4 วิถี สู่ความร่ำรวยที่แท้จริง

“ความรวย”  เป็นความใฝ่ฝันของผู้คนทั่วไป ซึ่งเริ่มจาก การได้ทำงานดีๆ มีเงินเดือนสูงๆ หรือมีธุรกิจของตนเอง จะได้มีเงินเยอะๆ เมื่อรวยแล้ว ชีวิตจะได้สบาย

แต่ว่า “คนรวยที่แท้จริง” ต้องมีเงินเท่าไหร่กัน ?

ในยุคปัจจุบัน “ความร่ำรวยที่แท้จริง” ไม่ได้วัดจาก “จำนวนเงินที่มี” แต่วัดจาก “อิสรภาพ” ที่ได้รับต่างหาก

ความรวย ที่คุณเข้าใจ “ยิ่งมีเงินมาก ก็จะยิ่งมีความสุขมาก” ใช่มั้ย ?

ในอดีต ความร่ำรวยอาจหมายถึง ผู้ที่ครอบครองเงิน หรือวัตถุที่มีค่าเป็นจำนวนมาก ความร่ำรวยของแต่ละคนวัดได้จาก การมีรถราคาแพงหรือไม่ มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน ได้ไปเที่ยวทริปหรูได้บ่อยเท่าใด การได้ครอบครองแบรนด์ชั้นนำและวัตถุหายาก มันสะท้อนถึงความร่ำรวยของคุณ แนวคิดแบบนี้ทำให้ผู้คนพยายาม ดิ้นรนไขว่คว้า สะสมครอบครอง เพื่อให้มีมากที่สุด

จนบางคนอาจไม่คำนึงถึง “วิธีการที่ได้มา”

มองเพียงแค่ “มูลค่าของสิ่งที่ครอบครอง”

แต่มันจะสร้างความสุขให้กับพวกเขาจริงๆหรือ ?

แน่นอนว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญและขาดไม่ได้ในโลกปัจจุบัน แต่หากลองพิจารณาดู เงินเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการมีชีวิตรอดของคนกลุ่มแรงงานที่มีรายได้น้อยเท่านั้น

ส่วนคนที่ “พอมีอันจะกิน” ซึ่งเป็นประชากรที่มีการศึกษา เงินถูกใช้เพื่อสร้างความสนุกสนาน ความสะดวกสบาย ที่อาจเกินความจำเป็น เช่น การแสดงความหรูหราเพื่อเข้าสังคมและเรียกร้องการยอมรับจากผู้อื่น ใช่หรือไม่

เปรียบเทียบให้ภาพเห็นตัวอย่างง่ายๆ หากในวัยเริ่มทำงาน คุณสามารถเก็บเงินจนซื้อรถคันแรกได้ นั่นย่อมสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมากให้กับชีวิต เพราะคุณไม่ต้องไปยืนเบียดร้อนบนรถเมล์ ไม่ต้องดมควันกลางถนนบนมอเตอร์ไซด์ และสามารถขับรถของคุณเองไปได้ในทุกที่ๆต้องการ  ไปทำงาน ไปเจอเพื่อน ไปปาร์ตี้ยามค่ำคืนโดยไม่ต้องกลัวอันตราย แบบนี้ย่อมสร้างความสุขให้คุณอย่างมาก

เมื่อได้เลื่อนตำแหน่ง คุณจึงซื้อ รถคันที่ 2 ที่หรูกว่าเดิม ลองเปรียบเทียบความสุขตอนที่ได้รถคันใหม่นี้ เทียบกับตอนมีรถคันแรก อย่างไหนมีมากกว่ากัน

และหากซื้อ รถคันที่ 3 ตอนมีลูก ก็คงแทบไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรแล้ว

รถคันที่ 4 ที่ซื้อมา คงต้องเริ่มคิดว่าจะหาที่จอดที่ไหน

ส่วนรถคันที่ 5  อาจทำให้ต้องจ้างคนมาล้างรถเพิ่มอีกคน

 

ลองพิจารณาว่าที่ผ่านมา คุณมีที่สิ่งที่ซื้อมาได้ใช้เพียงแค่หนเดียวแล้วก็เก็บ มากแค่ไหน ?

คุณมีสิ่งที่ซื้อมาเป็นปีแล้ว ยังไม่เคยแกะห่อออกมาใช้เลย บ้างหรือไม่ ?

คุณได้ออกไปหาซื้อของ แล้วมาพบทีหลังว่าคุณมีสิ่งนั้นอยู่แล้ว บ่อยแค่ไหน ?

คุณต้องทิ้งของกินดีๆที่หมดอายุ เพราะคุณซื้อไว้แล้วหลงลืมหรือกินไม่หมด ไปเยอะมั้ย ?

ทุกครั้งที่ซื้อของชิ้นใหม่ คุณมีความสุขอยู่กับมันได้นานเพียงใด ?

หากทุกคนใช้ชีวิตแบบนี้ ยิ่งผลิตมากทรัพยากรธรรมชาติจะยิ่งร่อยหรอ สิ่งของจะกองทับถม มลพิษจะเกินควบคุม ขยะจะล้นโลกดังนั้นการมีสิ่งของมากๆก็อาจลดความสุขของเราไปได้

จะเห็นได้ว่า หากเราอยู่ในกลุ่มคนที่พอมีอันจะกิน เงินและสิ่งของที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่ปัจจัยที่จะ “เพิ่มความสุข” ได้มากเท่าไหร่เลย

แล้วความสุขจริงๆอยู่ที่ไหนล่ะ

 


ความร่ำรวยที่แท้จริง “4 วิถี สู่อิสรภาพ”

คงถึงเวลาทบทวนแล้วว่า โลกนี้กำลังต้องการแนวคิดของ “ความร่ำรวย” ในรูปแบบใหม่หรือเปล่า คนที่มี “ความร่ำรวยที่แท้จริง” อาจดูได้จาก 4 วิถีการใช้ชีวิต ดังนี้

 

1. ความร่ำรวย ทางอารมณ์

คนรวยที่แท้จริง คือคนที่ “ไร้ความกังวลในเรื่องเงิน” เขาสามารถควบคุมอารมณ์ภายในให้สดใสเบิกบานได้ การที่เขามีอารมณ์ดีเป็นประจำ ก็จะทำให้พบแต่ประสบการณ์ดีๆในชีวิต

ไม่จำเป็นต้องรวยร้อยล้านพันล้าน ถึงจะปราศจากความกังวลในเรื่องเงิน ขอเพียงรู้จักบริหารเงินให้มีเหลือใช้ในทุกเดือน ไม่ยึดติดกับวัตถุภายนอกที่อาจสูญเสียไปเมื่อไหร่ก็ได้ รู้จักพึ่งพาตัวเองมากกว่าพึ่งพาคนอื่น

เมื่อมี “ความร่ำรวยทางอารมณ์” ก็จะไม่ขี้กลัว ไม่หงุดหงิดจิตตก ไม่ห่อเหี่ยวนานๆ จะมีความชัดเจนในชีวิต มีแรงบันดาลใจ มีความคิดสร้างสรรค์ มีพลังข้างในที่ผลักดันในตัวเองอยู่เสมอ และมีประสิทธิภาพในการทำงานให้สำเร็จได้อย่างสูง

 

2. ความร่ำรวย ด้านเวลา

เวลาคือสิ่งที่มี “ราคา” มากที่สุด เพราะชีวิตมีวันหมดอายุ จึงไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับเวลาที่หมดไปแต่ละปีๆ หากเราไม่ใช้ชีวิตที่เราเลือก เราก็กำลังผลาญเวลาในชีวิตของตัวเองลงไปเปล่าๆ

คนที่ร่ำรวยอย่างแท้จริง สามารถเลือกวิถีชีวิตที่สามารถเป็นผู้กำหนดตารางเวลาของตัวเองได้ ว่าจะตื่นกี่โมง ทำงานกี่โมง พักผ่อนเมื่อไหร่

ไม่ต้องให้คนอื่นเป็นผู้กำหนด ไม่ต้องตื่นเช้าฝ่ารถติดบนถนน ไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนเพื่อไปพักผ่อนในวันหยุดยาว

เมื่อมี “ความร่ำรวยด้านเวลา” ทำให้เค้าใช้เวลาอย่างคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นได้มากที่สุด

 

3. ความร่ำรวย ไม่จำกัดด้วยสถานที่

คนรวยที่แท้จริง สามารถจะอาศัยอยู่ที่ใดก็ได้ หรือเดินทางเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ ไม่จำเป็นจะต้องมีเงินมากมายที่จะใช้ในการเดินทางท่องเที่ยว แต่เป็นเพราะพวกเค้ามีเวลา มีพลังเหลือเฟือ จึงสามารถเลือกที่จะเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆได้

พวกเค้าเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง จึงสามารถทำงาน ใช้ชีวิตและพักผ่อนได้ทุกที่ และทุกเวลา

เมื่อมี “ความร่ำรวย ที่ไม่จำกัดด้วยสถานที่” ทำให้เค้าได้รู้จักออกไปใช้ชีวิต พบปะผู้คน ไม่ต้องทนอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ ได้มีโอกาสพบเห็นสิ่งแปลกใหม่ๆ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตอันหลากหลายในโลก เป็นอิสรภาพที่เค้ากำหนดได้ด้วยตัวเอง

 

4. ความร่ำรวย ในการให้

สุดยอดตัวชี้วัดของการเป็นคนรวยที่แท้จริงคือ “ความสามารถในการให้และแบ่งปัน” ไม่ว่าจะเป็นการให้เวลา ให้แรงงาน ให้เงิน หรือแบ่งปันความสุขที่มีแผ่กระจายไปสู่ผู้คนรอบๆตัว คนที่มั่งคั่งนั้นเป็นผู้เหลือเฟือที่จะให้ ไม่จำเป็นว่าเค้าต้องมีเงินมากมาย เพียงแต่ว่ามันมากพอที่จะแบ่งปันออกไปได้ แม้บางคนมีมากมายก็ยังไม่สามารถให้คนอื่นรได้ เพราะลึกๆแล้วในจิตใจ เค้ายังรู้สึกว่ามีไม่พอนั่นเอง

เมื่อมีความมั่งคั่งในการให้ ย่อมจะเติมเต็มคุณค่าและความหมายในชีวิต เค้าจะรู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งของตัวเองอย่างแท้จริง โดยที่ไม่ได้วัดจากจำนวนเงินที่มีหรือมูลค่าสิ่งของที่ครอบครองอย่างใดเลย

 

คนที่ร่ำรวยไม่ว่าจะมีเงินกี่ร้อยล้านพันล้าน ทั้งชีวิตของเขา อาจเข้าไม่ถึงความรู้สึกมั่งคั่งร่ำรวยเลยก็เป็นได้

เพราะความร่ำรวยที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องมีเงินมากมาย ก็สามารถเข้าถึงวิถีชีวิตทั้ง 4 มิตินี้ได้

เพียงแต่ต้องอาศัยการรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้

มีไลฟ์สไตล์ที่พอเพียง

มีทักษะที่หลากหลาย

และมีความกล้าคิด กล้าทำ นอกกรอบ

สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณเข้าถึงคำว่า “ความร่ำรวยที่แท้จริง”

และมันจะนำพามาซึ่งความสุข และความร่ำรวยเงินทองไปพร้อมๆกัน อย่างที่คุณนึกไม่ถึงทีเดียว

 แม้วันนี้เราอาจยังทำได้ไม่ครบทั้ง 4 ด้าน แต่ขอให้กำลังใจว่า

หากทำได้สักหนึ่งข้อ ส่วนที่เหลือจะทยอยเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เพราะการเดินไปถูกทิศและไม่หลงทาง ไม่ช้าไม่นานเราจะถึงปลายทางได้อย่างแน่นอน

แนวคิดจากหนังสือ  The New Meaning of Rich: Four Principles of Wealth That Will Change Your Life by Evan Tarver

เรียบเรียงโดย เรือรบ

3 เคล็ดวิชา สะสมความเก๋า สำหรับฟรีแลนซ์มือใหม่

ในยุคนี้ กระแสของการเป็น Freelance หรือการทำงานอิสระ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่ไฟแรงเมื่อเรียนจบมา มักอยากเป็นนายตนเอง อยากเป็นเจ้าของธุรกิจโดยเร็ว เพราะเห็นว่างานไม่ประจำทำเงินกว่า พอเห็นเทรนด์อะไรน่าทำก็กระโจนเข้าใส่ตามๆกัน เพราะคิดว่าเรียนมาเยอะ ความรู้ระดับปริญญาคงเป็นอาวุธที่ดีได้ แต่หากทำไปด้วยความคิดว่าจะได้อย่างเดียว ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินเก็บของตัวเองทั้งหมดใน 3-5 ปีแรก

เมื่ออาวุธเดิมที่มีใช้ไม่ได้ผล จึงเกิดกระแสที่สอง คือ การเข้าสัมมนาฝึกอบรม เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ทันสมัยต่อยอด และอาจได้แถมเคล็ดลับดีๆมาช่วยเร่งผลลัพธ์ให้ความสำเร็จนั้นง่ายขึ้น จึงเกิดการตื่นตัวเห็นคนรุ่นใหม่นิยมไปเข้าสัมมนาอบรม บางคนก็หมดเงินไปมากมาย แลกกับสิ่งที่ได้มาคือความรู้ที่ท่วมท้นไปหมด แต่กลับไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ในชีวิตได้อย่างที่ต้องการ  นั่นเป็นเพราะอะไร ?

learning pyramid

เครดิตภาพจาก https://dribbble.com/shots/1442129-Learning-Pyramid-Infographic

 

จากภาพ “ปิรามิดแห่งการเรียนรู้” ทำให้เห็นว่าการเรียนในห้องเรียน จะไม่สามารถทำให้ความรู้ถูกจดจำหรือคงอยู่ได้นาน ไม่ว่าจะเป็นการฟังบรรยาย การอ่าน การดูคลิป ดูการสาธิต เพราะการเรียนรู้เหล่านั้นเป็นเพียง “ความรู้มือสอง” เท่านั้น

ในชีวิตจริง ความรู้กว่า 90% ที่เรียนมา อาจจะไม่ถูกนำไปใช้เลย ไม่นานเราจึงลืมไปหมด จากแผนภาพนี้ เมื่อได้เรียนอะไรมาก็ตาม สิ่งแรกที่ควรทำคือ การนำไปฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง และนำไปสอนผู้อื่นต่อ เพื่อให้ความรู้นั้นฝังลงไปในตัวเราอย่างแท้จริง

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราต้องการ เพื่อที่จะก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในชีวิตก็คือ “ทักษะ” ซึ่งจะเป็น “ความรู้มือหนึ่ง” ที่มาจากตัวเรานั่นเอง

คำถามต่อมา ในบรรดาความรู้และทักษะอันมากมาย อะไรคือทักษะสำคัญ ที่เราต้องการในการทำงานและทำธุรกิจ ?

 

“ความเก๋า” คือ ทักษะขั้นเทพ ที่จะสร้างความสำเร็จให้กับการงานและธุรกิจ

แม้เราจะฉลาดแค่ไหน มีความรู้ระดับอัจฉริยะ กวาดปริญญามาไม่ว่ากี่ใบ ก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จในชีวิต เพราะความรู้ในระบบการศึกษา อาจให้ในเรื่องของ เทคนิค วิธีการในการทำงาน แต่สิ่งที่ไม่มีโรงเรียนใดที่สอนได้คือ “ความเก๋า”

“ความเก๋า” นั้นมาจากประสบการณ์เชิงลึก เป็นองค์ความรู้ที่ถูกถ่ายทอดและสั่งสมมาอย่างยาวนาน เฉพาะคนที่คร่ำหวอดในวงการทำงานนั้นๆเท่านั้น ที่เรียกว่า Tacit Knowledge หรือความรู้ฝังลึก และคงจะไม่สามารถถ่ายทอดออกเป็นเสต็ปขั้นตอนได้ง่ายๆ หรือเล่าให้ใครฟังได้ในวันสองวัน

ในฐานะมือใหม่ เราควรที่จะเรียนรู้กับ “คนเก๋า” ที่เป็นนักปฏิบัติจริงด้วย ไม่ใช่เชื่อถือแต่ “นักคิด” หรือคนที่มีหลักการดีทางทฤษฎีอย่างเดียว

คนที่เก๋าไม่ใช่คนอัจริยะ ไม่ใช่ว่าผิดไม่เป็น แต่ทุกครั้งที่ตัดสินใจผิดพลาด แม้จะถึงขั้นต้องล้มลงไป ด้วยเวลาเพียงไม่นาน กลับมายืนหยัดได้ใหม่เสมอ และเค้าพร้อมที่จะเรียนรู้ที่จะไม่ผิดซ้ำสอง และการยืนขึ้นมาครั้งใหม่ก็จะแกร่งกว่าเดิม เป็นเพราะเค้าไม่ยึดติดกับแบบแผนเดิมๆ แต่ให้ความสำคัญกับการปรับตัวมากกว่า ดังนั้น “คนเก่าแก่” ก็อาจไม่ใช่คนเก๋าเสมอไป จากนิยามนี้

อาจเป็นการยากสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่จะสะสมประสบการณ์และความเก๋าด้วยเวลาอันสั้น แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำสำหรับใครก็ตาม ที่อยากจะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในธุรกิจหรืองานที่ตนเองสนใจ

ก่อนจะออกท่องยุทธภพ ลองใช้  3 เคล็ดวิชาต่อไปนี้เพื่อ “สะสมความเก๋า” ด้วยความรวดเร็ว มันอาจย่นย่อระยะเวลาการเรียนรู้ ลดความผิดพลาด และป้องกันความล้มเหลวและความสูญเสียสำหรับมือใหม่ได้เป็นอย่างดี

1. หาโอกาส ไม่ใช่หางาน

สำหรับคนที่กำลังอยู่ในวัยค้นหาตนเอง อย่าเพิ่งไปตกหลุมกับงานที่ให้รายได้ดีๆ ให้ลองตรวจสอบความรักและความถนัดของตัวเองก่อน เมื่อเรารู้ว่าเราอยากทำงานอะไรในชีวิตข้างหน้า แม้ว่าเราจะไม่มีความรู้ ไม่มีทุน แต่เมื่อเรามองหา เราจะมองเห็นโอกาสแน่นอน

หลายคนที่ทำอะไรตามกระแส เห็นเค้าทำแล้วรวย ก็อยากรวยบ้าง จะไม่สามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากของวงจรธุรกิจไปได้ เมื่อเลิกล้ม ก็คือความล้มเหลว

การที่เราเลือกทำสิ่งที่รักและถนัด จะทำให้เราอยู่กับงานนั้นได้นาน แม้ว่าอาจจะยังมองไม่เห็นความสำเร็จอันใกล้ เราก็จะไม่ท้อแท้หรือเลิกไปซะก่อน นั่นแหละจุดเริ่มแห่งความสำเร็จ

2. ถ้าหาโอกาสไม่ได้ ก็สร้างมันซะ

หลายๆครั้ง โอกาสก็ไม่ได้หาง่ายๆ แต่เราอาจจะ “สร้างโอกาส” ขึ้นได้ด้วยตัวเอง ลองเสนอตัว “ทำฟรี” ดูบ้าง ของฟรีใครก็ชอบ ปฏิเสธยากเพราะมีแต่ได้ไม่มีเสีย ดังนั้นหากเราเอาแรงและเอาเวลาบางส่วนเข้าแลก เราจะได้โอกาสนั้นโดยไม่ยาก

นักธุรกิจระดับโลกหลายคน เริ่มต้นชีวิตด้วยการเข้าไปของานค่าตัวถูกๆทำ เพื่อเรียนรู้กลยุทธ์ธุรกิจแบบอินไซด์จากมือเก๋า แล้วเขาก็จะขยันและตั้งใจทำอย่างเต็มที่สุดความสามารถ เพื่อเรียนรู้ให้มากที่สุด

เมื่ออยู่ในธุรกิจนั้นแล้ว ถึงจะเริ่มมองเห็นจุดแข็งจุดอ่อน ซึ่งก่อนนี้มองไม่เห็น แล้วจึงค่อยออกมาเริ่มธุรกิจของตนเอง ทำให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว การที่เราเข้าไปสัมผัสธุรกิจนั้นจริงๆ ก็อาจจะบอกได้ว่า จริงๆแล้วเราไม่ได้ชอบ หรือไม่ได้สนใจมันจริงๆก็เป็นได้ แบบนี้ถ้าจะเลิกหรือถอยออกมาก็ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะเรายังไม่ได้ลงทุนอะไรไป

อยากประสบความสำเร็จในธุรกิจอะไร อย่าเพียงวิเคราะห์จากภาพภายนอกที่เห็น แล้วรีบทุ่มเทเงินลงทุนกระโจนไปเพียงเพื่อลองทำ

แต่จงแอบเข้าไปทำก่อน เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง และจากคนที่อยู่ในธุรกิจนั้นๆ นั่นจึงเป็นการสะสม “ความรู้มือหนึ่ง” อย่างแท้จริง

3.เรียนรู้จากยอดฝีมือเท่านั้น

ความเก๋าที่เราต้องการ คงไม่ใช่มาจากใครก็ได้ หากจะย่นย่อความสำเร็จ จาก 20 ปีให้เหลือสัก 5 ปี ดังนั้น จงใช้เวลาในการค้นหาอาจารย์ และต้องเลือกเฟ้นหายอดฝีมือในตำนานคนนั้นให้เจอ เมื่อเจอแล้วให้คิดอุทิศตัวสัก 3 ปี ไปฝากตัวเป็นศิษย์ก้นกุฏิ สะสมเคล็ดวิชาความเก๋าระดับเทพเข้ามาไว้ในตนเอง

การที่เป็นศิษย์มีครู หากขยัน ซื่อสัตย์ อดทน มักจะได้รับโอกาสดีๆจากครูเสมอ ทั้งคอนเนคชั่นและสายสัมพันธ์ที่อาจารย์ได้สั่งสมมา จะเป็นฐานต่อยอดงานของเราได้อย่างดี แล้วโอกาสใหญ่ๆ ก็จะเข้ามาโดยไม่คาดหมาย เผลอๆจะได้แจ้งเกิดเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปโดยไม่ได้ตั้งตัว

อย่าคิดว่าการเรียนรู้ คือการอ่านหนังสือ หรือไปอบรมอย่างเดียว แต่การเข้าไปขลุกหรือคลุกคลีกับคนเก่งในธุรกิจ เราจะได้รับการถ่ายทอดสิ่งที่ไม่ได้บอกไว้ในตำรา

จนกระทั่งเราได้ประสบการณ์ที่ตกผลึกมาเอง และนี่ต่างหากที่เรียกว่า “เคล็ดลับ” ที่แท้จริง

 บทความโดย เรือรบ 

4 ขั้นตอน สร้างนิสัยแห่งความสำเร็จ ที่จะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งคุณได้

4step2success

บ่อยครั้งแค่ไหน ที่คุณคิดจะ “ลงมือทำ” อะไรใหม่ๆ  แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกไปในเวลาอันสั้น นั่นเป็นเพราะอะไร ?

อุปสรรคที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากไหน ล้วนมาจากอารมณ์และความคิดของเราเองทั้งสิ้น ซึ่งได้แก่ 3 สาเหตุหลัก นั่นก็คือ “ข้ออ้าง ความกลัว และความไม่มั่นใจ”

ซึ่งเหตุผลและอารมณ์เหล่านี้ ล้วนมาจากอิทธิพลของ สมองส่วนหลัง (Limbic System) ทั้งสิ้น อันเป็นจิตใต้สำนึกจากสัญชาตญาณดั้งเดิม ที่ต้องการปกป้องเราให้รู้สึกมั่นคงปลอดภัยนั่นเอง

หากเราต้องการสร้างผลลัพธ์และจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ คงต้องเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นชิน และมีอุปนิสัยแห่งการลงมือทำอย่างต่อเนื่องได้ แต่การเอาชนะสมองส่วนหลังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เราต่างก็รู้ดี ว่ากี่ครั้งแล้วที่เราพยายามตื่นให้เช้าขึ้น กี่หนที่อยากลดน้ำหนักให้ได้สักหน่อย นิสัยพฤติกรรมอันเคยชิน ที่เราก็รู้ว่ามันไม่ดีต่อตัวเอง ต่อสุขภาพ ต่อคนรอบกาย เราก็ยังคงทำมันอยู่อย่างจำใจ รู้สึกผิดไปก็แป๊บเดียว เราไม่เคยรอดจากการเป็นทาสของสมองส่วนหลังเลย นี่ใช่ไหม บ่อเกิดของความล้มเหลวในชีวิต

หากเราต้องการก้าวข้ามพฤติกรรมเดิมๆ ที่หยุดยั้งความสำเร็จในชีวิต เราต้องฝึกกระตุ้น สมองส่วนหน้า (Pre-Frontal Cortex) ซึ่งเป็นควบคุมกลไกของการคิดวางแผน วิเคราะห์แยกแยะ และจินตนาการ ให้ทำงานได้มากขึ้น จนเอาชนะสมองส่วนหลังได้ในที่สุด โดยใช้  4 ขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้

1. รับรู้อย่างที่เป็น

ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เบื่อเซ็ง ความขี้เกียจ เหตุผลต่างๆที่อธิบายว่าเราทำไมได้ สิ่งต่างๆที่ผุดขึ้นมานั้นไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นเรื่องราวที่เรามักคิดปรุงแต่งขึ้นมาเพื่อเข้าข้างตัวเองเท่านั้น

ให้เรารับรู้ความรู้สึกและอารมณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้นอย่างที่เป็น เพียงแค่รับรู้ โดยที่ไม่ต้องพยายามหักล้าง ไม่ต้องสร้างเหตุผลข่มทับเพื่อเอาชนะ หรือหลีกเลี่ยงไปทำอย่างอื่นแทน

การไม่ต่อต้าน จะทำให้สมองส่วนหลัง หยุดผลิตความคิดและอารมณ์มาควบคุมเรา

 

2.ใคร่ครวญถึงเป้าหมาย

ลองเขียนเป้าหมายที่เราต้องการลงในกระดาษ และถามตัวเองว่า เราต้องการมันจริงไหม ด้วยเหตุผลใด มันสำคัญ หรือจำเป็นกับเราอย่างไร ?

ณ จุดนี้ สมองส่วนหน้าจะเริ่มติดเครื่องทำงานเบาๆ และมีพลังเหนือกว่าสมองส่วนหลังแล้ว

 

3. ใช้จินตนาการ

ตั้งคำถามกับตัวเองว่า หากเราได้บรรลุเป้าหมายนั้น ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปอย่างไร มีสิ่งดีๆอะไรบ้างที่จะเกิดขึ้น ?

การใช้จินตนาการถึงภาพความสำเร็จ  ทำให้สมองส่วนหน้าได้ออกแรงทำงานได้เต็มที่

สมองส่วนหน้าจะสร้างอารมณ์แห่งความปีติยินดี มีความกระตือรือร้น เบิกบาน เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ ทำให้เกิดพลังที่จะลุกออกไปทำอะไรใหม่ๆอย่างที่ต้องการได้ไม่ยากนัก

 

แต่ช้าก่อน ! เทคนิคเพียงเท่านี้อาจไม่สำเร็จเสมอไป

บางครั้งขณะที่กำลังจินตนาการเรื่องดีๆ  สมองส่วนหลังก็พลันตื่นขึ้นมา แล้วลากเราให้จมลงไปในก้นเหวอีก

จึงต้องใช้ขั้นตอนสุดท้ายต่อไปนี้

 

4. สร้างฝันร้าย

ให้ลองตั้งคำถามใหม่ว่า ถ้าเราไม่ทำสิ่งที่ตั้งใจนี้ แล้วยังกลับไปทำแบบเดิมๆอยู่ต่อไปเรื่อยๆ “สิ่งที่เลวร้ายที่สุด” ที่จะเกิดขึ้นได้คืออะไร

ผลกระทบกับชีวิตในอนาคตจะเป็นอย่างไร ?

ชีวิตเราจะแย่แค่ไหน ?

หลังจากนั้น เราจะเริ่มเห็นภาพความหดหู่ จะเกิดอารมณ์เศร้า ท้อแท้ และสุดท้ายกลายเป็น “ความกลัว” เมื่อกลัวจนถึงจุดหนึ่ง เราจะเริ่มทนอยู่แบบเดิมไม่ได้ แล้วเราก็จะออกไปทำสิ่งใหม่ๆให้พ้นจากภาวะแบบนี้เองในที่สุด

( สมองส่วนหลังเมื่อสัมผัสความกลัวมากๆเข้า ก็จะเกิดกลไกการปกป้องตัวเอง ให้เราเกิดอารมณ์ลนลาน ลุกออกมาทำอะไรบางอย่างได้ทันทีเช่นกัน เป็นการใช้ความกลัวที่สมองส่วนหลังคุ้นเคย เปลี่ยนเป็นแรงผลักดัน เหมือนสำนวนที่ว่า ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา นั่นเอง ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่แนะนำให้ใช้เทคนิคสุดท้าย เพราะมันไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ ที่จะลุกไปทำอะไรๆเพราะความกลัว ไว้ใช้เมื่อคราวที่ทำเทคนิค 3 ข้อแรกแล้วไม่ได้ผลก็พอครับ)

“สมองมนุษย์ เป็นเครื่องจักรผลิตเหตุผล” และเหตุผลส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเลย ดังนั้นเทคนิค 4 ขั้นตอนนี้ จะทำให้สมองของเรา “ผลิตเหตุผลใหม่ๆ” ที่มุ่งสู่เป้าหมายและผลลัพธ์ ให้เราสามารถลุกออกไปทำอะไรที่ไม่คุ้นชิน ก้าวข้ามออกจากเขตปลอดภัย ไปลองผิดลองถูก ได้รับบทเรียน ได้แก้ไขปรับปรุง ได้เรียนรู้และพัฒนา จนเป็นคนที่เก่งขึ้น ดีกว่าเดิม มีผลลัพธ์ที่แตกต่าง

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อาจจะดูทำยาก และเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นให้ลองเริ่มจากเรื่องง่ายๆใกล้ๆตัว เช่น เริ่มฝึกเขียนบันทึกประจำวัน 5-10 นาทีก่อนนอน ออกวิ่งจ้อกกิ้งสัก 15 นาทีทุกวัน หรือตื่นเช้าขึ้นสักครึ่งชั่วโมง เมื่อสมองคุ้นเคยกับการออกจากหลุมสบายแล้วล่ะก็ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คงตามมาในไม่ช้า ใครมีวิธีอื่นๆในการกระตุ้นตัวเองเพื่อสร้างนิสัยแห่งความสำเร็จ เชิญเขียนแชร์ในคอมเม้นท์ข้างล่างได้เลยนะครับ

บทความโดย เรือรบ

กระตุ้น PASSION ง่ายๆ ใน 4 ขั้นตอน

13 03 2017

คุณ วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนสองรางวัลซีไรต์ จากผลงาน “ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน” และ “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน” เคยเขียนถึงประเด็น “ว่าด้วย PASSION” โดยยกตัวอย่าง บิล แบลส นักออกแบบเสื้อผ้าชาวอเมริกัน ผู้มีชื่อเสียงในโลกแฟชั่นฝั่งตะวันตก ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่า “คนทำงานแฟชั่น ต้องมี Passion ถ้าไม่มีเมื่อไหร่ ก็ควรเลิกทำ… ซึ่งถ้าวันไหนผมไม่มี Passion ผมก็จะไป…”

แล้ววันหนึ่งบิลก็ไป! เขาขายธุรกิจเสื้อผ้าที่ตนก่อร่างมาจนใหญ่โต และลาออกจากวงการ!

คุณวินทร์ เลียววาริณ อธิบายความหมายของ “Passion” ว่า “คือความกระตือรือร้น ความหลงใหล ความคลั่งไคล้ในงานที่ทำ เป็นไฟที่ขับเคลื่อนให้ผู้สร้างสรรค์งาน เดินหน้าอย่างเปี่ยมพลัง!”

พร้อมกันนั้น คุณวินทร์ยังเล่าถึง กิมย้ง นักเขียนนวนิยายจีนกำลังภายในชาวฮ่องกง ซึ่งเขียนนวนิยายเพียง 15 เรื่องในชีวิต กินช่วงเวลาเพียง 17 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 2498-2515) ก็ยุติบทบาทนักเขียนนวนิยาย… ทั้งที่ใครๆ ก็รู้ ว่าด้วยมันสมองของเขา ไม่ยากที่จะเขียนนิยายกำลังภายในอีกสัก 50 เรื่อง โดยรีไซเคิลจากงานเก่า เช่นที่ฮอลลีวู้ดปฏิบัติมานานนม และด้วยฝีมือของเขา งานย่อมไม่แย่แน่นอน

แต่สำหรับกิมย้ง “หากไม่มีอะไรใหม่กว่าสิ่งที่เคยสร้างสรรค์มา ก็อย่าเขียนดีกว่า!” ว่าแล้วเขาก็ยุติบทบาทการเขียนนิยายจีนกำลังภายในที่เขาเป็นหัวหอก แล้ว “ล้างมือในอ่างทองคำ” (สำนวนนิยายกำลังภายใน หมายถึง “ลาออกจากวงการ”)

คุณวินทร์สรุปปิดท้ายในบทความว่า…

“มีศิลปินไม่มากนักในโลกที่สามารถทำเช่นนั้นได้ บิล แบลส ขายธุรกิจของเขาไปเป็นเงิน 50 ล้านดอลล่าร์ (ประมาณ 1,650 ล้านบาท) ส่วนกิมย้ง เป็นนักเขียนชาวจีนที่รวยที่สุด ประมาณทรัพย์สินของเขาที่ได้มาจากการเขียนหนังสือ ไม่ต่ำกว่า 600 ล้านเหรียญฮ่องกง (ประมาณ 2,520 ล้านบาท) แต่ศิลปินไทยส่วนใหญ่ ต่อให้หมดไฟหมดแรง ก็ยังต้องลุกขึ้นมาทำงาน มิเช่นนั้นจะหมดลมหายใจด้วยความหิวโหย!”

จากบทความของคุณวินทร์ ทำให้นึกไปถึงสิ่งที่ จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์ เคยเขียนเกี่ยวกับ “การกระตุ้น PASSION ง่ายๆ ใน 4 ขั้นตอน” ซึ่งมีดังต่อไปนี้…

 

1. รู้จักนิสัยส่วนตัวอย่างแท้จริง

จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์ อธิบายว่า บนโลกใบนี้ ทุกคนล้วนแตกต่าง ไม่มีใครเหมือนกัน… บุคลิกของเราโดยธรรมชาติ อาจเป็นคนชอบความถูกต้อง รักความสงบสุข ไม่ใช่คนกระตือรือร้น หรือชอบแสดงออก ซึ่งไม่ว่าคุณจะมีบุคลิกแบบไหน ไม่ใช่ปัญหา ไม่มีถูก-ผิด เพียงแค่ต้องพิจารณาให้ชัดว่าเราเป็นคนแบบใด เพื่อนำมาปรับใช้

จอห์นเล่าถึง ชาร์ลี เวตเซล ผู้ร่วมเขียนหนังสือกับเขาหลายเล่ม ซึ่งมีลักษณะนิสัยไม่ชอบแสดงออก หรือตื่นเต้นในสิ่งที่สนใจจนออกนอกหน้า แต่เขาจะทำสิ่งต่างๆ ด้วยบุคลิกนิ่งๆ สงบ และเพียรพยายามอย่างยิ่ง… ในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา ทั้งสองเขียนหนังสือร่วมกันถึง 45 เล่ม ซึ่งคงเกิดขึ้นไม่ได้ หากเขาเป็นคนไม่มีความต่อเนื่อง… ถ้าคุณเป็นคนแบบเดียวกับชาร์ลี คุณย่อมสามารถใช้ความเพียรอย่างสม่ำเสมอที่มีอยู่ในตัว กระตุ้น Passion ให้ลุกโชน

กลับกัน หากคุณมีบุคลิกรักสนุก หรือชอบทำอะไรตามวิธีของตนเอง คุณมีแนวโน้มที่แสดงออกอย่างกระตือรือร้นในสิ่งที่คุณสนใจ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะหมดความสนใจได้อย่างรวดเร็ว เช่นกัน!

Passion จะร้อนแรง แต่ไม่คงทน… จอห์นยอมรับว่าเขาเป็นคนแบบนี้!

“ผมจะตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆ มาก แต่ก็จะเปลี่ยนความสนใจไปยังสิ่งอื่นอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากมีนิสัยแบบนี้ ก็ต้องเอามาคิดด้วยว่า ตัวเราเหมาะกับการทำงานประเภทใด ควรกระตุ้น Passion ในด้านใด”

จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์ เปรียบเทียบ Passion เหมือนการทำอาหาร เนื้อบางส่วน เช่น เนื้อที่ไม่มีมัน จะอร่อยที่สุด ก็ต่อเมื่อปรุงด้วยความร้อนสูง โดยใช้เวลาสั้นๆ แต่หากเป็นเนื้อติดมัน การปรุงย่อมต้องใช้ความร้อนต่ำ และเวลานาน… แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เราก็ปรุงอาหารให้อร่อยได้ เพียงแค่รู้ว่ากำลังปรุง “เนื้อแบบไหน” อยู่… เท่านั้น!

 

2. สังเกตเสมอ ว่าอะไรสำคัญสำหรับเรา

 

The Leadership Challenge คือหนังสือเกี่ยวกับผู้นำที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งในโลกทุกวันนี้ ผู้เขียนคือ เจมส์ คูเซส และ แบร์รี่ โพสเนอร์ ผู้เขียนถาม จอห์น เอช สแตนฟอร์ด ซึ่งเป็นพลตรีแห่งกองทัพสหรัฐฯ ว่า เขาพัฒนาผู้นำอย่างไร?

สแตนฟอร์ดตอบว่า “สำหรับผม ความลับที่ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ก็คือ จงมีความรักอยู่เสมอ การมีความรักในสิ่งที่ทำ จะส่งผลให้เรามีไฟจุดประกายให้คนอื่นๆ เกิด Passion ที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จมากกว่าปกติ ผู้ไม่มีความรัก จะไม่มีวันเข้าใจความตื่นเต้นนี้ ความรักจะทำให้เรามุ่งไปข้างหน้า และนำคนอื่นไปสู่ความสำเร็จ ผมไม่รู้ว่านอกจากพลังงานแห่งความรักแล้ว จะมีพลังงานอื่นที่ทำให้เรามีความสุข และรู้สึกดีได้มากกว่านี้อีกไหม”

สแตนฟอร์ดรู้สึกเสมอว่า ต้องรักษาความมุ่งมาดปรารถนาของตน ซึ่งก็คือ “การรักผู้อื่น” เอาไว้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถนำคนอื่นได้ แต่มีหลายคนทำเช่นนี้ไม่ได้ หลงลืมสิ่งที่มีความหมายต่อตนเอง ซึ่งในที่สุดก็ทำให้ Passion ของคนเหล่านั้นมอดดับลง

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มไม่รู้สึกถึง Passion ของตน… จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์ แนะนำว่า “ให้ย้อนถามตัวเอง ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญสำหรับคุณ และเหตุใดจึงอยากไล่ตามความฝันนั้นในตอนแรก ตราบเท่าที่คุณจำความรู้สึกถึงสิ่งนั้นได้ การรักษา Passion ให้คงอยู่ ก็จะเป็นเรื่องง่าย”

 

3. อย่ากังวล ถ้าคุณจะต่างจากคนอื่น

 

จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์ เล่าถึง ผู้ก่อตั้ง “เทย์เลอร์ กีตาร์” บริษัทผลิตเครื่องดนตรีที่ประสบความสำเร็จรายหนึ่งของโลก โดยเฉพาะชื่อเสียงในด้านการออกแบบเครื่องดนตรีใหม่ๆ ด้วยความรู้เกี่ยวกับกีตาร์ที่หาตัวจับยาก

บ็อบ เทย์เลอร์ เป็นคนที่แตกต่างจากเพื่อนๆ เด็กมัธยม กระทั่งตอนที่เข้าไปทำงานในร้านกีตาร์ “อเมริกัน ดรีม” เมื่ออายุ 19 เขาก็แตกต่างจากคนในร้านนั้นเช่นกัน! บ็อบไม่สนใจว่าตัวเองไม่เหมือนใคร เขาสนใจเพียงการไล่ตามความฝันของเขาเท่านั้น

“ช่วงแรกๆ ที่ทำงาน ผมเองรู้สึกว่าตัวเองแปลกประหลาด รู้สึกว่าตัวเองเข้ากับคนอื่นๆ ในหน่วยงานไม่ได้ ผมไม่เคยเป็นหนึ่งในพวกเด็กใหม่… ตอนแรก ผมก็ไม่ค่อยสบายใจ แต่ด้วยความเชื่อในสิ่งที่ทำ ผมมุ่งมั่นไปข้างหน้า แม้จะใช้เวลาหลายปี แต่ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จ สิ่งที่น่าแปลกใจคือ หลังจากนั้นไม่นาน คนอื่นๆ ล้วนมาขอคำแนะนำจากผมทั้งสิ้น”

จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์ สรุปจากประสบการณ์ของบ็อบ เทย์เลอร์ ว่า “ผู้บรรลุฝั่งฝันได้ ย่อมต้องมีความโดดเด่นบางอย่าง คุณไม่สามารถบรรลุความฝันที่ต้องการ หากยังไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ ถ้าคุณต้องการมีชีวิตที่พิเศษและสร้างสิ่งมหัศจรรย์ คุณต้องก้าวไปตาม Passion โดยไม่ต้องสนใจ ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับคุณ”

 

4. ไม่ปล่อยให้อายุ และอุปสรรค ทำร้ายคุณ

เด็กๆ จะมี Passion และความกระตือรือร้นตามธรรมชาติ พวกเขารักที่จะใช้ชีวิต มีความฝันใหญ่โต บางคนสามารถเก็บความกระตือรือร้นและพลังงานเหล่านี้ไว้ได้จนโตเป็นผู้ใหญ่

แต่ ณ จุดใดจุดหนึ่งของชีวิตที่ยาวนาน มนุษย์จะทำความกระตือรือร้นหล่นหาย แล้วจะมีความเฉื่อยชาเข้ามาแทนที่ มากขึ้นๆ สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นเพราะเราสูญเสียอุดมคติ หรือเพราะอุปสรรคที่เกิดขึ้นทุกวันทำให้เราหมดกำลังใจ และสุดท้าย Passion ของเราจะหายไป!

อย่าปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความผิดหวังและความยากลำบากสักแค่ไหน? อย่าให้มันมาบั่นทอน Passion ของเรา เพราะแม้ผู้ที่ต้องเผชิญกับความทุกข์แสนสาหัส ก็ยังสามารถค้นหาเป้าหมายในชีวิตได้

จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์ ย้ำว่า “ในแต่ละช่วงของชีวิต มีทั้งอุปสรรคและสิ่งดีๆ มีทั้งความทุกข์ทรมานและชัยชนะ ขึ้นอยู่กับคุณที่จะดึงด้านดีออกมาให้มากที่สุด และอย่าปล่อยให้ด้านลบทำให้คุณท้อแท้และสิ้นหวัง”

จอห์นยอมรับว่า ถึงตอนนี้จะอายุใกล้ 70 พลังงานในตัวมีน้อยกว่าแต่ก่อนมาก แรกๆ เขารู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่อยากให้ตัวเองทำอะไรช้าลง แต่เขากลับได้เติม Passion อยู่ตลอดเวลา ด้วยการใช้ชีวิตกับครอบครัว…

“ผมให้เวลากับตัวเองมากขึ้น มีความสุขกับครอบครัวมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลานๆ ทั้ง 5 คน ผมยังคงมีไฟ มี Passion และมีความสุขกับชีวิตช่วงนี้ ไม่ต่างจากช่วงที่แล้วๆ มา”

การทำในสิ่งที่รัก และรักในสิ่งที่ทำ จะทำให้เรามีพลังก้าวต่อไป… มันจะเปลี่ยนเราในด้านวิธีคิด วิธีทำงาน และความสัมพันธ์กับคนอื่น… Passion เป็นพลังอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงเราได้…

จอห์น รัสกิน นักเขียนและนักวิจารณ์ เคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อความรักกับทักษะ รวมเข้าด้วยกัน ย่อมก่อให้เกิด Passion ในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอก”

 


เรียบเรียงโดย LEARNING HUB THAILAND

3 ขั้นตอน สร้างรายได้งามๆ จากงานประจำ

คุณอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า

แต่ทว่า สำหรับคนทำงานประจำหรือมนุษย์เงินเดือนแล้ว การสร้างรายได้ในสายอาชีพของคุณไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงคุณได้อ่านบทความนี้

คำถามคือ งานประจำทำเงินกว่า ได้อย่างไร ?

เคยได้ยินประโยคที่ว่า “เงินลอยอยู่ในอากาศ” หรือไม่ ? ประโยคนี้เปรียบเปรยว่า ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร ก็มีโอกาสสร้างเงินได้ทั้งนั้น

บทความสั้นๆ ต่อไปนี้ จะช่วยบอกวิธีสร้างเงินมหาศาลจากงานประจำที่คุณทำซ้ำๆ ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน

1.ค้นหา passion ของตัวเองให้เจอ

คำว่า passion หากจะแปลให้ใกล้เคียงกับความหมายดั้งเดิมที่สุด น่าจะแปลว่า “สิ่งที่หลงใหลจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต”

ปัจจุบันคุณอาจทำงานประจำเป็น นักบัญชี ฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย ข้าราชการ ฯลฯ

แต่ passion ของคุณ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรอบงานประจำ

เช่น คุณอาจจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่าเรื่อง แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่นฟัง ทั้งที่คุณไม่ได้ทำอาชีพพิธีกร ,คุณอาจจะชอบวิเคราะห์ตัวเลขสถิติการเงินทั้งที่คุณไม่ได้ทำงานด้านการเงิน ,คุณอาจจะชอบขายทั้งที่ไม่ได้ทำอาชีพนักขาย

ขั้นตอนแรก แค่หาให้เจอก็พอ อย่าเพิ่งคิดว่าจะเอาไปทำอะไรต่อ

2.ค้นหา skill จากงานประจำ

ขั้นตอนที่สอง แค่จำแนกสิ่งที่คุณทำเป็นประจำว่าคุณมีสิ่งใดบ้างที่เป็น skill อย่าเพิ่งกังวลว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยๆ

คำว่า skill หรือ ทักษะ ไม่ได้หมายถึงความเก่ง ไม่ได้หมายถึงวิชาชีพเท่านั้น แต่หมายถึง สิ่งที่ทำซ้ำๆ ทำจนชินเป็นนิสัย หรือ ทำไปโดยอัตโนมัติ

อาจเปรียบเทียบได้กับการปั่นจักรยานที่ทุกวันนี้คุณสามารถปั่นได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก

ในงานประจำของคุณที่อาจจะดูน่าเบื่อหน่าย ถ้ามองให้ดีแล้วจะค้นพบว่ามีทักษะ หลายอย่างที่หลบซ่อนอยู่

เช่น เจ้าหน้าที่วิเคราะห์การเงิน อาจมี ทักษะ คือ การพิมพ์ดีด การใช้โปรแกรม Excel การติดต่อลูกค้าต่างประเทศ การนำเสนองานในที่ประชุม การเอาตัวรอดจากเจ้านายขี้วีน การออมเงินเดือนให้เพียงพอค่านมลูก ฯลฯ

3.สร้าง Connection

เครือข่ายไม่ได้มีความสำคัญแต่เฉพาะนักธุรกิจเท่านั้น สำหรับคนทำงานประจำก็สำคัญเช่นกัน

โดยเฉพาะเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือ Social Media ที่สามารถสร้างทั้งโอกาสดีๆ และรายได้งามๆ ให้แก่มนุษย์เงินเดือนทั้งหลายได้ง่ายๆ

ในขั้นตอนนี้ ให้คุณนำ Passion ที่มี บวกเข้ากับ Skill ที่มี แล้วค้นหา “สิ่งที่คุณสามารถช่วยผู้อื่นแก้ปัญหาได้”

แล้วนำเสนอสิ่งนั้นให้เพื่อนและเครือข่ายของคุณรับรู้ เช่น

คุณมี Passion เรื่องการเล่าเรื่องราวแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่น

คุณมีทักษะด้านการใช้โปรแกรม Excel เท่ากับ คุณสามารถสอนผู้คนมากมายที่ไม่มีพื้นฐานด้านการใช้ Excel ให้สามารถใช้งานได้ในแบบที่คุณทำได้ ไม่ว่าจะเป็นคอร์สสอนสด หรือ Online

 

                   เปรียบเทียบ Passion เป็นเสมือนเมล็ดพันธุ์ผลไม้

                   Skill เป็นเหมือนการรดน้ำพรวนดิน

                   Connection ก็จะเปรียบเสมือนผู้คนที่เดินอยู่ในตลาดผลไม้

 

อย่าลืม ค้นหาเมล็ดพันธุ์ผลไม้ของตัวเองให้เจอนะครับ เพราะนี่คือวิธีที่จะช่วยให้คุณหยิบเงินที่ลอยอยู่ในอากาศมาเข้ากระเป๋าของคุณได้ !!!

image1

Coach Mangpor

เพจ เล่าเป็นเรื่อง

https://m.facebook.com/rhetoricalcoach/ 

วิธีก้าวข้าม ความทุกข์ใจที่เคยชิน

1

ถาม…

บางครั้งการที่เราคิดในเรื่องบางเรื่องอยู่คนเดียว คิดซ้ำไปซ้ำมา จนละอายแก่ใจที่เพ้อบ้าๆบอๆ ยิ่งไม่อยากคิดภาพก็ยิ่งโถมเข้ามา อยากจะลืมแต่มันทำไม่ได้

ทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีความสุขเลย สิ่งดีๆ คงไม่หวนกลับมาอีกแล้วเข้าใจค่ะ แต่ความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นมาก็จะยังคงอยู่ตลอดไป ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ…..

ตอบ…

ไม่มีความรู้สึกสุขหรือทุกข์ใดที่จะอยู่กับเราตลอดไปหรอกครับ ต่อให้เราอยากจะกอดเก็บมันเอาไว้แค่ไหน ก็ไม่สามารถทำได้

ถึงจะทุกข์แค่ไหน แต่เรายังมีหน้าที่ที่ต้องทำ และเพื่อให้ช่วงเวลาเลวร้ายผ่านพ้นไปได้เร็วยิ่งขึ้น
ผมขอแนะนำให้คุณลองปฏิบัติห้าข้อต่อไปนี้ดูนะครับ!!!

1.ทำสิ่งที่ควรทำ

มีหน้าที่อะไร รับผิดชอบอะไรอยู่ก็ทำให้ดีที่สุด อย่าปล่อยตัวปล่อยใจให้เลื่อนลอย อย่าทิ้งหน้าที่ของตนเอง ยิ่งทุกข์มากเท่าไหร่ ยิ่งต้องตั้งใจทำงานให้ดี ขยันสุดๆ พัฒนาตัวเองสุดๆ เอาจิตใจจดจ่ออยู่กับการงานของเราไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

2. พยายามทำตนให้เป็นคนดี

เมตตาให้มากๆ เห็นแก่ตัวให้น้อยๆ คิดถึงคนอื่นมากๆ คิดถึงตัวเองน้อยๆ เมื่อคิดถึงคนอื่นมาก เราจะโกรธเกลียดน้อยลง อภัยได้ง่ายขึ้น เข้าใจเหตุผลของผู้อื่นง่ายขึ้น จิตใจก็จะเบาขึ้น

3. พูดแต่สิ่งดี

อย่าพูดสิ่งทำลายความหวัง อย่าทำสิ่งที่ทำให้ชีวิตของตนหดหู่ อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีค่า อย่าย้ำคิดย้ำทำ อย่าโทษคนอื่น อย่าโทษตัวเอง อย่าโทษฟ้าโทษดิน

แต่ให้ยอมรับว่าสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ทำความเข้าใจ ให้อภัย และวางแผนชีวิตเพื่อจะก้าวเดินต่อไป

4. ฝึกมองด้านดีๆ ของชีวิต

เมื่อความทุกข์มาเยือน เราก็ต้องสร้างแสงสว่างให้เกิดขึ้น จงมองโลกให้มันสว่างไสว มองข้อดีของตนเอง มองข้อดีผู้อื่น พูดให้กำลังใจคนอื่น

พูดให้กำลังใจตนเอง ดีใจกับคนอื่น ใจดีกับตนเอง มองอะไรในด้านที่บวก เก็บเกี่ยวกำลังใจที่ผ่านเข้ามา และ สนุกกับชีวิต ทำสุขภาพจิตให้เบิกบานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

5.ท่องไว้เสมอ ท่องซ้ำๆ ให้ขึ้นใจ

ไม่มีอะไรที่จะอยู่กับเราตลอด ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สิ่งของ ชื่อเสียง หรืออำนาจ วาสนา เราเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ที่เกิดมา เป็นแค่คนที่อยู่บนโลกเพียงชั่วคราว อย่าไปเอาเป็นเอาตายอะไรกับชีวิตมากมาย

คนเรามีผิดได้ พลาดได้ ล้มได้ก็ลุกได้ ลุยให้เต็มที ทำให้สุดแรง แต่พอจบแล้วก็เรียนรู้ที่จะปล่อยวางสิ่งนั้นลง ทั้งเรื่องเงิน เรื่องงาน เรื่องความรัก หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่

ทุกเรื่องราวก็ใช้หลักการเดียวกันคือ สร้างเหตุให้เต็มที่ แล้วปล่อยวางในผลลัพธ์ หมายความว่า ถึงเวลาทำก็ทำให้ถึงที่สุด เมื่อทำดีที่สุดแล้ว แม้อะไรจะเกิดขึ้น ก็ยอมรับด้วยความเข้าใจว่าเราได้ทำเต็มทีแล้ว และไม่ควรเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ความทุกข์ เสียใจ หรือความผิดหวังในชีวิตเป็นสิ่งที่เราไม่อาจหลีกเหลี่ยง อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าถ้าเราพยายามสร้างกำลังใจให้ตัวเอง พยายามรักษาฐานที่ตั้งของชีวิต ทำสิ่งที่ควรทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าชีวิตของเราจะเกิดปัญหาอะไร อุปสรรคจะยิ่งใหญ่แค่ไหน
ผมคิดว่ามันย่อมผ่านพ้นไปได้ในที่สุด

“ถ้าอยากมีชีวิตใหม่ ก็ต้องกัดฟันลุกขึ้นมาทำสิ่งใหม่” มันอาจไม่ง่ายนัก แต่เราก็ต้องฝืนใจทำ อย่าปล่อยให้ชีวิตจมอยู่ในมุมอับเฉานานเกินไป เพราะความสุขนั้นใกล้แค่เอื้อมมือคว้า เพียงแต่เราต้องรู้จักเปิดโอกาสให้ตัวเองบ้างเท่านั้นเอง…

บทความโดย

 “พศิน อินทรวงค์”
ติดตามผลงานหนังสือหรือติดตามอ่านบทความดีๆ ก็สามารถเข้ามาได้ที่
เพจ พศิน อินทรวงค์ (กรุณาพิมพ์เป็นภาษาไทยนะครับ)
https://www.facebook.com/talktopasin2013

10 กฎทอง สู่การมีความสุขอย่างยั่งยืน

3

คุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ” กล่าวคือ ในชีวิตจริงเราไม่สามารถมีชีวิตที่สุขสบายเหมือนดั่งเจ้าหญิงและเจ้าชายในนิยาย บางครั้งเราพบเจอกับสิ่งที่สวยงาม แต่บางครั้งเราต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้าย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชีวิตของเราจะมีทั้งสุขและทุกข์ แต่เราเลือกที่จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ได้ และกุญแจสำคัญที่จะช่วยคุณไขประตูแห่งความสุขได้ก็คือ “ทัศนคติ” ของคุณ 

งานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่า ผู้ที่มองโลกในแง่ดีมีแนวโน้มที่จะอายุยืนยาว ส่วนผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายกลับมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น

หากคุณต้องการทราบว่าตนเองเป็นคนมองโลกในแง่ดี หรือ มองโลกในแง่ร้าย ลองอ่านบททดสอบนี้ดู 

หากมีแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วคุณจะมองมันอย่างไร ระหว่าง “มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว” กับ “มีน้ำหายไปครึ่งแก้ว” และคำตอบจะสะท้อนทัศนคติของคุณ

หากคุณเลือก “มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว” คุณเป็นคนมองโลกในแง่บวก คุณชื่นชมและพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ในสถานการณ์นี้คุณรู้สึกว่าการมีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้วดีกว่าการมีเพียงแก้วเปล่า

ในทางกลับกัน หากคุณเลือก “มีน้ำหายไปครึ่งแก้ว” คุณเป็นคนมองโลกในแง่ลบ คุณสนใจในสิ่งที่ขาดหายไป ดังนั้น คุณจะพยายามไขว่คว้าหาสิ่งอื่นมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย 

เมื่อคุณรู้คำตอบแล้ว จงรักษาหรือปรับเปลี่ยนทัศนคติของคุณให้กลายเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก หากคุณไม่รู้วิธีที่จะทำมัน บทความนี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณมีมุมมองในการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากเดิม และพบกับความสุขในชีวิต 

1) มองหาด้านดี ๆ ในสถานการณ์อันเลวร้าย 

ในแต่ละวัน คุณต้องพบเจอกับเรื่องราวทั้งดีและร้ายปะปนกัน และเพื่อสนับสนุนทัศนคติการมองโลกในแง่ดี เมื่อคุณเผชิญกับเหตุการณ์แย่ ๆ ที่ทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดหรือโมโห ให้คุณพยายามคิดบวก

มองหาด้านดีในสถานการณ์อันเลวร้ายนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเจอรถติดบนถนน แทนที่คุณจะบ่น ด่า หรือระบายความโมโหด้วยการบีบแตรเสียงดัง คุณอาจคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะใช้เวลาฟังเพลงโปรดของคุณให้นานขึ้น 

2) ให้ความสนใจและชื่นชมกับสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว 

ท่ามกลางสังคมที่วุ่นวาย มนุษย์เราต่างดิ้นรนไขว่คว้าหาความสุขในรูปแบบต่าง ๆ แต่หนึ่งในหลายวิธีที่ทำให้เราค้นพบความสุขก็คือ การได้ใกล้ชิดธรรมชาติ และสนใจต่อสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว 

ผู้ที่นับถือนิกายเซนมีความสุขจากการพิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว พวกเขาจะชื่นชม ซึมซับ และมีความสุขไปกับสิ่งที่แสนธรรมดาและเรียบง่าย ยกตัวอย่างเช่น การได้เห็นผีเสื้อกระพือปีกเบา ๆ หรือการเฝ้ามองสายฝนอันชุ่มฉ่ำ

และคุณก็สามารถนำเอาวิธีนี้ไปใช้ได้เช่นกัน สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นปัญหาใหญ่ ๆกลายเป็นเรื่องเล็กในพริบตา 

3) ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ 

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม กล่าวคือ โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน และต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้นในยามที่เราประสบปัญหาในชีวิต เราย่อมต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

และแน่นอนว่า หากเราเห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก หรือเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย หรือทางจิตใจ เราก็ควรที่จะช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นเช่นกัน 

การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เราได้พัฒนาความคิดด้านบวกของตนเอง ในทางกลับกัน คนที่คิดเอาแต่ได้ จิตใจจะเต็มไปด้วยกิเลสและความทุกข์ ต่างกับคนที่คิดจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับคนอื่น

พวกเขารู้จักและเห็นคุณค่าของการให้ และเมื่อเขาหยิบยื่นความปรารถนาดีให้กับผู้อื่นแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่าเขาจะยิ่งได้รับสิ่งดี ๆ กลับคืนมา 

4) ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ 

ในสังคมสมัยใหม่ ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกนิยม แต่ละคนต่างยึดถือตัวเองเป็นที่ตั้ง ให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนสิ่งอื่นใด จนนำมาซึ่งสภาวะต่างคนต่างอยู่ในสังคม  

อย่างไรก็ตาม ประโยคที่ว่า “น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า” ยังคงสามารถใช้ได้ตลอดกาล มนุษย์ต้องอาศัยรวมกันเป็นกลุ่ม ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้น เราควรปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสมและจริงใจ

ยกตัวอย่างเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น หากคู่สนทนาของคุณกำลังประสบปัญหา คุณก็ควรที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจ รับฟังและให้คำแนะนำแก่เขาด้วยความจริงใจ นอกจากนี้หากคุณสามารถช่วยเหลือเขาได้ ก็ควรที่จะทำโดยไม่หวังผลตอบแทน 

5) รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม 

หากคุณนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้านทั้งวันโดยไม่ทำอะไรเลย คุณจะกลายเป็นคนขี้เกียจและเฉื่อยชาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นคุณจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ 

หนึ่งในวิธีการสร้างสุขภาพกายและใจที่ดี คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม คุณควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกดีมีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน นอกจากนี้ คุณควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพราะจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งจะทำให้คุณมีความสุขและผ่อนคลายความตึงเครียดได้ 

6) ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน 

ครอบครัวและเพื่อนคือคนที่รู้จักคุณดีที่สุด พวกเขารักคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข และเข้าใจคุณเกือบทุกเรื่อง ดังนั้นคุณจึงควรใช้เวลาอยู่กับพวกเขาบ้าง  

การใช้เวลาร่วมกันของสมาชิกในครอบครัวสามารถทำได้ตั้งแต่กิจกรรมเล็ก ๆ ภายในบ้าน เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน ดูโทรทัศน์ร่วมกัน ไปจนถึงกิจกรรมนอกบ้าน เช่น การไปท่องเที่ยว หรือการดูภาพยนตร์ เป็นต้น

นอกจากนี้ อย่าลืมที่จะแบ่งเวลาให้กับกลุ่มเพื่อนของคุณด้วย เพราะมิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญ  มันไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ดังนั้น เมื่อคุณเจอแล้ว จึงควรรักษาไว้ให้ดีที่สุด คุณอาจหาโอกาสพบปะสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนบ้าง

สิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกดีและอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก 

7) เดินตามความฝันและทำสิ่งที่คุณสนใจจริงๆ 

หลายคนทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นหน้าที่หรือความรับผิดชอบที่ต้องทำ จนทำให้ลืมไปว่าตัวเองสนใจและต้องการอะไรจริง ๆ ดังนั้น จงค้นหาสิ่งที่คุณรัก และเมื่อคุณเจอแล้ว

จงทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณมีความสุขและอิ่มเอิบใจ จงท่องให้ขึ้นใจว่าชีวิตของคนเราสั้นนัก ดังนั้น เราไม่ควรเสียเวลากับการทำสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง 

8) ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ แต่ต้องรู้ข้อจำกัดของตัวเอง 

การทำกิจกรรมที่คุณชอบ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นกีฬา การเล่นดนตรี หรือการท่องเที่ยวจะทำให้คุณพึงพอใจ และมีความสุข แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรทำสิ่งต่างๆอย่างสุดโต่งจนเกินไป เพราะนั่นจะทำให้คุณหมดสนุกและอาจทำให้คุณเครียดอีกด้วย

ดังนั้น จงทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเหมาะสมไม่มากหรือน้อยจนเกินไป กล่าวคือ การเดินทางสายกลางเป็นสิ่งที่ดีที่สุด 

9) อย่าระบายความโกรธให้ผู้อื่น 

แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากจะมีหน้าตาบูดบึ้ง หรือเป็นคนอารมณ์ร้าย ดังนั้น เมื่อคุณรู้สึกโกรธหรือโมโหสิ่งใดก็ตาม อย่าระบายอารมณ์ของคุณกับผู้อื่น เพราะมันจะทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบไปด้วย

ความโกรธเปรียบเสมือนวงล้อแห่งไฟ และเมื่อคุณผลักวงล้อนี้ไปยังผู้อื่น มันจะเผาผลาญและแสดงพลังต่อผู้ที่อยู่รอบข้าง

เพราะฉะนั้น หากคุณเริ่มหงุดหงิดให้พยายามเบี่ยงเบนอารมณ์และระงับความรู้สึกนั้น โดยการคิดถึงสิ่งดีดี ๆ คุณอาจเดินออกไปข้างนอกเพื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ตึงเครียดนั้น สูดลมหายใจลึกๆ จนกระทั่งความโกรธนั้นหายไป 

10) อย่าเสียเวลากับสื่อที่ไร้สาระ 

สังคมทุกวันนี้เต็มไปด้วยสื่อที่ไร้สาระ ยกตัวอย่างเช่น รายการทางโทรทัศน์ส่วนใหญ่ออกอากาศละครน้ำเน่าและเกมโชว์ที่เน้นแต่ความตลกโปกฮา คลื่นวิทยุมักเปิดเพลงที่มีเนื้อหาด้านลบ

เช่น เพลงอกหัก หลงรักคนมีเจ้าของ หรือเพลงที่มีเนื้อหาล่อแหลม สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจของคุณหม่นหมองและเป็นการยั่วยุให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบอีกด้วย ดังนั้นเพื่อให้จิตใจของคุณมองโลกในแง่บวก 

คุณควรเลือกเสพข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์และไม่ควรติดตามหรือเสียเวลากับสื่อที่ไร้สาระ 

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand 

(Source: http://expandedconsciousness.com/2015/08/09/10-tools-to-live-a-happy-life/

 

 

 

วิธีไล่ความขี้เกียจ ที่ได้ผลเร็วและดีที่สุดในโลก

Copy of ภาพบทความ

มีคำถามผู้อ่านจากผู้อ่านทางบ้านส่งมาถาม ผมว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจมากครับ เลยขอนำมาบอกกล่าวกันครับ
คำถาม : ผมพยายามดึงตัวเองขึ้นจากตัวตนที่เกียจคร้าน ขาดกะจิตกะใจ แต่ยังมองไม่เห็นความสำเร็จเลย ตัวอย่างเช่น มีงานชิ้นหนึ่งที่ใช้เวลาทำประมาณ 5 วัน ผมรู้ล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์

พยายามเริ่มต้นทำทีไรมันเหมือนไม่มีแรงบันดาลใจที่จะทำ ก็อืดเอื่อยไปเรื่อย จนสุดท้ายมันพอกหางหมู ผมต้องปั่นงานเป็นบ้าเป็นหลัง บางคืนไม่ได้นอนตลอด 24ชั่วโมง ร่างกายก็แย่ รู้สึกตัวเลยว่าสุขภาพเสีย

ประเด็นสำคัญที่สุดคือผมจมอยู่กับความทุกข์ทรมานใจอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จะจัดการตัวเองอย่างไรดี

เคยปรึกษานักจิตวิทยาคำตอบที่ได้จากคนเหล่านั้นก็ดูจะเป็นคำตอบกลาง ๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้ผมก็รู้อยู่แล้ว เกิดความรู้สึกว่ายังไม่น่าจะช่วยอะไรได้ ทุกวันนี้ความทุกข์ทรมานใจส่งผลถึงร่างกาย บางครั้งกินอะไรไม่ลง รู้สึกว่าตัวเองท้องไส้ปั่นป่วน หงุดหงิดง่าย จมอยู่ในกองทุกข์จนยกจิตขึ้นจากมันไม่ได้ คิดได้แต่ทำไม่ได้

พยายามหาที่พึ่งไปเรื่อย ใครพูดถึงหมอดูว่าที่ไหนแม่นยำ ก็คิดอยากจะลองซักหน่อยว่าจะเจ๋งจริงไหม จะสามารถแก้ปัญหาของเราได้หรือเปล่า ที่ร่ายมาซะยาวก็เพื่อจะบอกว่าตอนนี้ผมก็เห็นคุณเป็นเหมือนหลักเกาะอีกอันหนึ่ง หรือจะพูดให้ดูเว่อร์ต้องบอกว่าเหมือนฟางอีกเส้นที่ลอยน้ำมา

และผมก็ไม่มีอะไรจะคว้าไว้อีกแล้ว ผมอยากขอคำปรึกษาว่า ผมต้องทำไงดีเพื่อจะออกจะสภาวะชีวิตแบบนี้ครับ…

ตอบโดย พศิน อินทรวงค์…

1. วงจรชีวิต คุณเคยสังเกตไหมครับว่า ชีวิตคนแต่ละคนนั้นจะมีวงจรเป็นของตนเอง คำว่าวงจรนี้ คือกิจกรรมที่ทำซ้ำๆกันในแต่ละวัน เช่นคุณตื่นกี่โมง ตื่นมาแล้วทำอะไร เดินทางด้วยอะไรรถยนต์ เรือ หรือมอเตอร์ไซค์

ชอบรับประทานอะไรแบบไหน คุยกันใครบ่อยๆ กลับมาบ้านแล้วทำอะไร อาบน้ำเมื่อไหร่ ก่อนนอนทำอะไร และนอนกี่โมง ทั้งหมดนี้คือความหมายของคำว่าวงจรชีวิต

2. วงจรชีวิตนั้น ส่งผลต่อชีวิตทั้งทางตรง รวมถึงในแง่จิตวิทยากับคนเรามาก ถ้าคนออกแบบวงจรชีวิตผิด ชีวิตก็จะกลายเป็นชีวิตที่ไร้ประสิทธิ์ภาพไปอย่างน่าเสียดาย

3. ตอนนี้คุณยังไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องงานมากนัก เพียงแค่รักษาสมดุลของงานไว้อย่าให้เสียหายไปมากกว่านี้ พักเรื่องความกังวลเรื่องงานไว้ก่อน แล้วกลับมาสนใจสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตประจำวัน เพราะคุณต้องสร้างรากฐานให้ดีก่อน

ผมอยากให้คุณออกแบบวงจรชีวิตซะใหม่ โดยเฉพาะ เวลาตื่น และเวลานอน คุณต้องลองปรับเวลาตื่น และนอนเสียใหม่ แล้วใส่กิจกรรมบางอย่างลงไปในชีวิตเพื่อเพิ่มความสนุก สดชื่น ท้าทาย เช่น ออกกำลังกาย พยายามนอนให้เร็ว(ไม่เกินสี่ทุ่ม) และตื่นให้เช้าขึ้น (ตีห้าเป็นอย่างน้อย) แล้วออกวิ่งสักครึ่งชั่วโมง

จากนั้นกลับมาอาบน้ำ แล้วลงมือทำหน้าที่ต่างๆ ในชีวิตประจำวันต่อไป

4. การออกแบบวงจรชีวิตใหม่ แบบกระทันหัน ตรงนี้เป็นการทำลายวงจรร้ายๆ ที่มันกัดกินชีวิตของคุณให้ปั่นป่วน เพราะความขี้เกียจของคุณมันจะงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน มันจะช็อค สะดุดและไม่มีที่เกาะชั่วคราว

คุณต้องทำซ้ำๆๆๆๆ ในสิ่งที่ต่างออกไป รูปแบบชีวิตจะถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดด้วยการทำเช่นนี้ ถ้าคุณทำแบบนี้ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ชัดมาก

5. ในเรื่องของอาหาร คุณมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนใหม่ กินแต่พอสมควร ไม่มาก ไม่น้อย อย่ารับประทานอาหารพวกแป้ง และไขมัน การกินที่มีระเบียบ จะส่งผลต่อความกระตือรือล้นของร่างกาย ร่างกายจะตื่นตัวขึ้น และยังส่งผลเชิงจิตวิทยาต่อการนับถือตนเองของคุณอีกด้วย

6. ความขี้เกียจ นี่มีสิ่งที่มันกลัวอยู่ ขอให้คุณสร้างความประหลาดใจให้ตัวเองให้ตัวเอง รู้สึกว่า “ฉันก็ทำได้” โดยการฝืนทำงานให้เสร็จในทันที

ในครั้งแรกนี้ ขอให้คุณทำงานแบบสายฟ้าฟาด คือทำทันทีทั้งๆที่ขี้เกียจ ให้ความขี้เกียจมันเกิดอาการช็อคว่า “เฮ้ย!! นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ถ้าคุณทำได้ คุณจะเกิดความฮึกเฮิมว่าคุณเอาชนะมันได้

7. มีอีกอย่างที่คุณควรทำทุกวัน ขอให้คุณนั่งสมาธิอย่างน้อยก่อนนอนวันละ 15 นาที ตรงนี้จะส่งผลต่อคุณอย่างมหาศาล ทั้งในแง่จิตวิทยา และการสร้างพลังจิตใจของคุณ

ขอให้ทำแม้ว่าจะนั่งแล้วไม่สงบ ทำแม้ว่าจะเบื่อ ทำแม้ว่าจะขี้เกียจ ไม่ต้องสนใจว่าคุณจะได้อะไรจากการนั่งสมาธิ ขอให้คุณรู้ว่า นี่คือการส่งสัญญาณบางประการต่อจิตวิญญาณของคุณ

และจิตวิญญาณเบื้องลึกของคุณจะรับรู้ได้ และเกิดแสงสว่างขึ้นมาจากภายใน เป็นการอัดฉีดกำลังใจเข้าไปในจิตวิญญาณของคุณ

8. ความร้ายกาจที่สุดของคนเราก็คือการหมดหวัง คุณต้องไม่หมดหวังที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง ขอให้ทำทุกข้อตามที่ผมบอกอย่างเคร่งครัดติดต่อ กันไปเรื่อยๆ อย่างน้อย 15 วัน และทำอย่างต่อเนื่องจนเป็นนิสัย เริ่มจากทำลายวงจรชีวิตเดิมๆ ให้กระเจิง

พยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันให้ต่างออกไปในทุกมิติ ทำแบบกระทันหัน ทำแบบสายฟ้าฟาด ให้ความขี้เกียจมันเกิดอาการช็อคจนจำบ้านตัวเองไม่ได้!!! ทำชีวิตประจำวันให้มันต่างจากเดิมให้เร็วที่สุด ยิ่งต่างยิ่งดี

จากนั้นคุณต้องเริ่มดูแลตนเองเรื่องการกิน เปลี่ยนเวลาตื่น นอน แล้วเริ่มทำสมาธิวันละ 15 นาที จากนั้นให้คุณกลับมาที่เรื่องงานซึ่งเป็นปัญหา ในครั้งแรกขอให้คุณจงทำงานของคุณทันที ทำงานให้เสร็จในระยะเวลาที่เร็วที่สุด

เพราะคุณต้องสร้างความประหลาดใจให้ตนเอง เพื่อให้จิตวิญญาณของคุณมีภาวะเชื่อมต่อกับความสำเร็จ จนจิตวิญญาณของคุณสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า “เฮ้ย เรานี่มันก็สุดยอดเหมือนกัน เรานี่มันไม่ธรรมดา สุดยอดๆๆๆ”

9. กิเลสหรือความขี้เกียจคือหนู วิธีไล่หนูมีอยู่สองแบบ วิธีที่หนึ่ง คือการจับหนู จับไปจับมา หนูมันก็จะมาอีก ถ้าบ้านคุณรก วิธีที่สอง คุณไม่ต้องไปสนใจจับหนู แต่คุณไปจัดบ้านของคุณให้สะอาด ให้เป็นระเบียบ

ทิ้งของบางอย่างที่รกๆ แล้วเพิ่มของบางอย่างที่ง่ายและสวยงามเข้าไป บ้านในที่นี้ก็คือวงจรชีวิตของคุณ ซึ่งคุณจะต้องจัดใหม่โดยเร็ว เพื่อที่ว่า หนูมันจะได้ย้ายออกไป ไม่สนใจมาอยู่ในบ้านของคุณอีก

ที่ผ่านมาคุณพุ่งเป้าไปที่เรื่องของการไล่หนู คือไล่ความขี้เกียจ แต่คุณไม่ได้สนใจที่จะเปลี่ยนวงจรชีวิต ซึ่งมันง่ายและได้ผลมากกว่า ผมพูดแบบนี้คิดว่าคุณคงเห็นภาพ และเข้าใจได้ไม่ยากนัก

ผมดีใจที่ได้ตอบคำถามนี้ และขอเป็นกำลังใจให้คุณสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ได้ในเร็ววัน
คุณทำมันได้แน่นอนขอให้เชื่อมั่น และแน่วแน่

สู้นะครับ อย่าไปยอมแพ้มันเด็ดขาด!!!

ป.ล. คุณจะรู้สึกเบื่อ และไม่อยากทำมันเมื่อต้องทำ เช่น การตื่น การนอน การกิน แต่คุณต้องงัดตัวเองออกมาจากเตียงให้ได้  

ตรงนี้ต้องฝืนใจ ทำให้สำเร็จแล้วสิ่งดีๆ จะถาโถมเข้ามาสู่ชีวิตของคุณอย่างไม่ขาดสาย

บทความโดย พศิน อินทรวงค์ 
ติดตามผลงานหนังสือ
หรือติดตามอ่านบทความดีๆ ก็สามารถเข้ามาได้ที่
เพจ พศิน อินทรวงค์ (กรุณาพิมพ์เป็นภาษาไทยนะครับ)
https://www.facebook.com/talktopasin2013

5 ทักษะ ที่ช่วยให้คุณมีความสุข เพิ่มขึ้นทุกวัน

ชีวิตที่จะมีความสุขอย่างแท้จริงนั้น ต้องมีองค์ประกอบของความสุขครับ ความสุขเป็นหนึ่งในความรู้สึกที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา แต่จะทำอย่างไรให้ คุณมีความสุขเพิ่มขึ้นในทุกวัน

วันนี้ผมมี 5 ทักษะง่ายๆ ที่ทำได้ทันทีเพื่อให้คุณมีความสุขมากขึ้น มาฝากกันครับ

1.การดื่มด่ำ

คือทักษะในการทำให้ร่างกายและจิตใจ ดื่มด่ำไปกับเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้น ทำตัวของเราให้แช่อิ่มอยู่ในห้วงเวลาแห่งความสุข

…. เวลาที่คุณทำอะไรสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ลองฝึกปล่อยใจให้ดื่มด่ำไปกับอารมณ์ดีๆ นั้นให้นานขึ้นดูสิครับ

2.การขอบคุณ

หมั่นขอบคุณเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต ปรับมุมมองและทัศนคติให้เป็นด้านบวก แม้วันนี้จะพบเจอกับความล้มเหลว

ก็ลองขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ทำให้เราได้มีประสบการณ์ชีวิต ที่จะช่วยให้เราภาคภูมิใจกับความสำเร็จได้มากขึ้นกว่าเดิม

3.มีความหวัง

ใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง โอกาสดีๆ รอปรากฏให้คนที่มีหวังได้มีโอกาสพบเจออยู่เสมอ การมีความหวังทำให้เราก้าวเดินต่อไป

แม้จะเจอกับสิ่งกีดขวางระหว่างทาง…. ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่… ขอจงเชื่อเถอะว่า… ความหวังยังมี

4.การให้

การให้ทำให้มนุษย์มีความสุข และมีความสุขทั้งผู้ให้ และผู้รับเลยทีเดียว ซึ่งการให้ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย

… เพราะมันทำได้ตั้งแต่การให้รอยยิ้มกับคนใกล้ๆ ตัว ก็ถือเป็นการให้ ที่สร้างความสุขได้แล้ว

5.ความเอาใจใส่

การรู้จักเอาใจเข้ามาใส่ใจเรา รู้จักแสดงความรัก และความห่วงใยต่อผู้อื่น นอกจากจะช่วยให้เรามีความสุขมากยิ่งขึ้นแล้ว

ยังเป็นการฝึกให้เราเป็นคนไม่ตัดสินคนอื่น ความเครียด ความโกรธ ที่มีต่อคนอื่นก็จะลดลงตามไปด้วย

มาฝึกทักษะเหล่านี้ เพื่อเพิ่มความสุขในชีวิตกันนะครับ ^^

โค้ชกิตติ

กิตติ ไตรรัตน์  

ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง National Director ของ The Passion Test ประจำประเทศไทย 

ผู้มีความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสนับสนุนให้ผู้คน มีอิสรภาพจากภายในใจ 

www.KittiTrirat.com 

<

p class=”paragraph” style=”margin: 0cm; margin-bottom: .0001pt; vertical-align: baseline;”>

10 เว็บไซต์อัพแรงบันดาลใจเกินล้น

10-sites-add-up-inspired

คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แรงบันดาลใจ (Inspiration) เป็นแรงขับสำคัญให้คนก้าวข้ามอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จในชีวิตตามที่ฝันไว้  แรงบันดาลใจเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วไม่หมดไป สร้างขึ้นใหม่ทดแทนของเก่าได้เรื่อยๆ

บางคนอาจกระตุ้นตัวเองด้วยการดูหนังดีๆ สักเรื่อง หรือหาหนังสือดีๆ สักเล่มมาอ่าน บางคนแค่คำคมที่แชร์กันในโลกโซเชียลก็สามารถจุดไฟฝันให้ลุกโชติช่วงได้แล้ว

วันนี้ Learning Hub Thailand มี 10 เว็บไซต์โดนๆ  ที่เป็นแหล่งสร้างเสริมแรงบันดาลใจชั้นดีมาฝาก ใครต้องการกำลังใจอย่างแรงลองแวะเข้าไปชมกันได้เลยครับ

1. TED (talks)

“แหล่งรวมเรื่องเล่าสร้างแรงบันดาลใจผ่านประสบการณ์ตรง”

ใครกำลังประสบภาวะไอเดียตีบตัน แรงบันดาลใจแห้งเหือด โดยเฉพาะคนทำงานด้านเทคโนโลยี สายบันเทิง หรืองานดีไซน์ คลิกเข้าไปที่ TEDTalks ได้เลยครับ เพราะที่นี่มีเรื่องเล่าสร้างแรงบันดาลใจรอให้คุณเข้าไปตักตวงผ่านคลิปวิดีโอมากมาย ซึ่งแต่ละคลิปจะมีเหล่าคนดัง ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ มาแชร์ประสบการณ์ผ่านมุมมองส่วนตัว และให้แง่คิดดีๆ เต็มไปหมด TEDTalks

ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1984 ทุกวันนี้กลายเป็นศูนย์รวมของคนเก่งในหลายสาขาไปแล้ว แถมมีการจัดกิจกรรมสัมมนา มีอีเว้นท์โดนๆ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใครชอบฟังเรื่องเล่าสร้างแรงบันดาลใจต้องคลิกไปดู TEDTalks ครับ

2. The Creativity Portal

“เติมพลังบันดาลใจพิเศษใส่ไข่ให้งานปังได้ที่นี่”

อีกหนึ่งเว็บที่มาพร้อมแรงบันดาลใจแบบล้นๆ  เหมาะสำหรับคนทำอาชีพด้านงานเขียน ครีเอทีฟหรือศิลปินในทุกแขนง Creativity Portal เป็นเว็บแบบ how-to นะครับ มีเรื่องราวดีๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทความเจาะลึก แหล่งข้อมูลคัดสรรมาโดยเฉพาะ รอให้คนไอเดียตันเข้าไปเก็บเกี่ยวสร้างแรงบันดาลใจกันด้วยตัวเองได้ตลอด 

ที่สำคัญคือ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ในอาชีพที่ทำ หรือเป็นมือโปรในสายงานของตัวเอง เมื่อเข้ามาที่นี่แล้วจะต้องได้อะไรดีๆ กลับไปด้วยอย่างแน่นอน ไม่งั้น Creativity Portal  คงไม่มีชื่อติดอันดับ 101 เว็บไซต์เชิงสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดของนิตยสารดัง Writer’s Digest ติดต่อกันมาหลายปีอย่างแน่นอนครับ

3. Eldad Hagar

“เรื่องเล่าบันดาลใจของคนหัวใจรักสัตว์”

เว็บนี้ใช้ชื่อเดียวกับผู้ก่อตั้งครับ นั่นคือ Eldad Hagar ซึ่งร่วมกับภรรยา Audrey Spilker Hagar ก่อตั้งขึ้นเพื่อระดมความช่วยเหลือให้กับบรรดาสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งและถูกทารุณในเขตนครลอสแอนเจลิสของสหรัฐฯ มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอบันทึกภารกิจต่างๆ ในการช่วยเหลือสัตว์ของคนทั้งคู่

หลายคลิปกลายเป็น viral สร้างแรงบันดาลใจให้เหล่าคนรักสัตว์ไปทั่วทุกมุมโลก เดี๋ยวนี้สัตว์ที่สองสามี-ภรรยาช่วยก็มีคนใจดีมาขอรับไปเลี้ยงดูต่อมากมาย ช่วงนี้บ้านเรากำลังรณรงค์เรื่องสิทธิสัตว์กันอย่างจริงจังด้วย คนรักสัตว์ห้ามพลาดจริงๆ ครับ

4. Belief Net

“คุณเชื่อมั่นในตัวเองถึงระดับจิตวิญญาณมั้ย”

เป็นเว็บยาแรงที่มุ่งสร้างแรงผลักดันให้เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับจิตวิญญาณกันเลยทีเดียวครับ  พูดง่ายๆ คือเว็บนี้จะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น สร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้นกับตัวเอง และนำไปสู่การเกิดความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า จนพร้อมก้าวข้ามฟันฝ่าทุกอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จอย่างมั่นใจ

ในเว็บมีเนื้อหาและข้อมูลครอบคลุมหลายด้าน รอให้คุณเก็บแรงบันดาลใจกันได้ตลอด โดยจะมีทั้งที่เป็นโควตคำพูดเด็ดๆ มีแนะนำวิธีการทำสมาธิและอื่นๆ อีกมากมาย ใครที่กำลังสับสน หลงทาง รู้สึกลังเล ไม่มั่นใจ รีบมารับการกระตุ้นจากเว็บนี้กันได้เลยครับ

5. John Wooden

“ยอดโค้ช ยอดคนบันดาลใจกับแชมป์บาสเกตบอลระดับประเทศ 10 สมัย”

John Wooden คือยอดโค้ชผู้พาทีมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเป็นแชมป์ระดับประเทศ 10 สมัยในรอบ 12 ปี ด้วยบุคลิกภาพอันโดดเด่น บวกกับความมุ่งมั่นแรงกล้า เป็นคนตรงไปตรงมา แต่สุภาพมีมารยาทเป็นสุภาพบุรุษตัวจริง ทำให้ Wooden กลายเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้คนมากมายทั่วโลก

แม้แต่เว็บดังอย่าง  TEDTalk ยังต้องเชิญ Wooden ไปพูดในงานอีเว้นท์ของเว็บมาแล้วนะครับ ในเว็บไซต์มีเรื่องราวดีๆ หลากหลายแง่มุมของเขาให้เก็บเกี่ยวไปใช้เป็นแรงผลักดันได้ไม่มีวันหมด โดยเฉพาะเรื่อง pyramid for success (ปิรามิดแห่งความสำเร็จ)

Wooden จากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2010 แต่ความยิ่งใหญ่ของเขาจะคงอยู่ในใจของคนที่ยังไล่ล่าหาความสำเร็จต่อไปอีกนานเท่านาน

6. Academy of Achievement

“ไม่ว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน จุดเริ่มต้นแห่งชัยชนะเริ่มที่ตัวคุณ”

มาที่เว็บไซต์ของสถาบัน American Academy of Achievement กันบ้างนะครับ เป็นเว็บรวบรวมบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟของผู้ที่ประสบความสำเร็จในแขนงอาชีพสาขาต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะ แวดวงธุรกิจ วิทยาศาสตร์ วงการกีฬา ฯลฯ ถูกรวบรวมมาไว้เป็นพิพิธภัณฑ์เสมือนจริงให้เดินเข้าไปค้นหาแรงบันดาลใจกันได้ตลอด

ใครอยากประสบความสำเร็จอย่าง โอปราห์ วินฟรีย์  อยากรู้ว่าพิธีกรหญิงชื่อก้องโลกคนนี้ต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้างและมีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ ลองพาตัวเองเข้าไปชมกันได้ที่นี่ครับ

7. Jack Canfield

“ไม่ว่าใครก็ประสบความสำเร็จได้ ถ้ามีหลักการที่ดี”

Jack Canfield สุดยอดเทรนเนอร์ด้านความสำเร็จหมายเลข 1 ของอเมริกา มีผลงานตีพิมพ์ชุด Chicken Soup for the Soul เป็นหนังสือ Best Seller โด่งดังไปทั่วโลกจากยอดขายเกิน 100 ล้านเล่ม  

ทุกวันนี้ Jack Canfield ประสบความสำเร็จมากมายในงานที่ทำ เขาจึงอยากแบ่งปันข้อมูลและความรู้ที่มีให้กับทุกคนที่อยากประสบความสำเร็จ เว็บไซต์นี้จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นไกด์ให้ข้อมูล แนวทาง เป็นเหมือนแผนที่นำไปสู่ความสำเร็จนั่นเอง ผลงานของ Jack ที่แปลเป็นไทยมีจำหน่ายในบ้านเราแล้วก็คือ สูตรเด็ดความสำเร็จ (ฉบับหนุ่มสาว) ครับ

8. Jennifer Louden

“แรงบันดาลใจตัวแม่แด่ผู้หญิงทุกคนทั่วโลก”

เทรนเนอร์ด้านความสำเร็จที่เป็นผู้หญิงก็มีนะครับ และ Jennifer Louden หญิงสาวที่ประสบความสำเร็จในงานด้านนี้อย่างมาก ผลงานตีพิมพ์ระดับ Best Seller ของเธอที่ชื่อ The Women’s Comfort Book ซึ่งรวบรวมข้อมูลและแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงกล้าที่จะลุกขึ้นมาใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ

ทำให้เธอกลายเป็นตัวแม่ของบรรดาผู้หญิงทั่วโลกไปแล้ว  และในเว็บไซต์ของเธอเองก็จะมีเรื่องราว ข้อมูลดีๆ มาอัพเดทอย่างต่อเนื่อง ใครที่ลงทะเบียนสมัครสมาชิกกับเว็บ นอกจากจะได้รับข่าวสารส่งตรงเข้าอีเมลเป็นประจำ เขายังมีส่วนลดสำหรับซื้อสินค้า มีของขวัญกระจุกกระจิกมาฝากกันตามประสาผู้หญิงด้วยครับ

9. Laughter Yoga International

“หัวเราะสร้างพลังบวกในตัวคุณ”

“โยคะหัวเราะ” คิดค้นขึ้นโดย ดร.เมดาน คาทาเรีย แพทย์ชาวอินเดีย เป็นการออกกำลังกายที่ผสมผสาน “การหัวเราะอย่างไม่มีเงื่อนไข” ควบคู่ไปกับ “การหายใจแบบโยคะ” และกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก

ปัจจุบันมีสาขากว่า 6000 แห่งเปิดใน 60 ประเทศทั่วโลก หลักการของ “โยคะหัวเราะ” ก็คือทำให้คนเล่นหัวเราะออกมา เพราะการหัวเราะจะทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขหรือเอนโดรฟีนออกมานั่นเอง ทีนี้เมื่อมีความสุข ความเครียดก็หาย สามารถคิดอะไรที่เป็นบวกได้

ใครอยากมีความสุข ใครอยากหัวเราะรีบเข้าไปที่เว็บไซต์นี้กันเลย รับรองว่าจะมีเรื่องที่ทำให้ต้องหัวเราะออกมาได้แน่นอนครับ ลืมบอกไปว่าในบ้านเรามีสาขามาเปิดแล้วครับ

10. Debbie Ford

“ปรับลุค พิชิตความกลัว ปลุกพลังบวกในตัวคุณ”

Debbie Ford คือผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพและเสริมสร้างศักยภาพให้กับบุคคล เธอมีงานตีพิมพ์ระดับ Best-seller อย่าง The Dark Side of the Light Chasers, Spiritual Divorce และ The Secret of the Shadow เป็นผลการศึกษาชิ้นใหม่ทางด้านอารมณ์และจิตวิญญาณที่สร้างแรงสั่นสะเทือนเป็นอย่างมากไปทั่วโลก

เว็บไซต์ของ Debbie พูดถึงวิธีการเอาชนะความกลัว บอกถึงแนวทางในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง มีเรื่องของการทำสมาธิชำระล้างความคิดในแง่ลบ และอีกมากมายรอให้เข้าไปค้นหา           

สุดท้ายอยากบอกว่า อย่ารอให้ใครมาให้กำลังใจคุณ เพราะบางทีแรงบันดาลใจอาจจะไม่มีใครบันดาลได้ดีไปกว่าตัวคุณเองครับ

เรียบเรียงโดย ป๋อม – Learning Hub Team

ที่มา: http://www.8womendream.com/6460/the-top-48-motivational-and-inspirational-web-sites

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save