3 ความเชื่อผิดๆ ในการค้นหาตัวเอง

12

            ทำไมคุณถึงยังค้นหาตัวเองไม่เจอสักที?

   รู้ไหมครับว่าสาเหตุที่ทำให้คุณ “หาตัวเองไม่เจอ” มาจากการที่คุณมีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการ “รู้จักตัวเอง” อยู่ในหัว

ถ้าวันนี้คุณต้องการค้นหาตัวเองให้พบจริงๆ ล่ะก็ คุณจะต้องขจัด 3 ความเชื่อผิดๆ ของการค้นหาตัวเองออกไปซะก่อน

มาดูกันครับว่า ไอ้ความเชื่อผิดๆ เหล่านั้นมีอะไรกันบ้าง?

1.เชื่อว่า… ถ้าฉันรู้จักตัวเอง ฉันจะสำเร็จเหมือนคนสำเร็จคนอื่นทันที

          ผมมักจะได้ยินคนพูดว่า..สาเหตุที่พวกเขายังไม่สำเร็จเหมือนคนอื่นๆก็เพราะพวกเขากำลังทำสิ่งที่ไม่เหมาะกับเขา  แล้วเริ่มตั้งขอสันนิฐานกับตัวเองว่า…   “สิ่งที่เขากำลังทำนั่น ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับฉัน”

“ฉันคงยังไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับอะไร?”

          รู้หรือเปล่าครับ?…. ไอ้ความคิดที่ว่า…. “ถ้าฉันรู้จักตัวเองแล้วฉันก็จะต้องมีผลลัพธ์ เหมือนคนที่รู้จักตัวเองคนอื่นๆ ได้ทันที” ถือเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของคนที่กำลังค้นหาตัวเองเลย!!

       คุณจะไม่มีวันรู้จักตัวเอง ตราบใดที่สายตาของคุณ ยังจับจ้องไปที่คนอื่นและคอยเอาแต่เปรียบเทียบสิ่งที่คุณมีกับสิ่งที่คนอื่นมี

        การรู้จักตัวเอง คือการตระหนักรู้ว่า “คุณคือใคร”   คุณทำอะไรได้ดี แรงบันดาลใจของคุณคืออะไร  และรู้ว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ตรงไหน และต้องการจะไปไหน

        ส่วนความสำเร็จนั้น จะเกิดขึ้นจากการที่คุณมีความชัดเจนว่า คุณคือใครและ “ลงมือทำ” จนประสบความสำเร็จ

ตัวอย่าง: คนที่วันๆ ชอบคลุกอยู่กับการทำขนมเค้ก เชื่อว่าตัวเองชอบทำขนมเค้กและสนุกกับมันมากๆ แต่พอหันไปมองคนอื่นที่เขาขายของออนไลน์เห็นเขาได้เงินเยอะและประสบความสำเร็จมีรายได้ที่ดีก็กลับมาทำร้ายตัวเองด้วยความคิดที่ว่า…สงสัยการทำขนมเค้กจะไม่ใช่ตัวตนของฉันเพราะมันไม่เห็นทำเงินเหมือนคนที่เขาชอบขายของเลย

วิธีการแก้ไขความเชื่อผิดๆ  :   แยกแยะให้ออกว่าการรู้จักตัวเอง คือการกลับมาถามตัวเองว่า “เราคือใคร?”

“เราต้องการผลลัพธ์อะไรในชีวิตจริงๆ กันแน่?”   ส่วนความสำเร็จ เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการ “ลงมือทำ” นะจ๊ะ

2.เชื่อว่า… ฉันต้องรู้จักตัวเอง 100% ก่อน แล้วค่อยลงมือทำ จะได้ไม่พลาด

        คนที่คิดแบบนี้มักมีความเชื่อที่ว่าการรู้จักตัวเอง คือสิ่งที่ทำครั้งเดียวจบเหมือนการเรียนจบชั้นประถมแล้ว ก็ไม่ต้องกลับไปเรียนอีก  แต่การค้นหาและรู้จักตัวเองนั้นมันเป็นงานศิลปะครับมันไม่ใช่ศาสตร์ที่จะมานั่งเรียนรู้ และก็จบไปในทีเดียว  แต่คุณจะต้องสร้างประสบการณ์และรับฟังเสียงหัวใจตัวเองอยู่เสมอเพื่อที่จะรู้จักตัวเอง… มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

       ทุกๆ ก้าวที่คุณก้าวและทุกๆ ประสบการณ์ คือการสำรวจทุกพื้นที่ของชีวิต  ทุกๆ การพิจารณาและการรับฟังเสียงหัวใจ คือการเข้าใจและทำความรู้จักกับตัวเอง

       การไม่ทำอะไรเลย ไม่ช่วยให้คุณชัดเจนกับตัวเองหรอกนะครับ คุณต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะรู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่าง: คนที่ไม่กล้าลงมือทำสิ่งใหม่ๆ เพราะกลัวว่าถ้าทำไปแล้วจะเสียเวลา พอได้เรียนรู้อะไรมาแล้ว เกิดไอเดีย

แต่ก็ไม่กล้าลงมือทำสักที กลัวเสียเวลาเปล่า กลัวทำแล้วผิดหวัง กลัวทำแล้วไม่สำเร็จอย่างที่คาดหวังเอาไว้  ชีวิตก็เลยติดอยู่กับวังวนของไอเดียดีๆ ที่ไม่เคยถูกนำมาลงมือทำจริงๆสักที

       วิธีการแก้ไขความเชื่อผิดๆ:   ออกไปทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำ  พบปะ พูดคุยกับผู้คนใหม่ๆ ที่คุณไม่เคยพบหรือเข้างานสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องการค้นหาตัวเองที่เน้นในเรื่องการสร้างประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่ให้ความรู้!

จงออกไปลงมือทำในสนามชีวิต แล้วคุณจะ “ชัดเจน” มากขึ้นครับ

3.เชื่อว่า… การไม่รู้จักตัวเองเป็น “ปัญหา”

          ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิด ความคิดที่ว่า..“การไม่รู้จักตัวเอง เป็นปัญหา”  คือความเชื่อที่ผิดพลาดของคนที่กำลังค้นหาตัวเองครับ  ถ้าวันนี้คุณใช้ชีวิตอยู่กับใครสักคนและเขาคนนั้น บอกคุณทุกเรื่องที่เขาคิด

ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เขาจะบอกคุณก่อนเสมอ

ไม่ว่าเขารู้สึกอย่างไร เขาจะเล่าให้คุณฟัง

ไม่ว่าเขาชอบ/ไม่ชอบอะไร คุณคือคนที่จะรู้เป็นคนแรก   และคนๆ นั้นอยู่กับคนตลอดเวลา  ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า จนเข้านอน คุณใช้ชีวิตกับเขาคนนี้มาตลอด…. 1 ปีเต็ม!!!  คุณคิดว่า…. “คุณจะรู้จักเขาดีขนาดไหน?”

         แน่นอนคุณต้องบอกว่า โคตรรู้ไส้รู้พุงเลยจริงไหมครับ  ถ้าอย่างนั้นคุณสงสัยไหมว่าทำไม ทั้งๆ ที่คุณ “อยู่กับตัวเอง” แบบนี้มากี่สิบปีแล้วล่ะครับ?

          ทำไมคุณถึงบอกว่า… คุณยังค้นหาตัวเองไม่เจอ!!

ผมขอแบ่งปันแบบนี้ครับ….

         จริงๆ การไม่รู้จักตัวเองมัน “ไม่ใช่ปัญหา” เลยแต่การไม่รู้จักตัวเอง คือ “ผลลัพธ์” ต่างหาก   การไม่รู้จักตัวเองเป็น ผลลัพธ์ ที่เกิดขึ้นจากการที่คุณลืมที่จะรัก และศรัทธาในตัวเอง  เกิดจากการที่คุณไม่เคยฟังเสียงของหัวใจตัวเองเลย!!

          คุณเฝ้ามองสิ่งที่คนอื่นทำได้มากเกินไปและลืมให้เวลาสนใจและใส่ใจในสิ่งที่ตัวคุณมี  ความรู้สึกสนุกและชื่นชมกับชีวิตที่เคยมีอยู่เต็มเปี่ยมในวัยเด็กถูกทำให้ลดน้อยถอยลงไปตามกาลเวลาและประสบการณ์แย่ๆ เพราะคุณดูถูกชีวิตคุณเอง เพราะคุณไม่เห็นคุณค่าในชีวิตตัวเอง   เพราะคุณไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่คุณมีหรือความสำเร็จที่คุณทำ

คุณจึง…. “ไม่รู้จักตัวเองสักที”

ตัวอย่าง: ผมมีลูกศิษย์ที่เก่งเรื่องการขายมากๆ เป็น Top Sale ของบริษัท ทำยอดขายได้เกิน 7 หลัก

แต่เขากลับไม่เคยเชื่อมั่นและคิดว่าตัวเองเจ๋งเลย พอคิดว่าตัวเองไม่ดีพอก็ได้แต่ไปติดตามคนอื่น เข้าเรียนรู้กับคนอื่น ชื่นชมคนอื่น

          แต่เขาพึ่งมาตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วเขามีของดีในตัวเพียบ เขามีจุดเด่นที่เจ๋งมากๆและบางสิ่งที่เขามี… แม่มเจ๋งกว่าคนที่เขาไปติดตามด้วยซ้ำ!!

วิธีการแก้ไขความเชื่อผิดๆ:  ถ้าคุณอยากรู้จักตัวเอง ต้องการที่จะทำในสิ่งที่มันเต็มเต็มคุณค่าในชีวิตเริ่มต้นจากการดึงพลังความรัก และความศรัทธาในตัวเอง กลับมาก่อนนะครับ

ผมแนะนำให้คุณเขียนรายการความสำเร็จในอดีต เขียนบันทึกเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เพื่อฝึกให้ใจของคุณ กลับมารักและศรัทธาในชีวิตเสียก่อนครับ

และข้อสุดท้าย ผมแถมให้

4.(แถม)เชื่อว่า… “วิธีการสู่ความสำเร็จ” สำคัญกว่า “การใช้เวลาค้นหา และรู้จักตัวเอง”

         โลกปัจจุบันนี้ เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลอะไรๆ ก็หาได้ เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วมือเท่านั้น  คนจำนวนมากที่ยังไม่รู้จักตัวเองจึงพยายามค้นหาวิธีการสู่ความสำเร็จ  โดยที่เขาหวังว่า เมื่อเขามีวิธีการที่ดี เมื่อเขาประสบความสำเร็จแล้ว

เขาจะรู้จักตัวเองได้ง่ายขึ้น!!

       แต่คุณลองมองไปในโลกของความเป็นจริงนะครับ คนที่ประสบความสำเร็จ และมีชีวิตที่มีความสุข สดใสนั้น

พวกเขาล้วนเริ่มต้นจากการรู้จักตัวเอง รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญในชีวิตเขาก่อนที่เขาจะหาวิธีการสู่ความสำเร็จทั้งสิ้น

       หนังสือ Success Build To Last หรือ “ความสำเร็จที่ยั่งยืน” ได้สัมภาษณ์บุคคลผู้ประสบความสำเร็จ อย่างต่อเนื่อง นานกว่า 20 ปี จากการสัมภาษณ์คนกลุ่มนี้กว่า 200 คน ตั้งแต่ เศรษฐีพันล้าน CEO ประธานาธิบดี ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ  พวกเขาอาจมีวิธีการสู่ความสำเร็จที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือ… “พวกเขาตัดสินใจ เลือกแต่สิ่งที่สำคัญต่อชีวิตเขาเท่านั้น”  พวกเขารู้จักตัวเองว่าตัวเองต้องการอะไร ตัวเองเป็นใคร และใช้ชีวิตบนพื้นฐานความเชื่อมั่นนั้นตลอดเวลา

       จากนั้นพวกเขาค่อยค้นหา “วิธีการ” ที่จะช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในภายหลัง

ตัวอย่าง:

       ลูกศิษย์ผมคนหนึ่ง เป็นคนบ้าความสำเร็จมากๆ เขาพร้อมที่จะศึกษาความรู้ เกี่ยวกับเครื่องมือ และเทคนิคใหม่ๆ เสมอ

ตอนที่มาเข้า Workshop เพื่อค้นหากับตัวเองกับผมใหม่ๆ เขาก็ยังแอบเถียงผมในใจว่า… “มันไม่เห็นจะสำคัญอะไรเลย” (ไม่รู้หลงมาเข้าคอร์สผมได้ยังไง)  แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมาขอบคุณและสารภาพกับผมว่า…. ที่ผ่านมาเขาเลือกทางผิดมาตลอด!

       เขาเคยคิดเสมอว่า เขาจะใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อมาเติมเต็มความสำเร็จ และความสุขในชีวิตของเขา แต่พอได้ทำความรู้จักตัวเองจริงๆ  เขากลับพบว่า… ความพยายามที่จะสำเร็จ พยายามหาเครื่องมือใหม่ๆ เทคนิคเจ๋งๆ นั่นไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตของเขาจริงๆ เลย  เขาพยายามทำสิ่งนั้นเพื่อให้คนอื่นยอมรับ  พยายามทำสิ่งนั้นเพื่อให้ดูดีในสายตาคนอื่นและบางครั้งก็ดันไปพยายามพิสูจน์ตัวเองกับคนที่ไม่ได้สำคัญอะไรในชีวิตเลยด้วยซ้ำ!!

วิธีการแก้ไขความเชื่อผิดๆ:  ถ้าคุณคือคนที่ต้องการรู้จักตัวเอง ต้องการประสบความสำเร็จในแบบที่โดดเด่นและแตกต่างในแบบฉบับของคุณเอง

ลองถามตัวเองดูครับว่า..

“คุณให้ความสำคัญกับการรู้จักตัวเองมากพอหรือยัง?”

 

กิตติ ไตรรัตน์

ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง National Director ของ The Passion Test ประจำประเทศไทย

ผู้มีความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสนับสนุนให้ผู้คน มีอิสรภาพจากภายในใจ

www.KittiTrirat.com

7 เทคนิคทรงพลัง ที่ไม่ว่าใครก็ต้องหลงรักคุณ

16

        ในโลกใบนี้มีอะไรที่เราคาดไม่ถึงอีกเยอะ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าถ้าคนเราต้องการอะไรสักอย่างอย่างแรงกล้าแล้วล่ะก็ มันจะมีพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ออกจากตัวเราไปดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาหา เหมือนได้เปิดวาร์ป1 (warp) พุ่งตรงไปสู่สิ่งนั้นทันที  

       ถ้าเราอยากให้ตัวเองเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น ส่งสัญญาณออกไปสิคะ ทริคมีอยู่ในมือคุณแล้ว มาดูพร้อมกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้าง   

1.ฉันชอบตัวเองจังเลย

ทำตัวเองให้เป็นคนที่ใช่

        อยากให้คนอื่นมาชอบ แล้วเราเป็นคนที่ใช่หรือยัง? เรื่องนี้เหมือน “เส้นผมบังภูเขา” ที่เราไม่ค่อยจะคิดกันเท่าไหร่ ในเมื่อเราตั้งโจทย์ว่า อยากให้ใครๆ มาชอบเรา แต่ถ้าตัวเราเองยังไม่ชอบตัวเองแล้วเราจะปล่อยพลังดึงให้ใครมาชอบเราได้ยังไง 

        วิธีชอบตัวเองทำง่ายๆ อยู่ที่การคิดบวก เพราะแท้ที่จริงแล้วทุกคนมีดีเป็นของตัวเอง คุณค่าอยู่ที่มุมมอง ถ้าเราเห็นจุดดีของตัวเอง ภูมิใจสิคะรออะไรอยู่ แล้วจุดดีจุดแรกที่เราภูมิใจจะเป็นเหมือนสะพานที่นำเราไปพบจุดที่น่าภูมิใจต่อไป

        เมื่อเราชอบตัวเองสารแห่งความพึงพอใจนั้นจะแผ่ออกจากตัวเราออกไปให้คนอื่นสัมผัสได้ คนรอบข้างจะรู้สึกได้ถึงความมั่นใจของเรา ความมั่นใจจะนำไปสู่ความผ่อนคลายทำอะไรก็ไม่กังวลแล้วเราจะเป็นคนที่ใช่–ที่คนอื่นใฝ่หาค่ะ 

2. ฉันเป็นศูนย์รวมแห่งความสุข 

ความสุขเหลือเฟือ พร้อมแบ่งปัน

          ต้นแหล่งของไฟฟ้า สามารถปล่อยกระแสไฟไปรอบบริเวณได้ยังไง ต้นแหล่งของความสุขก็แผ่กระจายไปสู่คนรอบข้างได้อย่างนั้น คนที่เขาแสวงหาความสุขจะวิ่งเข้าหาต้นทางแห่งความสุข ถ้าต้นทางนั้นคือคุณเขาก็จะมาหาคุณ  

          สัญลักษณ์แห่งความสุขง่ายๆ คือ รอยยิ้ม หากคุณคือเทพเจ้าแห่งรอยยิ้ม คนที่ได้เห็นย่อมยิ้มตอบ รอยยิ้มเป็นเหมือนใบเบิกทางสร้างไมตรี  พร้อมกับการเป็นคนอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่หงุดหงิด ไม่เจ้าอารมณ์ ไม่เหวี่ยง เป็นคนมีอีคิวสูง ก็เท่ากับคุณได้ตั้งเสาส่งสัญญาณความสุขไปรอบตัว ดึงดูดให้ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ อย่างน้อยๆ ก็มั่นใจได้ว่า

          ถึงแม้ว่าจะยังจูนคลื่นรับกระแสความสุขจากคุณได้ไม่เต็มหน่วย ก็ไม่โดนคุณเหวี่ยงใส่ให้อารมณ์เสียนั่นแหละ แบบนี้ ไม่ชอบคุณก็ไม่รู้จะชอบใครใช่มั้ยล่ะ 

3. ฉันเป็นมิตรกับคนทั่วโลก 

มีสัญญาณตอบรับจากสายที่ท่านเรียก

         บางทีเสาสัญญาณแห่งความสุขของคุณที่แผ่ไปรอบทิศทาง คนอยากวิ่งเข้ามาหา แต่ติดกำแพงของตัวเองก็มี เพราะความกลัวเป็นธรรมชาติที่ฝังอยู่ใน DNA ของคน คุณต้องส่งสัญญาณออกไปก่อนว่าพร้อมที่จะต้อนรับหากเขาก้าวเข้ามาหา นอกจากยิ้มแย้มแล้วต้องรู้จักทักทายก่อน

        ยิ่งถ้าเคยรู้จักเขาหรือเธอเหล่านั้นจากคนอื่นมาบ้างแล้ว ทักทายก่อนเลยค่ะ ชื่อนั้นสำคัญฉะนี้ คนที่จำชื่อคนได้แม่น จะสร้างเฟิร์สอิมเพรสชั่น ความประทับใจว่าเขาคือคนที่คุณสนใจอยากรู้จักอยู่แล้ว สัญญาณตอบรับจากสายที่เรียกมาเต็มขนาดนี้ ไม่ชอบคุณก็ให้มันรู้ไปนะคะ   

4. ฉันอยากสร้างเราให้เหมือนกัน 

ชมอย่างที่เขาเป็น และเขาเห็นด้วย

         ทุกคนชอบที่จะเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่คนอื่นเห็นความดี ยกย่องสรรเสริญ เพราะเท่ากับช่วยเติมความมั่นใจให้เขา การรู้จักชื่นชม ยกย่องสรรเสริญคนอื่น เห็นข้อดี ความเก่งของคนอื่น แสดงความยินดีในความสำเร็จของคนอื่น เป็นการให้ก่อนแล้วสิ่งดีๆ เหล่านั้นจะย้อนกลับมาหาคุณ มันคือพลังอันศักดิ์สิทธิ์

         แต่มีทริกอยู่นิดหนึ่งว่า คำชื่นชมที่ออกจากปากของคุณ ต้องเป็นความจริง ชมในสิ่งที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขามีดีในจุดนั้น เท่ากับเป็นการย้ำว่า เขาคือคนสำคัญ คือคนเก่ง คนดีที่ใครๆ ก็มองเห็น อย่าชมในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น เพราะเขาจะมองว่าคุณยกยอปอปั้น ไม่จริงใจ  

         คนในโลกนี้ต้องการคำชมก็จริงแต่จะแสลงใจมากถ้ารู้ว่า คำชมเหล่านั้นคือของปลอม คุณไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ ความดีความเด่นเขารู้อยู่แก่ใจว่ายังไงก็เหมือนเดิม แต่ที่อยากได้เพิ่มเติม คือ คำยืนยัน 

5. ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ 

คนธรรมดาที่สำเร็จและล้มเหลว

          ต่อให้คุณมีความภาคภูมิใจในตัวเอง เป็นศูนย์รวมของความสุขที่พร้อมจะแบ่งจ่ายให้คนอื่น แต่ควรระวังนิดนึงนะคะ เหมือนภาษิตที่ว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน อย่านะ อย่ายกตนข่มคนอื่น ทั้งวาจาและท่าทาง

         ไม่มีใครอยากเป็นคนที่ด้อยกว่าคนอื่นหรอก ต่อให้มันเป็นจริงก็เถอะ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นที่รักของคนอื่นต้องรู้จักสงวนท่าทีให้ถูกจังหวะ คำชื่นชมควรออกจากปากคนอื่น แต่ความที่เคยล้มเหลวมาบ้างต้องออกจากปากเรา เพื่อให้คนรอบตัวรู้สึกว่า เราก็คนธรรมดาที่ครั้งหนึ่งอาจไม่เป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน เหมือนเขาตอนนี้นั่นแหละ

         นอกจากถ่อมตนแล้วยังได้เติมกำลังใจให้คนที่มาเข้าใกล้ด้วยว่า เขาเองก็มีสิทธิ์เป็นได้อย่างเราในวันหน้าเช่นกัน 

6.ฉันชอบที่จะเหลือที่ยืนให้คนอื่น

ถอยไปยืนข้างหลัง ยามคนอื่นแสดงนำ

         คนที่จะเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น ต้องเป็นคนที่รู้จักอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ อย่าขโมยซีนเป็นนางเอกตลอดเวลา เพราะใครล่ะที่อยากเป็นตัวประกอบตลอดชีวิต แน่ล่ะ คนโดดเด่นอย่างคุณ ออร่าย่อมเปล่งประกายตลอดเวลาเป็นที่สนใจของคนอื่น

         แต่ถ้ารู้จักเปิดทางให้คนรอบตัวได้แสดงนำบ้าง หนุนสุดฤทธิ์เพื่อให้คนอื่นได้เด่น แล้วถอยออกมายืนข้างหลัง ในสายตาคนส่วนมากอาจเห็นคุณเป็นองค์ประกอบ แต่เชื่อเถอะว่า คุณน่ะ นางเอกในดวงใจของคนที่คุณผลักเขาออกมายืนข้างหน้าแน่นอน 

7.ฉันเป็นตัวของตัวเอง ไม่เฟค

ไม่มีใครหลอกใครได้ตลอดเวลา

         จงเป็นทุกอย่างข้างต้นตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 6 อย่างเป็นตัวของคุณจริงๆ อย่าทำให้คนอื่นชอบด้วยการเสแสร้งแกล้งเป็น โปรดจำไว้ว่าเราไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกชอบเราได้ แต่คนที่ชอบเราเขาคือคนของเราและชอบในความเป็นเรา จึงไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งเพื่อเป็นคนที่คนอื่นชอบ ไม่มีใครหลอกใครได้ตลอดเวลา ถ้าเขาจะชอบขอให้ชอบที่คุณเป็นคุณ อย่าเฟค 

นี่คือ 7 เทคนิกทรงพลังให้คุณพร้อมส่งต่อให้คนรอบข้างตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่วันข้างหน้า ใครๆ ก็ต้องชอบคุณอย่างแน่นอนค่ะ 

เรียบเรียงโดย คะนิ้ง – Learning Hub Team 

 

 

7 เทคนิค เลือกลูกน้องอย่างไรไม่ให้เปลี่ยนงานบ่อย

15

         สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผู้บริหารคือการคัดสรรคนให้เหมาะกับงาน  ผลประกอบการจะออกมาดีหรือไม่ย่อมขึ้นกับคน Learning Hub จึงขอนำเสนอ 7 เคล็ดลับในการเลือกคนให้เข้ากับงาน หรือ “Put the right man on the right job” ฝากให้บรรดาผู้บริหารได้ลองนำไปเป็นไอเดียในการเลือกลูกน้องกันครับ 

1.พิจารณาจากงานที่เคยทำ  

งานที่แตกต่างจึงต้องการคนที่แตกต่างกัน  

         Peter  Drucker ปรมาจารย์ด้านการจัดการยุคใหม่ กล่าวว่าหากพนักงานทำงานไม่ดีย่อมเป็นความผิดของผู้บริหาร ไม่ใช่พนักงาน เพราะผู้บริหารเป็นคนเลือกเขามาทำงานเอง ดังนั้นเพื่อป้องกันความผิดพลาด ผู้บริหารจึงต้องใส่ใจกับการเลือกคนให้เหมาะสมกับงาน เขาจึงแนะนำว่าการเลือกคนต้องพิจารณาจากงานที่คนผู้นั้นเคยรับผิดชอบมาก่อน อย่างน้อยก็จากประสบการณ์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 

         ยกตัวอย่างเช่น การจะหาผู้จัดการฝ่ายการตลาดสักคน ต้องคิดก่อนว่า หน้าที่ของผู้จัดการคนนี้คืออะไร เพิ่มยอดขาย คิดค้นสินค้าใหม่ หรือเจาะตลาดใหม่ ซึ่งงานแต่ละอย่างมีความแตกต่างกัน    จึงต้องการคนที่มีประสบการณ์แตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรเลือกพนักงานที่เคยผ่านงานหรือมีประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งนั้นมากที่สุด หากคุณสนใจแนวคิดดีๆของ Drucker ผมแนะนำหนังสือชื่อ The Essential Drucker ครับ 

 2.อย่ามอบงานใหญ่ให้คนไม่ใหญ่   

 

กระจายอำนาจการตัดสินใจให้พนักงาน  

         Alfred Sloan อดีตผู้บริหารบริษัท General Motors ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับบริษัท    หนึ่งในนั้นคือการปรับวิธีการทำงาน โดยการกระจายอำนาจให้พนักงาน ส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและสามารถแสดงความคิดเห็นได้ 

         ซึ่งเป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในองค์กร  แต่ไม่ได้หมายความว่าพนักงานทุกคนจะมีอำนาจในการตัดสินใจเท่ากันนะครับ เพราะสำหรับพนักงานใหม่แล้ว   เขาจะยังไม่มอบหมายภาระงานสำคัญให้ เนื่องจากยังอ่อนประสบการณ์ ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความผิดพลาดได้    

        เขาจึงมอบหมายให้พนักงานใหม่ทำงานที่มีความชัดเจนสูง คาดการณ์ได้ ส่วนพนักงานที่มีประสบการณ์แล้วเขาจึงเพิ่มอำนาจในการตัดสินใจครับ  คุณสามารถติดตามแนวคิดของเขาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.economist.com/node/13047099  

3.ถามไถ่คนใกล้ชิด  

 

ผู้บริหารต้องฟังสิ่งที่คนอื่นคิด  

        Hermann Abs อดีตผู้บริหาร Deutsche Bank มีมุมมองว่า การเลือกใช้คนของผู้บริหารโดยมากตั้งอยู่บนอคติส่วนตัว ทำให้ใช้คนผิดประเภท หรือเลือกแต่งตั้งคนที่ใกล้ชิดมากกว่าคนที่มีความสามารถ  

        เพื่อให้การเลือกคนมีความถูกต้องและผิดพลาดน้อยที่สุด เขาจึงมองว่านอกจากการสอบประวัติของบุคคลที่ต้องการแต่งตั้งแล้ว ผู้บริหารควรจะสอบถามจากเจ้านายเก่า ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน อย่างน้อย 3 – 5 คน เพื่อให้ได้ข้อมูลรอบด้านเพื่อประกอบการเลือกคนที่เหมาะสม

        ดังนั้น “ We need to listen ผู้บริหารจึงต้องรับฟัง” ครับ คุณสามารถอ่านแนวคิดของเขาเพิ่มเติมที่ http://www.independent.co.uk/news/people/obituary-hermann-abs-1392727.html  

4.เลือกคนที่เข้าใจงาน  

 

วิถีของ Apple คือสร้างเอกลักษณ์ให้กับสินค้า  

        Tim Cook ซีอีโอบริษัท Apple ผู้มุ่งมั่นสร้างสรรค์สินค้าเทคโนโลยีขั้นเทพให้กับลูกค้า ดังนั้นหัวใจสำคัญของ Apple จึงอยู่ที่แผนกฮาร์ดแวร์เทคโนโลยี เพราะแผนกนี้จะทำหน้าที่ผลิตชิป ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสมองของสินค้า ดังนั้นคนที่จะรับบทหนักเช่นนี้ Tim Cook จึงเลือก  Johny Srouji  ทำไมต้องเป็นเขา ? 

        Srouji เคยผ่านงานจากบริษัท Intel และ IBM มาก่อน เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการวางระบบชิปเป็นอย่างดี เมื่อเขาเข้าร่วมงานกับ Apple  Srouji มีส่วนอย่างมากในการออกแบบระบบการทำงานของ iPhone และแท็บเล็ตใหม่   ทำให้ระบบการทำงานมีเสถียรภาพและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น   

        จึงทำให้  Apple สามารถยืนหยัดแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างมั่นคง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ Tim Cook เลือกคนที่เข้าใจงานทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำความรู้จัก Johny Srouji ได้ที่นี่ครับ https://www.linkedin.com/in/johny-srouji-1b7a944  

 5.เข้าใจคนก่อนใช้คน   

 

 อย่าให้จุดด่างดำมาบดบังหยกขาว  

         Bob Burg วิทยากรชื่อดังของสหรัฐอเมริกา และเจ้าของหนังสือชื่อ The Go-Giver Leader เป็นกูรูอีกคนหนึ่งด้านการใช้คนครับ แน่นอนครับว่า ทุกคนย่อมมีดีมีเสียแตกต่างกันไป เขาจึงแนะนำครับว่า ควรมองคนจากจุดแข็งก่อนครับ เพราะมูลค่าของงานจะสร้างสรรค์ขึ้นได้จากจุดแข็งของคน  

        จากนั้นจึงพิจารณาจากจุดอ่อนครับ แต่ไม่ใช่คือมีจุดอ่อนแล้วคัดออกนะครับ เพราะเขาแบ่งจุดอ่อนออกเป็น 3 ประเภท คือ     จุดอ่อนที่ไม่เป็นปัญหา จุดอ่อนที่แก้ไขได้ และจุดอ่อนที่เป็นปัญหา  พูดง่ายๆก็คือ หากพนักงานมีจุดอ่อน 2 ประเภทแรก ไม่ถือเป็นปัญหาครับ แต่หากเป็นจุดอ่อนประเภทที่สาม แม้ว่ามีจุดแข็งที่ดีแค่ไหนคงต้องคัดออกครับ  

         เขาได้ยกตัวอย่างวิศวกรที่ทำงานเก่งคนหนึ่ง ซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าแผนก แต่วิศวกรรายนี้ทำหน้าที่ประสานงานได้ไม่ดี แต่งานในตำแหน่งหัวหน้าต้องมีทักษะการประสานงาน

         ดังนั้นจุดอ่อนของเขาถือเป็นประเภทที่สาม เพราะถ้าเขาไม่สามารถประสานงานได้  ก็ไม่อาจแบกรับความรับผิดชอบได้ครับ ติดตามแนวคิดของ Bog Burg ได้ที่ https://www.facebook.com/burgbob/  

 6.เลือกคนจากลักษณะนิสัย   

 

Judging เหมาะกับงานบัญชี แต่ Perceiving เหมาะกับงานการตลาด  

         โดยทั่วไปลักษณะนิสัยของแต่ละคนมีส่วนอย่างมากต่อผลลัพธ์ของการทำงาน   คนที่ชอบทำงานเป็นขั้นเป็นตอน วางแผนล่วงหน้า ไม่ค่อยครีเอทีฟ เรียกว่า Judging ครับ เหมาะกับการทำงานบัญชีหรือการเงิน          เพราะเป็นคนละเอียด 

          แต่คนที่ชอบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ชอบงานเอกสาร เรียกว่า Perceiving เหมาะกับงานการออกแบบหรือการตลาดครับ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Target ถูกโจรกรรมข้อมูล บริษัทสูญเสียความเชื่อมั่น ผู้ถือหุ้นจึงเลือก John Mulligan ดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการ CEO แทน CEO คนเก่าที่ขาดความน่าเชื่อถือไปแล้ว

          เหตุที่เลือกเขาเพราะเขาเป็นรองประธานฝ่ายการเงินหลายปี ทำงานละเอียด หรือก็คือเป็นคนประเภท Judging ซึ่งเหมาะที่จะเข้ามาประเมินความเสียหายและฟื้นฟูสถานะทางการเงินภายหลังถูกโจรกรรมข้อมูล  

คนละเอียดและรอบคอบจึงเหมาะกับสถานการณ์นี้มากกว่าคนครีเอทีฟครับ คุณสามารถศึกษาประวัติของ John Mulligan ได้ที่  https://www.linkedin.com/in/john-mulligan-2664812 

 7.ต้องเป็นที่ยอมรับ 

 

เลือกคนที่เป็นที่ยอมรับ ย่อมทำงานได้ราบรื่น  

         เทคนิคนี้ผมได้บทเรียนจากประธานาธิบดีโอบามาครับ   เมื่อครั้งโอบามารับตำแหน่งประธานาธิบดีใหม่ๆ เสียงวิพากษ์ดังขรมว่า โอบามาขาดประสบการณ์ด้านการต่างประเทศ เมื่อเป็นเช่นนี้การประสานงานกับรัฐสภาจะเป็นไปได้ด้วยความยากลำบากมาก  

         คงไม่มีใครให้ความร่วมมือกับเด็กอ่อนอย่างโอบามาแน่  ดังนั้นโอบามาจึงดึง โจเซฟ ไบเดน เข้ามาเป็นรองประธานาธิบดี ซึ่งจะเขาเคยเป็นกรรมาธิการด้านต่างประเทศถึง 9 สมัย

         ด้วยประสบการณ์ชั้นเซียนเช่นนี้ ย่อมกลบจุดอ่อนของโอบามาได้เป็นอย่างดี และความน่าเชื่อถือและการยอมรับย่อมเพิ่มขึ้น  หากคุณสนใจสามารถติดตามโอบามาได้ที่ https://www.barackobama.com/  

         แม้ว่าคุณจะเรียนรู้เทคนิคการใช้คนทั้ง 7 ข้อไปแล้วก็ตาม แต่ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ แต่หากเราใช้คนผิดพลาด เราก็ควรยอมรับความจริง และเปลี่ยนคนใหม่ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นอาจจะสร้างความเสี่ยงให้กับองค์กรได้   เพราะ Misfit is cruel to an organization.    

รียบเรียงโดย วิญญู – Learning Hub Team 

ที่มา  The Eessential Drucker: Peter Drucker author  

http://www.bloomberg.com/features/2016-johny-srouji-apple-chief-chipmaker/  

 

10 เว็บไซต์อัพแรงบันดาลใจเกินล้น

10-sites-add-up-inspired

คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แรงบันดาลใจ (Inspiration) เป็นแรงขับสำคัญให้คนก้าวข้ามอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จในชีวิตตามที่ฝันไว้  แรงบันดาลใจเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วไม่หมดไป สร้างขึ้นใหม่ทดแทนของเก่าได้เรื่อยๆ

บางคนอาจกระตุ้นตัวเองด้วยการดูหนังดีๆ สักเรื่อง หรือหาหนังสือดีๆ สักเล่มมาอ่าน บางคนแค่คำคมที่แชร์กันในโลกโซเชียลก็สามารถจุดไฟฝันให้ลุกโชติช่วงได้แล้ว

วันนี้ Learning Hub Thailand มี 10 เว็บไซต์โดนๆ  ที่เป็นแหล่งสร้างเสริมแรงบันดาลใจชั้นดีมาฝาก ใครต้องการกำลังใจอย่างแรงลองแวะเข้าไปชมกันได้เลยครับ

1. TED (talks)

“แหล่งรวมเรื่องเล่าสร้างแรงบันดาลใจผ่านประสบการณ์ตรง”

ใครกำลังประสบภาวะไอเดียตีบตัน แรงบันดาลใจแห้งเหือด โดยเฉพาะคนทำงานด้านเทคโนโลยี สายบันเทิง หรืองานดีไซน์ คลิกเข้าไปที่ TEDTalks ได้เลยครับ เพราะที่นี่มีเรื่องเล่าสร้างแรงบันดาลใจรอให้คุณเข้าไปตักตวงผ่านคลิปวิดีโอมากมาย ซึ่งแต่ละคลิปจะมีเหล่าคนดัง ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ มาแชร์ประสบการณ์ผ่านมุมมองส่วนตัว และให้แง่คิดดีๆ เต็มไปหมด TEDTalks

ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1984 ทุกวันนี้กลายเป็นศูนย์รวมของคนเก่งในหลายสาขาไปแล้ว แถมมีการจัดกิจกรรมสัมมนา มีอีเว้นท์โดนๆ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใครชอบฟังเรื่องเล่าสร้างแรงบันดาลใจต้องคลิกไปดู TEDTalks ครับ

2. The Creativity Portal

“เติมพลังบันดาลใจพิเศษใส่ไข่ให้งานปังได้ที่นี่”

อีกหนึ่งเว็บที่มาพร้อมแรงบันดาลใจแบบล้นๆ  เหมาะสำหรับคนทำอาชีพด้านงานเขียน ครีเอทีฟหรือศิลปินในทุกแขนง Creativity Portal เป็นเว็บแบบ how-to นะครับ มีเรื่องราวดีๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทความเจาะลึก แหล่งข้อมูลคัดสรรมาโดยเฉพาะ รอให้คนไอเดียตันเข้าไปเก็บเกี่ยวสร้างแรงบันดาลใจกันด้วยตัวเองได้ตลอด 

ที่สำคัญคือ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ในอาชีพที่ทำ หรือเป็นมือโปรในสายงานของตัวเอง เมื่อเข้ามาที่นี่แล้วจะต้องได้อะไรดีๆ กลับไปด้วยอย่างแน่นอน ไม่งั้น Creativity Portal  คงไม่มีชื่อติดอันดับ 101 เว็บไซต์เชิงสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดของนิตยสารดัง Writer’s Digest ติดต่อกันมาหลายปีอย่างแน่นอนครับ

3. Eldad Hagar

“เรื่องเล่าบันดาลใจของคนหัวใจรักสัตว์”

เว็บนี้ใช้ชื่อเดียวกับผู้ก่อตั้งครับ นั่นคือ Eldad Hagar ซึ่งร่วมกับภรรยา Audrey Spilker Hagar ก่อตั้งขึ้นเพื่อระดมความช่วยเหลือให้กับบรรดาสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งและถูกทารุณในเขตนครลอสแอนเจลิสของสหรัฐฯ มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอบันทึกภารกิจต่างๆ ในการช่วยเหลือสัตว์ของคนทั้งคู่

หลายคลิปกลายเป็น viral สร้างแรงบันดาลใจให้เหล่าคนรักสัตว์ไปทั่วทุกมุมโลก เดี๋ยวนี้สัตว์ที่สองสามี-ภรรยาช่วยก็มีคนใจดีมาขอรับไปเลี้ยงดูต่อมากมาย ช่วงนี้บ้านเรากำลังรณรงค์เรื่องสิทธิสัตว์กันอย่างจริงจังด้วย คนรักสัตว์ห้ามพลาดจริงๆ ครับ

4. Belief Net

“คุณเชื่อมั่นในตัวเองถึงระดับจิตวิญญาณมั้ย”

เป็นเว็บยาแรงที่มุ่งสร้างแรงผลักดันให้เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับจิตวิญญาณกันเลยทีเดียวครับ  พูดง่ายๆ คือเว็บนี้จะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น สร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้นกับตัวเอง และนำไปสู่การเกิดความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า จนพร้อมก้าวข้ามฟันฝ่าทุกอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จอย่างมั่นใจ

ในเว็บมีเนื้อหาและข้อมูลครอบคลุมหลายด้าน รอให้คุณเก็บแรงบันดาลใจกันได้ตลอด โดยจะมีทั้งที่เป็นโควตคำพูดเด็ดๆ มีแนะนำวิธีการทำสมาธิและอื่นๆ อีกมากมาย ใครที่กำลังสับสน หลงทาง รู้สึกลังเล ไม่มั่นใจ รีบมารับการกระตุ้นจากเว็บนี้กันได้เลยครับ

5. John Wooden

“ยอดโค้ช ยอดคนบันดาลใจกับแชมป์บาสเกตบอลระดับประเทศ 10 สมัย”

John Wooden คือยอดโค้ชผู้พาทีมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเป็นแชมป์ระดับประเทศ 10 สมัยในรอบ 12 ปี ด้วยบุคลิกภาพอันโดดเด่น บวกกับความมุ่งมั่นแรงกล้า เป็นคนตรงไปตรงมา แต่สุภาพมีมารยาทเป็นสุภาพบุรุษตัวจริง ทำให้ Wooden กลายเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้คนมากมายทั่วโลก

แม้แต่เว็บดังอย่าง  TEDTalk ยังต้องเชิญ Wooden ไปพูดในงานอีเว้นท์ของเว็บมาแล้วนะครับ ในเว็บไซต์มีเรื่องราวดีๆ หลากหลายแง่มุมของเขาให้เก็บเกี่ยวไปใช้เป็นแรงผลักดันได้ไม่มีวันหมด โดยเฉพาะเรื่อง pyramid for success (ปิรามิดแห่งความสำเร็จ)

Wooden จากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2010 แต่ความยิ่งใหญ่ของเขาจะคงอยู่ในใจของคนที่ยังไล่ล่าหาความสำเร็จต่อไปอีกนานเท่านาน

6. Academy of Achievement

“ไม่ว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน จุดเริ่มต้นแห่งชัยชนะเริ่มที่ตัวคุณ”

มาที่เว็บไซต์ของสถาบัน American Academy of Achievement กันบ้างนะครับ เป็นเว็บรวบรวมบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟของผู้ที่ประสบความสำเร็จในแขนงอาชีพสาขาต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะ แวดวงธุรกิจ วิทยาศาสตร์ วงการกีฬา ฯลฯ ถูกรวบรวมมาไว้เป็นพิพิธภัณฑ์เสมือนจริงให้เดินเข้าไปค้นหาแรงบันดาลใจกันได้ตลอด

ใครอยากประสบความสำเร็จอย่าง โอปราห์ วินฟรีย์  อยากรู้ว่าพิธีกรหญิงชื่อก้องโลกคนนี้ต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้างและมีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ ลองพาตัวเองเข้าไปชมกันได้ที่นี่ครับ

7. Jack Canfield

“ไม่ว่าใครก็ประสบความสำเร็จได้ ถ้ามีหลักการที่ดี”

Jack Canfield สุดยอดเทรนเนอร์ด้านความสำเร็จหมายเลข 1 ของอเมริกา มีผลงานตีพิมพ์ชุด Chicken Soup for the Soul เป็นหนังสือ Best Seller โด่งดังไปทั่วโลกจากยอดขายเกิน 100 ล้านเล่ม  

ทุกวันนี้ Jack Canfield ประสบความสำเร็จมากมายในงานที่ทำ เขาจึงอยากแบ่งปันข้อมูลและความรู้ที่มีให้กับทุกคนที่อยากประสบความสำเร็จ เว็บไซต์นี้จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นไกด์ให้ข้อมูล แนวทาง เป็นเหมือนแผนที่นำไปสู่ความสำเร็จนั่นเอง ผลงานของ Jack ที่แปลเป็นไทยมีจำหน่ายในบ้านเราแล้วก็คือ สูตรเด็ดความสำเร็จ (ฉบับหนุ่มสาว) ครับ

8. Jennifer Louden

“แรงบันดาลใจตัวแม่แด่ผู้หญิงทุกคนทั่วโลก”

เทรนเนอร์ด้านความสำเร็จที่เป็นผู้หญิงก็มีนะครับ และ Jennifer Louden หญิงสาวที่ประสบความสำเร็จในงานด้านนี้อย่างมาก ผลงานตีพิมพ์ระดับ Best Seller ของเธอที่ชื่อ The Women’s Comfort Book ซึ่งรวบรวมข้อมูลและแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงกล้าที่จะลุกขึ้นมาใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ

ทำให้เธอกลายเป็นตัวแม่ของบรรดาผู้หญิงทั่วโลกไปแล้ว  และในเว็บไซต์ของเธอเองก็จะมีเรื่องราว ข้อมูลดีๆ มาอัพเดทอย่างต่อเนื่อง ใครที่ลงทะเบียนสมัครสมาชิกกับเว็บ นอกจากจะได้รับข่าวสารส่งตรงเข้าอีเมลเป็นประจำ เขายังมีส่วนลดสำหรับซื้อสินค้า มีของขวัญกระจุกกระจิกมาฝากกันตามประสาผู้หญิงด้วยครับ

9. Laughter Yoga International

“หัวเราะสร้างพลังบวกในตัวคุณ”

“โยคะหัวเราะ” คิดค้นขึ้นโดย ดร.เมดาน คาทาเรีย แพทย์ชาวอินเดีย เป็นการออกกำลังกายที่ผสมผสาน “การหัวเราะอย่างไม่มีเงื่อนไข” ควบคู่ไปกับ “การหายใจแบบโยคะ” และกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก

ปัจจุบันมีสาขากว่า 6000 แห่งเปิดใน 60 ประเทศทั่วโลก หลักการของ “โยคะหัวเราะ” ก็คือทำให้คนเล่นหัวเราะออกมา เพราะการหัวเราะจะทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขหรือเอนโดรฟีนออกมานั่นเอง ทีนี้เมื่อมีความสุข ความเครียดก็หาย สามารถคิดอะไรที่เป็นบวกได้

ใครอยากมีความสุข ใครอยากหัวเราะรีบเข้าไปที่เว็บไซต์นี้กันเลย รับรองว่าจะมีเรื่องที่ทำให้ต้องหัวเราะออกมาได้แน่นอนครับ ลืมบอกไปว่าในบ้านเรามีสาขามาเปิดแล้วครับ

10. Debbie Ford

“ปรับลุค พิชิตความกลัว ปลุกพลังบวกในตัวคุณ”

Debbie Ford คือผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพและเสริมสร้างศักยภาพให้กับบุคคล เธอมีงานตีพิมพ์ระดับ Best-seller อย่าง The Dark Side of the Light Chasers, Spiritual Divorce และ The Secret of the Shadow เป็นผลการศึกษาชิ้นใหม่ทางด้านอารมณ์และจิตวิญญาณที่สร้างแรงสั่นสะเทือนเป็นอย่างมากไปทั่วโลก

เว็บไซต์ของ Debbie พูดถึงวิธีการเอาชนะความกลัว บอกถึงแนวทางในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง มีเรื่องของการทำสมาธิชำระล้างความคิดในแง่ลบ และอีกมากมายรอให้เข้าไปค้นหา           

สุดท้ายอยากบอกว่า อย่ารอให้ใครมาให้กำลังใจคุณ เพราะบางทีแรงบันดาลใจอาจจะไม่มีใครบันดาลได้ดีไปกว่าตัวคุณเองครับ

เรียบเรียงโดย ป๋อม – Learning Hub Team

ที่มา: http://www.8womendream.com/6460/the-top-48-motivational-and-inspirational-web-sites

5 เคล็ดลับมี “ความสุข” โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท

5 secrets to be happy with no money

           นอกจากกินขนม ไปเที่ยวสักทริป นั่งเม้าส์กับเพื่อนในร้านกาแฟดูจะเป็นกิจกรรมที่ต้องควักเงินในกระเป๋าเพื่อซื้อความสุขให้ตัวเอง แต่จะดีกว่ามั้ย? ถ้ามีวิธีที่สามารถให้ความสุขเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียว!

           Learning hub ขอเสนอ 5 เคล็ด (ไม่) ลับฉบับง้ายง่าย ที่จะทำให้คุณมีความสุขได้จนลืมเรื่องเงินไปเลย

1.อ่านข้อความเก่าๆ

           ในยุคที่คนเรานิยมสื่อสารกันผ่านไลน์ เฟสบุ๊คหลายข้อความที่ก่อให้เกิดความรู้สึกดีๆ จึงถูกกักเก็บไว้ในนั้น หากคุณคือคนหนึ่งที่เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ไอที นี่คือหนึ่งในเคล็ดลับหาความสุขโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท แค่ลองเลือกแชทคนสนิท เพื่อนสนิทหรือกลุ่มรวมรุ่นสมัยเรียน

           แต่แทนที่คุณจะเปิดประเด็นหาเรื่องคุย ลองย้อนกลับไปอ่านข้อความเก่าๆ ดูสักครั้งสิคะ ให้ความทรงจำค่อยๆ เริ่มทำงาน เรื่องไหนที่เคยเรียกเสียงหัวเราะ เพิ่มรอยยิ้มได้เมื่อวันวาน วันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะเผลอยิ้มและมีความสุขได้อีกครั้งนึง

 2.ดูรูปตัวเองตอนเด็ก

            ครั้งสุดท้ายที่คุณหยิบรูปตอนเด็กขึ้นมาคือเมื่อไหร่?  ถ้าตอบคำถามนี้ไม่ได้ แนะนำให้รื้อรูปเก่าๆ ขึ้นมา ตั้งแต่สมัยกล้องฟิล์มที่คุณพ่อคุณแม่ถ่ายพัฒนาการของคุณเก็บไว้เพราะรูปในวัยเด็กมักเต็มไปด้วยรอยยิ้มกับกิจกรรมง่ายๆ ที่เรียกเสียงหัวเราะคุณได้ตั้งแต่เกิด

           จำได้มั้ยคะว่าครั้งสุดท้ายที่คุณหยิบรูปตอนเด็กขึ้นมาคือเมื่อไหร่ ? ถ้าตอบคำถามนี้ไม่ได้ให้คุณรื้อรูปเก่าๆ ขึ้นมา ตั้งแต่สมัยกล้องฟิล์มที่คุณพ่อ คุณแม่ถ่ายรูปคุณไว้ตั้งแต่ยังแบเบาะ เพราะรูปในวัยเด็กเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความทรงจำที่ดี ที่เรียกเสียงหัวเราะให้คุณได้ค่ะ

           นอกจากความสุขที่จะได้จากรูปถ่ายเหล่านั้น คุณยังจะได้เห็นความรักจากคนรอบตัว สัมผัสได้ถึงความหวังดีและรู้สึกมีค่าในตัวเองมากขึ้น อย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับรูปถ่ายไหนมาก่อนอีกด้วยนะคะ

3.ฟังเพลงกระตุ้นการสร้างฮอร์โมน

            ถ้าคุณเป็นคนชอบฟังเพลงและเคยได้ยินเรื่อง “ดนตรีบำบัด” ลองเสิร์ชหาดนตรีแนว Ambient ที่เน้นเสียงบรรยากาศธรรมชาติ ไม่มีเนื้อร้อง วิธีนี้เหมาะมากสำหรับคนที่อยากพักผ่อนหาความสุขสงบอย่างแท้จริง

            เพราะเพลงแนว Ambient มีส่วนทำให้สมองของคนเรารู้สึกผ่อนคลายและเกิดคลื่นสมองแบบ alpha (คลื่นสมองที่เกิดขึ้นในขณะพักผ่อนแต่ยังอยู่ในภาวะที่รู้สึกตัว) ซึ่งเป็นการเปิดพื้นที่ว่างให้สมอง ช่วยเสริมประสิทธิภาพการรับข้อมูลใหม่ๆ ให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ

ตัวอย่าง ดนตรี ambient :

– Breathe deep your chorus

 

4.ทำกิจกรรมโปรดทั้งวัน

            แต่ถ้าคุณไม่ชอบการหยุดนิ่งอยู่กับที่ลองหันไปมองรอบตัวคุณจะเจอหนังสือที่ชอบ  บ้านที่ยังไม่ได้กวาด ต้นไม้ที่ยังไม่ได้รดน้ำ เกมส์กดที่ยังไม่ได้เล่น ฯลฯ ซึ่งการทำกิจกรรมใดก็ตามจะส่งผลให้ “สมอง” ตื่นตัวและร่างกายจะหลั่งสารโดพามีน (ฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกมีความสุข) ออกมาได้ค่ะ

          นักวิทยาศาสตร์พบว่า “คนที่ทำงานหรือกิจกรรมหลายอย่างพร้อมกันจะรู้สึกอิ่มเอมทางอารมณ์มากกว่าผู้ที่ทำงานเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งและเมื่อทำงานหรือกิจกรรมสำเร็จ ยิ่งทำให้โดพามีนเข้าสู่ระบบร่างกายของเรามากขึ้น ส่งผลให้มีความสุขมากยิ่งขึ้นนั่นเอง”

5.ออกไป “ให้”

            “ให้” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง สิ่งของ เงิน แต่เป็น “สิ่งที่คุณมีอยู่แล้ว” ค่ะ เช่น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แค่ก้าวเดินออกไปข้างนอก ทักทายคนรู้จักด้วยรอยยิ้ม พูดคุยแต่เรื่องที่สร้างเสียงหัวเราะหรือแม้แต่การออกไปสร้างความสุขตามมูลนิธิต่างๆ ก็เป็นการ “ให้”โดยไม่เสียเงินสักบาทค่ะ แต่คุณจะได้ “รับ” ความสุขกลับมาในระดับที่วัดเป็นปริมาณไม่ได้เช่นกัน   

             เรื่องของความสุขไม่จำเป็นต้องวัดกันที่สิ่งของเสมอไปค่ะ สถานที่ที่ไปหรือคนรอบตัวเสมอไป  มีคำพูดของ Andrew Oswald นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษแห่งมหาวิทยาลัย Warwick กล่าวไว้ว่า “ความสุขที่เราได้มาจากเงินนั้นมีค่าน้อยมาก เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับความสุขที่เราได้มาจากปัจจัยอื่นๆ ในชีวิต”

…คุณล่ะคะเคย “มีความสุข” แบบไม่ต้องเสียเงิน สักครั้งหรือยัง?

เรียบเรียงโดย  Aris –Learning Hub Team

ที่มา : www.facebook.com/PsychologistCafe

https://en.wikipedia.org/wiki/Ambient_music

 www.compasscm.com/viewissue.php?id=190&lang=th&issue=99  

 www.stjohn.ac.th/University/Guidance

 

 

 

 

 

10 เว็บพัฒนาตนเองที่มีคนติดตามมากที่สุด

10 web of self develop

            จะกี่ยุคสมัยผ่านไป ศาสตร์ที่ไม่เคยล้าสมัยเลย คือศาสตร์แห่งการพัฒนาตนเอง นั่นเพราะการเติบโตนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ครับ คนเราล้วนต้องการเติบโตเพื่อชีวิตที่มีความสุข ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ตราบใดที่เรายังใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราจึงยังคงต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอครับ 

           วันนี้ Learning Hub นำ “10 เว็บไซต์การพัฒนาตนเอง ที่มีคนติดตามมากที่สุด” มาฝากทุกคน เพื่อเป็นแหล่งความรู้ในการพัฒนาตนเองไปสู่จุดหมายที่ทุกท่านต้องการครับ ไปดูกันเลย 

1.Lifehack (http://www.lifehack.org

         “ตั้งเป้าหมายแล้วเราจะบันดาลใจให้คุณกลายเป็นคนที่มีความสุขกว่าเดิม”

            Lifehack เป็นเว็บไซต์การพัฒนาตนเองที่ถูกจัดอันดับโดยผู้อ่านทั่วโลกให้เป็น “อันดับหนึ่ง” หลายปีซ้อนกัน โดยแนวคิดของเว็บนี้ คือการรวบรวมองค์ความรู้และความคิดดีๆที่เป็นเทคนิคเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในด้านต่างๆกันครับ 

           หากใครลองเข้าไปในเว็บไซต์นี้ดู จะพบว่าบทความใน Lifehack นั้นน่าจะเรียกได้ว่ามีครบทุกด้านของชีวิตคนเรา ทั้งแรงบันดาลใจ วิถีการใช้ชีวิต เงินทอง ครอบครัว สุขภาพ การสื่อสารกับผู้อื่น ความรัก ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่การใช้เทคโนโลยีครับ ซึ่งความครบเครื่องนี้ ถือเป็นจุดเด่นของเว็บนี้เลย  

           ใครยังไม่เคยอ่านบทความจากเว็บไซต์นี้ Learning Hub ขอแนะนำบทความ “25 Things you should do before you’re 50”  ( http://www.lifehack.org/articles/communication/25-things-to-do-before-you-turn-25.html) ลองติดตามกันนะครับ 

2.Elite Daily (http://elitedaily.com/

         “เสียงของคน Generation Y”

           Elite Daily เป็นเว็บที่วางตัวให้เป็นกระบอกเสียงของคนรุ่นใหม่ โดยตั้งสโลแกนไว้ว่า “The voice of generation Y.” แต่ถึงแม้จะวางตัวแบบนี้ จริงๆแล้วเว็บนี้เป็นประโยชน์ต่อคนทุกรุ่นทุกวัยครับ

          บทความของเว็บนี้จะมีหลากหลายประเภท เท่าที่เห็นหลักๆได้แก่ ข่าว ชีวิต ความรัก การเงิน กีฬา การออกเดต เป็นต้นครับ ซึ่งแต่ละบทความจะยกตัวอย่างประกอบอย่างเห็นภาพชัดพร้อมกับการเล่าเรื่องสนุกๆสไตล์คนรุ่นใหม่ 

          จุดเด่นของ Elite Daily คือ การมีสาระปนอารมณ์ขันนิดๆ ทำให้อ่านแล้วนอกจากจะได้ประโยชน์เพื่อเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้แล้วยังคลายเครียดได้ด้วยครับ หากใครสนใจลองติดตามดูนะ

          บทความที่แนะนำคือ “10 Things Everyone Who Doesn’t Feel Beautiful Should Know.”                                        http://elitedaily.com/life/things-to-feel-beautiful/1420907/ ครับ 

3.Thought Catalog (http://thoughtcatalog.com/

           “เว็บไซต์ที่อุทิศให้เรื่องราวและความคิดของคุณ”

            ลองจินตนาการถึงเว็บไซต์หนึ่งที่เป็นตัวกลางให้คนทั่วไปสามารถเขียนเรื่องราวดีๆ โปรโมทตัวเองให้ผู้อ่านได้รู้จัก และยังทำหน้าที่เป็นผู้ตีพิมพ์หนังสือให้นักเขียนด้วย เว็บที่ว่านี้คือ Thought Catalog ครับ  

           แนวคิดของเว็บไซต์นี้คือ ใครๆก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองได้ผ่านตัวหนังสือในบทความ โดยปัจจุบันมีนักเขียนที่เขียนบทความในเว็บไซต์นี้ราวๆ 13,000 คน มีบทความในเว็บ 6 หมื่นกว่าบทความ และมีหนังสือออกมาแล้ว 280 เล่ม 

           สิ่งที่น่าสนใจคือ บทความในเว็บนี้จะมีความเป็นลักษณะเฉพาะของนักเขียนแต่ละคน ซึ่งความหลากหลายนี้เองที่เป็นจุดเด่นของเว็บนี้ บทความส่วนใหญ่จะออกแนวให้ข้อคิด สร้างแรงบันดาลใจ และให้เทคนิคดีๆเพื่อพัฒนาตนเองครับ ใครสนใจการพัฒนาตนเองที่มีความหลากหลายก็ลองติดตามเว็บนี้ดูครับ  

            บทความที่แนะนำคือ “30 Healthy Promises to make to yourself before turning 30.”( http://thoughtcatalog.com/kristin-addis/2016/03/30-healthy-promises-to-make-to-yourself-before-turning-30/) 

4.Greatist (http://greatist.com/

      “คุณไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างการมีความสุข หรือ สุขภาพดี เพราะมันคือสิ่งเดียวกัน”    

            Greatist เป็นเว็บไซต์พัฒนาตัวเองในเรื่องของสุขภาพกายและสุขภาพจิต ความน่าสนใจของเว็บนี้คือ “การโฟกัส” ในการนำเสนอ โดยเว็บนี้จะโฟกัสเพียง 3 เรื่องเท่านั้นคือ Eat, Move, Live หรือ การกิน การเคลื่อนไหว(ออกกำลังกาย) และการใช้ชีวิตครับ 

            ใครอยากมีสุขภาพดีทั้งทางกายและทางใจ ก็ลองเข้าเว็บนี้ดูครับ เพราะเว็บนี้ไม่ใช่แค่การสร้างแรงบันดาลใจอย่างเดียวแน่นอน แต่จะมีทั้งบทความและคลิปวิดิโอที่บอกหมดเลยตั้งแต่แนวคิด วิธีการแบบเป็นขั้นตอนที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที รับรองว่าไม่ผิดหวังครับ บทความดีๆที่แนะนำคือ “How to stop stressing about things you can’t control.”( http://greatist.com/live/life-advice-stop-stressing-about-things-you-cant-control) 

5.MindBodyGreen (http://www.mindbodygreen.com/

             “สร้างแรงบันดาลใจให้คุณมีชีวิตที่ดีที่สุด”

             MindBodyGreen เป็นเว็บไซต์ที่คล้ายกับ Greatist คือ เน้นในเรื่องของสุขภาพกายและสุขภาพจิต แต่ MindBodyGreen จะมีหมวดหมู่เยอะกว่า โดยเว็บนี้จะโฟกัสที่ 5 เรื่อง คือ การกิน การเคลื่อนไหว(ออกกำลังกาย) การนอนหลับ การหายใจ(ทำสมาธิ) และความรักครับ ซึ่งบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความรู้เหล่านี้ต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ 

             ทีเด็ดของเว็บนี้คือการแบ่งหมวดหมู่ที่เป็นระบบและสะดวกต่อการค้นหาครับ เช่นในเรื่องของการออกกำลังกาย ได้ถูกแบ่งย่อยไปอีก 4 หมวด ได้แก่ ฟิตเนส, โยคะ, วิ่ง และกิจกรรมกลางแจ้ง โดยแต่ละหมวดจะมีการให้คำแนะนำแบบเป็นขั้นเป็นตอน ละเอียดยิบและสามารถนำไปใช้ได้ทันทีครับ  

             คนรักสุขภาพควรติดตามครับ ตัวอย่างบทความดีๆ ได้แก่ “10 Signs you are about to find the love of your life.”( http://www.mindbodygreen.com/0-24246/10-signs-youre-about-to-find-the-love-of-your-life.html) 

6.The Art of Manliness (http://www.artofmanliness.com/

           “บล๊อกที่จะช่วยปลดศักยภาพที่หายไปของความเป็นชาย”

            หากจะพูดถึงเว็บไซต์ที่เน้นสื่อสารถึงกลุ่มผู้ชายโดยตรง The Art of Manliness คือเว็บไซต์ที่ผู้ชายทั่วโลกที่ต้องการพัฒนาตนเองควรเข้าไปอ่านและติดตามครับ เพราะเว็บนี้ได้รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชายล้วนๆ ว่ากันตั้งแต่ไลฟ์สไตล์, การแต่งตัว, สุขภาพและกีฬา, ทักษะของผู้ชาย, การเงินและการงาน, ครอบครัวและความสัมพันธ์ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผู้ชายส่วนใหญ่มักสนใจและต้องการพัฒนาอยู่แล้ว 

           จุดเด่นของเว็บนี้คือการออกแบบที่เท่ มีเสน่ห์ในแบบผู้ชาย และเนื้อหาของแต่ละบทความที่ละเอียดยิบ มีข้อมูลเยอะ  ที่มากกว่านั้นคือเว็บนี้มีส่วนที่เป็น Online Shopping ด้วยครับ โดยสินค้าที่นำมาวางขายจะเป็นสินค้าที่เหมาะสำหรับผู้ชาย คุณผู้ชายทั้งหลายลองติดตามกันดูได้ครับ สำหรับบทความที่แนะนำคือ “100 Skills Every Man Should Know.”( http://www.artofmanliness.com/2015/09/28/100-skills-every-man-should-know/) 

7.Brain Pickings (https://www.brainpickings.org

    “ถ้าเรามีอิฐแค่รูปทรางเดียว ขนาดเดียว สีเดียว เราก่อสร้างสิ่งต่างๆ ได้ก็จริง

      แต่มันจะถูกจำกัดความสร้างสรรค์และความน่าสนใจแบบที่มันควรจะเป็น” 

            Brain Pickings เป็นเว็บไซต์ที่เป็นลักษณะของบล็อกที่รวบรวมความคิดของผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Maria Popova โดยบทความในเว็บนี้จะเป็นลักษณะของการมองสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ รวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆว่าเกิดอะไรขึ้น เกิดขึ้นมาเพราะอะไร และเราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากสิ่งเหล่านี้  

           เว็บนี้จึงไม่ได้จำกัดประเภทบทความอยู่ที่หมวดหมู่ใดๆครับ แต่มีบทความแทบทุกประเภทเช่น วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา ปรัชญา ศิลปะ การออกแบบ เป็นต้น  

          ทั้งหมดนี้ นำไปสู่แนวคิดที่น่าสนใจของเว็บนี้คือ การตักสมองเพื่อสร้างไอเดียใหม่ๆให้ผู้อ่านเหมือนชื่อของเว็บไซต์นั่นเองครับ เพราะผู้ก่อตั้งเชื่อว่า การอ่านสิ่งใหม่ที่หลากหลายจะเป็นทรัพยากรสำคัญให้กับสมองเราในการสร้างไอเดียใหม่ๆ เหมือนตัวต่อที่มีหลากหลายรูปแบบเพื่อสร้างรูปทรงที่ออกมาต่างๆกัน  

ลองติดตามกันดูครับ สำหรับบทความที่แนะนำคือ “Fixed VS Growth: The two basic mindsets that shape our lives.”( https://www.brainpickings.org/2014/01/29/carol-dweck-mindset/) 

8.Four Hour Workweek (http://fourhourworkweek.com/blog/

    “ผู้คนไม่ต้องการเป็นเศรษฐี

แต่เขาต้องการสัมผัสประสบการณ์ที่คนเป็นเศรษฐีเท่านั้นจะได้รับ” 

           เว็บบล็อกที่รวบรวมความคิดของ Timothy Ferris ผู้ประกอบการที่สร้างแนวคิดของความมั่งคั่งจากการทำงานน้อยกว่า 4 ชม.ต่อสัปดาห์ และเป็นเจ้าของผลงานหนังสือขายดีทั่วโลกอย่าง “4 Hour Workweek” ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของการสร้างรายได้อัตโนมัติและการเป็นผู้ประกอบการแบบมีไลฟ์สไตล์ที่เราเลือกได้  

          แน่นอนว่าเว็บนี้ก็เป็นแนวคิดและวิธีการในแบบฉบับของผู้เขียนครับ โดยเทคนิคที่เพิ่มเติมจากในหนังสือเหล่านี้ ผู้เขียนได้รวบรวมจากการเดินทางทั่วโลกของเขาหลังจากที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งที่เว็บนี้แหละ ที่เราจะได้เรียนรู้การสร้างความสำเร็จและการใช้ชีวิตของชายผู้นี้  

          ใครสนใจลองติดตามและนำไปปรับใช้ในชีวิตของเราตามความเหมาะสมนะครับ บทความที่แนะนำคือ “How to live in the moment.”( http://fourhourworkweek.com/2016/03/27/how-to-live-in-the-moment/) 

9.Mark’s daily Apple (http://www.marksdailyapple.com/

         “พันธกิจของผม คือ ผมจะเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน 10 ล้านคน”

           Mark’s daily Apple เป็นเว็บไซต์ที่ให้แรงบันดาลใจ แนวคิด วิธีการในการสร้างชีวิตที่มีสุขภาพแข็งแรง มีสมดุล และมีความสุข ก่อตั้งโดย Mark Sisson ซึ่งเป็นอดีตนักไตรกีฬาและนักวิ่งมาราธอนครับ เขาต้องการช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากให้มีสุขภาพดี จึงได้สร้างเว็บไซต์นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งให้ความรู้และพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ด้านสุขภาพ 

          สิ่งที่น่าสนใจคือ บทความในนี้ Mark ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ของเขาโดยตรงที่ไม่ได้มีแต่ทฤษฎี สิ่งที่ถ่ายทอดออกมาจึงมีความน่าเชื่อถือมากและสามารถนำไปใช้ได้ทันทีครับ ลองติดตามกันดูนะครับ บทความที่แนะนำคือ “How to personalize primal blueprint fitness.”( http://www.marksdailyapple.com/how-to-personalize-primal-blueprint-fitness/#axzz44RYyh6Te) 

10.Zen Habits (http://zenhabits.net/

         “ค้นหาความเรียบง่ายและความมีสติ ท่ามกลางความยุ่งเหยิงในชีวิตประจำวัน”

          หากใครเคยอ่านหนังสือ The Power of Less (ทำน้อย ให้ได้มาก โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น) เว็บนี้คือที่มาของหนังสือเล่มนั้นครับ Zen Habits เป็นเว็บไซต์ที่ก่อตั้งโดย Leo Babauta ซึ่งถ่ายทอดแนวคิดของเขาที่ว่า ชีวิตที่มีความสุขไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเกินไป แต่เป็นชีวิตที่เรียบง่ายและไม่ต้องฝืนใช้ความพยายามมากอย่างที่คนทั่วไปคิด 

          สิ่งที่โดดเด่นของ Zen Habits คือการออกแบบเว็บที่เรียบง่ายเหมาะสมกับแนวคิดของผู้ก่อตั้ง โดยบทความในนี้จะเน้นไปที่การตัดสิ่งรบกวนหรือสิ่งที่เกินความจำเป็นออกไปจากชีวิตเรา เพื่อให้เราหันมาโฟกัสสิ่งที่สำคัญจริงๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

          ที่สำคัญคือเทคนิคในนี้ถูกออกแบบให้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้แบบง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามมากเกินจริงครับ บทความที่แนะนำคือ “The Zen Habits guide to letting go of attachment.”( http://zenhabits.net/attachments/) 

          เป็นอย่างไรบ้างครับ สำหรับ “10 เว็บไซต์การพัฒนาตนเอง ที่มีคนติดตามมากที่สุด” แนะนำว่าใครก็ตามที่ต้องการพัฒนาตนเอง ลองเลือกเว็บไซต์ที่เราสนใจเพื่อติดตามความรู้ด้านนี้ดูนะครับ  

          แต่สิ่งสำคัญที่ Learning Hub อยากฝากผู้อ่านทุกท่านก็คือ หลังจากที่เราได้รับความรู้ในการพัฒนาตนเองเหล่านี้แล้ว อย่าลืมลงมือทำทันทีนะครับ

เพราะชีวิตเราจะพัฒนาไม่ได้เลย หากอ่านอย่างเดียวแต่ไม่ได้ลงมือทำครับ 

เรียบเรียงโดย Pump – Learning Hub Team 

 

20 ขั้นตอนปฏิรูปตัวเอง สู่การเป็นคนใหม่ภายใน 7 วัน!!!

20 step to change your life within 20 days

        ใครหลายคนยังไม่รู้เป้าหมายในชีวิต อาจเป็นไปได้ว่าคุณยังให้เวลากับตัวเองไม่มากพอ เวลาที่ว่าคือเวลาในการตั้งคำถามกับชีวิต ว่าคุณคือใคร อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการ   

        แต่อย่าเพิ่งหมดหวังนะคะ Learning hub อยากให้ลองอ่านบทความนี้ค่ะ เขียนโดย คุณพศิน อินทรวงค์ นักเขียนเจ้าของผลงานหนังสือชื่อดัง  เราเชื่อว่าวิธีการที่คุณพศินให้ไว้ (ซึ่งละเอียดและดีมากๆ) จะเป็นเบาะแสความสุข และความสำเร็จของชีวิตในแบบที่คุณต้องการค่ะ ตามไปดูกันเลยค่ะว่า 20 ขั้นตอนที่ว่ามีอะไรบ้าง 

      ขั้นตอนปฏิรูปตัวเอง 

1. หยิบกระดาษเปล่ามาหนึ่งแผ่น 

2. ลองหาที่เงียบๆ สงบๆ ไม่มีคนรู้จักเรา อยู่ที่นั่นสัก 3-4 ชั่วโมง

3. อะไรคือ “ข้อดี” ของเรา เขียนลงไปในกระดาษ 

4. อะไรคือ “ข้อเสีย” ของเรา เขียนลงไปในกระดาษ 

5. เราชอบอะไร งานลักษณะไหน มีพรสวรรค์อะไรเป็นพิเศษ เขียนลงไปในกระดาษ 

6. เราไม่ชอบอะไร ไม่ถนัดงานแบบไหน ทำอะไรแล้วไม่มีความสุข เขียนลงไปในกระดาษ 

7. ชีวิตทุกวันนี้ชอบอะไรในชีวิตของเรา เขียนลงไปในกระดาษ 

8. ชีวิตในวันนี้ไม่ชอบอะไรในชีวิตของเรา เขียนลงไปในกระดาษ 

9. ลองวิเคราะห์ตนเองว่า เพราะอะไร ชีวิตของเราจึงดำเนินมาถึงวันนี้ จุดนี้ พยายามนึกทบทวนเรื่องราวในอดีต เขียนลงไปในกระดาษ 

10. ลองวางแผนชีวิตระยะสั้นๆ ดูคือ เลือกนิสัยที่ไม่ดีที่สุดของเรามาหนึ่งอย่าง และสัญญากับตัวเองว่า จะเลิกให้ได้ภายในหนึ่งปี เช่น ถ้าเป็นคนชอบนินทา ภายในหนึ่งปีฉันจะเลิกนินทา ถ้าเป็นคนชอบพูดจาไม่ดี ภายในหนึ่งปีฉันจะเลิกพูดจาไม่ดี ถ้าเป็นคนขี้เหนียว ภายในหนึ่งปีฉันจะเลิกเป็นคนขี้เหนียวอย่างนี้เป็นต้น คือเลือกนิสัยไม่ดีของเราที่เห็นได้ชัดมาหนึ่งข้อ แล้วทำลายมันให้ได้ภายในหนึ่งปี ตรงนี้จะทำให้เรามีเป้าหมายทางจิตวิญญาณแล้ว ให้ทำด้วยความรู้สึกท้าทาย สนุกสนาน อย่าเครียดแต่ “เอาจริง ทำจริง”

11. ให้ลองตั้งเป้าหมายว่า เราจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จในปีนี้ เช่น เก็บเงินให้ได้จำนวนหนึ่ง ระบุจำนวนให้ชัดเจน หรือ เปิดร้านให้ได้ ระบุรายละเอียดให้ชัดเจน หรือหัดเป็นช่างตัดผมให้ได้ ระบุให้ชัดเจน หรือจะทำอาหารให้เป็น 10 ชนิด ระบุให้ชัดเจน อย่างนี้เป็นต้น จำไว้ว่า ทุกอย่างต้องชัดเจน อย่าคิดเฉยๆ แต่จงเขียนลงไปในกระดาษ

12. ข้อสิบจะทำให้คุณมีเป้าหมายทางจิตวิญญาณ ข้อสิบเอ็ดจะทำให้คุณมีเป้าหมายเล็กๆ อย่างเป็นรูปธรรมในชีวิต ชีวิตจะไม่เลื่อนลอยอีกต่อไป และคุณต้องระลึกไว้เสมอว่า ต้องทำทุกอย่างให้เหมือนเล่นเกมส์คือทำอย่างสนุก แต่เอาจริง ทำจริง

13.ลองเขียนสิ่งที่คุณอยากให้เกิดขึ้นในชีวิต อยากเห็นตัวเองเป็นแบบไหน ยังไง เป็นช่วงๆ สองปีจากนี้ สี่ปีจากนี้ หกปีจากนี้ คุณอยากเห็นอะไรเกิดขึ้นบ้างกับตนเอง เขียนลงไปในกระดาษ

14. กำหนดการตื่น และนอนให้เป็นเวลา ถ้าคุณสามารถทำได้ วงจรชีวิตจะเปลี่ยนไปสู่วงจรชีวิตที่ดีขึ้น จำไว้ว่า เวลาการตื่นและนอน คือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ดี เวลาชีวิตของคุณจะมากหรือน้อยก็อยู่ที่ตรงนี้ ถ้าคุณสามารถควบคุมเวลาได้ ทุกอย่างในชีวิตจะง่ายขึ้นอีกมาก อย่านอนตื่นสาย อย่านอนดึก ขอให้เริ่มจากตรงนี้ก่อน แล้วคุณจะมีเวลาเหลือเฟือสำหรับจัดการชีวิตของคุณ

15. ควบคุมอาหาร ถ้าคุณฝึกตัวเองให้เป็นคนกินอย่างพอดี กินแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ถ้าคุณเองชนะตนเองในเรื่องนี้ได้ จิตใจของคุณจะเข้มแข็งขึ้นอีกมาก ความพอดีของชีวิต เริ่มจาก เรื่องง่ายๆ คือเรื่องกิน!!!

16. จงออกกำลังกายทุกวัน ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก วุ่นวาย ทำได้เท่าที่ทำ แต่ต้องทำทุกวัน เช่นกระโดดเชือกอยู่ในบ้านวันละร้อยครั้ง หรืออะไรง่ายๆ ที่คุณจะทำได้สะดวกๆ ตรงนี้ไม่เกี่ยวกับสุขภาพกาย แต่มันเกี่ยวกับการย้ำต่อจิตสำนึกของคุณว่า ชีวิตของคุณกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และถ้าคุณทำได้ คุณจะรักตนเอง และรู้สึกดีกับตนเองมากขึ้นอย่างมหาศาล

17. ทำสมาธิวันละ 15 นาที เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะมันจะทำให้คุณฉลาด และมีสติปัญญาเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

18. อย่าพูดในสิ่งไม่ดี ขอให้คิดว่ามันคือเกมส์ สนุกกับการเห็นตัวเองอยากพูดในสิ่งไม่ดี แต่สามารควบคุมตนเองให้เงียบได้ ฝึกฟังเสียงกิเลสในใจ แล้วไม่ทำตามคำสั่งของมัน แต่ให้เห็นมัน เห็นว่ามันกำลังคิดอะไร อยากจะพูดอะไร แล้วคุณจะสามารถเป็นเจ้านายของคำพูดตนเองได้

19. ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ อย่าปล่อยตัว ทุกอย่างต้องดูแลจนเป็นนิสัย เนื้อตัว ร่างกาย เสื้อผ้า เป็นสิ่งที่คุณต้องให้ความสำคัญ นี่ไม่ใช่เรื่องของการยึดติด แต่เป็นเรื่องของการสร้างสุขภาพที่ดี เป็นเรื่องของการเพิ่มเติมความสุข ความมั่นใจ และความสดชื่นให้ตัวของคุณเอง

20. ทุกสิ่งที่แนะนำไปทั้งหมด ต้องเขียนมันออกมาว่าคุณจะทำอะไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม สี่ เป็นขั้นเป็นตอน

อย่าคิดลอยๆ อย่าคิดแล้วจบไป อย่าคิดว่ารู้แล้วเข้าใจแล้ว เพราะถ้าคิดอย่างนั้น ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นอย่างเดิม

จงสร้างตารางชีวิตของคุณขึ้นมา ระบุเวลาให้ชัดเจนว่าในแต่ละวันคุณจะทำอะไรบ้าง เวลากี่โมง นานเท่าไหร่ แค่ไหน อย่างไร ขอให้รู้ว่า เมื่อคุณเริ่มต้นเขียน การเขียนจะทำให้สิ่งเหล่านี้เข้าไปฝังอยู่ในจิตสำนึกของคุณ 

ความสำคัญของมันอยู่ตรงนี้ เมื่อทุกอย่างลงไปในขั้นจิตสำนึกของคุณแล้ว คุณจะเริ่มต้นทำ 
เมื่อคุณทำแล้ว ชีวิตของคุณจะเปลี่ยน และเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณสามารถทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนได้ 
เมื่อนั้น…คุณก็จะเป็นเจ้าของชีวิตของคุณอย่างแท้จริง!!! 

ขอให้สนุกกับชีวิต… 
และมีความสุขกับการเปลี่ยนแปลงตนเองนะครับ 

พศิน อินทรวงค์ 
ติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/talktopasin2013 

7 เทคนิคจิตวิทยา ที่ทำให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้น

        “ไม่ต้องบอกฉัน ในสิ่งที่คนอื่นบอกว่าเธอเป็นยังไง เล่าเรื่องของตัวเธอให้ฉันฟังสิ” 

นี่เป็นประโยคยอดฮิตที่ “เอลีนอร์ ลองเด็น” (Eleanor Longden) ได้กล่าวเอาไว้บนเวทีระดับโลกอย่าง TED TALK

ประโยคนี้น่าจะทำให้ใครหลายคนฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า นานแค่ไหนแล้วที่เราหลงลืมความเป็นตัวเองไป  

นานแค่ไหนแล้ว ที่เราพยายามเข้าใจคนอื่นจนลืมไปว่าตัวเองก็ต้องการความเข้าใจเหมือนกัน 

===== 

วันนี้คุณไม่ต้องกังวลกับเรื่องเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว  เพราะ Learning Hub มี 7 เทคนิคทางจิตวิทยาที่จะทำให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลา และผลลัพธ์ที่ได้มาก็คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม 

ถ้าพร้อมแล้วมาดูเทคนิคทั้ง 7 ข้อกันเลย 

===== 

 1. คุยกับตัวเองหน้ากระจก

         ผลวิจัยของ อาจารย์ Gary Lupyan and Daniel Swignley ที่เผยแพร่ทางนิตยสาร TIME ระบุว่า “การพูดคุยกับตัวเองหน้ากระจกไม่ใช่เรื่องบ้าหรือน่าอายแต่เป็นวิธีที่สามารถเรียกความมั่นใจในตัวเอง  ทำให้ตัวเองกลายเป็นคนที่กล้าพูดกล้าคุยมากขึ้นได้”

“ยิ่งกระจกบานใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งเห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น และมีแนวโน้มทำให้การรับรู้ของสมองดีขึ้นได้อีกด้วย” 

         ถ้าคุณยังไม่รู้จะเริ่มต้นพูดคุยกับตัวเองอย่างไร แนะนำให้ยืนหน้ากระจกสักพัก ก่อนค่อยๆ ยิ้มให้ตัวเองจนเริ่มรู้สึกว่า…ฉันกำลังยืนอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ก่อนจะเริ่มต้นถามคำถามง่ายๆ อย่างที่เราใช้ทักทายคนอื่น เช่น วันนี้รู้สึกอย่างไร, เครียดมั้ย กังวลอะไร, ตอนนี้คิดอะไรอยู่  

=====

        การฝึกคุยกับตัวเองช่วยให้คุณได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมา รวมทั้งเป็นการป้อนข้อมูลให้กับจิตใจคุณด้วย ที่สำคัญอย่าลืมเลือกประโยคที่สร้างพลังให้ตัวเอง เช่น ฉันทำได้,ฉันเก่ง, ฉันผ่านเรื่องแย่ๆ ไปได้อยู่แล้ว ฯลฯ

ถ้อยคำเหล่านี้ล้วนสร้างแรงบันดาลใจ เพิ่มพลังในด้านบวกให้คุณทั้งสิ้น โดยที่ไม่ต้องรอฟังจากใครเลย

=====

2. ให้ความสงบกับตัวเอง

        งานวิจัยระบุว่า บางครั้งการเข้าสังคมก็ทำให้คนเครียดยิ่งกว่าเดิม แม้แต่การเข้าเฟซบุ๊กซึ่งมีผลการวิจัยยืนยันว่ายิ่งคุณมีเพื่อนมากเท่าไหร่ ความเครียดยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

เพราะเวลาพิมพ์หรือโพสต์อะไรไป คุณจะชะงักและหยุดคิดมากขึ้น เนื่องจากลึก ๆ แล้วคุณแคร์ว่าคนในโลกออนไลน์ อาจจะไม่พอใจหรือรู้สึกไม่ดีต่อคุณนั่นเอง

       เคล็ดลับการให้ความสงบกับตัวเองจึงเหมาะสำหรับคนในยุคโซเชียลฯ อย่างแท้จริง

แค่เริ่มต้นด้วยการวางโทรศัพท์มือถือ เลิกเสพข่าวออนไลน์ อย่างน้อยวันละ 5-10 นาที นั่งอยู่ในที่สงบเงียบสักพัก ฟังเสียงหัวใจของตัวเองเต้นไปสักพัก 

ไม่แน่นะเสียงหัวใจที่ค่อยๆ ดังขึ้นอาจทำให้คุณเข้าใจได้ว่าจริงๆ แล้ว ตัวเองต้องการอะไร 

วิธีการเพิ่มความสงบให้ชีวิตทำได้โดยการฝึกการตระหนักรู้ในตัวเอง หรือ Self – awareness ศึกษาและฝึกฝนได้ที่นี่

=====

 “’ริชาร์ด เกียร์” ดาราดังระดับฮอลลีวูด ก็เลือกใช้วิธีนี ใครจะรู้ว่าดาราดังระดับโลกจะมีเวลาทำสมาธิได้ แต่ “’ริชาร์ด เกียร์’” มักจะหาเวลาปลีกวิเวกและศึกษาธรรมะที่ทิเบตอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่อายุ 24 ปี จนเขาตั้งเป้าหมายในการทำสมาธิไว้ว่า

“เราทำสมาธิเพื่อที่เราจะได้มีความสุขมากขึ้น มันเป็นแนวทางปฏิบัติที่จะพาพวกเราผ่านพ้นความทุกข์ มุ่งหน้าสู่ความสุข แต่เป็นเพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ชีวิตจึงดูวุ่นวายสับสนทุกครั้งไป”  

       ถ้าวันนี้คุณกำลังรู้สึกสับสนอยู่ แค่วางโทรศัพท์ลง มองโลกตรงหน้า แล้วยิ้มให้โลกดูสักครั้ง รับรองว่าความรู้สึกที่ตัวคุณได้รับจะเปลี่ยนไปแน่นอน

=====

 3. ใช้เวลาไปกับสิ่งที่ชอบ

        ถ้าไม่นับชีวิตประจำวัน กิน  นอน เล่นเกม สไลด์หน้าจอโทรศัพท์มือถือ กิจกรรมอื่นๆ ที่คุณชอบทำนอกเหนือจากนี้คืออะไร

เมื่อค้นพบแล้ว ลองให้โอกาสตัวเองได้ทำสิ่งเหล่านั้นดูบ้าง เพราะช่วงเวลาที่คุณใช้ไปโดยไม่สนใจว่าตอนนี้กี่โมงแล้วนี่แหล่ะที่จะทำให้คุณได้ค้นพบและรู้จักตัวเองในด้านอื่น ๆ มากขึ้น คุณจะได้รู้ว่าอะไรที่ตัวเองชอบและอะไรที่ไม่ชอบกันแน่ 

=====

        สิ่งที่ชอบกับเวลาที่ใช้ไป จะเป็นกระจกสะท้อนตัวเอง โดยที่ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาบอก เพราะตัวคุณเองสามารถใช้เคล็ดลับนี้สำรวจตัวเองได้ทันที  เช่น ถ้าคุณชอบปลูกต้นไม้ ก็มีแนวโน้มว่าคุณจะเป็นคนใจเย็น รักธรรมชาติ ไม่ชอบความวุ่นวาย  และรักสงบ  

        การที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไรอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดก็ได้ เพราะคนดังระดับโลกหลายคนก็ค้นพบนวัตกรรมใหม่ๆ ผ่านสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จอบส์ (ผู้ก่อตั้ง Apple), บิล เกตส์ (เจ้าพ่อวงการไมโครซอฟ) ก็ล้วนสำเร็จจากการค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบทั้งนั้น 

=====

 4. หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

        “คนที่ให้คุณค่าตัวเราได้ คือตัวเราเองนี่แหล่ะ”  นี่คือเคล็ดไม่ลับอับดันต้นๆ ที่จะทำให้คุณหันมารักตัวเองมากขึ้น เห็นคุณค่าตัวเองมากขึ้น

แต่สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือ “หยุดพฤติกรรมเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น” ว่าเค้าดีแบบนั้น เราไม่ดีแบบนี้ เรามีไม่เท่าเค้า เค้ามีดีกว่า ฯลฯ 

        เพราะสิ่งที่เราคิดจะทำให้จินตนาการทำงานมากกว่าปกติ  คิดบวกได้บวก คิดลบได้ลบ ถึงขนาดว่ามีผลวิจัยจากสถาบันสาธารณสุข มหาวิทยาลัยเยล ประเทศสหรัฐอเมริกา ออกมายืนยันแล้วว่า ผู้ที่มีความคิดด้านลบทั้งต่อตัวเอง ต่อโลก มักสมองเสื่อมเร็วกว่าคนที่ใช้ชีวิตโดยที่คิดบวก 

=====

        หากคุณกำลังเป็นคนหนึ่งที่คิดมาก ขี้กังวลจนรู้สึกวิตกกังวลบ่อยๆ ลองนำเคล็ดลับนี้ ไปใช้ดู ลองหันมาหาข้อดีของตัวเองดูแบบจริงๆ จังๆ สักครั้ง

การตอบคำถามคนอื่นได้ชัดถ้อยชัดคำ ว่าตัวคุณเองทำอะไรได้ดี หรือบอกได้ว่าตัวคุณเองชอบอะไร? จะทำให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้น และเครียดกับข้อเสียของตัวเองน้อยลง นั่นเพราะคุณรู้สึกภูมิใจในตัวเองนั่นเอง

=====

5. สังเกตคนรอบตัว

         “คนแบบเดียวกัน มักดึงดูดคนแบบเดียวกัน” นี่คือสิ่งที่เรียกว่า กฎแห่งแรงดึงดูด  (Law of Attraction) ที่อธิบายได้ง่ายๆ ว่าสิ่งที่เหมือนกันจะมีแรงดึงดูดเข้าหากัน

ดังนั้นถ้าคุณมองไม่เห็นตัวเอง การมองไปยังคนรอบๆ ตัวคุณ เพื่อนที่คุณคบ แฟนที่คุณมี เจ้านายในบริษัทก็น่าจะเป็นกระจกชั้นดีที่สะท้อนความเป็นตัวตนคุณออกมาได้ ไม่มากก็น้อย 

=====

        เมื่อเห็นว่าคนรอบข้างเป็นเช่นไร คุณเองก็อาจเป็นเช่นนั้น เพราะทัศนคติที่ไปในทิศทางเดียวกันทำให้คุณและคนรอบตัว มาอยู่ใกล้ๆ กัน เป็นหลักการสังเกตและเข้าใจตัวเองได้ง่ายๆ ที่คุณสามารถทดลองสังเกตดูได้ 

        หลักการนี้ วาทยกรชาวไทยที่มีชื่อเสียงในระดับโลกอย่าง “คุณบัณฑิต อึ้งรังษี”  ได้นำไปใช้ในชีวิตจริงจนประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งด้านการงาน การเงิน ครอบครัว นั่นเพราะเค้าเลือกจะนำพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางคนเก่งๆ ระดับโลก ใช้การซ้อมอย่างหนักหน่วงกับคนมีฝีมือ ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าถนัดอะไรแล้วมุ่งมั่นพัฒนา จนกลายเป็นคนไทย 1 ใน 9 คนจากทั่วโลก ที่ได้รับเชิญไปศึกษาที่ Carnegie Hall ในมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เลยทีเดียว  

แล้วผู้คนรอบตัวคุณวันนี้เป็นในแบบที่ตัวคุณเองอยากจะเป็น แล้วหรือยัง?  

=====

6. เขียน เขียนและเขียนออกมา

       การเขียนเป็นการระบายสิ่งที่อยู่ในใจได้ดีมากวิธีหนึ่ง อาจฟังดูตลกสำหรับคนที่ไม่เคยจับปากกามาเขียนเรื่องราวของตัวเอง แต่นักจิตวิทยากลับพบว่า การเขียนช่วยให้คนเรารู้สึกโล่งมากขึ้น แถมยังช่วยระบายความเครียดได้เป็นอย่างดี 

       แทนที่คุณจะเขียนระบายความในใจ ลองเปลี่ยนมาเขียนสิ่งที่ตัวเองต้องการในอนาคต เขียนข้อดีที่คุณมี เขียนข้อเสียที่คนอื่นเคยสะท้อนเอาไว้ เขียนสิ่งที่ชอบทำและไม่ชอบทำ

       เมื่อเสร็จแล้วลองนำกลับมาอ่านทบทวนดูอีกครั้ง เสมือนคุณได้อ่านคู่มืออธิบายความเป็นตัวคุณฉบับย่อ นั่นเพราะคนที่เขียนไม่ใช่ใครแต่เป็นตัวคุณนั่นเอง 

=====

 7. ฟังเพลงที่ชอบ ซ้ำไปซ้ำมา

        ศาสตราจารย์ เอเดรียน นอร์ท (Adrian North) ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีจิตวิทยา ได้ทำการศึกษาพบว่า แนวดนตรีที่คนเราชอบฟัง สามารถแสดงถึงอุปนิสัยและความคิดได้ อาทิ  คนที่ชอบฟังเพลงคลาสสิค จะมีความเคารพตนเองสูง มีความคิดสร้างสรรค์ และเป็นคนเก็บตัว

        คนที่ชอบฟังเพลงอินดี้ จะมีความคิดสร้างสรรค์ แต่มีความเคารพในตัวเองต่ำ และไม่มีความขยัน

คนชอบฟังเพลงฮิตติดชาร์ต เป็นคนมีความเคารพในตัวเองสูง ขยัน เข้ากับคนอื่นได้ง่ายแต่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ และค่อนข้างปิดตัวเอง เป็นต้น 

=====

        ว่าแล้วก็ลองเปิดเพลงที่ตัวเองชอบฟังดูสักหน่อยสิก่อนกลับมาย้อนดูผลวิจัยว่าแม่นยำตรงกับความเป็นคุณมากน้อยแค่ไหน  ข้อดีไหนรู้แล้วก็นำไปต่อยอดได้  

       ส่วนข้อบกพร่องก็หาวิธีเติมเต็มเข้าไป หรือจะลองเปลี่ยนไปฟังเพลงแนวอื่นดูบ้าง เผื่อจะเจอตัวเองอีกด้าน ก็ไม่ได้เสียหายอะไรเลย

===== 

‘ซุนวู’ ผู้เขียนตำราพิชัยสงคราม กล่าวไว้ว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” แต่ก่อนจะไปรู้เขา วันนี้ต้องลองถามตัวเองดูบ้างว่า เรารู้จักและเข้าใจตัวเองดีพอแล้วหรือยัง

เราเชื่อว่า หากคุณได้นำ 7 เคล็ดลับนี้ไปทดลองใช้  คุณจะรู้จักตัวเองได้มากขึ้น เห็นตัวเองชัดขึ้น กว่าที่ผ่านมาแน่นอน

การทำความเข้าใจตัวเอง ยอมรับตัวเอง คือพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาตัวเอง ซึ่งการพัฒนาระบบความคิด อารมณ์ และความสงบสุขคือสิ่งที่เชื่อมโยงกันโดยตรง เราขอแนะนำหลักสูตร Emotional Intelligence เพื่อพัฒนาความคิดและอารมณ์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น คลิกที่นี่


=====

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 093 925 4962

อ้างอิง

Talking to Yourself May Actually Be A Good Idea ที่มา  http://ideas.time.com/2012/05/23/talking-to-yourself-not-so-crazy-after-all/

พระเอกดังฮอลลีวูด ‘ริชาร์ด เกียร์’ บนวิถีแห่ง “การเจริญภาวนา” http://www.rakbankerd.com/2014/peaceful/article.php?id=4197

กลัวแก่เร่งอัลไซเมอร์ http://www.cheewajit.com/news/news-10122015/

นิสัยแบบไหน แนวดนตรีบอกได้ ที่มา  http://health.kapook.com/view108761.html

สุขจิตกับสิ่งดีดีที่สุด ที่มา  http://www.health4win.com/index.php?lite=article&qid=42127493

กฏแรงดึงดูด ที่มา  https://www.gotoknow.org/posts/406516s

 

10 เทคนิคหาเพื่อนใหม่ ที่คุณดีใจที่ได้เจอ

6

 เมื่อเราโตขึ้น การหาเพื่อนใหม่ก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากขึ้น

ยิ่งอยู่ในวัยทำงานเราก็มักจะเจอแต่คนเดิมๆ สิ่งแวดล้อมเดิมๆ เพื่อนเก่าๆ ก็ทำงานหรือไปทำธุรกิจของตัวเอง หรือมีครอบครัวจนแทบไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย 

Learning Hub Thailand ขอแนะนำ 10 เทคนิคการหาเพื่อนใหม่ที่จะทำให้คุณพบคนเจ๋ง ๆ ที่อาจกลายเป็นเพื่อนสนิทของคุณในอนาคตเลยก็ได้

=====

1.เริ่มจากการเปลี่ยนความคิดตัวเองก่อน

         ยังจำความรู้สึกตอนที่เราต้องไปโรงเรียนครั้งแรกตอนเด็กๆ ได้ใช่ไหม จำได้ไหมว่าเรากลัวที่จะต้องพบเจอคนแปลกหน้าที่เราไม่คุ้นเคยหรือเปล่า

        บางทีความรู้สึกกลัวนั้นอาจจะยังอยู่ในใจลึก ๆ แม้เราจะอายุมากแค่ไหนแล้ว ฉะนั้นคุณต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน โดยการรู้ทันความกลัวหรือกังวลแล้วสร้างความมั่นใจในการออกไปพบเจอคนใหม่ ๆ ด้วยรอยยิ้ม รับรองว่าทุกคนต้องยิ้มอย่างเป็นมิตรกลับมาอย่างแน่นอน

=====

2.เริ่มจากเพื่อนของเพื่อนก่อน

        ถ้าหากว่าการรู้จักคนใหม่เป็นกลุ่มใหญ่อาจจะไม่ใช่แนวของคุณ บางทีคุณอาจจะเริ่มโดยการทำความรู้จักกับเพื่อนของเพื่อนก่อนเพื่อลดความเกร็งและเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

        คุณอาจจะลองนัดทานข้าวกับเพื่อนโดยบอกให้เพื่อนชวนเพื่อนมาด้วย รับรองว่าหากคุณรู้จักกันแล้วเพื่อนของคุณต้องมีความสุขและความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของคุณจะช่วยสร้างสีสันในงานปาร์ตี้ครั้งต่อไปได้อย่างแน่นอน

=====

3.ออกจากบ้านบ้าง

        หากคุณอยากจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่อย่างจริงจัง การนั่งอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ช่วยให้คุณได้ในสิ่งนั้นอย่างแน่นอน คุณอาจจะเลือกไปเข้าร่วมกิจกรรมสักอย่าง เช่น การเรียนทำขนม เวิร์คช็อปงานฝีมือหรืออาสาสมัครทำงานเพื่อสังคม เป็นต้น 

       การหาเพื่อนใหม่โดยการออกไปทำกิจกรรมร่วมกับแบบนี้ นอกจากจะได้ความรู้และอิ่มอกอิ่มใจแล้ว  คุณอาจจะได้เพื่อนใหม่ที่มีความสนใจในสิ่งที่คล้ายกันกับคุณซึ่งจะทำให้ผูกไมตรีระหว่างกันได้ง่ายขึ้นด้วย

===== 

4.เข้าสัมมนาหาความรู้  

       การเข้าร่วมงานสัมมนาหาความรู้ถือว่าเป็นวิธีหาเพื่อนใหม่ที่มีคุณภาพมากเลย เพราะนอกจากจะได้ความรู้ ได้เปิดมุมมองใหม่ๆ แล้ว คุณยังอาจจะได้คอนเนคชั่นดีๆ จากการเข้าสัมมนาต่างๆ อีกด้วย

       การสัมมนามีข้อดีคือ คุณสามารถเลือกสัมมนาตามอาชีพของตัวเองเพื่อนำมาพัฒนาการทำงานของตัวเองให้ตรงจุดได้ และเพื่อนใหม่ที่ได้รู้จักก็จะอยู่ในแวดวงอาชีพเดียวกับคุณ  ซึ่งสามารถเกื้อหนุนกันในอนาคตได้อีกด้วย

=====

5.ลองทักทายผู้อื่นก่อน

       การเริ่มต้นบทสนทนาก่อนเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ในการรู้จักเพื่อนใหม่เลยทีเดียว คุณอาจจะเริ่มต้นโดยการทักทายหรือยิ้มให้คนอื่นอย่างเป็นมิตร หากเขายิ้มตอบก็เริ่มบทสนทนาได้เลย

      ด้วยความที่บางคนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่หน้าดุ ทำให้ดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะรู้จักหรือคุยกับใครก็อาจจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมถึงไม่ค่อยมีคนอยากพูดคุยด้วย  การเริ่มทักทายผู้อื่นก่อนจึงเป็นการสร้างเพื่อนใหม่ที่ง่ายที่สุดเพื่อทำให้คนอื่นเป็นมิตรกับคุณ ดังนั้นจงยิ้มเข้าไว้

=====

6.เปิดใจ อย่าตัดสินผู้อื่นเร็วเกินไป 

      จากตัวอย่างข้อที่แล้ว บางคนหน้าตาดูดุหรือดูไม่เป็นมิตรแต่จริงๆ แล้วเขาอาจจะไม่มีอะไรในใจเลยก็ได้ ลองสังเกตดูเพื่อนรอบๆ ตัวของคุณก็ได้ ตอนแรกที่คุณเพิ่งรู้จักกับเขา  เขาอาจจะเป็นคนที่ดูเหมือนไม่ค่อยอยากคุยกับใครเท่าไหร่ แต่พอได้อยู่ด้วยกัน ได้ทำงานร่วมกัน ตอนนี้เขาอาจจะเป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งของคุณไปแล้วใช่ไหม 

      การตัดสินคนอื่นโดยที่เรายังไม่ทันได้รู้จักเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ดังนั้นหากคุณขจัดอคติที่เกิดตั้งแต่แรกพบออกไปได้ คุณจะได้เพื่อนใหม่ไม่น้อยเลย

=====

7.เป็นผู้ฟังที่ดี

       หากเราเริ่มต้นทักทายไปแล้ว สิ่งสำคัญลำดับต่อมาคือการพูดคุยสนทนากัน บางคนพูดเป็นต่อยหอยจนเพื่อนใหม่แทบไม่ได้พูด แบบนี้อาจจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดได้

       ในการสนทนาครั้งแรกๆ คุณอาจจะพูดเยอะกว่าอีกฝ่ายสักเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายไม่เกร็งเวลาพูดคุยกับคุณ

แต่หากเขาเริ่มพูดกับคุณมากขึ้นแล้วล่ะก็ แนะนำให้คุณใช้สูตร พูด 30% ฟัง 70% หรือฟังมากกว่าพูดนั้นเอง วิธีนี้จะเป็นการแสดงให้ผู้สนทนารู้สึกว่าคุณกำลังใส่ใจเรื่องของเขา ถือเป็นความประทับใจที่ช่วยสานสัมพันธ์ต่อไปได้เป็นอย่างดี

คุณสามารถฝึกการฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ พื่อสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพได้ คลิกอ่านบทความ ที่นี่

=====

8.มีความจริงใจ ไม่เสแสร้ง

      ความจริงใจคือสิ่งที่ทุกคนต้องการจากผู้อื่น  หากเราต้องการให้ผู้อื่นจริงใจกับเรา เราก็ต้องจริงใจกับเขาก่อน ในการพูดคุยกันทางแชทผ่านโปรแกรมต่างๆ คุณอาจจะนึกไม่ออกว่าต้องทำอย่างไร  เพราะเวลาคุณส่งข้อความไปหาคู่สนทนานั้นเป็นการยากมากหากจะคาดเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายให้ได้อย่างชัดเจน 

      แต่ถ้าหากคุณกำลังคุยกับเพื่อนแบบ  Face-to-Face การแสดงออกถึงความใส่ใจผ่านสีหน้า แววตา น้ำเสียงและอารมณ์นั้นมีความสำคัญเพราะถ้าคุณไม่จริงใจ เขาจะดูออก

เทคนิคก็คือให้สบตาเพื่อนขณะที่กำลังพูดคุยกันซึ่งจะช่วยทำให้คุณดูจริงใจ น่าเชื่อถือมากขึ้นและทำให้เพื่อนกล้าพูดกล้าคุยกับคุณมากขึ้นด้วย 

      การว่ามองตาคู่สนทนาไม่ใช่การจ้องตาตลอดเวลา เพราะการจ้องตาอาจจะทำให้เพื่อนของคุณอึดอัดหรือเข้าใจว่าคุณกำลังคุกคามเขาอยู่เลยก็ได้

=====

9.เป็นตัวของตัวเอง

      การที่เราจะแสดงความจริงใจออกไปได้อย่างเต็มที่คือการเป็นตัวของตัวเอง การที่คุณเป็นตัวเอง เข้าใจ ยอมรับและเชื่อมั่นในตัวเองเป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนอื่นจดจำและอยากจะมาเป็นเพื่อนกับคุณอย่างแน่นอน

      การเป็นตัวของตัวเองเป็นเรื่องที่ดีก็จริงแต่คุณจะต้องรู้ว่าตัวเองไม่ได้มีข้อดีไปเสียทั้งหมด คุณอาจจะขอให้เพื่อนสนิทช่วยสังเกตนิสัยที่ไม่ค่อยดีของคุณแล้วบอกให้คุณรับรู้ เช่น การพูดจาโผงผาง เป็นต้น นิสัยเหล่านี้บางคนอาจจะรับได้แต่บางคนก็อาจรับไม่ได้เลยก็ได้

      หากคุณมั่นใจว่าคุณเปลี่ยนนิสัยเหล่านั้นไม่ได้จริงๆ  คุณก็ต้องทำความเข้าใจถ้าบางคนจะเป็นได้แค่ ‘คนรู้จัก’ ของคุณ ไม่ใช่เพื่อน

ถ้านิสัยนั้นของคุณไม่ใช่เรื่องที่ส่งผลเสียหายต่อตัวคุณหรือคนอื่นมากจริงๆ  เช่น นิสัยก้าวร้าวรุนแรง ใช้กำลัง ฯลฯ
คุณก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะหากฝืนคบกับคนที่ไม่ชอบนิสัยนั้นไปก็จะเหนื่อยใจและลำบากใจในภายหลัง

=====

10.คอยติดต่อกับเพื่อนใหม่ที่รู้จักกันไว้เรื่อยๆ

       การทำความรู้จักกันว่ายากแล้วแต่การรักษาความสัมพันธ์ไว้เป็นเรื่องที่ยากกว่า ลองนึกดูว่าคุณมีเพื่อนมากมายแค่ไหนที่ไม่ค่อยได้พูดคุยกันจนสุดท้ายก็กลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปแล้วบ้าง

       การติดต่อกับเพื่อนๆ อย่างสม่ำเสมอนั้น บางทีก็ไม่ถึงขั้นที่ต้องโทรไปถามสารทุกข์สุกดิบทุกอาทิตย์  แต่คุณอาจจะเลือกใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น Line หรือ Facebook  ในการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนๆ

ช่องทางเหล่านี้อำนวยความสะดวกแก่คุณได้ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว เพียงเท่านี้คุณก็ไม่ขาดการติดต่อกับเพื่อนๆ แล้วล่ะ

เราหวังว่าเทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้คุณพกความมั่นใจ ความจริงใจและรอยยิ้ม พร้อมที่จะออกไปสานสัมพันธ์กับคนใหม่ๆ และพร้อมที่จะเปิดหู เปิดตาและเปิดใจมองโลกที่สวยงามและน่าอยู่ใบนี้  บางทีคุณอาจจะพบมิตรแท้ที่รอให้คุณสานสัมพันธ์อยู่ไม่ไกลเลยก็ได้

และหนึ่งในทักษะสำคัญที่จะช่วยให้คุณมีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นได้ง่าบขึ้นคือทักษะการบริหารจัดการอารมณ์ของคุณ เพราะใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้คนที่มีความสุขและบริหารอารมณ์ตัวเองให้เป็นบวกอยู่เสมอ หลักสูตร Emotion Intelligence ช่วยคุณได้ครับ

=====

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 093 925 4962

 

5 แฟนเพจสร้างความสุขให้คุณในทุกวัน ไม่ไลค์ไม่ได้แล้ว

7

       ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เฟสบุ๊ค” คือเครื่องมือทรงอิทธิพลระดับโลก ที่สามารถทำให้คนเราเปลี่ยนทัศนคติ มุมมอง โน้มน้าวอารมณ์ได้ทั้งเชิงบวกและเชิงลบในแต่ละวัน ดังนั้นการกดไลค์กดติดตามแฟนเพจใดๆ ก็ตามแต่ของเรา จึงมักส่งผลต่อจิตใจเราโดยตรง เพราะเราคือผู้เสพข้อมูลนั่นเองค่ะ 

       Learning Hub จึงคัดสรรสุดยอด 5 กูรู 5 แฟนเพจที่คอยสร้างความสุข เติมแรงบันดาลใจ ให้คุณได้ทุกวัน…แบบที่เห็นแล้วไม่ไลค์ ไม่ได้แล้วค่ะ 

 1.www.facebook.com/TED

      เริ่มกันที่แฟนเพจระดับโลกที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย นั่นคือ “TED” (เท็ด)  แฟนเพจที่มีเวทีระดับโลกให้เหล่านักล่าฝันจากทุกมุมโลก มาแบ่งปันประสบการณ์จริง เหตุการณ์ที่พบเจอมาจริงๆ แบบที่ฟังแล้วคุณจะรู้สึกชื่นชมกับความสำเร็จ มีความสุขกับความฝันของตัวเองมากขึ้น 

      อีกทั้งยังเป็นแหล่งเชื้อเพลิงเติมแรงบันดาลใจชั้นดี ที่จะช่วยจุดไฟในตัวคุณให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งนึงทันทีที่อ่านจบ  

 “TED” (เท็ด) เต็มไปด้วยเหล่ากูรูมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากการลงมือทำในสิ่งที่พวกเค้าสนใจ รวมถึงคัดสรรคำพูดเด็ดๆ ที่ไม่แน่ว่าบางประโยคอาจเปลี่ยนชีวิตคุณได้จากการอ่านเพียงครั้งเดียว แต่ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้นกดไลค์เพจนี้ ขอแนะนำให้ฟังคลิปนี้เลยค่ะ  https://www.youtube.com/watch?v=ZlBGx9Npl6A คลิปของ “คุณน้อง” เด็กไทยที่ไปตามฝันไกลถึงสหรัฐอเมริกาด้วยเงินติดตัวเพียง 70 เหรียญ 

     ปัจจุบันเธอเป็นเจ้าของกิจการข้าวมันไก่เคลื่อนที่ (Food Truck) ถึง 3 สาขา มีร้านอาหาร 1 สาขา และธุรกิจน้ำจิ้มข้าวมันไก่บรรจุขวด เป็นของตัวเอง พร้อมด้วยทีมงานอีก 19 คน  

     น้องพูดปิดท้ายบนเวที TEDX ไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า “ถ้าวันไหนที่คุณเริ่มเห็นโอกาส  จงทำให้มันยิ่งใหญ่มากกว่าที่ใครคาดคิด แล้วคุณจะพบกับผลลัพธ์ที่จะทำให้คุณประหลาดใจเลยทีเดียว” นี่เป็นเพียงส่วนนึงของ TEDเท่านั้น อย่ารอช้านะคะ รีบไลค์ รีบลุกมาทำตามฝันกันดีกว่าค่ะ สามารถติดตาม TED ในเวอร์ชั่นภาษาไทยได้ทาง www.facebook.com/TED.Thai 

 2.www.facebook.com/HumansOfVanuatu

         “ถ้าอยากมีความสุข ต้องติดตามคนมีความสุข” แน่นอนค่ะ ถ้าคุณกำลังมองหาความสุข เรื่องราว เรื่องเล่าหรือแม้แต่รูปจากอีกฝากฝั่งของโลก คุณไม่ควรพลาดที่จะกดไลค์แฟนเพจของชาววูอาตูด้วยประการทั้งปวง เพราะที่นี่คือแหล่งถ่ายทอดความสุขของชาว “วูอาตู” ประเทศที่ได้รับการขนานนามว่าประชากรมีความสุขมากที่สุดในโลก!  

        คุณอาจไม่เชื่อว่าความสุขของคนเราส่งต่อถึงกันได้ แต่อย่าเพิ่งตัดสินไป จนกว่าจะได้เห็นภาพถ่ายของชาววูอาตูในแฟนเพจแห่งนี้ค่ะ ที่ที่ความสุขถูกส่งต่อด้วยรูปถ่ายวิถีชีวิต ศิลปะ วัฒนธรรม ที่คุณสามารถเข้าไปชมได้ทุกวัน แม้จะเป็นคนต่างถิ่นแดนไกลประเทศไทยเราแต่เชื่อว่าหลายรูป หลายเรื่องเล่าในเพจนี้จะทำให้คุณยิ้มตามได้อย่างแน่นอน  

        มีเรื่องเล่านึงที่อ่านแล้วน่าชื่นชมและประทับใจในความมีน้ำใจของชาววูอาตู เค้าเขียนไว้ว่า “ครั้งนึงพายุไซโคลนเข้าถล่มเมือง ฉันและลูกทัดทานความรุนแรงของพายุไม่ไหว บ้านที่ดูจะแข็งแกร่งก็ยังต้านไม่อยู่ ฉันจึงพาลูกออกจากบ้าน เพื่อไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านในระยะที่ไม่ห่างไกลนัก เวลาสองสามนาที ฉันพยายามเคาะเรียกพวกเค้าแต่ไม่มีใครเปิดประตู เพราะคงคิดว่าเป็นเพียงเสียงลมเท่านั้น  

        เราทั้งคู่จึงยืนอยู่หน้าประตูนั้นท่ามกลางพายุ แต่สุดท้ายเพื่อนบ้านได้ยินและเปิดประตู ต้อนรับเราสู่ในที่ปลอดภัยโดยไม่ลังเลสักนิด แม้ไม่มีอาหารเพียงพอต่อพวกเราทุกคน แต่ฉันก็มีความสุขที่เรายังมีชีวิตรอดกันทุกคน” เรื่องเล่าจากวูอาตู โดยองค์การยูนิเซฟ 

3.www.facebook.com/brendonburchardfan

        หนึ่งในผู้ที่โด่งดังระดับโลกจากการมีแฟนเพจของตัวเอง คือ “เบรนดอน เบอร์ชาร์ด”  (Brendon Burchard) เจ้าของแฟนเพจที่มีผู้ติดตามกว่าสี่ล้านคนในปัจจุบัน

       เค้าคือนักเขียน และเทรนเนอร์ด้านการพัฒนาตนเอง ที่ใช้เวลากว่า 20 ปี เพื่อเรียนรู้เรื่องจิตวิทยา, วิทยาศาสตร์ด้านสมอง , การเพิ่มประสิทธิภาพ และการพัฒนาตนเอง จึงไม่น่าแปลกใจถ้านี่จะคือหนึ่งสุดยอดกูรูที่เราแนะนำให้ไลค์ไว้เลยค่ะ 

       เมื่อคุณไลค์แฟนเพจ คำคมของผู้ทรงอิทธิพลในโลกโซเชียลผู้นี้ จะทำให้คุณหันมาฉุกคิดกับชีวิตยิ่งขึ้น รวมทั้งมีคลิปวิดิโอ ที่เค้าทำขึ้นอย่างพิถีพิถันในทุกวัน ทุกวัน ซึ่งหากคุณ คือ คนที่ต้องการพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่มีความสุขกับสิ่งที่รัก ต้องการสร้างแฟนเพจให้มีคน 

      ติดตามระดับหลักล้าน “เบรนดอน เบอร์ชาร์ด” ได้ทิ้งคำพูดชวนไลค์แฟนเพจของเค้าไว้ว่า “อย่าจำกัดเป้าหมายชีวิตของคุณ ให้ยึดติดกับสถานการณ์และความสามารถที่คุณมีในปัจจุบัน คุณมีพลัง มีความคิด มีความเข้มแข็ง มากกว่าที่คุณจินตนาการ”  

 4. facebook.com/dungtrin

      “พอเลิกคาดหวังแบบผิดๆ อะไรผิดๆ ก็จะหายไปจากชีวิตเยอะมาก”   “ดังตฤณ” นามปากกาของนักเขียนผู้สร้างแรงบันดาลใจชาวไทย เจ้าของบทความ คำคมที่ช่วยปรับทัศนคติคติเพื่อความสุข แต่แอบแฝงไปด้วยธรรมะที่เข้าใจง่ายสุดๆ 

เพจของเค้าเต็มไปด้วยถ้อยคำสร้างรอยยิ้ม จรรโลงใจ ให้คุณรู้สึกปล่อยวาง และมีความสุขได้ง่ายขึ้นกับวันเวลาปัจจุบัน 

        หากใครชอบความเรียบง่าย ไม่เยิ่นเย้อ “ดังตฤณ” จะเสมือนบัวรดน้ำชั้นดี ที่ค่อยๆ ชโลมจิตใจคุณให้สงบเย็นผ่านตัวอักษร แล้วเอากลับไปคิดต่อ หรือจะเลือกมีความสุขกับเรื่องที่เคยมองข้ามไปก็ได้อีกเช่นกัน  

 5. facebook.com/KhunkhaoWriter

        หากเอ่ยถึงกูรูด้านจิตวิทยารุ่นใหม่ เชื่อว่าชื่อของ “ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร” ต้องติดโผอย่างแน่นอนค่ะ เพราะเค้าคือนักเขียน ดีกรีนักจิตวิทยาและนักพัฒนาสมอง จากคณะจิตวิทยามหาวิทยาลัยอันดับ 1 Australia National University ประเทศออสเตรเลีย  

        ปัจจุบันมีผลงานเขียนระดับ Best Seller หลายเล่ม อาทิ “กรรมตามสมอง, สมองสงสัย ใจตอบ, รู้มากไปทำไม รู้ใจก่อนดีกว่า, สมองเศรษฐี” จึงไม่น่าแปลกใจที่แฟนเพจของเค้า 

       ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากคุณตกเป็นหนึ่งในไลค์นั้น สิ่งที่จะได้รับในทุกๆ วันคือ ความรู้ด้านจิตวิทยาแบบใกล้ตัว เข้าใจง่าย นำไปใช้ได้จริง รวมทั้งยังมีประโยคน่าคิด ชวนยิ้มแม้ตัวคุณจะกำลังยืนอยู่ท่ามกลางปัญหาก็ตามที 

       วิดิโอคลิปของ “ขุนเขา” ที่เราอยากจะแนะนำคือ “อยากรู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์อะไร”  ถ้าคุณคือหนึ่งในคนที่อยากรู้ คำตอบทั้งหมดอยู่ในคลิปนี้ค่ะ  https://www.youtube.com/watch?v=-AHGtiaOCS8  นี่คือวิดิโอลำดับที่สี่ของขุนเขา มียอดเข้าชมเกือบแสนวิว คำถามง่ายๆ ที่เด็กน่าฟัง ผู้ใหญ่น่าดู ซึ่งมีประโยคนึงที่ขุนเขาพูดไว้อย่าง 

      น่าสนใจคือ “วิธีที่ฝรั่งทำในการค้นหาตัวเองคือ เค้าออกไปผจญภัย เค้ามีความกล้าหาญกว่าชาวเอเชียส่วนใหญ่ เค้าจะออกไปทำงาน ไปเผชิญโลก เค้ายอมเสียเวลา 2-3 ปี เพื่อจะหาตัวเองให้เจอ ดีกว่า 20-30 ปี ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รัก”  

      ติดตาม “ขุนเขามีคำตอบ” ได้ทาง  https://www.youtube.com/channel/UCvAM2bekd3A3ExzSzzU8tJQ 

        และทั้งหมดนี้คือ  5 กูรู 5 สุดยอดแฟนเพจที่คอยสร้างความสุข เติมแรงบันดาลใจ ให้คุณได้ทุกวัน เมื่อปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคนี้ชีวิตเข้าสู่ยุคดิจิตัลเต็มตัว การเลือกเสพข่าวสารจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย แต่การจะเลือกเสพเรื่องราวแบบไหน เลือกแฟนเพจใด ก็มีแต่คุณเท่านั้น …ที่เป็นคนเลือกเอง ไลค์เองค่ะ 

 Aris – Learning Hub Team 

ที่มาข้อมูล : การตามหาความฝันในต่างประเทศ ข้าวมันไก่และคนไทยบนเวที TEDX 

http://www.nuttaputch.com/first-give-then-receive/ 

ริชาร์ด แบรนสัน แชร์วิธีคิดแสนล้าน สำหรับคนรุ่นใหม่ 

ที่มา http://www.incrystalbiz.com/life/richard-branson 

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save