8  สิ่งดี ๆ ที่จะเกิดขึ้น ถ้าคุณลดการเล่นโซเชียลมีเดีย

ก่อนที่จะมีเฟซบุ๊ก ก่อนที่เราจะมีไลน์ มีสมารท์โฟน มีสไกป์ มีโปรแกรมแชทต่างๆ เราพูดคุยกับคนรอบข้างมากขึ้น มองหน้ากันมากขึ้น ได้ยินเสียงกันมากขึ้น แต่โซเชียลมีเดียอาจทำให้คุณมีปฎิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง โดยเฉพาะครอบครัว และคนรักที่แตกต่างกันออกไป การที่เราเล่นโซเชียลมีเดียน้อยลงนั่นไม่ได้ทำให้ฟ้าถล่ม โลกพังทลายลง เพียงแต่ว่าคุณจะมีชีวิตที่แตกต่างและเป็นไปในทางที่ดีขึ้น

1. คุณจะรู้สึกมีความสุขขึ้นกับการใช้ชีวิต

โซเชียลมีเดีย ทำให้คุณเห็นชีวิตความเป็นไปของแต่ละคน การงานเพื่อนฝูง สถานที่เที่ยว อาหารการกิน ปาร์ตี้ และชีวิตที่แต่ละคนต้องการโพสต์ออกสื่อว่าตัวเองมีชีวิตที่สนุกสนาน คุณอาจไม่ได้คิดอะไร แต่บางทีคุณอาจรู้สึกเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่น ซึ่งจริง ๆ แล้วความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และคนเราก็อยู่ในสภาพแวดล้อมและปัจจัยที่แตกต่างกัน การห่างจากโซเชียลมีเดียทำให้ชีวิตคุณมีความสุขขึ้นในแบบที่คุณเป็นจริง ๆ

2. คุณจะเป็นคนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การที่คุณเลื่อนดูหน้าเฟสบุ๊ค อินสตาแกรม และโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ทำให้คุณเพลิดเพลินและเสียเวลากับมันโดยไม่รู้ตัว การอยู่แต่หน้าจอทำให้คุณงานไม่เดิน และทำให้คุณสูญเสียความเป็นตัวเองมากขึ้น ไกลความฝันมากขึ้น โดยเฉพาะในเวลาทำงานคุณจะไม่ต้องพะวงว่ามีใครทักแชทหรือ Message หาคุณ ถ้าใครคนนั้นต้องการติดต่อคุณจริง ๆ พวกเขาควรโทรมาหาคุณ คุณควรวางแผนที่จะเล่นโซเชียลมีเดียทุกสองชั่วโมง และไม่ควรเกิน 15 นาทีต่อครั้ง

3. คุณจะรู้สึกซาบซึ้งในชีวิต

การที่คุณเลิกโซเชียลมีเดีย จะทำให้คุณเห็นความจริงของโลกมากขึ้น คุณจะรู้สึกพอใจกับชีวิตของคุณ ไม่มีการอิจฉาชีวิตของคนอื่นที่โพสต์ลงในโลกออนไลน์ คุณจะรู้สึกว่าชีวิตคุณก็เจ๋งได้ และคุณก็มีความสุขกับการใช้ชีวิต กินอาหารข้างทางที่คุณชอบ ไปเดินช็อปปิ้งตลาดนัดแถวบ้าน โดยไม่ต้องแคร์สื่อหรือสังคม หรือรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า เมื่อเห็นเพื่อนเช็คอินร้านอาหารหรู และเดินพารากอน คุณจะมองเห็นสังคมไทยในชีวิตจริงมากกว่าในโลกออนไลน์ไม่ว่าจะเป็น เด็กขายพวงมาลัย คนแก่ถูกทิ้ง ขอทาน และอื่น ๆ

4. คุณจะเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้น

โซเชียลมีเดียเหมือนจะทำให้คุณกับครอบครัว และเพื่อน ๆ ติดต่อกันมากขึ้น แต่คุณเคยสังเกตตัวเองไหมว่า กี่ครั้งที่คุณหลุดเข้าไปอยู่ในจอแห่งโลกออนไลน์แล้วทำให้คุณเลิกสนใจคนรอบข้าง บ่อยแค่ไหนที่คุณก้มกดหน้าจอมือถือ แท็บเล็ตไปมาแต่ไม่ได้เงยหน้ามองคนที่อยู่ข้างๆคุณ การที่คุณหลุดจากวงจรของโลกออนไลน์ได้ทำให้คุณใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้นและมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น จากการพูดหรือการสัมผัสกัน

5. คุณจะเห็นความสวยงามของโลกใบนี้มากขึ้น

การที่คุณใช้เวลามองโลกแห่งความเป็นจริงมากกว่ามองจอ คุณจะเห็นท้องฟ้า นก พระอาทิตย์ตกหรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวคุณ และคุณจะเห็นมุมมองที่กว้างขึ้น ความเชื่อมโยงของธรรมชาติ มากกว่าหน้าจอเล็ก ๆ ที่มีการปรุงแต่งภาพมาไว้ให้คุณมอง ความสวยงามแบบธรรมชาติถึงแม้จะไม่มีสีสันสวยเท่ากับการมองผ่านจอในโลกออนไลน์ แต่มันก็เป็นธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่คุณสัมผัสได้ ณ ตอนนั้น

6. คุณจะมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณสนใจแต่โซเชียลมีเดีย สมองของคุณจะถูกบล็อกให้รับแต่เนื้อหาและภาพในนั้น ทำให้คุณถูกตัดขาดจากโลกภายนอกและกลายเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์น้อยลง แต่ถ้าคุณเลิกเล่นโซเชียลมีเดีย คุณจะเป็นคนที่มีความคิดนอกกรอบมากขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น บางทีคุณอาจเรียนรู้วิธีการหาเงินจากสิ่งรอบตัวมีมุมมองใหม่ ๆ ก็ได้

7. คุณจะฉลาดและเก่งขึ้น

ถ้าคุณได้ล็อกเอาท์จากโซเชียลมีเดีย คุณจะได้ล็อกอินกับการใช้ชีวิตมากขึ้นคุณจะมีเวลาเหลือและทำในสิ่งที่มีประโยชน์กับชีวิต เช่น การอ่านหนังสือ การทำสมาธิ เข้าคอร์สเรียนภาษา การออกกำลังกาย คุณจะได้ลงมือทำอย่างจริงจัง แทนที่จะขึ้นสเตตัสในโซเชียลมีเดียว่ามีเวลาไม่พอ ทั้งที่จริงๆแล้วคุณเอาเวลาเล่นอินเตอร์เน็ตไปทำก็ได้ และการที่คุณเอาเวลาไปทำสิ่งเหล่านั้น ก็ทำให้ชีวิตคุณได้พัฒนาในทุกๆด้าน

8. คุณจะเป็นคนมีอนาคตมากขึ้น

อนาคตที่สดใสเริ่มจากปัจจุบัน การที่คุณมีนิสัยและ Lifestyle ที่ดีมันจะส่งผลต่อชีวิตคุณให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต คุณอาจยังไม่เห็นสิ่งที่คุณทำตอนนี้แค่ถ้าเวลาผ่านไป คุณจะไม่เสียใจเลยกับการที่คุณเลิกติดโซเชียลมีเดีย การที่คุณลงมือทำตามความฝัน อย่างจริงจัง จะทำให้ชีวิตคุณใกล้ถึงเป้าหมายและประสบความสำเร็จเร็วขึ้น มากกว่าวิ่งตามหรือดูชีวิตคนอื่นในโซเชียล เน็ตเวิร์ก

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://www.lifehack.org/318316/8-things-that-will-happen-you-break-with-social-media)

Categories EQ

10 กุญแจสำคัญไขประตูแห่งความสุข

10-tools-to-live-a-happy-life

คุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ” กล่าวคือ ในชีวิตจริงเราไม่สามารถมีชีวิตที่สุขสบายเหมือนดั่งเจ้าหญิงและเจ้าชายในนิยาย บางครั้งเราพบเจอกับสิ่งที่สวยงาม แต่บางครั้งเราต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้าย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชีวิตของเราจะมีทั้งสุขและทุกข์ แต่เราเลือกที่จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ได้ และกุญแจสำคัญที่จะช่วยคุณไขประตูแห่งความสุขได้ก็คือ “ทัศนคติ” ของคุณ

งานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่า ผู้ที่มองโลกในแง่ดีมีแนวโน้มที่จะอายุยืนยาว ส่วนผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายกลับมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น หากคุณต้องการทราบว่าตนเองเป็นคนมองโลกในแง่ดี หรือ มองโลกในแง่ร้าย ลองอ่านบททดสอบนี้ดู

หากมีแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วคุณจะมองมันอย่างไร ระหว่าง “มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว” กับ “มีน้ำหายไปครึ่งแก้ว” และคำตอบจะสะท้อนทัศนคติของคุณ หากคุณเลือก “มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว” คุณเป็นคนมองโลกในแง่บวก คุณชื่นชมและพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ในสถานการณ์นี้คุณรู้สึกว่าการมีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้วดีกว่าการมีเพียงแก้วเปล่า ในทางกลับกัน หากคุณเลือก “มีน้ำหายไปครึ่งแก้ว” คุณเป็นคนมองโลกในแง่ลบ คุณสนใจในสิ่งที่ขาดหายไป ดังนั้น คุณจะพยายามไขว่คว้าหาสิ่งอื่นมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย

เมื่อคุณรู้คำตอบแล้ว จงรักษาหรือปรับเปลี่ยนทัศนคติของคุณให้กลายเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก หากคุณไม่รู้วิธีที่จะทำมัน บทความนี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณมีมุมมองในการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากเดิม และพบกับความสุขในชีวิต

1) มองหาด้านดี ๆ ในสถานการณ์อันเลวร้าย

ในแต่ละวัน คุณต้องพบเจอกับเรื่องราวทั้งดีและร้ายปะปนกัน และเพื่อสนับสนุนทัศนคติการมองโลกในแง่ดี เมื่อคุณเผชิญกับเหตุการณ์แย่ ๆ ที่ทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดหรือโมโห ให้คุณพยายามคิดบวก มองหาด้านดีในสถานการณ์อันเลวร้ายนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเจอรถติดบนถนน แทนที่คุณจะบ่น ด่า หรือระบายความโมโหด้วยการบีบแตรเสียงดัง คุณอาจคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะใช้เวลาฟังเพลงโปรดของคุณให้นานขึ้น

2) ให้ความสนใจและชื่นชมกับสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว

ท่ามกลางสังคมที่วุ่นวาย มนุษย์เราต่างดิ้นรนไขว่คว้าหาความสุขในรูปแบบต่าง ๆ แต่หนึ่งในหลายวิธีที่ทำให้เราค้นพบความสุขก็คือ การได้ใกล้ชิดธรรมชาติ และสนใจต่อสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว

ผู้ที่นับถือนิกายเซนมีความสุขจากการพิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว พวกเขาจะชื่นชม ซึมซับ และมีความสุขไปกับสิ่งที่แสนธรรมดาและเรียบง่าย ยกตัวอย่างเช่น การได้เห็นผีเสื้อกระพือปีกเบา ๆ หรือการเฝ้ามองสายฝนอันชุ่มฉ่ำ และคุณก็สามารถนำเอาวิธีนี้ไปใช้ได้เช่นกัน สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นปัญหาใหญ่ ๆกลายเป็นเรื่องเล็กในพริบตา

3) ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม กล่าวคือ โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน และต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้นในยามที่เราประสบปัญหาในชีวิต เราย่อมต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และแน่นอนว่า หากเราเห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก หรือเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย หรือทางจิตใจ เราก็ควรที่จะช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นเช่นกัน

การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เราได้พัฒนาความคิดด้านบวกของตนเอง ในทางกลับกัน คนที่คิดเอาแต่ได้ จิตใจจะเต็มไปด้วยกิเลสและความทุกข์ ต่างกับคนที่คิดจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับคนอื่น พวกเขารู้จักและเห็นคุณค่าของการให้ และเมื่อเขาหยิบยื่นความปรารถนาดีให้กับผู้อื่นแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่าเขาจะยิ่งได้รับสิ่งดี ๆ กลับคืนมา

4) ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ

ในสังคมสมัยใหม่ ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกนิยม แต่ละคนต่างยึดถือตัวเองเป็นที่ตั้ง ให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนสิ่งอื่นใด จนนำมาซึ่งสภาวะต่างคนต่างอยู่ในสังคม

อย่างไรก็ตาม ประโยคที่ว่า “น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า” ยังคงสามารถใช้ได้ตลอดกาล มนุษย์ต้องอาศัยรวมกันเป็นกลุ่ม ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้น เราควรปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสมและจริงใจ ยกตัวอย่างเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น หากคู่สนทนาของคุณกำลังประสบปัญหา คุณก็ควรที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจ รับฟังและให้คำแนะนำแก่เขาด้วยความจริงใจ นอกจากนี้หากคุณสามารถช่วยเหลือเขาได้ ก็ควรที่จะทำโดยไม่หวังผลตอบแทน

5) รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

หากคุณนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้านทั้งวันโดยไม่ทำอะไรเลย คุณจะกลายเป็นคนขี้เกียจและเฉื่อยชาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นคุณจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์

หนึ่งในวิธีการสร้างสุขภาพกายและใจที่ดี คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม คุณควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกดีมีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน นอกจากนี้ คุณควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพราะจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งจะทำให้คุณมีความสุขและผ่อนคลายความตึงเครียดได้

6) ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน

ครอบครัวและเพื่อนคือคนที่รู้จักคุณดีที่สุด พวกเขารักคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข และเข้าใจคุณเกือบทุกเรื่อง ดังนั้นคุณจึงควรใช้เวลาอยู่กับพวกเขาบ้าง

การใช้เวลาร่วมกันของสมาชิกในครอบครัวสามารถทำได้ตั้งแต่กิจกรรมเล็ก ๆ ภายในบ้าน เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน ดูโทรทัศน์ร่วมกัน ไปจนถึงกิจกรรมนอกบ้าน เช่น การไปท่องเที่ยว หรือการดูภาพยนตร์ เป็นต้น นอกจากนี้ อย่าลืมที่จะแบ่งเวลาให้กับกลุ่มเพื่อนของคุณด้วย เพราะมิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญ  มันไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ดังนั้น เมื่อคุณเจอแล้ว จึงควรรักษาไว้ให้ดีที่สุด คุณอาจหาโอกาสพบปะสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนบ้าง สิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกดีและอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

7) เดินตามความฝันและทำสิ่งที่คุณสนใจจริง ๆ

หลายคนทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นหน้าที่หรือความรับผิดชอบที่ต้องทำ จนทำให้ลืมไปว่าตัวเองสนใจและต้องการอะไรจริง ๆ ดังนั้น จงค้นหาสิ่งที่คุณรัก และเมื่อคุณเจอแล้ว จงทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณมีความสุขและอิ่มเอิบใจ จงท่องให้ขึ้นใจว่าชีวิตของคนเราสั้นนัก ดังนั้น เราไม่ควรเสียเวลากับการทำสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง

8) ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ แต่ต้องรู้ข้อจำกัดของตัวเอง

การทำกิจกรรมที่คุณชอบ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นกีฬา การเล่นดนตรี หรือการท่องเที่ยวจะทำให้คุณพึงพอใจ และมีความสุข แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรทำสิ่งต่างๆอย่างสุดโต่งจนเกินไป เพราะนั่นจะทำให้คุณหมดสนุกและอาจทำให้คุณเครียดอีกด้วย ดังนั้น จงทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเหมาะสมไม่มากหรือน้อยจนเกินไป กล่าวคือ การเดินทางสายกลางเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

9) อย่าระบายความโกรธให้ผู้อื่น

แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากจะมีหน้าตาบูดบึ้ง หรือเป็นคนอารมณ์ร้าย ดังนั้น เมื่อคุณรู้สึกโกรธหรือโมโหสิ่งใดก็ตาม อย่าระบายอารมณ์ของคุณกับผู้อื่น เพราะมันจะทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบไปด้วย ความโกรธเปรียบเสมือนวงล้อแห่งไฟ และเมื่อคุณผลักวงล้อนี้ไปยังผู้อื่น มันจะเผาผลาญและแสดงพลังต่อผู้ที่อยู่รอบข้าง เพราะฉะนั้น หากคุณเริ่มหงุดหงิด ให้พยายามเบี่ยงเบนอารมณ์และระงับความรู้สึกนั้น โดยการคิดถึงสิ่งดีดป ๆ คุณอาจเดินออกไปข้างนอกเพื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ตึงเครียดนั้น สูดลมหายใจลึกๆ จนกระทั่งความโกรธนั้นหายไป

10) ลดการรับสื่อที่ไม่มีประโยชน์

สังคมทุกวันนี้เต็มไปด้วยสื่อมากมายหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น รายการทางโทรทัศน์ออกอากาศละครที่มีเนื้อหาไม่สร้างสรรค คลื่นวิทยุมักเปิดเพลงที่มีเนื้อหาด้านลบ เช่น เพลงอกหัก หลงรักคนมีเจ้าของ หรือเพลงที่มีเนื้อหาล่อแหลม สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจของคุณหม่นหมองและเป็นการยั่วยุให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบอีกด้วย ดังนั้นเพื่อให้จิตใจของคุณมองโลกในแง่บวก คุณควรเลือกรับข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์และไม่ควรติดตามหรือเสียเวลากับสื่อที่ไม่มีประโยชน์

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://expandedconsciousness.com/2015/08/09/10-tools-to-live-a-happy-life/)

6 เทคนิคปรับความคิด ชีวิตเปลี่ยนตลอดไป

คุณเชื่อหรือไม่ว่าความคิดของคนเรามีพลัง มีอิทธิพลในการสร้างสรรค์และผลักดันสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นอย่างมากมาย เรื่องราวดีๆหรือเลวร้ายที่เราประสบพบเจอนั้นมาจากสิ่งที่เราคิดทั้งนั้น กล่าวคือ หากคุณมองโลกในแง่ดี คุณก็จะมีพลังด้านบวกที่คอยสนับสนุนให้ตัวคุณมีพฤติกรรมที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี และคุณก็จะได้รับผลดีเป็นการตอบแทน

ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ความคิดเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนด

ในทางกลับกัน หากความคิดของคุณเต็มไปด้วยอคติ จิตใจของคุณก็จะหม่นหมอง หดหู่ ซึ่งจะก่อให้เกิดการกระทำในแง่ลบ และส่งผลร้ายให้กับชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย ความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง มันสามารถเป็นได้ทั้งเชื้อเพลิงที่ลุกโชติช่วงให้แสงสว่างกับชีวิต และเป็นดั่งไฟที่แผดเผาตัวเราให้มอดไหม้ กล่าวคือ ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ความคิดเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนด

ดังนั้น เราจึงควรปรับเปลี่ยนความคิดของเราให้เป็นไปในด้านบวก เพื่อช่วยสนับสนุนและส่งเสริมพฤติกรรมดีๆให้เกิดขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถนำเคล็ดลับ 6 ข้อที่ช่วยปลุกความคิดดีๆไปประยุกต์ใช้ และคุณจะได้พบกับชีวิตที่สดใสและสวยงามตลอดไป

1. พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้

แท้จริงแล้ว สมองถูกออกแบบให้มนุษย์เรามีความคิดเชิงลบมากกว่าเชิงบวก สิ่งนี้เชื่อมโยงกับสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเจอกับเหตุการณ์อันเลวร้ายที่ทำให้เราหมดสิ้นหนทาง หรือรู้สึกมืดแปดด้าน สมองจะสั่งการให้ตัวเรามีแรงฮึด และปลุกพลังภายในที่ซ่อนอยู่ เพื่อให้เราสามารถต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายได้

แต่เมื่อสมองประมวลผลเหตุการณ์ต่างๆในแง่ลบ ทั้งๆที่เราอยู่ในสถานการณ์ปกติ ผลลัพธ์ก็จะออกมาตรงกันข้าม เพราะคุณจะเกิดความคิดอคติซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรม

ดังนั้น เมื่อเรารู้เท่าทันธรรมชาติของสมอง เราจึงควรคิดถึงแต่สิ่งดีๆในชีวิต คุณควรรู้สึกขอบคุณครอบครัวที่แสนดี เพื่อนที่น่ารัก งานที่ท้าทาย และระงับความรู้สึกไม่พอใจเรื่องเพื่อนร่วมงานจอมป่วน เจ้านายผู้เข้มงวด ลูกน้องที่ไม่เอาไหน เป็นต้น

วิธีคิดเช่นนี้จะทำให้โลกของคุณเปลี่ยนไป การพอใจใจในสิ่งที่มี และการขอบคุณสิ่งที่ได้รับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้จิตใจของคุณสดใส อิ่มเอม และมีความสุข

2. เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวคุณเอง

นักจิตวิทยาหญิงท่านหนึ่งชื่อ คารอล เขียนในหนังสือของเธอว่า “ความคิด” แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ความคิดแบบยึดติด และความคิดแบบยืดหยุ่น ผู้ที่มีความคิดยึดติดเป็นพวกที่เชื่อว่าความสามารถของตนเองเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก พวกเขามักคิดว่าตนเองเก่งหรือแย่ในด้านใดด้านหนึ่งอย่างสุดโต่ง

และเมื่อพวกเขาเจอกับอุปสรรค พวกเขาก็จะยอมแพ้โดยง่าย นอกจากนี้ เมื่อพวกเขาเห็นความสำเร็จของคนอื่น ความรู้สึกกลัว ความผิดหวัง และความพ่ายแพ้ก็จะผุดขึ้นมาในหัวของพวกเขาทันที ในทางกลับกัน คนอีกประเภทที่มีความคิดยืดหยุ่น พวกเขาเชื่อว่าคนเราสามารถปรับปรุงและพัฒนาได้

ดังนั้น เราจะเห็นคนกลุ่มนี้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งรอบข้างตลอดเวลา พวกเขาเข้าใจว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น จึงไม่น่าแปลกใจว่าศักยภาพของพวกเขาจะเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

หากเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มคนที่มีความคิดแบบยึดติดกับกลุ่มคนที่มีความคิดแบบยืดหยุ่น จะพบว่าคนที่มีความคิดยืดหยุ่นจะรู้สึกสงบและมีความสุขในชีวิตมากกว่า เพราะพวกเขาสามารถควบคุมสิ่งต่างๆได้ดี พวกเขามีอิสระที่จะทำตามที่ใจต้องการ และประสบความสำเร็จมากกว่า

3. รักษาความเป็นตัวของตัวเอง และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น

บ่อยครั้งที่เรารับฟังคำพูด คำวิจารณ์ และความคิดเห็นของคนอื่นๆมากจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น สื่อในโลกออนไลน์ก็มีอิทธิพลต่อความคิดของคนในยุคปัจจุบันอย่างมาก สิ่งเหล่านี้ทำให้เราหลงทาง และลืมความเป็นตัวของตัวเองไป ตัวอย่างง่ายๆ

เช่น คุณเป็นคนชอบสีเขียว แต่ตอนนี้สีดำกำลังเป็นที่นิยม ดังนั้น คุณจึงเลือกซื้อสิ่งของที่มีสีดำเพื่อให้ทันสมัยกับกระแสสังคมในปัจจุบัน พฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่คุณรู้สึกกลัวหรือไม่มั่นใจในตัวเอง คุณจึงพยายามปรับเปลี่ยนหรือทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองดูดีในสายตาของคนอื่น

แต่ความเป็นจริงแล้ว คุณไม่ได้เป็นเช่นนั้นคุณต้องเสแสร้งแกล้งทำในสิ่งที่คนอื่นต้องการเพื่อให้คนอื่นพอใจ เพราะคุณเชื่อว่าคุณจะเป็นที่รักของคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การซ่อนความเป็นตัวตนไว้ภายใน ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง เพียงเพื่อทำให้คนอื่นพอใจ สุดท้ายแล้วตัวคุณเองก็จะไม่มีความสุขวิธีการแก้ไขก็คือ คุณควรติดต่อสื่อสารกับผู้คนรอบข้าง เปิดใจให้กว้าง และยอมรับกับความแตกต่างหลากหลาย

แต่สิ่งสำคัญก็คือ คุณต้องไม่ปล่อยให้ความเชื่อของบุคคลอื่นครอบงำชีวิตหรือบดบังความเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณ การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าทุกคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ทุกคนมีความโดดเด่น และมีความเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้น จงรักษาสิ่งที่มีคุณค่านี้ไว้

4. มองโลกในแง่ดี

การมองโลกในแง่ดีเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่จะช่วยให้ชีวิตคุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น หากคุณมองโลกในแง่ร้าย คุณก็จะกลายเป็นคนที่ขี้ระแวง ใจแคบ ไม่มีการพัฒนา และแน่นอนว่าคุณจะไม่มีความสุข ในทางตรงกันข้าม หากคุณมองโลกในแง่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส คุณจะเปิดใจยอมรับสิ่งต่างๆในชีวิต และทำให้คุณมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น

เช่น สมมุติว่าหัวหน้าเสนองานชิ้นหนึ่งให้คุณทำ หากคุณมองในแง่ลบ คุณจะคิดว่างานชิ้นนั้นยากมาก คุณไม่มีทางทำได้สำเร็จ มันจะทำให้คุณเหนื่อยเปล่า และเบียดบังเวลาในการทำงานอื่นๆของคุณ

ในทางตรงกันข้าม หากคุณมองในแง่บวก คุณจะรู้สึกว่าหัวหน้าไว้วางใจให้คุณทำงานชิ้นนี้ ซึ่งจะเป็นโอกาสพิสูจน์ความสามารถ และพัฒนาตนเอง อุปสรรคต่างๆเป็นสิ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้ หากคุณทำงานชิ้นนี้สำเร็จ คุณจะได้รับการยอมรับมากขึ้น และนั่นจะเป็นบันไดที่ทำให้คุณก้าวไปสู่ดวงดาว

5. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น

คุณเคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่านิ้วมือทั้งห้าของคนเรายาวไม่เท่ากัน แต่นิ้วมือทุกนิ้วมีความสำคัญหมด มนุษย์เราก็เช่นกัน ทุกคนมีข้อดีของตัวเอง ดังนั้น จงอย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับเปลือกภายนอก

เราโพสต์รูปอาหารการกิน ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว และสิ่งอื่นๆเพื่อให้ตนเองดูดี และมีคุณค่า หากคุณปล่อยให้สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อความคิดของคุณ คุณจะพบกับความเหนื่อยใจ เพราะคุณจะวิ่งไล่ตาม และเสาะแสวงหาสิ่งที่คุณเห็นว่าสามารถให้ความสุขแก่คุณได้ แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นความสุขจอมปลอม คุณไม่มีทางที่จะพบกับความสุขสงบได้ หากคุณเอาคนอื่นเป็นที่ตั้ง

ดังนั้น เพียงแค่คุณรู้ว่าตัวคุณต้องการอะไร คุณมีความสุขกับสิ่งไหน คุณก็ไม่จำเป็นต้องอิจฉาหรืออยากมีชีวิตแบบคนอื่นๆ เพราะสิ่งที่คุณสัมผัสได้ให้ความสุขกับคุณมากพอแล้ว

6. เชื่อมั่นในความเป็นไปได้

ความคิดเป็นตัวกำหนดทิศทางของชีวิต ดังนั้น หากคุณเริ่มต้นทำสิ่งใด และคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ คุณก็จะไม่มีทางพบกับความสำเร็จ คุณสามารถเปลี่ยนวิธีคิดแบบนี้ได้โดยการตั้งคำถามและคิดว่ามันเป็นไปได้

เช่น หากคุณเชื่อว่าคุณไม่สามารถทำงานชิ้นหนึ่งได้ ให้คุณลองตั้งคำถามกับตัวเองว่าฉันจะสามารถทำมันให้สำเร็จได้อย่างไร หรือหากคุณทำงานชิ้นหนึ่งและมันไม่ได้ผล คุณก็ลองเปลี่ยนมาตั้งคำถามใหม่ว่า จะสามารถทำมันให้ได้ผลได้อย่างไร

การเปลี่ยนแปลงจากประโยคปฏิเสธเป็นประโยคคำถาม คือการกระตุ้นพลังความคิดอีกวิธีหนึ่ง ที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด คุณต้องมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งต่างๆสามารถเป็นไปได้ เพราะทุกสิ่งเริ่มต้นที่ความเชื่อ ดังนั้น หากคุณเชื่อว่าเป็นไปได้ ประตูแห่งโอกาสจะเปิดรับคุณเอง

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://www.lifehack.org/319379/simple-mindsets-that-can-make-you-calm-and-happy-every-day)


สร้างความสุข และความสำเร็จในชีวิต

ด้วยการฝึก “ทักษะการฟัง” เพื่อให้เกิดการสื่อสารที่แท้จริงต่อกัน

หลักสูตร “ฟังเป็น เปลี่ยนชีวิต”

หลักสูตร 1 วัน ที่จะเปลี่ยนมุมมองความคิด เปลี่ยนชีวิตด้วยการฟัง 

ดูรายละเอียดคอร์สนี้คลิกที่นี่

5 ความมหัศจรรย์ของงานจิตอาสา

5-wonderful-things-will-happen-when-you-start-volunteering

เราทุกคนล้วนมีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่อยู่ที่ว่าเราจะค้นพบมันหรือไม่ บางคนเก่งเรื่องการให้กำลังใจและสนับสนุนผู้อื่น บางคนสามารถสร้างรอยยิ้มและทำให้คนอื่นหัวเราะ บางคนถนัดด้านการปลอบประโลมจิตใจ เป็นต้น เราทุกคนล้วนมีพลังและความสามารถภายในตนเอง ดังนั้น จงหยิบยื่นและแบ่งปันสิ่งดีๆเหล่านี้ให้กับผู้คนที่อยู่รอบข้าง เพราะหากคุณช่วยเหลือคนอื่นๆในวันนี้ พรุ่งนี้คนอื่นๆอาจช่วยเหลือคุณเช่นกัน

การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เช่น การทำงานอาสาสมัคร เป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง เพราะมันเป็น “การให้” ที่คุณไม่ต้องเสียเงิน แถมคุณยังจะได้รับสิ่งดีๆกลับคืนมาอีกด้วย การทำงานอาสาสมัครมีประโยชน์มากมาย เพราะนอกจากคุณจะได้รู้จักการให้แล้ว คุณยังได้รับประสบการณ์และได้พัฒนาตนเองในอีกหลายๆด้าน แต่หากคุณยังคิดถึงข้อดีของการทำงานอาสาสมัครไม่ออก ลองอ่านบทความนี้ดู แล้วคุณจะพบว่าการทำงานอาสาสมัครให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด

1) คุณได้ช่วยเหลือผู้อื่น

การทำงานอาสาสมัครเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นโดยสมัครใจ ผู้ที่อุทิศแรงกาย แรงใจ เวลา และสติปัญญาเพื่อปฏิบัติงานที่เป็นสาธารณประโยชน์คือผู้ที่มีความเสียสละ และรู้จักช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ พวกเขาจะใช้เวลาในการทำกิจกรรมจิตอาสาต่างๆตามที่ตนเองชอบและสนใจ เช่น การบริจาคเลือด การบริจาคสิ่งของ การทำความสะอาดโรงเรียน การอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง เป็นต้น สำหรับพวกเขาการทำงานอาสาสมัครไม่ใช่เพียงแค่การทำความดี และได้ผลดีเฉพาะตนเองเท่านั้น แต่มันเป็นเหมือนการหว่านเมล็ดพืช และเมื่อต้นกล้าเจริญงอกงาม เติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่แล้ว ก็จะส่งผลดี และเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นๆด้วย

เดนเซล วอชิงตัน ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศด้านวิชาการเล่าว่า ในสมัยที่เขายังเด็ก เขาเข้าร่วมกิจกรรมในชมรมลูกเสือเนตรนารี และได้บำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ เช่น เก็บขยะ ปลูกต้นไม้ ทาสีโรงเรียน สร้างห้องสมุด เป็นต้น หลังจากที่เขาเติบโตขึ้น และกลับมาเป็นวิทยากรที่ชมรมนี้อีกครั้ง เขารู้สึกภาคภูมิใจและพูดได้อย่างเต็มปากว่า ตนเองได้ช่วยเหลือและทำกิจกรรมจิตอาสามากมาย และเขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นหลังในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้เกิดขึ้นต่อไป

2) คุณได้รู้จักเพื่อนใหม่ และได้เชื่อมความสัมพันธ์กับคนอื่นมากขึ้น

หากคุณย้ายที่อยู่เข้าไปอาศัยในชุมชนแห่งใหม่ การทำกิจกรรมจิตอาสาจะช่วยให้คุณรู้จักเพื่อนใหม่ๆ และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นได้เร็วขึ้น เนื่องจากการทำงานอาสาสมัครจำเป็นต้องมีการติดต่อสื่อสาร และประสานงานซึ่งกันและกัน คุณจะได้พบเจอผู้คนมากมาย และเปลี่ยนความคิดเห็น และฝึกการทำงานร่วมกันเป็นทีม

กิจกรรมจิตอาสาเป็นเหมือนกับสนามฝึกที่สอนให้คุณรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น ลดความเห็นแก่ตัว และตั้งใจรับผิดชอบงานในบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม สิ่งนี้จะช่วยหล่อหลอมจิตใจแห่งการให้หรือสร้างจิตอาสาในตัวคุณ ทั้งนี้ หากเกิดปัญหาขึ้นในทีม ทุกคนจะต้องช่วยกันแก้ไข ร่วมไม้ร่วมมือ และยึดเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

3) คุณได้รู้จักตัวเองมากขึ้น

การทำงานอาสาสมัครเป็นการเปิดโอกาสให้คุณรู้จักตนเองมากขึ้น เพราะกิจกรรมจิตอาสาแต่ละประเภทมีความแตกต่างหลากหลาย ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณชอบกิจกรรมกลางแจ้ง จนกระทั่งคุณได้มีโอกาสไปปลูกต้นไม้ หรือไปแจกของให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม เป็นต้น

การทำกิจกรรมจิตอาสายังเป็นพื้นที่ให้คุณได้ไปตามความฝัน และความปรารถนา ซึ่งคุณอาจได้ค้นพบงานอดิเรกหรืองานที่คุณรักในอนาคต เช่น บางคนชอบสุนัข มีความสุขที่ได้ไปช่วยสุนัขจรจัดและหาที่อยู่ให้มัน บางคนชอบไปอยู่กับธรรมชาติ และทำให้ธรรมชาติงดงามขึ้น เป็นต้น

นอกจากนี้ งานอาสาสมัครเป็นงานที่ทำให้คุณได้ทำในสิ่งที่แปลกใหม่ ลดความซ้ำซากจำเจจากงานประจำที่ทำอยู่ ส่งผลให้คุณค้นพบศักยภาพและความสามารถที่ซ่อนอยู่ หรือไม่เคยรู้มาก่อน รวมทั้งอาจเกิดความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการทำงานประจำ หรือการพัฒนาองค์กรในด้านต่างๆ

4) คุณได้ลดความเสี่ยงของการเสียชีวิต

งานวิจัยซึ่งจัดทำโดยสถาบันการให้บริการชุมชนและประเทศชิ้นหนึ่งระบุว่า ผู้ที่ทำงานอาสาสมัครมากกว่า 100 ชั่วโมงต่อปี จะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงกว่าคนที่ไม่ได้ทำงานอาสาสมัคร เนื่องจากการทำกิจกรรมจิตอาสา โดยเฉพาะเมื่อได้ทำงานที่ชอบตัวอาสาสมัครเองจะมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดฟินหรือสารแห่งความสุข ซึ่งจะทำให้มีสุขภาพดีตามไปด้วย

กล่าวคือ การทำอะไรเพื่อผู้อื่น นอกจากจะสร้างสังคมให้น่าอยู่แล้ว ยังก่อให้เกิดความอิ่มเอมใจ ความรู้สึกมีคุณค่า ซึ่งเมื่อสุขภาพใจสมบูรณ์แล้ว สุขภาพกายก็แข็งแรงตามไปด้วย

5) คุณจะมีความสุขมากขึ้น

บางครั้งคุณอาจต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆมากมายในชีวิต คุณอาจท้อแท้ ผิดหวัง รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า แต่การทำงานอาสาสมัครจะทำให้คุณเปลี่ยนความคิดเหล่านี้ เพราะเมื่อคุณได้ทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่น คุณจะรู้สึกอิ่มเอมใจ และเห็นคุณค่าในตัวเอง

ดังนั้น หากคุณยังไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกอบอุ่นใจและความสุขจากการให้ ลองเริ่มต้นทำกิจกรรมจิตอาสา แล้วคุณจะพบความมหัศจรรย์ของมัน การได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ หรือทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตามจะทำให้คุณรู้สึกดี มีความสุข สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ และทำให้คุณรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://www.lifehack.org/323952/5-wonderful-things-will-happen-when-you-start-volunteering)

10 คำคมสร้างแรงบันดาลใจในตัวคุณ

10-inspirational-quotes-to-help-start-your-day

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้มนุษย์เราประสบความสำเร็จในชีวิต คือ “แรงบันดาลใจ” สิ่งนี้เปรียบเสมือนไฟที่ลุกโชติช่วง สร้างความหวังและความมั่นใจให้มนุษย์ได้เดินตามความฝัน กล่าวคือ แรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่ทำให้คนเรามีแรงขับเคลื่อนในการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ

หากคุณยังหาตัวเองไม่เจอ และไม่รู้ว่าตัวเองมีแรงบันดาลใจอะไร บทความนี้ได้รวบรวม 10 คำคมจากบุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งจะทำให้คุณเกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น

1) “ความลับของความสำเร็จคือ การเริ่มต้น” (มาร์ก ทเวน)

ความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จ กับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ คือ การเริ่มต้นลงมือทำ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ คือ ผู้ที่กล้าก้าวเดินไปยังจุดหมายด้วยความเชื่อว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่รอคอยอยู่เบื้องหน้า พวกเขามั่นใจว่าตนเองจะมองเห็นเส้นทางไปสู่ความฝันนั้นได้เมื่อเวลาผ่านไป ในทางกลับกัน ผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จมักผัดวันประกันพรุ่ง พวกเขามีข้ออ้างในการเริ่มต้นเสมอ เขาใช้ “ความไม่รู้” เป็นปราการขัดขวางตนเองจากจุดเริ่มต้น ดังนั้น เพียงแค่คุณไม่รีรอที่จะก้าวไปข้างหน้า และเดินตามความฝัน คุณก็จะพบความสำเร็จได้ไม่ยาก

2) “จงยอมรับความท้าทายเพื่อสัมผัสกับชัยชนะอันสวยงาม” (จอร์จเอส. แพตตัน)

คำพูดที่ว่า “ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ” หรือ “ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ” เป็นสิ่งเตือนใจให้เราเข้มแข็งและต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ กล่าวคือ การที่คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตย่อมต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเริ่มแรกของการลงมือทำ คุณอาจจะพบว่ามันช่างซับซ้อนและยากลำบากแต่หากคุณรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้ คุณจะได้พบกับผลลัพธ์ที่คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นความภูมิใจ ชัยชนะ และสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้น

3) “ภาพความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เกิดจากภาพความสำเร็จเล็กๆรวมกัน” (คริสโตเฟอร์ มอร์เลย์)

เรามักคิดว่าคนที่สามารถทำฝันใหญ่ๆได้สำเร็จ ไม่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง แท้จริงแล้ว พวกเขามีตัวตน และเป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับคุณ พวกเขาเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆค่อยๆก้าวทีละก้าว และพยายามตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงเป้าหมาย และคุณเองก็สามารถเป็นเช่นนั้นได้ เพียงแค่คุณตั้งเป้าหมายใหม่ๆในชีวิต พยายามทำอย่างต่อเนื่อง และนั่นเป็นหนทางที่จะทำให้ความฝันเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น

4) “กระโดด พร้อมเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดีเอง และคุณจะสามารถลงพื้นได้อย่างปลอดภัย” (จอห์น เบอโรห์ส)

ก่อนที่จะทำสิ่งใด หากคุณรอคอยให้ทุกอย่างพร้อมสรรพหรือสมบูรณ์แบบ คุณจะต้องรอคอยตลอดไป และไม่มีวันที่คุณจะทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ จงศรัทธาและเชื่อมั่นในสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยทำ คำคมนี้สอนให้คุณเชื่อมั่นในความฝัน และความเป็นไปได้ อย่าปล่อยให้ “ความกลัวหรือความไม่รู้” ขัดขวางคุณจากการเดินตามความฝัน จงเชื่อมั่นว่าคำตอบและการสนับสนุนทั้งหลายอยู่ข้างหน้าคุณ และมันจะปรากฏให้คุณเห็นเมื่อคุณต้องการ

5) “สิ่งสำคัญไม่ใช่การที่คุณก้าวได้ช้า แต่คือการที่คุณไม่หยุดก้าว” (ขงจื๊อ)

ในช่วงเริ่มต้นของการทำสิ่งใด คุณอาจรู้สึกว่าตัวเองย่ำอยู่กับที่ หรือแทบจะไม่ก้าวไปข้างหน้าเลย แต่แท้จริงแล้ว คุณกำลังก้าวไปอย่างช้าๆ และไม่น่าเชื่อว่า แต่ละก้าวของคุณมีพลังในการทำสิ่งต่างๆอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกๆก้าวเปรียบเสมือนแรงที่ช่วยผลักดันให้คุณไปถึงเป้าหมาย ความสำเร็จที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นเปรียบได้กับก้อนหิมะที่ค่อยๆกลิ้งลงมาจากภูเขา ดังนั้น จงเชื่อมั่นว่าหากคุณไม่หยุดอยู่กับที่ ความสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้น และคุณก็จะเข้าใกล้ความฝันของคุณมากขึ้นเรื่อยๆ

6) “อย่าเสียเวลามองนาฬิกา จงสนใจเฉพาะสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่” (แซม เลเวนสัน)

หากคุณกำลังเดินตามความฝัน จงอย่าวอกแวกกับสิ่งรอบข้าง ให้สนใจเฉพาะสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ และใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด ยกตัวอย่างเช่น นักวิ่งเสียเวลาและวิ่งได้ช้าลงเมื่อเขาเหลือบมองคู่แข่ง กล่าวคือ การพะวงเรื่องคะแนน หรือกังวลว่าตอนนี้ตนเองอยู่ลำดับที่เท่าไหร่เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์และขัดขวางความก้าวหน้า ดังนั้น จงมองไปข้างหน้า สนใจเฉพาะสิ่งที่คุณกำลังทำ และทุ่มเททำอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพราะนี่คือหนทางไปสู่ความสำเร็จ

7) “ปัญหายิ่งยากเท่าไหร่ รางวัลแห่งความสำเร็จยิ่งคุ้มค่าเท่านั้น” (โธมัส เพน)

เมื่อเผชิญกับปัญหาอุปสรรคต่างๆ คนที่ไม่ประสบความสำเร็จมักล้มเลิกความฝันและหยุดกลางคัน ในทางกลับกัน คนที่ประสบความสำเร็จต่างเข้าใจว่าปัญหานั้นเปรียบเสมือนบททดสอบบทหนึ่ง ดังนั้น เมื่อพวกเขาเจอสิ่งที่ท้าทาย พวกเขาจะรู้สึกขอบคุณช่วงเวลาอันยากลำบาก เพราะมันช่วยให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น และสิ่งนี้จะทำให้พวกเขาได้รับผลตอบแทนที่มีค่า และนำทางไปสู่ความสำเร็จ

8) “แม้ว่าคุณจะล้ม คุณก็ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้า” (วิคเตอร์ เคียม)

“คนที่ไม่เคยผิดพลาด คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย” ประโยคนี้สอนให้คุณรู้ว่า ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่มันเป็นสิ่งวิเศษ คุณสามารถนำความผิดพลาดนั้นมาทบทวนและเรียนรู้เพื่อช่วยป้องกันข้อผิดพลาดในอนาคตได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยสอนให้คุณรู้ว่าการที่คุณจะประสบความสำเร็จ คุณต้องทำอย่างไรบ้าง ดังนั้น เมื่อคุณล้มลง อย่าได้ท้อแท้สิ้นหวัง จงท่องให้ขึ้นใจว่า คุณกำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์อันล้ำค่า และเรียนรู้บางสิ่งที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในอนาคต

9) “เราจะพบข้อจำกัดที่แท้จริงของตัวเอง เมื่ออยู่ในสถานการณ์กดดัน” (เฮอร์เบิร์ต ไซมอน)

คนส่วนใหญ่คิดว่าตนเองมีข้อจำกัดต่างๆ แต่การคิดเช่นนั้นเป็นเหมือนการสร้างกำแพงให้กับตัวเอง แท้จริงแล้ว เรามีความสามารถมากกว่าที่เราคิด และข้อจำกัดที่คุณสร้างขึ้นนั้นไม่มีอยู่จริง ดังนั้น จงปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ อย่ากลัวที่จะทำสิ่งที่แตกต่างจากเดิม เพราะหากคุณยังเดินอยู่ในเส้นทางเดิมๆ คุณไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต

10) “อย่ายอมแพ้ น้ำมีขึ้นมีลง” (แฮเรียต บีเชอร์สโตว์)

เมื่อคุณรู้สึกหมดสิ้นหนทาง ให้คิดว่าชีวิตย่อมมีขึ้นมีลง จงผลักดันตัวเองให้ก้าวต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ แล้วคุณจะพบกับความสำเร็จ อุปสรรคต่างๆเป็นเพียงบททดสอบหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าคุณสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ จงเชื่อมั่นและพยายามอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าคุณจะเจอกับปัญหาที่ท้าทายเพียงใด การที่คุณแก้ไขปัญหาต่างๆโดยที่ยังยึดมั่นกับเป้าหมายในยามที่ยากลำบากจะเป็นประตูสู่ความสำเร็จของคุณ

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://expandedconsciousness.com/2015/08/15/10-inspirational-quotes-to-help-start-your-day/)

30 เรื่องจิ๋วแต่แจ๋ว ทำแล้วสุขสุดๆ

little-things-you-can-every-day-refresh-your-life

เชื่อว่าทุกคนเกิดมาคงเคยมีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น บางคนทุกข์เนื่องจากกังวลว่าตนเองจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ หรือประสบความสำเร็จมากพอหรือยัง บางคนมักเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นๆและมักรู้สึกว่าตนเองไม่ดีพอหรือมีสิ่งที่ขาดหายไปบางคนเป็นพวกมองโลกในแง่ร้าย เจ้าคิดเจ้าแค้น เห็นแก่ตัว เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเรามีจิตใจโศกเศร้า หม่นหมอง หรือเกิดความทุกข์นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม จงอย่าลืมว่าชีวิตคนเราสั้นนัก อย่ามัวเสียเวลากับเรื่องที่ทำให้เราไม่สบายใจ เราควรใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่าและทำให้ตนเองมีความสุขมากที่สุดบทความนี้เปิดเผยเรื่องราวง่ายๆในชีวิตประจำวันที่คุณสามารถทำได้เพื่อเติมความสุขให้กับชีวิตของคุณ

1) ทำสิ่งที่คุณชอบทำตอนเด็กๆ เช่น นั่งชิงช้า เล่นเกม หรืออ่านหนังสือการ์ตูน คุณจะรู้สึกเพลิดเพลินกับกิจกรรมที่ไม่ได้ทำมานาน และนั่นจะทำให้คุณยิ้มได้

2) ฟังเพลงอัลบั้มโปรดสมัยที่คุณยังวัยรุ่น และหวนรำลึกถึงช่วงเวลา ณ ตอนนั้น สิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกเบิกบานใจและกระชุ่มกระชวย

3) เดินเตร็ดเตร่ยามเย็นในสถานที่ร่มรื่น เช่น อุทยาน หรือ สวนสาธารณะ คุณจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ และรู้สึกสดชื่นมากยิ่งขึ้น

4) หากคุณมีโอกาส ลองเต้นหรือทำท่าทางแปลกประหลาด คุณอาจทำในครัว ริมถนน หรือในห้องน้ำ และเมื่อคุณได้ปลดปล่อย คุณจะอารมณ์ดีขึ้น

5) เดินสำรวจสถานที่ต่างๆในละแวกที่คุณพักอาศัยคุณอาจลองเข้าไปซื้อของในร้านใหม่ๆ หรือลองทานอาหารเมนูใหม่ๆ สิ่งนี้จะทำให้คุณพบกับประสบการณ์ใหม่ๆ และคุณอาจจะพบสิ่งที่คุณกำลังตามหาก็ได้

6) ชงเครื่องดื่มร้อนๆถ้วยโปรด เช่น ชา โกโก้ หรือช็อคโกแล็ตและนั่งจิบมันอย่างช้าๆบนโซฟา แค่นี้คุณก็จะรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจแล้ว

7) ลองเล่นโยคะหรือออกกำลังกายเบาๆ เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกดีและกระฉับกระเฉงมากขึ้น

8) ฟังเพลงโปรดพร้อมๆกับจุดเทียนหอมในห้องนอนของคุณ เมื่อประสาทสัมผัสทางการได้ยินและได้กลิ่นทำงาน คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย

9) เขียนสิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณ 3 สิ่งในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อย เช่น ขนมชิ้นเล็กๆที่ทำให้คุณอิ่มท้อง ไปจนถึงบุคคลที่คุณรักเช่นเพื่อนหรือครอบครัว

10) ทำสิ่งที่คุณรักและมีความสำคัญกับคุณ เช่น การเขียนหนังสือ การเล่นดนตรี การปลูกต้นไม้ หรือการทำงานฝีมือ เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้คุณได้พักผ่อนหย่อนใจ และช่วยให้คุณมีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น

11) ร้องเพลงที่คุณชอบ เพราะคุณจะรู้สึกผ่อนคลายและได้ปลดปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลง

12) ลองรับประทานอาหารเช้าบนเตียงสักครั้ง อย่าลืมว่าต้องเป็นอาหารที่มีประโยชน์และรสชาติอร่อย สิ่งนี้ช่วยให้คุณเริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างสดใส

13) ลองปลูกต้นไม้ หรือดอกไม้บ้าง เพราะมันจะช่วยให้คุณใจเย็นลง แต่หากบ้านของคุณไม่มีสวน คุณอาจลองเลี้ยงต้นไม้ที่ปลูกในร่มได้

14) ทำอาหารจานโปรดทานเอง โดยใส่ใจกับขั้นตอนการปรุงและการรับประทานอาหาร ซึ่งคุณจะพบว่าอาหารช่วยให้คุณผ่อนคลาย และอารมณ์ดีขึ้นได้

15) เยี่ยมชมสถานที่สาธารณะบริเวณใกล้ๆชุมชนที่คุณอาศัยอยู่ เช่น พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด หรือสวนสาธารณะ สถานที่เหล่านี้จะทำให้คุณพบกับประสบการณ์แปลกใหม่

16) หากคุณมีสัตว์เลี้ยง จงให้เวลากับมัน โดยการกอดมัน พามันไปเดินเล่น หรืออาบน้ำให้มัน

17) การวาดภาพ หรือระบายสีสามารถช่วยให้คุณผ่อนคลายและทำให้คุณเกิดจินตนาการใหม่ๆได้ แต่หากคุณไม่มีเวลามากนัก เพียงแค่สเก๊ตช์ภาพเร็วๆก็ได้

18) ในตอนต้นสัปดาห์ คุณอาจทำของว่างที่อร่อยและมีประโยชน์ เช่นขนมปังธัญพืช เพื่อที่ตลอดทั้งสัปดาห์คุณจะมีของทานเล่นที่สามารถรองท้องและทานได้ในทันที

19) ใช้เวลากับเพื่อนหรือคนที่คุณรัก โดยการทานข้าวร่วมกัน ดูโทรทัศน์ร่วมกัน หรือฟังเพลงร่วมกัน สิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

20) เริ่มอ่านหนังสือเล่มใหม่ที่คุณยังไม่เคยอ่าน และคุณจะพบเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย

21) เมื่อคุณมีโอกาส ลองกล่าวชื่นชมและขอบคุณเพื่อนหรือผู้ร่วมงานของคุณ แน่นอนว่าพวกเขาจะรู้สึกดีเมื่อได้รับคำชม และนี่เป็นวิธีการเผื่อแผ่ความสุขให้กับคนรอบข้างอีกทางหนึ่ง

22) หากคุณตื่นขึ้นมาและพบว่าเป็นวันที่อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส และปลอดโปร่ง คุณควรออกไปทานข้าวนอกบ้าน เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศดีๆเหล่านั้น

23) ทำขนมที่คุณชอบและแบ่งให้กับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนๆ เพราะ “การให้” จะทำให้คุณรู้สึกดี สบายใจ และมีความสุข

24) ผ่อนคลายตัวเองด้วยการหมักผม มาสก์หน้า หรือนวดน้ำมัน กิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจเหล่านี้ทำให้คุณมีความสุขได้เช่นกัน

25) ทำงานอดิเรกที่ช่วยพัฒนาให้คุณมีทักษะใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ เช่น การเย็บปักถักร้อย การปลูกต้นไม้ การเล่นดนตรี เป็นต้น

26) ในช่วงเวลาของการอาบน้ำ คุณอาจจะตีฟองนุ่มๆและจุดเทียนหอมเพื่อการผ่อนคลาย

27) ลองยิ้มให้กับคนแปลกหน้าที่คุณพบเจอตามถนน แล้วคุณจะพบว่ามิตรภาพดีๆสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

28) การสัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติ เช่น การชมพระอาทิตย์ขึ้น หรือชมพระอาทิตย์ตกสามารถสร้างความสุขและความประทับใจให้คุณไม่รู้ลืม

29) ชมภาพยนตร์สนุกๆหรือตลกๆที่ทำให้คุณยิ้มได้ วิธีการนี้ช่วยให้คุณได้ปลดปล่อยความเครียดที่สะสมมานาน

30) ติดต่อกับคนที่คุณไม่ได้ติดต่อมานาน เช่น เพื่อนสมัยมัธยม หรือเพื่อนร่วมงานที่เก่า แล้วคุณจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://www.lifehack.org/309278/little-things-you-can-every-day-refresh-your-life)

7 วิธีใช้เวลาเดินทางอย่างชาญฉลาด

7-ways-make-the-most-out-your-commute

“เวลา” เป็นทรัพยากรที่มีค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนเมืองกรุงที่มีวิถีชีวิตเร่งรีบตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม หลายคนมักมองข้ามเวลาเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันที่เราสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เช่น ช่วงเวลาของการเดินทาง บทความนี้นำเสนอหลากหลายวิธีที่ช่วยให้คุณใช้เวลาเดินทางในแต่ละวันอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพด้วย 7 วิธีดังต่อไปนี้

1) คิดพิจารณาถึงเรื่องราวหรือประเด็นปัญหาต่างๆ

คุณมีปัญหาที่พยายามแก้ไข เรื่องราวส่วนตัว หรือเรื่องสำคัญทางธุรกิจที่คิดไม่ตกบ้างหรือไม่ หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ ลองใช้เวลาขณะเดินทางสะสางงานที่คั่งค้าง หรือคิดพิจารณาหาทางออกบางทีการเปลี่ยนสถานที่ในการใช้สมอง อาจทำให้คุณได้ไอเดียดีๆมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่ดีในการกระตุ้นความคิด เพราะสมองของคุณยังปลอดโปร่ง และไม่มีเรื่องวุ่นวายใดๆ นอกจากนี้ ช่วงเวลาของการเดินทางเป็นช่วงที่ไม่มีใครรู้จักคุณ คุณจึงสามารถครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆได้อย่างไม่มีเงื่อนไข และไม่มีสิ่งใดมารบกวน ดังนั้นจงใช้เวลากับมันให้เต็มที่

2) คลายเครียด

ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมเมือง บรรยากาศรถติด ปัญหาอาชญากรรม ความตึงเครียดของงานสิ่งเหล่านี้มักเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณเกิดความเครียดสะสม หากคุณไม่หาวิธีบำบัดหรือชำระล้างจิตใจตนเองบ้าง มันจะส่งผลร้ายต่อคุณภาพชีวิตของคุณในระยะยาวอย่างแน่นอน ทั้งนี้ คุณสามารถใช้เวลาเดินทางเพื่อผ่อนคลายและบรรเทาความทุกข์ไปได้บ้าง เช่น คุณอาจฟังเพลงเบาๆขณะเดินทาง เพราะมันจะช่วยให้คุณใจเย็น  และส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง นอกจากนี้ หากคุณขับรถเอง คุณอาจฉีดสเปรย์หรือใช้น้ำหอมที่ช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่น และผ่อนคลาย วิธีการนี้จะทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้น และพร้อมรับมือกับสิ่งต่างๆในวันใหม่

3) เรียนรู้ที่จะมีสติ

ระหว่างการเดินทางอาจมีเหตุการณ์เฉพาะหน้าหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แน่นอนว่าคุณต้องพบเจอกับสถานการณ์ที่วุ่นวาย และอาจทำให้คุณอารมณ์เสียอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น คุณต้องเรียนรู้ที่จะมีสติ และระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ หากคุณขับรถเอง คุณต้องไม่ใช้โทรศัพท์มือถืออย่างเด็ดขาด เพราะมันอาจทำให้คุณวอกแวก และเสียสมาธิได้ ทางที่ดีก็คือ คุณควรสังเกตสิ่งรอบข้าง และขับรถอย่างระมัดระวัง นอกจากนี้ หากคุณใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น เรือ รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน หรือรถเมล์ คุณไม่ควรก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เพราะอาจทำให้คุณเกิดอันตรายได้ ทั้งนี้การเดินทางเป็นการฝึกไหวพริบ และความอดทน เพราะฉะนั้น จงตั้งสติ และรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง เพราะมันเป็นบททดสอบหนึ่งที่ทำให้คุณมีสติ รู้จักการตัดสินใจ และเอาตัวรอดด้วยวิธีการที่เหมาะสม ซึ่งคุณสามารถนำทักษะนี้ไปใช้สำหรับเรื่องอื่นๆในชีวิตได้อีกด้วย

4) อัพเดตข้อมูลข่าวสาร

ในแต่ละวันคุณอาจรู้สึกว่าตนเองมีเวลาน้อยนิดเหลือเกิน คุณต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงาน กลับบ้านมืดค่ำดึกดื่น เวลาพักผ่อนก็แทบจะไม่มี ดังนั้นจึงไม่ต้องถามถึงเวลาท่องเที่ยว แสวงหาความรู้ หรือทำกิจกรรมอื่นๆ แต่คุณรู้ไหมว่าคุณสามารถใช้เวลาในการเดินทางให้เกิดประโยชน์ได้ กล่าวคือ แทนที่คุณจะปล่อยให้เวลาหมดไป คุณควรใช้เวลาช่วงนี้ในการค้นหาข้อมูลข่าวสาร คุณอาจเปิดเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวสังคม หรือข่าวกีฬา เพื่อที่จะได้รู้สถานการณ์บ้านเมืองโดยรอบ รับรองว่าเมื่อคุณทำเช่นนี้เป็นประจำ คุณจะกลายเป็นคนที่รอบรู้และก้าวทันเหตุการณ์

5) แสวงหาความรู้

คุณอาจรู้สึกเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้ากับการจราจรที่แออัด และใช้เวลานาน แต่หากคุณหากิจกรรมที่ตนเองชื่นชอบทำเพื่อฆ่าเวลาคุณก็จะได้รับประโยชน์มากมาย หนึ่งในกิจกรรมที่คุณสามารถทำได้ก็คือ การแสวงหาความรู้ เพราะการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่เว้นแม้แต่ระหว่างการเดินทาง กล่าวคือ ในขณะที่คนอื่นๆนอนหลับบนรถ นั่งเหม่อลอย แชทไลน์หรือติดตามเฟซบุ๊ก คุณอาจใช้เวลาค้นคว้าหาข้อมูลที่คุณต้องการผ่านเว็บไซต์ต่างๆวิธีการนี้ช่วยให้คุณได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และเป็นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า

6) เรียนรู้ภาษาใหม่

ความจำกัดของเวลาเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คุณถอดใจในการเรียนภาษาใหม่ คุณมักคิดว่า “ฉันไม่มีเวลาในการเรียนรู้ ฝึกฝน หรือทบทวนเลย” หลายครั้งคุณจึงล้มเลิกความคิดที่จะเรียนภาษาไปอย่างน่าเสียดาย ต่อจากนี้ คุณควรเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะคุณสามารถใช้เวลาเดินทางในการเรียนภาษาได้ ยิ่งในปัจจุบัน เทคโนโลยีทำให้ชีวิตคนเราสะดวกสบายมากขึ้นเพียงแค่คุณเลือกภาษาที่คุณชื่นชอบและต้องการพัฒนา จากนั้นก็ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นสอนภาษา เช่น การออกเสียง คำศัพท์ หรือโครงสร้างทางไวยากรณ์ แค่นี้คุณก็สามารถเรียนรู้ภาษาได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษาจีน ภาษาเกาหลี เป็นต้น วิธีการนี้ช่วยให้คุณประหยัดเวลา และทำให้การเดินทางของคุณมีประโยชน์และน่าสนใจมากขึ้น

7) อ่านหนังสือ

การอ่านหนังสือระหว่างการเดินทางเป็นกิจกรรมที่นิยมมากในประเทศญี่ปุ่น สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ดี และน่าเอาเป็นแบบอย่าง เพราะการอ่านหนังสือขณะเดินทางเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ คุณสามารถเลือกประเภทหนังสือที่คุณชื่นชอบ เช่น นวนิยาย ประวัติศาสตร์ ธุรกิจ ท่องเที่ยว เป็นต้น หากคุณทำเช่นนี้เป็นประจำ เชื่อแน่ว่าคุณจะได้รับทั้งความรู้ ความบันเทิงอีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านอีกด้วย

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://www.lifehack.org/328614/7-ways-make-the-most-out-your-commute)

4 นิสัยสร้างสุขที่คุณทำได้ ง่ายกว่าที่คิด

“ความสุขไม่ใช่สิ่งสำเร็จรูป แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากการกระทำของเราเอง” – องค์ดาไล ลามะ

คุณไม่สามารถมีความสุขได้ตลอดเวลา แต่คุณสามารถที่จะเรียนรู้การมีความสุขผ่านช่วงเวลาที่ดีและร้ายในชีวิต มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณไม่มีความสุขเพราะเจ้านายคุณงี่เง่า แฟนคุณไม่ได้ดั่งใจ หรือเพื่อนคุณพูดอะไรขัดหู แต่ทั้งหมดนั้นมันมาจากตัวคุณเอง คุณไม่มีความสุขกับงาน คุณไม่มีความสุขกับเรื่องต่างๆ เพราะตัวคุณ และใจคุณเองเป็นคนกำหนด

ความสุขของคุณอาจไม่ใช่ความสุขของคนอื่น หรือความสุขของคนอื่นอาจเป็นความทุกข์ของคุณ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่ต้องมีปฎิสัมพันธ์กัน คุณไม่สามารอยู่คนเดียวได้โดยไม่พึ่งพาคนอื่น ด้วยสังคม อาชีพ หน้าที่การงาน และความรับผิดชอบ อาจทำให้คุณและคนรอบตัวคุณเกิดผิดใจกัน หรือ ทำให้เกิดความสุขน้อยลง จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง และจุดแตกหักภายหลัง เราไม่สามารถควบคุมความสุขจากสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ แต่เราสามารถควบคุมตัวเราเอง โดยการสร้างพฤติกรรมที่ทำให้เรามีความสุขจำภายในได้

พฤติกรรมที่ทำให้คุณมีความสุข

คุณสามารถมีความสุขจากสิ่งเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันของคุณได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณมองข้าม และคุณไม่จำเป็นต้องใช้เงินฟุ่มเฟือย หรือ ใช้แรงกายมากมายในการสร้างความสุขเหล่านั้นให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคุณ

1.เขียน 3 สิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขในแต่ละวัน

คุณอาจเริ่มการจดบันทึก หรือ เขียนสิ่งที่ทำให้คุณยิ้ม หัวเราะ หรือมีความสุขในวันนี้ คุณแค่ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง และทบทวนว่าวันนี้คุณทำอะไรบ้าง สิ่งไหนที่ทำให้คุณรู้สึกดี และสิ่งไหนที่คุณไม่ชอบ ทำให้คุณอึดอัด กังวล หรือคิดมาก คุณจะค้นพบตัวเองว่าคุณชอบทำอะไร และอะไรคือสิ่งที่สร้างความสุขให้คุณในแต่ละวัน มันไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้คุณยิ้มได้ มันอาจเป็นอะไรเล็กๆน้อยๆ ระหว่างวันก็ได้ ขอเพียงแค่คุณรู้สึกดีกับมันก็พอ

2.ช่วยเหลือผู้อื่น

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณนึกถึงแต่ตัวเอง ทำทุกอย่างทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง หรือเอาความต้องการของตัวเองเป็นหลัก เมื่อนั้นคือคุณกำลังเป็นคนที่ไม่มีความสุข เพราะคุณมองแค่มุมเดียวจากตัวเอง อะไรที่ไม่ได้ดังใจ หรือขัดใจ จะทำให้คุณมีอารมณ์ขุ่นมัว และรู้สึกหงุดหงิด แต่ถ้าคุณลองเปิดใจ ลองมองโลกในมุมของคนอื่น คุณจะเห็นความทุกข์ของคนอื่น และรู้ดีว่าคุณโชคดีกว่าพวกเขามากแค่ไหน คุณสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้ เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น การให้โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน และเห็นคนที่คุณช่วยเหลือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากการช่วยเหลือของคุณ คุณจะรู้สึกอิ่มเอม ตื้นตัน และมันเป็นความสุขที่ไม่สามารถซื้อได้

3.ทำสมาธิ

การทำสมาธิ คือพื้นฐานที่จำเป็นของชีวิต และคุณควรฝึกเป็นนิสัย การทำสมาธินอกจากทำให้จิตใจคุณสงบ รู้สึกผ่อนคลาย มันยังเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คุณได้อยู่กับความคิด และอยู่กับตัวเองจริงๆ ทำให้คุณมีสติรับรู้ ตกผลึกทางความคิดมากขึ้น การทำสมาธิทำให้คุณใช้ชีวิตและให้ความสำคัญกับคำว่าปัจจุบัน เพราะความทุกข์ที่เกิดส่วนใหญ่ในใจคุณมักมาจากการที่ไม่สามารถลืมอดีตอันเจ็บปวด หรือการกังวลไปกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง การทำสมาธิจะทำให้คุณลดความกังวลและอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น การทำสมาธิสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา และไม่มีค่าใช้จ่ายต้นทุนใดๆ นอกจากต้นทุนเวลา คุณสามารถฝึกสมาธิแค่เพียง 2 นาทีต่อวัน เพียงแค่คุณสังเกตและพิจารณาลมหายใจเข้าออก คุณก็จะรับรู้ถึงความสงบสุขในใจได้

4.ออกกำลังกาย

ทุกคนรู้ว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งดี แต่การออกกำลังกายไม่ได้ทำให้ร่างกายคุณกระปรี้กระเปร่าเท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจคุณปลอดโปร่งอีกด้วย การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายของคุณหลั่งฮอร์โมนซึ่งเป็นสารความสุข ทำให้คุณรู้สึกมีความสุขมากขึ้น ถ้าคุณไม่ได้ออกกำลังกายเป็นนิสัย คุณสามารถเริ่มจากการออกกำลังกายเบาๆก่อนก็ได้ เพื่อให้ร่างกายคุณเริ่มชินและให้เวลากับคุณในการปรับตัว ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องออกกำลังกายเป็นชั่วโมง คุณสามารถแบ่งเวลาการออกกำลังกายได้แค่ 5-10 นาที ที่บ้าน ถึงแม้ว่าคุณจะยุ่งมากแค่ไหน แต่คุณก็ควรจัดตารางเพื่อการออกกำลังกายนี้ เพียงแค่ไม่กี่นาทีต่อวัน กับกิจกรรมที่ทำให้คุณแข็งแรงขึ้นและมีความสุขขึ้น

มีกิจกรรมอีกหลายอย่างที่เพิ่มพูนความสุขของคุณในแต่ละวัน เช่น การกินอาหารที่อร่อย การดื่มชา การเล่นโยคะ การพบปะสังสรรค์กับเพื่อนเก่า อะไรที่ทำให้คุณมีความสุขและสนุกกับสิ่งนั้น จงทำมันบ่อยๆ แต่ถ้าอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกกังวล จงถอยออกห่าง

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือ การเพิ่มความสุขให้กับชีวิตเล็กๆน้อยๆ มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ใช้เงินมหาศาล ใช้เวลามาก หรือทำให้คุณเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิต คุณสามารถเริ่มได้จากสิ่งเล็กๆ แต่ทำมันอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเต็มใจ และคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิต

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

http://zenhabits.net/brighten/

10 วิธี ที่ทำให้คุณเลิกนิสัยแย่ๆ

10 ways to make quitting a bad habit

คุณอาจเคยหงุดหงิดกับนิสัยแย่ๆของตัวเอง  ที่บางครั้งคุณก็รู้อยู่แกใจว่านิสัยเหล่านี้ไม่มีใครชอบ และคุณก็ไม่อยากที่จะมีนิสัยแย่ๆแบบนี้หรอก แต่ว่าคุณก็เลิกทำไม่ได้ซักที   คุณสามารถที่จะค่อยๆลด และเลิกนิสัยแย่ๆของคุณได้ โดยการลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตาม 10 ข้อ ที่แนะนำนี้  คุณไม่จำเป็นที่จะต้องทำทุกข้อ แต่ถ้ายิ่งทำได้หลายข้อ มันก็จะยิ่งเป็นประโยชน์กับตัวคุณเอง

1.สร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่

ถ้าคุณตั้งใจจะเลิกสูบบุหรี่แบบจริงจัง มันไม่ใช่แค่ว่า ถ้าหยุดสูบแล้วจะดีกับสุขภาพคุณเอง แต่คุณต้องมีทัศนคติ และความเชื่อมที่ยิ่งใหญ่ก่วานั้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีในการเลิกสูบบุหรี่ เช่น ทุกครั้งที่ฉันสูบบุหรี่ ฉันกำลังตายผ่อนส่งอยู่ หรือ คนที่ฉันรู้จักตายเพราะมะเร็งปอด ถ้าไม่อยากตายแบบทรมาน ฉันต้องเลิกพฤติกรรมแย่ๆนั้นเดี๋ยวนี้

 

2.สัญญากับตัวเอง

คุณสัญญากับตัวเอง ว่าคุณจะไม่ทำสิ่งแย่ๆอีก แต่นั่นอาจไม่พอ เพราพอถึงเวลาจริงๆ คุณอาจใจอ่อนกับตัวเอง เทคนิคก็คือ คุณต้องบอกเพื่อนรอบข้าง บอกคนใกล้ชิด บอกให้โลกรู้ ว่าคุณมีแผนจะลด ละ เลิกสิ่งที่ไม่ดี และเมื่อคุณมีความคิด หรือ อยากจะไปทำพฤติกรรมแย่ๆอีก  พวกเขาเหล่านั้น คือคนที่จะมาเตือนสติคุณ ให้กำลังใจคุณ และอยู่เคียงข้างคุณ ไม่ให้คุณกลับไปใช้ชีวิตแย่ๆแบบเดิมอีก

 

3.ระวังสิ่งกระตุ้น

อะไรคือสิ่งหลักที่กระตุ้นให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆเหล่านั้น คุณต้องหามันให้เจอ และคอยระวังมัน ไม่ให้คุณไปถึงจุดนั้น เช่น คุณสูบบุหรี่ก็ต่อเมื่อมีคนชวน  เห็นคนสูบบุหรี่ หรือได้กลิ่นบุหรี่ สิ่งเหล่านี้สามารถกระตุ้นสัญชาติญาณดิบของคุณ โดยที่คุณไม่สามารถหักหามใจได้  คุณจะรู้สึกหงุดหงิด และห้ามตัวเองไมได้ จงสังเกตตัวเองให้ดีว่าอะไรคือสิ่งเร้า หรือสิ่งกระตุ้น ให้คุณเลิกนิสัยแย่ๆแบบนี้ไม่ได้ซักที

 

4.รู้ที่มาของพฤติกรรมแย่ๆ

อะไรคือปัจจัยหรือสาเหตุที่ทำให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุ คุณต้องหาสาเหตุนั้นให้เจอ โดยการพิจารณาตัวเอง และซื่อสัตย์กับตัวเอง เช่น ถ้าคุณเป็นคนอ้วน เพราะชอบกินของหวาน และคุณอยากที่จะเลิกกินของหวาน เพราะรู้ว่ามันไม่ได้ดีกับสุขภาพ และทำให้คุณยิ่งอ้วน คุณต้องหาสาเหตุให้เจอว่าทำไมคุณถึงอยากกินของหวาน ชอบกินของหวานตอนไหน  ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากกินของหวานตอนที่คุณรู้สึกเครียด รู้สึกเศร้า หรือรู้สึกหดหู่ ของหวานจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น

 

5.หากิจกรรมอื่นทดแทน

คุณอาจชอบสูบบุหรี่ ชอบใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น หรือ ชอบกินอาหารที่ทำลายสุขภาพ เมื่อคุณเครียด หรือ ท้อแท้  คุณสามารถแก้พฤติกรรมแย่ๆเหล่านี้ได้ โดยการหากิจกรรมอื่นมาทดแทน เพื่อบำบัด ความเครียด หรือระบายความรู้สึกของคุณ เช่น สมัครคอรส์เรียนชกมวย  ดูหนัง ร้องคาราโอเกะ  แต่กิจกรรมใหม่ๆที่หามาทดแทน ควรจะมีเพื่อนหรือคนรัก คอยให้กำลังใจคุณด้วย

 

6.มีสติกับสิ่งกระตุ้นรอบตัว

หลังจากที่คุณรู้แล้วว่าสิ่งไหนเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆ คุณควรที่จะระวัง และอยู่ห่างปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดสิ่งกระตุ้นเหล่านั้น  เช่น ถ้าคุณได้ยินเสียงน้ำแข็งกระทบแก้ว แล้วทำให้คุณอยากเหล้า หรือ ได้กลิ่นควันจางๆแล้วทำให้คุณอยากสูบบุหรี่ จงมีสติ ดื่มน้ำ และหายใจเข้าออกช้าๆ คุณสามารถให้เพื่อนคุณช่วย และคุณควรเดินออกจากสิ่งแวดล้อมตรงนั้นให้เร็วที่สุด

 

7.สร้างนิสัยใหม่ๆหลังจากเจอสิ่งกระตุ้น

มันยากมากที่จะเปลี่ยนนิสัย หรือสัญชาตญานหลังจากที่คุณทำมันมานานแสนนาน แต่คุณสามารถเริ่มนิสัยใหม่ได้ ด้วยการมีสติ และความเชื่อ คุณต้องพึงระลึกอยู่เสมอ และแข็งใจกับสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นต่างๆรอบข้าง เช่น ทุกครั้งที่คุณได้กลิ่นบุหรี่ แล้วอยากสูบบุหรี่ ให้คุณเปลี่ยนไปเคี้ยวหมากฝรั่งแทน ทำมันทุกครั้งจนติดเป็นนิสัยใหม่ แต่ถ้ามันเกิดข้อผิดพลาดที่คุณไม่สามารถหักห้ามใจ หรือเผลอที่จะมีหรือแสดงพฤติกรรมแย่ๆออกมา คุณควรให้อภัยตัวเอง และเริ่มใหม่ให้เร็วที่สุด

 

8.ระวังความคิดของคุณ

เพราะความคิด และความเชื่อมีผลต่อพฤติกรรม และการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆในชีวิตคุณ คุณต้องระวังความคิดคุณให้มาก  ถ้าจะมีเหตุผลหรือข้อแก้ตัวสำหรับพฤติกรรมแย่ๆ เช่น วันนี้วันเกิดฉัน ขอเว้นวรรคสักวัน หรือ ฉันเพิ่งปิดจ็อบงานนี้สำเร็จขอให้รางวัลตัวเองหน่อย  คุณควรหยุดความคิดแบบนี้ ในการเข้าข้างตัวเอง ถ้าคุณอยากจะเลิกนิสัย หรือ พฤติกรรมแย่ๆของตัวเอง

9.ค่อยๆเลิก

มันไม่จำเป็นที่จะต้องหักดิบ เลิกทันที เลิกเลย คุณสามารถค่อยๆลด และละ จนเลิกได้ เช่นถ้าคุณอยากเป็นคนตื่นเช้า แต่ปกติคุณตื่นเที่ยงตลอด คุณอาจเริ่มด้วยการตื่นตอน 11 โมง  และวันต่อไปๆ คุณอาจเริ่มนอนให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมง และตื่นให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมง  การที่ตั้งเป้าทีละเล็กละน้อย ในแต่ละวัน มันเป็นเป้าหมายที่ทำได้ง่าย และคุณจะรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณทำมันสำเร็จในแต่ละวัน มันเป็นกำลังใจที่ดีที่ทำให้คุณไปถึงเป้าหมายของคุณได้ง่ายขึ้น และทำให้คุณเป็นคนใหม่

 

10.เรียนรู้จากข้อผิดพลาด

บางครั้งเราก็พลาดได้ ให้อภัยตัวเอง ล้มแล้วลุกขั้นใหม่ให้เร็วที่สุด พิจารณาสิ่งที่เกิดตามความเป็นจริง ไม่เข้าข้างใคร ยอมรับมัน และหาแผนสำรองเพื่อกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก และทุกครั้งที่มันเกิดขึ้นซ้ำ คุณจะต้องรับมือมันได้ดีกว่าเดิม คุณต้องมีพัฒนาและเข้มแข็งขึ้น การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดคือสิ่งที่ทำให้คุณใกล้เป้าหมายมากยิ่งขึ้น

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลายคนล้มเลิกความตั้งใจกลางครันเพราะมองข้ามสิบข้อเหล่านี้ จงอย่าเป็นไอ้ขี้แพ้  ทุกคนสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ เพียงแค่คุณใช้ความตั้งใจ ความพยายาม และแรงบันดาลใจ

 

 

 

 

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

http://zenhabits.net/bad/

 

 

ประโยชน์องค์รวม 4 มิติ ของโยคะแห่งสติ

The fourth dimension of yoga

ปัจจุบัน การฝึกโยคะส่วนใหญ่ของผู้คนในสังคมไทย มักเน้นไปที่ประโยชน์ในมิติด้านร่างกายเป็นสำคัญ ด้วยจุดประสงค์เพียงเพื่อการออกกำลัง’กาย’ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย และรูปร่าง จึงได้รับประโยชน์เพียงส่วนเดียวของโยคะ

 

หากความจริงแล้ว โยคะที่แท้ ตามวิถีดั้งเดิมของอินเดีย คือ การรวมของกายและจิต

ซึ่งหากฝึกควบคู่ไปกับการเจริญสติแล้ว จะเอื้อประโยชน์ในมิติอื่นๆที่มากมายอย่างเป็นองค์รวม ทำให้ศาสตร์โยคะเกิดการแพร่หลายจากโลกตะวันออกสู่โลกตะวันตก

 

นอกเหนือจากประโยชน์ในมิติด้านร่างกายแล้ว โยคะแห่งสติยังเอื้อประโยชน์ทั้งมิติด้านจิตใจ สมอง และจิตวิญญาณ ตามรายละเอียดต่างๆ ดังนี้

 

  • มิติด้านร่างกาย

 

แพทย์องค์รวมชาวอินเดีย ผู้เป็นปรมาจารย์ ของโยคะชื่อดังระดับโลก จากสถาบัน International Sivananda Yoga Vedanta พบว่า การฝึกโยคะอาสนะ มิได้เน้นประโยชน์เพียงหุ่นรูปร่างภายนอก แต่เอื้อประโยชน์ต่างๆต่อระบบการทำงานภายในของร่างกาย เช่น ระบบการทำงานของหัวใจ ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหารและขับถ่าย และระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น และยังเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ได้มีนำโยคะมาใช้เพื่อบำบัดโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน และหัวใจ

 

  • มิติด้านจิตใจ

 

จากบทความงานวิจัยของ Oxford University และ New Hampshire Psychiatric Hospital  พบว่า การฝึกโยคะสามารถบำบัดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า โกรธ และอ่อนล้าได้

โยคะแห่งสติสร้างการตระหนักรู้เท่าทันอารมณ์ที่ส่งสัญญาณบ่งบอกชัดเจนผ่านความรู้สึกทางกาย เป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารอารมณ์ และสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์ ดังที่กูรู Daniel Goleman ได้แนะนำ และมีการนำไปใช้ในองค์กรต่างๆอย่างแพร่หลาย ทั้งในแวดวงองค์กรสุขภาพและธุรกิจ

 

 

  • มิติด้านสมอง

 

จากการศึกษาของ Harvard University และ University of Massachusetts Medical School พบว่า การฝึกโยคะส่งผลถึงประสิทธิภาพการทำงาน ของระบบประสาทและสมอง โดยหากฝึกโยคะพร้อมเจริญสติฝึกสมาธิ อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาของสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการจดจ่อให้งานสำเร็จ และการพิจารณาตัดสินใจเรื่องต่างๆ รวมถึงเป็นการลดความเครียดได้อย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้ การฝึกปราณ หรือฝึกลมหายใจ ยังส่งผลโดยตรงต่อสมองอีกด้วย

 

  • มิติด้านจิตวิญญาณ

 

แก่นแท้ของโยคะ คือ การฝึกฝนกาย จิต สติปัญญา เพื่อมุ่งสู่การตื่นรู้ต่อความจริงอันสูงสุด เห็นการเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปของสภาวะร่างกาย จิตใจและความคิด ช่วยให้เกิดความตระหนักรู้และเข้าใจชีวิตของตนเองและผู้อื่น มีความสุขสงบและสมดุลทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคงภายใน ยอมรับและความเชื่อมั่นในศักยภาพอันสูงสุดของมนุษย์  รวมถึงยังก่อให้เกิดความเมตตากรุณาต่อตนเองและผู้อื่น

และที่สำคัญ คือ มีอุเบกขา หรือ การปล่อยวางทั้งสุขและทุกข์ได้ เพื่อรักษาความสงบและสมดุลนั่นเอง

 

ทั้งนี้ แต่ละท่าของโยคะอาสนะต่างให้ประโยชน์ที่ต่างกันออกไป เช่น ท่านั่งก้มตัว ช่วยระบบย่อยและขับถ่าย ในขณะที่ท่าสะพาน ช่วยลดอาการซึมเศร้า การฝึกปราณแบบกบาลภัทติ ช่วยให้สมองตื่นตัว เป็นต้น จึงมีความจำเป็นที่ผู้ฝึกควรศึกษาและเข้าใจถึงประโยชน์ที่เหมาะสมกับสภาวะร่างกายและจิตใจ รวมถึงวัตถุประสงค์ก่อนการฝึก

 

แล้วคุณล่ะ คิดว่า การฝึกโยคะเอื้อประโยชน์ต่อคุณในด้านใด?

 

เขียนและเรียบเรียงโดย “นิรามิสสุข”

 

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save