้งแต่อายุน้อย

happyyouth

คนเรา ยิ่งอายุมาก ทั้งความรับผิดชอบ ตำแหน่งฐานะ การงาน อาจทำให้การเข้าถึง “ความสุข” เป็นเรื่องยาก เพราะกฎเกณฑ์และมาตรฐานในชีวิตสูง

ความสุข คือ “ทักษะของจิตใจ” ที่ควรฝึกฝนตั้งแต่อายุน้อย นั่นจะทำให้คนๆนั้นเป็นคนที่มีความสุขได้ง่าย และบ่อยครั้ง

เหล่าบรรดา Gen Y, Gen Z อาจจะสงสัยว่า แล้วทำไมผู้ใหญ่ทั้งหลาย ต้องสร้างกรอบมาตรฐานเยอะแยะให้กับตัวเองด้วย แทนที่จะเลือกให้ตัวเอง พบเจอแต่ความสุขได้เลยตั้งแต่อายุน้อยๆ แต่ก็ไม่ทำกัน หรือคนที่เป็นผู้ใหญ่เหล่านั้น อาจจะยังไม่ได้รู้ถึงเคล็ดลับ  5 ข้อนี้ ก็เป็นได้

1.ความเด่นดัง ไม่ใช่หนทางสู่ความสุข

คนในยุคนี้ไม่ว่าใคร ก็อยากที่จะมีชื่อเสียง เด่นดังด้วยกันทั้งนั้น เพราะมันจะนำมาซึ่งความสุข เงินทอง และการนับหน้าถือตา อำนาจ อภิสิทธิ์ต่างๆที่คนอื่น มอบให้กับเรา ตอนที่อายุยังน้อยๆอาจจะไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ต่อมาเมื่อไปชอบดารา นักร้อง หรือไอเดอลต่างๆ ก็อยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง จึงพยายามทำหลายๆวิธีให้มุ่งไปสู่จุดนั้น ทั้งๆที่อาจไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบและรักที่จะทำจริงๆ แต่ทำไปเพราะอยากดัง

คุณรู้หรือไม่ว่า ความดังและชื่อเสียงที่ได้รับมานั้น มันเป็นสิ่งของปลอม เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมาทั้งหมด เพราะในวันหนึ่งมันก็ต้องเสื่อมไป ถ้าคนที่คิดได้ ก็จะไม่หลงไปกับสิ่งเหล่านั้น แต่ส่วนใหญ่จะคิดกันไม่ได้ และจะทำให้กลายเป็นคนหลงอำนาจ ใช้สิ่งที่มีไปในทางที่ผิด เมื่อวันหนึ่งที่อำนาจเหล่านั้นได้หมดลงไป คนพวกนี้จะทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส เพราะไม่เหลือใคร ที่จะสนใจ หรือให้การยอมรับเหมือนวันก่อน

Tips: ทำสิ่งในที่รัก และทำให้เต็มที่ ตั้งเป้าในการพัฒนาตัวเอง สร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับผู้คน ระวังในอำนาจวาสนาที่ได้มาอย่างรวดเร็ว ไม่หลงไปกับความฟุ้งเฟ้อที่จอมปลอม ส่วนความเด่นดัง ถ้ามี ก็เป็นเพียงผลพลอยได้ ไม่ใช่เป้าหมายในชีวิต

2. หมั่นสังเกต สิ่งเล็กน้อย รอบๆตัว

ตอนเราอายุน้อย ผู้ใหญ่ในครอบครัว มักจะปลูกฝังว่า ความสุขไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ง่ายๆ แต่ต้องผ่านความยากลำบากในชีวิตเสียก่อน ที่คิดว่าสร้างยากนั้น อาจเพราะเค้าเห็นว่า บางคนต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และเสียสละชีวิตส่วนตัวไป เพื่อที่จะแลกกับความสุขกลับมา ก็เลยคิดว่า ถ้าอยากได้ความสุขแล้ว ต้องทำแบบคนๆนั้น ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่จำเป็นเลย ความสุขอยู่รอบๆตัวเราเต็มไปหมด ถ้าเราฉลาดพอ ที่จะคิดให้เป็น เราก็จะสามารถสะสมความสุขเหล่านั้น ให้มาอยู่กับเราได้ โดยที่ไม่ต้องลำบากเลย

Tips: ความสุขที่แท้จริง อาจจะอยู่รอบๆตัวคุณอยู่แล้วก็ได้ ลองดูเด็กตัวเล็กๆ เค้าจะมีความสุขง่ายๆ กับสิ่งเล็กๆน้อยๆ หัวเราะดังๆ ยิ้มได้กว้างๆ ดังนั้น ในทุกวัน หมั่นลองสังเกตสิ่งรอบๆตัวคุณดู ว่าอะไรที่หากขาดมันไป อาจส่งผลกระทบกับคุณได้ เช่น คุณมีรถมอเตอร์ไซค์ ที่ไม่เคยเห็นความสำคัญ แต่วันไหนถ้ามันพังขึ้นมา คุณก็ต้องลำบากไปขึ้นรถเมล์ สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้คุณอาจจะหลงลืมไปในชีวิตไปก็ได้ เพราะอาจจะคิดว่า มันไม่มีความสำคัญต่อคุณสักเท่าไหร่ในตอนนี้ เลยทำให้มองข้ามมันไป

3.อย่ามัวสนใจ แต่เรื่องของตัวเอง

การสนใจตัวเอง เป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้เราเข้าใจ และรู้จักพัฒนาข้อบกพร่องต่างๆ เกี่ยวกับตัวเราให้ดีขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้เรา เป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด คนหนึ่งได้เลยทีเดียว แต่ทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ ถ้าเราใช้มันไม่เป็น การสนใจแต่เรื่องของตัวเอง จนมองข้ามเรื่องของคนอื่นไป ในสายตาคนอื่น เราอาจจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวได้ง่ายๆ

ตอนอายุน้อยเราอาจจะไม่รู้สึกตัว เพราะเรายังคงหมกมุ่นอยู่แต่ความสุขของตัวเอง แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ต้องการขอความช่วยเหลือ ทีนี้ เราก็จะเริ่มเห็นแล้วว่า ไม่มีใคร อยากที่จะยื่นมือมาช่วยเหลือเราเลย เพราะเรา ไม่เคยที่จะสนใจช่วยเหลือคนอื่นมาก่อนนั่นเอง

Tips: ลองเปิดโลกของตัวเอง ออกจากแค่ที่ทำงาน แนะนำให้ลองไปทำกิจกรรมอาสา หรือทำค่ายพัฒนาต่างๆ เราจะพบว่า โลกนี้มีมิติที่หลากหลาย สังคมและผู้คนยังขาดโอกาสและแตกต่างจากเรามาก และการแบ่งปันให้กับผู้คนที่ด้อยโอกาสกว่า เราจะพบคุณค่าและความสามารถในตัวเอง ที่เราอาจไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน

4. สร้างสังคมที่ดี เริ่มที่ตัวเรา

ตอนอายุน้อย หลายคนไม่เคยสนใจเรื่องปัญหาสังคม การเมือง หรือสิ่งแวดล้อม เพราะดูเป็นเรื่องไกลตัว และด้วยเราเป็นเด็ก ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่เชื่อไหม แม้คนเป็นผู้ใหญ่อายุมาก ก็คิดเช่นเดียวกัน ว่าเป็นแค่คนๆหนึ่ง คงไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ จึงเมินเฉยต่อเรื่องราวในสังคม อย่างมากก็แค่บ่น แต่ไม่ทำอะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือนักการเมือง ที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้ว ปัญหาใดๆก็ตาม ไม่อาจแก้ได้ด้วยใครคนใดคนหนึ่ง แต่มาจากคนเล็กๆหลายๆคนเข้ามาช่วยกัน

Tips: แม้จะอายุน้อย เราเองก็เป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัวได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปยืนประท้วงหรือทำอะไรที่เบียดเบียนตัวเอง เริ่มด้วยการเป็นคนอารมณ์ดีแจ่มใสอยู่เสมอ จริงใจ พร้อมจะเอื้อเฟื้อช่วยเหลือคนอื่น เท่าที่มีกำลังความสามารถ เราก็สามารถสร้างสังคมเล็กๆแห่งการแบ่งปัน สร้างความเป็นกันเองให้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าสังคมนั้นจะเป็นระดับครอบครัว เพื่อนฝูงที่ทำงาน ชมรมต่างๆ ขอแค่เราเป็นคนที่พึ่งให้ตัวเองได้ เป็นที่พึ่งให้คนอื่นด้วยการทำประโยชน์ให้ผู้คนรอบตัว  แล้วเราก็จะพบว่าการสร้างสังคมที่ดี ก็เริ่มได้แค่นี้เอง

5. ฝึกเจริญสติ

ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ สิ่งผิดพลาดต่างๆ ในชีวิต ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการที่เราขาดสติ ในการทำสิ่งนั้นๆไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านรุนแรง ผลออกมา กลายเป็นความผิดพลาดที่เราต้องมาเสียใจภายหลัง การฝึกสมาธิหรือเจริญสติ จึงเป็นสิ่งที่ดี เพราะเหมือนเป็นเกราะป้องกันภัย ให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด การฝึกสตินั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้เราประสบกับปัญหาชีวิตหนักๆก่อน ถึงจะเริ่มสนใจ แต่เรื่องการเจริญสตินั้น ทุกคนควรหมั่นฝึกทำให้เป็นนิสัย เพราะมันง่ายมากๆ ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ทำตอนนี้เลยก็ยังได้

Tips: การเจริญสติไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตานานๆ แต่แค่ฝึกรับรู้ลมหายใจเข้าออก และรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง ทำกิจวัตรอะไรก็ให้ระลึกรู้อยู่เนืองๆ เริ่มจาก 5 นาที 10 นาที แล้วค่อยเพิ่มเวลาให้มากยิ่งขึ้น พอมีสติยาวนาน ก็จะกลายเป็นสมาธิที่มั่นคง เมื่อสมาธิเราดีแล้ว ปัญญาก็จะเกิดโดยง่าย เราก็จะคิดได้ด้วยตัวเองว่า สิ่งไหนที่ทำแล้วมีความสุข สิ่งไหนที่ทำแล้วจะทุกข์ ก็จะไม่เกิดความผิดพลาด ขึ้นเพราะอารมณ์พาไปเหมือนแต่ก่อน

ถึงตรงนี้ คุณผู้อ่าน Gen Y Gen Z ก็รู้แล้วว่า ความสุขที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการที่เรามีสิ่งของ มีเงินทอง  อำนาจชื่อเสียง มากมายเสมอไป อย่าไปติดหลุมพรางกับดักเหมือนผู้ใหญ่เค้า หากได้ฝึกปฏิบัติกับเคล็ดลับสร้างสุข ทั้ง 5 วิธีที่แนะนำไป ก็จะทำให้เรามีความสุขได้เลย ไม่ต้องรอให้ประสบความสำเร็จหรือรวยก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้ คุณมีความสุขแล้ว ก็จงภูมิใจได้เลยว่า คุณเป็นคนส่วนน้อยในสังคม ที่เดินมาถูกทาง

เผย 5 เทคนิค ปรับความคิด ชีวิตเป็นสุข

happymindset

มนุษย์เรานั้น จะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิด คิดดี ก็จะมีความสุข คิดไม่ดี จิตใจก็จะเป็นทุกข์ เชื่อไหมว่า แม้สถานการณ์ภายนอกจะไม่เปลี่ยนเลย แต่หากเราสามารถปรับความคิดได้ ความสุขก็จะเกิดขึ้นในทันที

ฉะนั้นแล้ว จะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถฝึกความคิดตัวเอง ให้โฟกัสหรือจดจ่อในสิ่งที่ดีๆได้ เพราะมันจะทำให้เราพบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ ในขณะที่คนคิดแง่ลบ ก็จะเจอแต่เรื่องแย่ๆในชีวิตทุกวัน

ต่อไปนี้เป็น “5 เทคนิค ปรับความคิด ชีวิตเป็นสุข” ที่เรารวบรวมมาให้ท่านได้ลองใช้กัน

1.รู้เท่าทันความคิด

ไม่ปล่อยให้ความคิด ล่องลอยไปมาบ่อยๆ คนเรา ถ้าไม่เคยสังเกตดูความคิดของตัวเองแล้ว ก็จะไม่รู้ได้เลยว่า วันหนึ่งๆนั้น ความคิดเรา เกิดขึ้นมา และดับไป มากมายขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็น คิดเรื่องงาน เรื่องแฟน เรื่องเงิน หรือเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกมากมายสารพัด เชื่อหรือไม่ ความคิดกว่า 90% ในแต่ละวัน ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้เราเลย บางครั้งกลับจะทำร้ายเราเสียด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเรารู้เท่าทันความคิดได้แล้ว จะทำให้เรามีสติอยู่กับตัวเองมากขึ้น และเราจะรู้ตัวตลอด ว่าตอนนี้เรากำลังคิดอะไรอยู่ หรือกำลังจะทำอะไรต่อไป ไม่เชื่อ ท่านก็ลองสังเกตความคิดของตัวเองดูสิครับ แล้วท่านจะรู้เลยว่า ที่ท่านทุกข์ หรือหาความสุขไม่ได้อยู่นั้น ที่แท้ก็มาจากสิ่งที่ท่าน เป็นคนคิดมันขึ้นมา ทั้งนั้นเอง

Tips: ลองนั่งเงียบๆสักวันละ 5-10 นาที โดยไม่ต้องทำอะไร เพียงแต่ใช้ฝึก “รู้สึกตัว” เพื่อสังเกตความคิดของตัวเอง ความคิดเกิดขึ้นอย่างเป็นอัตโนมัติ มันจะแปรเปลี่ยนไปอยู่แล้วตามธรรมชาติ ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องไปบังคับมัน เพียงแต่ให้เรา “รู้เท่าทัน” ก็พอ

2.อย่าประมาทความคิด

ก็แค่คิดเฉยๆ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ผิดหรอก นี่เป็นสิ่งที่หลายๆท่านเคยทำ หรือกำลังทำอยู่ แต่ขอให้ท่านระวังเรื่องนี้ ไว้สักหน่อยก็ดีนะครับ เพราะเมื่อคนเรา คิดเรื่องใดซ้ำๆในทุกๆวัน บางที่ อาจจะเผลอทำสิ่งที่คิดลงไป โดยที่เราไม่ทันระวังตัวก็เป็นได้ ถ้าเป็นเรื่องที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงแล้ว ท่านจะพบกับความเสียใจอย่างแน่นอนที่สุด เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าประมาทกับความคิดกันนะครับ แม้มันจะเป็นแค่เพียง ความคิดเฉยๆก็ตาม

Tips: หากเมื่อไหร่รู้สึกตัวว่ามีความคิดที่ไม่ดีต่อคนอื่น ขอให้มองเข้าไปให้ลึกว่า เรารู้สึกอย่างไร และต้องการอะไรจากเรื่องนี้กันแน่ ทำความเข้าใจตัวเองด้วยเหตุผล และปรับความคิดให้เป็นกลาง ก่อนที่มันจะกลายเป็นการกระทำที่เราอาจต้องมาเสียใจทีหลังนะครับ

3.อยากเป็นคนแบบไหน ให้คิดเหมือนคนแบบนั้น

พลังของความคิดนั้น มีมากจนบางทีเราก็คาดไม่ถึงเลยทีเดียวนะครับ ยกตัวอย่างเช่น ผมเคยอยากลดน้ำหนัก แต่ทำอย่างไรก็ลดไม่ได้สักที ใช้หลายวิธี แม้จะลดลงไปบ้าง แต่ในที่สุดน้ำหนักก็จะกลับมาเท่าเดิม ผมก็เลยลองมาสังเกตตัวเอง ว่ามีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่อง “การกิน”

ผมพบว่า แนวความคิดในการกิน คือ “กินอย่าให้เหลือ เพราะเสียดายของ” ซึ่งคนที่คิดแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็น “คนอ้วน” ครับ นิสัยของผม เมื่อไปกินข้าวกับใคร ถ้าเห็นอาหารเหลือในจานกลาง ผมก็จะเก็บกวาดจนเกลี้ยงจาน เมื่อมีวิธีคิดแบบคนอ้วน จึงไม่แปลกเลยที่ผมอ้วน พอรู้แบบนี้ ผมเลยลองไปคุยกับคนผอม คนใกล้ตัวในบ้านที่ผอมก็คือ คุณยาย ซึ่งแนวคิดในการกินของคุณยายคือ “กินแค่พออิ่ม เหลือก็เก็บไว้มื้อต่อไป” พอผมเปลี่ยนแนวคิดเป็นแบบคุณยาย กินแค่พออิ่ม ไม่ได้กินให้อิ่มจนจุก ไม่นานนัก น้ำหนักผมก็ค่อยๆลดลงอย่างมาก แถมประหยัดเงินด้วย

Tips: หากเรายังมีนิสัยไม่ดีที่ยังแก้ไม่ได้ เป็นไปได้ว่าเรามีแนวคิดที่ไม่โอเค ขอให้สำรวจแนวคิดนั้นว่ามันทำลายตัวเราอย่างไร ตั้งเป้าหมายที่เราต้องการ แล้วไปค้นหาแนวคิดที่ส่งเสริมเป้าหมายนั้นจากคนอื่นๆมา จำไว้ว่า “อยากเป็นคนแบบไหน ต้องรู้จักคิดให้เหมือนกับคนแบบนั้น”

4.อยู่ในสังคมแบบไหน ก็เป็นคนแบบนั้น

สังคม สถานที่ หรือสภาพแวดล้อมต่างๆ เป็นสิ่งหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างสูง ต่อคนที่อยู่ในสถานที่ หรือสภาพแวดล้อมนั้นๆ มันจะหล่อหลอมเข้าไปอยู่ในตัวคนๆนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว เพราะต้องใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นทุกวันๆ จนกลายเป็นนิสัยหนึ่งของชีวิตเขาไปแล้ว

คนเราจะถูกดึงดูดให้ไปเจอกันคนประเภทเดียวกันเสมอ แม้ว่าตอนแรกเราจะไม่ได้เป็นคนแบบนั้น แต่ถ้าหากคลุกคลีกับคนแบบใดแบบหนึ่งนานๆ ก็มีแนวโน้มที่เราจะเอนเอียง ไปคิด ชอบ ทำ ในรูปแบบนั้นเช่นกัน ถ้าใครอยากมีความสุข แต่กลับไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนที่ชอบนั่งเม้าท์นินทา หรือตามดูเพจดราม่าเป็นประจำ แบบนี้จะหาความสุขได้จริงหรือ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเราอยากมีความคิดที่ดี ก็ต้องหาจุดเริ่มต้นที่ดี ให้กับตัวเราเอง เริ่มจากพาตัวเอง ไปอยู่ในสถานที่ หรือสภาพแวดล้อมที่ดีๆก่อนเลย

Tips: เคล็ดลับในการเปลี่ยนนิสัย ก็คือการเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ผู้คนที่คบ หรือการหาสังคมใหม่ๆ เช่น การไปเข้าสัมมนา เราจะเจอเพื่อนที่มีพลังงานดีๆ และแน่นอน เค้ามักจะนำพาโอกาสดีๆมาให้เราด้วย

5. มองปัญหา ให้เห็นเป็นโอกาส

คนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น เขาจะไม่มองปัญหาที่เกิดขึ้น ว่ามันเป็นปัญหาแบบที่เรามองกัน แต่เขาเหล่านั้นจะมองมันเป็นโอกาส ให้ได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ที่เขาคิดได้แบบนั้น เพราะว่าเขารู้จักที่จะคิด และได้แง่คิดเพราะผ่านล้มเหลวมาก่อนแล้ว คนเราถ้าไม่เคยได้ฝึกคิด หรือ ผ่านการคิดแบบนี้มาก่อนแล้วนั้น จะไม่สามารถคิดในแบบนี้ได้เลย ถ้าอยากประสบผลสำเร็จ จงหมั่นฝึกฝนความคิดของตัวเองทุกวันๆนะครับ “ฝึกมองปัญหา ให้เห็นเป็นโอกาส” แล้วท่านจะไม่กลัวปัญหา ที่จะเข้ามาในชีวิตของท่านอีกเลย เพราะทุกปัญหาที่ผ่านเข้ามานั้น มันจะกลายเป็นโอกาส ให้ท่านได้ก้าวข้ามไป เพื่อพบกับความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น ในอนาคตของท่านนั่นเอง

Tips: เมื่อเจอปัญหา หรือเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ให้เตือนตัวเองว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดีเสมอ” ในระยะสั้นอาจดูไม่โอเค แต่ในระยะยาว เรื่องนี้จะทำให้เราได้เรียนรู้ เติบโต และมีชีวิตที่ดีกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน

สุดท้าย ความสุขที่ได้จากการปรับความคิดที่ดีที่สุด ก็คือ การหยุดคิด เหมือนที่พุทธศาสนาสอนไว้เรื่องการปล่อยวาง การปล่อยวางก็คือ วางเฉย กับสิ่งต่างๆ หรือความคิด ที่เกิดขึ้นมา ณ ขณะนั้นๆ การรู้จักปล่อยวาง จะทำให้ใจเรา ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ท่านก็จะไม่เป็นทุกข์กับเรื่องอะไรเลย เพราะท่านจะไม่ยึดติดกับอะไร

การยึดติดนั้น คือ อยากให้ได้ อยากจะมี อยากให้เป็นดังใจเรา ยิ่งยึดมาก ยิ่งทุกข์มาก ซึ่งสิ่งที่ว่านี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด หากท่านทำได้แค่เพียงเล็กน้อย ท่านก็จะรับรู้ได้ทันทีเลยว่า ใจของท่านนั้น มีความสงบเพียงใด

ขอให้ทุกท่าน ได้ลองกลับไปพิจารณาฝึกจิต ฝึกความคิด ของตัวท่านดู ได้ผลดีประการใด อย่าลืมแชร์เทคนิคดีๆนี้ ให้กับเพื่อนๆ หรือคนที่ท่านรัก ด้วยนะครับ

บทความโดย Learning Hub Team

5 สิ่งที่คนมีความสุข ไม่จำเป็นต้องมี

5thingsofhappiness

หลายคนมีความเชื่อว่า คนที่มีความสุขในชีวิต ต้องเป็นคนมีน้ำใจ ชีวิตมีความสะดวกสบาย มีชีวิตมั่นคง มีบางสิ่งที่โดดเด่นกว่าคนอื่นๆ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนใกล้ชิด

อันที่จริงแล้วคุณอาจเข้าใจผิด เพราะคนที่มีความสุข ไม่ได้มี 5 สิ่งนี้เหมือนที่คุณคิดไว้เลย ทำไมล่ะ งั้นไปดูกัน

1. ชอบเอาใจทุกคน

คนที่มีความสุข จะไม่พยายามเอาอกเอาใจใคร จนเสียความเป็นตัวของตัวเองไป ไม่ใช่ทุกครั้งที่ทำให้คนอื่นรู้สึกดี แล้วเราจะรู้สึกดีไปด้วย สุดท้ายอาจเป็นเราที่เจ็บปวด คนที่ชอบเอาอกเอาใจผู้อื่น บางคนกลับเต็มไปด้วยความทุกข์ที่เก็บกดไว้ภายในใจ

คอยระลึกไว้เสมอว่า เราไม่อาจทำให้ทุกคนพอใจได้ และไม่สามารถทำให้ทุกคนรักเราได้ แต่จะมีบางคน ที่แม้ไม่ต้องทำอะไรให้มาก เราก็มีความหมายในชีวิตของเขา และเขาก็ทำให้เรารู้สึกเป็นตัวของตัวเองได้

ถ้าคุณฝืนใจทำอะไรอยู่ตอนนี้ ลองถามตัวเองว่า กำลังทำเพื่อเอาใจใครหรือเปล่า และจะยังรู้สึกดีหลังจากนี้หรือไม่

2. ชีวิตมีความสะดวกสบาย

คนที่มีความสุข ต่างผ่านอุปสรรคและความยากลำบากในชีวิต เค้าไม่ได้คาดหวังว่าชีวิตจะง่ายดาย การที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข เพราะนั่นคือการที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย การเผชิญหน้ากับความท้าทาย ความกลัว สิ่งที่ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้แหละที่จะพิสูจน์ว่าคุณคือใคร

มันจะบ่งบอกความแตกต่างระหว่างคนที่ “แค่มีชีวิต” กับคนที่ “ใช้ชีวิต”
บ่งบอกความแตกต่างระหว่างชีวิตที่จำเจ กับชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขและความสำเร็จ

3. มีชีวิตที่แน่นอนและมั่นคง

หลายๆคนพยายามสร้างกำแพงขึ้นมากมายในชีวิต แต่ไม่สร้างสะพาน อาจฟังดูแปลกๆที่บอกว่า แทนที่จะใช้ชีวิตที่มั่นคงแน่นอนที่ซ้ำซากน่าเบื่อ น่าจะลองใช้ชีวิตแบบเสี่ยงๆที่จะรู้สึกถึงความสุขดูบ้าง ลองเปิดตัวเอง มองเห็นโอกาส ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ

ทำสิ่งที่น่าตื่นเต้นและท้าทาย ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ แต่อยู่อย่างมีความฝัน ไม่ใช่เอาแต่วางแผน แต่ต้องมีความเชื่อและศรัทธาในชีวิต เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจและผลลัพธ์สำหรับตัวเอง ปล่อยให้แรงขับดันและความหลงใหลนั้น จุดไฟในตัวให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และคุ้มค่า สำหรับวันนี้ และทุกๆวัน และอย่าลืมที่จะแบ่งปันพลังงานดีๆแบบนี้ออกไปให้ผู้คนรอบๆตัว

4. โดดเด่นกว่าคนรอบตัว

โลกดูแคบไปถนัดตา เมื่อเราเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง เมื่อเราคิดว่าคนรอบๆตัวคือคู่แข่ง เมื่อเราคิดว่า เราควรจะรวยกว่า ฉลาดกว่า น่าสนใจกว่าคนที่อยู่ข้างๆเรา การพยายามทำตัวให้โดดเด่นหรือดีกว่าคนอื่น เป้าหมายแบบนี้ยิ่งจะทำให้เราแปลกแยกออกจากคนอื่น รู้สึกเหนื่อย และไม่ดีพอเสียที

ลองหันกลับไปมองดูคนที่ไม่สนใจการแข่งขัน คนที่ไม่ได้มองหาว่าทำยังไงให้รวยกว่า ฉลาดกว่า น่าสนใจกว่าใครเลย เค้าไม่ได้อยากที่จะดีกว่าใครแม้แต่คนเดียว ลองดูคนเหล่านี้ ชีวิตเค้าจะมีแต่ความสุขและอิสระทางใจ

ความหมายที่แท้จริง ไม่ใช่ให้เราอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรให้ดีขึ้น แต่จงแข่งขันกับตัวเองคนเมื่อวาน ถ้าวันนี้เรามีสักนิดที่ดีขึ้น ขอให้ชื่นชมตัวเอง และก้าวต่อไปทำวันพรุ่งนี้ให้ดียิ่งขึ้น

5. มีความสัมพันธ์ที่ดีเสมอ

การมีความสัมพันธ์ที่รักใคร่กลมเกลียวกัน เป็นสิ่งที่ดีเมื่อทุกฝ่ายจริงใจต่อกัน แต่ถ้ามันเป็นตลอดเวลาแสดงว่ามีบางคนกำลังโกหกอยู่ ดังนั้นการสื่อสารและการฟัง จึงเป็นสิ่งสำคัญในทุกๆความสัมพันธ์ เราต้องพูดความในใจซึ่งกันและกันได้ และไม่ได้หวังว่าอีกฝ่ายต้องเห็นด้วยเสมอไป

ความสุขจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เราใช้ชีวิตอย่างที่เราเป็น ไม่ยอมเสียสละตัวเองในความสัมพันธ์ ไม่อดทนกับสิ่งที่เราไม่ต้องการ จงชัดเจนกับความรู้สึกและความต้องการของตัวเองและรู้จักร้องขอจากอีกฝ่าย

แน่นอนว่า การพูดความจริง มันอาจสร้างความกดดันและตึงเครียดขึ้นในความสัมพันธ์ แต่นั่นคือการที่เราจริงใจ ไม่ปิดบัง และจะทำให้ความสัมพันธ์แข็งแรงในระยะยาว การสื่อสารที่ออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง จะทำให้สร้างกติกาและข้อตกลงที่จะอยู่ร่วมกัน อย่างที่ทุกฝ่ายต่างพึงพอใจ

สุดท้าย ขอให้ใช้ชีวิตในทุกๆวันอย่างเต็มที่ บ่นว่าสิ่งรอบตัวให้น้อยลง ขอบคุณและชื่นชมสิ่งเล็กๆที่เราพบตรงหน้า แล้วจะพบว่า ความสุข ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรเยอะไปกว่านี้เลย…

บทความโดย : เรือรบ

ด้วยแรงบันดาลใจและความเชื่อว่า ความสุข เป็น “ทักษะที่สร้างได้ และส่งต่อได้” เรือรบ จึงได้เขียนหนังสือ “ Happiness Recipe: 10 สูตรผสมความสุข” ที่จะทำให้ท่านได้แนวคิดและแรงบันดาลใจ เพื่อออกแบบความสุขในฉบับของตนเอง

รายละเอียดหนังสือ คลิก

 

5 วิธีจับ “ไอเดียปิ๊งแว้บ” ให้อยู่หมัด

คนที่ทำงานครีเอทีฟ คงรู้ว่าชั่วขณะแห่งการ “ปิ๊งแว้บ” หรือ “AHA moment” ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ และที่สำคัญถ้าจับไว้ไม่ทัน มันก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอ

ต่อไปนี้เป็น 5 วิธีที่จะทำให้คุณสามารถผลิตไอเดียสร้างสรรค์ได้ไม่รู้จบ และยังคว้าชั่วขณะแห่งการ ”ปิ๊งแว้บ ไว้ได้อยู่หมัดด้วย

1. อยากรู้อยากเห็น

ความอยากรู้อยากเห็น เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างสภาวะปิ๊งแว้บ แม้แต่สิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวันที่พบเจออยู่ทั่วไป เราจะสามารถมองเห็นรายละเอียดและสร้างไอเดียใหม่ขึ้นมาได้ ในขณะที่คนทั่วๆไปจะมองไม่เห็น เพราะพวกเขาเคยชินกับมันไปแล้ว จึงไม่สังเกต ไม่ตั้งคำถาม หรือไม่มีสงสัยเกี่ยวกับมัน

 

2. ปล่อยใจให้ล่องลอย

การวิจัยทางประสาทวิทยาพบว่า คนที่ชอบฝันกลางวัน นั้นใช้สมองในส่วนของจินตนาการเป็นอย่างมาก นี่เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่อธิบายว่า การปล่อยใจให้ล่องลอย อันที่จริงเป็นปล่อยให้สมองได้ทำงานในการค้นพบไอเดียดีๆที่แอบซ่อนอยู่ เป็นการประมวลผลข้อมูลเก่าๆที่จะมาตอบโจทย์ด้วยวิธีการใหม่ๆที่สร้างสรรค์กว่า ดังนั้นในยามว่าง อย่าฆ่าเวลาเล่นด้วยการทำให้สมองยุ่ง แต่จงปล่อยให้สมองมีพื้นที่เงียบๆว่างๆ และปล่อยใจให้ล่องลอยบ้าง เพื่อไอเดียจะผุดบังเกิด

 

3. ไม่มีความบังเอิญในโลก

ในทุกๆสถานการณ์มักจะมีสิ่งผิดปกติอยู่เสมอ กระตือรือร้นที่จะมองหาสิ่งแปลกปลอมให้เจอ อย่าพยายามรีบอธิบายปรากฏการณ์ตรงหน้าว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ และมองผ่านไป เพราะความบังเอิญนี่แหละจะเป็นเงื่อนงำนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ ขอเพียงเราจดจ่อ มองหาความหมาย หรือความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้น นั่นจะเป็นวิธีที่จะสร้างไอเดียแปลกใหม่ให้เกิดขึ้น

 

4. มองให้ชัด เมื่อเจอสิ่งขัดแย้ง

ไอเดียโดนใจ มักเกิดขึ้นเมื่อเราเผชิญกับสิ่งที่ดูขัดแย้งและดูไม่สมเหตุสมผลสำหรับเรา การตั้งคำถามเมื่อเจอสิ่งที่ดูขัดแย้งนั้น จะนำไปสู่เส้นทางการสร้างสรรค์ใหม่ๆ ในขณะที่ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เราแปลกใจ ความขัดแย้งนั้นจะทำให้เราเกิดความสงสัยและตั้งคำถาม นี่เป็นอีกวิธีที่จะเข้าถึงปัญญาญาณของเรา

 

5. ทำทันที เมื่อมีเสียงภายใน

บางครั้งในความกดดัน มันจะรีดเร้นศักยภาพของเราออกมา ความคิดดีๆมักผุดขึ้นมาในสภาวะอันคับขันและเร่งด่วน ดังนั้นยิ่งรีบเร่ง เรายิ่งควรจะไว้วางใจในตัวเอง อย่าตระหนกตกใจ ตีโพยตีพาย แต่ให้สงบใจไว้ ตั้งสติ แล้วเผชิญหน้ากับมัน ลองมองว่าอะไรบ้างที่เรามองข้ามไปในภาวะปกติ เมื่อเกิดประกายความคิด หรือความรู้สึกอยากทำอะไรบางอย่าง ให้รีบลงมือกระทำในทันที โดยไม่ต้องสงสัยหรือกังวลใจ จำไว้ว่าในภาวะคับขัน เซ้นส์ของเรามักจะถูกต้องเสมอ

บทความโดย เรือรบ
………………

การสร้างสภาวะแห่งการปิ๊งแว้บ หรือการเข้าถึงปัญญาญาณของเรา เป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนได้ ขอแนะนำหลักสูตรการเข้าถึงปัญญาญาณและผลิตความคิดสร้างสรรค์ ผ่านเวิร์คช้อปการเขียน ในหลักสูตร “Intuitive Writing: ปลดล็อคศักยภาพการเขียนในตัวคุณ” โดย อ.เรือรบ ซึ่งจะทำให้การเขียนของคุณ ไม่ติดขัดอีกต่อไป รายละเอียดหลักสูตร

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save