10 วิธี ที่ทำให้คุณเลิกนิสัยแย่ๆ

10 ways to make quitting a bad habit

คุณอาจเคยหงุดหงิดกับนิสัยแย่ๆของตัวเอง  ที่บางครั้งคุณก็รู้อยู่แกใจว่านิสัยเหล่านี้ไม่มีใครชอบ และคุณก็ไม่อยากที่จะมีนิสัยแย่ๆแบบนี้หรอก แต่ว่าคุณก็เลิกทำไม่ได้ซักที   คุณสามารถที่จะค่อยๆลด และเลิกนิสัยแย่ๆของคุณได้ โดยการลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตาม 10 ข้อ ที่แนะนำนี้  คุณไม่จำเป็นที่จะต้องทำทุกข้อ แต่ถ้ายิ่งทำได้หลายข้อ มันก็จะยิ่งเป็นประโยชน์กับตัวคุณเอง

1.สร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่

ถ้าคุณตั้งใจจะเลิกสูบบุหรี่แบบจริงจัง มันไม่ใช่แค่ว่า ถ้าหยุดสูบแล้วจะดีกับสุขภาพคุณเอง แต่คุณต้องมีทัศนคติ และความเชื่อมที่ยิ่งใหญ่ก่วานั้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีในการเลิกสูบบุหรี่ เช่น ทุกครั้งที่ฉันสูบบุหรี่ ฉันกำลังตายผ่อนส่งอยู่ หรือ คนที่ฉันรู้จักตายเพราะมะเร็งปอด ถ้าไม่อยากตายแบบทรมาน ฉันต้องเลิกพฤติกรรมแย่ๆนั้นเดี๋ยวนี้

 

2.สัญญากับตัวเอง

คุณสัญญากับตัวเอง ว่าคุณจะไม่ทำสิ่งแย่ๆอีก แต่นั่นอาจไม่พอ เพราพอถึงเวลาจริงๆ คุณอาจใจอ่อนกับตัวเอง เทคนิคก็คือ คุณต้องบอกเพื่อนรอบข้าง บอกคนใกล้ชิด บอกให้โลกรู้ ว่าคุณมีแผนจะลด ละ เลิกสิ่งที่ไม่ดี และเมื่อคุณมีความคิด หรือ อยากจะไปทำพฤติกรรมแย่ๆอีก  พวกเขาเหล่านั้น คือคนที่จะมาเตือนสติคุณ ให้กำลังใจคุณ และอยู่เคียงข้างคุณ ไม่ให้คุณกลับไปใช้ชีวิตแย่ๆแบบเดิมอีก

 

3.ระวังสิ่งกระตุ้น

อะไรคือสิ่งหลักที่กระตุ้นให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆเหล่านั้น คุณต้องหามันให้เจอ และคอยระวังมัน ไม่ให้คุณไปถึงจุดนั้น เช่น คุณสูบบุหรี่ก็ต่อเมื่อมีคนชวน  เห็นคนสูบบุหรี่ หรือได้กลิ่นบุหรี่ สิ่งเหล่านี้สามารถกระตุ้นสัญชาติญาณดิบของคุณ โดยที่คุณไม่สามารถหักหามใจได้  คุณจะรู้สึกหงุดหงิด และห้ามตัวเองไมได้ จงสังเกตตัวเองให้ดีว่าอะไรคือสิ่งเร้า หรือสิ่งกระตุ้น ให้คุณเลิกนิสัยแย่ๆแบบนี้ไม่ได้ซักที

 

4.รู้ที่มาของพฤติกรรมแย่ๆ

อะไรคือปัจจัยหรือสาเหตุที่ทำให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุ คุณต้องหาสาเหตุนั้นให้เจอ โดยการพิจารณาตัวเอง และซื่อสัตย์กับตัวเอง เช่น ถ้าคุณเป็นคนอ้วน เพราะชอบกินของหวาน และคุณอยากที่จะเลิกกินของหวาน เพราะรู้ว่ามันไม่ได้ดีกับสุขภาพ และทำให้คุณยิ่งอ้วน คุณต้องหาสาเหตุให้เจอว่าทำไมคุณถึงอยากกินของหวาน ชอบกินของหวานตอนไหน  ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากกินของหวานตอนที่คุณรู้สึกเครียด รู้สึกเศร้า หรือรู้สึกหดหู่ ของหวานจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น

 

5.หากิจกรรมอื่นทดแทน

คุณอาจชอบสูบบุหรี่ ชอบใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น หรือ ชอบกินอาหารที่ทำลายสุขภาพ เมื่อคุณเครียด หรือ ท้อแท้  คุณสามารถแก้พฤติกรรมแย่ๆเหล่านี้ได้ โดยการหากิจกรรมอื่นมาทดแทน เพื่อบำบัด ความเครียด หรือระบายความรู้สึกของคุณ เช่น สมัครคอรส์เรียนชกมวย  ดูหนัง ร้องคาราโอเกะ  แต่กิจกรรมใหม่ๆที่หามาทดแทน ควรจะมีเพื่อนหรือคนรัก คอยให้กำลังใจคุณด้วย

 

6.มีสติกับสิ่งกระตุ้นรอบตัว

หลังจากที่คุณรู้แล้วว่าสิ่งไหนเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆ คุณควรที่จะระวัง และอยู่ห่างปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดสิ่งกระตุ้นเหล่านั้น  เช่น ถ้าคุณได้ยินเสียงน้ำแข็งกระทบแก้ว แล้วทำให้คุณอยากเหล้า หรือ ได้กลิ่นควันจางๆแล้วทำให้คุณอยากสูบบุหรี่ จงมีสติ ดื่มน้ำ และหายใจเข้าออกช้าๆ คุณสามารถให้เพื่อนคุณช่วย และคุณควรเดินออกจากสิ่งแวดล้อมตรงนั้นให้เร็วที่สุด

 

7.สร้างนิสัยใหม่ๆหลังจากเจอสิ่งกระตุ้น

มันยากมากที่จะเปลี่ยนนิสัย หรือสัญชาตญานหลังจากที่คุณทำมันมานานแสนนาน แต่คุณสามารถเริ่มนิสัยใหม่ได้ ด้วยการมีสติ และความเชื่อ คุณต้องพึงระลึกอยู่เสมอ และแข็งใจกับสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นต่างๆรอบข้าง เช่น ทุกครั้งที่คุณได้กลิ่นบุหรี่ แล้วอยากสูบบุหรี่ ให้คุณเปลี่ยนไปเคี้ยวหมากฝรั่งแทน ทำมันทุกครั้งจนติดเป็นนิสัยใหม่ แต่ถ้ามันเกิดข้อผิดพลาดที่คุณไม่สามารถหักห้ามใจ หรือเผลอที่จะมีหรือแสดงพฤติกรรมแย่ๆออกมา คุณควรให้อภัยตัวเอง และเริ่มใหม่ให้เร็วที่สุด

 

8.ระวังความคิดของคุณ

เพราะความคิด และความเชื่อมีผลต่อพฤติกรรม และการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆในชีวิตคุณ คุณต้องระวังความคิดคุณให้มาก  ถ้าจะมีเหตุผลหรือข้อแก้ตัวสำหรับพฤติกรรมแย่ๆ เช่น วันนี้วันเกิดฉัน ขอเว้นวรรคสักวัน หรือ ฉันเพิ่งปิดจ็อบงานนี้สำเร็จขอให้รางวัลตัวเองหน่อย  คุณควรหยุดความคิดแบบนี้ ในการเข้าข้างตัวเอง ถ้าคุณอยากจะเลิกนิสัย หรือ พฤติกรรมแย่ๆของตัวเอง

9.ค่อยๆเลิก

มันไม่จำเป็นที่จะต้องหักดิบ เลิกทันที เลิกเลย คุณสามารถค่อยๆลด และละ จนเลิกได้ เช่นถ้าคุณอยากเป็นคนตื่นเช้า แต่ปกติคุณตื่นเที่ยงตลอด คุณอาจเริ่มด้วยการตื่นตอน 11 โมง  และวันต่อไปๆ คุณอาจเริ่มนอนให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมง และตื่นให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมง  การที่ตั้งเป้าทีละเล็กละน้อย ในแต่ละวัน มันเป็นเป้าหมายที่ทำได้ง่าย และคุณจะรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณทำมันสำเร็จในแต่ละวัน มันเป็นกำลังใจที่ดีที่ทำให้คุณไปถึงเป้าหมายของคุณได้ง่ายขึ้น และทำให้คุณเป็นคนใหม่

 

10.เรียนรู้จากข้อผิดพลาด

บางครั้งเราก็พลาดได้ ให้อภัยตัวเอง ล้มแล้วลุกขั้นใหม่ให้เร็วที่สุด พิจารณาสิ่งที่เกิดตามความเป็นจริง ไม่เข้าข้างใคร ยอมรับมัน และหาแผนสำรองเพื่อกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก และทุกครั้งที่มันเกิดขึ้นซ้ำ คุณจะต้องรับมือมันได้ดีกว่าเดิม คุณต้องมีพัฒนาและเข้มแข็งขึ้น การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดคือสิ่งที่ทำให้คุณใกล้เป้าหมายมากยิ่งขึ้น

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลายคนล้มเลิกความตั้งใจกลางครันเพราะมองข้ามสิบข้อเหล่านี้ จงอย่าเป็นไอ้ขี้แพ้  ทุกคนสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ เพียงแค่คุณใช้ความตั้งใจ ความพยายาม และแรงบันดาลใจ

 

 

 

 

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

http://zenhabits.net/bad/

 

 

ประโยชน์องค์รวม 4 มิติ ของโยคะแห่งสติ

The fourth dimension of yoga

ปัจจุบัน การฝึกโยคะส่วนใหญ่ของผู้คนในสังคมไทย มักเน้นไปที่ประโยชน์ในมิติด้านร่างกายเป็นสำคัญ ด้วยจุดประสงค์เพียงเพื่อการออกกำลัง’กาย’ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย และรูปร่าง จึงได้รับประโยชน์เพียงส่วนเดียวของโยคะ

 

หากความจริงแล้ว โยคะที่แท้ ตามวิถีดั้งเดิมของอินเดีย คือ การรวมของกายและจิต

ซึ่งหากฝึกควบคู่ไปกับการเจริญสติแล้ว จะเอื้อประโยชน์ในมิติอื่นๆที่มากมายอย่างเป็นองค์รวม ทำให้ศาสตร์โยคะเกิดการแพร่หลายจากโลกตะวันออกสู่โลกตะวันตก

 

นอกเหนือจากประโยชน์ในมิติด้านร่างกายแล้ว โยคะแห่งสติยังเอื้อประโยชน์ทั้งมิติด้านจิตใจ สมอง และจิตวิญญาณ ตามรายละเอียดต่างๆ ดังนี้

 

  • มิติด้านร่างกาย

 

แพทย์องค์รวมชาวอินเดีย ผู้เป็นปรมาจารย์ ของโยคะชื่อดังระดับโลก จากสถาบัน International Sivananda Yoga Vedanta พบว่า การฝึกโยคะอาสนะ มิได้เน้นประโยชน์เพียงหุ่นรูปร่างภายนอก แต่เอื้อประโยชน์ต่างๆต่อระบบการทำงานภายในของร่างกาย เช่น ระบบการทำงานของหัวใจ ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหารและขับถ่าย และระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น และยังเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ได้มีนำโยคะมาใช้เพื่อบำบัดโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน และหัวใจ

 

  • มิติด้านจิตใจ

 

จากบทความงานวิจัยของ Oxford University และ New Hampshire Psychiatric Hospital  พบว่า การฝึกโยคะสามารถบำบัดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า โกรธ และอ่อนล้าได้

โยคะแห่งสติสร้างการตระหนักรู้เท่าทันอารมณ์ที่ส่งสัญญาณบ่งบอกชัดเจนผ่านความรู้สึกทางกาย เป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารอารมณ์ และสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์ ดังที่กูรู Daniel Goleman ได้แนะนำ และมีการนำไปใช้ในองค์กรต่างๆอย่างแพร่หลาย ทั้งในแวดวงองค์กรสุขภาพและธุรกิจ

 

 

  • มิติด้านสมอง

 

จากการศึกษาของ Harvard University และ University of Massachusetts Medical School พบว่า การฝึกโยคะส่งผลถึงประสิทธิภาพการทำงาน ของระบบประสาทและสมอง โดยหากฝึกโยคะพร้อมเจริญสติฝึกสมาธิ อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาของสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการจดจ่อให้งานสำเร็จ และการพิจารณาตัดสินใจเรื่องต่างๆ รวมถึงเป็นการลดความเครียดได้อย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้ การฝึกปราณ หรือฝึกลมหายใจ ยังส่งผลโดยตรงต่อสมองอีกด้วย

 

  • มิติด้านจิตวิญญาณ

 

แก่นแท้ของโยคะ คือ การฝึกฝนกาย จิต สติปัญญา เพื่อมุ่งสู่การตื่นรู้ต่อความจริงอันสูงสุด เห็นการเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปของสภาวะร่างกาย จิตใจและความคิด ช่วยให้เกิดความตระหนักรู้และเข้าใจชีวิตของตนเองและผู้อื่น มีความสุขสงบและสมดุลทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคงภายใน ยอมรับและความเชื่อมั่นในศักยภาพอันสูงสุดของมนุษย์  รวมถึงยังก่อให้เกิดความเมตตากรุณาต่อตนเองและผู้อื่น

และที่สำคัญ คือ มีอุเบกขา หรือ การปล่อยวางทั้งสุขและทุกข์ได้ เพื่อรักษาความสงบและสมดุลนั่นเอง

 

ทั้งนี้ แต่ละท่าของโยคะอาสนะต่างให้ประโยชน์ที่ต่างกันออกไป เช่น ท่านั่งก้มตัว ช่วยระบบย่อยและขับถ่าย ในขณะที่ท่าสะพาน ช่วยลดอาการซึมเศร้า การฝึกปราณแบบกบาลภัทติ ช่วยให้สมองตื่นตัว เป็นต้น จึงมีความจำเป็นที่ผู้ฝึกควรศึกษาและเข้าใจถึงประโยชน์ที่เหมาะสมกับสภาวะร่างกายและจิตใจ รวมถึงวัตถุประสงค์ก่อนการฝึก

 

แล้วคุณล่ะ คิดว่า การฝึกโยคะเอื้อประโยชน์ต่อคุณในด้านใด?

 

เขียนและเรียบเรียงโดย “นิรามิสสุข”

 

 

5 สิ่งที่คนมีความสุขไม่เคยลืม

เมื่อคุณมองไปรอบๆตัว และสังเกตเห็นผู้คนที่กำลังยิ้มแย้มและหัวเราะ คุณคิดอิจฉาว่าทุกสิ่งทุกอย่างดูจะเป็นใจไปกับพวกเขาซะหมด

ในขณะเดียวกัน คุณรู้สึกว่าตนเองกำลังต่อสู้ดิ้นรนกับสิ่งต่างๆในชีวิต และกว่าที่ผ่านพ้นไปในแต่ละวันมันช่างยากลำบากซะเหลือเกิน คุณเฝ้าบอกกับตัวเองว่าคนอื่นๆ ไม่ได้มีความสุขจริงๆ และสิ่งที่คุณเห็นมันเป็นแค่ภาพลวงตา หากคุณกำลังคิดเช่นนี้ คุณกำลังทำลายความสุขของตัวเอง และไม่น่าแปลกใจที่คนอื่นๆจะมีความสุขมากกว่าคุณ

ดังนั้น เพื่อแสวงหาความสุขและดึงตัวเองให้ขึ้นมาจากความทุกข์ คุณควรอ่านบทความนี้ เพราะบทความนี้เปิดเผยสิ่งที่คนที่มีความสุขปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาไม่เคยลืมทำ 5 สิ่งเหล่านี้เลย และเมื่อคุณอ่านจบ คุณจะพบว่าความสุขเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราและหาได้ไม่ยาก

1.ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

คนที่มีความสุขมักยินดีและเห็นคุณค่าในความสำเร็จของผู้อื่น พวกเขาไม่อิจฉาริษยา หรือแก่งแย่งชิงดีกับใคร

ในทางตรงกันข้าม คนที่มีความทุกข์มักเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นตลอดเวลา พวกเขาคอยจับจ้องความสำเร็จของผู้อื่น และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งนั้นเช่นกัน ดังนั้น หากคุณต้องการมีความสุข ให้คุณตั้งเป้าหมายในชีวิตของคุณเอง และใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุความสำเร็จนั้น คุณควรแข่งขันกับตัวเอง อย่าแข่งขันกับคนอื่น

นอกจากนี้ หากคุณเผชิญกับปัญหาที่อาจทำให้คุณล้มลุกคลุกคลาน ให้ถือว่าอุปสรรคนั้นเป็นบทเรียนที่ล้ำค่า จงเข้มแข็งและอย่ายอมแพ้ คุณควรปรับปรุงและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และท้ายที่สุด คุณจะพบว่าคุณสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์เหล่านั้น และกลายเป็นคนที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีความสุข

2.เลือกที่จะมีความสุข

เราทุกคนล้วนมีปัญหาในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องครอบครัว เงินตรา ความรัก การงาน เป็นต้น แต่ความแตกต่างระหว่างคนที่มีความสุขกับคนที่ไม่มีความสุข คือ ทัศนคติ หรือมุมมองในการใช้ชีวิต

ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีความสุข คือ คนที่มองโลกในแง่ดี พวกเขาเพลิดเพลินไปกับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆก็ตาม นอกจากนี้ พวกเขามีความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีหรือสิ่งที่ตนเองเป็น ดังนั้น พวกเขาสามารถหาความสุขได้จากสิ่งที่เรียบง่าย และมีชีวิตที่ราบรื่น

อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ ก็คือ การนิยามความสุขด้วยตัวคุณเอง คุณเป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถบอกได้ว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น หากคุณรู้สึกมีความสุขกับการทำงานอดิเรกอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จงทำมัน และใช้เวลากับมันให้เต็มที่ ดังนั้น จงอย่าปล่อยให้คนอื่นกำหนดหรือบงการชีวิตของคุณ เพราะนั่นจะทำให้คุณไม่มีความสุขที่แท้จริง

3.ลืมอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว

คนที่มีความสุข คือ คนที่สามารถจัดการกับความทรงจำอันโหดร้ายในชีวิตได้ พวกเขาเลือกที่จะไม่จมอยู่กับความทุกข์เหล่านั้น ทั้งยังนำเอาประสบการณ์ที่เคยผิดพลาดมาเป็นบทเรียน และผลักดันให้ชีวิตของตนก้าวไปข้างหน้า

หากคุณต้องการมีความสุข จงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ยึดติดกับอดีตหรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง กล่าวคือ อย่าปล่อยให้ความทุกข์ในอดีตส่งผลต่อความสุขในปัจจุบันของคุณ พยายามลืมความทุกข์ที่ทำให้คุณรู้สึกขมขื่น และใช้เวลาในปัจจุบันให้มีคุณค่าและมีความสุข

4.อยู่ท่ามกลางคนที่ทำให้รู้สึกดีและมีความสุข

สุภาษิตไทยที่ว่า “เข้าฝูงหงส์เป็นหงส์ เข้าฝูงกาเป็นกา” นั้น มีหมายความว่าหากเราเข้าไปอยู่ในหมู่คนดี หรือคบเพื่อนดี ก็จะเป็นศรีแก่ตัว แต่หากเราอยู่ในหมู่คนชั่ว เราก็จะพลอยเดือดร้อนหรือกลายเป็นคนชั่วไปด้วย

ดังนั้น หากคุณต้องการมีความสุข คุณก็ควรอยู่ท่ามกลางคนที่ทำให้คุณรู้สึกดีและมีความสุข การใช้เวลาอยู่กับคนที่บั่นทอนกำลังใจ และไม่สนับสนุนความพยายามของคุณ จะทำให้คุณรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง คุณควรเดินออกมาจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้น และหากคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การอยู่ลำพังอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการอยู่ร่วมกับคนที่ทำให้คุณมีความคิดเชิงลบ

คุณอาจกลัวกับการอยู่คนเดียว แต่จงจำไว้ว่าการอยู่เพียงลำพัง ไม่ได้หมายถึง ความโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่การอยู่กับตัวเองเป็นเวลาที่ดีที่คุณจะได้รู้จักตนเอง และหาทางปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองโดยไม่มีอิทธิพลหรือความคิดของผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง

5.ยอมรับความจริง

บางครั้งความจริงในชีวิตอาจเป็นสิ่งที่น่ากลัว หรือทำให้เราเจ็บปวด แต่ความจริง ก็คือความจริง คุณไม่มีทางหลีกหนีไปได้ และคนที่มีความสุข คือ คนที่รู้จักยอมรับและใช้ชีวิตอยู่กับความจริงอย่างมีความสุข

ในทางตรงกันข้าม คนที่มีความทุกข์ มักหลีกหนีจากความจริง ชอบการโกหกหลอกลวง ปกปิดซ่อนเร้นอยู่ตลอดเวลา พวกเขาเหล่านี้มีแต่ความกังวลใจ และกลัวว่าผู้อื่นจะรู้ความจริงของตนเอง การยอมรับความจริงในช่วงแรกอาจทำให้คุณรู้สึกทุกข์ เดือดเนื้อร้อนใจ แต่สิ่งนี้จะทำให้คุณเห็นสัจธรรมของชีวิต หรือเตือนใจให้เราไม่ประมาทในสิ่งต่างๆที่รออยู่ข้างหน้า อีกทั้ง ยังฝึกใจเราให้เข้มแข็ง อดทน และมีสติมากขึ้น  

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

Source: http://www.pickthebrain.com/blog/5-things-happy-people-never-forget/

10 เหตุผลที่คุณควรมองโลกในแง่ดี

10 reasons why you should be optimistic

ทุกคนล้วนประสบปัญหาในชีวิต โดยมีช่วงที่ชีวิตถึงจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด แต่เมื่อเราประสบพบเจอกับปัญหาเหล่านั้น สิ่งที่ทำให้เรามีสติ และแก้ไขปัญหาได้อย่างชาญฉลาด มองภาพใหญ่ออก คือ การคิดบวก และมองโลกแง่ดี ความคิดของคุณ คือ กุญแจสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรม การกระทำ รวมถึงสุขภาพของคุณ และนี่คือเหตุผลดีๆสิบข้อที่คุณควรหันมาคิดบวก และมองโลกในแง่ดี

1.ทำให้คุณรู้สึกดี

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมองโลกในแง่ดี คุณจะรู้สึกว่าชีวิตของคุณดีขึ้น คุณไม่สามารถที่จะรู้สึกดีและรู้สึกแย่ในเวลาเดียวกันได้ และการที่คุณมองโลกในแง่ดี คุณจะรู้สึกสงบ มีความสุข และอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก

2.มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

เวลาที่คุณเลือกที่จะคิดในสิ่งดีๆ คุณจะนึกถึงข้อดีของคนรอบข้างคุณ ขณะเดียวกันคุณก็จะมองข้ามข้อเสีย ของพวกเขาโดยอัตโนมัติ และมันส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาและคุณ มิตรภาพและความสัมพันธ์ของพวกคุณจะแน่นแฟ้นขึ้น และทัศนคติแบบนี้จะสร้างบรรยากาศเป็นมิตร ครื้นเครง และหลายๆคนก็อยากที่จะอยู่ใกล้คุณ เพราะพวกเขารู้สึกสบายใจ และมีความสุขที่ได้คบคุณ

3.จัดการปัญหาได้ดีขึ้น

ในช่วงเวลาที่ชีวิตคุณเจอปัญหา มรสุมต่างๆ การคิดบวกจะทำให้คุณก้าวข้ามผ่านอุปสรรค และปัญหาเหล่านั้นไปได้ง่ายกว่า การคิดบวกของคุณคือการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส และทำให้คุณมีมุมมองใหม่ และเห็นวิธีการแก้ปัญหาได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้การคิดบวกยังทำให้คุณผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้อย่างรวดเร็ว

4.มีพลังชีวิตมากขึ้น

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกว่าคุณไม่มีความกังวล หรือ เครียดน้อยลง คุณจะมีเรี่ยวแรงในการทำกิจกรรมต่างๆที่คุณรักได้ บางครั้งเวลาที่จิตใจเราห่อเหี่ยว เราก็อยากอยู่เฉยๆ ไม่อยากทำอะไร โดยเฉพาะความเครียด เป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้พลังงานชีวิตเราหายไป ความเครียดทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง กระปรี้กระเปร่า หรืออยากทำอะไร เพียงแค่คุณเปลี่ยนวิธีการมองโลก ก็สามารถเพิ่มพลังชีวิตของคุณให้มากขึ้นแล้ว

5.สร้างความประทับใจแรกพบ

ถ้าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี คุณจะสร้างความประทับใจแรกพบให้กับคนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัว โดยทั่วไปแล้ว การมองโลกในแง่ดีจะทำให้คุณเป็นคนเฟรนลี่ มีเพื่อนเยอะ และส่งผลถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ในอนาคต ไม่ว่าความสัมพันธ์จะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงาน

6.มีสุขภาพที่ดีกว่า

การคิดบวกคือ เคล็ดลับการรักษาสุขภาพที่ดีอย่างหนึ่ง มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า การมองโลกในแง่ดีทำให้เราไม่เครียด ลดแรงกดดันต่างๆ ซึ่งมีผลต่อระบบการไหวเวียนของเลือด ทำให้ความดันเลือดต่ำลง หัวใจเต้นช้าลง และทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น เพียงแค่คุณเปลี่ยนความคิด คุณก็เปลี่ยนสุขภาพได้

7.สร้างแรงบันดาลใจ


การคิดบวกเป็นแรงผลักดันชั้นดีในการกระตุ้นความคิดคุณให้ไปถึงเป้าหมายที่คุณตั้งไว้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น ถ้าคุณมัวแต่จมปลักกับความคิดลบๆ ความกังวลในผลที่ตามมา มันจะเป็นตัวฉุด ให้คุณหยุดอยู่กับที่ และทำให้คุณไปถึงเป้าหมายได้ช้าขึ้น หรือ อาจไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ

8.ส่งเสริมความกล้า

การคิดบวกทำให้คุณขจัดความกลัว ความกังวลต่างๆโดยอัตโนมัติ เพราะการที่คุณมองโลกในแง่ดีนั้น เมื่อเวลาที่คุณเจอปัญหา คุณจะคิดว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิตสามารถแก้ไขได้ คุณมั่นใจที่จะจัดการมันได้และสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่คุณมองต่างมุม ก็ปลดล็อกปัญหาได้อย่างทันท่วงที

9.มีความภูมิใจในตัวเอง

การคิดบวกถือว่าเป็นการเคารพตัวเองอย่างหนึ่ง คุณเชื่อว่ามีสิ่งดีๆกำลังเกิดขึ้นในชีวิตคุณ คุณให้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ คนที่มองโลกในแง่ดีจะมีทัศนคติ ว่า “ฉันสามารถทำได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ ” และนี่คือสิ่งที่เพิ่มความมั่นใจและเป็นส่วนหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จ

10.ดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

การคิดถึงแต่ในสิ่งดีๆ จะส่งผลทำให้คุณมีอารมณ์ดี และอารมณ์ดีๆจะสร้างบรรยากาศแห่งความสุข รวมถึงวิถีชีวิตที่มีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้น คุณคงไม่อยากรู้สึกโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลา และมีอารมณ์ฉุนเฉียวตลอดทั้งวัน คนที่คิดดี พูดดี ทำดี จะนำพาให้คุณไปเจอคนดีๆ เป็นกฎของแรงดึงดูดที่ทำให้เกิดสิ่งดีๆขึ้นในชีวิต

ปฎิเสธไม่ได้ว่าการคิดลบ หรือ มองโลกในแง่ร้ายทำได้ง่ายกว่าการมองโลกในแง่ดี แต่คุณสามารถเลือกได้วันนี้ว่าคุณจะมองโลกในแบบไหน เพื่อที่ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

Credit: listdose , health fitness revolution

5 สัญญานเตือนที่บ่งบอกว่าคุณกำลังไม่มีความสุขในชีวิต

5 warning signs that indicate that you are not happy in life

ในวันหนึ่งคุณอาจมีอารมณ์ขึ้นและลงมีทั้งความสุข ความทุกข์ เครียด กังวล ดีใจ โล่งใจ หิว เหวี่ยง และอารมณ์อื่นๆ ซึ่งปัญหาหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนหรือคนรอบข้างคุณ คุณอาจมองว่าเป็นปัญหาเล็กนิดเดียว แต่ในทางกลับกันพวกเขาอาจรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา อย่าตัดสินปัญหาของคนเราด้วยการเปรียบเทียบกัน เพราะแต่ละคนมีต้นทุนชีวิต และปัจจัยไม่เหมือนกัน ในทางตรงข้ามคุณก็ไม่ควรตัดพ้อกับชีวิต หรือ โทษโชคชะตาในปัญหาที่คุณเจอแต่เพื่อนคุณไม่เจอ

สิ่งที่ทำให้คุณมองปัญหาออกและแก้ไขมันอย่างทันท่วงทีคือ สติ และปัญญา ถ้าคุณปรารถนาจะมีชีวิตที่มีความสุข ได้ทำตามความฝันของตัวเอง คุณจะต้องรู้ตัวเองก่อนว่าคุณชอบทำอะไร ทำอะไรได้ดี ทำอะไรแล้วมีความสุข และที่สำคัญ สิ่งที่คุณชอบทำนั้นก่อให้เกิดรายได้ที่เลี้ยงตนเองได้หรือไม่ แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น คุณต้องยอมรับความจริงก่อนว่าสิ่งไหนคือตัวถ่วงและเป็นสิ่งที่คุณทำแล้วไม่มีความสุขเอาซะเลย

1.คุณไม่ยอมลาออกจากงานประจำที่คุณเกลียด

เริ่มจากงานที่คุณกำลังทำอยู่ คนเราใช้เวลาทำงานอย่างน้อย 40 ชั่วโมง ต่อ สัปดาห์ ในการทำงาน นั่นหมายถึงว่าครึ่งชีวิตของคุณอยู่กับที่ทำงาน ถ้าคุณไม่มีความสุขกับที่ทำงานแล้วละก็ นั่นหมายถึงว่าชีวิตคุณก็กำลังไม่มีความสุขด้วย ถึงแม้ว่างานในสมัยนี้จะหายาก แต่ถ้าคุณไม่คิดจะเริ่มหางาน หรือ เริ่มพัฒนาตัวเอง เพื่อให้ได้งานใหม่ที่ดีกว่า คุณก็ต้องจมปลักอยู่กับชีวิตเดิมๆแบบนี้ และเป็นชีวิตที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลง วนเวียนกับความทุกข์ซ้ำซาก

2.คุณมีความสัมพันธ์ที่มึนอึน

ความรักเป็นสิ่งสวยงามที่สร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับชีวิตคุณ เมื่อไหร่ก็ตามที่ความรักของคุณเริ่มทำร้ายคุณ ทำให้ชีวิตคุณแย่ลง ทำให้คุณเหนื่อยขึ้น ทำให้คุณเสียใจบ่อยๆครั้ง คุณควรที่จะหันมารักตัวเอง และให้คุณค่ากับตัวคุณเอง มากกว่าคนที่ไม่สนใจและทำร้ายความรู้สึกคุณ อย่าเสียดายความผูกพันหรือเวลาที่เสียไป แต่จงเสียดายเวลาในอนาคตที่คุณต้องทนอยู่อย่างไม่มีความสุข ยอมตัดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อชีวิตที่ดีในอนาคต

3.คุณไม่ยอมตัดสิ่งไม่ดีออกจากชีวิต

สิ่งไม่ดีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของพฤติกรรมที่แย่ เพื่อนที่แย่ สิ่งแวดล้อมที่แย่ ทุกอย่างคือปัจจัยที่ทำให้ชีวิตคุณไม่มีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแย่ๆที่ชอบยืมเงินและไม่คืนคุณ บ้านหรือที่อยู่อาศัยคุณที่อยู่ในแหล่งซ่องสุมของโจร พฤติกรรมการตื่นสายที่แก้ไม่ได้ หรือ พฤติกรรมการติดเหล้าติดบุหรี่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกระตุ้นและสิ่งเร้าที่ทำให้ชีวิตคุณแย่ลงเรื่อยๆ คุณอาจเคยคิดที่จะตัดมันออกไปจากชีวิต แต่ถ้าคุณแค่คิด แต่ทำไม่ได้ ท้ายสุดคุณก็ไม่มีความสุขที่แท้จริงอยู่ดี

4.คุณเต็มไปด้วยความสงสัยและความกลัว


คุณอาจเคยผิดหวังมามาก คุณอาจกลัวในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มีคำถามสงสัยเต็มหัวไปหมด ว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างไร ซึ่งบางทีเรื่องราวเหล่านั้นยังไม่เกิด และอาจไม่เกิดเลยก็ได้ การที่คุณคิดไปเองก่อน ทำให้คุณเป็นทุกข์และกังวลเปล่าๆ ถ้าคุณรู้ตัวว่าคุณกำลังมีความคิดวนเวียนซ้ำๆซากๆ มีความสงสัย ความกังวลในเรื่องเดิมๆ นั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกแล้วว่าคุณกำลังไม่มีความสุขเอาเสียเลย

5.คุณผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ


การที่คุณบอกตัวเองว่าเดี๋ยวค่อยทำ และผลัดมันไปเรื่อยๆ คือปัญหาสะสมเรื้อรัง และดูเหมือนว่าสิ่งที่คุณเลื่อนไปเรื่อยๆจะไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้ ไม่มีใครอยู่ได้ไปตลอดกาล ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้หรือชาติหน้าอะไรจะมาก่อน คุณควรทำในสิ่งที่คุณอยากทำตอนนี้ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป การผลัดผ่อนสิ่งต่างๆในชีวิตออกไปเรื่อยๆ เป็นอีกสัญญานที่บ่งบอกว่าคุณยังไม่พร้อม หรือ ติดค้างปัญหาอื่นๆอยู่

การเปลี่ยนแปลงคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง คุณต้องมีความเชื่อก่อนว่าคุณสามารถทำได้ และสามารถทำได้ด้วยดี คุณต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง และมีความสุข ไม่มีสิ่งไหนในชีวิตได้มาง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความพยายาม ชีวิตคุณลิขิตได้ เพียงแค่คุณเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเปลี่ยนมุมมองความคิดเพื่อทำให้ชีวิตคุณมีความสุขขึ้น

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

เครดิต : Huffington post

http://www.huffingtonpost.com/kimanzi-constable/5-signs-youre-not-happy-with-your-life-and-what-you-can-do-about-it_b_8166980.html?utm_hp_ref=gps-for-the-soul&ir=GPS+for+the+Soul

4 หลุมพรางของการฟัง ที่บ่งบอกว่าเรายังฟังไม่เป็น

“ยิ่งคุยกันมากขึ้น ทำไมเรากลับยิ่งเข้าใจกันน้อยลง”

บทความนี้ ผมจะเล่าถึง 4 หลุมพรางของการฟัง ที่คนเรามักจะทำผิดพลาด ทำให้เกิดปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้คน ทำให้เกิดปัญหาเรื่องความสัมพันธ์  ปัญหาความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน ปัญหาการทะเลาะกันในครอบครัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีสาเหตุหลักๆมาจาก “ปัญหาในการฟัง” ทั้งสิ้น

น่าแปลกที่หลายคนคิดว่า การฟังเป็นเรื่องไม่สำคัญ จึงไม่ค่อยได้ใส่ใจ อาจเพราะเห็นว่าเป็นความสามารถตามธรรมชาติที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทั้งๆที่ “การฟัง กับ การได้ยิน” นั้นแตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิง

การฟังที่แท้จริง ต้องอาศัย “สติ” และการ “เอาใจใส่”

ส่วนการได้ยิน เกิดขึ้นเองที่หู โดยเราไม่ต้องพยายามอะไร

ดังนั้น เรามีความสามารถในการได้ยิน แม้ว่าจะไม่เข้าใจในเรื่องๆนั้นเลย เป็นเหตุให้การสนทนาในชีวิตประจำวัน หากเราไม่ได้สังเกตตัวเอง เราก็อาจจะแค่ได้ยิน แต่ไม่ได้รับฟังอีกฝ่ายจริงๆ นั่นจึงเป็นบ่อเกิดแห่งความไม่เข้าใจกัน กลายเป็นปมความขัดแย้ง บานปลายจนถึงขั้นทะเลาะ และเลิกคบหากันในเวลาต่อมา

คุณฟังเก่งแค่ไหน แน่ใจไหมว่าคุณฟังเป็น ?
ต่อไปนี้เป็น 4 หลุมพรางของการฟัง ที่เรามักจะพลาดกัน ใครที่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ฟังเก่งอยู่แล้ว หรือคิดว่าการฟังไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ ลองพิจารณาดูว่าที่ผ่านมา คุณมีการฟังอย่างไร


1.ฟัง แล้วคิดดักหน้า

หลายคนมักจะคิดว่า การฟังที่ดีต้องคิดตามไปด้วย จะได้เข้าใจได้ดีขึ้น อันที่จริงการคิดก็ไม่ผิด แต่หลายครั้งที่ฟัง เรามักเผลอ “คิดไปดักหน้า” หมายถึง คิดวิเคราะห์ไปล่วงหน้าแล้ว ว่าคนพูดจะพูดอะไรต่อไป ถ้าเป็นเรา ในสถานการณ์นี้จะทำอย่างไรดี เตรียมคำแนะนำ หาทางออก ไว้ให้เค้าเสร็จสรรพ

โดยที่ไม่รู้เลยว่า ขณะที่เราคิดมโนไปนั้น ก็ได้พลาดสิ่งที่เค้าต้องการสื่อสารอย่างแท้จริงไป

ส่วนบางคนก็ขี้สงสัย เมื่อฟังไม่ทันไร ก็ชอบตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกต หรือออกความคิดเห็นส่วนตัว จนกระทั่งผู้พูด ไม่ได้พูดสิ่งที่เค้าต้องการเลย

Tips: ฟังด้วยความว่าง อย่างมีสติรู้ตัว ไม่ขัด ไม่แทรก ปล่อยให้ผู้พูด พูดจนจบ แล้วหากมีคำถามจึงสอบถามทีหลัง ไม่ด่วนให้คำแนะนำ หากคนพูดไม่ได้ร้องขอ

2.ฟัง แล้วจมกับอารมณ์

ข้อนี้คนเซนซีทิฟหรือใจอ่อนมักจะเป็น นั่นคือ เมื่อมีเพื่อนหรือคนใกล้ชิดมาระบายความทุกข์ให้ฟัง เราก็จะจมไปกับเรื่องราว อารมณ์ก็จะเอ่อขึ้นมาแบบท่วมท้น อินไปกับเรื่องนั้น

และยิ่งหากเรามีประสบการณ์ใกล้เคียง ทำให้เราย้อนนึกถึงอดีต เรายิ่งจมดิ่งไปกับเรื่องของตัวเอง จนไม่ได้รับฟังอย่างแท้จริง

การที่เรามีอารมณ์ร่วม และแสดงความเห็นอกเห็นใจในการฟัง ย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่หลายๆครั้ง อาการอินของเรา หากมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า โกรธ เกลียดที่เกิดขึ้น อารมณ์ที่รุนแรงเหล่านี้ย่อมจะมาบดบังการฟัง และครอบครองพื้นที่ในใจ จนทำให้เราละเลยผู้พูดไป อยู่แต่เรื่องของตัวเอง

Tips: เมื่อรู้สึกเกิดอารมณ์ร่วมอย่างมากในการฟัง ให้กลับมาระลึกรู้ อยู่กับลมหายใจเข้าและออก หรือรับรู้ถึงการเต้นของหัวใจเรา ใช้สติแยกแยะว่า เราสามารถรับฟังเค้าได้ แสดงความเห็นใจคนข้างหน้าได้ โดยที่ไม่ต้องจมไปกับอารมณ์นั้น

มองเห็นความทุกข์ของเรื่องราวนั้นว่าเป็นเพียงอดีต ที่แยกจากคนพูด แยกจากตัวเรา แล้วเราก็จะสามารถฟังได้ โดยที่ไม่ต้องไปเป็นความทุกข์เสียเอง 

3.ฟัง แบบใจลอย

บางคนมักจะบอกกับตัวเองว่าเป็นคน “สมาธิสั้น” ใครพูดนานๆ จะไม่เข้าใจ พอฟังได้นิดเดียว ใจก็จะลอยไปเรื่องอื่น

แต่ปรากฎว่าหลายคนที่พูดแบบนั้น สามารถเล่นเกมหรือแชทได้นานๆ คำว่าสมาธิสั้นนั้น อาจจะดูเป็นเพียงข้ออ้างในการฟังเกินไป

คนที่ใจลอยบ่อยๆเมื่อต้องฟังนั้น หากลองวิเคราะห์หาสาเหตุ เป็นไปได้ 2 กรณี คือ 1. ไม่สนใจคนที่พูด 2. ไม่สนใจในเรื่องๆนั้น

ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้ หากแม้ยังนั่งฟังอยู่ กริยาภายนอกดูเหมือนว่าฟัง แต่หากสังเกตด้วยการมองตา ก็จะรู้เลยว่า ใจเค้าไม่ได้อยู่กับตัวแล้ว และหากถามถึงเรื่องราวที่เพิ่งคุยกันไป เค้าจะรีบบอกปัดว่าเข้าใจ แต่ไม่สามารถจับประเด็นได้เลย

Tips: ในกรณีนี้ อยู่ที่ “ความพร้อม” ในการฟัง หากเราไม่สนใจจะสนทนาในเรื่องนั้น ก็ควรบอกอีกฝ่ายไปตรงๆว่าเราติดธุระอะไรอยู่ หรือเราไม่สะดวกคุยตอนนี้ 

การทำทีว่าฟัง แต่จริงๆแล้วไม่ได้ใส่ใจฟังนั้น จะสร้างความรู้สึกแย่ให้กับผู้พูดอย่างมาก ซึ่งคนที่พูดเค้าจะรู้สึกได้ว่า จริงๆแล้ว เราฟังเค้าอยู่หรือเปล่า

4.ฟัง แบบมีธงในใจ

กรณีสุดท้าย คนที่ใจร้อนมักจะเป็นกันมาก หากไม่สังเกตให้ดี ก็จะมองไม่เห็นตัวเองเลย การฟังแบบมีธงในใจ จะเกิดขึ้นเมื่อเราคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าผู้พูด หรือรู้อยู่แล้วว่าผู้พูดจะพูดอะไรต่อ

ทำให้เพียงเริ่มบทสนทนาได้ไม่นาน ก็จะปิดการฟังไป เพราะได้ตัดสินและมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดต่อไปอย่างไร ก็จะไม่ได้เข้าไปในใจเลย รอเพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะพูดจบ ตัวเองจะได้โอกาสพูดบ้าง

หลายๆคนอาจจะรู้สึกว่า เสียวเวลา ไม่อยากรอให้อีกฝ่ายพูดจบ เพราะคิดว่าไม่จำเป็น ในเมื่อเรามีคำตอบที่ชัดเจนในใจอยู่แล้ว จึงมักขัดขึ้นมากลางทางเลย แย่งพูดโดยที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่ง

แต่หากลองคิดให้ดี ในแต่ละครั้งสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปตามบริบทและเวลา การรีบด่วนตัดสินนั้นย่อมมาจากข้อมูลเก่าที่เรารับรู้ในอดีตเท่านั้น เราจึงอาจพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไป ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด เพราะไม่ได้รับฟังจนจบนั่นเอง

Tips: เมื่อรู้สึกอึดอัด ไม่อยากฟัง ให้พิจารณาว่าเรากำลังตัดสิน หรือมีธงในใจอยู่แล้วใช่ไหม ถ้าหากใช่ ให้ลอง “ห้อยแขวนคำตัดสิน” นั้นๆไปก่อน แล้วกลับมามีสติอยู่กับการฟังใหม่อีกครั้ง

พยายามรับฟังให้ลึกซึ้งกว่าเนื้อความ ให้ลึกลงไปถึงอารมณ์ ความเชื่อ มุมมองของผู้พูด ก็จะทำให้เราเข้าใจผู้พูดได้ดีขึ้น

หลุมพรางในการฟังทั้ง 4 ประการ เป็นเรื่องที่หากไม่ตระหนักรู้หรือสังเกตตัวเองให้ดีพอ เราจะคิดว่าเราฟังเป็นอยู่แล้ว แต่ที่ไหนได้ เราไม่เคยฟังเลย

บทความนี้ ทำให้เรารู้ว่า “การฟัง เป็นทักษะที่เราต้องฝึกฝน” และเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจมองข้ามไม่ได้

หากเรามีทักษะการฟังที่ดี ก็จะมีความเข้าใจอีกฝ่าย เราก็จะรู้ว่า ควรจะพูดกับเค้าอย่างไร

การสื่อสารที่ดีจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีคนพูดและมีคนรับฟังหากเราสนใจฝึกฝนแต่ทักษะการพูด ละเลยฝึกทักษะการฟัง ทำให้การสื่อสารขาดความสมดุล

และจะส่งผลกระทบไปถึงประสิทธิภาพการทำงาน การเป็นผู้นำ มีปัญหาความสัมพันธ์ส่วนตัวและครอบครัว อย่างแน่นอน


เรียบเรียงโดย “เรือรบ” ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการสื่อสารและการฟัง

อ้างอิงจากหนังสือ “เอนหลังฟัง: ศิลปะการฟังอย่างลึกซึ้ง” โดย ภินท์ ภารดาม 

ท่านที่สนใจ ฝึกทักษะการฟัง ขอแนะนำหลักสูตร ฟังเป็น เปลี่ยนชีวิต
พบกัน 11 มิ.ย.นี้ อบรมโดย เรือรบ ดูรายละเอียด คลิก

3 เหตุผล ที่เราควรเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก่อนอายุ 30

changebefore30

เคยสงสัยไหม ทำไมการ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ของหลายๆคนจึงเป็นสิ่งที่ยาก โดยเฉพาะคนที่อายุมากกว่า 30 บทความนี้จะบอกว่า ทำไมการเปลี่ยนแปลงตัวเองจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราฝึกที่จะทำตอนที่อายุยังไม่มาก ใครที่อายุไม่ถึง 30 อยากให้อ่าน ส่วนคนที่เกินแล้วลองดูว่าจริงไหม

1.เรามองไม่เห็นตัวเอง

มีใครมองเห็นตัวเองครบบ้างมั้ย อย่างน้อยก็แผ่นหลังและก้น ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้เอง ถ้าจะมอง ก็ต้องอาศัย “แสงสะท้อน” จากกระจก สิ่งที่เรามองไม่เห็นก็คือ “จุดบอด” ของดวงตาเรา

ในเรื่องนิสัยเอง ก็มีจุดบอดก็เช่นกัน เรามักจะมองไม่เห็นตัวเอง เพราะเรา “เป็นคนแบบนี้” มาตั้งแต่จำความได้ มันจึงเป็นเรื่องปกติของเรา แต่กระจกที่จะทำให้เราเห็นนิสัยของตัวเองได้ก็คือ “เสียงสะท้อน”จากคนใกล้ชิดนั่นเอง

โดยปกติคงไม่มีใครหวังดีกับเรา ขนาดที่เดินเข้ามาสะท้อนเราตรงๆ ว่าเรามีนิสัยที่ไม่ดีอย่างไร ดังนั้นส่วนใหญ่แล้ว เราจะไม่รู้เลยว่าคนอื่นนั้นจะรำคาญนิสัยของเราหรือไม่ เพราะคนทั่วไปคงไม่อยากเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของตนอื่น ยกเว้นว่า คนๆนั้นจะหวังดีกับเราจริงๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ หากเรารู้สึกว่าเพื่อนที่ทำงานมีกลิ่นปากแรง เราจะเตือนหรือบอกเค้าไหม หากเค้าเป็นคนที่นานๆเจอกันที เราคงไม่อยากก้าวก่ายบอกเค้า กลัวจะทำให้เค้ารู้สึกไม่ดี แต่ถ้าเกิดเราต้องเจอเค้าบ่อยๆหรือสนิทกัน แน่นอนว่า การบอกของเราก็คือการช่วยเหลือทั้งตัวเค้า (และตัวเราเอง)

ประเด็นของข้อนี้ก็คือ ถ้าเป็นเรื่องของนิสัย คนจะกล้าเดินมาฟีดแบ็คเรา เมื่อเรายังอายุน้อยๆ เพราะคิดว่าเราจะเปลี่ยนได้ และมันคงดีกับเรา หากเราอายุเกิน 30 ไปแล้ว โอกาสยากมากที่เราจะได้ยินใครมาเตือนเรา เพราะเค้าก็จะคิดว่า “โตๆกันแล้ว ให้มันรู้เอง” หรือไม่ก็ “บอกไปก็ไม่ช่วยหรอก อายุปูนนี้แล้ว”

ดังนั้น หากได้ยินใครเข้ามาฟีดแบ็ก หรือสะท้อนกับเราตรงๆ ว่าเค้าไม่พอใจอะไรเรา หรือเราทำให้เค้าเดือดร้อนรำคาญในเรื่องไหน นั่นคือ “ขุมทรัพย์” เลยทีเดียว แทนที่เราจะไม่พอใจเค้า เราต้องรู้สึกขอบคุณเค้าเป็นอย่างมาก เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าใครคิดยังไงกับเรา มองเรายังไง ถ้าเค้าไม่เดินเข้ามาบอก


 

2. ถึงมองเห็น ก็ไม่ยอมรับ

เมื่อเรามองไม่เห็นตัวเอง การยอมรับสิ่งที่คนอื่นมองเห็น จึงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เรามองเห็นอยู่แล้ว บางทีเรายังไม่อยากยอมรับเลย

สิ่งที่ต้องระวังก็คือ เมื่อได้ยินเสียงสะท้อนจากคนใกล้ตัว ถึงเรื่องที่ฟังดูไม่ดี ปฏิกิริยาแรก เรามักจะไม่เชื่อ ไม่ยอมรับ ไม่โอเค ขอให้พยายามอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ให้ขอบคุณ และนำสิ่งนั้นกับมาพิจารณาก่อน เพราะถ้าเราปกป้องตัวเอง และแสดงความไม่พอใจ เราอาจไม่ได้รับการเอื้อเฟื้อเช่นนั้นอีกเลย

ยกตัวอย่างตัวผมเอง ย้อนกลับไปเมื่อตอนอายุยังไม่ถึง 30 จะมีเรื่องหนึ่งที่คนรอบๆตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือคนเพิ่งรู้จักกันบอกก็คือ “ตอนที่เจอผมตอนแรกๆ ดูเหมือนเป็นคนหยิ่ง” บางคนก็บอกว่าผม “หน้าดุ”  ซึ่งเมื่อได้ยินผมก็จะงงๆว่าจริงหรือ แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

หากอายุยังไม่ถึง 30 เราควรจะฝึกสำรวจตัวเองด้วยใจเป็นกลางอยู่เสมอ  หรืออย่างน้อยก็ขอฟังฟีดแบ็กจากคนที่เราใกล้ชิดและไว้ใจ ซึ่งจะได้ข้อมูลที่ตรงที่สุด ถ้าเราไม่ทำในตอนนี้ เมื่อเราโตขึ้นนิสัยนั้นๆก็จะกลายเป็นเราอย่างแยกไม่ออก และสุดท้าย เราก็จะไม่คิดแม้แต่จะตรวจสอบและสงสัยตัวเองเลย


 

3. ถึงยอมรับ ก็ไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหา

แน่นอนว่า เรามีชีวิตเหมือนที่เป็นได้ในทุกวันนี้ เพราะนิสัยที่เราเป็น ดังนั้นเมื่อเราได้ยินบางเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง ที่เราเองจะรู้ตัวหรือไม่เคยรู้ตัวก็ตามที ความรู้สึกแรกก็คือ “ไม่เห็นจะเป็นปัญหาตรงไหน” เพราะเราก็ใช้ชีวิตโอเคดี มาจนอายุเท่านี้แล้ว บางคนถึงกับพูดว่า “ไม่หนักหัวใคร”

แต่การที่มีคนเข้ามาสะท้อนกับเราตรงๆ อาจจะบอกเป็นนัยได้ว่านิสัยไม่ดีของเรานั้น เริ่มเพิ่มขึ้นตามเวลา แล้วมันทำให้หลายคนถึงกับอึดอัด รำคาญ จนถึงขั้นเดือดร้อน เค้าถึงเข้ามาสะท้อนด้วยความหวังดี

ก่อนหน้านี้เราอาจจะได้ยินมันลอยๆผ่านหูเข้ามา ซึ่งเราก็อาจได้ฟังบ้าง หรือไม่ได้ฟังบ้าง แต่มันจะเริ่มเอะใจก็เพราะว่า มีคนพูดเรื่องนี้กับเราบ่อยแค่ไหน และมีหลายคนมั้ย ที่เข้ามาพูดคล้ายๆกัน แสดงว่า มันอาจไม่เป็นปัญหากับตัวเรา แต่มันส่งผลกระทบต่อคนอื่น หรืออย่างน้อย หากเราสามารถปรับปรุงเรื่องนี้ได้ มันอาจช่วยให้หลายๆสิ่งดีขึ้น เค้าจึงเข้ามาบอกเราตรงๆ

ในกรณีที่มีคนสะท้อนว่า ผมหน้าดุ และหยิ่งนั้น แรกๆผมก็รับไม่ได้และไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา แต่พอใช้ชีวิตไป ก็ได้ยินเรื่องนี้จากปากหลายๆคนตรงกัน ซึ่งเชื่อว่ามีอีกหลายคนมากๆที่คงรู้สึกเช่นนี้แล้วไม่ได้พูด ดังนั้นผมจึงนำเรื่องนี้มาพิจารณาแล้วพบว่า ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่ แต่หากผมปรับปรุงตัวเองให้หน้าตายิ้มและเป็นมิตรได้มากขึ้น ก็อาจจะช่วยให้ผมมีเพื่อนมากขึ้น ช่วยให้มีโอกาสดีๆในชีวิตมากขึ้น และเรื่องนี้มันก็ไม่ได้ยากอะไร


 

หากอายุเกิน 30 จะสายเกินไปมั้ย

หากเราไม่คิดเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนถึงอายุ 30 เราก็จะมองข้ามมันไปเลย เพราะยังไงถ้าอายุมาก เปลี่ยนแปลงอะไรไปก็คงไม่มีผลแล้ว ดังนั้นก็มีแนวโน้มที่เราจะไม่สนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาตัวเอง

การเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อายุน้อย จะทำให้เรามี “ทักษะในการเปลี่ยนแปลง” ที่จะสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาตัวเองได้เรื่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้นนั่นเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอายุเกิน 30 แล้วจะทำไม่ได้ หรือสายเกินไป ขึ้นอยู่กับว่า เรารู้จักประเมินตนเองอย่างสม่ำเสมอหรือไม่

สุดท้าย สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็นหลุมพรางของการเปลี่ยนแปลงก็คือ เราจะมองว่าสิ่งที่คนสะท้อนมา “ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน” เราจึงมักผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะชีวิต มักมีอย่างอื่นที่สำคัญกว่าเข้ามาแทรก ก็เลยลืมเลือนไป แต่ผมอยากจะบอกคุณว่า “สิ่งที่เราทำอย่างหนึ่ง มีผลสัมพันธ์กับทุกสิ่งในชีวิต”

ไม่มีเรื่องไหนเป็นเรื่องเล็ก ถ้ามันเกี่ยวกับนิสัย การเปลี่ยนนิสัยเพียงเรื่องเล็กๆจะส่งผลดีมหาศาลกับชีวิตข้างหน้าได้ และเรื่องนิสัยเล็กๆนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนได้ง่ายซะด้วย มันเปลี่ยนยากอย่างไร และมีวิธีการก้าวข้ามยังไงนั้น ผมจะขอเล่าต่อในตอนหน้าครับ

บทความโดย เรือรบ

5 ขั้นตอนเปลี่ยน Mindset ชีวิตเปลี่ยน ก่อนอายุ 30

5steps-mindset-3

Mindset หรือ กรอบความคิด เป็นสิ่งที่กำหนดรูปแบบการดำเนินชีวิตของเรา

การเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาตนเอง เพื่อให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดี

ย่อมต้องเริ่มมาจาก “การมี Mindset ที่ถูกต้อง”

ซึ่งการเปลี่ยน Mindset นั้น เราควรฝึกทำให้ได้ก่อนอายุ 30 โดยผมขอแชร์จากประสบการณ์ตรง ที่สามารถเปลี่ยน Mindset ของตัวเองได้และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตหลังจากนั้น และต่อไปนี้เป็น 5 ขั้นตอนง่ายๆที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้กับตัวเอง

1. มองให้เห็นปัญหา ว่ามันเป็นโอกาส

“การมองเห็นปัญหา เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง”

การมองเห็นตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย ต่อเนื่องจากที่ผมเคยเล่าไว้แล้วในบทความ 3 เหตุผล ทำไมเราควรเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก่อนอายุ 30”  ได้แก่ เรามักมองไม่เห็นตัวเอง ถึงมองเห็นก็มักไม่ยอมรับ หรือยอมรับแล้ว ก็ไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา ดังนั้นการมองเห็นปัญหา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในชีวิต

ในช่วงก่อนอายุ 30 มีคนหลายคนสะท้อนว่า แรกๆ ที่เจอ ผมเป็นคนดูหยิ่ง หน้าดุ ไม่ค่อยยิ้ม ซึ่งผมฟังแล้วก็เฉยๆ ไม่คิดอะไร เพราะคิดว่าคงเกิดมาหน้าตาเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เมื่อใช้ชีวิตมานานขึ้น ก็ได้ยินเสียงสะท้อนมากขึ้น จากคนที่หวังดีอีกหลายๆ คน ทำให้ผมเริ่มเอะใจขึ้นมาบ้าง

เห็นได้ชัดว่า การเห็นปัญหาของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยจริงๆ แต่ในทุกปัญหา ย่อมมีโอกาส ผมลองย้อนคิดดูว่า ขนาดหน้าไม่รับแขก ทุกวันนี้ก็มีเพื่อนหลายคนนะ ถ้าผมยิ้มเก่ง ยิ้มง่ายขึ้น ดูน่าเข้าหา จะมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตมากขึ้นแค่ไหน  

2. อย่าปลอบใจตัวเอง

“ปัญหาเล็กๆ มักจะส่งผลกระทบใหญ่โต โดยที่เราไม่เคยรู้ตัว”

ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยมองเห็นปัญหา เพราะมองแค่ที่ตัวเอง ไม่ได้มองลึกลงไปถึง “ปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่” เพราะแน่นอนว่าปัญหาใหญ่ มันจะไม่ได้อยู่ตื้นๆ ที่พื้นผิวให้เราเห็นง่ายๆ

สำหรับในเรื่องยิ้ม ถ้ามองแค่ที่ตัวเอง ผมย่อมไม่เดือดร้อน เพราะผมไม่ได้เห็นหน้าตัวเองนี่ แต่ปัญหาที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ก็คือ คนจะไม่ค่อยกล้าเข้าหาผม หรือไม่อยากเข้ามาพูดคุยกับผม ทำให้ผมมีเพื่อนน้อย เพื่อนใหม่ยิ่งยากที่จะมี แต่ผมก็มักจะปลอบใจตัวเองว่า ไม่เห็นเป็นไร การมีเพื่อนน้อยก็ดี เรื่องไม่เยอะ การอยู่คนเดียวก็ดี สงบสบายดี

การปลอบใจตัวเอง เป็นแนวโน้มให้เรา “ยึดติด” ในนิสัยเดิมๆ ไม่ได้ช่วยให้เรา “แก้ปัญหา” นั้นๆได้เลย

ดังนั้นเมื่อเจอกับปัญหาเราจำเป็นต้องนำมาพิจารณาตรงๆ อย่างเป็นกลาง ด้วยการตั้งคำถามใหม่ว่า ภายใต้ปัญหาเล็กๆ ในเรื่องนั้น “อะไรคือปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่”

สำหรับกรณีของผม ถ้ามองอย่างเป็นกลางแล้ว การที่เพื่อนน้อย หากไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่การที่คนใหม่ๆไม่อยากจะมาทำความรู้จักกับผม เป็นปัญหาใหญ่แน่นอน เพราะนั่นหมายถึง โอกาสดีๆ และคอนเนคชั่นดีๆ ในชีวิตหลายๆ อย่าง จะหายไป นอกจากนั้น สิ่งดีๆ ในตัวผม ก็คงไม่สามารถแบ่งปันกับใครได้มาก เพราะไม่มีใครอยากจะเข้าหาผมนั่นเอง

3. ทำให้เป็นเรื่องเร่งด่วน

“ชีวิตไม่เคยเร่งด่วน แต่ปัญหาของชีวิตต้องให้เป็นเรื่องเร่งด่วน”

เราสามารถนอนทับปัญหา หรือจมอยู่กับมันได้นานเท่านาน ถ้าเรายังมองว่าชีวิตโอเคอยู่ นอกจากชีวิตจะเจอกับวิกฤต ที่จะบังคับให้เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง การเปลี่ยนด้วยวิกฤตจึงเป็นเรื่องเจ็บปวดมาก การจะรอให้ชีวิตเจอวิกฤตแล้วค่อยเปลี่ยนแปลง จึงไม่น่าใช่ทางเลือกที่ควรทำนัก

ความเร่งด่วนจะไม่เกิดขึ้นเอง มันจะต้องมาจากการเห็นความสำคัญของปัญหา โดยการจินตนาการจากคำถามว่า “หากเรายังนอนทับปัญหานี้ต่อไป สิ่งที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับเราจะเป็นอย่างไร”

การที่ผมเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม แต่เมื่อใช้ชีวิตมาสักระยะหนึ่ง พบว่า บุคคลิกของคนที่ประสบความสำเร็จและคนรวย มักจะเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูน่าคบหา ผมก็ชอบคนเช่นนั้น แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจำเป็นจะต้องทำ

ดังนั้นการเห็นปัญหา จึงเป็นแค่จุดเริ่มต้น อาจยังไม่พอให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ความเร่งด่วนจึงเป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น ผมจึงต้องลองพิจารณาตัวเองว่าสิ่งที่จะแย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้น ถ้าผมยังไม่ยิ้ม มันจะเป็นอย่างไรนะ

เคยได้ยินคำกล่าวว่า “ผลลัพธ์ในชีวิตของเรา สะท้อนตัวตนที่เราเป็น” ดังนั้นผมเลยย้อนมาดูผลลัพธ์ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ “เงินในกระเป๋า” จึงเห็นได้ชัดเลยว่า มีน้อยกว่าที่ควร ผมเองยังไม่พอใจกับเรื่องรายได้ของตัวเอง นั่นแสดงว่า “ตัวตนที่ผมเป็น” ในตอนนี้ยังไม่โอเคนะ ความเร่งด่วนเกิดขี้นทันที

เมื่อผมคิดว่า ถ้ายังไม่ยิ้มแบบนี้ ชีวิตคงจะถังแตกไปเรื่อยๆ แล้วมันจริงซะด้วย เห็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เค้ายิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน ว่าแต่ คิดได้แล้ว จะเปลี่ยนยังไงดีล่ะ

4. ออกเดินทาง เพื่อแก้ปัญหา

“การแก้ปัญหา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แค่นั่งคิด
แม้ว่าจริงๆ แล้วการแก้ปัญหา ก็คือการพลิกความคิดนั่นเอง”

ฟังแล้วงงมั้ยครับ สิ่งที่ผมอยากสื่อก็คือ การแก้ปัญหานั้นจะง่ายดาย แบบพลิกความคิดเลย ถ้าเรารู้วิธี แต่ขั้นตอนกว่าที่จะรู้วิธี เราจำเป็นต้องออกแรงเดินทางไปค้นคว้า ไปหาผู้รู้ หรือหาวิธีการมาครับ นั่งคิดเองไม่ได้ เพราะหากมันเป็นปัญหาได้ มันต้องใหญ่เกินกรอบความคิดของเราในปัจจุบันแน่นอน

คนที่ “ฝึกเจริญสติ” มาอย่างดีแล้วเท่านั้น ที่จะมีปัญญาที่สามารถทะลุทะลวงเข้าไปพิจารณาอดีตของตัวเอง จนเจอที่มาของนิสัยของตัวเองได้

หากเรายังไม่แก่กล้าถึงเพียงนั้น แนะนำให้หา “โค้ช” ไปปรึกษาในเรื่องที่เราติดขัด หรือไปเข้า “อบรมสัมมนา” ในคอร์สที่จะพลิกมุมมองพลิกชีวิตของตัวเองได้ หรืออย่างน้อยที่สุด “อ่านหนังสือ” ด้านการพัฒนาตัวเอง ให้ได้ข้อมูลใหม่ๆมาพัฒนาชีวิต

ส่วนตัวผม ในช่วงวัย 25-30 ก็ได้ไปเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองจากหลากหลายที่ ไม่ว่าจะไปคอร์สปฏิบัติธรรม เข้าสัมมนา ฝึกเจริญสติ เรียนศาสตร์โค้ชชิ่ง อ่านหนังสือหลายสิบเล่ม เพราะผมเชื่อว่ายังมีปัญหาหรือจุดบอดอีกมาก ที่ผมยังไม่รู้ว่ามี

และสิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่จะมาช่วยผมได้ในอนาคต และข้อดีของการออกเดินทางก็คือ ระหว่างทางที่เราจะเดินไปแก้ปัญหานึงนั้น โดยรู้ตัวและบางครั้งก็ไม่รู้ตัว เราได้แก้ปัญหาเรื่องอื่นๆในชีวิตไปได้อีกมากเลยทีเดียว

แม้ว่าผมจะยังยิ้มไม่เก่งอยู่ แต่ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น รู้จักคนมากขึ้น ยอมรับความแตกต่างของคนได้มากขึ้น โดยไม่รู้ตัว ผมเริ่มเป็นคนรับฟังคนเก่ง มนุษย์สัมพันธ์ดี และมีแฟนที่น่ารัก อันหลังไม่เกี่ยวกับนิสัย แต่เป็นผลพลอยได้ครับ

5. นิสัยใหม่ ทำให้ยั่งยืน

“ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำครั้งเดียวแล้วได้ผล นอกจากเราจะเป็นคนสร้างนิสัยใหม่ขึ้นมา”

ในเมื่อนิสัยเก่าๆเค้าใช้เวลาสะสมมาหลายปี ทำให้เรากลายเป็นคนแบบนี้ได้ การสร้างนิสัยใหม่ ก็ต้องใช้เวลา หากเราคาดหวังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ย่อมจะผิดหวัง

ดังนั้นต้องเผื่อใจ และค่อยๆทำมันทีละนิด แต่บ่อยๆ ซึ่งในตอนแรกๆมักจะรู้สึกฝืน นั่นก็แปลว่ามาถูกทางแล้วครับ ผมจึงต้องเริ่มฝึกที่จะยิ้มกับกระจกทุกเช้า เจอใครก็เตือนตัวเองว่าให้ยิ้ม ทั้งๆ ที่ในใจก็วิพากษ์วิจารณ์ตัวเองอยู่ด้วย แต่ผมรู้ว่า นิสัยใหม่ ก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ไอ้ความคิดเดิมๆ มันจะยังไม่ทิ้งผมไปไหนหรอก

แต่หากเราทำนิสัยใหม่ มากเข้า บ่อยเข้า นานพอ ความคิดใหม่ก็จะเสียงดังความความคิดเดิมได้เอง อีกครั้ง สิ่งสำคัญคือ เราต้องมีสติ ในการใช้ชีวิตทุกวัน อย่าปล่อยให้อารมณ์ ความขี้เกียจ และความคุ้นชินเดิมๆ มันลากเรากลับไปได้ เพราะนั่นเท่ากับเรายอมแพ้กับชีวิตและอนาคตของตัวเอง

ไม่จำเป็นว่าเราต้องอายุน้อยกว่า 30 ที่จะทำตามเทคนิคเหล่านี้ได้ ขอแค่หัวใจเราอายุน้อยกว่า 30 ที่ยังมองว่าอนาคตยังมีความหวัง ยังอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้วันนี้ดีที่สุด และเพื่อวันพรุ่งนี้ที่จะดีกว่า

เทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้ ก็จะช่วยคุณได้มากๆเลยละครับ แม้ผมไม่รู้สาเหตุในอดีตว่าทำไมตัวเองไม่ชอบยิ้ม แต่ด้วยการเปลี่ยน Mindset และการฝึกทุกวัน ตอนนี้เมื่ออายุ 30 กว่าปี ผมเริ่มยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว เสียงในหัวของผมเงียบลงไป และจะทำให้ผมยิ้มเก่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเจอกับผมก็แวะเข้ามาหามาชวนคุยได้ครับ ผมไม่ดุ รับรอง ^__^

บทความโดย เรือรบ Learning Hub Thailand

เผย 5 เคล็ดลับ สร้างความสุข ตั้งแต่อายุน้อย

happyyouth

คนเรา ยิ่งอายุมาก ทั้งความรับผิดชอบ ตำแหน่งฐานะ การงาน อาจทำให้การเข้าถึง “ความสุข” เป็นเรื่องยาก เพราะกฎเกณฑ์และมาตรฐานในชีวิตสูง

ความสุข คือ “ทักษะของจิตใจ” ที่ควรฝึกฝนตั้งแต่อายุน้อย นั่นจะทำให้คนๆนั้นเป็นคนที่มีความสุขได้ง่าย และบ่อยครั้ง

เหล่าบรรดา Gen Y, Gen Z อาจจะสงสัยว่า แล้วทำไมผู้ใหญ่ทั้งหลาย ต้องสร้างกรอบมาตรฐานเยอะแยะให้กับตัวเองด้วย แทนที่จะเลือกให้ตัวเอง พบเจอแต่ความสุขได้เลยตั้งแต่อายุน้อยๆ แต่ก็ไม่ทำกัน หรือคนที่เป็นผู้ใหญ่เหล่านั้น อาจจะยังไม่ได้รู้ถึงเคล็ดลับ  5 ข้อนี้ ก็เป็นได้

1.ความเด่นดัง ไม่ใช่หนทางสู่ความสุข

คนในยุคนี้ไม่ว่าใคร ก็อยากที่จะมีชื่อเสียง เด่นดังด้วยกันทั้งนั้น เพราะมันจะนำมาซึ่งความสุข เงินทอง และการนับหน้าถือตา อำนาจ อภิสิทธิ์ต่างๆที่คนอื่น มอบให้กับเรา ตอนที่อายุยังน้อยๆอาจจะไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ต่อมาเมื่อไปชอบดารา นักร้อง หรือไอเดอลต่างๆ ก็อยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง จึงพยายามทำหลายๆวิธีให้มุ่งไปสู่จุดนั้น ทั้งๆที่อาจไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบและรักที่จะทำจริงๆ แต่ทำไปเพราะอยากดัง

คุณรู้หรือไม่ว่า ความดังและชื่อเสียงที่ได้รับมานั้น มันเป็นสิ่งของปลอม เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมาทั้งหมด เพราะในวันหนึ่งมันก็ต้องเสื่อมไป ถ้าคนที่คิดได้ ก็จะไม่หลงไปกับสิ่งเหล่านั้น แต่ส่วนใหญ่จะคิดกันไม่ได้ และจะทำให้กลายเป็นคนหลงอำนาจ ใช้สิ่งที่มีไปในทางที่ผิด เมื่อวันหนึ่งที่อำนาจเหล่านั้นได้หมดลงไป คนพวกนี้จะทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส เพราะไม่เหลือใคร ที่จะสนใจ หรือให้การยอมรับเหมือนวันก่อน

Tips: ทำสิ่งในที่รัก และทำให้เต็มที่ ตั้งเป้าในการพัฒนาตัวเอง สร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับผู้คน ระวังในอำนาจวาสนาที่ได้มาอย่างรวดเร็ว ไม่หลงไปกับความฟุ้งเฟ้อที่จอมปลอม ส่วนความเด่นดัง ถ้ามี ก็เป็นเพียงผลพลอยได้ ไม่ใช่เป้าหมายในชีวิต

2. หมั่นสังเกต สิ่งเล็กน้อย รอบๆตัว

ตอนเราอายุน้อย ผู้ใหญ่ในครอบครัว มักจะปลูกฝังว่า ความสุขไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ง่ายๆ แต่ต้องผ่านความยากลำบากในชีวิตเสียก่อน ที่คิดว่าสร้างยากนั้น อาจเพราะเค้าเห็นว่า บางคนต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และเสียสละชีวิตส่วนตัวไป เพื่อที่จะแลกกับความสุขกลับมา ก็เลยคิดว่า ถ้าอยากได้ความสุขแล้ว ต้องทำแบบคนๆนั้น ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่จำเป็นเลย ความสุขอยู่รอบๆตัวเราเต็มไปหมด ถ้าเราฉลาดพอ ที่จะคิดให้เป็น เราก็จะสามารถสะสมความสุขเหล่านั้น ให้มาอยู่กับเราได้ โดยที่ไม่ต้องลำบากเลย

Tips: ความสุขที่แท้จริง อาจจะอยู่รอบๆตัวคุณอยู่แล้วก็ได้ ลองดูเด็กตัวเล็กๆ เค้าจะมีความสุขง่ายๆ กับสิ่งเล็กๆน้อยๆ หัวเราะดังๆ ยิ้มได้กว้างๆ ดังนั้น ในทุกวัน หมั่นลองสังเกตสิ่งรอบๆตัวคุณดู ว่าอะไรที่หากขาดมันไป อาจส่งผลกระทบกับคุณได้ เช่น คุณมีรถมอเตอร์ไซค์ ที่ไม่เคยเห็นความสำคัญ แต่วันไหนถ้ามันพังขึ้นมา คุณก็ต้องลำบากไปขึ้นรถเมล์ สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้คุณอาจจะหลงลืมไปในชีวิตไปก็ได้ เพราะอาจจะคิดว่า มันไม่มีความสำคัญต่อคุณสักเท่าไหร่ในตอนนี้ เลยทำให้มองข้ามมันไป

3.อย่ามัวสนใจ แต่เรื่องของตัวเอง

การสนใจตัวเอง เป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้เราเข้าใจ และรู้จักพัฒนาข้อบกพร่องต่างๆ เกี่ยวกับตัวเราให้ดีขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้เรา เป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด คนหนึ่งได้เลยทีเดียว แต่ทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ ถ้าเราใช้มันไม่เป็น การสนใจแต่เรื่องของตัวเอง จนมองข้ามเรื่องของคนอื่นไป ในสายตาคนอื่น เราอาจจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวได้ง่ายๆ

ตอนอายุน้อยเราอาจจะไม่รู้สึกตัว เพราะเรายังคงหมกมุ่นอยู่แต่ความสุขของตัวเอง แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ต้องการขอความช่วยเหลือ ทีนี้ เราก็จะเริ่มเห็นแล้วว่า ไม่มีใคร อยากที่จะยื่นมือมาช่วยเหลือเราเลย เพราะเรา ไม่เคยที่จะสนใจช่วยเหลือคนอื่นมาก่อนนั่นเอง

Tips: ลองเปิดโลกของตัวเอง ออกจากแค่ที่ทำงาน แนะนำให้ลองไปทำกิจกรรมอาสา หรือทำค่ายพัฒนาต่างๆ เราจะพบว่า โลกนี้มีมิติที่หลากหลาย สังคมและผู้คนยังขาดโอกาสและแตกต่างจากเรามาก และการแบ่งปันให้กับผู้คนที่ด้อยโอกาสกว่า เราจะพบคุณค่าและความสามารถในตัวเอง ที่เราอาจไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน

4. สร้างสังคมที่ดี เริ่มที่ตัวเรา

ตอนอายุน้อย หลายคนไม่เคยสนใจเรื่องปัญหาสังคม การเมือง หรือสิ่งแวดล้อม เพราะดูเป็นเรื่องไกลตัว และด้วยเราเป็นเด็ก ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่เชื่อไหม แม้คนเป็นผู้ใหญ่อายุมาก ก็คิดเช่นเดียวกัน ว่าเป็นแค่คนๆหนึ่ง คงไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ จึงเมินเฉยต่อเรื่องราวในสังคม อย่างมากก็แค่บ่น แต่ไม่ทำอะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือนักการเมือง ที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้ว ปัญหาใดๆก็ตาม ไม่อาจแก้ได้ด้วยใครคนใดคนหนึ่ง แต่มาจากคนเล็กๆหลายๆคนเข้ามาช่วยกัน

Tips: แม้จะอายุน้อย เราเองก็เป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัวได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปยืนประท้วงหรือทำอะไรที่เบียดเบียนตัวเอง เริ่มด้วยการเป็นคนอารมณ์ดีแจ่มใสอยู่เสมอ จริงใจ พร้อมจะเอื้อเฟื้อช่วยเหลือคนอื่น เท่าที่มีกำลังความสามารถ เราก็สามารถสร้างสังคมเล็กๆแห่งการแบ่งปัน สร้างความเป็นกันเองให้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าสังคมนั้นจะเป็นระดับครอบครัว เพื่อนฝูงที่ทำงาน ชมรมต่างๆ ขอแค่เราเป็นคนที่พึ่งให้ตัวเองได้ เป็นที่พึ่งให้คนอื่นด้วยการทำประโยชน์ให้ผู้คนรอบตัว  แล้วเราก็จะพบว่าการสร้างสังคมที่ดี ก็เริ่มได้แค่นี้เอง

5. ฝึกเจริญสติ

ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ สิ่งผิดพลาดต่างๆ ในชีวิต ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการที่เราขาดสติ ในการทำสิ่งนั้นๆไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านรุนแรง ผลออกมา กลายเป็นความผิดพลาดที่เราต้องมาเสียใจภายหลัง การฝึกสมาธิหรือเจริญสติ จึงเป็นสิ่งที่ดี เพราะเหมือนเป็นเกราะป้องกันภัย ให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด การฝึกสตินั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้เราประสบกับปัญหาชีวิตหนักๆก่อน ถึงจะเริ่มสนใจ แต่เรื่องการเจริญสตินั้น ทุกคนควรหมั่นฝึกทำให้เป็นนิสัย เพราะมันง่ายมากๆ ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ทำตอนนี้เลยก็ยังได้

Tips: การเจริญสติไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตานานๆ แต่แค่ฝึกรับรู้ลมหายใจเข้าออก และรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง ทำกิจวัตรอะไรก็ให้ระลึกรู้อยู่เนืองๆ เริ่มจาก 5 นาที 10 นาที แล้วค่อยเพิ่มเวลาให้มากยิ่งขึ้น พอมีสติยาวนาน ก็จะกลายเป็นสมาธิที่มั่นคง เมื่อสมาธิเราดีแล้ว ปัญญาก็จะเกิดโดยง่าย เราก็จะคิดได้ด้วยตัวเองว่า สิ่งไหนที่ทำแล้วมีความสุข สิ่งไหนที่ทำแล้วจะทุกข์ ก็จะไม่เกิดความผิดพลาด ขึ้นเพราะอารมณ์พาไปเหมือนแต่ก่อน

ถึงตรงนี้ คุณผู้อ่าน Gen Y Gen Z ก็รู้แล้วว่า ความสุขที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการที่เรามีสิ่งของ มีเงินทอง  อำนาจชื่อเสียง มากมายเสมอไป อย่าไปติดหลุมพรางกับดักเหมือนผู้ใหญ่เค้า หากได้ฝึกปฏิบัติกับเคล็ดลับสร้างสุข ทั้ง 5 วิธีที่แนะนำไป ก็จะทำให้เรามีความสุขได้เลย ไม่ต้องรอให้ประสบความสำเร็จหรือรวยก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้ คุณมีความสุขแล้ว ก็จงภูมิใจได้เลยว่า คุณเป็นคนส่วนน้อยในสังคม ที่เดินมาถูกทาง

เผย 5 เทคนิค ปรับความคิด ชีวิตเป็นสุข

happymindset

มนุษย์เรานั้น จะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิด คิดดี ก็จะมีความสุข คิดไม่ดี จิตใจก็จะเป็นทุกข์ เชื่อไหมว่า แม้สถานการณ์ภายนอกจะไม่เปลี่ยนเลย แต่หากเราสามารถปรับความคิดได้ ความสุขก็จะเกิดขึ้นในทันที

ฉะนั้นแล้ว จะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถฝึกความคิดตัวเอง ให้โฟกัสหรือจดจ่อในสิ่งที่ดีๆได้ เพราะมันจะทำให้เราพบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ ในขณะที่คนคิดแง่ลบ ก็จะเจอแต่เรื่องแย่ๆในชีวิตทุกวัน

ต่อไปนี้เป็น “5 เทคนิค ปรับความคิด ชีวิตเป็นสุข” ที่เรารวบรวมมาให้ท่านได้ลองใช้กัน

1.รู้เท่าทันความคิด

ไม่ปล่อยให้ความคิด ล่องลอยไปมาบ่อยๆ คนเรา ถ้าไม่เคยสังเกตดูความคิดของตัวเองแล้ว ก็จะไม่รู้ได้เลยว่า วันหนึ่งๆนั้น ความคิดเรา เกิดขึ้นมา และดับไป มากมายขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็น คิดเรื่องงาน เรื่องแฟน เรื่องเงิน หรือเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกมากมายสารพัด เชื่อหรือไม่ ความคิดกว่า 90% ในแต่ละวัน ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้เราเลย บางครั้งกลับจะทำร้ายเราเสียด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเรารู้เท่าทันความคิดได้แล้ว จะทำให้เรามีสติอยู่กับตัวเองมากขึ้น และเราจะรู้ตัวตลอด ว่าตอนนี้เรากำลังคิดอะไรอยู่ หรือกำลังจะทำอะไรต่อไป ไม่เชื่อ ท่านก็ลองสังเกตความคิดของตัวเองดูสิครับ แล้วท่านจะรู้เลยว่า ที่ท่านทุกข์ หรือหาความสุขไม่ได้อยู่นั้น ที่แท้ก็มาจากสิ่งที่ท่าน เป็นคนคิดมันขึ้นมา ทั้งนั้นเอง

Tips: ลองนั่งเงียบๆสักวันละ 5-10 นาที โดยไม่ต้องทำอะไร เพียงแต่ใช้ฝึก “รู้สึกตัว” เพื่อสังเกตความคิดของตัวเอง ความคิดเกิดขึ้นอย่างเป็นอัตโนมัติ มันจะแปรเปลี่ยนไปอยู่แล้วตามธรรมชาติ ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องไปบังคับมัน เพียงแต่ให้เรา “รู้เท่าทัน” ก็พอ

2.อย่าประมาทความคิด

ก็แค่คิดเฉยๆ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ผิดหรอก นี่เป็นสิ่งที่หลายๆท่านเคยทำ หรือกำลังทำอยู่ แต่ขอให้ท่านระวังเรื่องนี้ ไว้สักหน่อยก็ดีนะครับ เพราะเมื่อคนเรา คิดเรื่องใดซ้ำๆในทุกๆวัน บางที่ อาจจะเผลอทำสิ่งที่คิดลงไป โดยที่เราไม่ทันระวังตัวก็เป็นได้ ถ้าเป็นเรื่องที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงแล้ว ท่านจะพบกับความเสียใจอย่างแน่นอนที่สุด เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าประมาทกับความคิดกันนะครับ แม้มันจะเป็นแค่เพียง ความคิดเฉยๆก็ตาม

Tips: หากเมื่อไหร่รู้สึกตัวว่ามีความคิดที่ไม่ดีต่อคนอื่น ขอให้มองเข้าไปให้ลึกว่า เรารู้สึกอย่างไร และต้องการอะไรจากเรื่องนี้กันแน่ ทำความเข้าใจตัวเองด้วยเหตุผล และปรับความคิดให้เป็นกลาง ก่อนที่มันจะกลายเป็นการกระทำที่เราอาจต้องมาเสียใจทีหลังนะครับ

3.อยากเป็นคนแบบไหน ให้คิดเหมือนคนแบบนั้น

พลังของความคิดนั้น มีมากจนบางทีเราก็คาดไม่ถึงเลยทีเดียวนะครับ ยกตัวอย่างเช่น ผมเคยอยากลดน้ำหนัก แต่ทำอย่างไรก็ลดไม่ได้สักที ใช้หลายวิธี แม้จะลดลงไปบ้าง แต่ในที่สุดน้ำหนักก็จะกลับมาเท่าเดิม ผมก็เลยลองมาสังเกตตัวเอง ว่ามีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่อง “การกิน”

ผมพบว่า แนวความคิดในการกิน คือ “กินอย่าให้เหลือ เพราะเสียดายของ” ซึ่งคนที่คิดแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็น “คนอ้วน” ครับ นิสัยของผม เมื่อไปกินข้าวกับใคร ถ้าเห็นอาหารเหลือในจานกลาง ผมก็จะเก็บกวาดจนเกลี้ยงจาน เมื่อมีวิธีคิดแบบคนอ้วน จึงไม่แปลกเลยที่ผมอ้วน พอรู้แบบนี้ ผมเลยลองไปคุยกับคนผอม คนใกล้ตัวในบ้านที่ผอมก็คือ คุณยาย ซึ่งแนวคิดในการกินของคุณยายคือ “กินแค่พออิ่ม เหลือก็เก็บไว้มื้อต่อไป” พอผมเปลี่ยนแนวคิดเป็นแบบคุณยาย กินแค่พออิ่ม ไม่ได้กินให้อิ่มจนจุก ไม่นานนัก น้ำหนักผมก็ค่อยๆลดลงอย่างมาก แถมประหยัดเงินด้วย

Tips: หากเรายังมีนิสัยไม่ดีที่ยังแก้ไม่ได้ เป็นไปได้ว่าเรามีแนวคิดที่ไม่โอเค ขอให้สำรวจแนวคิดนั้นว่ามันทำลายตัวเราอย่างไร ตั้งเป้าหมายที่เราต้องการ แล้วไปค้นหาแนวคิดที่ส่งเสริมเป้าหมายนั้นจากคนอื่นๆมา จำไว้ว่า “อยากเป็นคนแบบไหน ต้องรู้จักคิดให้เหมือนกับคนแบบนั้น”

4.อยู่ในสังคมแบบไหน ก็เป็นคนแบบนั้น

สังคม สถานที่ หรือสภาพแวดล้อมต่างๆ เป็นสิ่งหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างสูง ต่อคนที่อยู่ในสถานที่ หรือสภาพแวดล้อมนั้นๆ มันจะหล่อหลอมเข้าไปอยู่ในตัวคนๆนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว เพราะต้องใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นทุกวันๆ จนกลายเป็นนิสัยหนึ่งของชีวิตเขาไปแล้ว

คนเราจะถูกดึงดูดให้ไปเจอกันคนประเภทเดียวกันเสมอ แม้ว่าตอนแรกเราจะไม่ได้เป็นคนแบบนั้น แต่ถ้าหากคลุกคลีกับคนแบบใดแบบหนึ่งนานๆ ก็มีแนวโน้มที่เราจะเอนเอียง ไปคิด ชอบ ทำ ในรูปแบบนั้นเช่นกัน ถ้าใครอยากมีความสุข แต่กลับไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนที่ชอบนั่งเม้าท์นินทา หรือตามดูเพจดราม่าเป็นประจำ แบบนี้จะหาความสุขได้จริงหรือ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเราอยากมีความคิดที่ดี ก็ต้องหาจุดเริ่มต้นที่ดี ให้กับตัวเราเอง เริ่มจากพาตัวเอง ไปอยู่ในสถานที่ หรือสภาพแวดล้อมที่ดีๆก่อนเลย

Tips: เคล็ดลับในการเปลี่ยนนิสัย ก็คือการเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ผู้คนที่คบ หรือการหาสังคมใหม่ๆ เช่น การไปเข้าสัมมนา เราจะเจอเพื่อนที่มีพลังงานดีๆ และแน่นอน เค้ามักจะนำพาโอกาสดีๆมาให้เราด้วย

5. มองปัญหา ให้เห็นเป็นโอกาส

คนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น เขาจะไม่มองปัญหาที่เกิดขึ้น ว่ามันเป็นปัญหาแบบที่เรามองกัน แต่เขาเหล่านั้นจะมองมันเป็นโอกาส ให้ได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ที่เขาคิดได้แบบนั้น เพราะว่าเขารู้จักที่จะคิด และได้แง่คิดเพราะผ่านล้มเหลวมาก่อนแล้ว คนเราถ้าไม่เคยได้ฝึกคิด หรือ ผ่านการคิดแบบนี้มาก่อนแล้วนั้น จะไม่สามารถคิดในแบบนี้ได้เลย ถ้าอยากประสบผลสำเร็จ จงหมั่นฝึกฝนความคิดของตัวเองทุกวันๆนะครับ “ฝึกมองปัญหา ให้เห็นเป็นโอกาส” แล้วท่านจะไม่กลัวปัญหา ที่จะเข้ามาในชีวิตของท่านอีกเลย เพราะทุกปัญหาที่ผ่านเข้ามานั้น มันจะกลายเป็นโอกาส ให้ท่านได้ก้าวข้ามไป เพื่อพบกับความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น ในอนาคตของท่านนั่นเอง

Tips: เมื่อเจอปัญหา หรือเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ให้เตือนตัวเองว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดีเสมอ” ในระยะสั้นอาจดูไม่โอเค แต่ในระยะยาว เรื่องนี้จะทำให้เราได้เรียนรู้ เติบโต และมีชีวิตที่ดีกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน

สุดท้าย ความสุขที่ได้จากการปรับความคิดที่ดีที่สุด ก็คือ การหยุดคิด เหมือนที่พุทธศาสนาสอนไว้เรื่องการปล่อยวาง การปล่อยวางก็คือ วางเฉย กับสิ่งต่างๆ หรือความคิด ที่เกิดขึ้นมา ณ ขณะนั้นๆ การรู้จักปล่อยวาง จะทำให้ใจเรา ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ท่านก็จะไม่เป็นทุกข์กับเรื่องอะไรเลย เพราะท่านจะไม่ยึดติดกับอะไร

การยึดติดนั้น คือ อยากให้ได้ อยากจะมี อยากให้เป็นดังใจเรา ยิ่งยึดมาก ยิ่งทุกข์มาก ซึ่งสิ่งที่ว่านี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด หากท่านทำได้แค่เพียงเล็กน้อย ท่านก็จะรับรู้ได้ทันทีเลยว่า ใจของท่านนั้น มีความสงบเพียงใด

ขอให้ทุกท่าน ได้ลองกลับไปพิจารณาฝึกจิต ฝึกความคิด ของตัวท่านดู ได้ผลดีประการใด อย่าลืมแชร์เทคนิคดีๆนี้ ให้กับเพื่อนๆ หรือคนที่ท่านรัก ด้วยนะครับ

บทความโดย Learning Hub Team

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save