8 หนทางสร้างความน่าเชื่อถือในที่ทำงาน

ในที่ทำงานทุกคนล้วนต้องการเป็นคนสำคัญ โดดเด่น และได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่น เพราะสิ่งนี้จะนำไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จ แต่กว่าที่คุณจะได้รับความไว้วางใจจากเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง คุณจะต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก กล่าวคือ คุณต้องอุทิศตนในการทำงาน และวางตัวให้เหมาะสมในทุกสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม หากคุณมีความตั้งใจจริง โดยปฏิบัติตามคำแนะนำ 8 ข้อในบทความนี้ คุณจะได้รับความไว้วางใจ และความน่าเชื่อถือในที่ทำงานแน่นอน

1) มีความมั่นใจในตัวเอง และแสดงความเป็นผู้นำ

หากคุณต้องการให้คนอื่นเคารพนับถือคุณ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคุณต้องเคารพตัวเองก่อน คุณควรเชื่อมั่นในทุกการกระทำของตนเอง มีความรับผิดชอบ กล้าคิด กล้าตัดสินใจ และไม่กลัวกับปัญหาอุปสรรคใดๆ เพราะหากคุณสามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ และสามารถผ่านพ้นจากปัญหาต่างๆไปได้ ก็จะทำให้ผู้คนเกิดความศรัทธา ความเชื่อมั่นในตัวคุณ และสิ่งนี้จะเปลี่ยนเป็นความเคารพนับถือในท้ายที่สุด

2) บริหารเวลาให้เป็น

หนึ่งในพฤติกรรมที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับคุณก็คือ การบริหารเวลา หากคุณลองเปรียบเทียบพนักงาน 2 คน ระหว่างพนักงานคนแรกที่เข้าประชุมตรงเวลาและส่งงานตามกำหนดทุกครั้งกับพนักงานคนที่ 2 ที่มักเข้าประชุมสายและไม่เคยส่งงานทันเวลา แน่นอนว่าเมื่อคุณจะมอบหมายงานหนึ่งชิ้น คุณจะมอบหมายให้พนักงานคนแรกทำ เพราะคุณไว้วางใจและเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ทั้งนี้ ในระหว่างทำงาน คุณควรทุ่มเทกำลังความสามารถในการทำงานอย่างเต็มที่ ทำงานให้เสร็จอย่างรวดเร็ว ไม่เสียเวลากับกิจกรรมที่ไร้สาระ เพื่อที่งานจะได้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเพื่อนร่วมงาน

3) อ่อนน้อมถ่อมตน

แม้ว่าคุณจะรู้ว่าตนเองสามารถทำงานได้ดี รวดเร็ว หรือมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน จงอย่าคุยโวโอ้อวด แต่จงคิดว่าสิ่งนั้นเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบซึ่งคุณต้องทำอยู่แล้วนอกจากนี้ เมื่อได้รับการยกย่องชมเชย คุณไม่ควรหลงระเริงไปกับคำพูดเยินยอของคนอื่น ในทางกลับกัน คุณควรคิดว่าแต่ละคนเป็นเพียงหน่วยหนึ่งที่ประกอบเข้าด้วยกันเพื่อทำให้งานสำเร็จและบรรลุเป้าหมายขององค์กร การอ่อนน้อมถ่อมตนจะทำให้คุณไม่หยุดนิ่ง และรู้จักการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

4) ให้ความเคารพเพื่อนร่วมงาน

เพื่อนร่วมงานบางคนอาจทำงานอย่างเฉื่อยชา และไร้ประสิทธิภาพ พวกเขาอาจไม่มีแรงบันดาลใจเหมือนเช่นคุณ หรือพวกเขาอาจมีปัญหาส่วนตัวบางอย่างทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคุณจะสามารถดูถูกพวกเขาได้ คุณควรปฏิบัติต่อพวกเขาเฉกเช่นมนุษย์ด้วยกัน จงให้เกียรติพวกเขา และไม่ก้าวล้ำเส้นของกันและกัน กล่าวคือ คุณไม่ควรมองพวกเขาว่าเป็นเพียงเพื่อนร่วมงาน แต่ให้มองพวกเขาเป็นเพื่อนมนุษย์ เพราะวิธีการนี้จะทำให้คุณเข้าใจจิตใจของผู้อื่นมากยิ่งขึ้น และคุณจะได้รับความไว้วางใจ รวมทั้งความเคารพนับถือเป็นการตอบแทน

5) ชื่นชมและให้กำลังใจเพื่อนร่วมงาน

คุณควรหาโอกาสชื่นชมเพื่อนร่วมงานบ้าง ยกตัวอย่างเช่น หากเพื่อนร่วมงานของคุณทำงานชิ้นหนึ่งได้อย่างยอดเยี่ยมและส่งผลดีต่อบริษัท คุณก็ควรแสดงชื่นชมในความรู้ความสามารถ และความมุ่งมั่นตั้งใจที่เขาทุ่มเทจนทำให้งานสำเร็จตามเป้าหมายคำชื่นชมเหล่านี้จะทำให้พวกเขามีความมั่นใจและกำลังใจในการทำงานมากขึ้น ในทางกลับกัน หากเพื่อนร่วมงานของคุณล้มเหลวแทนที่คุณจะคอยซ้ำเติมและตอกย้ำความผิดพลาดนั้น คุณควรให้อภัยและให้กำลังใจต่อกัน เพราะการต่อว่าหรือแสดงพฤติกรรมด้านลบนั้น นอกจากจะไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์ใดๆ ยังทำให้เพื่อนร่วมงานเกิดทัศนคติในแง่ลบต่อคุณอีกด้วย

6) ช่วยเหลือทีม และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน

มันอาจเป็นเรื่องง่ายที่จะต่อว่าหรือโจมตีเพื่อนร่วมงานที่ไร้ประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตาม การกระทำเช่นนี้ไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อตัวคุณและบริษัท ทางที่ดีคือ คุณควรช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จไปพร้อมๆกัน ร่วมมือร่วมใจกันทำงาน ไม่แก่งแย่งชิงดีกัน นอกจากนี้ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีมจะทำให้การทำงานมีความราบรื่นเพราะเมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใดก็จะมีคนสนับสนุน และผลักดันคุณด้วยความเต็มใจ ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ง่ายยิ่งขึ้น

7) ไม่ซุบซิบนินทา

การซุบซิบนินทาในที่ทำงานเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะทำให้คุณเสียเวลาในการทำงานแล้ว คงไม่มีใครเคารพนับถือคนที่ปล่อยข่าวลือ และพูดจาให้ร้ายผู้อื่น กล่าวคือ หากคุณไม่ให้ความเคารพนับถือผู้อื่น คุณก็จะไม่ได้รับความน่าเชื่อถือเช่นเดียวกัน ดังนั้น คุณจึงไม่ควรจับกลุ่มซุบซิบนินทาในที่ทำงาน เพราะสิ่งนี้จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ในตัวคุณ

8) ไม่บังคับหรือควบคุมคนอื่น

การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานไม่ได้เกิดจากความสามารถแต่เพียงอย่างเดียว กล่าวคือ หากคุณได้งานแต่ไม่ได้ใจคน คุณก็ไม่มีทางที่จะบรรลุเป้าหมายได้ การทำงานที่ดี คือ การคิดถึงเรื่องงานพร้อมๆกับจิตใจของผู้ร่วมงาน ในทางกลับกัน หากคุณใช้วิธีการบังคับเพื่อนร่วมงานให้ทำอย่างที่ใจคุณต้องการ คุณก็จะไม่ได้รับความร่วมมือใดอย่างเต็มที่ ดังนั้น คุณไม่ควรบังคับหรือควบคุมคนอื่น ให้ยึดหลักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มอบหมายงานให้คนในทีมอย่างเหมาะสม และเมื่อเพื่อนร่วมงานมีปัญหา คุณก็ควรช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://www.lifehack.org/300087/8-indispensable-ways-respected-your-job)

หลักสูตร “Communication Skill for Leadership: ทักษะการสื่อสาร สำหรับผู้นำยุคใหม่” โดย “เรือรบ”   

เน้น Workshop การปฏิบัติจริง เพื่อฝึกทักษะผู้นำที่สำคัญสำหรับผู้นำยุคใหม่ทั้ง 4 ด้าน ให้สามารถนำไปใช้ได้ทันที

27 ก.พ.นี้ หลักสูตร 1 วัน สำหรับบุคคลทั่วไป คลิกที่นี่

หลักสูตร In House 2 วัน สำหรับองค์กร คลิกที่นี่

10 คำตอบสัมภาษณ์อย่างไร ให้ได้งาน!

typical-job-interview-questions-answers

การสัมภาษณ์งานต้องเกิดขึ้นกับทุกคนอยู่แล้วไม่ช้าก็เร็ว และการสัมภาษณ์งานก็เป็น First Impression ที่ทำให้คุณกับนายจ้างได้ทำความรู้จักกัน ทั้งในแง่ของทักษะการทำงาน ทัศนคติและบุคลิกของคุณ ถ้าคุณมีคุณสมบัติครบตามที่บริษัทต้องการคุณแต่ทัศนคติและการตอบคำถามสัมภาษณ์ของคุณไม่ผ่าน นั่นก็หมายความว่าโอกาสที่คุณจะได้งานนั้นน้อยลง เรามาดูกันว่าคำถามสัมภาษณ์งานทั่ว ๆ ไป ที่คุณควรตอบคำถามนั้นเพื่อให้ประทับใจนายจ้างมีอะไรบ้าง

1. แนะนำตัวเอง

คำถามนี้ควรตอบประมาณ 2-3 นาที เปรียบเสมือนเป็น Elevator Pitch ที่คุณต้องพูดให้โดนใจ ในเวลาอันสั้น คุณควรให้บรีฟแก่นายจ้างว่าคุณเป็นใคร จบอะไรมา ทำงานอะไรมาบ้าง อย่าเริ่มที่เรื่องราวส่วนตัวของคุณ เช่นว่าคุณเกิดจากที่ไหน มีพี่น้องกี่คน แต่คุณต้องโฟกัสและพูดเกี่ยวกับประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่คุณกำลังสมัครอยู่ที่นี่

2. ข้อดีและข้อเสียของคุณ

เลือกพูดจุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทนั้น ถ้าคุณกำลังสมัครงานบริษัทเล็กๆที่ Start-up คุณควรบอกว่าจุดแข็งของคุณนั้นคือสามารถทำงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน และคุณมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในโปรเจ็คต่างๆเป็นอย่างดี ส่วนเรื่องจุดอ่อนของคุณนั้น อย่าให้คำตอบแนวว่าคุณเป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิสมากต้องการที่จะทำอะไรทุกอย่างให้เพอร์เฟค  แต่คุณควรจะพูดความจริงเกี่ยวกับตัวคุณออกไป และมองว่าจุดอ่อนหรือข้อเสียคุณนั้นเป็นส่วนที่สามารถแก้ไขและพัฒนาในอนาคตได้ เช่น ข้อเสียของคุณคือการบริหารเวลา และคุณก็เล่ากรณีที่คุณบริหารเวลาแย่อย่างไร ไม่สามารมี Work life balance ได้ แต่คุณก็เรียนรู้และพัฒนาปรับปรุงมันอย่างไร จนกระทั่งตอนนี้สามารถทำให้ตารางชีวิตดีขึ้นแล้ว

3. เงินเดือนที่คุณคาดหวัง

คุณไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้ทันทีในขณะที่คุณกำลังสัมภาษณ์งานอยู่ คุณสามารถบอกว่าจะตอบได้หลังจากที่คุณได้งานนี้แล้ว คุณควรบอกผู้สัมภาษณ์ของคุณไปว่า ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องเงินเดือนก่อนจนกระทั่งทั้งสองฝ่ายแน่ใจว่างานนี้เหมาะกับคุณแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้คุณเตรียมตัวทำการบ้านในการต่อรองเงินเดือน และมีเวลาปรึกษาคนอื่นๆด้วย

4. ทำไมคุณถึงอยากทำงานที่นี่

คุณควรทำการบ้านโดยการศึกษาประวัติของบริษัท วัฒนธรรมองค์กร ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ ข่าว บทความ ประวัติของผู้ก่อตั้ง รวมถึงประวัติการทำงานของคนที่สัมภาษณ์คุณ คุณสามารถหาข้อมูลได้จาก Linkedin เพื่อนของเพื่อน และเมื่อคุณทำการบ้านของคุณเสร็จแล้วก็อย่าลืมที่จะคิดคำตอบคร่าว ๆ ในหัวโดยการโยงตำแหน่งหน้าที่การงาน และ Career path ของคุณในอนาคตว่า บริษัทนี้ตอบโจทย์ชีวิตคุณอย่างไร

5. อีก 3-4 ในอนาคตคุณเห็นตัวเองเป็นอย่างไร

คุณต้องคิดว่าถ้าคุณได้ตำแหน่งนี้ที่นี่แล้วชีวิตการทำงานของคุณจะก้าวไปอย่างไร ทิศทางไหน พยายามที่จะมองความจริง และพยายามซื่อสัตย์กับตัวเองในการตอบ และจงตอบคำถามให้เป็นผู้สมัครที่น่าสนใจ ไม่ใช่บอกว่าจะมองเห็นตัวเองไปทำงานบริษัทคู่แข่งด้วยการซื้อตัว หรือการเป็นแม่บ้านของผู้ชายในฝัน พยายามโฟกัสกับการตอบคำถามเรื่องการงานอย่างเป็นมืออาชีพ

6. คุณมีไปสัมภาษณ์งานที่อื่นอีกหรือไม่

พยายามอย่าใช้เวลาในการตอบคำถามนี้มาก อย่าให้ยืดเยื้อหรือให้ถูกถามต่อยอดจากคำตอบ พยายามตัดจบให้เร็วที่สุด คุณควรเบี่ยงประเด็นว่างานที่นี่คือตัวเลือกอันดับแรกของคุณ และอย่าโกหกว่าคุณไม่ได้ไปสัมภาษณ์กับคู่แข่งของบริษัทนี้ ทั้ง ๆ ที่คุณไป เพราะฉะนั้นจงตอบแบบกลางๆเพื่อป้องกันตัวเองไว้ก่อน

7. คุณจะทำอะไรให้บริษัทได้บ้าง

คำถามนี้สามารถถามได้หลากหลายรูปแบบเช่น ถ้าคุณได้ตำแหน่งงานนี้คุณจะทำอะไรได้บ้าง ถ้าคุณถูกถามคำถามนี้ จงคิดทบทวนเตรียมคำตอบล่วงหน้าไว้ให้ดีว่าคุณจะมีโปรเจ็คทำอะไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้บ้าง คุณอาจลองทำแผนธุรกิจ หรือ แผนการตลาดเสนอไอเดียที่เป็นประโยชน์กับบริษัท เป็นการโชว์ถึงไอเดีย ศักยภาพ กระบวนการคิดของคุณ ซึ่งทำให้เจ้านายใหม่ของคุณรู้สึกประทับใจในการทำการบ้านของคุณครั้งนี้

8. ทำไมถึงออกจากที่เก่า

บริษัทใหม่ของคุณอาจเข้าใจได้ว่านี่คือช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี จึงมีการปรับลดพนักงานออก คุณไม่ควรแฉด้านมืดของบริษัทคุณ แต่คุณควรให้เหตุผลที่เป็นความจริงว่าบริษัทเก่าสามารถเก็บคนเก่าไว้ได้ไม่กี่คน หรือบริษัทเก่าได้ outsource ไปจ้างประเทศเพื่อนบ้านที่ค่าแรงถูกกว่า แต่ถ้าคุณลาออกด้วยสถานการณ์ที่ต่างกัน คุณไม่ควรนินทา ให้ร้ายกับเจ้านายเก่าหรือบริษัทเก่า เพราะมันเป็นการบ่งบอกถึงนิสัยของคุณด้วย คุณควรบอกว่าคุณไม่ได้เรียนรู้อะไรจากบริษัทเก่าแล้ว และต้องการ Challenge ใหม่ๆในชีวิต

9. มีคำถามอะไรเพิ่มเติมไหม

นี่คือช่วงจังหวะที่ดีในการแสดงความคิดและโชว์ศักยภาพในตัวคุณ พยายามถามคำถามที่ไม่จำกัดคำตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ อย่าถามคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องของผลประโยชน์ในตัวคุณ เช่น เงินเดือน โบนัส สวัสดิการ หรือ การถูกเลื่อนขั้น แต่จงถามคำถามว่าบริษัทคาดหวังอะไรจากคุณ และจะได้เรียนรู้อะไรจากบริษัทนี้บ้าง ลองใช้สัญชาติญานของคุณในการถามคำถามปลายเปิดในช่วงท้าย และไม่ควรที่จะถามมากเกินไป จงดูความเหมาะสมของเวลาด้วย

10. ให้อธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่คุณเคยทำและประสบความสำเร็จ

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณพูดถึง เป้าหมายที่คุณทำมันสำเร็จ คุณควรเตรียมคำตอบนั้นให้ดี ที่มา ความคิด ปัญหาที่เกิดขึ้น คุณแก้ปัญหานั้นอย่างไร และคุณไปถึงเป้าหมายนั้นอย่างไร เขียนและจดสามข้อที่บริษัทใหม่คุณอยากได้คำตอบ และควรตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่และบทบาทในตำแหน่งงานใหม่ พยายามตอบให้ละเอียดเป็นตัวเลข เปอร์เซนต์ เพื่อที่จะได้เพิ่มความเชื่อถือ และแสดงความเป็นมืออาชีพของคุณ

ถ้าคุณสมบัติคุณและประสบการณ์ทำงานของคุณตรงกับสิ่งที่บริษัทหรือองค์กรกำลังมองหา และคุณเตรียมสัมภาษณ์ไปอย่างมืออาชีพ คุณก็สามารถได้งานใหม่นั้นได้ไม่ยาก

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://www.popsugar.com/smart-living/Typical-Job-Interview-Questions-Answers-20280663#photo-20280972)

6 กลยุทธ์หางานใหม่ ให้ได้งานที่ชอบ เงินเดือนที่ใช่

6-strategies-for-a-new-job-to-get-a-like-jobs-and-like-salary

ถ้าคุณกำลังเบื่องานและอยากหางานใหม่แต่ไม่อยากให้ใครรู้ โลกออนไลน์คืออีกโลกที่คุณไม่ควรมองข้าม โดยการหางานใหม่ในโลกออนไลน์นั้นอาจดูเหมือนเป็นไปได้ยาก แต่จริง ๆ แล้วถ้าคุณแค่รู้หลักก็สามารถเป็นหนึ่งใน Candidate คือคนที่ถูกเรียกสัมภาษณ์ได้ไม่ยาก เพราะในแต่ละวันนั้นมีคนสมัครงานใหม่จำนวนมาก ในวัน ๆ หนึ่ง ฝ่ายบุคคลก็ตรวจเรซูเม่เป็นร้อย ๆ คนเช่นกัน ดังนั้น การหางานใหม่อย่างมีประสิทธิภาพต้องทำอย่างมีแบบแผน โดยมี 6 กลยุทธ์ดังนี้

1. เข้าใจในกฎและเกณฑ์การคัดเลือก

คุณต้องเข้าใจตัวเองก่อน รวมถึงเข้าใจถึงคุณสมบัติและเกณฑ์การคัดเลือกต่าง ๆ ของบริษัทนั้น ๆ โดยคุณควรเขียนรายการสิ่งที่คุณให้อันดับความสำคัญใน 5 ข้อแรก ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมองค์กร ตำแหน่งงาน ถ้าคุณเข้าใจถึงประเด็นที่ว่าอะไรคือแรงจูงใจให้คุณไปทำงานในตำแหน่งนั้น ในบริษัทนั้น คุณมีความสามารถหรือทักษะอะไรที่ตรงกับความต้องการของบริษัทนั้นบ้าง และนั่นก็จะทำให้คุณหางานที่ใช่สำหรับคุณได้มากขึ้น นอกจากนี้งานในฝันที่คุณชอบ หรือคุณอยากทำนั้น อาจไม่ใช่อยู่ในบริษัทอันดับหนึ่งที่คุณใฝ่ฝัน เช่น คุณอยากทำงานด้านการแพทย์ คุณก็ไม่ควรไปสมัครงานบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านไอที เพราะตำแหน่งงานที่คุณชอบกับอุตสาหกรรมนั้น อาจไม่สอดคล้องและทำให้คุณไม่มีความก้าวหน้า ให้เลือกบริษัทที่คุณชอบในเนื้องานมากกว่าชื่อเสียงของบริษัท

2. สร้างลิสรายละเอียดของงานที่เข้ากับเกณฑ์ในใจของคุณ

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้แล้วว่าคุณอยากได้งานหรือหางานแบบไหน ให้คุณสร้างไฟล์ Excel เพื่อที่จะจดบันทึกและข้อมูลต่าง ๆ ในการหางานของคุณ และเพื่อที่คุณจะได้ตามได้ว่าสถานการณ์หางานของคุณไปถึงไหนแล้ว คุณส่งเรื่องไปวันไหน บริษัทติดต่อกลับมาวันไหน ต้องติดต่อใครบ้าง ต้องเตรียมตัวสัมภาษณ์อย่างไร และตอนนี้เรื่องอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาหรืออย่างไร ในกรณีที่คุณสมัครหลายบริษัทจะช่วยให้คุณไม่สับสนและทำตามแผนที่วางไว้ได้ง่ายขึ้น

3. อ่านขอบข่ายและความรับผิดชอบของงานอย่างถี่ถ้วน

มันอาจใช้เวลานานในช่วงแรกๆแต่การอ่านขอบข่ายและความรับผิดชอบต่อตำแหน่งนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบจะทำให้คุณประหยัดเวลาในระยะยาว คุณคงไม่อยากสมัครงานผิดตำแหน่งและมีความคาดหวังผิด ๆ กับตำแหน่งงานของคุณ ตามปกติแล้วแต่ละบริษัทจะมีข้อบังคับพื้นฐานเกี่ยวกับตำแหน่งงานที่เปิดรับ เช่น ต้องจบปริญญาตรีสาขาที่เกี่ยวข้อง มีประสบการณ์การทำงานด้านไหนมาบ้าง แต่ถ้าคุณมีประสบการณที่ไม่ถึง และไม่ตรง แต่คุณอยากจะสมัครตำแหน่งนี้ คุณไม่ควรจะปิดกั้นตัวเอง แต่คุณควรหาคำตอบดี ๆ ในการสัมภาษณ์ว่าคุณมีความสามารถและความตั้งใจกับการทำงานในตำแหน่งนี้มากแค่ไหน ทำไมบริษัทถึงต้องเลือกคุณเข้าทำงาน

4. ปรับเรซูเม่และ Cover Letter ให้เข้าแต่ละบริษัท

ถ้าคุณเจอตำแหน่งงานที่ชอบและเข้ากับประสบการณ์ ความสามารถของคุณ คุณควรปรับเรซูเม่ใหม่ รวมถึง Cover Letter เพื่อให้เข้ากับกฎเกณฑ์ วัฒนธรรมองค์กรของบริษัทเหล่านั้น คุณควรมีเรซูเม่หลายเวอร์ชั่นในการสมัครงานที่ต่างอุตสาหกรรมกัน รวมถึงบทบาทและหน้าที่รับผิดชอบที่คุณเคยทำในอดีต อาจเน้นโปรเจ็คที่เคยทำและมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทนั้นเป็นหลัก หลังจากที่คุณสมัครออนไลน์ผ่านเว็บไซต์หางานทั้งหลาย อย่าลืมที่จะส่งอีเมล์ไปโดยตรงแก่บริษัทที่คุณสมัครงานนั้นๆ

5. คอนเนคชั่น คือ สิ่งสำคัญ

หลาย ๆ ตำแหน่งที่เปิดอยู่ไม่ได้ประกาศลงเว็บไซต์สาธารณะ แต่เปิดรับสมัครและให้พนักงานแนะนำกันต่อเฉพาะในองค์กรเท่านั้น การที่คุณหมั่นเข้าร่วมการประชุมและได้พบปะสังสรรค์กับผู้คนก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่คุณสามารถได้งานได้ง่ายขึ้น ลองไปงานคืนสู่เหย้าที่โรงเรียนเก่า หรือ ไปเจอวงเพื่อนใหม่ ๆ บอกให้พวกเขารู้ถึงหน้าที่ตำแหน่งการงานของคุณ เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เจอกับสังคมใหม่ ๆ การแลกนามบัตร แชร์ประสบการณ์ และการคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน อาจทำให้คุณได้สัมภาษณ์งานเร็วกว่าที่คิด

6. ติดตามผล

ถ้าคุณส่งเรซูเม่และใบสมัครไปแล้วแต่ยังไม่มีใครตอบกลับมาเลย คุณควรส่งอีเมล์ไปอีกรอบเพื่อแน่ใจว่า ฝ่ายบุคคลได้รับอีเมล์และพิจารณาเรซูเม่ของคุณแล้ว ไม่ใช่ว่าอยู่ในอีเมล์ขยะและคุณก็รอต่อไปด้วยความหวัง อีเมล์ฉบับที่สองของคุณควรเป็นอะไรที่สั้น ๆ ไม่ทำให้คนอ่านเสียเวลามาก แต่เข้าใจประเด็นและจุดประสงค์ของการสมัครงานครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี และจะดีอย่างมากถ้าคุณบรรยายว่าคุณสามารถพัฒนาองค์กรของเขาให้ดีขึ้นอย่างไร อะไรคือสิ่งที่เขาควรติดต่อคุณกลับทันที ทำให้เขาอยากได้คุณ ในข้อความที่สั้น กระชับและจริงใจ การโทรกลับทันทีหลังวันสัมภาษณ์ไม่ใช่เป็นการเสียมารยาท แต่ทำให้ฝ่ายบุคคลจดจำชื่อของคุณและเรื่องของคุณได้มากขึ้น

ไม่มีมนตร์วิเศษใดๆ ที่ทำให้คุณได้งานอย่างที่คุณชอบและใช่ เพียงแต่ว่าคุณต้องรู้จักการหางานและการสัมภาษณ์งานอย่างมีกลยุทธ์ ใส่ใจในคุณภาพของตำแหน่งงานที่หา มากกว่าปริมาณ แล้วคุณก็จะพบงานที่เหมาะสมกับตัวคุณเอง

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://www.entrepreneur.com/article/248750)

7 วิธีลาออกอย่างไรให้เจ้านายเสียดายสุดๆ

7-ways-to-impress-upon-resignation-2

เชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในวัยทำงานต้องเคยพบเจอกับสถานการณ์อันน่าลำบากใจนี้ นั่นก็คือ การลาออก แต่การบอกลาเจ้านาย และการลาออกอย่างมืออาชีพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมองค์กร และ ความกดดันต่างๆ อาจทำให้คุณลืมคิด หรือ ลืมในสิ่งที่ควรทำก่อนลาออกได้

และเพื่อไม่ให้การลาออกครั้งนี้ของคุณเป็นเรื่องแย่ๆ ลองมาดูวิธีการลาออกอย่างมืออาชีพที่ทำให้เจ้านายและบริษัทของคุณจะต้องรู้สึกเสียดายที่คุณต้องย้ายงานครั้งนี้กัน

1. สร้างผลงานให้เกินเป้าหมายที่ได้รับ

คุณควรบอกลาเจ้านายและบริษัทเก่าอย่างสง่างาม ด้วยการปิดตัวเลข หรือ ทำยอดที่เกินเป้า นอกจากเป็นการแสดงว่าคุณ Top perform แล้ว ยังทำให้บริษัทใหม่เข้าใจว่าคุณเป็นคนมีความสามารถอย่างแท้จริง ไม่ใช่ทำผลงานแย่และมีแนวโน้มโดนปลดจนถึงต้องหาบริษัทใหม่ซบ

การทำผลงานให้โดดเด่น เป็นการทิ้งท้ายสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า เพื่อนร่วมงาน และเจ้านาย และบางทีคุณอาจได้แพ็กเกจใหม่ จากบริษัทเก่าในการดึงตัวคุณไว้

2. ช่วยงานของเจ้านายอย่างเต็มที่

ถ้าคุณอยู่ในบริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่ การทำรายงานส่งเบื้องบน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญที่ต้องทำประจำทุกเดือน ทุกไตรมาส และทุกๆสิ้นปี และเจ้านายคุณจะต้องเป็นปลื้มถ้าคุณได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึก ไว้อย่างละเอียด และเรียบร้อยก่อนที่คุณจะลาออก

ยิ่งอยู่ในตำแหน่งบริหารระดับสูงเท่าไหร่ การทำรายงานและคุยเคลียร์ตัวเลข เพื่อตัดสินใจในการวางกลยุทธ์ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง และการที่จะได้ข้อมูลเหล่านั้นก็คือมาจากลูกน้อง หรือ ผู้ช่วยมือฉมังอย่างคุณนั่นเอง

3. เคลียร์งานของตัวเองให้เสร็จ

คุณควรลิสงานและโปรเจ็คที่คุณรับผิดชอบทั้งหมด ทั้งที่ทำอยู่ เคยทำ และในอนาคต เพื่อที่จะให้เจ้านายและเพื่อนร่วมงานได้สานต่ออย่างราบรื่น โดยเฉพาะโปรเจ็คที่คุณกำลังทำอยู่ หรือ โปรเจ็คใหม่ที่คุณเพิ่งไปนำเสนอมา ถ้าโปรเจ็คใหม่ผ่าน ไอเดียที่คุณนำเสนอเข้าตากรรมการ ลูกค้าชอบใจ และต้องการให้คุณทำต่อ

คุณต้องรีบบอกลูกค้า ถึงแผนการลาออกของคุณ และหาคนรับผิดชอบต่อจากคุณ และที่สำคัญอย่าคุณควรแชร์ปัญหาที่ค้างคาต่างๆ ไม่หมกเม็ด ไม่ทำให้คนอื่น หรือ ทีมเดือดร้อน และไม่เป็นภาระใครต่อ เพราะถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาหลังคุณไม่อยู่ ทุกคนจะมองว่าคุณในแง่ไม่ดี และอาจส่งผลเสียต่อหน้าที่การงานของคุณในอนาคตได้

4. ถ่ายโอนงานตัวเองให้เสร็จ

การถ่ายโอนงานให้กับเพื่อนร่วมงาน หรือ เจ้านาย ลูกน้อง เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ คุณอาจจัดประชุมและชี้แจงงานที่คุณต้องทำ และงานที่คุณต้องดีลต่อเนื่อง รวมถึงให้รายชื่อการติดต่อ Cross function หรือ third party ที่แผนกคุณ หรือ คุณติดต่อเป็นประจำ การถ่ายโอนงานทำให้บริษัทได้รับผลกระทบน้อย และไม่ก่อให้เกิดภาระแก่เจ้านาย และเพื่อนร่วมงานของคุณ

5. วางแผนล่วงหน้า

คุณควรบอกล่วงหน้า บอกตรงไปตรงมา และบอกอย่างจริงใจ ว่าคุณจะลาออก แต่คุณควรบอกหลังจากที่คุณได้เซ็นสัญญาบริษัทใหม่แล้วเท่านั้น ซึ่งแต่ละบริษัทมีระบุชัดเจนว่าให้พนักงานแจ้งลาออกล่วงหน้าอย่างน้อยกี่วัน และคุณไม่ควรลาออกในช่วงพีคของบริษัท

เช่น ถ้าเป็นบริษัทบัญชี ไม่ควรลาออกช่วง year end เพราะว่าไม่สามารถหาคนมาทำงานแทนคุณในช่วงเวลาที่ทุกคนงานหนัก และยุ่งมากได้

6. ใช้วันลาอย่างฉลาด

อย่าใช้วันหยุดของทั้งปีมาหยุดช่วงที่คุณจะลาออก แต่ควรใช้ช่วงเวลานี้โอนถ่ายงาน หรือ มีการลาพักครึ่งวันบ้าง เพื่อใช้แพ็กเกจตรวจสุขภาพของบริษัท ในบางบริษัทคุณสามารถเปลี่ยนวันลาหยุดเป็นเงินเดือนได้อีกด้วย คุณลองเช็ควันลาและสวัสดิการต่างๆ ของบริษัทให้ดี และบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด

อย่าใช้วันหยุดทั้งหมดลาเกือบทั้งเดือนและหายไปจากบริษัทก่อนถึงวันลาออกจริงๆ เพราะคุณอาจพลาดช่วงเวลาที่เพื่อนร่วมงานของคุณนัด Farewell หรือจัดกิจกรรมเลี้ยงส่งคุณอีกด้วย

7. บอกสาเหตุการลาออกอย่างมีเหตุผล

จงเป็นมืออาชีพ บอกสาเหตุการลาออกให้กับเจ้านายอย่างมีเหตุผล อย่าใช้อารมณ์ในการตัดสินใจครั้งนี้ เช่น ไม่ควรบอกว่าลาออกเพราะเบื่อเจ้านาย เบื่อเพื่อนร่วมงาน แต่ให้เหตุผลการลาออกว่าต้องการพัฒนาตัวเอง โดยการไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ และไม่ควรทิ้งระเบิดให้ร้ายเพื่อนร่วมงานก่อนลาออกอีกด้วย

จงจำไว้ว่าถ้าคุณทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ชื่อเสียของคุณอาจมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานของคุณภายในอนาคต จงอย่าสร้างศัตรูที่ทำร้ายตัวเอง และนี่คือ 7 ข้อดีๆ ที่คุณควรพิจารณาและลองปฎิบัติตาม เพื่อให้การลาออกของคุณเป็นไปอย่างน่าประทับใจและเต็มไปด้วยความอวยพรยินดีกับหน้าที่การงานใหม่ของคุณ

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

5 เทคนิครับมือกับมนุษย์เจ้าปัญหา

5-way-to-deal-with-difficult-people

ในชีวิตของคนเราต้องพบเจอกับผู้คนมากมายหลายประเภท บางคนคอยช่วยเหลือเกื้อกูล ส่งเสริม และสนับสนุนให้เราทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ ในทางตรงกันข้าม บางคนคอยกลั่นแกล้ง ขัดขวาง เอาเปรียบ ใส่ร้ายป้ายสี มองโลกในแง่ลบ และทำให้เราหมดกำลังใจที่จะไล่ตามความฝัน ซึ่งเราให้คำนิยามกับคนประเภทนี้ว่าเป็น “มนุษย์เจ้าปัญหา”

มนุษย์เจ้าปัญหา คือ คนที่มักทำให้คนรอบข้างเกิดความยุ่งยาก หงุดหงิด รำคาญใจ และบางทีอาจทำให้ผู้อื่นเสียหายได้ พวกเขาอาจเป็นเจ้านาย ลูกน้อง ลูกค้า เพื่อน หรือคนในครอบครัวของคุณ ทั้งนี้ วิธีการที่ง่ายที่สุดเมื่อเจอกับคนเหล่านี้ก็คือ การเดินหนี หรือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย อย่างไรก็ตามวิธีนี้ควรเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะหลายครั้งคุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจวิ่งหนีปัญหาได้ ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งคุณจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีกับคนเหล่านี้ เพราะฉะนั้น คุณจึงควรเรียนรู้วิธีการรับมือกับมนุษย์เจ้าปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ

1) อย่าเกลียดชัง แต่จงขอบคุณมนุษย์เจ้าปัญหา

เมื่อคุณเจอกับมนุษย์เจ้าปัญหา คุณอาจรู้สึกโกรธ เกลียดชัง หรือท้อแท้สิ้นหวัง ความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณควรก้าวข้ามและผ่านมันไปให้ได้ เพราะมันเป็นตัวบ่อนทำลายความสุขของคุณ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือ คุณควรเปลี่ยนทัศนคติ โดยคิดว่าพวกเขาเป็นสิ่งที่ท้าทายในชีวิต กล่าวคือ คุณควรคิดว่าการใช้ชีวิตหรือการทำงานกับคนเจ้าปัญหาเป็นบททดสอบหนึ่ง ซึ่งสิ่งนั้นจะทำให้คุณกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้ คุณจึงควรขอบคุณพวกเขาที่ทำให้คุณรู้จักความอดทนอดกลั้น และได้พัฒนาตนเอง วิธีการนี้ดูเหมือนว่าเป็นวิธีการที่ยาก แต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะหากคุณสามารถจัดการกับความรู้สึกของตนเองได้ คุณก็จะสามารถรับมือกับมนุษย์เจ้าปัญหาได้เช่นกัน

2) ใช้มนุษย์เจ้าปัญหาเป็นตัวกระตุ้นสิ่งดีๆในตัวคุณ

อีกหนึ่งวิธีในการรับมือกับมนุษย์เจ้าปัญหาก็คือ การใช้สิ่งเลวร้ายที่พวกเขาทำเป็นแรงผลักดันให้คุณก้าวไปข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่คุณกำลังนั่งทำงานอย่างหนัก เพื่อนร่วมงานของคุณได้นั่งจับกลุ่มนินทาและพูดคุยเรื่องไร้สาระทั้งวัน แน่นอนว่าหากคุณเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ คุณต้องอารมณ์เสีย หงุดหงิด และไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรปล่อยให้ตัวเองจมกับความคิดด้านลบเหล่านั้น

สิ่งที่คุณควรทำก็คือ การเปลี่ยนความรู้สึกแย่ๆให้กลายเป็นพลังเชิงบวกให้คุณคิดซะว่ามันไม่ใช่เรื่องของคุณ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเสียเวลาหรือใส่ใจกับการกระทำของคนเหล่านั้น และจงปล่อยให้พวกเขาทำต่อไปเพราะคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้สำหรับตัวคุณเองก็ควรมุ่งมั่นตั้งใจสร้างสรรค์สิ่งดีๆ พัฒนาตนเอง และใช้อุปสรรคทั้งหลายเป็นตัวกระตุ้นไฟในตัวคุณ

3) ใช้เวลากับพวกเขาให้มากขึ้น

แทนที่คุณจะวิ่งหนีปัญหา ให้คุณลองเปลี่ยนแนวทางดูบ้าง กล่าวคือ คุณอาจลองเข้ากลุ่ม หรือใช้เวลากับพวกมนุษย์เจ้าปัญหาให้มากขึ้น แม้วิธีการนี้อาจทำให้คุณรู้สึกว่ากำลังบีบบังคับจิตใจตนเองก็ตาม แต่การคลุกคลีและร่วมทำกิจกรรมต่างๆกับคนเหล่านี้จะทำให้พวกเขาเปิดใจและยอมรับคุณมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็จะทำให้คุณรู้จักและเข้าใจพวกเขามากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งวิธีนี้อาจทำให้คุณทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขามีพฤติกรรมในการสร้างปัญหาหรือก่อความวุ่นวายให้กับคนรอบข้างตลอดเวลา

ทั้งนี้ เมื่อคุณเข้าใจพวกเขามากขึ้น คุณอาจได้ปรับมุมมองหรือทัศนคติของคุณที่มีต่อพวกเขาก็เป็นได้ และคุณก็จะสามารถควบคุมอารมณ์และจิตใจตนเองได้มากขึ้นเช่นกัน สิ่งนี้จะช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์เจ้าปัญหาได้อย่างเข้าใจ และราบรื่นยิ่งขึ้น

4) ตั้งเป้าหมายของตัวคุณเอง

การตั้งเป้าหมายเป็นหนึ่งในวิธีการรับมือกับคนเจ้าปัญหาพร้อมๆกับการพัฒนาตนเอง กล่าวคือ ให้คุณลองตั้งเป้าหมายของตนเองที่เกี่ยวกับการรับมือกับมนุษย์เจ้าปัญหา เช่น หากฉันเจอกับคนขี้บ่น ก้าวร้าว ซุบซิบนินทา ฉันจะต้องไม่รู้สึกแย่ หงุดหงิด หรือหมดกำลังใจ นอกจากนี้ ฉันจะพยายามเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนเจ้าปัญหาให้ได้ เป็นต้น

คุณอาจตั้งเป้าหมายเล็กๆก่อน และค่อยๆขยับเป้าหมายให้สูงขึ้นเรื่อยๆ วิธีการนี้จะทำให้คุณรู้สึกท้าทาย และเห็นว่าการรับมือกับคนเหล่านี้เป็นเรื่องสนุก ทั้งยังช่วยให้คุณมีโอกาสในการพัฒนาตนเองอีกด้วย กล่าวคือ หากคุณอดทนกับคนเจ้าปัญหาและยังสามารถทำงานร่วมกับเขาได้ ก็จะทำให้คุณเป็นคนใจเย็นขึ้น ใจกว้างขึ้น และอดทนมากขึ้น

5) พยายามทำความเข้าใจและช่วยเหลือมนุษย์เจ้าปัญหา

บางคนอาจเป็นมนุษย์เจ้าปัญหาด้วยเหตุผลบางประการ ยกตัวอย่างเช่น บางคนเผชิญกับสิ่งเลวร้ายในชีวิตหรือมีปัญหาทางร่างกาย จิตใจ หรืออารมณ์ และสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นจึงส่งผลต่อพฤติกรรมการแสดงออกของพวกเขาจนทำให้เป็นมนุษย์เจ้าปัญหาในปัจจุบัน

เพื่อเป็นการช่วยให้พวกเขามีพฤติกรรมที่พึงประสงค์มากขึ้น คุณควรปฏิบัติต่อเขาอย่างที่คุณต้องการให้เขาปฏิบัติต่อคุณ อย่างไรก็ตาม คุณอาจต้องทำใจยอมรับว่า เขาอาจปฏิบัติต่อคุณได้ไม่ดีเท่าที่คุณปฏิบัติต่อเขา นั่นเป็นเพราะปมปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ดังนั้น คุณควรให้เวลากับพวกเขา พยายามทำความเข้าใจ และช่วยเหลือพวกเขาเมื่อมีโอกาส

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.lifehack.org/312503/encountered-difficult-people-and-wanna-escape-you-should-deal-with-them-these-5-ways

9 เช็คลิสสู่การประสบความสำเร็จ

9-check-list-to-succeed

คุณอาจรู้สึกว่าในวันๆหนึ่งอยากจะมีสัก 30 ชั่วโมง มีหลายสิ่งมากมายในชีวิตเหลือเกินที่ต้องทำและไม่สามารถทำสิ่งที่อยากทำได้ครบหมดตามความต้องการ งานนั้นก็ด่วน งานนี้ก็เร่ง งานนี้ต้องแก้ งานบ้าน งานราษฎร์ งานหลวงมาเยอะพร้อมกันไปหมด แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณไม่ลืม และทำงานทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามครบกำหนด นั่นก็คือ การทำเช็คลิส

การทำเช็คลิสที่ดี ไม่ควรมีแต่แค่เรื่องงานเท่านั้น คุณควรมีเช็คสิสในเรื่องส่วนตัว และการใช้ชีวิตในมุมอื่นๆด้วย เพื่อไม่ให้คุณเสียสมดุลในการดำเนินชีวิต และทำให้ชีวิตของคุณก้าวไปถึงสู่จุดหมายดั่งที่คุณฝันไว้

1. ลิสเป้าหมายชีวิต

นี่คือเช็คลิสอันดับแรกๆที่คุณควรต้องทำ คุณอยากมีเป้าหมายชีวิตอะไรบ้าง การเขียนออกมาเป็นข้อๆ ทำให้คุณเห็นภาพใหญ่ของการใช้ชีวิตคุณ และเป็นการทบทวนตัวเองครั้งใหญ่ ว่าคุณกำลังเดินอยู่ในเส้นทางที่ตรงกับเป้าหมายชีวิตของคุณอยู่หรือเปล่า คุณอาจมีเป้าหมายชีวิต ในเรื่องของการเงินที่มั่นคงหลังเกษียณอายุ การมีครอบครัวเล็กๆเป็นของตัวเอง การมีธุรกิจส่วนตัว

2. ลิสงานที่ต้องทำ

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน นักธุรกิจ พนักงานกินเงินเดือน หรือ ฟรีแลนซ์ คุณควรลิสงานที่คุณต้องทำในแต่ละวัน หรือ ในแต่ละเดือน ไม่ว่าจะเป็นโปรเจคใหญ่หรือโปรเจคเล็กก็ตาม หลังจากนั้น คุณควรให้ลำดับความสำคัญกับเรื่องเร่งด่วน และเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการทำงานนั้นเยอะ  ถ้างานที่คุณต้องทำใช้เวลาเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนกว่าจะสำเร็จ คุณควรมีเช็คลิสเล็กๆระหว่างทาง อาจเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอีกด้วย

3. ลิสรายชื่อ

คอนเนคชั่น คือ สิ่งสำคัญในโลกธุรกิจ ไม่ว่าคุณอยากจะเปลี่ยนงาน เปลี่ยนที่เรียน หรือ เปลี่ยนแฟน คอนเนคชั่น คือ สิ่งที่ทำให้คุณไปถึงเป้าหมายคุณเร็วขึ้น และถ้าคุณคิดอยากจะทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ การมีรายชื่อคนเก่งๆ ในมือ จะช่วยทำให้คุณประหยัดเวลา และอาจประหยัดต้นทุนหลายๆอย่างในการลงทุนอีกด้วย  คุณควรมีลิสรายชื่อของคนสำคัญในแต่ละอาชีพเฉพาะด้าน  เช่น ทนายความ นักบัญชี นักการตลาด แพทย์  โปรแกรมเมอร์  และคุณควรมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาเหล่านั้น  โดยหมั่นกระชับความสัมพันธ์ผ่านกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการนัดกินข้าว หรือ การเล่นกีฬา

4. ลิสรายจ่าย

เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในชีวิตของคุณ คือ การลิสรายจ่ายแต่ละวัน หรือ แต่ละเดือน มันไม่สำคัญว่าคุณมีรายได้เท่าไหร่ แต่สำคัญว่าคุณมีเงินเก็บ หลังจากหักค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ คุณภาพชีวิตของคุณจะดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับการเงินเป็นหลัก การใช้จ่ายเกินความจำเป็น หรือการรูดบัตรเครดิตอย่างเพลิดเพลิน อาจทำให้คุณพบกับหายนะทางการเงิน และวงจรหนี้บัตรเครดิตได้ การลิสรายจ่ายที่จำเป็นและไม่จำเป็นในแต่ละเดือน คือสิ่งที่คุณควรทำอันดับต้นๆหลังเงินเดือนออก

5. ลิสผู้ช่วย

Application และ tool ต่างๆ ในสมาร์ทโฟน คือ ผู้ช่วยชั้นดีของคุณ เปรียบเสมือนเลขา และแหล่งข้อมูลต่างๆ ในการทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น คุณสามารถเช็คตารางงานการประชุม อัตราการแลกเปลี่ยน การทำธุรกรรมการเงิน สภาพดินฟ้าอากาศ รวมถึงเส้นทางการจราจร ด้วยอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ เพียงเครื่องเดียว อย่างไรก็ตามคุณควรรู้จักการใช้งานเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม ในการจัดการชีวิตคุณให้ดีขึ้น ไม่ใช่ให้วุ่นวายมากกว่าเดิม

6. ลิสทักษะที่พัฒนาตัวเอง

คุณไม่ควรหยุดพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านความรู้ ทักษะการทำงาน หรือ การปรับเปลี่ยนนิสัย  ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนตลอดไป สิ่งที่คุณรู้วันนี้ ในวันหน้าอาจมีคนรู้มากกว่าคุณ หรือ สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นความรู้เก่าๆ ที่นำมาใช้งานไม่ได้อีก คุณควรหาเวลาพัฒนาตัวเอง  ไม่ว่าจะเป็นทักษะด้านภาษา หรือ ด้านต่างๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องพัฒนาทักษะในด้านการงานอย่างเดียว  คุณอาจออกไปเรียนดำน้ำ ทำอาหาร หรือ เล่นกีฬา เพื่อเพิ่มทักษะการใช้ชีวิตก็เป็นได้

7. ลิสแผนอนาคต

เพราะปัจจุบันคืออดีตของอนาคต และการที่คุณอยากมีอนาคตที่ดี คุณต้องวางแผนทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อย่าปล่อยให้ชีวิตไหล ไปโดยไม่มีแผนในอนาคตที่แน่นอน  เช่น คุณอาจมีแผนคร่าวๆว่าจะไปเรียนต่อปริญญาโท ปีหน้า  ณ เวลานี้คุณควรเริ่มเก็บเงิน  หาที่เรียน และเริ่มสมัครสอบภาษา หรือ ซื้อข้อสอบเก่ามานั่งลองทำ  ถ้าคุณอยากไปเรียนปีหน้า คุณก็ต้องเริ่มสอบและอ่านหนังสือตั้งแต่ปีนี้

8. ลิสแผนสำรอง

เพราะทุกๆแผนการณ์ในอนาคต อาจมีการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่คุณไม่ได้คาดหวังมาก่อน  คุณควรมีแผนสำรองในกรณีที่แผนแรกของคุณเกิดล้มเหลว หรือ ไม่เป็นไปดังที่คิด ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่คุณเจอปัญหาสุขภาพ ทำให้คุณต้องเปลี่ยนแผนการเรียนต่อต่างประเทศ เป็นเรียนในประเทศแทน

9. ลิสสิ่งที่อยากทำ

เติมเต็มพลังชีวิตจากความฝันหรือสิ่งที่คุณอยากทำ  ไม่ว่าความฝันนั้นจะเป็นอะไร เช่น การไปแบ็กแพ็คในยุโรป  ไปปีนเขาเอเวอร์เรส  ไปออนเซ็นที่ญี่ปุ่น ดำน้ำที่ทะเลใต้ ไปเล่นสกีที่เกาหลี  คือ สิ่งเล็กๆน้อยๆในชีวิตที่คุณไม่ควรละเลย เพราะนอกจากจะเพิ่มความสุขในชีวิตให้คุณแล้ว ยังเป็นการเติมพลังกายพลังใจให้คุณกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

และอย่ามัวแต่ลิสสิ่งต่างๆในกระดาษ แต่จงจัดสรรเวลาและลงมือทำมันอย่างจริงจัง เพื่อเป็นการสร้างสมดุลในชีวิต และทำให้คุณเข้าใกล้คำว่า การประสบความสำเร็จในชีวิต อย่างยั่งยืน

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Credit : LifeHack

10 เคล็ดลับ ที่คนประสบความสำเร็จในชีวิตมักทำ ก่อนอายุ 30

reveals-10-secrets-to-success-in-life-usually-before-the-age-of-30-3

การประสบความสำเร็จในชีวิตจากเรื่องการงาน ไม่ได้มาพร้อมกับคำว่า เก่ง บวก เฮง เท่านั้น แต่การที่คนเราจะถึงจุดสูงสุดในชีวิต ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย พบเจอปัญหาต่างๆ ไม่ว่างเว้นแต่ละวัน หรือแม้แต่ที่จะต้องผ่านการทำงานหนัก การถูกโกง การดูถูกเหยียดหยามต่างๆ

โดยเฉพาะในช่วงอายุก่อน 30  เป็นวัยที่เริ่มทำงาน มีพลัง มีเวลา มีสุขภาพ มีความคิด และพร้อมที่จะลองผิดลองถูก ในการตั้งเข็มทิศชีวิตให้กับตัวเอง คนที่มีแนวความคิดที่ดี และลงมือปฎิบัติอย่างจริงจัง ทำให้สร้างโอกาสให้กับตัวเอง และพร้อมไปสู่จุดหมายได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆ

1. รู้จักจัดการเรื่องเงิน

คุณต้องมีวินัยเรื่องการเงินอย่างจริงจัง  มันไม่ได้สำคัญว่าคุณมีรายได้เท่าไหร่ แต่มันสำคัญว่าคุณมีเงินเหลือเท่าไหร่ ในแต่ละเดือน  งานที่ดีไม่ใช่แค่สร้างความสุขในการทำงานเท่านั้น แต่ต้องทำให้คุณภาพชีวิตคุณดีด้วย การรู้จักออม ลงทุน และไม่ใช้จ่ายเกินตัว จะทำให้คุณมีรายได้ที่มั่นคง และไม่กระทบกับชีวิตด้านอื่นๆ

2. ล้มให้เร็ว ลุกให้เป็น

ทุกคนจะต้องเจอ จุดเปลี่ยนในชีวิต ที่ทำให้ตัวเองต้องสะดุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ เช่น การทำงานไม่ถึงเป้าหมาย จนถึงเรื่อง การจ้างออก ไม่ว่าคุณจะเจอปัญหาที่ทำให้คุณต้องล้มลุกคลุกคลานเพียงใด การที่ได้ล้มเร็ว จะทำให้คุณเรียนรู้ วิธีการแก้ไขปัญหา และมีภูมิต้านทานในชีวิตการทำงาน ที่สำคัญคือ จงจดจำข้อผิดพลาด และเรียนรู้จากบทเรียนที่คุณได้

3. เริ่มธุรกิจของตัวเอง

คนประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ไม่ใช่พนักงานกินเงินเดือน แต่เป็นคนที่ตามความฝัน ทำให้สิ่งที่ชอบ และเริ่มธุรกิจของตัวเอง คุณอาจเริ่มต้นจากการเปลี่ยนงานอดิเรก มาเป็นรายได้  ไม่จำเป็นที่คุณต้อง ออกจากงานเพื่อมาทำตามความฝัน เพียงแค่คุณรู้จักแหล่งปั๊มเงินเพิ่ม อีกทางก็พอ

4. ชอบความท้าทาย

ออกจาก comfort zone ของตัวเอง และลองหาสื่งที่ท้าทาย ตื่นเต้นในชีวิต ใหม่ๆ  คุณอาจได้ไอเดีย ความคิดใหม่ๆ จากการทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เป็นการเพิ่มพลังชีวิตให้กับตัวเอง หลังจากเหนื่อยล้าจากชีวิตการทำงาน นอกจากนี้ มันยังเป็นการทดสอบศักยภาพในตัวคุณ กับการทำอะไรที่เหนือความคาดหมาย

5. เก่งเรื่องการจัดระเบียบชีวิต

นี่คือ กฏเหล็ก ที่คนประสบความสำเร็จในชีวิตมักมีข้อนี้ พวกเขารู้ดีว่า วันนี้ ต้องทำอะไร เสร็จก่อนหลัง พวกเขาให้ลำดับความสำคัญกับชีวิตเป็น และพวกเขาไม่ปล่อยชีวิตไหลไปเรื่อยๆ หรือทำงานๆไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเป้าหมาย  คนที่ยุ่งอย่างมีสติ รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร เพื่ออะไร คือคนที่มีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จสูง

6. มีคอนเนคชั่น

ยุคนี้คือ ยุคของคอนเนคชั่นอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไทย หรือต่างประเทศ  ไม่ได้สำคัญว่าคุณทำอะไรเป็นเท่านั้น แต่สำคัญว่าคุณรู้จักใคร และใครรู้จักคุณด้วย การมีคอนเนคชั่นที่ดี จะเพิ่มโอกาสให้คุณต่อยอด ในสิ่งที่คุณกำลังทำได้ง่ายขึ้น ทำให้คุณก้าวไปสู่ความสำเร็จได้เร็ว และมั่นคงกว่าคนอื่น  โอกาสทางธุรกิจต่างๆจากเพื่อนเก่า  หรือแม้แต่จากเจ้านายเก่า อาจพลิกชิวิตคุณก็เป็นได้

7. มีความมุ่งมั่น แน่วแน่

ระหว่างการเดินทาง ทุกคนต้องประสบปัญหา และอุปสรรค  แต่คนที่ประสบความสำเร็จ มักไม่ย่อท้อ แต่เชื่อมั่น และศรัทธาในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ พวกเขาจะพยายามหาวิธีแก้ไขปัญหา เพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่ตั้งเป้าไว้ ถึงแม้บางครั้งจะท้อ แต่ไม่เคยหมดหวัง และทำมันซ้ำเรื่อยๆจนกว่าจะประสบความสำเร็จ

ยกตัวอย่างเช่น โทมัส อัลวา เอดิสัน ที่ทดลองสร้างหลอดไฟ เป็นหมื่นครั้งกว่าจะสำเร็จ ถ้าเขาล้มเลิกความตั้งใจในวันนั้น เราคงไม่มีไฟฟ้าใช้จนถึงทุกวันนี้

8. ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง

ในช่วงวัย 20-30 คือวัยแห่งอิสระ  วัยแห่งการเรียนรู้ชีวิต ถึงแม้จะจบจากการเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่คุณก็ยังต้องพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง  เป็นวัยที่คุณต้องค้นหาว่าตัวเองทำอะไรดี ทำอะไรถนัด พัฒนาจุดแข็ง และกลบจุดอ่อนในตัวเอง เพื่อที่จะหาเส้นทางชีวิตของตัวเอง และก้าวสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นคง และรวดเร็ว

9. วางแผนชีวิตเป็น

อนาคตเป็นสิ่งที่สร้างได้ และวางแผนได้  อย่าคิดว่าอนาคตอยู่ที่ชะตาชีวิต หรือฟ้าดินกำหนดเท่านั้น อย่าน้อยเนื้อต่ำใจกับต้นทุนชีวิตของคุณ อย่าเปรียบเทียบสิ่งที่คุณและเพื่อนคุณมี แต่จงเปรียบเทียบตัวเองในอดีตกับตอนนี้  คุณสามารถคิดต่างและสร้างอนาคตที่สดใส ด้วยการวางแผนชีวิตให้กับตัวเอง เริ่มจากซื่อสัตย์กับตัวเอง เขียนเป้าหมายและคนที่คุนอยากเป็น  พร้อมทั้งเขียนวิธีและขั้นตอน ปัจจัยต่างๆที่ทำให้คุณเป็นคนนั้น และเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้

10. ปรับตัวเก่ง

ไม่มีอะไรที่ดีตลอด และแย่ไปตลอด คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่รู้จักการปรับตัว พวกเขาจะรู้ก่อนว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี หรือดี อย่างไร พวกเขาจะเตรียมรับมือ และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆ ก่อนที่มันจะเกิด ทำให้พวกเขาสามารถอยู่รอด และประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะพบเจอเหตุการณ์อะไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว ไม่จำเป็นว่าคุณจะใช้เคล็ดลับทั้ง 10 ข้อนี้ก่อนอายุ 30 เท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จได้

แต่ที่จริงแล้วในทุกช่วงวัย ก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ ขอเพียงดำเนินชีวิตตามหลักการนี้ สิ่งที่สวยงามจากภายนอกที่เรามองเห็นจากคนที่ประสบความสำเร็จนั้น เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขาเท่านั้น  แนวความคิดที่ดี การไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค มีความเชื่อมั่น และศรัทธาในสิ่งที่ทำ คือแรงผลักดันที่ทำให้ก้าวผ่านทุกปัญหา และเป็นกุญแจสำคัญ ในการประสบความสำเร็จในชีวิต

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(ที่มา: http://www.lifehack.org/274987/11-things-successful-people-age-30)

9 วิธี ลางานแบบมีชั้นเชิง

Startup Stock Photos

ไม่ว่าคุณจะลากิจ ลาป่วย ลาคลอด หรือลาไปสัมภาษณ์งานใหม่ คุณไม่ควรที่จะหายไปเฉยๆ แต่คุณควรมีแผนรองรับในกรณีต่างๆ ที่เจ้านายคุณ ลูกน้องคุณ หรือลูกค้าคุณ  ต้องการตัวคุณและติดต่อสอบถามคุณในเรื่องงานอย่างเร่งด่วน   โดยเฉพาะถ้าการลางานของคุณไม่ใช่แค่วันสองวัน

1.วางแผนงานล่วงหน้า

คุณควรวางแผนงานล่วงหน้า ในช่วงที่คุณไม่อยู่ ซึ่งอาจเป็นช่วงที่ไม่ใช่การพรีเซ้นโปรเจค ไม่ใช่ช่วงที่ต้องส่งมอบงานให้ลูกค้า และไม่ใช่ช่วงเปิดตัวสินค้าของบริษัท ควรเป็นช่วงที่งานของคุณไม่พีค และไม่กระทบกับบริษัทมากนัด และคุณควรตั้งตารางวันหยุดไว้ล่วงหน้า ที่ทำให้คนทั้งบริษัทเห็นว่าห้ามนัดประชุมคุณช่วงนี้ เพราะว่าคุณไม่อยู่ นอกจากนี้คุณควรใส่ช่วงเวลาที่คุณหยุดใน Signature หรือคำลงท้ายของคุณตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะทำให้คนที่ติดต่องานคุณประจำรับรู้ถึงวันลาคุณ

 

2.ฝากงานไว้ที่คนอื่น

ถ้าลูกค้าหรือเจ้านายคุณตามงานที่ค้างไว้ หรือ มีงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณ  คุณควรบอกเจ้านายและลูกค้าของคุณให้ชัดเจนว่าสามารถตามเรื่องได้ที่ใครบ้าง เช่น ถ้าเรื่องการวางบิลให้ไปตามกับคนนี้ที่แผนกนั้น  เรื่องเกี่ยวกับการเซอร์วิสลูกค้าหลังบ้านให้ติดต่อคนที่ชื่ออะไร แผนกไหน  ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณอาจมีการประชุมย่อยภายในทีม เพื่อให้คนในทีมได้รับรู้ หรือ แจกจ่ายความรับผิดชอบให้คนในทีมช่วยกันดูแล

 

3.กำหนดขอบข่ายให้ชัดเจน

บอกลูกค้า ลูกน้อง เพื่อนร่วมงานจนถึงเจ้านายอย่างชัดเจนว่าคุณจะไม่อยู่วันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ หน้าที่งานที่คุณรับผิดชอบคืออะไร และสามารถติดต่อคุณได้เวลาไหนบ้าง ช่องทางไหนบ้าง  เพื่อทำให้วันลาของคุณ เป็นการลางานจริงๆ ไม่ใช่การทำงานนอกสถานที่

 

4.ตั้งค่าอีเมล์ล่วงหน้า

ทุกครั้งที่มีอีเมล์เข้ามา ให้คุณตั้งต่าอีเมล์ตอบกลับอัตโนมัติว่าคุณอยู่ในช่วงลางานกี่วัน และคุณพร้อมจะกลับมาทำงานเมื่อไหร่ ถ้ามีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ ก็ให้สามารถติดต่อได้ที่ใคร วิธีนี้จะทำให้คนส่งอีเมล์มาหาคุณรับรู้ว่าคุณไม่อยู่รับเรื่อง

 

5.สอนงานคนอื่น

คุณควรถ่ายงาน หรือ สอนงานคนอื่นในส่วนที่คุณรับผิดชอบโดยตรง เพื่อเวลาที่คุณไม่อยู่คนอื่นจะได้ทำงานแทนคุณได้ เป็นการไม่เสียเวลา และไม่กระทบงานโดยตรง โดยเฉพาะในบริษัทใหญ่ที่ต้องใช้เครื่องมือ และโปรแกรมเฉพาะต่างๆในการทำงาน  คนอื่นๆที่ไม่ได้ทำงานตรงนี้ทุกวันอาจทำไม่เป็น หรือ ขาดตกบกพร่องอะไรไป ทางที่ดีคุณควรหาเวลาสอนเพื่อนร่วมงานไว้บ้าง

 

6.จัดเรียงเก็บไฟล์งาน และเอกสารที่สำคัญ

เอกสารที่ต้องใช้บ่อยๆ เช่น ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ และเอกสารสำคัญประเภทต่างๆ ควรเก็บไว้ในไฟล์ Desktop อย่างเป็นระเบียบหาได้ง่าย และไม่ต้องใช้พาสเวิร์ดในการเปิดเข้าไป  และคุณควรจัดเรียงเอกสารสำคัญอ้างอิงต่างๆ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ง่ายต่อการค้นหา ทั้งไฟล์เอกสารในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะของคุณเอง

 

7.สร้างรายชื่อ เบอร์ติดต่อ และอีเมล์สำคัญ

สร้างรายชื่อ Reference และ Contact person ทั้ง Vendor และ ลูกค้า ให้ชัดเจน โดยคุณอาจทำใส่ตาราง Excel และยิงอีเมล์นี้ออกไปในวันสุดท้ายก่อนคุณลางาน

 

8.หยุดอัพเดท Social Media

การลางานต่างๆ ไม่ว่าจะลาคลอด ลาป่วย หรือ ลากิจ  ก็ตาม คุณไม่ควรทำตัวลั้ลลาจนเกินงาม ในระหว่างที่คุณมีความสุขไม่สนใจรับโทรศัพท์จากลูกค้า หรือ เพื่อนร่วมงาน ทำตัวติดต่อไม่ได้ แต่คุณดันอัพโหลดรูปต่างๆ เช็คอินลงใน Social Media นั่นทำให้คุณดูแย่ในสายตาเพื่อนร่วมงานไปทันที

 

9.ของฝากเล็กๆน้อย ๆ

อันนี้ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆ ที่คุณควรมีของฝาก ของกิน ให้กับเพื่อนร่วมงาน หรือ คนที่คอยช่วยเหลือเรื่องงานของคุณระหว่างคุณลา การแสดงน้ำใจและคิดถึงทีม ทำให้คุณแลดูเป็นคนน่ารัก และทำให้เพื่อนร่วมงานอยากช่วยเหลือคุณอีกในอนาคต

 

ในมุมมองขององค์กร หรือ บริษัทใหญ่  ถ้าพนักงานลางานยาว เช่น ลาคลอด หรือ ลาพักร้อนมากกว่าสองอาทิตย์ องค์กรควรมีระบบ Succession Planning หรือ การวางแผนหาผู้สืบทอดตำแหน่ง เป็นการจัดเตรียมคนในการทดแทนตำแหน่งงานใดงานหนึ่งไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะตำแหน่งผู้บริหารสูงๆในองค์กร  หรือตำแหน่งที่เป็นตำแหน่งหลัก  ถ้าขาดตำแหน่งนี้ไปอาจทำให้องค์กรสะดุดล้ม และเดินไปได้ช้า

นอกจากนี้ภายในองค์กรควรมีการจัดการมองหา Talent หรือพนักงานที่มีศักยภาพ เพื่อพัฒนาบุคคลเหล่านั้น ให้พร้อมกับการเลื่อนตำแหน่ง เมื่อตำแหน่งนั้นว่าง วิธีนี้ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้องค์กรและบริษัทเสียค่าใช้จ่าย และค่าเสียโอกาสต่างๆน้อยลง

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

14 วิธีปลุกความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในตัวคุณ

14 How to stimulate the creativity in you

ความคิดสร้างสรรค์เป็นหนึ่งในความสามารถที่พิเศษของมนุษย์ สิ่งนี้เป็นพฤติกรรมที่มีคุณค่า และก่อให้เกิดสิ่งที่แปลกใหม่และเป็นประโยชน์มากมาย แม้ว่าสำหรับคนส่วนใหญ่สิ่งนี้ดูเป็นเรื่องที่ยาก แต่ทว่าบางคนกลับสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย

จินตนาการและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสอนกันได้ แต่การกระตุ้นด้วยวิธีต่างๆจะช่วยให้คนเราค้นพบศักยภาพนี้ในตัวเอง และบทความนี้แนะนำวิธีการปลุกพลังจินตนาการและช่วยให้คุณเข้าใกล้การเป็นคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มากขึ้น ด้วยวิธีการ 14 ข้อ ดังนี้

1) จำกัดตัวเลือกของคุณ

งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า การมีตัวเลือกจำกัดช่วยกระตุ้นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการที่คุณมีตัวเลือกมากเกินไป เปรียบเหมือนกับการที่คุณเปิดประตูทุกบาน ซึ่งจะทำให้คุณสับสน วอกแวก และตัดสินใจได้ยากว่าจะมุ่งตรงไปยังประตูบานใดก่อน

ในทางกลับกัน หากคุณมีตัวเลือกไม่มากนัก ธรรมชาติจะผลักดันให้สมองทำงานมากขึ้น สิ่งนี้จะทำให้คุณสามารถกำหนดขั้นตอนหรือกระบวนการทางความคิดได้ง่ายขึ้น และคุณจะพบกับคำตอบที่ต้องการ

2) อย่ารอคอยแรงบันดาลใจ

บางคนใช้คำว่า “แรงบันดาลใจ” เป็นข้ออ้างในการเริ่มต้นทำสิ่งต่างๆ พวกเขาผัดวันประกันพรุ่ง และมักรอคอยให้ไฟในตัวเองลุกโชน แต่พฤติกรรมเช่นนี้กลับกลายเป็นตัวขัดขวางความสำเร็จในชีวิต หากคุณอยากที่จะสร้างสรรค์สิ่งใดก็ตาม จงอย่ารอคอยแรงบันดาลใจ เพราะเราสามารถสร้างสิ่งต่างๆขึ้นเองได้ด้วยการลงมือทำ และคุณจะพบกับความสำเร็จในที่สุด

ตัวอย่างนี้เห็นได้จากนักกีฬาที่ทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักเพื่อการแข่งขันที่ยังมาไม่ถึง พวกเขาดูแลร่างกายและฝึกซ้อมอยู่เสมอ พวกเขาเชื่อว่าความพยายามอย่างหนักจะสามารถจุดไฟให้เกิดขึ้น และท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้รับชัยชนะ

3) ให้ความสำคัญกับปัญหามากกว่าคำตอบ

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า “หากฉันมีเวลา 1 ชั่วโมงในการแก้ไขปัญหา ฉันจะใช้เวลา 55 นาทีในการคิดถึงปัญหานั้น และจะใช้เวลาเพียง 5 นาทีในการคิดถึงคำตอบ” กล่าวคือ เมื่อคุณเริ่มต้นทำงานชิ้นหนึ่งและพบกับปัญหา ให้คุณค่อยๆคิดหาทางแก้ไขปัญหาไปทีละขั้นทีละตอน และคุณจะได้พบกับคำตอบเอง

หากคุณยังนึกไม่ออก ให้คุณลองจินตนาการว่าตัวคุณกำลังหลงทาง และถ้าคุณมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับภาพของจุดหมายปลายทาง โดยไม่สนใจสิ่งที่อยู่รอบข้าง คุณก็จะไม่มีวันได้พบทางออก ในทางกลับกัน หากคุณเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อยู่กับความเป็นจริง พยายามสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัว และค่อยๆลัดเลาะไปตามเส้นทาง สุดท้ายคุณก็จะได้พบทางออกนั้น

4) ใช้สิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้” กระตุ้นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

คนเรามักเอาสภาพแวดล้อมภายนอกมาเป็นเงื่อนไขในการทำลายความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น หากคุณคิดโปรเจคใหม่ๆสักชิ้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณก็มักจบลงด้วยความคิดที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากความรู้ความสามารถ กำลังคน เงินทุน เป็นต้น วิธีคิดเช่นนี้เป็นการดับฝัน และตัดจินตนาการไปจนหมดสิ้น

อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า “คนเราสร้างสรรค์นวัตกรรม เมื่อคิดถึงสิ่งที่อยู่ห่างไกล หรือสิ่งที่อยู่ในอนาคต” ดังนั้น อะไรก็ตามที่เราคิดว่าไม่เชื่อมโยง หรือเป็นไปไม่ได้ อย่าเพิ่งด่วนตัดทิ้งไป เพราะหลายครั้งที่จินตนาการหรือการคิดนอกกรอบสามารถเป็นจริงได้

5) ทำงานในร้านกาแฟ

วารสารงานวิจัยผู้บริโภคฉบับหนึ่งเปิดเผยว่า ร้านกาแฟทั่วไปมีเสียงดังอยู่ในระดับปานกลาง (ประมาณ 70 เดซิเบล) อันเป็นเหตุให้สมองเกิดความยากในการประมวลผล ซึ่งขณะเดียวกันจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความคิดที่เป็นนามธรรม และส่งผลให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ระดับเสียงที่เงียบหรือดังจนเกินไป จะลดความสามารถในการประมวลผลข้อมูล หรือขัดขวางความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของคุณ

6) ออกกำลังกาย

การออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้เรารู้สึกสดชื่น และกระปรี้กระเปร่าแล้ว ยังส่งผลให้สมองทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เนื่องจากระหว่างที่เราออกกำลังกาย สมองทุกส่วนจะทำงานร่วมกัน และเกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างสะดวก ราบรื่น ซึ่งจะทำให้เราเกิดความคิดดีๆมากมาย เหมือนดังที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า “ฉันคิดออก เมื่อฉันออกกำลังกาย”

7) ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดในการทำสิ่งต่างๆ

คุณเคยลองใช้มือข้างที่ไม่ถนัดในการเขียนหนังสือ วาดภาพ หรือหยิบจับสิ่งของบ้างหรือไม่ นักวิจัยเปิดเผยว่าการใช้มือข้างที่ไม่ถนัดทำกิจกรรมต่างๆจะทำให้สมองทั้งสองซีกถูกใช้งาน และนำมาซึ่งพลังแห่งความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ วิธีการนี้ทำให้คุณเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ เพราะคุณจะคอยสังเกตปฏิกิริยาของร่างกายที่แตกต่างออกไป และคุณจะพบว่านอกจากวิธีการเดิมๆ มีวิธีการใหม่มากมายที่ทำให้คุณสามารถทำสิ่งต่างๆได้สำเร็จ

8) ฝึกคิดสวนทาง

โดยปกติ คนเราจะคิดจากจุดเริ่มต้นไปหาจุดสิ้นสุด แต่หากคุณต้องการความแตกต่าง วิธีการคิดแบบเดิมอาจไม่สามารถตอบโจทย์คุณได้ การคิดสวนทางเป็นหนึ่งในวิธีกระตุ้นพลังความคิดสร้างสรรค์ สิ่งนี้ทำให้คุณพบกับมุมมองที่แปลกใหม่และสามารถสร้างสรรค์สิ่งดีๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น ในการเขียนบทละคร หากคุณเขียนฉากจบของเรื่องแล้วค่อยๆย้อนกลับไปเขียนฉากเริ่มต้น คุณจะได้โครงเรื่องที่แปลกใหม่ น่าสนใจ ซึ่งผู้อ่านไม่สามารถคาดเดาเนื้อเรื่องของคุณได้ วิธีการนี้ทำให้คุณมีบทละครที่โดดเด่นและไม่ซ้ำใคร

9) ให้ความสำคัญกับความคิดที่ฟุ้งซ่าน

ระหว่างวัน ภาพหรือความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของคุณอาจดูไม่มีประโยชน์หรือไม่มีคุณค่าใดๆ และบ่อยครั้งที่คุณมองข้ามและปล่อยให้มันเลือนหายไปโดยไม่ทำอะไร แต่แท้จริงแล้ว สิ่งนี้เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ซึ่งกำลังจะผลิดอกออกผลให้กับคุณในไม่ช้า

ดังนั้น คุณไม่ควรปล่อยสิ่งดีๆเหล่านี้ให้หลุดลอยไป จงพกสมุดและปากกาไปกับคุณในทุกที่เพื่อบันทึกไอเดียหรือแรงบันดาลใจที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และคุณจะได้พบว่าความคิดที่ดูเหมือนไร้ค่าและฟุ้งซ่านนั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่า หากคุณมองเห็นและทำมันให้กลายเป็นจริง

10) ลดการบริโภคข้อมูลข่าวสาร และปลดปล่อยจินตนาการของคุณให้ล่องลอย

ทุกวันนี้ เราบริโภคข้อมูลข่าวสารตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น การติดตามข่าวสารบนหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ หรือวิทยุ การติดต่อสื่อสารและค้นคว้าหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต และการเชื่อมต่อความคิดเห็นของผู้คนบนโลกผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นต้น การสื่อสารที่ไร้พรมแดนนี้ทำให้สมองของเราเต็มไปด้วยข้อมูล ถูกสื่อครอบงำ และอาจถูกจำกัดอิสรภาพทางความคิดได้

ดังนั้น เมื่อคุณมีเวลาว่าง แทนที่คุณจะหยิบโทรศัพท์มือถือ หรือเปิดโน้ตบุคเพื่อค้นหาข้อมูลหรือติดตามข่าวสาร ให้คุณลองทิ้งเครื่องมือเหล่านี้ไว้ และปลดปล่อยจิตใจของคุณให้ล่องลอยไปตามจินตนาการ วิธีการนี้ช่วยให้คุณได้พิจารณาไตร่ตรองถึงความรู้สึกที่ไม่ยึดติดหรือผูกพันกับสิ่งใด และคุณจะรู้สึกประหลาดใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

11) ทำในสิ่งที่คุณไม่เคยทำ และไปในสถานที่ที่คุณไม่เคยไป

หากคุณทำแต่สิ่งเดิมๆอย่างซ้ำซากจำเจ คุณจะรู้สึกอุดอู้ เบื่อหน่าย และไม่มีชีวิตชีวา แต่หากคุณลองเปลี่ยนบรรยากาศ หรือพบเจอกับประสบการณ์ที่แปลกใหม่ คุณจะได้รับมุมมองที่สดใส และมีความคิดที่แตกต่างไปจากเดิม

ดังนั้น เพื่อกระตุ้นพลังจินตนาการที่ดีในตัวคุณ คุณอาจลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ หรือไปในสถานที่ที่ไม่เคยไป เช่น ระหว่างทางที่คุณเดินทางกลับบ้าน ให้คุณลองเปลี่ยนเส้นทางดู คุณอาจเดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องถนน และหยุดมองสิ่งรอบตัว และสิ่งที่คุณได้เห็นจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่น และเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้

12) หัวเราะออกมา

ไม่ว่าสถานการณ์จะแย่สักแค่ไหน พยายามยิ้มและหัวเราะเข้าไว้ เพราะเมื่อคุณหัวเราะ ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมา สิ่งนี้จะช่วยให้คุณอารมณ์ดี มองโลกในแง่บวก และเกิดความคิดดีๆ

13) ทำสมาธิ

การทำสมาธิ คือ การกำหนดลมหายใจเข้าออก เมื่อคุณหายใจเข้าลึกๆจะช่วยให้ปอดขยายใหญ่และได้รับออกซิเจนมากขึ้น และสิ่งนี้จะส่งพลังงานไปยังสมอง ทำให้สมองคุณปลอดโปร่ง และสามารถคิดสิ่งต่างๆได้มากขึ้น นอกจากนี้ การนั่งสมาธิทำให้จิตใจของคุณสงบ มีความจดจ่อ และแก้ไขปัญหาได้อย่างมีสติปัญญาอีกด้วย

14) หยุดพักบ้าง

การที่เราเผชิญกับปัญหาและพยายามคิดหาวิธีแก้ไขต่างๆอาจทำให้จิตใจเราสับสน วุ่นวาย และก่อให้เกิดความเครียดโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ดังนั้น หากคุณพบว่าตัวเองกำลังกดดัน หรือคิดหาหนทางไม่ออก จงหยุดพักเพื่อผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ

การหยุดพักช่วยยับยั้งความคิดด้านลบได้ชั่วคราว คุณอาจไปเดินทางท่องเที่ยว รับประทานอาหาร เล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมที่คุณชอบ และเมื่อคุณอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลาย คุณจะรู้สึกสดชื่น ปลอดโปร่ง และพร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้เกิดขึ้น

เรียบเรียงโดย ทีม Learning Hub Thailand

Source: http://www.dailygood.org/story/1011/14-surprising-ways-to-boost-creativity-ed-decker/

3 เคล็ดลับ ที่จะทำให้คุณรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

lifelearning

การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่า และให้ประโยชน์แก่ผู้เรียนมากมาย เช่น ทำให้เป็นคนเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น ทันคนขึ้น ทำอะไรได้หลายอย่างมากขึ้น ทำให้การดำเนินชีวิตดีขึ้นและง่ายขึ้น เป็นต้น ทว่า หากพูดถึง “การเรียนรู้” คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการเรียนรู้ถูกจำกัดอยู่แต่ในสถานศึกษา และวัยที่เหมาะสมในการเรียนรู้ คือ วัยเด็กและวัยรุ่นเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ตลอดชีวิต เราสามารถแสวงหาความรู้ และพัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา การเรียนรู้ไม่มีรูปแบบตายตัว ปราศจากกฎเกณฑ์หรือข้อกำหนดเรื่องเวลาและสถานที่ กล่าวคือ คนเราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต

หากเปรียบชีวิตของคนเราเป็นดังต้นไม้ใหญ่ ปุ๋ยที่ดีที่สุดของคนเรา คือ การเรียนรู้ เพราะหากเราหยุดที่จะเรียนรู้ ชีวิตก็จะหยุดเติบโตเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ไร้ใบ คือ ไม่มีคุณค่า และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบริเวณนั้น ดังนั้น การเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงมีความสำคัญมาก และเราทุกคนควรที่จะตระหนัก ปลูกฝังจิตใจและนิสัยให้รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

บทความนี้จะเปิดเผย 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้คนเรามีแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ ทำมันอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ตลอดชีวิต

1.รู้เหตุผล และความสำคัญของการเรียนรู้

หากผู้เรียนเข้าใจถึงประโยชน์และความสำคัญของการเรียนรู้แล้ว ย่อมจะทำให้เกิดแรงจูงใจและทำให้การเรียนรู้เป็นไปได้ง่ายขึ้น การเรียนรู้มีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยให้คุณพัฒนาตนเอง ทำให้คุณมีความคิดใหม่ๆ และสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับสิ่งนี้สูงสุด

การเรียนรู้ คือ กระบวนการเพิ่มพูนและพัฒนาความรู้ความสามารถ ความคิด สติปัญญา ทักษะ ประสบการณ์ รวมถึงพฤติกรรมของผู้เรียนให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้จากการเห็น การฟัง การอ่าน จากข้อผิดพลาดของตนเองและผู้อื่น เป็นต้น

บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของการเรียนรู้ไว้ ดังนี้

  • อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “การพัฒนาทางสติปัญญาควรจะเริ่มเมื่อแรกเกิด และจะหยุดเมื่อชีวิตสิ้นสุดเท่านั้น”
  • เฮนรี่ ฟอร์ด กล่าวว่า “ใครก็ตามที่หยุดเรียนรู้ เขาจะกลายเป็นคนแก่ชรา ไม่ว่าเขาจะมีอายุ 20 หรือ 80 ปี แต่หากผู้ใดยังมีใจใฝ่เรียนรู้ เขาจะยังคงเป็นหนุ่มสาวเสมอ”
  • เอิร์ล ไนติงเกล กล่าวว่า “เมื่อคุณหยุดที่จะเรียนรู้ คุณก็เหมือนคนที่ตายแล้ว เพราะคุณจะเหลือเพียงร่างกายอันโดดเดี่ยวและเหี่ยวแห้ง”
  • อับราฮัม ลินคอร์น กล่าวว่า “สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ทั้งหมด มาจากการอ่านหนังสือ”
  • จอห์น อดัมส์ กล่าวว่า “ฉันจดจ่อกับการอ่านหนังสือ และอ่านไม่เคยพอ ยิ่งคนเราอ่านมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องอ่านมากเท่านั้น”

นอกจากนี้ ยังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่านให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น โทมัส เจฟเฟอร์สัน แอนดรู คาร์เนกี นโปเลียน ฮิลล์ วินสตัน เชอร์ชิล บรูซ ลี มหาตมะ คานธี เลโอนาร์โด ดาวินซี ขงจื๊อ โสกราตีส เป็นต้น

2. ค่อยๆสร้างอุปนิสัย รักการเรียนรู้

 “จงใช้ชีวิตราวกับว่าคุณกำลังจะตายในวันพรุ่งนี้ จงเรียนรู้ราวกับว่าคุณจะมีชีวิตอยู่เป็นนิรันดร์”

มหาตมะ คานธี

ผู้ที่รักการเรียนรู้จะตระหนักว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็น พวกเขารู้ว่ายังมีสิ่งที่รอคอยให้พวกเขาค้นพบอีกมาก ดังนั้นพวกเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ พวกเขาจะตัดสิ่งที่รบกวนสมาธิและขัดขวางการเรียนรู้ออกไป เช่น โทรทัศน์ วิทยุ เกมส์คอมพิวเตอร์ และสื่อออนไลน์ นอกจากนี้ พวกเขามักรับฟังข่าวสาร หรืออ่านหนังสือระหว่างที่เดินทาง

หากคุณต้องการสร้างอุปนิสัยการเรียนรู้ คุณไม่จำเป็นต้องทำมันอย่างสุดโต่ง เพราะสิ่งนั้นจะทำให้คุณเกิดอคติและมองโลกในแง่ร้ายว่า คุณจะต้องใช้ชีวิตทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือ ให้คุณค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรมทีละเล็กทีละน้อย เช่น คุณอาจเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆโดยการอ่านหนังสือวันละ 1 ชั่วโมง และเมื่อคุณทำมันอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นนิสัย เท่ากับว่าตลอดทั้งปีคุณจะมีเวลาในการอ่านหนังสือมากถึง 365 ชั่วโมง และสุดท้ายคุณจะพบว่าตัวเองมีความรู้มากขึ้น และทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

3. อยู่ในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้

ผู้ที่ชอบการเรียนรู้จะพยายามค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆมากมาย เช่น การอ่านหนังสือ การเข้าเรียนในหลักสูตร การเข้าร่วมอบรมสัมมนา การทำกิจกรรมหรือสร้างเครือข่าย การค้นคว้าทางอินเตอร์เน็ต การสอบถามหรือแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ เป็นต้น

การรู้จักและสานสัมพันธ์กับเพื่อนที่เข้าใจและเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ก็สามารถช่วยให้คุณเรียนรู้สิ่งต่างๆได้มากขึ้น คุณอาจจะบอกเพื่อนและครอบครัวว่าคุณวางแผนที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆอย่างไร และให้พวกเขาช่วยย้ำเตือนให้คุณรับผิดชอบต่อความตั้งใจจริงของคุณ เพราะพวกเขาเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นและสนับสนุนให้คุณเกิดแรงจูงใจและมีความแน่วแน่ต่อเป้าหมายในการเรียนรู้

วิธีการนี้เป็นการสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ชอบการเรียนรู้ด้วยตัวเองและรักการเรียนรู้ตลอดชีวิตมักทำมันอย่างต่อเนื่อง เพราะมันช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีความมั่นใจ และประสบความสำเร็จในที่สุด

เชื่อว่า หากคุณปฏิบัติตามเคล็ดลับทั้ง 3 ข้อนี้ คุณจะกลายเป็นคนที่รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

และนั่นก็จะการันตีได้ว่า ไม่ว่าโลกจะหมุนเร็วแค่ไหน มีการเปลี่ยนแปลงอะไร คุณก็จะสามารถรับมือกับมันได้ ไม่เป็นคนตกยุคอย่างแน่นอน

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

Source: http://www.lifehack.org/287498/3-things-life-long-learners-differently-make-them-learn-unremittingly

 

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save