6 เหตุผลที่จะทำให้คุณหลงรักการท่องเที่ยวเพียงลำพัง

6-reasons-why-solo-travel-addictive

คุณอาจรู้สึกหวาดกลัวกับการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว นั่นเป็นเพราะระหว่างการท่องเที่ยว คุณจะไม่มีผู้ใดให้พึ่งพา กล่าวคือ คุณต้องช่วยเหลือตนเองในทุกๆเรื่อง นับตั้งแต่เรื่องเล็กๆเช่น การดูแลกระเป๋าเมื่อเข้าห้องน้ำในสนามบิน ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆเช่น การหาที่พักในเวลากลางคืน

อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณสามารถผ่านประสบการณ์ในครั้งแรกไปได้ รับรองว่าคุณจะติดใจและออกเดินทางคนเดียวเป็นครั้งที่2 แน่นอน เพราะการท่องเที่ยวคนเดียวให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด เช่น คุณได้จัดตารางและเลือกการเดินทางของตนเอง รับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยลำพัง เอาชนะความท้าทายของตนเอง และที่สำคัญที่สุด คือ คุณได้รู้จักความหมายของคำว่า “อิสรภาพ” อย่างแท้จริง

หากคุณยังคิดไม่ออกว่าการท่องเที่ยวเพียงลำพังมีข้อดีอย่างไรบ้างบทความนี้จะเปิดเผยมนต์เสน่ห์ 6 ข้อที่ทำให้คุณหลงรักการเดินทางคนเดียว ดังนี้

1) คุณจะได้เรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำ

การที่คุณออกเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง เปรียบเหมือนกับการที่คุณได้เป็นผู้กำกับ ผู้จัด และนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนั้นคือ ชีวิตของคุณเอง คุณสามารถทำตามใจตัวเองได้อย่างเต็มที่ กล่าวคือ คุณสามารถกำหนด ยืดหยุ่น หรือเปลี่ยนแปลงแผนการเดินทางของคุณได้อย่างอิสระ ในทางตรงกันข้าม หากคุณเดินทางเป็นหมู่คณะ คุณจะต้องมีแผนการเดินทางที่ชัดเจนและแน่นอน นอกจากนี้ การเดินทางคนเดียวทำให้คุณเข้าใจถึงความรับผิดชอบอย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าจะพบเจอกับเหตุการณ์ที่ดีหรือร้าย คุณจะต้องรับผิดชอบในทุกๆการตัดสินใจด้วยตัวคุณเอง

2) คุณจะได้ก้าวออกจากสิ่งที่คุ้นเคย

การเดินทางในโลกกว้างเพียงลำพังจะทำให้ทุกก้าวย่างของคุณในดินแดนที่ไม่รู้จักมีคุณค่าและน่าประทับใจอย่างยิ่ง คุณจะได้พบกับประสบการณ์แปลกใหม่ที่คุณไม่มีทางหาได้หากคุณเลือกเดินทางไปกับเพื่อนของคุณ เช่น คุณจะได้ผจญภัยในแบบที่คุณต้องการ เลือกเดินทางไปยังสถานที่ที่ใจปรารถนา ได้พบเจอกับผู้คนหลากหลาย รู้จักวัฒนธรรมประเพณี และอาหารการกินที่แตกต่าง สิ่งเหล่านี้เปรียบเหมือนกับการเปิดประตูบานใหม่ให้กับชีวิต และทำให้คุณก้าวออกมาจากสิ่งที่คุ้นเคย

3) คุณจะได้ปฏิวัติตัวเอง

ในสายตาของเพื่อนๆ คุณอาจเป็นคนขี้อาย คนเฉื่อยชา คนทะลึ่ง หรือผู้คงแก่เรียน แต่เมื่อคุณออกเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว ภาพลักษณ์เหล่านี้จะไม่ติดตัวคุณไปด้วย ดังนั้น คุณจึงสามารถเลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนักผจญภัย ช่างภาพ นักดำน้ำ หรือนักปีนเขา เป็นต้น ความเป็นอิสระนี้สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในตัวคุณ ซึ่งคุณไม่สามารถทำมันได้ขณะอยู่ที่บ้านหรืออยู่กับเพื่อนดังนั้น การท่องเที่ยวคนเดียวทำให้คุณมีโอกาสสัมผัสและค้นพบกับตัวตนที่แท้จริงของคุณ พร้อมๆกับช่วยหล่อหลอมให้คุณกลายเป็นคนใหม่

4) คุณจะได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน

เมื่อคุณได้ท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักคุณ คุณจะมีโอกาสอยู่กับตัวเอง ตัดขาดจากสังคมภายนอกที่วุ่นวาย และนั่นเป็นช่วงเวลาที่มีเพียงคุณกับโลกใบนี้ คุณจะมีเวลาอยู่กับธรรมชาติ ซึ่งทำให้คุณผ่อนคลายและมองเห็นความสวยงามที่ปราศจากการปรุงแต่ง คุณจะได้ดื่มด่ำกับอากาศที่บริสุทธิ์ สัมผัสกับไอหมอกยามเช้า และฟังเสียงคลื่นซัดชายหาด การท่องเที่ยวเพียงลำพังทำให้คุณได้ชื่นชมกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งสิ่งนี้เป็นประสบการณ์อันล้ำค่าและน่าประทับใจไม่รู้ลืม

5) คุณจะได้เรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหา

ผู้ที่รักการท่องเที่ยวคนเดียว จะมีความรู้และทักษะในการแก้ไขปัญหา พวกเขารู้ว่าขณะเดินทางมีอุปสรรคมากมาย จึงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังเรื่องต่างๆเป็นพิเศษ เช่น กระเป๋าสัมภาระ ยารักษาโรค การเดินทางในเวลากลางคืน การพูดคุยกับคนแปลกหน้า เป็นต้น การท่องเที่ยวเพียงลำพังทำให้คุณรู้จักวางแผน และทำให้คุณเรียนรู้ว่า ไม่ว่าทางข้างหน้าคุณจะเจอกับปัญหาหรืออันตรายใดๆ คุณจะต้องรู้จักเอาตัวรอดและแก้ไขสถานการณ์เหล่านั้น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณได้พัฒนาตนเอง คุณจะทันคนมากขึ้น มีความละเอียดรอบคอบ มีสติ รู้จักแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และที่สำคัญที่สุด คือ คุณได้เรียนรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่สำคัญไปกว่าการได้ค้นพบความสามารถของตัวคุณเอง

6) คุณจะได้เรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต

ในแต่ละวัน คุณมักจมอยู่กับปัญหาในเรื่องของงาน เงิน และครอบครัว ความคิดที่ไม่สิ้นสุดของตัวคุณเองเป็นสาเหตุให้คุณรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ช่างดูเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน แต่ทว่าการท่องเที่ยวเพียงลำพังช่วยให้คุณลืมสิ่งต่างๆในชีวิตได้ เนื่องจากการท่องเที่ยวทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย และลืมปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือลืมความคาดหวังที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต คุณจะได้ใช้เวลาอยู่กับสิ่งที่เรียบง่ายและทำให้คุณพึงพอใจ เช่น การลิ้มลองอาหารแปลกใหม่ การนอนอาบแดดอุ่นๆ และการปล่อยให้หัวใจของคุณล่องลอยไปสู่จุดหมายปลายทางใหม่ๆเป็นต้น กล่าวคือ การได้พบเจอสิ่งใหม่เพียงลำพังจะทำให้คุณรู้จักหัวใจตัวเองมากขึ้น คุณจะค้นพบว่าแท้จริงแล้วสิ่งใดที่ทำให้คุณมีความสุข และเมื่อคุณกลับบ้านไป ปัญหาใหญ่ๆทั้งหลายก็จะจางหายไป

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.lifehack.org/310288/6-reasons-why-solo-travel-addictive

15 ข้อที่คุณควรรู้ ก่อนจะให้คำปรึกษาใคร

หลายครั้งที่เวลามีผู้ที่มาปรึกษาปัญหาต่างๆ กับเรา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัวหรือคนรัก แล้วเรารู้สึกทุกข์ไปกับเขาหรือรู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่นำคำแนะนำของเราไปใช้ ปัญหาจะได้หมดไป จนบางครั้ง การให้คำปรึกษาเพื่อหาทางออกของปัญหา กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นไปอีก มาดูกันว่าอะไรที่คุณควรรู้ ก่อนจะให้คำปรึกษาใคร

1. ทำตัวเองให้เป็นแก้วน้ำที่ว่างเปล่า

คุณจำเป็นต้องวางอัตตาตัวตนของคุณลงก่อน เพื่อรับฟัง เปรียบเหมือนเทน้ำในแก้วของตนเอง เพื่อรองรับน้ำใหม่จากผู้ขอคำปรึกษา

2. เข้าถึงความรู้สึกมากกว่าคำพูด

คุณต้องตระหนักอยู่เสมอว่า บุคคลตรงหน้า คือผู้ที่กำลังมีความทุกข์ มีปัญหาและต้องการคำตอบเพื่อบรรเทาทุกข์ ดังนั้น จิตใจของเขาย่อมอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังอ่อนแอ สับสน และต้องการกำลังใจ

3. เปิดใจรับฟังด้วยความเมตตา

จงตั้งใจฟัง คุณต้องฟังให้ได้ยิน ไม่ใช่แค่เสียง ไม่ใช่แค่รู้ความหมาย แต่คุณต้องเปิดใจรับฟังด้วยความเมตตา และคิดถึงใจเขาใจเรา แสดงให้เขาสัมผัสได้ว่า เขาคือคนสำคัญที่คุณกำลังสนใจฟัง

4. ฟังอย่างลึกซึ้ง

ปล่อยให้เขาพูดในสิ่งที่ต้องการจะพูด ให้เขาได้บอกเล่าความรู้สึก ให้เขาได้บอกเล่าสิ่งที่คิด เพราะนั่นคือการระบายความในใจ ซึ่งจะทำให้เขาคลายความอึดอัดลงได้

5. ตอบเฉพาะในสิ่งที่รู้จริง

เมื่อคุณรับฟังจนเข้าใจแล้ว จงให้คำแนะนำไปตามสิ่งที่ตนเองรู้ อะไรที่รู้ก็แนะนำไป อะไรที่ไม่รู้อย่าไปคาดเดา ตามความเข้าใจของตนเอง เมื่อไม่รู้ คุณก็บอกเขาไปตรงๆว่า คุณไม่รู้

6. เข้าใจความแตกต่างของบุคคล

แต่ละบุคคลมีข้อจำกัด และสิ่งแวดล้อม รวมถึงสภาพจิตใจที่ต่างกัน วิธีแก้บางวิธีอาจได้ผลกับคนหนึ่ง แต่ไม่ได้แปลว่า วิธีดังกล่าวจะได้ผลกับทุกคน ดังนั้นผู้ให้คำปรึกษา จะต้องดูเป็นรายๆ ไป ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับกรณีที่ผ่านไปแล้วได้

7. ให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

อย่าแนะนำในสิ่งที่เป็นอุดมคติ หมายความว่า คุณต้องเข้าใจว่า ทุกคนเป็นมนุษย์ มีรัก โลภ โกรธ หลง มีอ่อนแอ ผิดหวัง เสียใจ ดังนั้น คำแนะนำของคุณ ควรเป็นคำแนะนำที่ปฏิบัติตามได้ ไม่ใช่คำแนะนำในจิตนาการที่ฟังดูดี แต่ไม่อาจใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง

8. ทำตัวเป็นพื้นที่ว่าง ไม่ใช้อารมณ์ในการให้คำปรึกษา

ผู้ให้คำปรึกษา ไม่ควรโกรธ ไม่ควรใช้อารมณ์ ไม่ควรยึดติดกับคำแนะนำของตนเอง เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมหมายความว่า คุณไม่ใช่ผู้ให้คำปรึกษา แต่คุณคือผู้เพิ่มปัญหาให้ผู้ที่กำลังเดือดร้อนอยู่

9. ให้คำปรึกษาบนพื้นฐานของคุณธรรม

ผู้ให้คำปรึกษา สมควรมีความเข้าใจตนเอง มีความรู้ในด้านที่ตนเองกำลังให้คำปรึกษาอยู่ การให้คำปรึกษา สมควรอย่างยิ่งที่จะอยู่ในกรอบของความดีงาม ไม่ใช้ระบบลักษณะตาต่อตาฟันต่อฟัน ผู้ให้คำปรึกษาควรเป็นผู้มีวุฒิภาวะ คุณธรรม และความเข้าใจธรรมดาของโลกเป็นของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น คุณไม่ควรให้คำแนะนำใครในช่วงเวลาที่คุณอยู่ในสภาพจิตใจที่ไม่พร้อมจะให้คำแนะนำ

10. เป็นที่ปลอดภัยและไม่ตัดสิน

การให้คำปรึกษา เป็นคนละเรื่องกับการอวดตน จงให้คำปรึกษาอย่างอ่อนน้อม ถ่อมตน คิดอยู่เสมอว่า เราเองก็เคยผิดพลาด เราเองก็ไม่ได้ดีไปทุกอย่าง และไม่ได้รู้ไปทุกเรื่อง และการที่เขามาขอคำปรึกษา ก็ไม่ได้แปลว่าเขาไร้ความสามารถ หากแต่เป็นธรรมดาที่คนเราจะมีช่วงเวลาที่ไม่สบายใจ และต้องการใครสักคน

11. ให้คำปรึกษาที่มีแบบแผนชัดเจน ไม่เลื่อนลอย

การให้คำปรึกษาที่ดี นอกจากจะให้ทัศนคติที่ถูกต้องแล้ว คุณควรมีแผนการปฏิบัติเพื่อถึงเป้าหมายให้เขาด้วย เช่นคุณบอกว่า ควรปล่อยวาง คุณก็ควรมีขั้นตอนว่า เขาจะไปถึงความปล่อยวางได้อย่างไรหนึ่ง สอง สาม สี่ การให้คำปรึกษาจึงไม่ล่องลอย จับต้องได้ และนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

12. รักษาสมดุลระหว่างเหตุผลและความรู้สึก

ผู้ให้คำปรึกษาไม่ควรแนะนำในสิ่งที่ตนเองไม่มีความรู้ โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ เรื่องความรู้สึก เพราะเรื่องเหล่านี้มีความละเอียดอ่อนเกินกว่าจะเอาเหตุผลเชิงตรรกะเข้าไปวิเคราะห์ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้การสันนิษฐาน ไม่ควรใช้การคาดเดา ไม่ควรมีการตัดสินในลักษณะฟันธงเด็ดขาด เพราะเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น คุณไม่ได้เป็นผู้เผชิญกับความเสียหายนั้น หากแต่ผู้ที่เผชิญก็คือผู้ที่ขอคำปรึกษา ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ผู้ให้คำปรึกษาต้องตระหนักเป็นลำดับต้นๆ

13. ถูกที่ ถูกเวลา ถูกกับสภาพจิตใจ

คำแนะนำต่างๆ ควรเป็นคำแนะนำที่ถูกที่ ถูกเวลา ถูกกับสภาพจิตใจของเขาในช่วงเวลานั้นๆ และคำแนะนำที่ดีที่สุดไม่มีจริง คำแนะนำจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามบุคคล เหตุการณ์ และสภาพจิตใจ ยิ่งไปกว่านั้น คำแนะนำที่ดีควรมีทั้งทางออก การแก้ และหนทางป้องกันปัญหาครั้งต่อๆ ไปไม่ให้เกิดขึ้นอีก

14. การให้คำปรึกษาที่ดีและง่ายที่สุด คือ การรับฟัง

เมื่อพบว่า ผู้ขอคำปรึกษา มักปรึกษาในเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ให้มีความเข้าใจว่า เขาอาจยังไม่พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนจริงๆ ให้ยุติการให้คำปรึกษา แต่เปลี่ยนเป็นการรับฟังแทน

15. ทำตัวเป็นอ่างน้ำที่รั่ว… รับฟังเสร็จแล้ว ต้องปล่อยวาง

ผู้ให้คำปรึกษาควรระลึกไว้เสมอว่า ผู้ขอคำปรึกษาไม่จำเป็นต้องทำตามคำแนะนำ และเมื่อรู้ว่า เขาไม่ทำตามคำแนะนำ ก็ไม่สมควรโกรธ แต่ควรปล่อยวาง บนพื้นฐานความเข้าใจว่า ทุกคนย่อมมีความคิด ชีวิต รวมถึงแนวทางการตัดสินใจเป็นของตนเอง นอกจากนี้ผู้ให้คำปรึกษา ควรน้อมเอาปัญหาต่างๆ ของผู้ขอรับคำปรึกษามาพิจารณา จนเกิดเป็นปัญญาของตนเอง นำไปสู่การเข้าใจตนเอง และเข้าใจผู้อื่น การให้คำปรึกษาต่างๆ จะต้องไม่ย้อนกลับมาสร้างความทุกข์ใจให้ตนเอง ควรรักษาจิตใจของตนเองให้มีความเบิกบานอยู่เสมอ ควรระลึกเสมอว่า ทุกคนมีวาระกรรมเป็นของตนเอง เมื่อช่วยเหลือจนถึงที่สุดแล้ว ก็ต้องปล่อยวางอย่างถึงที่สุดเช่นกัน

เครดิตบทความโดย พศิน อินทรวงค์ https://www.facebook.com/Talktopasin


คอร์ส “ฟังเป็น เปลี่ยนชีวิต”

หลักสูตร 1 วัน ที่จะเปลี่ยนมุมมองความคิด เปลี่ยนชีวิตด้วยการฟัง สร้างความสุข และความสำเร็จในชีวิต ด้วยการฝึก “ทักษะการฟัง” เพื่อให้เกิดการสื่อสารที่แท้จริงต่อกัน

ดูรายละเอียดคอร์สนี้ คลิกเลย —> ฟังเป็น เปลี่ยนชีวิต

5 ขั้นตอนทลายกำแพงในตัวคุณ

5-steps-you-should-take-you-longer-want-stay-your-comfort-zone

Comfort Zone เป็นขอบเขตที่คนเรากำหนดขึ้น คนส่วนใหญ่มักปฏิเสธที่จะก้าวออกมาจากพื้นที่แห่งนี้เพราะเราจะรู้สึกถึงความมั่นคงและปลอดภัยแต่คุณรู้หรือไม่ว่าการที่เราอยู่ในที่ที่ปลอดภัยนานๆ จะทำให้เราเกิดความเคยชิน ย่ำอยู่กับที่ ไม่ได้ใช้ศักยภาพที่มีอยู่หรือไม่เกิดการพัฒนานั่นเอง

การก้าวออกมาจากที่ที่เราคุ้นเคยอาจดูเป็นเรื่องที่เสี่ยง แต่การหยุดนิ่งโดยไม่ทำอะไรเลยเป็นเรื่องที่อันตรายมากกว่า ดังนั้นหากชีวิตของคุณมีแต่ความซ้ำซากจำเจ เช่น ทำงานในที่เดิมๆ สังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มเดิมๆ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมเป็นเวลานานนั่นเป็นสัญญาณที่แสดงว่าคุณกำลังตกอยู่ในหลุมพรางของComfort Zone ซึ่งเป็นกำแพงที่คุณสร้างขึ้นมา

นีลโดนัลด์วอล์ช กล่าวไว้ว่า “ชีวิตเริ่มต้นเมื่อเราทลายกำแพงของตัวเอง” ขอแสดงความยินดีด้วยหากคุณกำลังพยายามทลายกำแพงนี้ แต่หากคุณไม่รู้วิธีที่จะก้าวออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยดังกล่าว บทความนี้ช่วยให้คุณทลายกำแพงที่ปิดกั้นความเจริญก้าวหน้าด้วย 5 ขั้นตอนต่อไปนี้

1) อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ

จิม รอนกล่าวว่า “คุณจะเป็นค่าเฉลี่ยของคนจำนวน 5 คนที่คุณใช้เวลาด้วย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ากลุ่มคนที่รายล้อมรอบตัวคุณมีอิทธิพลอย่างมาก ผู้คนเหล่านั้นส่งผลต่อการดำเนินชีวิต นิสัย ทัศนคติ และมุมมองของคุณ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณคบเพื่อนที่ชอบออกกำลังกาย พวกเขาก็จะชวนคุณไปร่วมออกกำลังกายด้วย

เมื่อคุณทราบเช่นนี้แล้ว จงใช้เวลาอยู่กับคนที่จะทำให้ชีวิตของคุณเจริญก้าวหน้า เพราะพวกเขาจะเป็นแรงผลักดันให้คุณทำในสิ่งต่างๆได้สำเร็จ คุณอาจเข้าร่วมสมาคมหรือชมรมที่คุณสนใจนอกจากนี้ ในปัจจุบันมีเครือข่ายออนไลน์ที่คุณสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย เช่น Linked-in หรือกรุ๊ปต่างๆใน Facebook แต่หากคุณไม่ถนัดใช้เทคโนโลยีมากนัก คุณอาจเพิ่มแรงบันดาลใจให้กับตนเอง โดยการอ่านหนังสือประเภทชีวประวัติหรือเรื่องราวของบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต วิธีการเหล่านี้จะทำให้คุณเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น และพร้อมที่จะก้าวออกมาจากสิ่งเดิมๆ

2) ท้าทาย และเอาชนะร่างกายของคุณ

การท้าทายและเอาชนะร่างกายของคุณเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้คุณก้าวออกมาจากกำแพงที่คุณสร้างขึ้น การตั้งเป้าหมายกับร่างกายของคุณเอง เช่น การลดน้ำหนัก หรือการออกกำลังกาย เป็นสิ่งง่ายๆที่คุณสามารถทำได้ และเมื่อคุณทำสำเร็จ คุณจะเกิดความมั่นใจ และสามารถนำไปต่อยอดกับความสำเร็จด้านอื่นๆในชีวิตได้

การพิชิตเป้าหมายด้านร่างกายของตนเองสอนให้คุณมีระเบียบวินัยกับตนเอง ลดนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง และช่วยให้คุณรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้นคุณอาจท้าทายและเอาชนะร่างกายของตนเองด้วยการออกกำลังกายมันมีประโยชน์ เพราะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมา สุขภาพของคุณจะแข็งแรงและสิ่งนี้ช่วยสนับสนุนและผลักดันให้คุณก้าวออกมาจากพื้นที่เขตปลอดภัยของคุณ

3) เริ่มทีละเล็กทีละน้อย

การก้าวออกมาจาก Comfort Zone หรือการทลายกำแพงในตัวคุณไม่จำเป็นต้องรีบเร่งหรือเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทางที่ดีก็คือ คุณควรปฏิบัติอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยเวลา ดังนั้น จงเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองทีละเล็กทีละน้อย และค่อยๆก้าวออกมาจากความยึดติด ความซ้ำซากจำเจที่คุณสร้างขึ้น

4) ทำความเข้าใจ และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น

หากคุณมีความกังวลใจเรื่องภาพลักษณ์ เช่น รู้สึกกลัวว่าคนอื่นๆจะมองคุณอย่างไร คุณควรจะพูด ทำ หรือแสดงออกอย่างไรดี นั่นแสดงว่าคุณไม่เข้าใจการสื่อสารและการปฏิสัมพันธ์ที่แท้จริง สิ่งที่ถูกต้องก็คือ ในทุกๆบทสนทนาคุณควรสนใจว่าผู้อื่นกำลังพูดอะไร และต้องการสื่อสารสิ่งใด วิธีการนี้จะทำให้คุณเป็นนักสื่อสารที่ดี เข้าใจตนเองและผู้อื่นมากยิ่งขึ้น

การทำความเข้าใจกับความคิดของผู้อื่น และการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีต่อกันจะทำให้คุณสามารถก้าวออกมาจาก Comfort Zone และเข้าใกล้ความฝันของคุณมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ คุณจะสามารถทลายกำแพงในใจและคิดว่า “ฉันมีความคิดที่ดี และฉันต้องทำให้มันสำเร็จ เพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นต่อไป” ในทางกลับกัน หากคุณไม่ให้ความสำคัญกับผู้อื่น ก็จะไม่มีคนช่วยเหลือและสนับสนุนคุณ ดังนั้น เมื่อคุณจะทำอะไรก็ตาม คุณจะรู้สึกประหม่า ไม่มั่นใจ และกลัวว่าคนอื่นๆจะมองว่าคุณงี่เง่า ท้ายที่สุดคุณก็จะไม่กล้าก้าวออกมาจาก Comfort Zone

5) เสแสร้งจนคุณกลายเป็นแบบนั้นจริงๆ

เอมี่ คัดดี้กล่าวไว้ว่า “จงเสแสร้งจนคุณกลายเป็นแบบนั้นจริงๆ” งานวิจัยของเธอค้นพบว่าการเสแสร้งประหนึ่งว่าคุณเป็นคนแบบใดแบบหนึ่งนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนของคุณได้ การสวมบทบาทหรือแสดงละครเพียง 2 นาทีส่งผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งเชื่อมโยงกับความมั่นใจของคนๆนั้น แม้ว่าอาจดูเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ แต่ผลการทดลองระบุว่าวิธีการนี้สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างได้

หากคุณยังไม่เชื่อ ให้ลองสวมบทบาทและคิดว่าตนเองเป็นคนที่มั่นใจ สามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ และก้าวออกมาจาก Comfort Zone สิ่งสำคัญก็คือ อย่าลืมว่า การแสดงเพียงเล็กน้อยก็จะให้ผลลัพธ์ที่เล็กน้อย ดังนั้น หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่และชัดเจน จงแสดงละครให้สมจริงสมจังที่สุด

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.lifehack.org/326380/5-steps-you-should-take-you-longer-want-stay-your-comfort-zone

4 นิสัยสร้างสุขที่คุณทำได้ ง่ายกว่าที่คิด

“ความสุขไม่ใช่สิ่งสำเร็จรูป แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากการกระทำของเราเอง” – องค์ดาไล ลามะ

คุณไม่สามารถมีความสุขได้ตลอดเวลา แต่คุณสามารถที่จะเรียนรู้การมีความสุขผ่านช่วงเวลาที่ดีและร้ายในชีวิต มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณไม่มีความสุขเพราะเจ้านายคุณงี่เง่า แฟนคุณไม่ได้ดั่งใจ หรือเพื่อนคุณพูดอะไรขัดหู แต่ทั้งหมดนั้นมันมาจากตัวคุณเอง คุณไม่มีความสุขกับงาน คุณไม่มีความสุขกับเรื่องต่างๆ เพราะตัวคุณ และใจคุณเองเป็นคนกำหนด

ความสุขของคุณอาจไม่ใช่ความสุขของคนอื่น หรือความสุขของคนอื่นอาจเป็นความทุกข์ของคุณ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่ต้องมีปฎิสัมพันธ์กัน คุณไม่สามารอยู่คนเดียวได้โดยไม่พึ่งพาคนอื่น ด้วยสังคม อาชีพ หน้าที่การงาน และความรับผิดชอบ อาจทำให้คุณและคนรอบตัวคุณเกิดผิดใจกัน หรือ ทำให้เกิดความสุขน้อยลง จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง และจุดแตกหักภายหลัง เราไม่สามารถควบคุมความสุขจากสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ แต่เราสามารถควบคุมตัวเราเอง โดยการสร้างพฤติกรรมที่ทำให้เรามีความสุขจำภายในได้

พฤติกรรมที่ทำให้คุณมีความสุข

คุณสามารถมีความสุขจากสิ่งเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันของคุณได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณมองข้าม และคุณไม่จำเป็นต้องใช้เงินฟุ่มเฟือย หรือ ใช้แรงกายมากมายในการสร้างความสุขเหล่านั้นให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคุณ

1.เขียน 3 สิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขในแต่ละวัน

คุณอาจเริ่มการจดบันทึก หรือ เขียนสิ่งที่ทำให้คุณยิ้ม หัวเราะ หรือมีความสุขในวันนี้ คุณแค่ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง และทบทวนว่าวันนี้คุณทำอะไรบ้าง สิ่งไหนที่ทำให้คุณรู้สึกดี และสิ่งไหนที่คุณไม่ชอบ ทำให้คุณอึดอัด กังวล หรือคิดมาก คุณจะค้นพบตัวเองว่าคุณชอบทำอะไร และอะไรคือสิ่งที่สร้างความสุขให้คุณในแต่ละวัน มันไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้คุณยิ้มได้ มันอาจเป็นอะไรเล็กๆน้อยๆ ระหว่างวันก็ได้ ขอเพียงแค่คุณรู้สึกดีกับมันก็พอ

2.ช่วยเหลือผู้อื่น

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณนึกถึงแต่ตัวเอง ทำทุกอย่างทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง หรือเอาความต้องการของตัวเองเป็นหลัก เมื่อนั้นคือคุณกำลังเป็นคนที่ไม่มีความสุข เพราะคุณมองแค่มุมเดียวจากตัวเอง อะไรที่ไม่ได้ดังใจ หรือขัดใจ จะทำให้คุณมีอารมณ์ขุ่นมัว และรู้สึกหงุดหงิด แต่ถ้าคุณลองเปิดใจ ลองมองโลกในมุมของคนอื่น คุณจะเห็นความทุกข์ของคนอื่น และรู้ดีว่าคุณโชคดีกว่าพวกเขามากแค่ไหน คุณสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้ เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น การให้โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน และเห็นคนที่คุณช่วยเหลือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากการช่วยเหลือของคุณ คุณจะรู้สึกอิ่มเอม ตื้นตัน และมันเป็นความสุขที่ไม่สามารถซื้อได้

3.ทำสมาธิ

การทำสมาธิ คือพื้นฐานที่จำเป็นของชีวิต และคุณควรฝึกเป็นนิสัย การทำสมาธินอกจากทำให้จิตใจคุณสงบ รู้สึกผ่อนคลาย มันยังเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คุณได้อยู่กับความคิด และอยู่กับตัวเองจริงๆ ทำให้คุณมีสติรับรู้ ตกผลึกทางความคิดมากขึ้น การทำสมาธิทำให้คุณใช้ชีวิตและให้ความสำคัญกับคำว่าปัจจุบัน เพราะความทุกข์ที่เกิดส่วนใหญ่ในใจคุณมักมาจากการที่ไม่สามารถลืมอดีตอันเจ็บปวด หรือการกังวลไปกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง การทำสมาธิจะทำให้คุณลดความกังวลและอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น การทำสมาธิสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา และไม่มีค่าใช้จ่ายต้นทุนใดๆ นอกจากต้นทุนเวลา คุณสามารถฝึกสมาธิแค่เพียง 2 นาทีต่อวัน เพียงแค่คุณสังเกตและพิจารณาลมหายใจเข้าออก คุณก็จะรับรู้ถึงความสงบสุขในใจได้

4.ออกกำลังกาย

ทุกคนรู้ว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งดี แต่การออกกำลังกายไม่ได้ทำให้ร่างกายคุณกระปรี้กระเปร่าเท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจคุณปลอดโปร่งอีกด้วย การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายของคุณหลั่งฮอร์โมนซึ่งเป็นสารความสุข ทำให้คุณรู้สึกมีความสุขมากขึ้น ถ้าคุณไม่ได้ออกกำลังกายเป็นนิสัย คุณสามารถเริ่มจากการออกกำลังกายเบาๆก่อนก็ได้ เพื่อให้ร่างกายคุณเริ่มชินและให้เวลากับคุณในการปรับตัว ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องออกกำลังกายเป็นชั่วโมง คุณสามารถแบ่งเวลาการออกกำลังกายได้แค่ 5-10 นาที ที่บ้าน ถึงแม้ว่าคุณจะยุ่งมากแค่ไหน แต่คุณก็ควรจัดตารางเพื่อการออกกำลังกายนี้ เพียงแค่ไม่กี่นาทีต่อวัน กับกิจกรรมที่ทำให้คุณแข็งแรงขึ้นและมีความสุขขึ้น

มีกิจกรรมอีกหลายอย่างที่เพิ่มพูนความสุขของคุณในแต่ละวัน เช่น การกินอาหารที่อร่อย การดื่มชา การเล่นโยคะ การพบปะสังสรรค์กับเพื่อนเก่า อะไรที่ทำให้คุณมีความสุขและสนุกกับสิ่งนั้น จงทำมันบ่อยๆ แต่ถ้าอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกกังวล จงถอยออกห่าง

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือ การเพิ่มความสุขให้กับชีวิตเล็กๆน้อยๆ มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ใช้เงินมหาศาล ใช้เวลามาก หรือทำให้คุณเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิต คุณสามารถเริ่มได้จากสิ่งเล็กๆ แต่ทำมันอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเต็มใจ และคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิต

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

http://zenhabits.net/brighten/

10 วิธี ที่ทำให้คุณเลิกนิสัยแย่ๆ

10 ways to make quitting a bad habit

คุณอาจเคยหงุดหงิดกับนิสัยแย่ๆของตัวเอง  ที่บางครั้งคุณก็รู้อยู่แกใจว่านิสัยเหล่านี้ไม่มีใครชอบ และคุณก็ไม่อยากที่จะมีนิสัยแย่ๆแบบนี้หรอก แต่ว่าคุณก็เลิกทำไม่ได้ซักที   คุณสามารถที่จะค่อยๆลด และเลิกนิสัยแย่ๆของคุณได้ โดยการลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตาม 10 ข้อ ที่แนะนำนี้  คุณไม่จำเป็นที่จะต้องทำทุกข้อ แต่ถ้ายิ่งทำได้หลายข้อ มันก็จะยิ่งเป็นประโยชน์กับตัวคุณเอง

1.สร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่

ถ้าคุณตั้งใจจะเลิกสูบบุหรี่แบบจริงจัง มันไม่ใช่แค่ว่า ถ้าหยุดสูบแล้วจะดีกับสุขภาพคุณเอง แต่คุณต้องมีทัศนคติ และความเชื่อมที่ยิ่งใหญ่ก่วานั้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีในการเลิกสูบบุหรี่ เช่น ทุกครั้งที่ฉันสูบบุหรี่ ฉันกำลังตายผ่อนส่งอยู่ หรือ คนที่ฉันรู้จักตายเพราะมะเร็งปอด ถ้าไม่อยากตายแบบทรมาน ฉันต้องเลิกพฤติกรรมแย่ๆนั้นเดี๋ยวนี้

 

2.สัญญากับตัวเอง

คุณสัญญากับตัวเอง ว่าคุณจะไม่ทำสิ่งแย่ๆอีก แต่นั่นอาจไม่พอ เพราพอถึงเวลาจริงๆ คุณอาจใจอ่อนกับตัวเอง เทคนิคก็คือ คุณต้องบอกเพื่อนรอบข้าง บอกคนใกล้ชิด บอกให้โลกรู้ ว่าคุณมีแผนจะลด ละ เลิกสิ่งที่ไม่ดี และเมื่อคุณมีความคิด หรือ อยากจะไปทำพฤติกรรมแย่ๆอีก  พวกเขาเหล่านั้น คือคนที่จะมาเตือนสติคุณ ให้กำลังใจคุณ และอยู่เคียงข้างคุณ ไม่ให้คุณกลับไปใช้ชีวิตแย่ๆแบบเดิมอีก

 

3.ระวังสิ่งกระตุ้น

อะไรคือสิ่งหลักที่กระตุ้นให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆเหล่านั้น คุณต้องหามันให้เจอ และคอยระวังมัน ไม่ให้คุณไปถึงจุดนั้น เช่น คุณสูบบุหรี่ก็ต่อเมื่อมีคนชวน  เห็นคนสูบบุหรี่ หรือได้กลิ่นบุหรี่ สิ่งเหล่านี้สามารถกระตุ้นสัญชาติญาณดิบของคุณ โดยที่คุณไม่สามารถหักหามใจได้  คุณจะรู้สึกหงุดหงิด และห้ามตัวเองไมได้ จงสังเกตตัวเองให้ดีว่าอะไรคือสิ่งเร้า หรือสิ่งกระตุ้น ให้คุณเลิกนิสัยแย่ๆแบบนี้ไม่ได้ซักที

 

4.รู้ที่มาของพฤติกรรมแย่ๆ

อะไรคือปัจจัยหรือสาเหตุที่ทำให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุ คุณต้องหาสาเหตุนั้นให้เจอ โดยการพิจารณาตัวเอง และซื่อสัตย์กับตัวเอง เช่น ถ้าคุณเป็นคนอ้วน เพราะชอบกินของหวาน และคุณอยากที่จะเลิกกินของหวาน เพราะรู้ว่ามันไม่ได้ดีกับสุขภาพ และทำให้คุณยิ่งอ้วน คุณต้องหาสาเหตุให้เจอว่าทำไมคุณถึงอยากกินของหวาน ชอบกินของหวานตอนไหน  ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากกินของหวานตอนที่คุณรู้สึกเครียด รู้สึกเศร้า หรือรู้สึกหดหู่ ของหวานจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น

 

5.หากิจกรรมอื่นทดแทน

คุณอาจชอบสูบบุหรี่ ชอบใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น หรือ ชอบกินอาหารที่ทำลายสุขภาพ เมื่อคุณเครียด หรือ ท้อแท้  คุณสามารถแก้พฤติกรรมแย่ๆเหล่านี้ได้ โดยการหากิจกรรมอื่นมาทดแทน เพื่อบำบัด ความเครียด หรือระบายความรู้สึกของคุณ เช่น สมัครคอรส์เรียนชกมวย  ดูหนัง ร้องคาราโอเกะ  แต่กิจกรรมใหม่ๆที่หามาทดแทน ควรจะมีเพื่อนหรือคนรัก คอยให้กำลังใจคุณด้วย

 

6.มีสติกับสิ่งกระตุ้นรอบตัว

หลังจากที่คุณรู้แล้วว่าสิ่งไหนเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้คุณมีพฤติกรรมแย่ๆ คุณควรที่จะระวัง และอยู่ห่างปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดสิ่งกระตุ้นเหล่านั้น  เช่น ถ้าคุณได้ยินเสียงน้ำแข็งกระทบแก้ว แล้วทำให้คุณอยากเหล้า หรือ ได้กลิ่นควันจางๆแล้วทำให้คุณอยากสูบบุหรี่ จงมีสติ ดื่มน้ำ และหายใจเข้าออกช้าๆ คุณสามารถให้เพื่อนคุณช่วย และคุณควรเดินออกจากสิ่งแวดล้อมตรงนั้นให้เร็วที่สุด

 

7.สร้างนิสัยใหม่ๆหลังจากเจอสิ่งกระตุ้น

มันยากมากที่จะเปลี่ยนนิสัย หรือสัญชาตญานหลังจากที่คุณทำมันมานานแสนนาน แต่คุณสามารถเริ่มนิสัยใหม่ได้ ด้วยการมีสติ และความเชื่อ คุณต้องพึงระลึกอยู่เสมอ และแข็งใจกับสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นต่างๆรอบข้าง เช่น ทุกครั้งที่คุณได้กลิ่นบุหรี่ แล้วอยากสูบบุหรี่ ให้คุณเปลี่ยนไปเคี้ยวหมากฝรั่งแทน ทำมันทุกครั้งจนติดเป็นนิสัยใหม่ แต่ถ้ามันเกิดข้อผิดพลาดที่คุณไม่สามารถหักห้ามใจ หรือเผลอที่จะมีหรือแสดงพฤติกรรมแย่ๆออกมา คุณควรให้อภัยตัวเอง และเริ่มใหม่ให้เร็วที่สุด

 

8.ระวังความคิดของคุณ

เพราะความคิด และความเชื่อมีผลต่อพฤติกรรม และการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆในชีวิตคุณ คุณต้องระวังความคิดคุณให้มาก  ถ้าจะมีเหตุผลหรือข้อแก้ตัวสำหรับพฤติกรรมแย่ๆ เช่น วันนี้วันเกิดฉัน ขอเว้นวรรคสักวัน หรือ ฉันเพิ่งปิดจ็อบงานนี้สำเร็จขอให้รางวัลตัวเองหน่อย  คุณควรหยุดความคิดแบบนี้ ในการเข้าข้างตัวเอง ถ้าคุณอยากจะเลิกนิสัย หรือ พฤติกรรมแย่ๆของตัวเอง

9.ค่อยๆเลิก

มันไม่จำเป็นที่จะต้องหักดิบ เลิกทันที เลิกเลย คุณสามารถค่อยๆลด และละ จนเลิกได้ เช่นถ้าคุณอยากเป็นคนตื่นเช้า แต่ปกติคุณตื่นเที่ยงตลอด คุณอาจเริ่มด้วยการตื่นตอน 11 โมง  และวันต่อไปๆ คุณอาจเริ่มนอนให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมง และตื่นให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมง  การที่ตั้งเป้าทีละเล็กละน้อย ในแต่ละวัน มันเป็นเป้าหมายที่ทำได้ง่าย และคุณจะรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณทำมันสำเร็จในแต่ละวัน มันเป็นกำลังใจที่ดีที่ทำให้คุณไปถึงเป้าหมายของคุณได้ง่ายขึ้น และทำให้คุณเป็นคนใหม่

 

10.เรียนรู้จากข้อผิดพลาด

บางครั้งเราก็พลาดได้ ให้อภัยตัวเอง ล้มแล้วลุกขั้นใหม่ให้เร็วที่สุด พิจารณาสิ่งที่เกิดตามความเป็นจริง ไม่เข้าข้างใคร ยอมรับมัน และหาแผนสำรองเพื่อกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก และทุกครั้งที่มันเกิดขึ้นซ้ำ คุณจะต้องรับมือมันได้ดีกว่าเดิม คุณต้องมีพัฒนาและเข้มแข็งขึ้น การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดคือสิ่งที่ทำให้คุณใกล้เป้าหมายมากยิ่งขึ้น

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลายคนล้มเลิกความตั้งใจกลางครันเพราะมองข้ามสิบข้อเหล่านี้ จงอย่าเป็นไอ้ขี้แพ้  ทุกคนสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ เพียงแค่คุณใช้ความตั้งใจ ความพยายาม และแรงบันดาลใจ

 

 

 

 

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

http://zenhabits.net/bad/

 

 

ประโยชน์องค์รวม 4 มิติ ของโยคะแห่งสติ

The fourth dimension of yoga

ปัจจุบัน การฝึกโยคะส่วนใหญ่ของผู้คนในสังคมไทย มักเน้นไปที่ประโยชน์ในมิติด้านร่างกายเป็นสำคัญ ด้วยจุดประสงค์เพียงเพื่อการออกกำลัง’กาย’ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย และรูปร่าง จึงได้รับประโยชน์เพียงส่วนเดียวของโยคะ

 

หากความจริงแล้ว โยคะที่แท้ ตามวิถีดั้งเดิมของอินเดีย คือ การรวมของกายและจิต

ซึ่งหากฝึกควบคู่ไปกับการเจริญสติแล้ว จะเอื้อประโยชน์ในมิติอื่นๆที่มากมายอย่างเป็นองค์รวม ทำให้ศาสตร์โยคะเกิดการแพร่หลายจากโลกตะวันออกสู่โลกตะวันตก

 

นอกเหนือจากประโยชน์ในมิติด้านร่างกายแล้ว โยคะแห่งสติยังเอื้อประโยชน์ทั้งมิติด้านจิตใจ สมอง และจิตวิญญาณ ตามรายละเอียดต่างๆ ดังนี้

 

  • มิติด้านร่างกาย

 

แพทย์องค์รวมชาวอินเดีย ผู้เป็นปรมาจารย์ ของโยคะชื่อดังระดับโลก จากสถาบัน International Sivananda Yoga Vedanta พบว่า การฝึกโยคะอาสนะ มิได้เน้นประโยชน์เพียงหุ่นรูปร่างภายนอก แต่เอื้อประโยชน์ต่างๆต่อระบบการทำงานภายในของร่างกาย เช่น ระบบการทำงานของหัวใจ ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหารและขับถ่าย และระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น และยังเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ได้มีนำโยคะมาใช้เพื่อบำบัดโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน และหัวใจ

 

  • มิติด้านจิตใจ

 

จากบทความงานวิจัยของ Oxford University และ New Hampshire Psychiatric Hospital  พบว่า การฝึกโยคะสามารถบำบัดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า โกรธ และอ่อนล้าได้

โยคะแห่งสติสร้างการตระหนักรู้เท่าทันอารมณ์ที่ส่งสัญญาณบ่งบอกชัดเจนผ่านความรู้สึกทางกาย เป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารอารมณ์ และสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์ ดังที่กูรู Daniel Goleman ได้แนะนำ และมีการนำไปใช้ในองค์กรต่างๆอย่างแพร่หลาย ทั้งในแวดวงองค์กรสุขภาพและธุรกิจ

 

 

  • มิติด้านสมอง

 

จากการศึกษาของ Harvard University และ University of Massachusetts Medical School พบว่า การฝึกโยคะส่งผลถึงประสิทธิภาพการทำงาน ของระบบประสาทและสมอง โดยหากฝึกโยคะพร้อมเจริญสติฝึกสมาธิ อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาของสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการจดจ่อให้งานสำเร็จ และการพิจารณาตัดสินใจเรื่องต่างๆ รวมถึงเป็นการลดความเครียดได้อย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้ การฝึกปราณ หรือฝึกลมหายใจ ยังส่งผลโดยตรงต่อสมองอีกด้วย

 

  • มิติด้านจิตวิญญาณ

 

แก่นแท้ของโยคะ คือ การฝึกฝนกาย จิต สติปัญญา เพื่อมุ่งสู่การตื่นรู้ต่อความจริงอันสูงสุด เห็นการเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปของสภาวะร่างกาย จิตใจและความคิด ช่วยให้เกิดความตระหนักรู้และเข้าใจชีวิตของตนเองและผู้อื่น มีความสุขสงบและสมดุลทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคงภายใน ยอมรับและความเชื่อมั่นในศักยภาพอันสูงสุดของมนุษย์  รวมถึงยังก่อให้เกิดความเมตตากรุณาต่อตนเองและผู้อื่น

และที่สำคัญ คือ มีอุเบกขา หรือ การปล่อยวางทั้งสุขและทุกข์ได้ เพื่อรักษาความสงบและสมดุลนั่นเอง

 

ทั้งนี้ แต่ละท่าของโยคะอาสนะต่างให้ประโยชน์ที่ต่างกันออกไป เช่น ท่านั่งก้มตัว ช่วยระบบย่อยและขับถ่าย ในขณะที่ท่าสะพาน ช่วยลดอาการซึมเศร้า การฝึกปราณแบบกบาลภัทติ ช่วยให้สมองตื่นตัว เป็นต้น จึงมีความจำเป็นที่ผู้ฝึกควรศึกษาและเข้าใจถึงประโยชน์ที่เหมาะสมกับสภาวะร่างกายและจิตใจ รวมถึงวัตถุประสงค์ก่อนการฝึก

 

แล้วคุณล่ะ คิดว่า การฝึกโยคะเอื้อประโยชน์ต่อคุณในด้านใด?

 

เขียนและเรียบเรียงโดย “นิรามิสสุข”

 

 

5 สิ่งที่คนมีความสุขไม่เคยลืม

เมื่อคุณมองไปรอบๆตัว และสังเกตเห็นผู้คนที่กำลังยิ้มแย้มและหัวเราะ คุณคิดอิจฉาว่าทุกสิ่งทุกอย่างดูจะเป็นใจไปกับพวกเขาซะหมด

ในขณะเดียวกัน คุณรู้สึกว่าตนเองกำลังต่อสู้ดิ้นรนกับสิ่งต่างๆในชีวิต และกว่าที่ผ่านพ้นไปในแต่ละวันมันช่างยากลำบากซะเหลือเกิน คุณเฝ้าบอกกับตัวเองว่าคนอื่นๆ ไม่ได้มีความสุขจริงๆ และสิ่งที่คุณเห็นมันเป็นแค่ภาพลวงตา หากคุณกำลังคิดเช่นนี้ คุณกำลังทำลายความสุขของตัวเอง และไม่น่าแปลกใจที่คนอื่นๆจะมีความสุขมากกว่าคุณ

ดังนั้น เพื่อแสวงหาความสุขและดึงตัวเองให้ขึ้นมาจากความทุกข์ คุณควรอ่านบทความนี้ เพราะบทความนี้เปิดเผยสิ่งที่คนที่มีความสุขปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาไม่เคยลืมทำ 5 สิ่งเหล่านี้เลย และเมื่อคุณอ่านจบ คุณจะพบว่าความสุขเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราและหาได้ไม่ยาก

1.ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

คนที่มีความสุขมักยินดีและเห็นคุณค่าในความสำเร็จของผู้อื่น พวกเขาไม่อิจฉาริษยา หรือแก่งแย่งชิงดีกับใคร

ในทางตรงกันข้าม คนที่มีความทุกข์มักเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นตลอดเวลา พวกเขาคอยจับจ้องความสำเร็จของผู้อื่น และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งนั้นเช่นกัน ดังนั้น หากคุณต้องการมีความสุข ให้คุณตั้งเป้าหมายในชีวิตของคุณเอง และใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุความสำเร็จนั้น คุณควรแข่งขันกับตัวเอง อย่าแข่งขันกับคนอื่น

นอกจากนี้ หากคุณเผชิญกับปัญหาที่อาจทำให้คุณล้มลุกคลุกคลาน ให้ถือว่าอุปสรรคนั้นเป็นบทเรียนที่ล้ำค่า จงเข้มแข็งและอย่ายอมแพ้ คุณควรปรับปรุงและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และท้ายที่สุด คุณจะพบว่าคุณสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์เหล่านั้น และกลายเป็นคนที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีความสุข

2.เลือกที่จะมีความสุข

เราทุกคนล้วนมีปัญหาในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องครอบครัว เงินตรา ความรัก การงาน เป็นต้น แต่ความแตกต่างระหว่างคนที่มีความสุขกับคนที่ไม่มีความสุข คือ ทัศนคติ หรือมุมมองในการใช้ชีวิต

ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีความสุข คือ คนที่มองโลกในแง่ดี พวกเขาเพลิดเพลินไปกับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆก็ตาม นอกจากนี้ พวกเขามีความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีหรือสิ่งที่ตนเองเป็น ดังนั้น พวกเขาสามารถหาความสุขได้จากสิ่งที่เรียบง่าย และมีชีวิตที่ราบรื่น

อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ ก็คือ การนิยามความสุขด้วยตัวคุณเอง คุณเป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถบอกได้ว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น หากคุณรู้สึกมีความสุขกับการทำงานอดิเรกอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จงทำมัน และใช้เวลากับมันให้เต็มที่ ดังนั้น จงอย่าปล่อยให้คนอื่นกำหนดหรือบงการชีวิตของคุณ เพราะนั่นจะทำให้คุณไม่มีความสุขที่แท้จริง

3.ลืมอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว

คนที่มีความสุข คือ คนที่สามารถจัดการกับความทรงจำอันโหดร้ายในชีวิตได้ พวกเขาเลือกที่จะไม่จมอยู่กับความทุกข์เหล่านั้น ทั้งยังนำเอาประสบการณ์ที่เคยผิดพลาดมาเป็นบทเรียน และผลักดันให้ชีวิตของตนก้าวไปข้างหน้า

หากคุณต้องการมีความสุข จงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ยึดติดกับอดีตหรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง กล่าวคือ อย่าปล่อยให้ความทุกข์ในอดีตส่งผลต่อความสุขในปัจจุบันของคุณ พยายามลืมความทุกข์ที่ทำให้คุณรู้สึกขมขื่น และใช้เวลาในปัจจุบันให้มีคุณค่าและมีความสุข

4.อยู่ท่ามกลางคนที่ทำให้รู้สึกดีและมีความสุข

สุภาษิตไทยที่ว่า “เข้าฝูงหงส์เป็นหงส์ เข้าฝูงกาเป็นกา” นั้น มีหมายความว่าหากเราเข้าไปอยู่ในหมู่คนดี หรือคบเพื่อนดี ก็จะเป็นศรีแก่ตัว แต่หากเราอยู่ในหมู่คนชั่ว เราก็จะพลอยเดือดร้อนหรือกลายเป็นคนชั่วไปด้วย

ดังนั้น หากคุณต้องการมีความสุข คุณก็ควรอยู่ท่ามกลางคนที่ทำให้คุณรู้สึกดีและมีความสุข การใช้เวลาอยู่กับคนที่บั่นทอนกำลังใจ และไม่สนับสนุนความพยายามของคุณ จะทำให้คุณรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง คุณควรเดินออกมาจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้น และหากคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การอยู่ลำพังอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการอยู่ร่วมกับคนที่ทำให้คุณมีความคิดเชิงลบ

คุณอาจกลัวกับการอยู่คนเดียว แต่จงจำไว้ว่าการอยู่เพียงลำพัง ไม่ได้หมายถึง ความโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่การอยู่กับตัวเองเป็นเวลาที่ดีที่คุณจะได้รู้จักตนเอง และหาทางปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองโดยไม่มีอิทธิพลหรือความคิดของผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง

5.ยอมรับความจริง

บางครั้งความจริงในชีวิตอาจเป็นสิ่งที่น่ากลัว หรือทำให้เราเจ็บปวด แต่ความจริง ก็คือความจริง คุณไม่มีทางหลีกหนีไปได้ และคนที่มีความสุข คือ คนที่รู้จักยอมรับและใช้ชีวิตอยู่กับความจริงอย่างมีความสุข

ในทางตรงกันข้าม คนที่มีความทุกข์ มักหลีกหนีจากความจริง ชอบการโกหกหลอกลวง ปกปิดซ่อนเร้นอยู่ตลอดเวลา พวกเขาเหล่านี้มีแต่ความกังวลใจ และกลัวว่าผู้อื่นจะรู้ความจริงของตนเอง การยอมรับความจริงในช่วงแรกอาจทำให้คุณรู้สึกทุกข์ เดือดเนื้อร้อนใจ แต่สิ่งนี้จะทำให้คุณเห็นสัจธรรมของชีวิต หรือเตือนใจให้เราไม่ประมาทในสิ่งต่างๆที่รออยู่ข้างหน้า อีกทั้ง ยังฝึกใจเราให้เข้มแข็ง อดทน และมีสติมากขึ้น  

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

Source: http://www.pickthebrain.com/blog/5-things-happy-people-never-forget/

10 เหตุผลที่คุณควรมองโลกในแง่ดี

10 reasons why you should be optimistic

ทุกคนล้วนประสบปัญหาในชีวิต โดยมีช่วงที่ชีวิตถึงจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด แต่เมื่อเราประสบพบเจอกับปัญหาเหล่านั้น สิ่งที่ทำให้เรามีสติ และแก้ไขปัญหาได้อย่างชาญฉลาด มองภาพใหญ่ออก คือ การคิดบวก และมองโลกแง่ดี ความคิดของคุณ คือ กุญแจสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรม การกระทำ รวมถึงสุขภาพของคุณ และนี่คือเหตุผลดีๆสิบข้อที่คุณควรหันมาคิดบวก และมองโลกในแง่ดี

1.ทำให้คุณรู้สึกดี

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมองโลกในแง่ดี คุณจะรู้สึกว่าชีวิตของคุณดีขึ้น คุณไม่สามารถที่จะรู้สึกดีและรู้สึกแย่ในเวลาเดียวกันได้ และการที่คุณมองโลกในแง่ดี คุณจะรู้สึกสงบ มีความสุข และอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก

2.มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

เวลาที่คุณเลือกที่จะคิดในสิ่งดีๆ คุณจะนึกถึงข้อดีของคนรอบข้างคุณ ขณะเดียวกันคุณก็จะมองข้ามข้อเสีย ของพวกเขาโดยอัตโนมัติ และมันส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาและคุณ มิตรภาพและความสัมพันธ์ของพวกคุณจะแน่นแฟ้นขึ้น และทัศนคติแบบนี้จะสร้างบรรยากาศเป็นมิตร ครื้นเครง และหลายๆคนก็อยากที่จะอยู่ใกล้คุณ เพราะพวกเขารู้สึกสบายใจ และมีความสุขที่ได้คบคุณ

3.จัดการปัญหาได้ดีขึ้น

ในช่วงเวลาที่ชีวิตคุณเจอปัญหา มรสุมต่างๆ การคิดบวกจะทำให้คุณก้าวข้ามผ่านอุปสรรค และปัญหาเหล่านั้นไปได้ง่ายกว่า การคิดบวกของคุณคือการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส และทำให้คุณมีมุมมองใหม่ และเห็นวิธีการแก้ปัญหาได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้การคิดบวกยังทำให้คุณผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้อย่างรวดเร็ว

4.มีพลังชีวิตมากขึ้น

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกว่าคุณไม่มีความกังวล หรือ เครียดน้อยลง คุณจะมีเรี่ยวแรงในการทำกิจกรรมต่างๆที่คุณรักได้ บางครั้งเวลาที่จิตใจเราห่อเหี่ยว เราก็อยากอยู่เฉยๆ ไม่อยากทำอะไร โดยเฉพาะความเครียด เป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้พลังงานชีวิตเราหายไป ความเครียดทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง กระปรี้กระเปร่า หรืออยากทำอะไร เพียงแค่คุณเปลี่ยนวิธีการมองโลก ก็สามารถเพิ่มพลังชีวิตของคุณให้มากขึ้นแล้ว

5.สร้างความประทับใจแรกพบ

ถ้าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี คุณจะสร้างความประทับใจแรกพบให้กับคนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัว โดยทั่วไปแล้ว การมองโลกในแง่ดีจะทำให้คุณเป็นคนเฟรนลี่ มีเพื่อนเยอะ และส่งผลถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ในอนาคต ไม่ว่าความสัมพันธ์จะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงาน

6.มีสุขภาพที่ดีกว่า

การคิดบวกคือ เคล็ดลับการรักษาสุขภาพที่ดีอย่างหนึ่ง มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า การมองโลกในแง่ดีทำให้เราไม่เครียด ลดแรงกดดันต่างๆ ซึ่งมีผลต่อระบบการไหวเวียนของเลือด ทำให้ความดันเลือดต่ำลง หัวใจเต้นช้าลง และทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น เพียงแค่คุณเปลี่ยนความคิด คุณก็เปลี่ยนสุขภาพได้

7.สร้างแรงบันดาลใจ


การคิดบวกเป็นแรงผลักดันชั้นดีในการกระตุ้นความคิดคุณให้ไปถึงเป้าหมายที่คุณตั้งไว้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น ถ้าคุณมัวแต่จมปลักกับความคิดลบๆ ความกังวลในผลที่ตามมา มันจะเป็นตัวฉุด ให้คุณหยุดอยู่กับที่ และทำให้คุณไปถึงเป้าหมายได้ช้าขึ้น หรือ อาจไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ

8.ส่งเสริมความกล้า

การคิดบวกทำให้คุณขจัดความกลัว ความกังวลต่างๆโดยอัตโนมัติ เพราะการที่คุณมองโลกในแง่ดีนั้น เมื่อเวลาที่คุณเจอปัญหา คุณจะคิดว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิตสามารถแก้ไขได้ คุณมั่นใจที่จะจัดการมันได้และสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่คุณมองต่างมุม ก็ปลดล็อกปัญหาได้อย่างทันท่วงที

9.มีความภูมิใจในตัวเอง

การคิดบวกถือว่าเป็นการเคารพตัวเองอย่างหนึ่ง คุณเชื่อว่ามีสิ่งดีๆกำลังเกิดขึ้นในชีวิตคุณ คุณให้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ คนที่มองโลกในแง่ดีจะมีทัศนคติ ว่า “ฉันสามารถทำได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ ” และนี่คือสิ่งที่เพิ่มความมั่นใจและเป็นส่วนหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จ

10.ดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

การคิดถึงแต่ในสิ่งดีๆ จะส่งผลทำให้คุณมีอารมณ์ดี และอารมณ์ดีๆจะสร้างบรรยากาศแห่งความสุข รวมถึงวิถีชีวิตที่มีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้น คุณคงไม่อยากรู้สึกโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลา และมีอารมณ์ฉุนเฉียวตลอดทั้งวัน คนที่คิดดี พูดดี ทำดี จะนำพาให้คุณไปเจอคนดีๆ เป็นกฎของแรงดึงดูดที่ทำให้เกิดสิ่งดีๆขึ้นในชีวิต

ปฎิเสธไม่ได้ว่าการคิดลบ หรือ มองโลกในแง่ร้ายทำได้ง่ายกว่าการมองโลกในแง่ดี แต่คุณสามารถเลือกได้วันนี้ว่าคุณจะมองโลกในแบบไหน เพื่อที่ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

Credit: listdose , health fitness revolution

5 สัญญานเตือนที่บ่งบอกว่าคุณกำลังไม่มีความสุขในชีวิต

5 warning signs that indicate that you are not happy in life

ในวันหนึ่งคุณอาจมีอารมณ์ขึ้นและลงมีทั้งความสุข ความทุกข์ เครียด กังวล ดีใจ โล่งใจ หิว เหวี่ยง และอารมณ์อื่นๆ ซึ่งปัญหาหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนหรือคนรอบข้างคุณ คุณอาจมองว่าเป็นปัญหาเล็กนิดเดียว แต่ในทางกลับกันพวกเขาอาจรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา อย่าตัดสินปัญหาของคนเราด้วยการเปรียบเทียบกัน เพราะแต่ละคนมีต้นทุนชีวิต และปัจจัยไม่เหมือนกัน ในทางตรงข้ามคุณก็ไม่ควรตัดพ้อกับชีวิต หรือ โทษโชคชะตาในปัญหาที่คุณเจอแต่เพื่อนคุณไม่เจอ

สิ่งที่ทำให้คุณมองปัญหาออกและแก้ไขมันอย่างทันท่วงทีคือ สติ และปัญญา ถ้าคุณปรารถนาจะมีชีวิตที่มีความสุข ได้ทำตามความฝันของตัวเอง คุณจะต้องรู้ตัวเองก่อนว่าคุณชอบทำอะไร ทำอะไรได้ดี ทำอะไรแล้วมีความสุข และที่สำคัญ สิ่งที่คุณชอบทำนั้นก่อให้เกิดรายได้ที่เลี้ยงตนเองได้หรือไม่ แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น คุณต้องยอมรับความจริงก่อนว่าสิ่งไหนคือตัวถ่วงและเป็นสิ่งที่คุณทำแล้วไม่มีความสุขเอาซะเลย

1.คุณไม่ยอมลาออกจากงานประจำที่คุณเกลียด

เริ่มจากงานที่คุณกำลังทำอยู่ คนเราใช้เวลาทำงานอย่างน้อย 40 ชั่วโมง ต่อ สัปดาห์ ในการทำงาน นั่นหมายถึงว่าครึ่งชีวิตของคุณอยู่กับที่ทำงาน ถ้าคุณไม่มีความสุขกับที่ทำงานแล้วละก็ นั่นหมายถึงว่าชีวิตคุณก็กำลังไม่มีความสุขด้วย ถึงแม้ว่างานในสมัยนี้จะหายาก แต่ถ้าคุณไม่คิดจะเริ่มหางาน หรือ เริ่มพัฒนาตัวเอง เพื่อให้ได้งานใหม่ที่ดีกว่า คุณก็ต้องจมปลักอยู่กับชีวิตเดิมๆแบบนี้ และเป็นชีวิตที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลง วนเวียนกับความทุกข์ซ้ำซาก

2.คุณมีความสัมพันธ์ที่มึนอึน

ความรักเป็นสิ่งสวยงามที่สร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับชีวิตคุณ เมื่อไหร่ก็ตามที่ความรักของคุณเริ่มทำร้ายคุณ ทำให้ชีวิตคุณแย่ลง ทำให้คุณเหนื่อยขึ้น ทำให้คุณเสียใจบ่อยๆครั้ง คุณควรที่จะหันมารักตัวเอง และให้คุณค่ากับตัวคุณเอง มากกว่าคนที่ไม่สนใจและทำร้ายความรู้สึกคุณ อย่าเสียดายความผูกพันหรือเวลาที่เสียไป แต่จงเสียดายเวลาในอนาคตที่คุณต้องทนอยู่อย่างไม่มีความสุข ยอมตัดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อชีวิตที่ดีในอนาคต

3.คุณไม่ยอมตัดสิ่งไม่ดีออกจากชีวิต

สิ่งไม่ดีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของพฤติกรรมที่แย่ เพื่อนที่แย่ สิ่งแวดล้อมที่แย่ ทุกอย่างคือปัจจัยที่ทำให้ชีวิตคุณไม่มีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแย่ๆที่ชอบยืมเงินและไม่คืนคุณ บ้านหรือที่อยู่อาศัยคุณที่อยู่ในแหล่งซ่องสุมของโจร พฤติกรรมการตื่นสายที่แก้ไม่ได้ หรือ พฤติกรรมการติดเหล้าติดบุหรี่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกระตุ้นและสิ่งเร้าที่ทำให้ชีวิตคุณแย่ลงเรื่อยๆ คุณอาจเคยคิดที่จะตัดมันออกไปจากชีวิต แต่ถ้าคุณแค่คิด แต่ทำไม่ได้ ท้ายสุดคุณก็ไม่มีความสุขที่แท้จริงอยู่ดี

4.คุณเต็มไปด้วยความสงสัยและความกลัว


คุณอาจเคยผิดหวังมามาก คุณอาจกลัวในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มีคำถามสงสัยเต็มหัวไปหมด ว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างไร ซึ่งบางทีเรื่องราวเหล่านั้นยังไม่เกิด และอาจไม่เกิดเลยก็ได้ การที่คุณคิดไปเองก่อน ทำให้คุณเป็นทุกข์และกังวลเปล่าๆ ถ้าคุณรู้ตัวว่าคุณกำลังมีความคิดวนเวียนซ้ำๆซากๆ มีความสงสัย ความกังวลในเรื่องเดิมๆ นั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกแล้วว่าคุณกำลังไม่มีความสุขเอาเสียเลย

5.คุณผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ


การที่คุณบอกตัวเองว่าเดี๋ยวค่อยทำ และผลัดมันไปเรื่อยๆ คือปัญหาสะสมเรื้อรัง และดูเหมือนว่าสิ่งที่คุณเลื่อนไปเรื่อยๆจะไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้ ไม่มีใครอยู่ได้ไปตลอดกาล ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้หรือชาติหน้าอะไรจะมาก่อน คุณควรทำในสิ่งที่คุณอยากทำตอนนี้ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป การผลัดผ่อนสิ่งต่างๆในชีวิตออกไปเรื่อยๆ เป็นอีกสัญญานที่บ่งบอกว่าคุณยังไม่พร้อม หรือ ติดค้างปัญหาอื่นๆอยู่

การเปลี่ยนแปลงคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง คุณต้องมีความเชื่อก่อนว่าคุณสามารถทำได้ และสามารถทำได้ด้วยดี คุณต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง และมีความสุข ไม่มีสิ่งไหนในชีวิตได้มาง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความพยายาม ชีวิตคุณลิขิตได้ เพียงแค่คุณเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเปลี่ยนมุมมองความคิดเพื่อทำให้ชีวิตคุณมีความสุขขึ้น

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

เครดิต : Huffington post

http://www.huffingtonpost.com/kimanzi-constable/5-signs-youre-not-happy-with-your-life-and-what-you-can-do-about-it_b_8166980.html?utm_hp_ref=gps-for-the-soul&ir=GPS+for+the+Soul

10 เทคนิคใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด

10 techniques spent life with brain

บางคนคิดว่าความฉลาดเป็นสิ่งที่สะสมกันมาตั้งแต่เยาว์วัย และยากที่จะเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาได้ แต่ในความเป็นจริง หากเราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสม ก็จะทำให้เรากลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพและฉลาดมากขึ้นด้วย บทความนี้จะช่วยเปิดเผยเทคนิค 10 ข้อที่จะทำให้คุณใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด

1.ตั้งคำถามและหาคำตอบอยู่เสมอ

ตอนเด็กๆเรามักสงสัยถึงสิ่งต่างๆบนโลกใบนี้ บางครั้งเราตั้งคำถามบ้าๆบอๆกับพ่อแม่  เช่น ทำไมท้องฟ้าจึงเป็นสีฟ้า ทำไมสุนัขเห่าโฮ่งๆ ทำไมแมวร้องเหมียวๆ แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น เราวุ่นวายกับชีวิตมากขึ้น จนทำให้ความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับโลกและสิ่งรอบตัวหายไป

แต่ทว่า เราควรรักษาจินตนาการเหล่านั้นไว้ โดยการตั้งคำถามและหาคำตอบอย่างสม่ำเสมอ คุณอาจจดบันทึกความคิดหรือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว และเมื่อคุณถึงบ้าน คุณควรค้นหาคำตอบต่างๆที่คุณได้จดเอาไว้ แม้ว่าความรู้ที่คุณได้รับจะไม่เกี่ยวข้องกับงานของคุณโดยตรง แต่อย่างน้อยการแสวงหาความรู้จากความสนใจเล็กๆน้อยๆก็สามารถนำคุณไปสู่การค้นพบงานอดิเรกของชีวิต

2.อ่านเรื่องราวแปลกใหม่

เทคโนโลยีทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรใช้เวลาทั้งวันในการเลื่อนดูภาพและเรื่องราวต่างๆในเฟสบุค ในทางกลับกัน คุณควรใช้แอพลิเคชั่นที่มีประโยชน์ เช่น Flipboard และ Longform แอพลิเคชั่นเหล่านี้รวบรวมเรื่องราวที่น่าสนใจรอบโลก นอกจากนี้ คุณไม่ควรอ่านข่าวในเว็บไซต์เดิมๆ ลองเปลี่ยนมาอ่านบทความที่แสดงความคิดเห็นในมุมที่แตกต่างที่จะช่วยให้คุณเปิดโลกทัศน์และอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ ทั้งนี้ การอ่านเพื่อความบันเทิงก็มีประโยชน์เช่นกัน เช่น ช่วยให้คุณมีจิตใจที่กระชุ่มกระชวยและผลักดันให้คุณก้าวไปข้างหน้า

3.แบ่งปันและถ่ายทอดความรู้

การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆมีความสำคัญมาก แต่การแบ่งปันและถ่ายทอดความรู้นั้นมีความสำคัญมากกว่า การแชร์เรื่องราวที่น่าสนใจผ่านทางเฟสบุคหรือการเล่าเรื่องด้วยการลงรูปถ่ายต่างๆสามารถช่วยถ่ายทอดเนื้อหาสาระ ความคิด รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกของคุณไปยังผู้อื่นได้ เช่น เพื่อน ครอบครัว หรือแม้แต่คนที่ไม่รู้จัก และสิ่งนี้จะทำให้คุณสามารถสร้างเครือข่าย หรือพบกับมิตรภาพที่ดีมากมาย

4.ประยุกต์ใช้ความรู้

หากคุณอ่านบทความให้คำแนะนำเรื่องหนึ่ง แต่คุณไม่นำเทคนิคหรือความรู้มาใช้ ก็เท่ากับว่าคุณเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น ในการเรียนรูสิ่งใหม่ คุณก็ควรที่จะประยุกต์ใช้มันด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเล่นกีตาร์ และได้อ่านบทความเกี่ยวกับทฤษฎีทางดนตรี คุณก็ควรที่จะนำความรู้ที่คุณได้มาประยุกต์ใช้ในการเล่นกีตาร์ของคุณ

นอกจากนี้ การที่คุณถามตัวเองก่อนที่จะเรียนรู้ว่า “จะสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร” จะเป็นการกระตุ้นให้คุณมีเป้าหมายในการเรียนรู้ และช่วยให้คุณเกิดแรงบันดาลใจที่จะประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้ในชีวิตจริงมากขึ้น

5.แสวงหา และแลกเปลี่ยนความรู้กับบุคคลอื่น

โซเชียลมีเดีย เช่น ทวิตเตอร์ หรือเฟสบุค ทำให้คุณสามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นๆได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ คุณควรใช้โอกาสนี้ในการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น กับบุคคลที่น่าสนใจและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่คุณ เพราะพวกเขาเหล่านั้นจะช่วยให้คุณมีความคิดและมุมมองใหม่ๆ ทั้งยังช่วยให้คุณเกิดแรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่างๆอีกด้วย

6.ทำในสิ่งที่คุณกลัว และไม่เคยทำ

เรียนรู้ที่จะทำในสิ่งที่คุณรู้สึกประหม่าและกลัว เพราะสิ่งนี้ช่วยให้คุณมีความกล้าและแข็งแกร่งมากขึ้น กล่าวคือ หากคุณสามารถทลายกำแพงความกลัวได้ คุณจะพบว่าตัวคุณมีความสามารถมากกว่าที่คุณคิด ในช่วงแรกที่คุณลองทำสิ่งที่แปลกใหม่นั้น คุณอาจเริ่มทำกับกลุ่มเล็กๆหรือกลุ่มที่มีความสนิทสนมก่อนแล้วค่อยๆขยายวงกว้างมากขึ้น เช่น  หากคุณเริ่มเล่นกีตาร์เพลงใหม่ ให้คุณลองเล่นให้เพื่อนกลุ่มเล็กๆฟังก่อน จากนั้นก็เล่นให้เพื่อนร่วมงานฟัง จนกระทั่งเล่นต่อหน้ากลุ่มคนจำนวนมากที่คุณไม่รู้จัก เป็นต้น

7.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะทำให้คุณมีพลังและสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น คุณควรที่จะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในทุกๆวัน ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ เพื่อที่จะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ และสามารถสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับชีวิต

8.เล่นเกมส์แทนการดูโทรทัศน์

การเล่นเกมส์ เช่น ปริศนาครอสเวิร์ด ทายคำ หรือวีดีโอเกมส์ ล้วนมีประโยชน์มากกว่าการดูโทรทัศน์ เกมส์เหล่านี้ทำให้สมองของคุณได้ใช้ความคิดตลอดเวลา และทำให้ฝึกความเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยพัฒนากระบวนการแก้ปัญหาซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในด้านต่างๆ

9.ออกกำลังกาย

นอกเหนือจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้สุขภาพร่างกายของคุณแข็งแรงสมบูรณ์ เพราะถ้าหากร่างกายของคุณป่วย มันจะมีผลกระทบต่อจิตใจของคุณด้วย ดังนั้น คุณควรออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ โดยอาจเป็นช่วงเวลาสั้นๆของวัน หรือหากคุณไม่มีเวลามากพอ คุณอาจจะออกกำลังกายง่ายๆในการดำรงชีวิต เช่น การเดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟท์ หรือการเดินระยะไกลจากที่จอดรถมาถึงออฟฟิศที่ทำงาน เป็นต้น

10.ใช้เวลาในการพักผ่อนหย่อนใจ

สมองและร่างกายของคุณต้องการการพักผ่อนทุกวัน คุณควรนอนหลับวันละ 7-8 ชม. นอกจากนี้ คุณควรมีเวลาพักผ่อนหย่อนใจ โดยปราศจากสิ่งกระตุ้นภายนอกที่คอยรบกวนคุณ เช่น การนั่งสมาธิ โดยที่คุณอาจใช้เวลา 10 นาทีในการนั่งสมาธิก่อนนอน วิธีการนี้จะช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้น และถ้าหากคุณทำตอนตื่นนอน จะทำให้คุณเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใส หรือหากคุณนั่งสมาธิตอนกลางวัน คุณก็จะมีพลังในการทำงาน ในขณะที่คนอื่นๆอาจสัปหงกตอนบ่าย 2 โมง

http://www.lifehack.org/293674/10-habits-that-make-you-smarter-day-day

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save