7 เทคนิคใหม่ เลือกคนอย่างไร ไม่ให้เปลี่ยนงานบ่อย

2

สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผู้บริหารคือการคัดสรรคนให้เหมาะกับงาน  ผลประกอบการจะออกมาดีหรือไม่ย่อมขึ้นกับคน Learning Hub จึงขอนำเสนอ 7 เคล็ดลับในการเลือกคนให้เข้ากับงาน หรือ “Put the right man on the right job”

ฝากให้บรรดาผู้บริหารได้ลองนำไปเป็นไอเดียในการเลือกลูกน้องกันครับ 


1.พิจารณาจากงานที่เคยทำ  

งานที่แตกต่างจึงต้องการคนที่แตกต่างกัน  

Peter  Drucker ปรมาจารย์ด้านการจัดการยุคใหม่ กล่าวว่าหากพนักงานทำงานไม่ดี   ย่อมเป็นความผิดของผู้บริหาร ไม่ใช่พนักงาน เพราะผู้บริหารเป็นคนเลือกเขามาทำงานเอง                        

ดังนั้นเพื่อป้องกันความผิดพลาด ผู้บริหารจึงต้องใส่ใจกับการเลือกคนให้เหมาะสมกับงาน เขาจึงแนะนำว่า    การเลือกคนต้องพิจารณาจากงานที่คนผู้นั้นเคยรับผิดชอบมาก่อน อย่างน้อยก็จากประสบการณ์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 

ยกตัวอย่างเช่น การจะหาผู้จัดการฝ่ายการตลาดสักคน ต้องคิดก่อนว่า หน้าที่ของผู้จัดการคนนี้ คืออะไร เพิ่มยอดขาย คิดค้นสินค้าใหม่   หรือเจาะตลาดใหม่

ซึ่งงานแต่ละอย่างมีความแตกต่างกัน จึงต้องการคนที่มีประสบการณ์แตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรเลือกพนักงานที่เคยผ่านงานหรือมีประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งนั้นมากที่สุด

หากคุณสนใจแนวคิดดีๆของ Drucker ผมแนะนำหนังสือชื่อ The Essential Drucker ครับ 


2.อย่ามอบงานใหญ่ ให้คนไม่ใหญ่   

กระจายอำนาจการตัดสินใจให้พนักงาน  

Alfred Sloan อดีตผู้บริหารบริษัท General Motors ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับบริษัท  หนึ่งในนั้นคือการปรับวิธีการทำงาน โดยการกระจายอำนาจให้พนักงาน ส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและสามารถแสดงความคิดเห็นได้ 

ซึ่งเป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในองค์กร  แต่ไม่ได้หมายความว่าพนักงานทุกคนจะมีอำนาจในการตัดสินใจเท่ากันนะครับ เพราะสำหรับพนักงานใหม่แล้ว        

เขาจะยังไม่มอบหมายภาระงานสำคัญให้ เนื่องจากยังอ่อนประสบการณ์ ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความผิดพลาดได้     เขาจึงมอบหมายให้พนักงานใหม่ทำงานที่มีความชัดเจนสูง คาดการณ์ได้

ส่วนพนักงานที่มีประสบการณ์แล้วเขาจึงเพิ่มอำนาจในการตัดสินใจครับ  คุณสามารถติดตามแนวคิดของเขาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.economist.com/node/13047099  


3. ถามไถ่คนใกล้ชิด  

ผู้บริหารต้องฟังสิ่งที่คนอื่นคิด  

Hermann Abs อดีตผู้บริหาร Deutsche Bank มีมุมมองว่า การเลือกใช้คนของผู้บริหารโดยมากตั้งอยู่บนอคติส่วนตัว ทำให้ใช้คนผิดประเภท หรือเลือกแต่งตั้งคนที่ใกล้ชิดมากกว่าคนที่มีความสามารถ  

เพื่อให้การเลือกคนมีความถูกต้องและผิดพลาดน้อยที่สุด เขาจึงมองว่านอกจากการสอบประวัติของบุคคลที่ต้องการแต่งตั้งแล้ว ผู้บริหารควรจะสอบถามจากเจ้านายเก่า ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน อย่างน้อย 3 – 5 คน

เพื่อให้ได้ข้อมูลรอบด้านเพื่อประกอบการเลือกคนที่เหมาะสม ดังนั้น “ We need to listen ผู้บริหารจึงต้องรับฟัง” ครับ

คุณสามารถอ่านแนวคิดของเขาเพิ่มเติมที่ http://www.independent.co.uk/news/people/obituary-hermann-abs-1392727.html  


4.เลือกคนที่เข้าใจงาน  

วิถีของ Apple คือสร้างเอกลักษณ์ให้กับสินค้า  

Tim Cook ซีอีโอบริษัท Apple ผู้มุ่งมั่นสร้างสรรค์สินค้าเทคโนโลยีขั้นเทพให้กับลูกค้า ดังนั้นหัวใจสำคัญของ Apple จึงอยู่ที่แผนกฮาร์ดแวร์เทคโนโลยี เพราะแผนกนี้จะทำหน้าที่ผลิตชิป ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสมองของสินค้า

ดังนั้นคนที่จะรับบทหนักเช่นนี้ Tim Cook จึงเลือก  Johny Srouji  ทำไมต้องเป็นเขา ? 

 Srouji เคยผ่านงานจากบริษัท Intel และ IBM มาก่อน เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการวางระบบชิปเป็นอย่างดี เมื่อเขาเข้าร่วมงานกับ Apple  Srouji มีส่วนอย่างมากในการออกแบบระบบการทำงานของ iPhone และแท็บเล็ตใหม่  

ทำให้ระบบการทำงานมีเสถียรภาพและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น   

จึงทำให้  Apple สามารถยืนหยัดแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างมั่นคง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ Tim Cook เลือกคนที่เข้าใจงานทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำความรู้จัก Johny Srouji ได้ที่นี่ครับ https://www.linkedin.com/in/johny-srouji-1b7a944  


5.เข้าใจคนก่อนใช้คน   

อย่าให้จุดด่างดำมาบดบังหยกขาว  

Bob Burg วิทยากรชื่อดังของสหรัฐอเมริกา และเจ้าของหนังสือชื่อ The Go-Giver Leader  เป็นกูรูอีกคนหนึ่งด้านการใช้คนครับ แน่นอนครับว่า ทุกคนย่อมมีดีมีเสียแตกต่างกันไป

เขาจึงแนะนำครับว่าควรมองคนจากจุดแข็งก่อนครับ เพราะมูลค่าของงานจะสร้างสรรค์ขึ้นได้จากจุดแข็งของคน  

จากนั้นจึงพิจารณาจากจุดอ่อนครับ แต่ไม่ใช่คือมีจุดอ่อนแล้วคัดออกนะครับ เพราะเขาแบ่งจุดอ่อนออกเป็น 3 ประเภท คือ จุดอ่อนที่ไม่เป็นปัญหา จุดอ่อนที่แก้ไขได้ และจุดอ่อนที่เป็นปัญหา 

พูดง่ายๆก็คือ หากพนักงานมีจุดอ่อน 2 ประเภทแรก ไม่ถือเป็นปัญหาครับ แต่หากเป็นจุดอ่อนประเภทที่สาม แม้ว่ามีจุดแข็งที่ดีแค่ไหนคงต้องคัดออกครับ  

เขาได้ยกตัวอย่างวิศวกรที่ทำงานเก่งคนหนึ่ง ซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าแผนก แต่วิศวกรรายนี้ทำหน้าที่ประสานงานได้ไม่ดี แต่งานในตำแหน่งหัวหน้าต้องมีทักษะการประสานงาน

ดังนั้นจุดอ่อนของเขาถือเป็นประเภทที่สาม เพราะถ้าเขาไม่สามารถประสานงานได้  ก็ไม่อาจแบกรับความรับผิดชอบได้ครับ ติดตามแนวคิดของ Bog Burg ได้ที่ https://www.facebook.com/burgbob/  


 6.เลือกคนจากลักษณะนิสัย   

Judging เหมาะกับงานบัญชี แต่ Perceiving เหมาะกับงานการตลาด  

โดยทั่วไปลักษณะนิสัยของแต่ละคนมีส่วนอย่างมากต่อผลลัพธ์ของการทำงาน   คนที่ชอบทำงานเป็นขั้นเป็นตอน วางแผนล่วงหน้า ไม่ค่อยครีเอทีฟ เรียกว่า Judging ครับ เหมาะกับการทำงานบัญชีหรือการเงิน เพราะเป็นคนละเอียด 

แต่คนที่ชอบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ชอบงานเอกสาร เรียกว่า Perceiving เหมาะกับงานการออกแบบหรือการตลาดครับ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Target ถูกโจรกรรมข้อมูลบริษัทสูญเสียความเชื่อมั่น  

ผู้ถือหุ้นจึงเลือก John Mulligan ดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการ CEO แทน CEO คนเก่าที่ขาดความน่าเชื่อถือไปแล้ว เหตุที่เลือกเขาเพราะเขาเป็นรองประธานฝ่ายการเงินหลายปี ทำงานละเอียด

หรือก็คือเป็นคนประเภท Judging ซึ่งเหมาะที่จะเข้ามาประเมินความเสียหายและฟื้นฟูสถานะทางการเงินภายหลังถูกโจรกรรมข้อมูล  คนละเอียดและรอบคอบจึงเหมาะกับสถานการณ์นี้มากกว่าคนครีเอทีฟครับ

คุณสามารถศึกษาประวัติของ John Mulligan ได้ที่  https://www.linkedin.com/in/john-mulligan-2664812 


 7.ต้องเป็นที่ยอมรับ 

เลือกคนที่เป็นที่ยอมรับ ย่อมทำงานได้ราบรื่น  

เทคนิคนี้ผมได้บทเรียนจากประธานาธิบดีโอบามาครับ   เมื่อครั้งโอบามารับตำแหน่งประธานาธิบดีใหม่ๆ เสียงวิพากษ์ดังขรมว่า โอบามาขาดประสบการณ์ด้านการต่างประเทศ เมื่อเป็นเช่นนี้การประสานงานกับรัฐสภาจะเป็นไปได้ด้วยความยากลำบากมาก  

คงไม่มีใครให้ความร่วมมือกับเด็กอ่อนอย่างโอบามาแน่  ดังนั้นโอบามาจึงดึง โจเซฟ ไบเดน เข้ามาเป็นรองประธานาธิบดี ซึ่งจะเขาเคยเป็นกรรมาธิการด้านต่างประเทศถึง 9 สมัย

ด้วยประสบการณ์ชั้นเซียนเช่นนี้ ย่อมกลบจุดอ่อนของโอบามาได้เป็นอย่างดี และความน่าเชื่อถือและการยอมรับย่อมเพิ่มขึ้น  หากคุณสนใจสามารถติดตามโอบามาได้ที่ https://www.barackobama.com/  

แม้ว่าคุณจะเรียนรู้เทคนิคการใช้คนทั้ง 7 ข้อไปแล้วก็ตาม แต่ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ แต่หากเราใช้คนผิดพลาด เราก็ควรยอมรับความจริง และเปลี่ยนคนใหม่ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นอาจจะสร้างความเสี่ยงให้กับองค์กรได้  เพราะ Misfit is cruel to an organization.    

เรียบเรียงโดย วิญญู – Learning Hub Team 

ที่มา  http://www.bloomberg.com/features/2016-johny-srouji-apple-chief-chipmaker/

 

10 เคล็ดลับ เพื่อการบริหารเวลาที่ดีขึ้น

3

“เวลาเป็นเหรียญที่มีค่าที่สุดในชีวิตของคุณ คุณและคุณเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดว่าเหรียญนั้นจะถูกใช้ไปอย่างไร สิ่งหนึ่งที่คุณต้องระวังคือ..อย่าให้ใครมาเป็นคนกำหนดหรือใช้มันไปแทนคุณ” – จอห์น ดรายเด็น

การบริหารเวลาเป็นทักษะที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จทั้งในอาชีพของคุณและชีวิตส่วนตัว เชื่อเถอะค่ะว่า ความสามารถในการบริหารจัดการเวลาที่คุณสร้างมันในวันนี้จะช่วยคุณไปได้ตลอดขีวิตเลยทีเดียวค่ะ 

วันนี้เรามี 10 เคล็ดลับที่ไม่ลับ ที่จะช่วยพัฒนาความสามารถในการบริหารเวลาของคุณได้ค่ะ

1.วางแผนเวลาทุกวัน

จัดแจงเวลาสักครึ่งชั่วโมงไว้วางแผนเวลาทั้งวันของคุณทุกวัน ใช่ค่ะ มันอาจจะฟังดูแปลกๆ ที่จะวางแผนในการวางแผน

แต่การจินตนาการ

หรือนึกถึงงานที่คุณตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องสำเร็จภายในวันนี้ และจัดเรียงลำดับความสำคัญของงานแต่ละงานจะสามารถช่วยให้คุณเห็นภาพความสำเร็จและนึกภาพออกง่ายขึ้นว่าควรจะทำอย่างไร

2.เผื่อเวลาให้กับสิ่งรบกวนต่างๆบ้าง

ทุกครั้งที่ทำการนัดหมาย หรือลงตารางเวลางาน อย่าลืมเผื่อเวลาสำหรับสิ่งรบกวนต่างๆที่จะหยุดการทำงานของคุณชั่วคราวให้คุณทำงานได้ช้าลง

ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ดัง มีงานด่วน หรือ อีเมลที่ไม่คาดคิดอาจจะเข้ามามากมาย ถ้าคุณพยายามที่จะนัดหมายใครต่อใครแบบเวลาชนเวลาเป๊ะๆ โดยที่ไม่ได้มีเวลาเว้นว่างหรือเผื่อเวลาไว้บ้างเลย

แน่นอนเลยค่ะว่าคุณจะไม่สามารถทำตามทุกนัดหมายได้ทันเวลาค่ะ

3.ถ้าไม่จำเป็นต้องตอบตอนนี้ ก็ยังไม่ต้องตอบ

ยอมรับเถอะค่ะว่าคุณไม่สามารถรับโทรศัพท์ทุกสายหรือตอบกลับทุกอีเมลได้ในทันที หากคุณจำเป็นต้องทำโปรเจคหรืองานของคุณให้เสร็จจริงๆ ก็ปล่อยให้โทรศัพท์ดัง

หรือ ปล่อยให้ไลน์ แชต หรือ ข้อความต่างๆดังไปก่อน อย่าตกอยู่ในกับดักของการโต้ตอบกับทุกสิ่ง ถ้ามันไม่ได้จำเป็นต้องมีการตอบรับจากคุณตอนนี้ ก็ยังไม่ต้องสนใจมันหรอกค่ะ

4.กำหนดเวลาการทำงานให้กับตัวเอง

ลองกำหนดเวลาของการทำงานแต่ละชิ้นให้ตัวเองตลอดทั้งวัน เพื่อป้องกันไม่ให้งานของคุณลากยาวเกินไป

เช่น หากคุณกำหนดไว้ว่า คุณต้องส่งอีเมลจำนวน x อีเมลให้เสร็จภายในเวลา Y ชั่วโมง การที่คุณจะถูกดึงความสนใจไปที่งานอื่นๆที่ยังไม่จำเป็นก็จะลดน้อยลง

อีกไอเดียหนึ่งที่ดีคือ การตั้งกำหนดเวลาเหล่านี้ในปฏิทินของคุณค่ะ เพื่อช่วยในการติดตาม และทำให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วยนะคะ 

5.สรุปคร่าวๆทั้งก่อนและหลังการพูดคุย

ทุกครั้งก่อนการประชุม หรือการนัดหมาย หรือแม้แต่การคุยโทรศัพท์ ลองใช้เวลาสักนิดเพื่อคิดคร่าวๆ สรุปในใจของคุณก่อนว่าสิ่งที่คุณต้องการจากการประชุม หรือนัดหมายหรือการคุยในครั้งนี้คืออะไร

วิธีนี้จะทำให้คุณเห็นภาพความสำเร็จก่อนที่จะเริ่มต้นลงมือทำ หลังการประชุม การนัดหมาย หรือการคุยโทรศัพท์

ลองใช้เวลาอีกสักนิดในการสรุปว่าคุณได้อะไรจากการประชุม หรือการคุยครั้งนี้บ้าง

วิธีนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นในระหว่างการประชุม หรือการคุยของคุณ

แต่ยังจะช่วยให้คุณมีประสิทธิภาพในการพูดคุยมากขึ้น และท้ายที่สุด คุณก็จะได้รับสิ่งที่คุณต้องการได้เร็วขึ้นอีกด้วยค่ะ 

6.ทฤษฎี 80/20

“กฏแห่งทฤษฎีของพาเรโต้” ระบุว่า 80 เปอร์เซนต์ของความสำเร็จของคุณ มาจากกิจกรรม 20 เปอร์เซนต์ ในตลอดทั้งวันของคุณ พยายามลองนึกสิคะว่า

กิจกรรมที่นับเป็น 20 เปอร์เซนต์ของคุณมีอะไรบ้าง และพยายามค่อยๆแทรกกิจกรรมเหล่านั้นเข้าไปในแต่ละวันของคุณมากขึ้น และค่อยๆเพิ่มเวลาให้กับมันมากขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ

7.รู้จักแบ่งงานให้คนอื่นบ้าง

บางคนอาจจะรู้สึกอึดอัด หรือ ไม่ค่อยถนัดในการมอบหมายงานต่างๆที่อยู่ในมือไปให้ลูกน้องหรือคนอื่นๆ

สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งดีในระยะยาวนะคะ สิ่งที่ดีกว่าคือ การค่อยๆเรียนรู้ที่จะแบ่งงาน โดยเริ่มจากงานที่ไม่ค่อยสำคัญมากนักไปให้คนอื่นได้ทำบ้าง

หรือจ้างคนอื่นที่เชี่ยวชาญกว่ามาทำ ในกรณีที่สามารถทำได้ดีกว่าค่ะ

8.ทำงานที่คล้ายๆกันในทีเดียว

รวบรวมงานที่คล้ายๆกันมาทำพร้อมกันในทีเดียว เช่น หากคุณต้องโทรศัพท์หาคนหลายๆคนในวันนั้น

หาเวลาสักครู่แยกตัวออกมาจากทุกๆงาน และคุยโทรศัพท์ให้เสร็จในทีเดียวไปเลยค่ะ

9.เด็ดขาดกับเวลาในการประชุม

คุณต้องเด็ดขาดกับการประชุมค่ะ โดยคุณควรจะกำหนดวาระ หัวข้อการประชุมและกำหนดเวลาของแต่ละหัวข้อ

อย่าปล่อยให้ผู้เข้าร่วมประชุมลากยาวหรือนอกเรื่องมากจนเกินไป มีสถิติว่าโดยเฉลี่ยแล้ว พนักงานออฟฟิศใช้เวลาอยู่ในห้องประชุมถึง 16 ชั่วโมงในหนึ่งสัปดาห์

ซึ่งโดยประมาณ 4 ชั่วโมงใน 16 ชั่วโมงที่ว่านี้ ถือเป็นเวลาที่สิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้น เราควรจะเอาเวลาที่สิ้นเปลืองนั้น ไปทำงานอย่างอื่นกันดีกว่าค่ะ

10.เมื่อต้องโฟกัส ก็ต้องโฟกัส

กำจัดสิ่งรบกวนสมาธิเมื่อคุณต้องการที่จะโฟกัสกับงานของคุณ ซึ่งอาจจะหมายถึง การไปนั่งทำงานในห้องที่เงียบสงบ

หรือใส่หูฟังเพื่อป้องกันเสียงรบกวนในออฟฟิศ พยายามอย่าเปิดเว็บไซต์สื่อสังคมต่างๆบนเบราเซอร์ของคุณไว้นะคะ

นอกซะจากเว็บเหล่านั้นจะมีความจำเป็นต่องานของคุณค่ะ

ในขณะที่คุณฝึกฝนศิลปะในการควบคุมเวลา มันคือการฝึกการควบคุมตนเองค่ะ และท้ายที่สุด คุณก็จะพบว่า เมื่อคุณฝึกตัวเองได้ คุณก็สามารถควบคุมส่วนอื่นๆในชีวิตของคุณให้มันเป็นไปในแบบที่คุณต้องการได้เฉกเช่นเดียวกัน

และเมื่อคุณถามตัวเองว่า “ใครเป็นคนควบคุมชีวิตของฉันกันนะ?” คุณจะรู้ว่าคำตอบนั้นคืออะไร ใช่มั้ยล่ะคะ

ให้โอกาสตัวเองเรียกชีวิตที่กระฉับกระเฉงของคุณคืนกลับมาได้แล้ว…ได้เวลาแล้วค่ะ!

ที่มาบทความ   http://talentonline.com/

 

5 ผู้นำทางความคิด ที่มีคนติดตามมากที่สุดบนโลกโซเชียล

5-leader-the-most-follower

“เราจะเป็นอะไรในอนาคต ขึ้นอยู่กับเพื่อนที่เราคบ หนังสือที่เราอ่าน” วลีนี้มีมานานแล้วครับ และยังคงเป็นจริงต่อไปทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าเราจะเป็นใคร สังคมที่เราอยู่ สื่อที่เรารับ มีผลต่อชีวิตเราอย่างชัดเจน

ดังนั้นถ้าอยากทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น เราก็ต้องรับสื่อดีๆ ติดตามความคิดของคนสำเร็จในแบบที่เราต้องการจะเป็น แต่เพื่อนๆ คงมีคำถามว่า แล้วถ้าอยากจะเริ่มติดตามความคิดดีๆ จะหาได้จากที่ไหนกันล่ะ

วันนี้ Learning Hub เลยขอเสนอ “5 นักคิด ที่มีคนติดตามมากที่สุดบนโลกโซเชียล” เผื่อว่าคุณจะมีพลังฮึดอยากลุกมาเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเปลี่ยนโลกเหมือนนักคิด 5 ท่านนี้ มาเริ่มกันเลยครับ

1. Mark Zuckerberg – มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก

“Some people dream of success… while others wake up and work hard at it.”

“คนบางคนได้แต่ฝันที่จะประสบความสำเร็จ ขณะที่คนอื่นลุกขึ้นมาทำงานหนักเพื่อความฝันนั้น”

ชื่อนี้ในยุคนี้คงยากที่จะมีคนไม่รู้จัก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ facebook เว็บไซต์เครือข่ายสังคม (Social Network) ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก  สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นคือ เขาเป็นมหาเศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดคนหนึ่งของโลก (ปัจจุบันอายุ 31 ปี) และทำให้การใช้ Social Network แพร่กระจายไปทั่วโลก

ส่งผลให้วิถีชีวิตของคนในยุคนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงครับ แค่นี้ ก็รู้สึกถึงความโดดเด่นของผู้ชายคนนี้แล้วใช่ไหมครับ แต่ยังไม่พอครับ… สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มผู้นี้มีคนติดตามทั่วโลก คือ ปณิธานอันแรงกล้าที่จะทำให้โลกนี้เชื่อมโยงกันและเปิดเผยกันมากที่สุด

มาร์ค มีวิสัยทัศน์เพื่อสร้างผลกระทบที่ดีต่อโลก โดยไม่ได้สนใจความมั่งคั่งของตัวเองเลย (เงินเป็นเพียงของแถมในชีวิตเขา) ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่มาร์คทำจริงครับ ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตที่พอเพียง น้อยครั้งนักที่เราจะเห็นชีวิตหรูหราของชายผู้นี้ ทั้งที่ติดอันดับต้นๆ ของมหาเศรษฐีโลก

เขาพูดเสมอว่า “ผมไม่ได้ทำ Facebook เพื่อเงิน แต่เงินเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้น”

นอกจากความคิดดีๆ แบบนี้ หนุ่มคนนี้ยังเป็นคนใจบุญเอามากๆ เพราะมาร์คตัดสินใจบริจาคหุ้น 99% ของหุ้นที่เขามีอยู่ใน facebook ให้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่เขาก่อตั้งขึ้นร่วมกับภรรยาครับ องค์กรที่ว่านี้จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือและพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ในด้านต่างๆ

เช่น สุขภาพ การศึกษา งานวิจัยและพลังงาน ทั้งหมดที่เขาทำก็เพื่อทำให้โลกนี้ดีขึ้น เราจึงไม่แปลกใจเลยที่ มาร์ค จะถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกโดยเขามีผู้ติดตามเขาผ่าน facebook กว่า 53 ล้านคน

ซึ่งนอกเหนือจากข่าว และบทความต่างๆ เกี่ยวกับเขา เราสามารถติดตามความคิดของมาร์คได้ใน facebook ส่วนตัวของเขาได้เลยที่ https://www.facebook.com/zuck ลองติดตามกันดูนะครับ

2. Oprah Winfrey – โอปราห์ วินฟรีย์

“Be thankful for what you have; you’ll end up having more. If you concentrate on what you don’t have, you will never, ever have enough.”

“จงมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่คุณมี แล้วคุณจะได้รับสิ่งนั้นเพิ่มมากขึ้น  แต่ถ้าคุณหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่คุณไม่มี คุณจะไม่มีวันได้รับสิ่งไหนพอเลย”

หากพูดถึงหญิงเก่งระดับโลก เชื่อว่าหลายคนต้องนึกถึง โอปราห์ วินฟรีย์ ด้วยแน่นอนครับ เธอเป็นพิธีกรชื่อดัง ของรายการ “The Oprah Winfrey Show” ซึ่งเป็นทอล์คโชว์ที่มีเรทติ้งการชมสูงสุดในประวัติศาสตร์   และเป็นหญิงแอฟริกันอเมริกัน ที่รวยที่สุดในศตวรรษที่ 20   

มีผู้ติดตามเธอผ่าน twitter กว่า 31 ล้านคนและผ่าน facebook page กว่า 11 ล้านคน แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้มีคนติดตามเธอทั่วโลกขนาดนี้ ส่วนหนึ่งคือความเป็นเซเลปของเธอ แต่ปัจจัยที่สำคัญกว่า นั่นคือความคิดและชีวิตของเธอครับ

ผู้หญิงคนนี้เติบโตมาด้วยวัยเด็กที่โหดร้าย เธอถูกเหยียดผิว โดนคำดูหมิ่นดูแคลนจากคนอื่นและยังถูกข่มขืนถึง 2 ครั้งมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แต่เธอก็สามารถเปลี่ยนความเจ็บปวดในอดีต ให้กลายเป็นการเห็นคุณค่าในตัวเองอย่างแรงกล้า ลุกขึ้นมาทำชีวิตตัวเองให้ดีที่สุด

จนกลายเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลก ทั้งหมดนี้ก็ด้วยจิตใจที่แกร่ง ทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ จนตกผลึกมาเป็นความคิดดีๆ ให้ผู้คนทั่วโลกได้เรียนรู้ครับ  เช่น

“ไม่ว่าใครจะทำอะไรคุณไว้ในอดีต มันไม่มีอำนาจในปัจจุบันเลย คุณนั่นแหละ ที่ให้อำนาจมัน”

“รักตนเอง และเรียนรู้ที่จะเผยแผ่ความรักนั้น ไปยังคนอื่นๆ”

ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้รายการของเธอเน้นให้กำลังใจผู้คนและชักจูงให้ผู้ชมดำเนินชีวิตในแง่บวก ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคง่ายๆ และยังใช้อำนาจของความเป็นสื่อมวลชนผลักดันสิ่งดีๆสู่สังคมอีกด้วย

นอกจากนี้ เธอยังทำการกุศลมากมาย ตั้งมูลนิธิเพื่อเด็กและสตรีทั่วโลก มูลนิธิช่วยเหลือผู้ประสบภัยและแก้ปัญหาสังคม จนนิตยสารฟอร์บส์ ยกย่องให้เธอเป็น 1 ใน 3 คนบันเทิง ที่บริจาคเงินเพื่อการกุศลมากที่สุดในโลก

ใครอยากติดตามความคิดของเธอ นอกเหนือจากติดตามรายการของเธอ ซึ่งแทรกแนวคิดดีๆ อยู่ตลอดแล้ว เราก็สามารถติดตามเธอ ผ่านข่าว บทความต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไป หรือโซเชียลมีเดียที่เธอใช้อยู่คือ Facebook page: https://www.facebook.com/oprahwinfrey หรือ Twitter: https://www.facebook.com/oprahwinfrey  ครับ

3. Tenzin Gyatso – องค์ทะไลลามะ (The 14th Dalai Lama)

“Happiness is not something ready made.  It comes from your own actions.”

“ความสุข ไม่ใช่ของสำเร็จรูป แต่มันเกิดจากการกระทำของคุณเอง” 

ท่านผู้นี้ คือ องค์ทะไลลามะ องค์ที่ 14 แห่งทิเบต ซึ่งถือเป็นตำแหน่งผู้นำสูงสุดของชาวทิเบต ถ้าใครชอบอ่านแง่คิด คำคมหรือปรัชญาชีวิต เชื่อว่าคำพูดของท่าน ต้องเคยผ่านตาเราอย่างแน่นอนครับ เพราะในโลกโซเชียลมีการยกคำพูดหรือข้อเขียนของท่าน มาแชร์ต่อกันมากมาย 

ท่านมีผู้ติดตามผ่านทาง twitter กว่า 12 ล้านคน และผ่าน Facebook page กว่า 13 ล้านคน แค่นั้นเอง !!! และสิ่งที่ทำให้ท่านเป็นที่ติดตามขนาดนี้ เพราะแนวคิดและปรัชญาที่ท่านได้เผยแพร่ออกไปนั้น เป็นประโยชน์ต่อคนทุกคนบนโลก โดยท่านมักกล่าวเสมอว่า “คนเราอยากได้ความสุข แต่กลับให้คุณค่ามันเป็นสิ่งสุดท้าย เพราะมัวแต่หาเงินจนลืมดูแล ลืมใส่ใจตัวเอง ไม่เคยคิดว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่คนเราต้องการจริงๆ คืออะไร สุดท้ายก็เลยไม่มีความสุข”

นอกจากนี้งานของท่าน ยังช่วยสร้างประโยชน์ต่อโลกนี้มากมาย จนทำให้ท่านได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ในปี ค.ศ. 1989 และได้รับการยกย่องเชิดชู ว่าเป็น “ผู้นำทางจิตวิญญาณคนสำคัญของโลก” อีกด้วยครับ

ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ประกอบอาชีพไหน ก็สามารถนำแนวคิดของท่านไปใช้ในชีวิตได้อย่างแน่นอน โดยถ้าใครอยากได้ปรัชญาชีวิตแบบถึงแก่น ตรงไปตรงมา นำไปใช้ได้ทันที สามารถติดตามแนวคิดของท่านผ่านทาง Twitter: https://twitter.com/dalailama หรือ Facebook page: https://www.facebook.com/DalaiLama ได้เลยครับ

4. Warren Buffet  – วอร์เรน บัฟเฟตต์

“If you buy things you do not need, soon you will have to sell things you need.”

“ถ้าคุณซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็น สักวันหนึ่งคุณจะต้องขายสิ่งที่จำเป็น”

หากพูดถึงนักลงทุนที่ได้ชื่อว่า ประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลก ต้องมีชื่อของคนคนนี้อยู่แน่ๆ ครับ

วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ ปู่บัฟเฟตต์ ที่วงการนักลงทุนชอบเรียกกัน คือชายอายุ 85 ปี ผู้ได้รับฉายาว่า “เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา” และเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐี ที่ได้ชื่อว่า “รวยที่สุดในโลก”

สิ่งที่น่าสนใจคือ บัฟเฟตต์ เป็นคนไม่ค่อยออกสื่อ ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ ไม่มี facebook page ของตัวเอง และเพิ่งจะเปิดบัญชี twitter ของตัวเองเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เอง แต่กลับมีผู้ติดตามทั่วโลกโซเชียล โดยคำพูดทุกคำพูดของเขา ไม่ว่าจะพูดอะไรออกมา คนทั่วโลกจะสนใจและนำไปตีความอย่างลึกซึ้งอยู่เสมอครับ

แน่นอนว่าที่เขามีคนติดตามขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เพราะความร่ำรวยอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เพราะเป็นคนยึดมั่นในปรัชญาการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ที่ต้องใช้ความอดทนสูงมากและยังมีปรัชญาชีวิตที่น่าสนใจ เช่น

“เราใช้เวลาสร้างชื่อเสียงถึง 20 ปี แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีก็ทำลายมันได้”

“ชีวิตเรา ต้องการแค่การทำเรื่องไม่กี่เรื่องให้ถูกต้อง”

เห็นไหมครับ ว่าไม่ใช่แค่เรื่องลงทุนนะ เราสามารถติดตามแนวคิดอื่นของเขา เพื่อนำไปใช้ในชีวิตตัวเองได้มากมาย โดยเฉพาะความเป็นอยู่อย่างประหยัด พอเพียง

ที่แม้เขาจะรวยล้นฟ้า แต่กลับใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะแบบสุดๆครับ เขายังขับรถเก่าๆ และอยู่บ้านหลังเดิมมานาน ไม่ยึดติดความหรูหรา มีชีวิตที่เรียบง่าย แต่ไร้กังวล และมีความสุขมาก นอกจากนี้เขายังบริจาคทรัพย์สินเกิน 85% และบริจาคมากขึ้นเรื่อยๆ ในมูลนิธิของบิล เกตส์ เพื่อช่วยเหลือโลกใบนี้อีกต่างหาก

เห็นแบบนี้แล้ว หลายคนคงอยากติดตามความคิดของบัฟเฟตต์ เราแนะนำว่าให้ติดตามผ่านข่าว หรือบทความต่างประเทศเอาครับ เพราะ Twitter ของเขา (https://twitter.com/warrenbuffett) ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ ลองหาอ่านกันดูนะครับ

5. Jack Ma – แจ๊ค หม่า

“Don’t Complain. You can find opportunities.”

“จงอย่าบ่น โอกาสมีอยู่เสมอถ้าคุณมองหา”

วินาทีนี้ โลกธุรกิจออนไลน์ต้องพูดถึงชายคนหนึ่ง เขาคือ แจ๊ค หม่า มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของจีนนั่นเอง ผู้ก่อตั้ง Alibaba Group กลุ่มเว็บไซต์ e-commerce ที่ใหญ่ที่สุดของจีน

ชายผู้นี้มีคนติดตามความคิดทั่วโลก ด้วยเรื่องราวชีวิตที่พลิกสุดขั้ว จากครูสอนภาษาอังกฤษ กลายเป็นนักธุรกิจผู้ครองอาณาจักร e-commerce ระดับโลก ทำให้ความคิด ปรัชญาความสำเร็จของเขา คือสิ่งที่ตกผลึกมาจากประสบการณ์จริงๆ มีความตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม

ทุกครั้งที่พูด จึงมีคนทั่วโลกฟังเขาเสมอ และสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจนะครับ แต่เป็นปรัชญาชีวิตแบบถึงลูกถึงคนเลยทีเดียว สไตล์ของเขาคือ คมคาย ไม่ต้องตีความ เอาไปใช้ได้ทันที โดยตัวอย่างแนวคิดดีๆจากแจ๊ค หม่า เช่น

“คุณไม่สามารถที่จะทำให้คนทุกคนนั้นคิดเหมือนกันได้หรอก 

แต่คุณสามารถที่จะทำให้ทุกคนก้าวไปทางเดียวกันได้ด้วยเป้าหมายเดียวกัน”

“โลกนี้จำไม่ได้หรอก ว่าคุณพูดอะไรไปบ้าง แต่จะไม่ลืมสิ่งที่คุณทำ”

หากใครจะติดตามความคิดของมหาเศรษฐี e-commerce ท่านนี้เห็นทีต้องหาอ่านตามบทความและหนังสือที่พูดถึงเขาครับ เพราะเขาไม่มีบัญชี twitter และ facebook อย่างเป็นทางการเลย (มีแต่ที่คนอื่นพูดถึง) ลองติดตามกันดูนะครับ

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวและความน่าสนใจของเหล่านักคิด ที่แม้จะมาจากต่างสาขาอาชีพ มีเรื่องราวชีวิตที่ไม่เหมือนกัน แต่เราทุกคนสามารถเรียนรู้จากนักคิดเหล่านี้ได้ครับ เพียงเปลี่ยนมุมมองความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนแล้วครับ

เรียบเรียงโดย Pump – Learning Hub Team

5 ตัวช่วย ที่ทำให้การประชุมไม่เป็นเรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป

5-way-never-boring-meeting

          ใครเบื่อการประชุมบ้างคะ Learning Hub เชื่อว่าคงมีหลายคนยกมือขึ้นสุดแขนเลยทีเดียว แต่ยังไงชีวิตการทำงานเราคงหนีไม่พ้นต้องประชุมใช่ไหมคะ คงไม่ดีแน่ถ้าเรานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในห้องประชุมครึ่งค่อนวันอย่างไม่มีความสุข เพราะเท่ากับว่าเราปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเศร้าหมอง

          ยิ่งไปกว่านั้นจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเราย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แต่ไม่ต้องกลุ้มใจไปค่ะ วันนี้ Learning Hub มีเทคนิคดีๆ ที่จะทำให้การประชุมไม่น่าเบื่ออีกต่อไปมาฝากกันค่ะ

1) ประเด็นต้องชัดเจน

“การกำหนดวาระประชุมที่แน่นอนทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมไม่หลงทาง”

          คุณเคยเข้าประชุมแล้วออกมาแบบงงๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้างไหมคะ พอรู้ตัวอีกทีเวลาก็หมดไปกับการนั่งเหม่อลอยมองคนปิ้งสไลด์ อ่านพรีเซนต์ ฟังคนเถียงกันในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม หากใครเคยประสบพบเจอปัญหาดังกล่าวแสดงว่าการประชุมไม่ได้ผล และเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

          แต่ปัญหานี้มีทางแก้ค่ะ เพียงแค่คุณตอบคำถามให้ได้ว่า “ทำไมจึงมีการจัดประชุมขึ้น” “เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์การประชุมคืออะไร” ถ้าคุณตอบได้ การประชุมของคุณจะกระชับ ตรงประเด็น และได้ผลจริงค่ะ

          แต่หากคุณเอะอะก็นัดประชุมทุกเรื่องโดยไม่คัดกรองหัวข้อให้ดี ไม่วางแผนอย่างเป็นลำดับขั้น การประชุมก็จะเต็มไปด้วยความสับสนและนั่นทำให้คุณเสียเวลาประชุม แถมยังต้องกลับไปนั่งทำงานแบบไร้ทิศทางด้วย

2) ผู้เข้าร่วมประชุมต้องแชร์

“การแชร์ความเห็นทำให้การประชุมมีสีสัน และเกิดคุณค่า”

          คุณอาจเคยชินกับบรรยากาศการเข้าประชุมที่มีแต่คนหน้าเดิมๆ พูดออกความคิดเห็น ส่วนที่เหลือก็นั่งก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์บ้าง แสร้งทำเป็นจดบันทึกการประชุมบ้าง ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาบ้าง

ภาพแบบนี้ทำให้การประชุมไร้ชีวิตชีวาและผิดวัตถุประสงค์ของการประชุมค่ะ เพราะความสำคัญของการประชุมคือ เป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจแผนงานและปฏิบัติงานอย่างมีเป้าหมายเดียวกัน

          ดังนั้นการประชุมที่ดีต้องมีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง ประธานควรดำเนินการประชุมอย่างกระตือรือร้น ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่พูดระบายอารมณ์ของตนเองในที่ประชุม และควรเปิดใจรับฟังผู้เข้าร่วมประชุมโดยปราศจากอคติ

          ส่วนผู้เข้าร่วมประชุมก็ไม่ควรนั่งฟังเฉยๆ โดยไม่แสดงความคิดเห็น ไม่แชร์ไอเดีย หรือไม่ร่วมกิจกรรมใดๆ จงคิดว่าการได้เข้าประชุมคือ โอกาสดีที่ได้นั่งคุยกับเพื่อน ได้เห็นความคืบหน้าของงาน เพื่อที่ทีมจะได้มองเห็นภาพความสำเร็จร่วมกัน และช่วยกันสร้างสรรค์งานให้บรรลุเป้าหมายต่อไป

3) การนำเสนอต้องน่าสนใจ

“การนำเสนอที่น่าสนใจช่วยให้การประชุมสัมฤทธิ์ผล”

          เมื่อคุณลองหลับตาและนึกถึงภาพ Presentation ของการประชุมที่บริษัท เชื่อแน่ว่าคนส่วนใหญ่จะเห็นภาพ Presentation ที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือที่ชวนให้ง่วงนอน มิหนำซ้ำผู้พูดก็ยังนำเสนอข้อมูลด้วยน้ำเสียงโมโนโทน ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณจะสัปหงก และเผลอหลับคาห้องประชุมบ่อยๆ

          แต่รู้ไหมว่าตอนนี้หมดยุคที่ผู้คนจะสื่อสารกันด้วยวิธีการแบบเดิมๆ แล้วค่ะ โลกหมุนเร็วกว่าที่คิด การใช้ข้อมูลจากตัวหนังสือประกอบการนำเสนอเป็นสิ่งที่แสนน่าเบื่อและทำให้หัวใจห่อเหี่ยว

          ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอให้ทันสมัย และดึงดูดความสนใจให้มากขึ้น เช่น ใช้ Infographic, Video Clip หรือ Multimedia เริ่ดๆ มาประกอบการนำเสนอในที่ประชุมลองทำดูนะคะ แล้วการประชุมของคุณจะ Work สุดๆ ไปเลยค่ะ

4) ความถี่ประชุมต้องเหมาะสม

“การปรับความถี่ในการประชุมมีผลต่อประสิทธิภาพของผู้ร่วมประชุม”

          ปัญหาที่หนุ่มสาวออฟฟิศต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันก็คือ ประชุมทั้งวันจนแทบไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น บางคนพูดติดตลกว่า “มีอาชีพรับจ้างประชุม” อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่าการประชุมที่ดีต้องมีวัตถุประสงค์ชัดเจน ไม่ใช่นึกอยากจะเรียกประชุมเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะหากประชุมพร่ำเพรื่อ ผู้เข้าร่วมจะไม่เห็นความสำคัญและพาลไม่อยากเข้าประชุมได้

          นอกจากนี้ ควรมีคนคอยควบคุมเวลาไม่ให้การประชุมยืดยาวเกินไป เพราะสมาธิของคนเรามีจำกัด การประชุมเลยเวลาอาจทำให้ผู้เข้าประชุมไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากเหนื่อยล้าและมึนงงกับชั่วโมงประชุมที่ยาวนาน

5) ประชุมเสร็จต้องสรุปและติดตามผล

“การจดรายงานการประชุมช่วยเตือนความจำ และช่วยผลักดันงานให้สำเร็จ”

          เทคนิคอีก 1 ข้อที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ต้องสรุปและติดตามผลการประชุมค่ะ เพราะการเขียนสรุปการประชุมจะทำให้ผู้เข้าร่วมทราบว่า ผลของการประชุมคืออะไร ใครต้องรับผิดชอบดำเนินการเรื่องใดต่อ

          ลองคิดดูนะคะว่าหากมีประเด็นถกเถียง โต้แย้ง หรือแชร์ไอเดียที่เป็นประโยชน์ในที่ประชุม แต่ไม่มีใครจดบันทึกเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็จะลืม และไม่ได้นำสิ่งที่ประชุมมาปฏิบัติต่อให้เป็นรูปธรรม ผลคือ การประชุมทั้งหมดสูญเปล่า

ในทางกลับกันหากมีการจดบันทึกข้อคิดเห็นสำคัญหรือมติที่ประชุมไว้ ทุกคนก็จะมีหลักฐานอ้างอิง สามารถยึดถือเป็นแนวปฏิบัติในการทำงานต่อไปได้ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้การทำงานราบรื่น และมีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ

          เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับเทคนิคการจัดประชุมที่ Learning Hub นำมาเสนอในวันนี้ หวังว่าคงจะถูกใจกันนะคะแต่ถูกใจอย่างเดียวไม่พอนะคะ ต้องนำไปปฏิบัติด้วยเพื่อให้การประชุมเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงค่ะ

เรียบเรียงโดย Nadda – Learning Hub Team

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

1) http://www.nuttaputch.com/5-unproductive-meeting/

2) http://incquity.com/articles/make-meetings-fun

3) http://th.jobsdb.com/th-th/articles

6 เทคนิคสร้างความน่าเชื่อถือ สำหรับนักศึกษาจบใหม่

6-tips-for-young-professionals-gain-respect-work

สำหรับน้องใหม่ที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยและกำลังก้าวเท้าสู่วัยทำงานคุณอาจพบเจอกับแววตาของเพื่อนร่วมงานที่มองว่าคุณเป็นเด็กกะโปโลไม่มีความรู้ความสามารถที่จะทำงานได้ดีเท่า ๆ กับรุ่นพี่ บางคนสบประมาทว่าคุณทำอะไรไม่เป็น บางคนถามถึงอายุคุณ เหตุการณ์เช่นนี้ช่างทรมานใจยิ่งนัก เพราะมันทำให้คุณรู้สึกอาย ประหม่า และไม่สามารถแสดงผลงานได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เหล่านี้จะค่อยๆดีขึ้นเมื่อคุณอายุมากขึ้น แต่หากคุณต้องการทางลัด บทความนี้แนะนำเทคนิค 6 ข้อที่จะทำให้คุณสามารถสร้างความน่าเชื่อถือในที่ทำงานได้ไม่ยาก

1) แต่งกายให้ภูมิฐาน

หากคุณต้องการดูเป็นมืออาชีพ ให้คุณแต่งตัวอย่างมืออาชีพ เริ่มแรกคุณอาจมองซ้ายแลขวาไปยังรุ่นพี่ในบริษัทที่คุณเห็นว่าเขาหรือเธอเป็นคนเก่ง แล้วลองประยุกต์การแต่งกายของพวกเขาให้เข้ากับสไตล์การแต่งกายของคุณ นอกจากนี้ คุณอาจลองเปลี่ยนแปลงสิ่งเล็กๆน้อยๆที่สามารถทำให้คุณดูโตขึ้นหรือเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ดังนี้ สำหรับผู้หญิง คุณอาจทำทรงผมรวบตึงซึ่งส่งผลให้คุณมีบุคลิกภาพที่ทะมัดมะแมงขึ้น คุณควรเลือกใส่รองเท้าส้นสูง หรือทาลิปสติกสีสุภาพที่ช่วยให้คุณดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สำหรับผู้ชาย คุณควรทำทรงผมที่สุภาพ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าโทนสีสุภาพ และไม่สวมนาฬิกาหรือเครื่องประดับแฟชั่นจนเกินไปอย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างที่เป็นทางการ หรือดูโตเกินกว่าวัย ทางที่ดีก็คือ จงเลือกทำเพียงบางอย่างโดยที่ไม่ลืมความเป็นตัวเอง

2) ฝึกฝนอย่างหนัก

หนทางที่จะก้าวไปสู่โลกแห่งความเป็นมืออาชีพอาจเต็มไปด้วยขวากหนามยิ่งเมื่อคุณพบเจอกับคนที่มีชั่วโมงบินสูงกว่าแน่นอนว่าคุณต้องเกิดความกลัว ประหม่า หรือไม่มั่นใจในตนเอง ทางเดียวที่คุณจะเอาชนะปัญหานี้ได้ก็คือคุณต้องฝึกฝนอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสื่อสาร หากคุณยังเด็ก และไม่รู้ว่าจะพูดโต้ตอบคู่สนทนา หรือแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ อย่างไร ให้คุณลองใช้บทสนทนาสมมุติ สิ่งนี้คล้ายๆกับการฝึกท่องจำบทสนทนาต้นแบบในหนังสือเรียน และสุดท้ายคุณก็จะยึดถือมันเป็นต้นแบบในชีวิตจริง การทำเช่นนี้จะทำให้คุณมีความกล้า และมั่นใจมากยิ่งขึ้น ดังนั้น หากคุณยังสื่อสารไม่คล่องแคล่ว หรือยังไม่สามารถแสดงออกทางความคิดได้เต็มที่ จงหาหนังสือที่แนะนำเรื่องการพูด ใช้มันเป็นแบบอย่าง และฝึกฝนาอย่างสม่ำเสมอ เพราะการฝึกฝนจะเป็นบันไดที่นำพาคุณไปสู่ความสมบูรณ์แบบ

3) จงเชื่อมั่นในตัวเอง

จุดเริ่มต้นสำคัญที่จะทำให้คุณสามารถสร้างความน่าเชื่อถือในที่ทำงานได้ก็คือ ความเชื่อมั่นในตนเอง คุณอาจลองจินตนาการสร้างภาพว่าตนเองเป็นบุคคลที่ทุกคนยอมรับและไว้วางใจเมื่อคุณมีความเชื่อมั่นในตนเองแล้ว คุณก็จะมีพลังในการสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ต่อไป และเมื่อคุณสามารถสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนรอบข้าง เมื่อนั้นจะเป็นการเปิดประตูให้ผู้อื่นมองเห็นทักษะความสามารถที่แท้จริงในตัวคุณ และพวกเขาจะลืมเรื่องอายุของคุณไปเลย

4) รู้จักตั้งคำถาม

ผู้ที่มีความเป็นผู้ใหญ่และความเป็นมืออาชีพคือ ผู้ที่รู้จักการตั้งคำถาม การตั้งคำถามไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณดูเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะ แต่มันยังเป็นการแสดงความสนใจต่อคู่สนทนา นอกจากนี้ มันยังเป็นโอกาสที่คุณจะได้รับข้อมูลอย่างละเอียดอีกด้วย แต่จงจำไว้ว่า การตั้งคำถามเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง คุณต้องรู้จักตั้งคำถามอย่างเหมาะสมและถูกกาลเทศะยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการทราบข้อมูลบางอย่างจากเจ้านาย จงดูจังหวะที่เจ้านายไม่ยุ่งมากจนเกินไป และควรเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การซักถามราบรื่น และไม่ทำให้เจ้านายของคุณเสียเวลา

5) บริหารจัดการเวลาอย่างชาญฉลาด

หนึ่งในเทคนิคที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวคุณก็คือ การบริหารจัดการเวลาในที่ทำงาน หากมีงานชิ้นหนึ่งที่เจ้านายมอบหมายให้คุณและเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ทำเหมือน ๆ กัน แต่เมื่อถึงกำหนดส่ง ต่างคนก็ต่างส่งงานนั้น ๆ ในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกัน หากเป็นเช่นนี้เจ้านายก็จะไม่เห็นความแตกต่าง ในทางกลับกัน หากคุณใช้เวลาทำงานชิ้นนั้นรวดเร็วกว่าคนอื่น หรือคุณทำงานชิ้นนั้นได้ดีและละเอียดกว่าคนอื่น นั่นแสดงว่าคุณสามารถใช้เวลาในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ คุณอาจทุ่มเททำงานให้หนักขึ้นหากมันจะทำให้คุณส่งงานได้เร็วขึ้น หรือคุณอาจเตรียมตัวก่อนการประชุมสักเล็กน้อยเพื่อให้การประชุมราบรื่น อีกทั้ง คุณอาจทำงานอย่างกระตือรือร้นโดยโต้ตอบอีเมล์หรือรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เป็นต้น พฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้สามารถทำให้เจ้านายและเพื่อนร่วมงานของคุณยอมรับในการทำงานแบบมืออาชีพ และนั่นจะทำให้คุณได้รับความน่าเชื่อถือจากคนรอบข้างได้ไม่ยาก

6) ใช้ความอ่อนเยาว์ให้เป็นประโยชน์

คุณรู้หรือไม่ว่าการที่คุณอายุน้อยก็มีข้อดี เพราะคุณจะมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีไอเดียแปลกใหม่กว่าคนที่ทำงานมาเป็นระยะเวลานาน ดังนั้น เมื่อคุณสามารถเสนอความคิดใหม่ ๆ ที่เพิ่งเรียนรู้มาจากรั้วมหาวิทยาลัย เจ้านายและเพื่อนร่วมงานก็จะเห็นคุณค่าในตัวคุณ และสิ่งนี้ส่งผลดีต่อบริษัทอย่างมาก เพราะบริษัทต้องการการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น อย่ารอช้าที่จะเสนอไอเดียเจ๋ง ๆ ให้กับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานของคุณ รับรองว่าพวกเขาจะไม่สนใจอายุของคุณอีกเลย

การเป็นมืออาชีพในขณะที่อายุยังน้อยนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก แต่หากคุณสามารถผ่านพ้นช่วงเวลานั้นไปได้ มันจะกลายเป็นสิ่งล้ำค่าแน่นอน ในช่วงแรกมันอาจเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่จงจำให้ขึ้นใจว่า แม้ว่าตอนนี้เรายังเด็กนัก แต่สักวันหนึ่งเราจะต้องเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนบริษัทให้ได้!

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://www.lifehack.org/335602/6-tips-for-young-professionals-gain-respect-work)

3 วิธีขอเจ้านายย้ายแผนกอย่างราบรื่น

การทำงานในองค์กรใหญ่ต้องมีบ้างที่เราจะรู้สึกเบื่องาน รู้สึกว่างานไม่ท้าทายและไม่ตอบโจทย์ ไม่ตอบสนองเป้าหมายในชีวิตจนเราอยากที่จะเปลี่ยนงาน

ถ้าคุณกำลังมีความรู้สึกนี้และอยากลองทำงานแผนกอื่นที่คิดว่ามันจะ…

– ต่อยอดในสายอาชีพตัวเอง 

– ทำให้ตัวเองรู้รอบด้านขึ้นและเก่งขึ้น

ซึ่งการทำเช่นนั้นอาจเป็นการย้ายแผนกหรือย้ายสายงานภายในบริษัทเดิมก็ได้ แต่การบอกเจ้านายตรง ๆ ว่าขอไปอยู่แผนกอื่นก็อาจทำให้ทีมและเจ้านายคนปัจจุบันดูไม่ดีในสายตาคนนอก และคนในทีมอาจมองว่าคุณเห็นแก่ตัวที่ทิ้งทีมไปในช่วงนี้

ฉะนั้นก่อนที่คุณจะเริ่มปฎิบัติการเข้าไปคุยกับเจ้านาย คุณควรเรียนรู้ 3 วิธีต่อไปนี้เพื่อช่วยให้ทุกการเคลื่อนไหวของคุณเป็นไปอย่างราบเรียบและไร้ปัญหามากที่สุด

=====

1. โฟกัสที่งานปัจจุบัน

ทุกครั้งที่คุณคิดจะย้ายไปอยู่ทีมใหม่หรืออยู่แผนกอื่น คุณควรจะต้องทำงานที่คุณรับผิดชอบให้ดีที่สุดเสียก่อน

การที่คุณทำงานในตำแหน่งเดิมของคุณได้ดีอยู่แล้ว จะทำให้คุณมีชื่อเสียงที่ดี  ได้รับเสียงชื่นชมทั้งในและนอกแผนก ทำให้คนต่างแผนกมองคุณในแง่บวกและอยากร่วมงานกับคุณมากขึ้น

ไม่ใช่เพียงแค่ทำงานได้ดีเท่านั้น คุณต้องสร้างผลงานให้โดดเด่นจนทั้งตัวคุณและเจ้านายของคุณได้หน้า หรือได้รับความชื่นชมจากทีม Management

=====

สิ่งนี้จะทำให้ผู้บริหารหันมาสนใจคุณมากขึ้น คุณอาจนำเสนอโปรเจ็คใหม่ที่คุณริเริ่มขึ้นมาเองก็ได้  ไม่ว่าจะเป็นโครงการที่ทำให้บริษัทประหยัดเงินมากขึ้น วิธีหาลูกค้าและเพิ่มรายได้ให้บริษัทมากขึ้น เป็นต้น 

นอกจากนี้คุณไม่ควรที่จะให้ความสำคัญกับงานอื่น มากกว่างานที่ตัวเองรับผิดชอบโดยตรง  อย่าลืมพัฒนาทักษะที่สอดคล้องกับตำแหน่งหรือแผนกที่คุณต้องการจะย้ายไปมากขึ้น 

เช่น ถ้าคุณอยากย้ายจากการเป็นเซลล์ไปเป็นมาร์เก็ตติ้ง สิ่งที่คุณควรมีคือทักษะการวางแผน  ทักษะ Strategic thinking เป็นต้น 

=====

2. พูดกับเจ้านายตรง ๆ

เป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณควรแจ้งเจ้านายที่เป็น Direct report ของคุณเป็นคนแรก  คุณอาจหาเวลาที่ทั้งคู่สะดวกนอกเวลางาน หรือ งานเลี้ยงส่งคนในบริษัทก็ได้ เพราะจะช้าหรือเร็วเจ้านายคุณก็ต้องรู้ซึ่งเขาควรรู้เป็นคนแรก

ถ้าคุณและเจ้านายมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คุณอาจขอความช่วยเหลือจากเจ้านายให้พูดกับผู้ใหญ่ในบริษัทให้

=====

แต่ถ้าคุณทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีหรือไม่ค่อยถูกจริตกันเท่าไหร่  คุณอาจปรึกษาคนที่ตำแหน่งสูงกว่าในเรื่องการย้ายแผนก  อย่าลืมว่า ไม่ว่าเจ้านายคุณจะแย่แค่ไหน จะทำงานเอาหน้ามากแค่ไหน หรือมีความผิดพลาดมากแค่ไหน คุณก็ไม่ควรพูดถึงเจ้านายในทางแย่ ๆ ให้คนอื่นฟังเด็ดขาด 

คุณไม่ควรสร้างศัตรูในโลกการทำงานเพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าใครคือพวกใครและยังทำให้คุณดูแย่ในสายตาคนอื่นอีกด้วย คนอื่นจะมองว่าคุณเอาเรื่องงานมาปนกับเรื่องส่วนตัวจนดูไม่เป็นมืออาชีพ

ทั้งหมดนี้อาจส่งผลให้เจ้านายคนใหม่ไม่ปลื้มกับพฤติกรรมนินทาและสร้างข่าวลือของเจ้านายคนเก่า ๆ  นี่คือเหตุผลที่คุณไม่ควรเอาชื่อเสียงของตัวเองไปเสี่ยงกับการกระทำแบบนี้

ถ้าคุณคิดว่าการพูดกับเจ้านายตรง ๆ เป็นเรื่องที่ยากเกินไป ขอแนะนำให้คุณอ่าน 4 สิ่งสำคัญที่ควรเตรียมพร้อมก่อนคุยเรื่องยาก คลิกที่นี่ 

=====

3. มีโจทย์ชีวิตที่ชัดเจน

เหตุผลที่ดีที่สุดในการย้ายแผนกคือการอ้างเรื่อง Career Path  เพราะมันคืออนาคต  คือสิ่งที่คุณฝันไว้  คือตำแหน่งงานที่คุณอยากจะเป็น คือก้าวสำคัญที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จ และคุณต้องการสิ่งนั้นตอนนี้ ในเวลานี้ มันคือจังหวะเหมาะสมที่คุณจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อออกจาก Comfort zone ของตัวเองแล้ว

ถ้าคุณใช้เหตุผลนี้ และคุณมีความสามารถในการทำงานที่เพียงพอ ทักษะของคุณสามารถต่อยอดและพัฒนาให้บริษัทก้าวหน้าขึ้นได้ แน่นอนว่าบริษัทจะต้องการตัวคุณอยู่แล้ว

=====

การที่คุณรู้รอบด้านเท่าไหร่ และการที่คุณทำงานได้หลายฟังก์ชันจะยิ่งเป็นประโยชน์กับองค์กรมากขึ้นเท่านั้น และคุณควรมีเส้นตายที่ชัดเจนให้กับเจ้านายและบริษัทเพื่อประกอบการตัดสินใจ

ถ้าเจ้านายและผู้บริหารระดับสูงให้เหตุผลว่าตำแหน่งไม่ว่าง คุณควรถามต่อว่า แล้วตำแหน่งนั้นจะว่างเมื่อไหร่ ,มีแผนที่จะเปิดรับเพิ่มไหม และเปิดเมื่อไหร่ และคิดว่าจะให้โอกาสคนในบริษัทก่อน หรือจ้างคนใหม่

ถ้าองค์กรและบริษัทของคุณให้คำตอบที่ไม่ชัดเจน มีการเลื่อนและผลัดออกไปเรื่อย เจ้านายพูดอย่าง HR พูดอีกอย่าง แสดงว่าคุณกำลังถูกหลอกเพื่อผลัดไปเรื่อย ๆ แล้ว

ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณควรหาบริษัทอื่นเพื่อขยับขยายช่องทางการทำงานของตัวเอง คุณควรมีแผนสำรองมากกว่าหนึ่งแผน ในกรณีที่แผนสองพลาด แผนสามและสี่ยังตามมา อย่าให้คุณเป็นตัวเลือกของเขา แต่ทำให้พวกเขาเป็นตัวเลือกคุณ

การเจรจาเพื่อขอเจ้านายย้ายแผนกคือทักษะที่ทุกคนสามารถเรียนรู้และฝึกฝนกันได้ เราขอแนะนำหลักสูตร Win-win Negotiation เพื่อให้คุณมีทักษะในการเจรจาต่อรองอย่างมีประสิทธิภาพ คลิกที่นี่

=====

 

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 093 925 4962

(ที่มา: http://www.lifehacker.co.uk/2016/01/12/how-to-tell-your-boss-that-you-want-to-transfer-to-another-team)

8 เทคนิคเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

brain-power-level-8-ways-for-learn

ใคร ๆ ก็คงอยากเรียนเก่ง ฉลาด และมีความจำเป็นเลิศ แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนประสบปัญหาอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าหัว เรียนไม่เก่ง จำไม่ได้ หากคุณปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะส่งผลต่อความได้เปรียบ โอกาสในชีวิต และความภาคภูมิใจในตัวเอง ดังนั้น คุณควรพัฒนาตนเองให้เก่งและสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำตามเทคนิค 8 ข้อในบทความนี้

1) จับประเด็นให้ได้ สรุปความให้เป็น

ความสามารถในการสรุปความเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับวัยเรียนและวัยทำงาน คุณไม่จำเป็นต้องจดทุกคำพูดหรือทุกตัวอักษร แต่คุณต้องจับประเด็นสำคัญในสิ่งที่คุณฟังหรืออ่าน และถ่ายทอดความเข้าใจนั้นออกมาโดยใช้คำพูดของตนเอง วิธีการฝึกฝนทักษะนี้ก็คือ หลังจากที่คุณอ่านหรือฟังข้อความยาว ๆ ให้คุณลองเขียนสรุปใจความสำคัญของสิ่งนั้น ๆ การทำเช่นนี้จะทำให้คุณรู้ว่าตนเองเข้าใจเนื้อหาสาระและสามารถจับประเด็นสำคัญได้หรือไม่

2) ใช้ความกดดันเป็นพลังผลักดัน

หากคุณทำให้ตนเองรู้สึกกดดันบ้าง คุณจะสามารถผลักดันความสามารถของตนเองได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจำกัดเวลาในการเรียนรู้ของตนเอง หรือคุณอาจตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น เป็นต้น แรงกดดันนี้อาจทำให้คุณรู้สึกเครียดและกดดัน แต่มันทำให้คุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจและพยายามทำให้ตนเองบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

3) หลีกหนีสิ่งรบกวน

โลกที่เราอาศัยอยู่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุที่รบกวนการเรียนรู้ และทำให้สมาธิของคุณวอกแวก เช่น โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ วิทยุ เป็นต้น ดังนั้น หากคุณต้องการเรียนรู้ได้ดี และมีประสิทธิภาพ คุณควรหลีกหนีจากสิ่งยั่วยุเหล่านั้นเพราะความปรารถนาที่จะเรียนรู้อาจยังไม่พอที่จะทำให้คุณเรียนได้ดี แต่คุณต้องรู้จักที่จะปฏิเสธสิ่งรบกวนรอบตัวคุณด้วยดังนั้น ในขณะที่คุณอยู่ในห้องเรียน คุณควรปิดอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ หากคุณอ่านหนังสือหรือทบทวนบทเรียน คุณควรปิดวิทยุ หรือเปิดเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง วิธีการนี้จะทำให้คุณมีสมาธิ และจดจ่อกับการเรียนรู้มากขึ้น

4) ฝึกฝนจนชำนาญ

สิ่งใดที่กระทำซ้ำ ๆ หรือมีการฝึกฝนอยู่เสมอ ผู้ฝึกย่อมทำสิ่งนั้นได้ดี ในทางกลับกัน สิ่งใดที่ไม่ได้ทำนาน ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะถูกลืมหรือทำไม่ได้เหมือนเดิม ดังนั้นจงอย่ารอช้าที่จะฝึกฝน และทำซ้ำ หนึ่งในวิธีที่ช่วยย้ำเตือนความทรงจำ และทำให้คุณหลงลืมได้น้อยลงก็คือ การจดบันทึก กล่าวคือ ยิ่งคุณเขียนมาก คุณก็จะยิ่งจำได้แม่นยำขึ้น เพราะการเขียนจะช่วยให้คุณมีสมาธิ และเมื่อคุณมีสมาธิ คุณก็จะสามารถจดจำสิ่งที่คุณเรียนรู้ได้ อีกทั้งมันยังช่วยเรียบเรียงความคิดของคุณให้เป็นระบบและทำให้การเรียนรู้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น5) ใช้ภาพประกอบ

หลายคนไม่รู้ว่าความจำมีความเชื่อมโยงกับการมองเห็น กล่าวคือ คนเราสามารถจดจำสิ่งต่างๆได้ดี เมื่อเราเห็นภาพประกอบยกตัวอย่างเช่น หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนผ่านทางโทรศัพท์ เมื่อเวลาผ่านไปคุณอาจจำชื่อของพวกเขาได้เพียงแค่ 1-2 คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนเท่าๆกันในงานปาร์ตี้ คุณมีแนวโน้มที่จะจำพวกเขาได้มากกว่า 1-2 คนอย่างแน่นอน เพราะคุณได้เห็นหน้าตาพวกเขาจริงๆ และได้ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาผ่านการพูดคุย และการสัมผัส ดังนั้น คุณสามารถประยุกต์สิ่งนี้กับการเรียนรู้ของคุณ โดยการใช้ภาพประกอบ เพราะมันจะทำให้คุณจดจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น

6) เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบ

แน่นอนว่าคนเราสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบได้ดีกว่าสิ่งที่เรารู้สึกเบื่อหน่าย หากคุณเปิดเพลงที่คุณชื่นชอบและไม่ได้ฟังมาเป็นระยะเวลาหลายปี คุณจะพบว่าตนเองยังสามารถจำเนื้อร้องได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น หากคุณเรียนรู้ในสิ่งที่คุณเกลียด มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้มันเข้าหัว และคุณก็ไม่สามารถทำมันได้ดี ดังนั้น เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างราบรื่น คุณควรรักการเรียนรู้ ทำให้มันน่าสนใจ และจงคิดว่ามันให้ประโยชน์แก่ชีวิตคุณ เพราะแรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญต่อการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ

7) พักผ่อนอย่างเพียงพอ

การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอมีความสำคัญมาก เพราะมันส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ หากคุณลองสังเกตว่าวันใดที่คุณได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ สมองของคุณก็จะรู้สึกปลอดโปร่ง และสามารถเปิดรับการเรียนรู้ใหม่ๆได้มากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากวันใดคุณพักผ่อนน้อย คุณจะรู้สึกถึงความอ่อนเพลีย สมองไม่แล่น และไม่สดชื่นตลอดทั้งวัน ดังนั้น แทนที่คุณจะนอนดึกดื่นเพื่อโหมอ่านหนังสือ คุณควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอโดยควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมงเพื่อที่คุณจะได้รู้สึกสดชื่น และมีสมาธิกับสิ่งที่เรียนรู้ในแต่ละวัน

8) เชื่อมโยงสิ่งที่กำลังเรียนรู้กับสิ่งที่รู้อยู่แล้ว

การเชื่อมโยงสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้กับสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วจะทำให้คุณสามารถจดจำได้ดียิ่งขึ้น เพราะคุณจะเห็นความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกันซึ่งจะทำให้การเรียนรู้มีความหมายมากขึ้น หากคุณเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ คุณอาจนึกถึงคำศัพท์ที่คุณรู้อยู่แล้ว หรือนึกถึงบริบทที่คุณเคยเจอคำศัพท์นี้ในชีวิตประจำวัน วิธีการนี้จะทำให้คุณเข้าใจและเห็นความสอดคล้องของความรู้ต่างๆบนโลกใบนี้

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://www.lifehack.org/327781/brain-power-level-8-ways-remember-absolutely-everything-you-learn)

5 เคล็ดลับการทำงานฟรีแลนซ์ให้ประสบความสำเร็จ

5-tips-being-successful-freelance

หลายคนคงเบื่อหน่ายกับงานออฟฟิศที่ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานทุกวัน เลิกงานมืดค่ำ พอจะปลีกตัวหาวันลาพักร้อนสัก 1-2 วันก็ยากเย็นแสนเข็ญมิหนำซ้ำยังต้องรับมือกับเพื่อนร่วมงานจอมป่วน และปัญหาอีกสารพัดในที่ทำงาน ด้วยเหตุนี้ บางคนจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ และก้าวเข้าสู่การทำงานฟรีแลนซ์นอกจากนี้ ในปัจจุบันตลาดงานอิ่มตัวมากขึ้นทำให้ผู้คนเสาะแสวงหาช่องทางใหม่ในการหารายได้ และงานฟรีแลนซ์ก็เป็นอีกหนึ่งในช่องทางที่ได้รับความนิยม เนื่องจากความยืดหยุ่นของลักษณะงานที่เข้ากับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่

โรเบิร์ต กูเธร์กล่าวว่า “ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นปัจจัยที่ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้ที่ทำงานอิสระเพิ่มมากขึ้นถึง 53 ล้านคน ซึ่งส่งผลให้อาชีพเกษตรกรรม ค้าขาย งานฝีมือ และงานประจำลดน้อยลงอย่างมาก”

งานฟรีแลนซ์มีข้อดีมากมาย เช่น คุณสามารถทำงานได้อย่างอิสระ ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาและสถานที่ในการทำงาน คุณสามารถตัดสินในสิ่งต่างๆได้เองโดยไม่ต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ คุณจะพักผ่อนเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่คุณต้องการ พูดง่ายๆก็คือ คุณจะได้เป็นเจ้านายของตัวเองในทุกๆเรื่อง อย่างไรก็ตาม การทำงานฟรีแลนซ์ไม่ได้ง่ายและสบายอย่างที่คุณคิด เพราะรายได้ของงานไม่มั่นคง คุณต้องบริหารจัดการทุกอย่างเองรวมทั้งรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว จึงไม่น่าแปลกใจว่าหลายคนที่ทำงานฟรีแลนซ์ต้องล้มเลิกอาชีพนี้ไปในที่สุด เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่กำลังทำงานฟรีแลนซ์และผู้ที่คิดจะเริ่มต้นอาชีพนี้ บทความนี้แนะนำเคล็ดลับ 5 ข้อที่ควรรู้เพื่อให้การทำงานฟรีแลนซ์ประสบความสำเร็จ

1) รู้จักจุดเด่นของตัวเอง และพุ่งตรงไปยังกลุ่มเป้าหมาย

ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นอาชีพฟรีแลนซ์ คุณต้องหาตัวเองให้เจอก่อนว่าจริงๆแล้วตัวคุณชอบทำอะไร ถนัดหรือเก่งอะไร คุณควรจดความสามารถนั้นๆออกมาเพื่อให้คุณมองเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น คุณเป็นคนชอบเจรจา ชอบทำงานฝีมือ ชอบท่องเที่ยว ชอบเขียนหนังสือ เป็นต้น เมื่อคุณทราบแล้วว่าสิ่งใดคือจุดเด่นของคุณ ขั้นตอนถัดไปก็คือ การคิดหาวิธีการนำเสนอและเฟ้นหาลูกค้าตัวจริงของคุณซึ่งพวกเขาต้องเป็นคนที่ใช่ และเหมาะสมกับความสามารถและทักษะที่คุณมี ยกตัวอย่างเช่น หากคุณชอบพูดคุยเจรจา คุณก็ควรทำงานฟรีแลนซ์ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารหรือพบปะผู้คน

ทั้งนี้ การไม่รู้ว่าตนเองมีความสามารถ ทักษะ หรือข้อดีอย่างไรจะทำให้คุณเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ นอกจากนี้ การนำเสนอความคิด สินค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ตรงตามกลุ่มเป้าหมายก็ทำให้คุณหลงทาง และไม่พบกับจุดหมายที่ต้องการเช่นกัน

2) ใฝ่รู้ และค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่เสมอ

หากคุณคิดว่างานฟรีแลนซ์เป็นงานสบาย ไม่ต้องมีใครมาคอยชี้นิ้วสั่งให้ทำนู่นทำนี่ แสดงว่าคุณกำลังมองเหรียญเพียงด้านเดียว เพราะงานฟรีแลนซ์มีอะไรมากกว่าที่คุณคิด คุณต้องเก่งและแกร่งพอที่จะยืนหยัดอยู่กับมัน กล่าวคือ เมื่อคุณค้นหาจุดเด่นของตนเองรวมทั้งลูกค้าของคุณเจอแล้ว คุณต้องไม่หยุดนิ่ง ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนงานให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า อีกทั้ง สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้คุณไม่สามารถนั่งทำงานในแบบเดิมๆหรือย่ำอยู่กับที่ได้ เพราะหากคุณหยุดนิ่ง ฟรีแลนซ์คนอื่นๆจะก้าวนำหน้าคุณทันที ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทำงานฟรีแลนซ์เกี่ยวกับงานด้านวิชาการ ต้องค้นหาข้อมูลที่ทันสมัย อัพเดตต่อสถานการณ์ตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังต้องแสวงหาแหล่งข้อมูลใหม่ๆ ทั้งในหนังสือ อินเตอร์เน็ต การทำวิจัย และการสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น

3) รู้ในสิ่งที่คุณควรจะได้

หากคุณใช้ความสามารถของตนเองในการทำงานฟรีแลนซ์ คุณก็ควรจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า และมันจะดียิ่งขึ้น หากคุณรู้ว่าจะเพิ่มมูลค่าของความสามารถของคุณอย่างไรบ้าง สมมุติว่าคุณทำงานฟรีแลนซ์เกี่ยวกับการเขียนและการพิสูจน์อักษร คุณก็ควรเช็คอัตราค่าจ้างว่าราคาตลาดเป็นอย่างไรบ้าง นักเขียนท่านอื่นๆได้รับค่าแรงเท่าไหร่ และผลตอบแทนที่คุณได้รับมากหรือน้อยไปหรือไม่ เพื่อที่คุณจะได้ปรับปรุงและพัฒนางานของคุณให้ดียิ่งๆขึ้นไป

สำหรับคนทำงานฟรีแลนซ์ การสืบหาราคากลางของตลาดเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณเสนอราคาที่เป็นธรรมแก่ลูกค้าแล้ว ยังช่วยให้คุณไม่ถูกหลอก หรือโดนโกงค่าแรงอีกด้วย เพราะคุณต้องใช้แรงกาย แรงใจ ความสามารถ เวลา และทรัพยากรต่างๆเป็นจำนวนมากกว่าที่งานแต่ละชิ้นจะประสบความสำเร็จ ดังนั้น เพื่อไม่ให้ความทุ่มเทนั้นสูญเปล่า คุณควรเช็คราคาตลาดให้ดี อย่าประเมินความสามารถของตนเองต่ำหรือสูงจนเกินไป เพราะหากคุณได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถแล้ว คุณจะสามารถใช้อาชีพนี้หาเลี้ยงตัวเองได้อย่างมั่นคง

4) แบ่งเวลาระหว่างงานหลักและงานอดิเรกอย่างเหมาะสม

การช่วยเหลืองานการกุศล หรือการบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์เป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้คุณรู้จักการให้ การเสียสละ และเป็นการปลูกฝังความดีงามในตัวคุณ กล่าวคือ หากคุณได้รับเชิญให้ไปช่วยงานการกุศลต่างๆ คุณก็สามารถเข้าร่วมได้ แต่คุณต้องรู้จักความพอดี จงแบ่งเวลาให้กับงานหลักนั่นก็คืองานฟรีแลนซ์ด้วย เพราะคุณต้องใช้เงินในการดำรงชีวิต และส่วนใหญ่งานการกุศลเหล่านี้คุณไม่ได้รับเงินค่าจ้าง

สิ่งที่คนทำฟรีแลนซ์ต้องท่องจำให้ขึ้นใจก็คือ ความรู้ ความสามารถ ทักษะ เวลา เครื่องมือ และทรัพยากรต่างๆที่ใช้ทำงานเป็นสิ่งมีค่า ดังนั้น คุณก็ควรได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าเช่นกัน อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรหักโหมทำงานอย่างบ้าคลั่ง คุณควรจัดตารางชีวิตของตนเองให้เหมาะสมคือ ทำทั้งงานหลัก และงานอดิเรกอย่างลงตัว

5) รู้จักข้อจำกัดของตนเอง กำหนดขอบเขตการรับงานให้เหมาะสม

ผู้ที่ทำงานฟรีแลนซ์มักมีตารางเวลาสวนทางกับคนทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่คุณกำลังเล่นโยคะที่บ้าน เพื่อนของคุณกำลังท่องเที่ยวในต่างจังหวัด หรือในขณะที่คุณกำลังนั่งปั่นงานต้นฉบับอยู่ คนในครอบครัวของคุณได้นอนหลับไปนานแล้ว ชีวิตของคนทำงานฟรีแลนซ์มักมีงานเร่งด่วนเข้ามาตลอดเวลา แต่หากคุณไม่รู้จักการบริหารจัดการที่ดีจะทำให้ชีวิตคุณยุ่งเหยิง และสับสนไปหมด คุณจะกินในขณะที่คนอื่นนอน คุณจะนอนในขณะที่คนอื่นทำงาน หรือคุณจะมีตารางที่ผิดแปลกจากมนุษย์ทั่วไปนั่นเอง

ข้อแนะนำคือ คุณควรรู้จักข้อจำกัดของตนเอง กำหนดขอบเขตการรับงานให้เหมาะสม ไม่โลภมากรับงานจนเกินกำลังความสามารถ เพราะหากคุณคิดแต่จะหาเงินเยอะๆ โดยไม่พักผ่อน หรือพบปะสังสรรค์กับเพื่อนหรือคนในครอบครัวบ้าง สุดท้ายคุณจะพบว่าสิ่งดีๆในชีวิตขาดหายไปอย่างน่าเสียดาย

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://www.lifehack.org/318838/5-tips-ive-learned-about-being-successful-freelancer)

10 ทักษะที่ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ

10-universal-skills-successful-people-should-master

ทุกคนล้วนต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตและธุรกิจการงาน แต่หลายคนก็รู้ว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จนั้นไม่ได้ง่าย  หนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้ก็คือ ‘ทักษะความสามารถ’ ในด้านต่าง ๆ นั่นเอง  

บทความนี้ได้รวบรวม 10 ทักษะ ที่ช่วยทำให้คุณประสบความสำเร็จในโลกยุคใหม่  เมื่ออ่านบทความนี้จบ อย่าปล่อยให้ความรู้ทั้งหมดนี้ผ่านไป เพราะความสำเร็จรอคุณอยู่แล้วเพียงแต่คุณต้องมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังในการฝึกทักษะต่าง ๆ เหล่านี้เท่านั้น 

=====

1) การวางแผนและการบริหารจัดการ

การวางแผนและการบริหารจัดการเป็นทักษะที่สำคัญมากของคนที่ประสบความสำเร็จ ในแต่ละวันทุกคนมีเวลา 24 ชม. เท่ากัน  ถ้าหากคุณขาดการวางแผน และการบริหารเวลา คุณก็จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้

ในทางกลับกัน หากคุณสามารถวางแผนงานและจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆได้ดี รู้ว่าอะไรควรทำก่อนหรือหลังคุณก็จะสามารถทำงานเสร็จตรงตามเวลา และมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นจากผู้อื่นอีกด้วย

ซึ่งการวางแผน และการบริหารเวลาคือสองทักษะสำคัญจากทั้งหมด 9 ทักษะในหลักสูตร Smart Supervisory Skills ที่คุณสามารถเรียนรู้เพื่อเป็นผู้นำทีมของคุณได้  

=====

2) การเจรจาต่อรอง และการโน้มน้าวใจ

ในทุกองค์กรย่อมมีงานที่เกี่ยวข้องกับการประสานงาน และการเจรจากับคนในทีม ระหว่างแผนก และกับลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องรับผิดชอบงานขาย หรืองานบริการต่างๆ

ความสามารถด้านการเจรจาต่อรองและจูงใจผู้อื่นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการสร้างโอกาสทางธุรกิจ ทักษะนี้ทำให้ผู้ฟังรู้สึกคล้อยตาม เต็มใจที่จะช่วยเหลือและให้การสนับสนุนแก่เรา

นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการเลื่อนขั้น การขึ้นเงินเดือน และการหาลูกค้าใหม่ๆ ด้วย หากคุณอยากประสบความสำเร็จ คุณต้องพัฒนาทักษะด้านการเจรจาต่อรองและโน้มน้าวใจผู้อื่น ซึ่งเรียนรู้เพิ่มเติมได้ในหลักสูตร Persuasion & Negotiation Mastery 

=====

3) การสื่อสาร

ไม่ว่างานของคุณจะเป็นงานอะไรก็จำเป็นต้องใช้ทักษะด้านการสื่อสาร ทักษะนี้ไม่ได้หมายถึงการพูดเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการรับฟังและการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย

คุณต้องใช้ทักษะนี้ในการนำเสนองานในที่ประชุม ให้ข้อมูลลูกค้า และประสานงานกับเพื่อนร่วมงาน  หากคุณมีศิลปะในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบุคคลอื่น คุณก็จะได้รับความรักใคร่และความร่วมมือซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากคุณมีปัญหาด้านการสื่อสาร ลองค้นหาวิธีการที่คุณชอบ เช่น การพูดคุยต่อหน้า การส่งอีเมล์ การคุยผ่านโปรแกรมสไกป์ หรือการโทรศัพท์เพื่อที่คุณจะสามารถสื่อสารข้อมูล เนื้อหาสาระ และความรู้สึกกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพในแบบที่คุณถนัดจริง ๆ 

แต่ถ้ายังอยากพัฒนาทักษะการสื่อสารเพิ่มขึ้น ขอแนะนำหลักสูตร Executive Communication ที่จะทำให้คุณกลายเป็นสุดยอดนักสื่อสาร

=====

4) ความฉลาดทางอารมณ์

คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์เป็นคนที่เข้าใจผู้อื่น  เห็นอกเห็นใจผู้อื่นยอมรับข้อบกพร่องของผู้อื่น และจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ดี

ทักษะนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณทำงานเป็นทีมหรือทำงานกับคนอื่น สิ่งนี้ช่วยให้คุณสามารถเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดีขึ้น รับมือกับคนหลากหลายประเภทได้มากขึ้น 

ในทางตรงกันข้าม หากคุณมีความฉลาดทางปัญญา(IQ)สูงแต่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) แม้ว่าคุณจะทำงานเก่งสักแค่ไหนก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้เพราะไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งไปบริหารคน บริหารทีมได้ 

คุณจึงควรพัฒนาทักษะนี้โดยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา และคิดว่าหากตนเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบฝ่ายตรงข้ามจะรู้สึกอย่างไร เพื่อที่คุณจะได้ทำความเข้าใจผู้อื่นให้มากขึ้น

ซึ่งการพัฒนาทักษะนี้คือสิ่งที่ต้องฝึกฝน หลักสูตร Emotion Intelligence จะช่วยให้คุณพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์อย่างเป็นรูปธรรมได้  

=====

5) การคิดวิเคราะห์ และการแก้ไขปัญหา

การคิดวิเคราะห์ช่วยให้คุณสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างรวดเร็ว เป็นเหตุเป็นผล และมีประสิทธิภาพ

ทักษะนี้มีความสำคัญมากในการทำงาน เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ตำแหน่งใดก็ย่อมต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆอยู่เสมอ หากคุณมีทักษะในการคิดวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา คุณก็จะสามารถเอาตัวรอด และรับมือกับอุปสรรคต่างๆได้

นอกจากนี้ การจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมีระบบตั้งแต่การกำหนด แยกแยะ วิเคราะห์ และแก้ไขจะทำให้ปัญหาไม่ลุกลามจนเกินเยียวยา และช่วยให้คุณไม่เกิดความเครียดสะสมได้อีกด้วย

หลักสูตร Problem Solving & Decision making จะทำให้คุณมีความรู้และทักษะในการคิดวิเคราะห์และแก้ไขทุกปัญหาในการทำงานได้ นี่คือหลักสูตรที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการฝึกทักษะนี้

=====

6) ความมุ่งมั่นทุ่มเท และตั้งใจ

หากคุณเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท  และตั้งใจ คุณจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก เพราะคุณจะทำงานหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายในระยะยาวให้สำเร็จได้

สิ่งนี้ช่วยให้คุณเดินไปบนเส้นทางที่มุ่งสู่อนาคตที่สดใสและชัดเจน ไม่วอกแวกไปกับสิ่งยั่วยุ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้นในชีวิต

ซึ่งความมุ่งมั่น ทุ่มเท และตั้งใจคือสิ่งที่เรียนรู้และฝึกฝนกันได้ เนื้อหาทั้งหมดมีอยู่ในหลักสูตร Power to Your Goal & Success แล้ว

=====

7) การทำงานเป็นทีม

การทำงานร่วมกันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเราต้องใช้ทักษะนี้ในการทำงานและการดำรงชีวิตทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง แม้กระทั่งการใช้ชีวิตคู่ หรือการอยู่ร่วมกับคนในครอบครัว

ทักษะการทำงานร่วมกันนี้ทำให้คุณสามารถเข้ากับคนได้ทุกประเภท เปิดกว้างยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น และลดความขัดแย้งระหว่างกัน

นอกจากนี้ ยังช่วยให้การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นไปอย่างราบรื่นซึ่งส่งผลต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกด้วย

ถ้าคุณสนใจเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการทำงานร่วมกันเป็นทีม หลักสูตร Team Communication & Collaboration คือคำตอบสำหรับคุณ

=====

8) การบริหารความสมดุลในชีวิต

สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามหากคุณต้องการประสบความสำเร็จก็คือ การบริหารความสมดุลในชีวิต มันคือ การกำหนดเวลาในการดำเนินชีวิตให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับงาน ครอบครัว สังคม และตนเองเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

เพราะหากคุณทำงานหนักจนเกินไป คุณจะเกิดความเครียดซึ่งอาจทำให้ร่างกายเจ็บป่วยหรือเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา หนทางที่ดีกว่าคือการเดินทางสายกลาง ไม่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างหักโหมเกินไป

หากคุณรู้สึกว่าตนเองเริ่มหมกมุ่นกับการทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน ลองหยุดพัก และหาความบันเทิงให้กับชีวิตโดยทำกิจกรรมที่คุณชอบ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือท่องเที่ยว วิธีการนี้จะช่วยให้คุณสามารถบริหารความสมดุลในชีวิตได้ และนั่นจะส่งผลต่อความสำเร็จของคุณ

การบริหารความสมดุลในชีวิตคือทักษะที่คุณต้องฝึกฝน เพื่อค้นหาว่าจุดที่อยู่สมดุลแล้วหรือยัง และเราทำอะไรมากไป น้อยไป และจะปรับอย่างไร ขอแนะนำหลักสูตร High Performance Leader ที่จะช่วยฝึกทักษะนี้ให้คุณ


=====

9) ความมั่นใจในตัวเอง

ความมั่นใจในตนเองมีประโยชน์กับการทำงานและการใช้ชีวิตหากคุณเชื่อว่าตนเองสามารถคิด เรียนรู้ ตัดสินใจ แก้ไขปัญหา และพึ่งพาตนเองได้ แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเองเพียงพอแล้ว

และนั่นเป็นบันไดขั้นแรกที่จะทำให้คุณก้าวไปสู่ความสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม หากคุณดูถูกความสามารถของตนเอง คิดว่าตนเองไม่เก่งเหมือนคนอื่น ไม่กล้าแสดงออกในทางที่ถูกที่ควรก็หมดหวังที่คุณจะประสบความสำเร็จ

การปรับเปลี่ยนทัศนคติและพัฒนาความมั่นใจในตนเอง โดยการหาข้อดีของตนเอง ปรับปรุงบุคลิกภาพ และพัฒนาทักษะทางสังคมจะช่วยคุณได้

แต่ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นฝึกเรื่องนี้อย่างไร เราขอแนะนำหลักสูตร Growth Mindset foe Effective work ที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเองให้แก่คุณ

=====

10) การแสวงหาความรู้

คนที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่ชอบการเรียนรู้ พวกเขาช่างสังเกต สนใจสิ่งรอบข้าง และพยายามหาคำตอบในสิ่งที่ตนเองต้องการ

พฤติกรรมเช่นนี้ส่งผลให้เขาได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและกว้างขวางซึ่งส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆได้ไม่ยาก

ทักษะการแสวงหาความรู้นี้มีความสำคัญต่อหลากหลายอาชีพเพราะมันช่วยให้คุณสามารถค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ และประมวลผลได้ดี นอกจากนี้ ยังช่วยให้คุณเป็นคนที่กระตือรือร้น และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาได้อีกด้วย

ทักษะการแสวงหาความรู็และบริหารจัดการความรู้คือสิ่งที่จำเป็นมากในยุคที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารท่วมท้น หลักสูตร Change Management ช่วยให้คุณมีทักษะเหล่านี้ได้

อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้และฝึกฝนทักษะเหล่านี้เพียงลำพังเป็นเรื่องที่เหนื่อยและยากมาก ศึกษาวิธีการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ภายในทีมและกับคนรอบตัวคุณได้ คลิกที่นี่

=====

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand – เราพัฒนาคนในองค์กร ให้เพิ่มศักยภาพและทำงานอย่างมีความสุข

ปรึกษาเรื่องการพัฒนาทีมในองค์กร ติดต่อ Line @lhtraining หรือ โทร 093 925 4962


(Source: http://www.lifehack.org/287419/10-universal-skills-successful-people-should-master)

8 สัญญาณยืนยันว่าคุณกำลังทำงานที่ใช่

8-signs-youve-chosen-the-right-job

คนเราต้องใช้เวลาในการทำงานอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ซึ่งหากเราทำงานอย่างเบื่อหน่าย เครียด หรือไม่มีความสุขแล้ว สิ่งนี้ก็จะบั่นทอนสุขภาพจิต และสุขภาพร่างกายของเรา ในทางตรงกันข้าม หากเราอยากไปทำงานในทุกๆเช้า มีความสุขกับงานที่ทำ เราก็จะสามารถทำงานออกมาได้ดี และมีประสิทธิภาพ

คุณเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า“คุณมีความสุขในการทำงานหรือเปล่า” แต่หากคุณยังสับสนและคิดไม่ออก ให้คุณลองอ่านบทความนี้ หากคุณมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับ8 ตัวอย่างเหล่านี้ แสดงว่าคุณกำลังทำงานที่ใช่ และเหมาะสม

1) คุณคิดว่างานที่ทำมีคุณค่า

หลายคนทำงานแบบเช้าชามเย็นชามหรือทำงานตามหน้าที่เท่านั้นไม่ได้ทำงานเพราะรู้สึกสนุกสนานและมีความสุข ในทางกลับกัน คนที่มีความสุขในการทำงานมักเชื่อว่างานที่ตนเองทำมีความสำคัญ และมีคุณค่า สำหรับพวกเขาเงินอาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญของชีวิต แต่งานที่ได้ทำ คือ ความสุขและความท้าทายดังนั้น ทุกครั้งที่ได้เห็นผลลัพธ์จากการทำงาน พวกเขาจะมีความสุขเสมอ

2) คุณรู้สึกมีแรงจูงใจที่จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้า

เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในตอนเช้า หัวของคุณคิดถึงอะไร หากคุณงัวเงีย ไม่อยากลุกจากที่นอน และเลื่อนเวลาของนาฬิกาปลุกไปเรื่อยๆ นั่นเป็นสัญญาณว่าคุณไม่อยากมาทำงาน ในทางตรงกันข้าม หากคุณตื่นขึ้นมาอย่างสดใส พร้อมที่จะเริ่มต้นวันใหม่ รู้สึกกระตือรือร้น และมีกำลังใจในการทำงาน แสดงว่าคุณกำลังทำงานที่ใช่และมีความสุข

3) คุณไม่เกลียดเย็นวันอาทิตย์ และไม่กลัวเช้าวันจันทร์

เย็นวันอาทิตย์และเช้าวันจันทร์ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายและทรมานใจของคนทำงานหลายๆคน เพราะมีอีกตั้ง5 วันที่ต้องทำงานจนกว่าจะถึงวันหยุดอีกครั้งอย่างไรก็ตาม หากคุณไม่รู้สึกเกลียดหรือกลัวช่วงเวลานี้แสดงว่าคุณมีความสุขกับงานที่รับผิดชอบ เพราะสิ่งที่อยู่ในใจคุณก็คือ ไม่ว่าจะเป็นวันไหนของสัปดาห์ คุณก็มีความสุขเพราะได้ทำในสิ่งที่คุณรัก

4) คุณไม่ได้ทำงานแบบเอาตัวรอดไปวัน ๆ

หลายคนคิดว่าการทำงานคือการต่อสู้ หรือการพยายามเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นปัญหาในแต่ละวัน กล่าวคือ แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างใจจดใจจ่อ คุณกลับทำงานแบบเอาตัวรอดไปวันๆ หรือทำงานแต่ละชิ้นให้จบๆไปโดยไม่คำนึงว่างานจะมีคุณภาพดีหรือไม่ หากคุณมีพฤติกรรมเช่นนี้แสดงว่าคุณกำลังมีความทุกข์กับการทำงาน ในทางกลับกัน หากคุณรู้สึกสนใจในเนื้องานทุ่มเททำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ และมักสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเยี่ยม นั่นแสดงว่าคุณรักในงานที่ทำ จึงพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุด

5) คุณไม่สามารถหยุดเล่าเรื่องงานของคุณให้คนอื่นฟังได้

คุณเคยเล่าเรื่องงานของคุณให้เพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวฟังบ้างไหม อาจเป็นเรื่องความยิ่งใหญ่ของบริษัท ความท้าทายของงาน หรือความน่ารักของเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น หากคุณเคยทำเช่นนั้น ทั้งๆที่ในขณะที่คุณเล่าเรื่องงานให้คนอื่นฟัง พวกเขาแทบจะไม่ใส่ใจคุณเลย แต่คุณก็ยังคงเล่าต่อไป หากคุณมีพฤติกรรมเช่นนี้ แสดงว่าคุณรู้สึกสนุกและมีความสุขกับงานที่ทำ

6) คุณแทบจะไม่ได้มองนาฬิกาเลย

ในที่ทำงานมีพนักงาน 2 ประเภท ประเภทแรกคือ พวกที่จ้องมองนาฬิกาตลอดเวลาคนประเภทนี้มักรู้สึกว่าเวลาทำงานแต่ละวันช่างยาวนานเหลือเกิน และพวกเขาจะรอคอยให้ถึงเวลาเลิกงานอย่างใจจดใจจ่อ อีกประเภทหนึ่งคือ พวกที่แทบจะไม่มองนาฬิกาในเวลาทำงานเลย และเมื่อพวกเขาเงยหน้าดูนาฬิกาอีกทีก็จะพบว่าเป็นเวลาเลิกงานแล้ว คนกลุ่มนี้จะรู้สึกว่าในแต่ละวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หากคุณมีพฤติกรรมคล้ายกับคนกลุ่มที่สองแสดงว่าคุณรักและพึงพอใจกับงาน

7) คุณใช้เวลากับเพื่อนร่วมงานของคุณอย่างมีความสุข

บางคนรู้สึกไม่อยากทำงาน เพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากเพื่อนร่วมงาน หรือมีความรู้สึกด้านลบต่อเพื่อนร่วมงาน สิ่งนี้เป็นตัวบั่นทอนกำลังใจ และความสุขในการทำงาน ดังนั้น เราไม่ควรปล่อยให้ตนเองเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ทางที่ดีคุณควรมองเพื่อนร่วมงานในแง่บวก และอาจใช้เวลาในการทำกิจกรรมร่วมกับพวกเขาให้มากขึ้น ทั้งนี้ หากคุณส่งข้อความไปหาเพื่อนร่วมงานหลังเลิกงาน หรือใช้เวลาในวันหยุดเพื่อไปรับประทานอาหาร ท่องเที่ยว หรือซื้อของด้วยกัน แสดงว่าคุณรู้สึกดี และต้องการการมีส่วนร่วมกับทีม สิ่งนี้แปลว่าคุณกำลังมีความสุขกับงานและเพื่อนร่วมงานของคุณ

8) คุณไม่เข้าใจว่าทำไมมีคนถึงเกลียดงานของตัวเอง

ผลสำรวจชิ้นหนึ่งเปิดเผยว่าผู้คนจำนวนมากถึง 80% เกลียดงานของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลของลักษณะงาน เพื่อนร่วมงาน ผลตอบแทน หรือสิ่งอื่นๆ กล่าวคือ คนจำนวน 4 ใน 5 คนที่ไปทำงานทุกวันรู้สึกไม่พึงพอใจในงานที่ตนทำอยู่ ซึ่งหากคุณไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงเกลียดงานของตัวเอง นั่นอาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่างานที่คุณทำอยู่เหมาะสมกับคุณ

เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบลง และพบว่าตนเองมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับตัวอย่างใน 8 ข้อข้างต้น ขอแสดงความยินดีด้วย ถือว่าคุณเป็นคนโชคดีมาก เพราะคุณได้ทำงานที่รักและเหมาะสมกับคุณ

เรียบเรียงโดย Learning Hub Thailand

(Source: http://www.lifehack.org/309681/8-signs-youve-chosen-the-right-job)

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Ads, Google Analytics

    Statistics

  • Google Analytics

    Statistics

  • Facebook

    Marketing/Tracking

  • ActiveCampaign

    Functional

  • ActiveCampaign

    Marketing/Tracking

Save