10 เทคนิคที่เวิร์คเสมอ เมื่ออยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง

8

        “เคยมีการทดลองปล่อยหนูเข้าไปหาอาหารในเขาวงกตจำลอง เพียงไม่กี่ครั้งที่ไม่เจออาหาร หนูจะเปลี่ยนเส้นทางทันที ในขณะที่มนุษย์บางคนสามารถทำสิ่งเดิมซ้ำๆ ได้ตลอดชีวิต โดยที่ไม่เจออาหารเลย” การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการของมนุษย์ มาดูกันซิว่า คุณจะใช้เทคนิคอะไร เมื่ออยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง

        โดย 9 ข้อแรกเป็นการเพิ่มพลังในการเปลี่ยนแปลงตนเอง ส่วนข้อสุดท้าย เป็นการกำจัดแรงต้านที่ฉุดรั้งความสำเร็จไว้

1.ต้องรู้ว่า สิ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนได้หรือไม่

“จงเลือกสิ่งที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้”

       พฤติกรรมคนเรามีทั้งเปลี่ยนได้และไม่ได้นะครับ ไม่ใช่จะเปลี่ยนกันได้ทุกอย่าง กล่าวคือ

1.1 นิสัย หรือบ้างก็เรียกว่าบุคลิกประจำตัว สิ่งนี้เหมือนฟ้าลิขิตมาเปลี่ยนยากมาก เช่น เป็นคนชอบสังคม ชอบมีโลกส่วนตัว อ่อนไหวง่าย ขี้สงสัย ช่างพูด ฯลฯ

1.2 รสนิยมและความเชื่อ เช่น ชอบแต่งรถ ชอบสัก ชอบผู้หญิงผมยาว ชอบใส่เสื้อสีแดง ชอบเลขมงคล ฯลฯ

อันนี้ก็เปลี่ยนยากอีกเหมือนกัน อย่าไปฝืนเลยครับ คุณจะเสียพลังงานโดยใช่เหตุ

1.3 ความเคยชิน สิ่งนี้แหละครับ ที่เปลี่ยนแปลงได้ และควรเปลี่ยน หากมันไม่ส่งผลดีต่อชีวิตคุณ

เช่น กินเค็มจัด หวานจัด ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ ไปทำงานสาย เป็นต้น

2.ตอบตัวเองให้ได้ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ มันสำคัญกับชีวิตคุณอย่างไร

“การตั้งเป้าหมายนั้นจำเป็น แต่เป้าหมายนั้นมันสำคัญจริง ๆ หรือเปล่า”

คำถามที่ต้องตอบได้คือ

2.1 หากเปลี่ยนแปลงตนเองสำเร็จ ชีวิตจะดีขึ้นอย่างไร

2.2 หากไม่เปลี่ยน ชีวิตจะแย่อย่างไร

หากเปลี่ยนแล้วชีวิตดีขึ้น จะลังเลอยู่ทำไมล่ะครับ

3. มองเห็นภาพตนเองอย่างชัดเจน เมื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองได้สำเร็จ

“นักวิ่งย่อมมองเห็นภาพตนเองตอนเข้าเส้นชัย”

       ข้อนี้เป็นเทคนิคของศาสตร์จิตใต้สำนึก และเป็นกฎของแรงดึงดูดด้วย ยิ่งภาพของเป้าหมายคุณแจ่มชัดมากเท่าไร แรงดึงความสำเร็จก็จะทวีพลังมากขึ้นเท่านั้น

       เพื่อความชัดเจน ผมแนะนำให้วาดรูปความสำเร็จนั้น ลงบนกระดาษเลยครับ  เติมสีสันให้เหมือนจริง แล้วคุณจะกลายไปเป็นคนในภาพนั้นในที่สุด

4.อย่าลังเล

“ความลังเลเหมือนเหยียบเบรกชะลอความเร็วของความสำเร็จ”

       เพราะความลังเล กังวล สับสน ในใจจะเป็นเสมือนขั้วแม่เหล็กผลักความสำเร็จของคุณให้ไกลออกไป กำจัดความลังเลสงสัยออกไป ด้วยคำถามที่ว่า “ฉันจะเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรือ?”

       ถ้าถามกี่ที ๆ ก็ตอบว่า ‘ไม่’ ก็ไม่มีอะไรต้องลังเลอีกต่อไป

5.เขียนเป้าหมายลงบนกระดาษ

“การคิดเป้าหมายอยู่แค่ในใจนั้น มันพร้อมจะลบเลือนไปกับความฝัน”

      จงเขียนเป้าหมายที่เป็นไปได้นั้นลงบนกระดาษด้วยคำพูดปัจจุบัน ไม่มีคำว่า ’จะ’ และกำหนดเวลาอย่างชัดเจน

เช่น ฉันลดน้ำหนักได้ 5 กิโลกรัม ภายในเดือนกรกฎาคม  คำพูดนี้จะถูกบันทึกลงสู่จิตใต้สำนึกของคุณ โดยอัตโนมัติ

6.หาคนที่มีลักษณะพื้นฐานคล้ายเรา มาเป็นตัวอย่าง

“มนุษย์ล้วนมีบุคคลต้นแบบที่อยากทำตามเสมอ”

      เช่น ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวให้เหมือนบุคคลต้นแบบ คน ๆ นั้นก็ควรมี รูปร่าง สีผิว ใกล้เคียงกับเรา เพราะมีความเป็นไปได้สูง ที่เราจะเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จและคุณก็จะมีกำลังใจต่อไปเรื่อย ๆ

7.หาความรู้ในสิ่งที่ต้องการจะเป็น

“อยากเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน ก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น”

      วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เดินเข้าไปร้านหนังสือหรือห้องสมุด เลือกหยิบหัวข้อที่คุณสนใจจะเปลี่ยนแปลงตนเอง โดยเฉพาะนิตยสารเฉพาะเรื่องนั้น ๆ จะมีข้อมูลดี ๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนซ่อนอยู่ก็ได้ครับ

8.หาวิธีการที่ดีที่สุดในการไปสู่จุดหมาย

“ถ้าอยากขึ้นไปบนยอดเขา คุณจะนั่งรถหรือปีนขึ้นไป”

       วิธีการที่มีประสิทธิภาพ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและเร็วขึ้น ในทางตรงกันข้าม วิธีการที่ไม่เหมาะสมจะทำให้ชีวิตคุณยากขึ้นและเสียกำลังใจ ซึ่งวิธีการนั้นหาได้ไม่ยาก เพราะมีอยู่เกือบทุกอย่างแล้วบนโลกอินเตอร์เน็ต

       เพียงแค่คุณวิเคราะห์ดูความน่าเชื่อถือของข้อมูลให้เป็น เช่น ถ้าเป็นงานวิจัยก็ย่อมน่าเชื่อถือกว่าแค่การรีวิว หรือถ้าเขาทำได้สำเร็จด้วยวิธีการตามที่บอกมาแล้ว ย่อมน่าเชื่อถือมากกว่าแค่พูดตามทฤษฎี

9.เข้าสังคมกับคนแบบที่คุณอยากเป็น

“อยู่ใกล้คนแบบไหน คุณก็มีแนวโน้มจะเป็นแบบนั้น”

       คุณอยากเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างไร ก็ควรเข้าไปทำความรู้จักกับคนที่เป็นแบบนั้น มีหลายวิธี เช่น การเข้าสัมมนา เข้าชมรม สมาคม สมัครเข้ากลุ่มใน Facebook หรือ กลุ่มใน Line เป็นต้น

       ลองสำรวจดูก็ได้ครับว่า ใครคือคนที่ชวนคุณไปออกกำลังกายเย็นนี้

ใครเป็นคนชวนคุณไปเที่ยวบาร์คืนนี้

ใครชวนคุณไปงานสัมมนาวันเสาร์นี้

บุคคลรอบตัวมีอิทธิพลกับเราเสมอครับ

10.สำรวจแรงฉุดรั้งแล้วกำจัดมันทิ้งไป

“นักกีฬาย่อมต้องรู้ว่าใครคือคู่ต่อสู้ และจะแก้เกมได้อย่างไร”

       เขียนอุปสรรค ที่ทำให้พลังในการก้าวไปข้างหน้าลดลง เช่น มีคนมาพูดให้เราเสียกำลังใจ ตีความในด้านลบไปเอง จมอยู่กับอดีตที่เคยล้มเหลว เป็นต้น

       แล้วหาหลักฐานมายืนยันว่าความคิดที่บั่นทอนกำลังของเรานั้น ไม่เป็นความจริง เช่น หากมีคนพูดให้คุณกลัว ก็หาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาพูดไม่เป็นความจริงหรือหยุดตีความในด้านลบเกินกว่าที่ควรจะเป็น

นักปราชญ์กล่าวไว้ว่า

“ความบ้า คือการกระทำอย่างเดิมซ้ำๆ ทั้งที่มันไม่ได้ผล แล้วหวังว่าการกระทำแบบเดิมจะสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่าง”

คนจำนวนไม่น้อยยืนยันที่จะทำแบบนั้น แต่วันนี้ ผมหวังว่าคุณจะไม่เป็นแบบนั้น ด้วยการเปลี่ยนแปลงตนเองบางอย่าง

ที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของคุณดีขึ้น

กุลพงษ์  – Learning Hub Team

 

5 เคล็ดลับ อัพเกรดสมองคุณ ให้เหมือนไอน์สไตน์

มีผลวิจัยว่า คนทั่วไปสามารถใช้สมอง เพียงแค่ 3% ของที่ตัวเองมี คุณว่าจริงไหม?

นี่เป็นสาเหตุให้เราไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดของตัวเองได้ และยังสงสัยว่า ทำไมบางคนถึงฉลาด มีไหวพริบ และทำให้เค้าประสบความสำเร็จได้ง่ายดายกว่าคนอื่นๆ

สมอง เป็นกลไกอัจฉริยะระดับโลก ที่คุณสามารถฝึกฝน ให้มันทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ หากเรารู้วิธี แต่ถ้าเราไม่รู้ ก็เหมือนซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่มา แล้วปรากฎว่าไปลงซอฟแวร์รุ่นเก่า ทำให้มันทำงานได้เพียง 3% คุณจะรู้สึกอย่างไร?

“รอน ไวท์” เป็นแชมป์ความจำเป็นเลิศ จากสหรัฐอเมริกา มีสมองเป็นดั่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ได้รับการบันทึกลงกินเนสส์บุ๊ก เช่น การจำเลขจำนวน 28 หลัก ภายในเวลา 1.15 นาที การจำชื่อจำนวน 150 ชื่อ ภายในเวลา 20 นาที และการจดจำบทกลอนจำนวน 250 บรรทัดได้ภายในพริบตาเดียว

เขาฝึกฝนเทคนิคการเพิ่มความสามารถของสมองผ่านการจินตนาการแบบไอน์สไตน์ โดยมีเคล็ดลับในการเพิ่มความจำของสมองคน ให้ทำหน้าที่ได้ดั่งสมองกล ด้วยการฝึกฝนตาม 5 ขั้นตอนง่ายๆที่ใครๆ ก็ฝึกได้ คือ

1. มุ่งประเด็นให้เด่นชัด (Focus)

ขั้นแรก คือ ต้องโฟกัสสิ่งที่ต้องการจดจำให้ชัดเจนว่าคืออะไร?  มีความโดดเด่นตรงไหน สิ่งนี้ถือเป็นจุดที่สำคัญที่สุดในการทำให้พลังของการจดจำมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนกับเวลาที่เราต้องบันทึกอะไรลงในคอมพิวเตอร์ เราต้องรู้ชัดเจนว่าเรากำลังต้องการบันทึกอะไรบันทึกภาพ บันทึกชื่อ หรือ บันทึกอักษร การมีเป้าหมายเจาะจงชัดเจนนี่เอง ที่เป็นขั้นแรกในการเพิ่มความจำ

2. จัดทำแฟ้มบันทึก (File)

หากคุณต้องการเรียกคืนไฟล์ต่างๆ จากคอมพิวเตอร์กลับมาใช้อีก คุณจะต้องบันทึกโฟลเดอร์หรือไฟล์งานนั้นไว้เพื่อจะเรียกใช้ในภายหลัง ความจำต่างๆ ของคุณก็มีกลไกการทำงานแบบเดียวกับคอมพิวเตอร์

ดังนั้นเพื่อให้สามารถเรียกข้อมูลกลับมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว เราทุกคนจำเป็นต้องบริหารจัดการความทรงจำ ด้วยการจัดเก็บข้อมูลไว้เป็นไฟล์แห่งความทรงจำ (Memory files) อย่างมีระบบและมีระเบียบ เพื่อเวลาเรียกใช้จะได้ง่ายขึ้น

3. ฝึกจำเป็นภาพ (Picture)

ในขั้นตอนนี้  เป็นการสร้างภาพต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เนื่องจากสมองของคนเรามักจำภาพได้มากกว่าเนื้อหา ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มความจำ เราจำเป็นต้องจินตนาการถึงสิ่งที่ต้องการจำให้เป็นภาพที่คุ้นเคย หรือภาพที่สะดุดตา

เช่น อยากจำคำว่า การทำงานเป็นทีม (Teamwork) ก็ให้นึกเป็นภาพ ผู้คนกำลังร่วมมือกันทำงานอยู่ 

พูดง่ายๆ ก็คือ อะไรก็ตามที่เราต้องการจดจำจะต้องแปลงให้อยู่ในรูปแบบของภาษาภาพเสมอเพื่อให้สมองมองเห็นและจดจำได้ หรือกล่าวได้ว่า เมื่อรู้ว่าสมองเราชอบจำเป็นภาพ  เราก็ถอดรหัสสิ่งต่างๆ ให้เป็นภาษาของสมอง เพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆ ลงไปได้ง่ายและมากขึ้นนั่นเอง

4. ตรึงให้มั่น (Glue)

ขั้นตอนนี้ คือการเชื่อมข้อมูลที่เราต้องการจำ ให้ได้รับการบันทึกอยู่ได้นานในสมอง  โดยรอนพบเคล็ดลับว่า  การที่เราจะจดจำบางสิ่งบางอย่าง สิ่งนั้นต้องมีความโดดเด่นเพียงพอที่จะติดตรึงอยู่ในความทรงจำ กระทบกับความรู้สึก (Feeling) ของตัวเองอย่างแรง

หากสังเกตช่วงชีวิตที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดว่าความจำจะติดตรึงอยู่ในความทรงจำได้ก็ต่อเมื่อภาพนั้นมีความ เคลื่อนไหว มีความรู้สึก หรือมีสิ่งพิเศษบางอย่างมาเชื่อมโยงกับตัวเรา และนี่เป็นคำตอบว่าทำไมคุณจึงสามารถนึกถึงรายละเอียดของเรื่องเศร้าที่ทำให้คุณเสียใจมากๆ หรือเรื่องที่ประทับใจสุดๆ เมื่อ 20 ปีก่อนได้อย่างแม่นยำ

ดังนั้น เทคนิคของรอนคือ การใช้ภาษาภาพที่คุณสร้างขึ้นมาเพื่อจะจดจำ จะต้องเป็นภาพที่ติดตรึงในความทรงจำได้ดี มีความเคลื่อนไหว หรือความรู้สึกร่วมด้วย และหากเป็นภาพที่มีความพิเศษมากก็จะยิ่งช่วยให้จำได้ดีขึ้น ทำได้ง่ายๆ ด้วยการติดตรึงความจำเอาไว้ ด้วยการจินตนาการถึงความรู้สึกและการเคลื่อนไหวต่างๆ ลงไปในเนื้อหาของสิ่งที่จะจำนั่นเอง

5. หมั่นทบทวน (Review)

การทบทวนสิ่งที่บันทึกไว้ในความทรงจำ เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ทำให้สามารถจำสิ่งต่างๆ ได้ในระยะยาว เปรียบเทียบกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีการรีเฟรช (Refresh) หรือ อัพเกรด (Upgrade) โปรแกรมคอมพิวเตอร์อยู่เสมอๆ

รอน ไวท์ได้แนะนำเทคนิคง่ายๆ สำหรับขั้นตอนนี้ เช่น ถ้าคุณต้องการจดจำชื่อผู้คนที่ได้พบมา เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่  ให้ถามตัวเองว่า เมื่อวานนี้เราได้พบใครบ้าง เพื่อจะทบทวนรายชื่อของคนที่เราได้พบ แล้วดูว่ามีกี่คนที่คุณสามารถจำได้ ตรงนี้ถือเป็นแบบฝึกหัดที่ดี เป็นการช่วยเพิ่มเติมข้อมูลลงไปในระบบบันทึกข้อมูลส่วนตัว คล้ายการ Upload ข้อมูลใหม่ใส่สมองด้วย

นักวิจัยได้นำสมองของไอน์สไตน์ มาวิเคราะห์ พบว่าไม่ได้มีขนาดใหญ่ไปกว่าคนทั่วไป ดังนั้นมนุษย์เราทุกคนมีสมองที่สุดอัจฉริยะอยู่แล้ว เพียงแต่ยังใช้ไม่เป็นเท่านั้น หากเราสามารถใช้ศักยภาพสมองได้เต็มที่แบบนี้ เชื่อว่าเราจะบรรลุถึงเป้าหมายและความสำเร็จในชีวิต ทั้งในด้านการงาน และชีวิตส่วนตัว ได้อย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน

ข่าวดี สำหรับคนที่อยากพัฒนาศักยภาพสมองระดับสูงสุด!

รอน ไวท์ ผู้เชี่ยวชาญและวิทยากรด้านความจำระดับโลก จะมาแบ่งปันเทคนิคการเพิ่มพลังสมองคนให้เป็นดั่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ได้ ในวันที่ 18 มี.ค.59 ณ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ สุขุมวิท 22 กรุงเทพฯ ในหลักสูตร “Bring the Mind of Einstein to Your Organization” (มีหูฟังและล่ามแปลไทย) และใครอยากเป็นวิทยากรสอนในเรื่องนี้ มีหลักสูตร Train the Trainer ในวันที่ 19-20 มี.ค.59 ด้วยค่ะ

แฟนเพจของ Learning Hub Thailand ได้โปรโมชั่น ลดราคา 10%
เมื่อแจ้งตอนลงทะเบียน ภายใน 16 มี.ค.นี้

ดูรายละเอียดหลักสูตร คลิกที่นี่

Learn_More

7 สิ่งดีๆ ที่ควรบอกตัวเองในทุกวัน

7-things-you-should-tell-yourself-every-day

คุณเป็นคนสำคัญ และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่คุณคิด พูด หรือปฏิบัติต่อตนเองล้วนมีความสำคัญ และส่งผลต่อชีวิตทั้งนั้น กล่าวคือ หากคุณทำดีต่อตนเอง คุณก็จะได้รับผลดีเป็นการตอบแทน แต่หากคุณทำสิ่งแย่ๆ คุณก็จะได้รับผลที่เลวร้ายเช่นกัน

บางครั้งคุณอาจรู้สึกผิดหวัง เสียใจกับคำพูด หรือการกระทำ ซึ่งเกิดจากตัดสินใจที่ผิดพลาดของตนเอง คุณอาจรู้สึกแย่จนถึงขั้นต่อว่า กล่าวโทษ และดูถูกตนเอง ความคิดเช่นนี้ทำให้ตัวคุณเองไม่มีความสุข มิหนำซ้ำยังฉุดให้ชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ วิธีแก้ไขคือให้คุณมองโลกในแง่บวก คิดแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอ

เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณมีพลังในการก้าวเดินไปข้างหน้า และทำให้ชีวิตคุณมีแต่ความสุข บทความนี้แนะนำแนวคิด 7 สิ่งดีๆ ที่คุณควรยึดถือ และบอกตัวเองในทุกวัน

1. ฉันเชื่อในความฝัน

          ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากความฝัน ตอนเด็กๆ เราฝันอยากจะเป็นคนนั้นคนนี้ อยากมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เมื่อเราโตขึ้น ความฝันเหล่านั้นค่อยๆ หายไป เพราะเรากลัว และไม่กล้าฝันต่อ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ความฝันไม่กลายเป็นจริงสักที ดังนั้น จงเชื่อมั่นและศรัทธาในความฝันของตนเอง

คุณมีความฝันอะไรบ้าง ลองหลับตา และปลดปล่อยจินตนาการไปตามความปรารถนา คุณอาจพบว่าตนเองฝันอยากเป็นนักร้อง อยากเป็นเจ้าของกิจการ อยากมีบ้านหลังใหญ่ อยากไปเที่ยวรอบโลก อยากมีเงินมากมาย เป็นต้น เมื่อคุณฝันแล้ว อย่าปล่อยให้มันสูญเปล่า เพราะความฝันนั้นมีพลังและสามารถเป็นจริงได้

จงเชื่อมั่นและพร่ำบอกกับตนเองว่า ความฝันนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม เมื่อคุณทำเช่นนี้แล้ว ความฝันของคุณจะชัดเจนขึ้น อีกทั้ง คุณจะกลายเป็นคนที่มั่นใจ สามารถสร้างสรรค์และผลักดันสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้

2. ฉันทำทุกวันให้ดีที่สุด

          ไม่ว่าวันนี้คุณจะทำสิ่งเล็กๆ หรือยิ่งใหญ่ ให้คุณคิดเสมอว่าคุณต้องทำให้ดีที่สุด เพราะความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่มันค่อยๆ สะสมทีละเล็กทีละน้อย และในที่สุดมันจะกลายเป็นความสำเร็จอันสวยงาม ดังสุภาษิตที่ว่า “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว”

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม จงเตือนตัวเองให้ทำอย่างดีที่สุด ทำให้เต็มที่อย่างสุดกำลังความสามารถ และหากคุณผิดพลาด จงเรียนรู้จากประสบการณ์ ใช้ความผิดพลาดนั้นเป็นบทเรียน รู้จักปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

3. ฉันรักในสิ่งที่ฉันเป็น

          คุณรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อเห็นตัวเองในกระจก หากคุณยิ้มให้กับตนเอง แสดงว่าคุณรักในสิ่งที่คุณเป็น และนั่นเป็นบันไดก้าวแรกที่ทำให้คุณสามารถก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง สิ่งที่คุณเป็นไม่ว่าจะดีหรือร้าย เช่น ผิวขาว ผิวคล้ำ หน้าใส มีสิว ผมตรง ผมหยิก ตัวสูง ตัวเตี้ย หรืออุปนิสัยใจคอต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่งบอกความเป็นตัวคุณ และทำให้คุณมีเอกลักษณ์

เพราะฉะนั้น จงยอมรับและพอใจในสิ่งที่เป็น หากคุณไม่รักตัวเอง คุณก็ไม่สามารถรักคนอื่นได้เช่นกัน ในทางตรงกันข้าม เมื่อคุณรักตัวเองแล้ว คุณจะสามารถส่งต่อความรักและความปรารถนาดีให้กับคนรอบข้างได้ 

4. ฉันเลือกที่จะมีความสุขได้

          หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นั่นหมายถึง ความคิดและจิตใจมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นที่ใจ เราสามารถกำหนดได้ว่าในแต่ละวันตนเองจะมีความสุขหรือความทุกข์เช่นหากคุณตั้งเป้าหมายที่จะทำอะไรแล้วคุณสมหวัง แน่นอนว่าคุณจะรู้สึกมีความสุข

แต่หากคุณไม่สามารถทำมันได้สำเร็จเหมือนที่ตั้งใจไว้ คุณจะเครียด ผิดหวัง และเสียใจทั้งนี้ หากคุณรู้เท่าทันธรรมชาติของความคิดและจิตใจ เข้าใจถึงกลไกดังกล่าว คุณก็จะสามารถกำหนดความสุขได้ด้วยตัวคุณเอง นอกจากนี้ หากคุณพบกับความผิดหวัง คุณก็จะสามารถทำใจ และปล่อยวางได้เร็วกว่าคนอื่น

5. ฉันกำหนดชีวิตตนเองได้

          สิ่งนี้คล้ายๆ กับการกำหนดความสุขได้ด้วยความคิดและจิตใจของตนเอง แต่เปลี่ยนเป็นเรื่องของการกระทำ กล่าวคือ คุณสามารถกำหนดชีวิตของตนเองได้โดยรับผิดชอบ และยอมรับในทุกๆ การกระทำของตนเอง หากคุณทำสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ ชีวิตก็จะเป็นไปในทางที่ดี ในทางตรงกันข้าม หากคุณประพฤติตัวแย่ คุณก็จะได้รับผลของการกระทำนั้น

จงจำไว้ว่าไม่มีใครมีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ คุณเท่านั้นที่สามารถขีดเส้นทางเดินชีวิตของตนเองได้

6. พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้

          การคิดเช่นนี้ทำให้คุณมีพลัง และเกิดแรงบันดาลใจ จงเชื่อว่าวันพรุ่งนี้จะสดใสกว่าเดิม คุณควรเปิดโอกาสให้ตนเองพบเจอกับสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทาย ทำให้ตนเองเรียนรู้ และเพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิต เพราะนั่นจะทำให้คุณไม่หยุดพัฒนาตนเอง เมื่อคุณฝึกคิดเช่นนี้บ่อยๆ คุณจะพยายามทำสิ่งต่างๆ อย่างเต็มที่ และสามารถสานฝันให้กลายเป็นจริง

7. ขอบคุณสิ่งต่างๆ ในชีวิต

          แม้ว่าคุณไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ได้ แต่สิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้คือ ทัศนคติของตัวเอง คุณควรมองโลกในแง่ดี โดยหัดขอบคุณสิ่งดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บางทีสิ่งนั้นอาจเป็นเพียงแค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่มันก็ทำให้คุณมีความสุขได้

เช่น ขอบคุณลมหายใจที่ทำให้คุณได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพื่อทำในสิ่งที่คุณรัก ขอบคุณมิตรภาพดีๆ จากครอบครัว เพื่อนฝูง รวมทั้งคนแปลกหน้า ขอบคุณสิ่งเลวร้ายที่เป็นบทเรียนให้คุณได้เรียนรู้ และเติบโตขึ้น เป็นต้น หากคุณคิดบวก คุณจะพบว่าชีวิตมีเรื่องดีๆ มากมาย

เรียบเรียงโดย Nadda – Learning Hub Team

(ที่มา: http://www.lifehack.org/363049/7-positive-affirmations-tell-yourself-every-day)

5 ข้อคิดสำหรับคนอกหัก ให้มีรักได้อีกครั้ง

5-positive-mindsets-that-you-should-have-get-over-breakup

ความรักเป็นสิ่งสวยงาม เป็นสิ่งที่คอยหล่อเลี้ยงจิตใจให้สดใส ชุ่มชื่นและกระชุ่มกระชวย หากคุณกำลังมีความรัก คุณจะมองเห็นโลกเป็นสีชมพู บรรยากาศรอบข้างล้วนน่ามอง ทุกอย่างดูราบรื่นและเป็นใจไปกับคุณทุกเรื่อง แต่หากคุณเคยพบเจอประสบการณ์ “อกหัก” คุณคงจะรู้ว่ามันเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหน

ความไม่สมหวังในความรักทำให้คุณรู้สึกเสียใจ บอบช้ำ หรือบางทีอาจถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับบางทีคุณอาจคิดว่าต้องใช้เวลาในการเยียวยารักษาแผลใจตลอดไป ไม่สามารถเจอคนที่ดีได้อีก หรือคุณอาจสูญเสียความมั่นใจจนตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันมีค่าพอกับการถูกรักหรือไม่” หรือ “ฉันดีพอที่รักใครใหม่ได้อีกหรือเปล่า”

แม้ว่าการอกหักจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คุณเจ็บปวด และผ่านพ้นไปอย่างยากลำบาก แต่มันก็ทำให้คุณก้าวไปยังทิศทางใหม่ที่ถูกต้องและเหมาะสมมากกว่าเดิม คุณอาจคิดว่าตอนนี้ชีวิตคุณถึงทางตัน บรรยากาศรอบข้างช่างมืดมิดและโหดร้าย แต่จงจำไว้ว่าชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ มีหนทางที่ดีและสวยงามรออยู่ ดังนั้น คุณไม่ควรยอมแพ้ต่อความผิดหวังในเรื่องความรัก ในทางกลับกัน คุณควรใช้ประสบการณ์นั้นให้เป็นประโยชน์ ปรับมุมมองและทัศนคติเรื่องความรักใหม่ และใช้แนวคิด5 ข้อในบทความนี้

1) บางครั้งการยุติความสัมพันธ์ก็ดีกว่าการพยายามประสานแก้วที่แตกร้าว

ความรู้สึกและจิตใจของคนเราเปรียบเสมือนแก้วที่เปราะบาง ดังนั้น คุณจึงควรดูแลรักษามันให้ดี เพราะหากคุณทำแก้วแตกหักหรือเสียหาย ก็เป็นเรื่องยากที่จะประสานให้ดีดังเดิม ความรักของคนเราก็เช่นกัน เมื่อความสัมพันธ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด คุณต้องยอมรับความจริงอันโหดร้ายนั้นให้ได้ คุณไม่อาจเข้าข้างตัวเอง และยึดติดว่าตนจะต้องมีความรักที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น จงคิดว่าทุกๆความสัมพันธ์ไม่ได้เหมือนกับตอนจบในละครที่พระเอกและนางเอกได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไปชั่วนิรันดร

หากความสัมพันธ์ไม่สามารถไปต่อได้ จงเผชิญหน้ากับความจริง การเลิกราไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คุณคิด แต่การดื้อดึง หรือไม่ยอมรับความจริงต่างหากที่ทำให้คุณเจ็บช้ำไม่รู้จบ การพยายามประสานแก้วที่แตกร้าวอาจทำให้คุณเสียเวลาและเจ็บปวดมากกว่าเดิม ดังนั้น หากความรักของคุณไม่สามารถไปต่อ คุณควรตั้งสติ และพิจารณาที่จะก้าวเดินต่อไป

2) จงให้ความรักแบบไม่หวังผลตอบแทน

การให้ความรักแก่กันเป็นเรื่องดี แต่การให้ความรักโดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะคุณจะไม่เกิดความคาดหวัง และหากคุณไม่คาดหวัง คุณก็จะไม่ผิดหวังการคาดหวังให้อีกฝ่ายรักตนเท่าๆกับที่ตนรักเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะมันจะทำให้คุณเครียด กดดัน และไม่มีความสุข นอกจากนี้ หากอีกฝ่ายปฏิบัติตนไม่ตรงกับความคาดหวังของคุณก็จะทำให้คุณน้อยใจ กังวล และสิ่งนี้จะเป็นสาเหตุของการทะเลาะกัน ดังนั้น คุณจึงควรรักให้ถูกวิธี รักอย่างไม่คาดหวัง และความรักจะกลับมาหาคุณเอง

3) การเลิกราไม่ใช่ความผิดของใคร

ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะร้องไห้ฟูมฟาย ทำลายข้าวของ ทำร้ายตนเองหรือกล่าวโทษว่าอีกฝ่ายเป็นคนผิดที่เดินออกจากชีวิตของคุณ หากเขาหรือเธอเลือกที่จะเดินจากไป ก็แสดงว่าคนๆนั้นไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับคุณ เพราะหากเขารักคุณเขาก็จะมองเห็นในสิ่งดีๆที่คุณทำ และคุณก็คงไม่ต้องมาผิดหวังแบบนี้ ดังนั้น อย่าเสียเวลาให้กับคนที่ไม่รู้จักคุณค่าของคุณ ชีวิตยังอีกยาวไกล และโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ จงเดินหน้าต่ออย่างมีสติ ทำตัวให้มีคุณค่า และคิดซะว่าเป็นเรื่องดีที่คุณจะได้มอบสิ่งดีๆให้กับคนที่เหมาะสมและคู่ควร

4) ปล่อยให้อดีตผ่านพ้นไป อยู่กับปัจจุบัน และเปิดรับสิ่งดีๆในอนาคต

แต่ละคนมีวิธีรับมือกับความผิดหวังที่แตกต่างกันออกไป หลายคนจมปลักอยู่กับอดีต ปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมเปิดรับสิ่งใหม่ให้กับชีวิต การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คุณไม่ควรปล่อยให้คนเพียงคนเดียวมีอิทธิพลต่อชีวิตทั้งชีวิตของคุณ หากคุณแบกความทุกข์ไว้ ตัวคุณเองที่จะรู้สึกหนัก ดังนั้น จงปล่อยเรื่องเลวร้ายให้ผ่านพ้นไป เก็บข้อผิดพลาดต่างๆไว้เป็นประสบการณ์ เรียนรู้ข้อเสียของตนเองและนำไปใช้ในความสัมพันธ์ครั้งใหม่ คุณควรคิดว่าตนเองยังมีโอกาสได้พบกับคนอีกมากมาย หาโอกาสออกไปพบปะเพื่อนฝูงบ้าง ทำสิ่งดีๆให้กับตนเองบ้าง เพราะยิ่งคุณก้าวไปข้างหน้าได้เร็ว ก็เท่ากับว่ายิ่งเปิดโอกาสให้สิ่งดีๆเข้ามาได้เร็วขึ้นเช่นกัน

5) เคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย

การปล่อยให้ความรักจบลงไม่ได้หมายความว่าคุณไม่แคร์อีกฝ่าย คุณเพียงแค่เคารพการตัดสินใจของกันและกัน หากคุณยังหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่า “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” หรือ “เขาหรือเธอจะเป็นอย่างไรถ้าขาดฉันไป จะอยู่ได้หรือไม่” นั่นแสดงว่าคุณกำลังคิดแทนผู้อื่น จริงๆแล้วคุณไม่มีสิทธิ์ควบคุมหรือบงการชีวิตอีกฝ่าย เขาหรือเธอสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์เพราะฉะนั้น หากอีกฝ่ายต้องการปล่อยมือคุณ คุณก็ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งไว้ได้ คุณทำได้เพียงแค่ยอมรับความจริง ปล่อยให้มันผ่านไป รักษาแผลใจตนเอง และรอคอยคนที่ดีกว่าในอนาคต

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://www.lifehack.org/322214/5-positive-mindsets-that-you-should-have-get-over-breakup)

9 นิสัยเสียที่คุณควรหยุดทำเพื่อเป็นคนที่สุดยอด

9 spoiled you should stop doing

ผ่านปีใหม่มาแล้ว หลายคนอาจอยากจะสลัดนิสัยเดิม ๆ เพื่อจะได้พัฒนาและปรับปรุงให้ชีวิตตัวเองก้าวหน้ามากขึ้น บางคนทำงานหนักมาทั้งปี ได้นอนน้อย เที่ยวน้อย ได้โปรโมท มีหน้าที่การทำงานรับผิดชอบมากขึ้น นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนเก่ง แต่มันหมายความว่าคุณเป็นคนที่บริหารจัดการชีวิตไม่เป็นต่างหาก

คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ทว่าประสิทธิภาพในการทำงานนั้นต่างกันและถ้าคุณลองปรับนิสัยบางอย่างตามเช็คลิสข้างล่างนี้ไม่แน่ว่าอาจทำให้ชีวิตคุณดีและมีอะไรหลายๆอย่างลงตัวมากขึ้น

1. เลิกเปิดคอมเพื่อหาไอเดียใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ

คุณควรคิดหัวข้อที่ต้องการหาก่อน และพุ่งประเด็นไปที่คำตอบที่อยากได้ เช่น วิธีผูกสูตร Excel ถ้าคุณไม่แน่วแน่กับคำตอบที่ต้องการหาคุณอาจเจอโฆษณาของสายการบินที่ให้โปรโมชั่นต่ำสุดนำไปสู่การนอกเรื่อง และอาจทำให้คุณลืมจุดประสงค์และภารกิจที่แท้จริงในการเปิดอินเตอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลการทำงานให้ตัวเอง ทางที่ดีคุณควรจดออกมาเป็นข้อๆ ใส่กระดาษโน๊ตข้างๆว่าคุณต้องเปิดคอมหาข้อมูลเรื่องอะไรบ้าง วิธีนี้จะทำให้คุณไม่เสียสมาธิกับสิ่งล่อตาล่อใจได้ง่ายๆ

2. เลิกทำหลายๆอย่างในเวลาพร้อมๆกัน

บางคนคิดว่าการที่สามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้พร้อมกันคือเรื่องที่เจ๋ง แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องผิดมาก จากงานวิจัยพบว่ามีประชากรเพียง 2 % เท่านั้นที่สามารถทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะยาวการทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันเป็นนิสัยที่แย่ จะทำให้สมาธิเราสั้นลงแถมยังทำให้เรามีประสิทธิภาพน้อยลงอีกด้วย

3. เลิกเช็คอีเมล์ตลอดวัน

ทุก ๆ ครั้งที่คุณเช็คอีเมล์นั้น ทำให้คุณเสียเวลาไปอย่างน้อย 25 นาที กว่าจะกลับมาสู่โหมดปกติได้ และการหมั่นเช็คอีเมล์ยังทำให้งานของคุณจริง ๆ ไม่เดินอีกด้วย เพราะมัวแต่นั่งกังวลและนั่งตอบอีเมล์มากกว่า ที่ปรึกษาระดับสูงในบริษัทดัง แนะนำว่าให้คุณปิดมือถือ ปิดอีเมล์ ประมาณ 30 นาทีเพื่อที่จะทำให้คุณมีสมาธิแน่วแน่กับงานมากขึ้น

4. เลิกเอางานที่สำคัญและยากไว้ทีหลังสุด

คนเรามักเข้าใจผิดว่าควรทำงานที่ง่าย ๆ ก่อนในตอนเช้า เพื่อที่จะเคลียร์งานให้เสร็จไปเร็ว ๆ และค่อยจัดการกับงานยาก ๆ ทีหลัง นี่จัดว่าเป็นไอเดียที่แย่มากและจะทำให้เกิดโอกาสสูงมากที่งานจะไม่เสร็จสักงาน นักวิจัยค้นพบว่าคนเรามีขีดความตั้งใจจำกัดในแต่ละวัน ความตั้งใจแน่วแน่จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ เมื่อร่างกายคุณล้า เพราะฉะนั้นงานที่สำคัญที่สุดและยากที่สุดควรถูกจัดไว้ในอันดับต้น ๆ ของวัน

5. เลิกเข้าประชุมที่ไม่สำคัญ

การเข้าประชุมบ่อยครั้ง ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนเจ๋งหรือคนสำคัญในที่ประชุมและการประชุมทำให้คุณเสียเวลาอย่างมาก แนะนำว่าคุณควรเข้าประชุมที่มีหัวข้อการประชุมชัดเจน และคุณได้อะไรจากที่ประชุมนั้น ไม่ว่าจะได้งานที่ต้องการหรือได้แบ่งเบาภาระงานของคุณ

6. เลิกนั่งแช่ทั้งวัน

การนั่งทำงานแช่ทั้งวันกับเครื่องคอมพิวเตอร์และออฟฟิศสี่เหลี่ยมทำให้ประสิทธิภาพการทำงานน้อยลงเรื่อย ๆ คุณลองเปลี่ยนที่การทำงานโดยการเดินไปคุยไป หรือจิบกาแฟพร้อมนั่งคุยงานกับเพื่อนร่วมงานที่ชั้นล่างของตึก อาจทำให้ไอเดียใหม่ ๆ เกิดขึ้น และเมื่อคุณกลับมานั่งโต๊ะคุณจะรู้สึกตื่นตัวและกระปรี้กระเปร่ากับการทำงานมากขึ้น

7. เลิกกดเลื่อนนาฬิกาปลุก

คุณอาจคิดว่าขอเวลาอีกนิดหนึ่ง ห้านาที นอนต่ออีกสักพัก จะได้มีแรงขึ้นอีกหน่อย นั่นคือความคิดที่ผิดมหันต์เพราะมันส่งผลเสียมากกว่าผลดี เพราะครั้งแรกของการตื่นนอนในตอนเช้า ระบบร่างกายของคุณจะเริ่มปล่อยฮอร์โมนที่ทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเตรียมตัวรับวันใหม่

การที่คุณนอนต่อนั่นทำให้ร่างกายของคุณไม่ตื่นตัว และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานกระบวนการคิดต่าง ๆ ช้าลง และคุณไม่ควรนอนน้อยกว่าที่ควร การนอนอย่างเพียงพอทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในทุก ๆ ด้าน ทั้งความสุข การตัดสินใจที่ดีขึ้น ปลดล็อกไอเดียที่ดีขึ้น

8. เลิกเอามือถือไว้หัวเตียง

แสงไฟ LED จากมือถือ แท็บเล็ตและแล็ปท็อปจะส่งแสงบลูไลท์ออกมาทำลายสายตาและกดฮอร์โมนของเรา ทำให้รอบการนอนหลับและการตื่นของเราไม่เป็นไปอย่างราบรื่น หรือทำให้เรานอนหลับไม่สนิทนั่นเอง ผลจากงานวิจับพบว่าคนที่นอนหลับไม่สนิทจะมีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้ามากยิ่งขึ้น

9. เลิกเป็นเพอร์เฟคชั่นนิส

เรากังวลว่าสิ่งที่ทำนั้นจะไม่สมบูรณ์แบบ มัวแต่กลัวโน่นนี่นั่น ใช้เวลาคิดมากในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และสิ่งไม่จำเป็น จนทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ เหมือนกับว่าเรารอมีเวลาจริง ๆ ค่อยตั้งใจทำมันอย่างละเมียดละไม และก็เลื่อนงานนั้นออกไปเรื่อย ๆ โดยใช้เหตุผลอ้างว่าไม่มีเวลาทำอยากทำให้ออกมาดี ออกมาเพอร์เฟคก็ต้องใช้เวลา

ซึ่งจริง ๆ แล้วการเลื่อนงานนั้นออกไปทำให้คุณไม่ได้เริ่ม และการที่มัวแต่คิดเล็กคิดน้อยก็ทำให้งานของคุณไม่เดินและประสิทธิภาพต่าง ๆ ในการทำงานก็ลดลงมากกว่าที่คุณคิด

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

10 ข้อคิดเกี่ยวกับความพยายามและความสำเร็จ

10 commentaries about the effort a success

1. ความพยายาม คือหัวใจของความสำเร็จ

คือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้มนุษย์แต่ละคน มีชีวิตที่แตกต่างกัน

2. ความพยายาม คือความจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด

ถ้าจดจ่อได้เป็นระยะเวลานาน เป็นเดือน เป็นปี นั่นเรียกว่าความพยายาม ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ทำแล้วกัดไม่ปล่อย ไม่มีถอยไม่มีเลิก ดังนั้น อีกชื่อหนึ่งของความพยายามก็คือ “สมาธิ” ความพยายามและสมาธิคือสิ่งเดียวกัน โดยสมาธิคือเหตุที่ทำให้เกิดความพยายาม

3. ถ้าสมาธิดี ความพยายามจะสูง ถ้าสมาธิต่ำ ความพยายามจะน้อย

โอกาสที่เราจะบรรลุเป้าหมายความสำเร็จในชีวิต ขึ้นอยู่กับปริมาณของความพยายามหรือสมาธิ

4. เมื่อความพยายามคือสมาธิ

นั่นย่อมหมายความว่า ความพยายามนั้นเป็นนามธรรมที่สร้างได้วิธีสร้างความพยายามมีสองวิธี หนึ่ง รวบรวมกำลังใจแล้วลงมือทำ วิธีนี้มักได้ผลกับคนที่มีสมาธิดีเป็นพื้นฐาน แต่ไม่ค่อยได้ผลกับคนที่พื้นฐานสมาธิต่ำ อีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีความพยายามได้คือ ลงมือฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิจะช่วยให้คนเกียจคร้านเป็นคนมีความพยายามขึ้นมาได้

5. ความพยายามไม่ใช่สิ่งคงที่

บางวันเพิ่ม บางวันลด หมายความว่าในคน ๆ หนึ่ง ย่อมมีทั้งช่วงเวลาที่มีความพยายามสูง และช่วงเวลาที่มีความพยายามต่ำ วิธีรักษาความพยายามเอาไว้ คือฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เพราะสมาธิคือเหตุที่ทำให้จิตใจตั้งมั่น และจิตใจตั้งมั่น ทำให้เกิดความพยายาม

6. ถ้าคุณมีความพยายามแล้ว ความเฉลียวฉลาดย่อมตามมา

ไม่รู้สิ่งใด ก็จะรู้ได้ ทำสิ่งใดไม่ได้ ก็จะทำได้ ความพยายามจึงมีคุณค่ากว่าความเฉลียวฉลาด เพราะผู้ที่มีความพยายามแม้เป็นคนโง่เขล่าในช่วงแรก ก็จะโง่อยู่ไม่นาน ความพยายามจะผลักดันให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นผู้รอบรู้ได้อยู่ดีดังนั้น คนโง่จึงไม่มีจริง แต่คนไม่พยายามนั่นมีอยู่จริง!!!

7. ความพยายามมีข้อดีเป็นส่วนใหญ่ แต่ความพยายามก็มีข้อเสียอยู่

เมื่อใครคนหนึ่งพยายามกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาก ๆ จิตจะเกิดการยึดติด ทำให้เกิดความทุกข์เพราะสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้ ความพยายามจึงควรมีสติกำกับ สตินี้เองจะเป็นตัวปรับให้ความพยายามกลับมาสู่จุดสมดุล

8. ผู้มีความพยายามสูง แต่สติต่ำ

จะพัฒนาตนเองไปเป็นทาสกิเลส คือยิ่งพยายามเท่าไหร่ สำเร็จเท่าไหร่ ยึดเป็นคนยึดในอัตตาตัวตนมากเท่านั้น และอัตตาตัวตนนี้เองที่เป็นบ่อเกิดและความชั่ว และการเบียดเบียนผู้อื่น ตรงนี้แก้ได้ด้วยการพัฒนาสติขึ้นมากำกับ ให้สติอยู่เหนือความพยายาม อย่าให้ความพยายามอยู่เหนือสติ ถ้าทำได้อย่างนั้น ก็จะกลายเป็นผู้มีทั้งความสำเร็จทางโลก และทางธรรมไปพร้อมกัน

9. ความเมตตา ความพยายาม และสติ สามสิ่งนี้ต้องมาพร้อมกันเสมอ

จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้เด็ดขาด เมตตาทำให้เรามีความเป็นมนุษย์ผู้มีความดี ความพยายามทำให้เราสำเร็จ สติทำให้เราดำรงไว้ซึ่งความดีและความสำเร็จ เมื่อเรามีทั้งความดีและความสำเร็จ เราย่อมกลายเป็นผู้มีความสุขไปโดยปริยาย

10. ทุกความพยายาม อาจไม่ได้นำมาซึ่งความสำเร็จ

แต่ทุกความสำเร็จจะต้องมีความพยายามเป็นส่วนประกอบอย่าถามหาความสำเร็จใดๆ ในอนาคต แต่จงถามหาความพยายาม และทำให้มันปรากฏในทันที ความเพียรนี่เองที่จะทำให้เราทั้งหลายอยู่กับปัจจุบันได้ เป็นฉันทะ มิใช่ตัณหา เป็นความจริง มิใช่ความฝัน ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ที่นั่น เพราะความพยายามคือตัวตนของความสำเร็จ “จงพยายามให้เกิดความพยายาม” แล้วความพยายามจะทำให้ท่านสมปรารถนาทุกประการ

ที่มาเพจ พศิน อินทรวงค์ (https://www.facebook.com/talktopasin2013)

สติ 3 ระดับ สู่สูงสุดของชีวิต

3rd class consciousness

สติมีด้วยกัน 3 ระดับ

1. สติระดับควบคุมความคิด

สติระดับนี้เป็นสติขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ต้องใช้เพื่อดำรงชีวิตประจำวัน เป็นสติที่มีอยู่แล้วในสัตว์โลกตั้งแต่มนุษย์ขึ้นไป เป็นสติที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงาน ความสัมพันธ์ และการแสดงออกให้เหมาะสมกับกาลเทศะ เช่น นึกว่า “ขณะนี้เรากำลังทำงานอยู่ ก็ต้องตั้งใจทำงาน” หรือนึกว่า “เราไม่ควรไปโกรธเขาเลย ให้อภัยเขาจะดีกว่า จะได้ไม่มีเรื่องติดใจต่อกัน” การฉุกคิดในลักษณะนี้ ล้วนเกิดจากการใช้สติในการควบคุมความคิดทั้งสิ้น สติระดับที่หนึ่งเป็นสติที่ทำให้เรากลายเป็นผู้มองโลกในแง่ดี ถ้าใช้สติระดับที่หนึ่งบ่อยๆ ชีวิตในโลกภายนอกก็จะพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ

2. สติระดับเห็นความคิด

สติระดับนี้เป็นสติที่พระพุทธเจ้าทรงคิดขึ้นมาเป็นคนแรก เป็นการกำหนดสมาธิ วางใจให้เป็นกลาง แล้วจึงใช้สติดึงจิตให้หลุดจากความคิดมาเป็นผู้สังเกต การฝึกสติเช่นนี้บ่อยๆ จะทำให้กลายเป็นผู้เท่าทันความคิด สามารถเห็นการเกิดขึ้นและดับไปของความคิด ทำให้อยู่เหนืออารมณ์ของตนเองได้ ความทุกข์ต่างๆ จะน้อยลง ความสุขจะเพิ่มขึ้น อัตตาตัวตนจะทุเลาเบา ถ้าฝึกสติในระดับนี้เป็นประจำ สติในระดับแรกก็จะเกิดง่ายขึ้น สติระดับที่สองนี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการฝึกจิตอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่การฝึกวิปัสสนากรรมฐานเป็นต้น

3. สติระดับเหนือความคิด (มหาสติมหาปัญญา)

สติระดับที่สามนี้ เป็นสติที่ก่อให้เกิดปัญญาทะลุโลก เป็นสติที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนสติในระดับที่สองจนเกิดความชำนาญ สติระดับมหาสติมหาปัญญานี้ ไม่จำเป็นต้องใช้การฉุกคิด เพราะเป็นสติที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานเหมือนสายน้ำไหล ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันลืม ไม่มีวันเผลอ ไม่มีคำว่าขาดช่วงขาดตอน กล่าวคือเป็นสติที่มีความเร็ว จนสามารถเห็นว่าความคิดและความรู้สึกมีกระบวนการทำงานอย่างไร ทำให้กลายเป็นผู้หมดสิ้นความชั่ว หมดสิ้นในอัตตาตัวตน เป็นผู้พ้นไปจากอำนาจของมายาสมมุติ และสามารถควบคุมสติในสองระดับแรกได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม พูดง่ายๆ ว่า เป็นภาวะที่บุคคลผู้นั้นเข้าถึงภาวะบรมสุข ไม่สามารถมีความทุกข์ได้อีกต่อไป สติระดับที่สามนี้ เป็นสติที่ทำให้มนุษย์พ้นสภาพจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนโดยสมบูรณ์!!!

ที่มา: เพจ พศิน อินทรวงค์
(https://www.facebook.com/talktopasin2013)

10 นิสัยที่ทำให้คุณเป็นคนมีประสิทธิภาพและมีความสุขได้ทุกวัน

10 habits that make you a more effective and happy every day-2

สิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณต่างจากคนอื่นแบบก้าวกระโดดนั้นไม่ใช่เพียงแต่สภาพแวดล้อมการทำงานที่คุณเจอ แต่ยังมาจากพลังภายใน ความคิดและทัศนคติที่ทำให้ชีวิตคุณก้าวหน้ามากกว่าใคร และส่วนหลักที่สำคัญที่สุดคือนิสัยและกิจวัตรประจำวันในแต่ละวันของคุณตั้งแต่ตื่นตอนเช้าจนถึงเย็น 

คุณกำลังทำอะไรอยู่ในแต่ละวัน คุณยุ่งกับมันมากแค่ไหน และสิ่งที่คุณทำเหล่านั้นได้เพิ่มทักษะหรือทำให้ชีวิตคุณก้าวหน้าหรือไม่  กิจวัตรประจำวันของคุณจะปรับและเปลี่ยนนิสัยของคุณในแต่ละวันให้กลายเป็นคนแบบที่คุณเป็น 

1. ตื่นเช้า

ถ้าคุณมีสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันมากมาย การตื่นเช้ากว่าปกติจะทำให้คุณได้ทำอะไรในแต่ละวันมากขึ้น คุณจะมีเวลานั่งคิดและตัดสินใจมากขึ้นในตอนเช้า คุณสามารถที่จะอิ่มเอมกับอาหารเช้าและมีเวลาคัดสรรบรรจงเลือกเสื้อผ้าที่คุณอยากใส่ มีเวลาฟังข่าวและดนตรีซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คุณสดชื่นและเติมพลังอย่างดีในตอนเช้าของทุกๆวัน

2. จดลิสสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกประทับใจ

การจดบันทึกทุกๆวันในสิ่งที่คุณชอบหรือประทับใจ จะทำให้คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีขึ้น และมันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คุณเห็นโอกาสในวิกฤติต่างๆ การที่คุณมีความสุขและขอบคุณสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิตจะทำให้คุณเป็นคนที่มีความสุขออกมาจากพลังภายในซึ่งจะดึงดูดสิ่งดีๆให้เข้ามาในชีวิตคุณในอนาคต

3. ทบทวนเป้าหมายของตัวเองทุกๆวัน

ถ้าคุณอยากจะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ มีสาระ และจัดการชีวิตได้ดีขึ้น คุณควรเขียน เป้าหมายประจำวันว่าคุณต้องทำอะไรบ้าง และเมื่อจบวันคุณควรทบทวนว่าเป้าหมายของคุณได้ทำสำเร็จแล้วหรือไม่และไม่สำเร็จเพราะอะไร จงซื่อสัตย์กับตัวเองและอย่าตั้งเป้าหมายเยอะเกินไปจนทำให้คุณรู้สึกท้อแท้ ค่อยๆเริ่มจากเป้าหมายที่ทำได้ง่ายๆในแต่ละวัน

หลังจากนั้นค่อยดูความสามารถและการจัดการเวลาของคุณก่อน แล้วจึงค่อยๆเพิ่มเป้าหมายเข้าไปในแต่ละวันให้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ไม่ควรมีเป้าหมายเกินสามอย่างต่อวัน

4. อย่าลืมของว่างที่มีประโยชน์

ด้วยชั่วโมงที่เร่งรีบ ภาวะรถติด และการใช้ชีวิตทำงานที่เร่งด่วน คุณควรเตรียม Snack กล่องเล็กๆเพื่อเติมพลังให้ร่างกายระหว่างวัน อาจจะเป็นผลไม้ หรือ วิตามิน ขนมปังที่ Healthy เพื่อทำให้คุณไม่เพลียและผ่อนคลายระหว่างวันการทำงาน อย่าลืมว่าร่างกายที่แข็งแรงจะนำไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

5. ออกจากโลก Social Network

เพื่อการทำงานและชีวิตที่มีประสิทธิภาพ คุณควรปิดแชทและออกจากโซเชียลมีเดียในเวลางาน จงมีสติกับงานที่อยู่ตรงหน้าและปัจจุบัน คุณอาจตั้งเป้าว่าต้องเสร็จงานชิ้นนี้ก่อนถึงจะกลับไปเปิดแชท เช็คอีเมล์หรือเล่น Social media การนั่งตอบแชททั้งวันจะทำให้คุณไม่มีสมาธิและงานไม่เสร็จ คุณอาจให้รางวัลตัวเองที่เป็นการพักผ่อนซัก 5-10 นาที หลังจากคุณเสร็จงานหนึ่งชึ้นก็เป็นได้

6. เดินเล่นสั้นๆ

การได้เดินเล่นสั้นๆ ระหว่างวันจะเป็นการกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารความสุข ทำให้คุณมีความจำที่ดีขึ้น และผ่อนคลายมากขึ้น และยังเป็นการชารต์พลังงานทำให้สมองคุณกลับมาพร้อมทำงานหรือเรียนได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย

7. อ่านหนังสือ 2-3 หน้า

ไม่จำเป็นที่คุณต้องอ่านหนังสือทั้งเล่มจบภายในครั้งเดียว การอ่านหนังสือสองสามหน้าต่อวันก็เป็นการเพิ่มความรู้ และเปิดมุมมองทัศนคติในการใช้ชีวิตของคุณได้ และไม่จำเป็นต้องเป็นหัวข้อเดียว คุณอาจอ่านบทความสั้นๆ เรื่องสุขภาพ ความรัก การพัฒนาตัวเอง และอื่นๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการดำรงชีวิต ทำให้คุณมีไฟในการทำงานและเรื่องอื่นๆ

8. เขียนเป้าหมายสำหรับวันพรุ่งนี้

เป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่แต่ละวันก่อนนอนคุณควรเขียนแพลนสั้นๆ ว่าคุณจะทำอะไรในวันพรุ่งนี้บ้าง เพื่อเป็นการลดความกังวลของคุณก่อนนอนว่าคุณจะไม่ลืมทำสิ่งนี้ในวันพรุ่งนี้ และยังทำให้คุณไม่หลุดเป้าหมายในการทำงานหรือการพัฒนาตัวเอง

9. เตรียมอาหารกลางวันล่วงหน้า

การเตรียมอาหารกลางวันล่วงหน้า หรือการคิดว่าพรุ่งนี้ตอนกลางวันจะกินอะไรดี จะทำให้คุณกลายเป็นคนใส่ใจในสุขภาพของตัวเองอัติโนมัติ และจะกลายเป็นนิสัยดีๆ ที่ทำให้คุณหันมารักตัวเองมากขึ้น ไม่มัวแต่ยุ่งเรื่องงานจนกระทั่งลืมดูแลตัวเอง ถ้าคุณพึงพอใจและมีความสุขกายสุขใจจากภายใน คุณก็จะพบกับสิ่งดีๆ ในชีวิตมากขึ้น

10. เข้านอนด้วยความรู้สึกเชิงบวก

คุณควรคิดว่าวันนี้คุณตื่นเต้นกับเรื่องอะไร สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันมีอะไรบ้าง การที่คุณเข้านอนด้วยทัศนคติเชิงบวกกับความรู้สึกดีๆ ก่อนนอนจะทำให้คุณนอนหลับได้สนิทขึ้น และสบายใจขึ้น คุณอาจเปิดดนตรีเบาๆ หรือจดไดอารี่ไว้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เกินขึ้นกับคุณในวันนี้ ขอบคุณตัวเองและพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องใหม่ๆ ในวันพรุ่งนี้เสมอ

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

10 ประโยชน์ของการท่องเที่ยวที่คุณคาดไม่ถึง

10-reasons-why-traveling-the-best-form-education

แม้ว่าหลายคนอาจมองว่าการท่องเที่ยวเป็นการใช้เวลาว่างโดยเปล่าประโยชน์ ไร้ค่า และไม่ทำให้เกิดการพัฒนาใด ๆ แต่แท้จริงแล้ว หนึ่งในวิธีที่จะทำให้เราเรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งขึ้นก็คือ “การท่องเที่ยว” บทความนี้เปิดเผยประโยชน์ 10 ข้อของการท่องเที่ยวที่คุณอาจคิดไม่ถึง

1) คุณได้เรียนรู้ภาษา

แม้ว่าตอนนี้คุณอาจลงเรียนพิเศษภาษาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สเปน หรือเยอรมัน แต่คุณก็ได้เรียนจากตำรา สื่อการสอน เกม หรือผ่านครูสอนภาษาเท่านั้น แต่หากคุณต้องการเรียนรู้ภาษาในโลกแห่งความเป็นจริง “การท่องเที่ยว” สามารถตอบโจทย์ และช่วยให้คุณฝึกฝนทักษะการพูดและการฟัง หรือเรียนรู้ภาษาได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เพราะการท่องเที่ยวเปิดโอกาสให้คุณพบเจอกับคนท้องถิ่น เจอกับความหลากหลายทางภาษา เช่น สำเนียงที่แตกต่างกัน การใช้ศัพท์แสลง หรือศัพท์เฉพาะกลุ่ม เป็นต้น กล่าวคือ การท่องเที่ยวช่วยให้คุณใช้ภาษาเพื่อเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารอย่างแท้จริง

2) คุณได้เรียนรู้วัฒนธรรม

เมื่อคุณออกเดินทางท่องเที่ยว คุณจะพบเจอกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย และคุณจะเข้าใจถึงความเหมือนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม กล่าวคือ แต่ละชาติมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น อาหารการกิน กริยามารยาท การทักทาย การแต่งกาย วิถีการดำเนินชีวิต เป็นต้น

เช่น วัฒนธรรมในการพบปะของไทยใช้การไหว้และกล่าวสวัสดี ชาวตะวันตกใช้การจับมือ ชาวทิเบตใช้การแลบลิ้น ชาวมุสลิมกล่าวว่า “สลาม” เป็นต้น ความหลากหลายทางวัฒนธรรมเหล่านี้ ทำให้คุณยอมรับความแตกต่าง และมีความเข้าใจเพื่อนมนุษย์มากยิ่งขึ้น

3) คุณได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์

ไม่แปลกถ้าคุณรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในห้องเรียน เพราะคุณไม่เคยเห็น และไม่เคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยตนเอง คุณจึงรู้สึกไม่มีส่วนร่วมหรือไม่สามารถจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ได้ แต่หากคุณเปิดโลกกว้างให้กับตนเองด้วยการท่องเที่ยว คุณจะมีโอกาสไปเที่ยวชมโบราณสถาน พระราชวัง พิพิธภัณฑ์ อนุสาวรีย์ หรือแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของแต่ละประเทศ

นอกจากนี้ หากคุณมีโอกาสพูดคุยกับคนท้องถิ่น พวกเขาอาจบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงให้คุณฟัง เช่น สาเหตุความขัดแย้ง การเปลี่ยนแปลง สงคราม หรือข้อมูลเบื้องลึกต่าง ๆ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้น อาจไม่เหมือนกับสิ่งที่คุณร่ำเรียนมาก็ได้

4) คุณได้เรียนรู้โลกปัจจุบัน

การท่องเที่ยวไม่เพียงแต่สอนคุณเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ยังสอนคุณถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอีกด้วย กล่าวคือ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมผ่านการท่องเที่ยว อีกทั้ง ในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก การท่องเที่ยวยังช่วยให้คุณเข้าใจ และได้รับข้อมูลที่เป็นจริงผ่านสายตาของตัวคุณเอง ไม่ใช่ผ่านการตัดสินโดยกระแสสังคม หรือสื่อออนไลน์เท่านั้น

5) คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ

เมื่อใดก็ตามที่คุณก้าวออกมาจากป่าคอนกรีต และเริ่มผจญภัยในโลกธรรมชาติ คุณก็จะพบกับความมหัศจรรย์และความสวยงามที่แท้จริง คุณจะเพลิดเพลินไปกับขุนเขา เมฆหมอก ท้องทะเล ต้นไม้ใบหญ้า ป่าเขาลำเนาไพร และคุณจะรู้ว่าธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญที่มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนบนโลกใบนี้

และเมื่อคุณหลงรักความสวยงามของธรรมชาติที่โอบอุ้มโลกใบนี้ คุณจะเกิดความคิดที่จะปกป้องและรักษามันไว้ เพื่อที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น ปัญหาโลกร้อน น้ำท่วม หรือมลภาวะทางอากาศ จะได้เบาบางลง

6) คุณเรียนรู้ที่จะทำสิ่งใหม่

ในระหว่างการท่องเที่ยว คุณจะมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่คุณไม่เคยทำมาก่อน เช่น การให้อาหารช้างในกัมพูชา การเล่นสกีหิมะที่เนปาล การเต้นแซมบ้าในบราซิล การทำกิมจิที่เกาหลี เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์แปลกใหม่และทำให้คุณรู้สึกท้าทาย ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวบ่อย ๆ จึงรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ตนพบเจอ มีความยืดหยุ่น และเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์

7) คุณได้เรียนรู้ทักษะทางสังคม

หากคุณรู้สึกประหม่าหรือเขินอายเมื่อต้องเข้าร่วมกิจกรรมกับคนหมู่มาก เช่น การนำเสนองานในที่ประชุม การพูดต่อหน้าสาธารณะ หรือแม้แต่บทสนทนาทั่วไปในชีวิตประจำวัน การเข้าคอร์สฝึกพูด หรือคอร์สสอนการแสดงออก อาจเป็นตัวเลือกของคุณ

แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกวิธีที่สามารถเปลี่ยนคุณให้กลายเป็นคนใหม่ได้ นั่นก็คือ การท่องเที่ยว เพราะระหว่างการเดินทาง คุณต้องสอบถามเส้นทาง หรือขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า มิฉะนั้นคุณก็จะไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ และนั่นเป็นแบบทดสอบที่ช่วยฝึกฝนความกล้า และพัฒนาทักษะด้านปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างด้วย

8) คุณได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเอง

การท่องเที่ยวสอนให้คุณเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเอง เพราะคุณต้องวางแผนการเดินทาง เลือกที่พัก ยานพาหนะ จุดหมายปลายทาง และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตนเอง ดังนั้น คุณจะได้พัฒนาทักษะการเอาตัวรอด และการช่วยเหลือตนเอง

อีกทั้ง คุณจะกล้าทำสิ่งที่คุณไม่เคยทำมาก่อน เช่น การขึ้นรถเมล์ การรับประทานอาหารแปลกใหม่ และการทำกิจกรรมโลดโผนต่าง ๆ สิ่งนี้จะช่วยเปลี่ยนคนที่ใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อย และปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรม ให้เป็นคนที่สามารถกำหนดโชคชะตาชีวิตได้ด้วยตัวเอง

9) คุณได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์

เมื่อคุณท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ คุณจะพบเจอกับผู้คนที่หลากหลาย ทั้งเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว อาชีพการงาน ฐานะความเป็นอยู่ นิสัยใจคอ เป็นต้น ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้คุณมองเห็นสัจธรรมของความเป็นมนุษย์ว่าไม่มีใครเป็นคนดี หรือเป็นคนเลวไปทั้งหมดเพราะการที่คนคนหนึ่งตัดสินใจกระทำสิ่งใดล้วนมาจากเหตุและปัจจัยที่หล่อหลอมให้เกิดขึ้น

ดังนั้น คุณจะไม่ตัดสินคนจากภายนอกเหมือนที่ผ่านมา คุณจะให้เวลาช่วยพิสูจน์การกระทำ สิ่งนี้ทำให้คุณเปิดใจ ไม่ยึดติด และมองโลกอย่างเข้าใจมากขึ้น

10) คุณได้รู้จักตัวเองมากขึ้น

หากคุณไม่เคยทำอะไรนอกกรอบ หรือไม่เคยท่องเที่ยวเลย คุณก็จะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองชอบอะไรบ้าง หรือคุณก็จะไม่รู้ว่าตนเองสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิดหรือไม่ การท่องเที่ยวทำให้คุณรู้จักตนเองมากขึ้น เช่น คุณได้รู้ว่าตนเองชอบงานศิลปะระหว่างที่คุณชื่นชมภาพวาดในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง

หรือคุณได้รู้ว่าตนเองมีความสามารถในการสื่อสารกับคนแปลกหน้าขณะที่คุณเดินทางท่องเที่ยวโดยลำพัง เป็นต้น การท่องเที่ยวทำให้คุณก้าวออกมาจากสิ่งที่คุณคุ้นเคย ช่วยให้คุณค้นพบศักยภาพที่แท้จริง และนั่นจะทำให้คุณเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตรงจุดมากขึ้น

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://www.lifehack.org/359773/10-reasons-why-traveling-the-best-form-education)

14 ข้อคิดและ 6 ขั้นตอนง่ายๆ ทำตอนเช้าเพื่อเปลี่ยนชีวิตคุณ

14-commentaries-and-6-easy-steps-to-make-the-morning-to-change-your-life

นี่คือสรุปสาระสำคัญของหนังสือ The Miracle Morning เขียนโดย Hal Elrod ที่รับประกันว่าชีวิตคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้

1. คนส่วนใหญ่มีอาการกระจกมองหลัง “Rearview Mirror Syndrome” (RMS)

คือ คุณเชื่อว่าตัวคุณในตอนนี้เหมือนกับตัวคุณในอดีต ดังนั้นเวลาคุณตัดสินใจเลือกอะไร คุณจะใช้ประสบการณ์ในอดีตมาเป็นข้อจำกัดของคุณเอง พอมีโอกาสใหม่ๆ เข้ามา คุณก็จะไม่ฉวยมันไว้เพราะไม่เคยทำมาก่อน เช่น คนที่ไม่กล้ามีความรักครั้งใหม่เพราะในอดีตเค้าเคยมีประสบการณ์อันเลวร้ายเรื่องคู่ครองมาก่อน

2. คนส่วนใหญ่ชอบคิดแบบแยกเหตุการณ์ (isolating incidents)

คือ คิดว่าแต่ละเหตุการณ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแต่จริงๆ แล้วมันเกี่ยวนะ เช่น วันนี้กะว่าจะไปออกกำลังกายสักหน่อย แต่สุดท้ายก็เลื่อนมันไปพรุ่งนี้แทน คุณอาจจะนึกว่าไม่เห็นเป็นไร ไม่มีผลกระทบในตอนนี้ แต่จริงๆ แล้วมันส่งผลด้วยว่าคุณเป็นคนยังไง เพราะหากคุณทำมันบ่อยๆ สุดท้ายก็กลายเป็นนิสัยติดตัวคุณ และทำให้ประสบความสำเร็จได้ยาก ดังที่ T. Harf Eker กูรูชื่อดังกล่าวไว้ว่า

“How you do anything is how you do everything.” 
“คุณทำบางอย่างยังไง คุณก็มักทำทุกอย่างอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน” 

T. Harf Eker

3. เริ่มต้นวันใหม่ที่ดีด้วยการหยุดกดเลื่อนเวลาปลุก

คิดเกี่ยวกับการนอนของคุณซะใหม่ ทุกครั้งที่คุณกดเลื่อนเวลาบนนาฬิกาปลุก จิตใต้สำนึกคุณกำลังบอกคุณว่าคุณไม่อยากตื่นขึ้นมาเจอชีวิตหรือสิ่งที่รอคุณอยู่ในวันใหม่ คุณกำลังลดโอกาสที่จะเจอวันดีๆ เต็มไปด้วยพลัง แต่ถ้าคุณตื่นขึ้นมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย คุณก็จะสร้างวันแห่งความสุขด้วยตัวคุณเอง

4. คนที่ประสบความสำเร็จล้วนตื่นเช้า

โอปรา วินฟรีย์, บิลล์ เกตส์, ไอน์สไตน์ และอริสโตเติ้ล ล้วนแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ ทุกคนล้วนตื่นเช้า

5. ความรู้สึกที่คุณมีต่อวันพิเศษ มีผลต่อการตื่นเช้า

ในเช้าวันเกิด วันแต่งงาน หรือวันคริสต์มาส ปกติเรามักจะตื่นขึ้นมาด้วยความแจ่มใส มีพลัง แม้จะนอนน้อยก็ตาม นั่นเป็นเพราะความเชื่อที่มีผลอย่างมากต่อความรู้สึกยามตื่นของเรา

6. คิดว่า “ง่วง” ก็จะ “ง่วง”

ผู้แต่งพบว่าความคิดตอนนอนสำคัญมาก หากคุณคิดว่า คุณมีเวลานอนน้อย เดี๋ยวคอยดู พรุ่งนี้ฉันคงง่วงแน่นอน ตื่นขึ้นมาคุณก็จะไม่มีแรง แต่หากคุณคิดก่อนนอนว่า คุณจะรู้สึกดีจัง พอตื่นนอนมา คุณก็จะสดชื่นทั้งๆ ที่บางทีนอนน้อยเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น

7. จัดการกับนาฬิกาปลุก!

แนะนำให้วางนาฬิกาปลุกให้ห่างจากเตียง คุณต้องลุกออกจากเตียงเพื่อไปปิดเสียงนาฬิกาปลุก ไหนๆ ลุกแล้วก็เข้าห้องน้ำ แปรงฟันซะเลยนะ จะได้สดชื่น หลังจากนั้น ก็ให้ดื่มน้ำ 1 แก้วเพราะคุณเสียน้ำไปจากการหายใจช่วงการนอนหลับตลอดคืน การขาดน้ำจะทำให้คุณอ่อนเพลียได้

8. ผ่อนคลายกับยามเช้า

หลังตื่นนอนตอนเช้าแนะนำให้ใช้ความเงียบอย่างมีจุดหมาย อย่างที่คนดังหลายๆ คนทำ เช่น การนั่งสมาธิ หยุดความวิตกกังวลแล้วเพ่งสมาธิไปที่ลมหายใจจะทำให้คุณต่อสู้กับความเครียด

9. แนะนำให้พูดกับตัวเอง (positive affirmation)

เพื่อให้จิตใต้สำนึกทำงาน วิธีการคือให้เขียนว่าคุณต้องการให้ชีวิตคุณเป็นอย่างไรในทุกๆ มิติ เช่น ด้านการเงิน ด้านสุขภาพ ด้านความรัก ฯลฯ ทำไมคุณถึงต้องการมัน? แล้วคุณต้องทำอะไรเพื่อให้ได้มันมา? เมื่อคุณเขียนแล้ว คุณต้องอ่านมันดังๆ อย่างน้อยวันละครั้ง

10. การใช้จินตนาการมองเห็นภาพ (visualization)

เครื่องมืออีกชิ้นที่สำคัญคือการใช้จินตนาการมองเห็นภาพ (visualization) ในสิ่งที่คุณอยากเป็น, ชีวิตในฝัน, ความฝันหรือเป้าหมายของคุณ หรือการซ้อมทางจิต (mental rehearsal) ซึ่งการถามตัวเองว่า ฉันต้องการอะไร? ฉันต้องการมันทำไม? ฉันต้องทำอะไรถึงได้มันมา? ช่วยให้คุณเห็นภาพชัดเจนขึ้น

11. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายยามเช้าจะทำให้คุณสำเร็จและสุขภาพดี คนส่วนใหญ่หาเวลาออกกำลังกายไม่ได้ ก็แนะนำให้ทำอย่างแรกในตอนเช้าซะเลย อย่าผัดไว้ทำทีหลังเพราะสุดท้ายคุณก็จะไม่ได้ทำมันในที่สุด ผู้เขียนแนะนำให้ฝึกโยคะตาม DVD สัก 20 นาทีต่อวัน ช่วยทำให้ตื่นและมีพลังไปตลอดวัน

12. การอ่านและการเขียนเป็น 2 สิ่งที่จะสะท้อนความสำเร็จ

การอ่านแบะการเขียนช่วยให้คุณเขยิบเข้าใกล้เป้าหมายในชีวิต คุณอาจจะตั้งเป้าอ่านหนังสือ 10 หน้าต่อวันโดยใช้เวลา 10-20 นาที 1 ปีคุณจะอ่านได้ 3,650 หน้าเท่ากับหนังสือ 18 เล่มต่อปีเลยนะ การเขียนสัก 5-10 นาทียามเช้าจะช่วยเร่งให้คุณพัฒนาไปไกล เขียนความคิด ความรู้สึก สิ่งลึกๆ ในใจคุณออกมา

ผู้เขียนจะแบ่งหน้ากระดาษเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งแรกเขียนบทเรียนที่ได้รับ (lessons learned) และอีกฝั่งเขียนสิ่งที่สัญญาว่าจะทำ (new commitments) การทำเช่นนี้ทำให้เราไม่ทำผิดซ้ำแถมเปลี่ยนชีวิตไปเลย

13. จัดสรรเวลาอย่างชาญฉลาด

ลองจัดสรรเวลาของคุณทำสิ่งต่างๆ ที่แนะนำไปบางคนอาจจะใช้ 60 นาทีทำทั้ง 6 อย่างหรือใช้ 30 นาทีในการออกกำลังกายและก็ทำอย่างอื่น อย่างละ 5 นาที หรืออย่างน้อยถ้าคุณมีแค่ 6 นาทีจะแนะนำให้คุณทำต่อไปนี้ (อย่างละ 1 นาที)

1) นั่งเงียบๆ ทำสมาธิ
2) พูดกับตัวเอง 
3) มองเห็นภาพว่าวันนี้เป็นวันดีของคุณ 
4) เขียนสิ่งที่คุณขอบคุณและสิ่งที่คุณจะทำให้สำเร็จในวันนี้ 
5) อ่านหนังสือ 2 หน้า 
6) วิดพื้นหรือซิตอัพ

14. ทำต่อเนื่อง 30 วัน เปลี่ยนชีวิตตลอดกาล

การจะทำตอนเช้าให้เปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล คุณต้องทำสิ่งที่ผู้เขียนแนะนำ 30 วันจนติดเป็นนิสัยและแนะนำให้หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันมาทำด้วยกันจะสำเร็จได้ง่ายกว่าทำเพียงคนเดียว โดยคุณจะเจอ 3 ช่วงคือ 10 วันแรก คุณจะพบว่ามันช่างยากเย็นซะเหลือเกิน 10 วันถัดมาจะง่ายขึ้นแต่ก็ยังรู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยชิน และ 10 วันสุดท้าย มันจะกลายเป็นนิสัยใหม่ของคุณที่คุณเริ่มพอใจกับมัน

สรุป 6 ขั้นตอนง่ายๆ ทำตอนเช้าเพื่อเปลี่ยนชีวิตคุณ

1. ทำสมาธิ (silence)
2. พูดกับตัวเอง (affirmations)
3. ใช้จินตนาการเห็นภาพ (visualization)
4. ออกกำลังกาย (exercise)
5. อ่านหนังสือ (reading)
6. เขียนหนังสือ (writing)

แปลและเรียบเรียงโดย Kru Fiat (เพจ: Krufiat Boonphayoong)

(ที่มา: หนังสือ The Miracle Morning เขียนโดย Hal Elrod)

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save